ธุรกิจ
น่าจับตามองอย่างยิ่ง! เมื่อ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ใต้ร่มทีซีซีกรุ๊ปของ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” ประกาศผุด “ตึกสูงสุด” ในไทย! ให้เป็นแลนด์มาร์กระดับไอคอนบนพื้นที่โครงการ "เอเชียทีค" ซึ่งเปิดให้บริการมาเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2555
สู่เป้าหมายการเป็น Global Destination ดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก!
หลังแอสเสทเวิรด์ฯได้ประกาศจับมือกับบริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลก “Adrian Smith + Gordon Gill Architecture” (AS+GG) ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมสำคัญหลายแห่ง รวมถึงตึกสูงระฟ้าเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เช่น ตึกสูงที่สุดปัจจุบันในโลกอย่าง “เบิร์จ คาลิฟา” ในนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อเดือน ธ.ค. 2562
ขับบรรยากาศการแข่งขันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานหรือ “มิกซ์ยูส” ริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจาก “ไอคอนสยาม” ชักธงรบ เปิดให้บริการเมื่อเดือน พ.ย. 2561 ภายในโครงการไอคอนสยามยังมีอาคารสูงอันดับ 1 ของประเทศไทย ณ ปัจจุบัน นั่นคือ “แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนต์ เรสซิเดนซ์” ขนาด 70 ชั้น ด้วยความสูง 317.95 เมตร
ศึกชิง “ความเป็นหนึ่ง” ของ “แลนด์มาร์ก” ในกรุงเทพฯจึงเกิดขึ้น!
ชวนให้ติดตามอย่างยิ่งว่าโฉมหน้าของว่าที่ตึกสูงสุดในไทยจะเป็นเช่นไร
กระทั่งเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2564 ในวาระนำแอสเสทเวิรด์ฯเข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครบรอบ 2 ปี “คุณเอ๋-วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ได้แย้มให้เห็นถึงดีไซน์ของตึกสูงระฟ้า
ส่วนรายละเอียดจำนวนชั้นอยู่ที่เท่าไรนั้น ก่อนหน้านี้คุณเอ๋-วัลลภาเคยบอกว่ายังต้องขอดูตัวเลขมงคลก่อน
“เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศสหรัฐ และได้ประชุมร่วมกับบริษัท AS+GG ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบตึกสูงของเอเชียทีค พนักงานของ AS+GG กว่า 50 ชีวิตต่างกำลังโฟกัสโครงการนี้ คาดใช้เวลาออกแบบกว่า 2 ปี และน่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในอีก 9 ปีนับจากนี้หรือราวปี 2572”
สำหรับ “ไอเดีย” การยกเครื่องพัฒนาโครงการ “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟรอนต์ เดสติเนชั่น” (ASIATIQUE THE RIVERFRONT DESTINATION) แอสเสทเวิรด์ฯจะปั้นให้เป็นแลนด์มาร์กระดับไอคอน (Iconic Landmark) ของกรุงเทพฯที่มีคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม
ประกอบด้วย ตึกสูงระฟ้า ที่ตั้งของโรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน รีเซิร์ฟ จำนวน 124 ห้อง โรงแรมเจดับบลิว แมริออท มาร์คีส์ จำนวน 1,000 ห้อง ส่วนเซอร์วิส เรสซิเดนซ์คือ ริทซ์-คาร์ลตัน รีเซิร์ฟ แบรนเด็ด เรสซิเดนซ์ จำนวน 180 ห้อง รวมทั้งหมด 1,304 ห้อง ทั้งหมดอยู่ภายใต้การบริหารของเครือแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล
นอกจากนี้จะพัฒนาพื้นที่ค้าปลีกในเอเชียทีคให้มีส่วนผสมของ “Indoor & Outdoor Lifestyle” และ จัดเตรียมพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน พร้อมกับพัฒนาพื้นที่ด้านเอ็นเตอร์เทนเมนต์และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งเตรียมเซ็นสัญญากับพันธมิตรระดับโลก
ขณะเดียวกันจะก่อสร้าง “บุดดา มิวเซียม” (Buddha Museum) ให้เป็นสถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมด้วย
รวมถึงการพัฒนาคอนเซ็ปต์อาคารสำนักงานรองรับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ และผุดโรงแรมใหม่อีกแห่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนเจริญกรุง ใช้แบรนด์โรงแรมออโตกราฟ คอลเลคชั่น ในเครือแมริออทฯเช่นกัน
โดยแต่ละองค์ประกอบของโปรเจคยักษ์นี้จะทยอยเปิดให้บริการทีละโซน เช่น พื้นที่ค้าปลีกโซนใหม่ จะเปิดในปี 2567
ทั้งนี้แอสเสทเวิรด์ฯจะมีการรีวิวปรับแผนลงทุนเฟสใหม่ของโครงการเอเชียทีคฯอีกครั้ง น่าจะทำแผนแล้วเสร็จในช่วงเดือน ธ.ค.2564
“โครงการเอเชียทีคฯถือเป็นหนึ่งใน 3 โครงการระดับแลนด์มาร์ก ร่วมกับโครงการอควอทีค ดิสทริกต์ พัทยา (AQUATIQUE DISTRICT PATTAYA) และโครงการเวิ้งนครเขษม ที่จะช่วยสร้างปรากฏการณ์ให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ร่วมสร้างจุดแข็งให้กับประเทศไทยในช่วงยุคหลังโควิด-19” แม่ทัพแห่งแอสเสทเวิรด์ฯตอกย้ำถึงภาพใหญ่ในการขับเคลื่อนบิ๊กโปรเจคในช่วง 5 ปีนับจากนี้