ลำดับ ขั้น ตอน ใน ข้อใด ถูก ต้อง ตาม วิธีการ ทางประวัติศาสตร์

����Ըա�÷ҧ����ѵ���ʵ�� ���¶֧ ��кǹ����֡�� �鹤��� ����ͧ��������˵ء�ó�ҧ ����ѵ���ʵ�� ������ѡ�ҹ�ҧ����ѵ���ʵ�����դ�������ѹ��������§�Ѻ�������͹�������¹�ŧ ��ѧ�� ���֡�Ҩҡ�͡��÷�����͡��ê�鹵���Ъ���ͧ����ѡ��Сͺ����红������Ҥʹ�� �繡�кǹ��������㹡�����Ǻ�������������繡�кǹ��÷��ѡ����ѵ���ʵ��������鷴�ͺ ������ԧ�ͧ�ҹ�����ҡ����Ǻ����ͧ�ؤ����� ���ͤ������§���� �����Ѵਹ �դ�Ҥ�����������٧ �������ö���繻���ª��㹡�����������ѧ����
�� ��鹵͹�ͧ�Ըա�÷ҧ����ѵ���ʵ��
����֡�һ���ѵ���ʵ�� ��͡�кǹ����红����ŷ��١�Ǻ�����ШѴ�����ҧ���к� ��ͧ������Ըա�� �֡�ҷ����Ẻ੾�� �բ�鹵͹��ҧ � ��������Դ�ӴѺ��äԴ���ҧ���к� ���������ѡ�ҹ ��������ҧ � ͸Ժ������ͧ��Ǥ������Ңͧ�˵ء�ó�ҧ����ѵ���ʵ�� �������㨤��������ʹյ ��������§�Ѻ�����繨�ԧ�ҡ����ش ��觻�Сͺ���¢�鹵͹����Ӥѭ 4 ��鹵͹���

����֡�һ���ѵ���ʵ���� 4 ��鹵͹�ѧ���

1. ����Ǻ�����ФѴ���͡��ѡ�ҹ ������դ����Դ���ͧ�����͢�����ص԰ҹ���Ǽ���֡�Ҩ� ��ͧ�׺������ѡ�ҹ����ͧ����ФѴ���͡���ҧ���Ѵ���ѧ
2. �������������л����Թ�س�����ѡ�ҹ �繢�鹵͹������֡�ҵ�ͧ�ӡ�õ�Ǩ�ͺ ����������л����Թ�����ѡ�ҹ������� �� 2 �Ըդ��
������ (1) �������������л����Թ�س�����ѡ�ҹ��¹͡ �繡�� �����Թ
�����觾��٨����ѡ�ҹ����繢ͧ��ԧ���ͻ��� ������¡�� ���º��º�Ѻ
��ѡ�ҹ��蹫�觨��繵�ͧ�ͤ���������ͨҡ�������Ǫҭ ੾�д�ҹ
������ (2) �������������л����Թ�س�����ѡ�ҹ���� ��觵�Ǩ�ͺ
����������Ͷ�ͧ͢��ѡ�ҹ�¾Ԩ�óҤ����١��ͧ��Фس��Ңͧ������
�ҡ�������Դ�Ѻ�˵ء�ó� �ѡ��Ҿ��Фس�����ͧ ����֡��
3. ��õդ������� ��ѡ�ҹ �������ѡ�ҹ��ҹ������������л����Թ�س������� ����֡�ҵ�ͧ �դ�����ѡ�ҹ���ҧ������ºẺἹ���������Ҥ���������Ф����Ӥѭ������ԧ����ҡ� ���ѡ�ҹ�������ѹ��Ѻ����稨�ԧ�������ö��͸Ժ�¾ĵԡ������Ҿ�Ǵ��������ҧ���� ��ҧ ʶҹ��� ��кؤ��
4. ����ѧ����������� ��͡�ùӢ����ŷ����ҡ��õդ�����Т����ػ�����º���§������ͧ��� ��������ͧ �����׹ ������˵ؼ� ����֡�Ҥ鹤��ҷҧ��ҹ����ѵ���ʵ���鹵�ͧ༪ԭ�Ѻ��ѡ�ҹ ����դ����Ѻ��͹��ТѴ��駡ѹ�������� ����ʹ�� �آ�� �ͺ�ͺ ������º�Թ�� ��ʵԻѭ�� ���˵ؼ� ����Ѻ��˵ؼ���Ф�������ö�ͧ������ ��Ф���������ͨҡ�������Ǫҭ��ҹ��ҧ � �з���� ����ѵ���ʵ�� �դس����ҡ�͵�͡���֡�� ���С���֡�һ���ѵ���ʵ������èӡѴ������§����觷����ѹ�֡�ͺ ������¹�����¹��ҷ�����

Ref : http://www2.se-ed.net/nfed/history/index_his.html 14/02/2008

ลำดับ ขั้น ตอน ใน ข้อใด ถูก ต้อง ตาม วิธีการ ทางประวัติศาสตร์

เพื่อน ๆ หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ประวัติศาสตร์” กันจนคุ้นหู คำว่าประวัติศาสตร์อาจหมายถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว หรืออาจหมายถึงสาขาวิชาที่ศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ในอดีตเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างก็ได้ ซึ่งวันนี้ StartDee จะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จัก “วิธีการทางประวัติศาสตร์” ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้นักวิชาการศึกษาประวัติศาสตร์ได้อย่าง เป็นขั้นเป็นตอน ทำให้เราทราบข้อเท็จจริงต่าง ๆ และเข้าใจเรื่องราวในอดีตได้มากยิ่งขึ้น

ว่าแต่… กว่าจะเป็นการศึกษาที่มีขั้นตอนชัดเจนขนาดนี้ มนุษย์เริ่มศึกษาประวัติศาสตร์มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

ลำดับ ขั้น ตอน ใน ข้อใด ถูก ต้อง ตาม วิธีการ ทางประวัติศาสตร์

การศึกษาประวัติศาสตร์ของเฮโรโดตัส

430 ปีก่อนคริสตกาล เฮโรโดตัส (Herodotus) นักเขียนและนักภูมิศาสตร์ผู้มีชีวิตอยู่ในยุคกรีกโบราณได้เขียน The Histories ขึ้น โดยมุ่งหวังว่าการบันทึกนี้จะ “ช่วยให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา” งานเขียนของเฮโรโดตัสจึงนำเสนอเรื่องราวสาเหตุของการสู้รบและการทำสงครามระหว่างกรีกและเปอร์เซีย และมีการกล่าวถึงประเด็นการเมืองและอารยธรรมของทั้งสองอาณาจักรอย่างละเอียด

ลำดับ ขั้น ตอน ใน ข้อใด ถูก ต้อง ตาม วิธีการ ทางประวัติศาสตร์
ขอบคุณรูปภาพจาก en.wikipedia.org และ www.amazon.com

นอกจากนี้เฮโรโดตัสยังเดินทางไปค้นหาหลักฐานเพื่อยืนยันเหตุการณ์ และทำให้บันทึกของเขาน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย งานเขียนของเฮโรโดตัสจึงเป็นงานเขียนชิ้นแรก ๆ ที่วางรากฐานการศึกษาประวัติศาสตร์ในตะวันตก นำไปสู่วิธีการทางประวัติศาสตร์ในยุคต่อ ๆ มา และเฮโรโดตัสก็ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน

ความหมาย และความสำคัญของวิธีการทางประวัติศาสตร์

วิธีการทางประวัติศาสตร์ (Historical Method) หมายถึงวิธีการสืบค้นเรื่องราวในอดีต หรือการแสวงหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบ โดยอาศัยการวิเคราะห์หลักฐานทางประวัติศาสตร์ประกอบกับหลักฐานอื่น ๆ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด บทบาทของวิธีการทางประวัติศาสตร์คือช่วยให้เราศึกษาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ได้เป็นระบบ  และทำให้ข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษามีความน่าเชื่อถือ เพราะวิธีการให้ได้มาซึ่งข้อมูลนั้นถูกต้องตามหลักวิชาการ

วิธีการทางประวัติศาสตร์มีกี่ขั้นตอนกันนะ ?

วิธีการทางประวัติศาสตร์มีทั้งหมด 5 ขั้นตอน ได้แก่

  1. การกำหนดหัวเรื่องที่จะศึกษา
  2. การรวบรวมหลักฐาน
  3. การประเมินคุณค่าของหลักฐาน หรือการวิพากษ์คุณค่าของหลักฐาน
  4. การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล
  5. การเรียบเรียงและนำเสนอ

โดยแต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดดังนี้

1. การกำหนดหัวเรื่องที่จะศึกษา

หัวข้อหรือประเด็นที่เราต้องการศึกษาอาจเริ่มจากความสงสัยใคร่รู้ในเรื่องต่าง ๆ ก่อน ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่อยู่รอบตัวในชีวิตประจำวัน หรือเป็นประเด็นถกเถียงที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในแวดวงการศึกษาประวัติศาสตร์ เมื่อได้ประเด็นที่สนใจอยากหาคำตอบแล้ว เราจึงทำการกำหนดประเด็นการศึกษากว้าง ๆ แล้วค่อยจำกัดขอบเขตของประเด็นการศึกษาให้แคบลงให้เหมาะสมกับระยะเวลาในการศึกษา

2. การรวบรวมหลักฐาน

หลักฐานทางประวัติศาสตร์คือร่องรอยและข้อมูลต่าง ๆ จากในอดีตที่หลงเหลืออยู่ เราสามารถใช้หลักฐานเหล่านี้มาเป็นข้อมูลประกอบการศึกษา เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด  โดยขั้นตอนการรวบรวมหลักฐานคือการค้นคว้าและรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เราจะศึกษา โดยค้นคว้าจากพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด หอจดหมายเหตุ อินเทอร์เน็ต หรือแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ตามประเภทของหลักฐานนั้น เราสามารถแบ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้หลายรูปแบบ เช่น

2.1 แบ่งตามลักษณะของการบันทึก ได้แก่

2.1.1 หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ บันทึกใบลาน ศิลาจารึก พงศาวดาร สมุดข่อย จดหมายเหตุ วรรณกรรม หนังสือพิมพ์ ชีวประวัติ และหลักฐานอื่น ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านลายลักษณ์อักษร ยกตัวอย่างเช่นบันทึก The Histories ของเฮโรโดตัสที่เรากล่าวถึงไปก่อนหน้า ก็ถือเป็นหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเช่นกัน

ลำดับ ขั้น ตอน ใน ข้อใด ถูก ต้อง ตาม วิธีการ ทางประวัติศาสตร์
ขอบคุณรูปภาพจาก anatsayaboorapanoey และ www.navanurak.in.th

2.1.1 หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หลักฐานทางโบราณคดี ทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุที่มนุษย์ในอดีตเป็นผู้สร้างหรือทิ้งไว้ รวมถึงหลักฐานทางสถาปัตยกรรม เช่น วัด วัง ปราสาท สถูป เจดีย์ต่าง ๆ ประติมากรรมรูปปั้น ภาพวาดและจิตรกรรมฝาผนังต่าง ๆ หลักฐานทางวัฒนธรรม เช่น นาฏศิลป์ ดนตรี เพลงพื้นบ้าน คำบอกเล่าและมุขปาฐะต่าง ๆ และหลักฐานประเภทโสตทัศนูปกรณ์ เช่น ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วิดีทัศน์ แผนที่และสื่อคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ

ลำดับ ขั้น ตอน ใน ข้อใด ถูก ต้อง ตาม วิธีการ ทางประวัติศาสตร์
ปราสาทหินพิมาย ขอบคุณรูปภาพจาก th.wikipedia.org

ลำดับ ขั้น ตอน ใน ข้อใด ถูก ต้อง ตาม วิธีการ ทางประวัติศาสตร์
ขอบคุณรูปภาพจาก th.wikipedia.org และ thailandtourismdirectory.go.th

2.2 แบ่งตามคุณค่าและความสำคัญของหลักฐาน ได้แก่

2.2.1 หลักฐานปฐมภูมิ หรือหลักฐานชั้นต้น (Primary Source) คือหลักฐานที่เกิดในยุคสมัยเดียวกันกับเหตุการณ์นั้น ๆ หากผู้จดบันทึกหรือผู้สร้างหลักฐานอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยก็จะทำให้หลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก ตัวอย่างหลักฐานชั้นต้นที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หนังสือราชการ พระราชพงศาวดาร หรือจดหมายเหตุที่ชาวต่างชาติเป็นผู้บันทึก ส่วนหลักฐานชั้นต้นที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุที่สร้างขึ้นในยุคสมัยนั้น ๆ

2.2.2 หลักฐานทุติยภูมิ หรือหลักฐานชั้นรอง (Secondary Source) คือหลักฐานที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้น ๆ จบลงแล้ว ผู้สร้างหลักฐานไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นโดยตรง แต่จัดทำหลักฐานหรือบันทึกต่าง ๆ ขึ้นตามคำบอกเล่าหรือข้อเท็จจริงที่ได้รับมาจากผู้อื่นอีกที ทำให้หลักฐานชั้นรองมีความน่าเชื่อถือน้อยลงเนื่องจากอาจมีความคลาดเคลื่อนในการถ่ายทอดระหว่างบุคคล หรืออาจมีการเสริมเติมแต่งความจริง และมีการใส่อคติของผู้สร้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์รวมอยู่ด้วย ยกตัวอย่างเช่น หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ไทย บทความหรืองานวิจัยทางประวัติศาสตร์ รูปปั้นหรือภาพวาดที่จัดทำขึ้นตามคำบอกเล่า เป็นต้น

3. การประเมินคุณค่าของหลักฐาน หรือการวิพากษ์คุณค่าของหลักฐาน

เมื่อได้หลักฐานเกี่ยวกับประเด็นที่ต้องการศึกษาแล้ว เราต้องตรวจสอบว่าหลักฐานประเภทต่าง ๆ ที่ได้มานั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงใด เหมาะแก่การนำไปศึกษาเพื่อหาข้อเท็จจริงหรือไม่ การประเมินคุณค่าของหลักฐานมี 2 วิธี ได้แก่

3.1 การประเมินคุณค่าภายนอก หรือการวิพากษ์ภายนอก เป็นการตรวจสอบหลักฐานจากสภาพและลักษณะภายนอก เพื่อให้ทราบว่าหลักฐานนี้เป็นหลักฐานชั้นต้นหรือชั้นรอง หลักฐานนี้เป็นของจริงหรือไม่ โดยพิจารณาจากอายุของหลักฐาน วัสดุที่ใช้ ผู้สร้าง วัตถุประสงค์ในการสร้าง และสภาพแวดล้อมที่หลักฐานถูกสร้างขึ้น

3.2 การประเมินคุณค่าภายใน หรือการวิพากษ์ภายใน คือการประเมินข้อมูลภายใน ซึ่งเป็นระดับที่ลึกขึ้น โดยอาศัยการตีความหลักฐานเพื่อให้เข้าใจความหมายและความหมายแฝง รวมถึงการประเมินหลักฐานว่าเป็นจริงหรือเท็จ โดยพิจารณาจากผู้เขียน ช่วงเวลาที่เขียน จุดมุ่งหมายในการเขียน สำนวนภาษา และเปรียบเทียบเนื้อความกับแหล่งอื่น ๆ

4. การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล

เมื่อทราบว่าหลักฐานนั้นเป็นของแท้ และให้ข้อมูลที่เป็นจริง ขั้นตอนต่อมาเราจึงวิเคราะห์ข้อมูล เช่น วิเคราะห์ความเป็นมาของเหตุการณ์ สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ รายละเอียด และผลของเหตุการณ์

5. การเรียบเรียงและนำเสนอ

จากนั้นจึงนำเสนอข้อมูล ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก ในขั้นตอนนี้ผู้ศึกษาจะต้องตอบคำถามที่ได้ตั้งไว้ในหัวเรื่องที่จะศึกษา จากนั้นจึงนำเสนอออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งงานเขียน การบรรยาย อภิปราย ซึ่งเป็นการนำเสนอองค์ความรู้ที่ได้สู่สังคม

วิธีการทางประวัติศาสตร์เป็นกระบวนการที่นำมาซึ่งข้อเท็จจริงและองค์ความรู้ใหม่ ๆ ทางประวัติศาสตร์ เพื่อน ๆ สามารถนำวิธีการทางประวัติศาสตร์นี้ไปประยุกต์กับการศึกษาทางประวัติศาสตร์ในอนาคตได้ หรือจะลองสวมบทนักโบราณคดี ไปสำรวจแหล่งโบราณคดีในไทยกับครูกอล์ฟในแอปพลิเคชัน StartDee ก่อนก็ได้ ส่วนเพื่อน ๆ คนไหนที่อยากทบทวนบทเรียนกันต่อก็ไปอ่านบทความ ปัจจัยที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของกรุงรัตนโกสินทร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 วิชาประวัติศาสตร์ กันต่อได้เลย

ขอบคุณข้อมูลจาก: สุรรังสรรค์ ผาสุขวงษ์ (ครูกอล์ฟ)

Reference:

https://en.wikipedia.org/wiki/Histories_(Herodotus)

https://en.wikipedia.org/wiki/Herodotus

ข้อใดเรียงลำดับขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์ได้ถูกต้อง

๑. การกาหนดประเด็นที่จะศึกษา ๒. การสืบค้นและรวบรวมข้อมูล ๓. การวิเคราะห์และตีความข้อมูล ๔. การสังเคราะห์ข้อมูล ขั้นที่๑ การกาหนดประเด็นที่จะศึกษา โดยใช้การตั้งคาถามพื้นฐานหลัก ๕ คาถาม คือ

ข้อใดเป็นขั้นตอนแรกของวิธีการทางประวัติศาสตร์

ขั้นที่1 การกาหนดหัวเรื่อง เป็นขั้นตอนแรก ของวิธีการทางประวัติศาสตร์ผู้ศึกษาจะต้อง กาหนดหัวเรื่องให้กว้างก่อนแล้วค่อย กาหนดให้แคบลงในภายภายหลัง เพื่อให้เกิด ความสะดวกในการศึกษาค้นคว้า ขั้นที่2 การรวบรวมหลักฐาน ควรรวบรวมทั้ง หลักฐานชั้นต้นและหลักฐานชั้นรอง เกี่ยวกับ เรื่องที่เราอยากรู้หรือสนใจให้ได้มากที่

ขั้นตอนใดเป็นขั้นตอนสุดท้ายและสําคัญที่สุดในวิธีการทางประวัติศาสตร์

การนาเสนอข้อเท็จจริง/การนาเสนอองค์ความ - เป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการ ทางประวัติศาสตร์ - สรุปเรียบเรียงนาเสนอ - มีหลักฐานอ้างอิงชัดเจน - บอกที่มาของข้อมูลอย่างเปิดเผย - สามารถตรวจสอบได้ หลักฐานชั้นต้น , หลักฐานชั้นรอง

การวิพากษ์หลักฐานจัดว่าเป็นขั้นตอนใดของวิธีการทางประวัติศาสตร์

ขั้นตอนที่3 การประเมินคุณค่าของหลักฐาน การวิพากษ์หลักฐาน (external criticism) คือ การพิจารณาตรวจสอบหลักฐานที่ได้คัดเลือกไว้แต่ละชิ้นว่ามีความ น่าเชื่อถือเพียงใด แต่เป็นเพียงการประเมินตัวหลักฐาน มิได้มุ่งที่ข้อมูลในหลักฐาน ดังนั้นขั้นตอนนี้เป็นการสกัดหลักฐานที่ไม่ น่าเชื่อถือออกไปการวิพากษ์ข้อมูลหรือวิพากษ์ภายใน