������ ���� ������ �к� �������� ������ �Ѻ �Ҵ��� ���� ����è������蹡Ѻ����ͧ ���ŧ ���� �ҡ���Թ�˵� ��¡������ҧ�óբͧ����ͧ���ŧ��蹴������������ҵ�ͧ��ê��¤�ͺ��������ѡ �����Ф����� ���ŧ ���� �繢ͧ�ͺ᷹����Ѻ����ͧ��� ��� ���� ������ �ӹҹ����Ъ���ź����� �й� �������� ������ �Ѻ �Ҵ��� ���� 2 �駤��觢ͧ ��������� �������è������蹡Ѻ�ҧ��� ���ŧ ���� �ҡ���Թ� ��� ��ʹ��ǧ����Ĵ١�ŷ���ҹ�� ������ �Ѻ ���� �Ӽŧҹ��ⴴ���ҡ� �������˹���ʵ���ѧ�ͧǧ����١˹ѧ �������ҧ�������Ѻ��ջ�Ϳ�ԡ� ���ҧ�á��� �ǡ�������������Ѻ������ҧ��� ���ŧ ���� ��� ����騹�֧���� ������ �ѧ���駨ҡᴹ��̷�ջ��§�����Ƿ���������ʡѺ�ҧ����١�ص��ŷͧ�� ��� ������ ����� "�ǡ������è������蹡Ѻ�ҧ��� ���ŧ ���� �ҡ�Թ� �ǡ�Ҥ�è��������Ӥѭ�Ѻ������ͧ����ͧ��о�������Ѻ��ا����ѹ�բ�鹨дա���" ��� "�����駤����ѧ���ҧ�������ѹ���Ѻ����ͧ�������� ���ҧ�óբͧ�� ���ӧҹ���ҧ˹ѡ�����ʹ�������������ѡ��������ҡ������ͺ���Ǣͧ����ش�鹨ҡ�����ҡ�� ��м��� ���ŧ ���� �����ҧ��ŵͺ᷹����Ѻ����ͧ���" ขบวนการเดินทางของขุนนางชาวโปรตุเกส วาดโดยช่างเขียนคนครึ่งชาติอินเดีย-โปรตุเกส ประมาณ ค.ศ.1540 ปัจจุบันอยู่ที่หอสมุดคาซานาเตนซี(Bibl. Casanatense) กรุงโรม บาทหลวง เกฬ ซชูฮัมแมร์(G. Schurmammer SJ.) ผู้ดูแลเอกสารอนุเคราะห์ให้ผู้เขียน(C.R.Boxer)ทำสำเนาเมื่อ ค.ศ.1889
แสดงให้เห็นถึงการเดินทางของภรรยาของขุนนางชาวโปรตุเกส(Portuguese Fidalgo) วาดโดยช่างเขียนครึ่งชาติอินโด-โปรตุเกส ประมาณค.ศ.1540 ปัจจุบันอยู่ที่หอสมุดคาซานาเทนซี(the Bibl. Casanatense) กรุงโรม เรามักจะได้รับคำบอกเล่าอยู่เสมอว่า คนจากคาบสมุทรไอบีเรีย โดยเฉพาะชาวโปรตุเกสเป็นชนชาติที่ควรได้รับยกย่องว่า สร้างปรากฏการณ์แห่งการค้นพบเส้นทางการเดินเรือและการสำรวจทางภูมิศาสตร์อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลกระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ประโยชน์จากการค้นพบดังกล่าว คือ การเขียนแผนที่ทางภูมิศาสตร์ในย่านมหาสุมทรแอตแลนติกซึ่งทันสมัยที่สุดขณะนั้นกับการบันทึกลักษณะเฉพาะของชนชาติต่าง ๆ ที่ร่วมต่อสู้กับชาวมัวร์ (Moors) ถึง 800 ปี การปกครองคาบสมุทรไอบีเรียอย่างยาวนานของชาวมัวร์ ทำให้ชาวคริสเตียนจำนวนมากคุ้นเคยกับมโนทัศน์ที่ว่า ชาวมัวร์หรือชาวอาหรับผู้มีผิวพรรณคล้ำกว่าตน เป็นผู้ที่มีสถานภาพทางสังคมสูงกว่า ส่วนสตรีชาวมัวร์ที่มีผิวสีน้ำตาลก็ถูกจัดให้เป็นแม่แบบความงามและความมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหล ค่านิยมเช่นนี้เป็นเรื่องที่บอกเล่าสืบต่อกันมา ดังปรากฏอยู่ในนิทานพื้นบ้าน (Folk Tales) หลายเรื่องที่กล่าวถึงเจ้าหญิงชาวมัวร์ผู้เลอโฉม หรือ “Moura Encantada” นิทานพื้นบ้านเหล่านี้ถูกเล่าต่อกันมาแบบปากต่อปากในกลุ่มชาวนาไม่รู้หนังสือของโปรตุเกส จึงอาจจะกล่าวได้ว่าความเคยชินจากการอยู่ภายใต้การปกครองของชาวมัวร์และความมีเสน่ห์ของหญิงสาวชาวมัวร์ เป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้มีผลผลิตเป็นพลเมืองครึ่งชาติ (Half Breeds) และคนเลือดผสม (Mixed Bloods) ขึ้น และยังเป็นที่มาแห่งการยกเลิกกีดกันผิว หรือ รังเกียจผิว (Colour-bar) ของชาวโปรตุเกสและชาวสเปนในเวลาต่อมา การต่อสู้เพื่อชิงความเป็นใหญ่ระหว่างชาวคริสต์กับชาวมุสลิมเหนือคาบสมุทรไอบีเรียซึ่งกินเวลาหลายร้อยปี มิได้เป็นยุคที่เกิดขึ้นโดยปราศจากการหยุดชะงัก เอล ซิดขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ชาวสเปน(El Cid Campeador พ.ศ.1586-1642) ก็เคยเปลี่ยนข้างมากกว่าหนึ่งครั้ง แม้แต่ในคริสต์ศตวรรษที่13 ชาวคริสต์ มุสลิมและยิวต่างก็เคยเข้าร่วมพิธีทางศาสนาตามความเชื่อของตนในศาสนสถานเดียวกันมากกว่าหนึ่งครั้ง ณ มัสยิด ซานตา มารีอา ลา บลังกา(the Mosque of Santa Maria la Blanca) ที่เมืองตูเลดู(Toledo)เป็นที่น่าสังเกตได้ชัดเจนว่า ข้อถกเถียงเหล่านี้มีฐานะบางอย่างที่จำเป็นต้องนำมาพิจารณา ประการแรก ชาวมัวร์ส่วนใหญ่ที่เคยครอบครองคาบสมุทรไอบีเรียมานานมิได้มีผิวคล้ำกว่าชาวโปรตุเกส เพราะชาวมัวร์เป็นคนเผ่าเบอร์เบอร์มิใช่ชาวอาหรับ หรือ ที่เรียกกันว่า “Blackamoors” แม้ว่าสงครามชิงความเป็นใหญ่ในคาบสมุทรไอบีเรียจะเคยสงบลงชั่วคราวแต่การพักรบดังกล่าวกินเวลาสั้น ๆ ปีที่ชาวคริสต์ ชาวมุสลิม และชาวยิว ร่วมทำพิธีเฉลิมฉลองตามความเชื่อของตนเองอย่างเท่าเทียม ณ เมืองตูเลดู มิได้ทำให้มีการพักรบนานกว่าสัมพันธ์ไมตรีชั่วคราวที่เกิดระหว่างชาวคริสต์กับชาวมุสลิมในเมืองชิชิลี (Sicily)ในรัชสมัยของกษัตริย์เฟรดริก ที่2 (Frederick II ค.ศ.1215-1250) ผู้ทรงมีฉายาว่า “Stupor Mundi” เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ในคริสต์ศวรรษที่ 15 ชาวคริสเตียนส่วนใหญ่จากคาบสมุทรไอบีเรีย มักไม่ละโอกาสที่จะโจมตีความเชื่อทางศาสนาของชาวมุสลิมและยิวเสมอ ขณะที่ชาวมุสลิมและยิวก็มักจะพูดจาดูถูกดูแคลนชาวคริสเตียนเช่นกัน ความเกลียดชังขาดความเห็นใจและไม่เข้าใจกัน เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายแสดงออกต่อชาวต่างชาติต่างศาสนาอย่างรุนแรง ชาวมัวร์ (หมายถึงชาวมุสลิม) ชาวยิวและคนนอกศาสนากลุ่มอื่น ๆ (Gentiles) ต่างก็ถูกตราหน้าจากชาวคริสเตียนว่า จะถูกพิพากษาจากพระเจ้าให้รับทุกข์ทรมานในไฟนรกแห่งโลกหน้า อันสร้างความไม่พอใจให้แก่คนเหล่านี้อย่างยิ่งการไม่รักษาสันติภาพเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่ายเป็นระยะๆในสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อปราบคนนอกศาสนา กล่าวคือ เมื่อชาวคริสเตียนทำสงครามครูเสด (Crusade) ได้ ชาวมุสลิมก็ทำสงครามจีฮัดได้เช่นกัน ชาวมุสลิมที่เคร่งครัดพระคัมภีร์(the orthodox Muslim) มองชาวคริสเตียน "ผู้หวังจะได้อยู่ร่วมกับพระเจ้า" ด้วยความยึดมั่นในพระตรีเอกนุภาพ (Trinity คือ พระบิดา พระบุตรและพระจิต-ผู้แปล) พระแม่มารีผู้บริสุทธิ์และ(บางนิกาย)บรรดาเหล่านักบุญของพวกเขาด้วยความเกลียดชังยุคกลางของยุโรป(Medieval Europe)ขณะนั้นจัดป็นสถานบ่มเพาะความความเหลวแหลกและหยาบกร้าน ประเทศโปรตุเกสเองก็มิได้มีอารยธรรมสูงส่งเหนือกว่าดินแดนอื่น ๆ เลย ด้วยเหตุนี้อีกห้าร้อยปีต่อมา อีซา ดึ ไกวโรซ (Eça de Queiroz) จึงบรรยายไว้ว่า ลิสบอนเป็นเมืองที่คลาคล่ำไปด้วยชนชั้นขุนนาง ชั้นผู้ดี บาทหลวงที่ล้วนเฉื่อยชาและขาดความสำรวม ชาวไร่ ชาวนาและชาวประมงผู้โง่เขลา ชนชั้นต่ำที่เป็นช่างฝีมือและกรรมกรหาเช้ากินค่ำ คนเหล่านี้ต่างก็งมงายต่อความเชื่อทางศาสนา สกปรกและโหดร้ายทารุณ สิ่งเหล่านี้ประกอบกันขึ้นเป็นชนชั้นต่าง ๆ ในสังคมโปรตุเกสซึ่งสะท้อนภาพให้เห็นโดยนักบุกเบิกและผู้ตั้งถิ่นฐานในอาณานิคม รายละเอียดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าวมีอยู่ในบันทึกของเฟอร์เนา ลูเปช(Fernão Lopes) ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องจากโรเบิร์ต ซูทธีย์ (Robert Southey)ว่า "เป็นนักจดหมายเหตุได้ดีที่สุดยากจะผู้ใดหรือคนชาติใดมาเปรียบได้"การยึดครองเมืองซูตา(Ceuta)โดยชาวโปรตุเกสในค.ศ.1415 ถือเป็นก้าวแรกของการขยายอำนาจยุโรปไปยังดินแดนโพ้นทะเล แล้วลงเอยด้วยการเล่นเรือวิกตอเรีย(Victoria)ไปรอบโลกของชาวสเปนระหว่างค.ศ.1519-1522 เดิมทีทั้งชาวโปรตุเกสและชาวสเปนต่างมุ่งมั่นที่จะพิชิตมหาสมุทรแอตแลนติกให้สำเร็จเท่านั้น แต่ความพยายามของนักผจญภัยทั้ง 2 ชาติมิได้ทำให้ความจริงของประวัติศาสตร์โลกเปลี่ยนไปแต่อย่างใด เนื่องจากในอดีตนั้น ชาวไวกิ้งก็เคยเดินทางจากยุโรปไปทวีปอเมริกามาแล้วตั้งแต่ยุคกลางตอนต้น ทว่าการตั้งถิ่นฐานอย่างสันโดษของพวกเขาในกรีนแลนด์ ต้องเลิกล้มไปเมื่อใกล้จะสิ้นคริสศตวรรษ ที่15 เพราะสภาพอากาศที่หนาวจัดและการถูกโจมตีจากชาวเอสกิโม นอกจากชาวไวกิ้งแล้วเรือแกลลีย์ของชาวอิตาเลียนและชาวคาตาแลน ก็เคยแล่นจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเข้าไปผจญภัยในมหาสมุทรแอตแลนด์ติคอย่างห้าวหาญตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่13-ต้นคริสต์ศตวรรษที่14 แต่สิ่งที่พวกเขาค้นหากลับคลุมเครือและสิ่งที่พวกเขาค้นพบก็เห็นได้ไม่ชัด แม้ว่าพวกเขาอาจจะเคยเห็นหมู่เกาะ อะซูรึช (Açores)มาแล้วก็ได้ มีการตั้งคำถามว่าเหตุใดนักเดินทางชาวไอบีเรียนจึงประสบความสำเร็จในการสำรวจเส้นทางการเดินเรือ ขณะที่ก่อนหน้านั้นนักเดินทางชาวเมดิเตอร์เรเนียนกลับพากันล้มเหลว และทำไมโปรตุเกสจึงสามารถก้าวเป็นผู้นำในด้านการเดินเรือทางทะเลได้ทั้ง ๆ ที่นักเดินเรือจากอ่าวบิสเคย์(Biscayan)เองก็มีความกล้าได้กล้าเสียและมีเรือดีพอๆคนชาติอื่นในยุโรป(ถึงนี้)ทุกวันนี้ นักประวัติศาสตร์ยังไม่สามารถให้คำตอบที่เหมาะสมต่อปัญหาข้างต้นได้ แต่อาจจะกล่าวได้อย่างชัดเจนว่า แรงผลักดันหลัก ๆ ของยุคแห่งการค้นพบนั้น สืบเนื่องมาจากการผสมผสานกันระหว่างองค์ประกอบทางศาสนา เศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์ และการดำเนินนโยบายทางการเมือง ปัจจัยเหล่านี้ มิได้ส่งผงชัดเจนเสมอไป และมิได้กระตุ้น จากแรงบันดาลใจ ในการแสวงหาทรัพย์สิน เพื่อนำไปถวายแด่จักรพรรดิแห่งโรมและพระเจ้า อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างตายตัวเสียทีเดียวนัก หรือบางทีจะกล่าวให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าแรงผลักดันสำคัญ 4 ประการที่ทำให้ชาวโปรตุเกส ประสบความสำเร็จ ในการสำรวจทะเลนั้น ประการแรก คือ ความกระตือรือร้น ในการทำสงคราม ครูเสด ประการที่ 2 คือความมุ่งหวังต่อทองคำ แห่งดินแดนกีนี ประการที่ 3 คือการค้นหาอาณาจักรของกษัตริย์ เพรสเตอร์ จอห์น และประการที่ 4 คือ การแสวงหาเครื่องเทศ ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือ โปรตุเกสเป็นราชอาณาจักรแห่งเดียวของยุโรป ที่มีการรวมตัวกันอย่างเป็นเอกภาพ โดยปราศจากสงครามกลางเมืองในคริสต์ศตวรรษ ที่ 15 ขณะที่ฝรั่งเศสอยู่ในระยะสุดท้ายของสงครามร้อยปี นอกจากนี้ ในปีเดียวกับที่โปรตุเกสสามารถยึดครองซูต้า ได้ ก็เกิดสงครามเอจินคอร์ท การขึ้นมามีอำนาจของแคว้นเบอร์กันดี การต่อสู้ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส สงครามดอกกุหลาบ ส่วนสเปนกับอิตาลีก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติและความไม่สงบภายในราชอาณาจักรการยึดครองและครอบงำซูต้าในปี ค.ศ.1415 อาจจะมีสาเหตุมาจากความกระตือรือร้นในการทำสงครามปราบปรามพวกนอกศาสนา เพราะบรรดาเจ้าชายแห่งราชอาณาจักร โปรตุเกสซึ่งมีสายเลือดอังกฤษทรงมีพระราชประสงค์ที่จะได้รับการขนานนามว่า “อัศวินแห่งสนามรบ” จากการทำสงครามอย่างห้าวหาญ อย่างไรก็ดี แรงกระตุกทางเศรษฐกิจและหลักยุทธศาสตร์ก็อาจจะมีส่วนผลักดันใหโปรตุเกสยึดครองซูต้า ได้เช่นดัน เนื่องจากซูต้าเป็นศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจ และเป็นที่ยึดมั่นสำคัญบนฝั่งตรงข้ามกับช่องแคบยิบรอลต้า และขณะนั้นเชื่อกันว่าดินแดนซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจากฝั่งทะเลอันเหมาะแก่การเพาะปลูกข้าวโพดนั้นก็เป็นที่หมายปองของชาวโปรตุเกสด้วย เนื่องจากพื้นที่ในโปรตุเกสเองมักประสบปัญหาการขาดแคลนพืชพันธุ์ธัญญาหารอยู่เสมอ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือซูต้าเป็นเมืองท่าศูนย์กลางการค้าทองคำซึ่งถูกนำข้ามทะเลทรายสะฮารราออกมายังชายฝั่งทะเล แม้ว่าก่อนที่โปรตุเกสจะครอบครองซูต้านั้นก็สามารถทำให้ชาวโปรตุเกสได้รับข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับดินแดนของพวกนิโกรแห่งลุ่มแม่น้ำไนเจอร์ตอนบนและลุ่มแม่น้ำ เซเนกัล อันเป็นแหล่งกำเนิดของทองคำที่ถูกน้ำออกไป บางทีจากเหตุผลข้างต้นอาจจะทำให้ชาวโปรตุเกสตระหนักถึงความจำเป็นกับการติดต่อของดินแดนแงพวกนิโกรโดยทางทะเล เพื่อเข้าแทรกแซงการค้าทองคำของบรรดากองเกวียนแห่งสะฮาราโบราณ และพ่อค้าคนกลางชาวมุสลิมแห่งบาร์บารี แรงผลักดันสำคัญที่ทำชาวโปรตุเกสมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น คือความเดือดร้อนอันเนื่องมาจากปัญหาการขาดแคลนโลหะมีค่าทั้งยุโรปตะวันตกและในประเทศโปรตุเกสอย่างรุนแรง เพราะต่าวก็ต้องสูญเสียทองคำและเงินตราจำนวนมากในการซื้อเครื่องเทศและสินค้านำเข้าอื่น ๆ จากเอเชีย นอกเหนือจากปัญหาการตกต่ำจากผลผลิตจากเหมืองทองในยุโรปตอนกลางความเคลื่อนไหวที่ผสมผสานในการขยายอำนาจโปรตุเกสไปยังดินแดนโพ้นทะเล ถูกรับรองอย่างชัดเจนในโองการของพระสันตปาปาโรมานุส ปอนติเฟ็กซ์ เมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ.1455 คำรับรองดังกล่าวเป็นสิ่งผลักดันให้มงกุฏราชกุมาร ดอม เฮนริก หรือเจ้าชายเฮนรีแห่งโปรตุเกสทรงเกิดแรงบันดาลใจในการทำสงครามศาสนา และทรงมุ่งหวังที่จะเดินทางไปยังอาณาจักรเพรสเตอร์ จอห์น อันเร้นลับในอินเดีย ด้วยการแล่นเรือไปรอบ ๆ แอฟริกา โองการของพระสันตปาปา โรมานุสได้รับรองการขยายอำนาจขอแงโปรตุเกสซึ่งแฝงมากับการเคลื่อนไหวทางการค้า โดยอนุญาตให้กษัตริย์โปรตุเกสและผู้สืบราชบัลลังก์ในชั้นหลังมีเอกสิทธิ์ในการผูกขาดทางการค้ากับพลเมืองของดินแดนที่ถูกค้นพบใหม่จากการสำรวจ ภายใต้เงื่อนไขที่มิให้ขายอาวุธ ท้ายที่สุดอาจกล่าวได้ว่า การผลักดันให้มีการสำรวจดินแดนท่างตอนใต้ของแอฟริกาทำให้ชาวโปรตุเกสสามารถอ้างสิทธิ์ในการค้าทาสนิโกรและเครื่องเทศได้ด้วย นอกเหนือจากการแสวงหาทองคำแห่งกินี ละการค้นหาอาณาจักรของกษัตริย์เพรสเตอร์ จอห์น การแสวงหาเครื่องเทศได้ทวีความสำคัญยิ่งขึ้น ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายเฮนรีในปี 1460 ขณะที่การค้าทาสในแถบแอฟริกาตะวันออกนั้นมีความมั่นคงอยู่ก่อนแล้ว
การอ้างอิง [1] “…la mayor cosa después de la creació del mundo, sacando la encarnación y muerte del que lo criá ” . Fracisco López de Gómara, Primera y segunda parte de la historia general de la Indias (çaragoça, 1553), Vol. I, p.4 บทที่2. ความขัดแย้งเรื่องผิว ชนชั้นและศาสนาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ความขัดแย้งทางผิว ชนชั้นและศาสนาเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ เนื่องจากการอพยพเข้ามาเป็นจำนวนมากของชาวโปรตุเกสและการเผยแพร่ศาสนาจักรโรมันคาธอลิกในทวีปแอฟริกา เอเชียและอเมริกาใต้ ความขัดแย้งดังกล่าวมีสภาวการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ในโมรอคโค(Morocco)นั้น อุดมการณ์เกี่ยวกับสงครามครูเสด(The Crusading Spiritual)ยังคงตกค้างอยู่อีกนาน หลังจากการต่อสู้กันประปรายเป็นระยะๆ ผลส่วนใหญ่จากการยึดเมืองซีทตา(Ceata) ตันกิเยร์(Tangier)และที่มั่นอื่นๆตามชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก(Atlantic)ของโปรตุเกส คือ การส่งกำลังทหารเข้าไปยังดินแดนที่โดดเดี่ยวตนเองและเกลียดชังคนต่างชาติอย่างรุนแรงของชาวมุสลิม การต่อต้านชาวโปรตุเกสผู้รุกรานเกิดจากการยุยง ตระเตรียมและชี้นำของพวกมาราบูตส์(The Marabouts)ก่อให้เกิดสงครามตามมา ความพยายามของโปรตุเกสในการรุกรานสิ้นสุดลงจากความหายนะในสมรภูมิอัลคาเซอร์ เคบีร์(Alcacer Kebir) เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.1578 ผลของสงคราม คือ กษัตริย์เซบาสติอาว (King D. Sebastiao) สิ้นพระชนม์ ทหารที่รอดตายต่างก็ถูกจับเป็นเชลยศึกทั้งหมด ในรัชสมัยของกษัตริย์ ด.จูอาวที่ 3(King D.João III ) ทำให้ป้อมปราการหลายแห่งของโปรตุเกสในโมร็อคโคถูกทอดทิ้ง ครั้นสิ้นสุดศตวรรษที่16 ป้อมปราการของโปรตุเกสก็เหลืออยู่ในเมืองซีตา ตันกิเยร์และมาซากัน(Mazagan)เท่านั้น กองทหารประจำป้อมทั้ง 3 แห่ง มักจะได้รับค่าจ้างไม่ครบ นอกจากนี้ยังขาดแคลนเสบียงและกำลังพล ทหารโปรตุเกสเหล่านี้จึงมีความสามารถในการต่อสู้ป้องกันตัวเล็กน้อยๆ การลาดตระเวนและการตรวจค้นพื้นที่รอบเมือง ทำได้แค่ในเวลากลางวันเท่านั้น พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงออกไปลาดตระเวนจนไกลลับตาจากแนวกำแพงป้อม เพราะถ้าพลั้งพลาดหรือคล้อยหลังเมื่อใดก็อาจจะถูกโจมตีด้วยกำลังที่เหนือกว่าได้ทันที การรบฉาบฉวยเช่นนี้ บางครั้งลดลงไปบ้างในช่วงที่พ่อค้าชาวมัวร์(Moorish)และยิว(Jewish)นำสินค้าเข้ามาแลกเปลี่ยน กษัตริย์โปรตุเกสทรงห่วงใยป้อมปราการทั้ง 3 แห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง จึงโปรดให้เสริมกำลังทหารและให้การสนับสนุนอย่างรวดเร็วเมื่อป้อมแห่งใดแห่งหนึ่งถูกพวกมัวร์ปิดล้อม[1](เริ่มการพิสูจน์อักษรต่อ)สำหรับภูมิภาคซึ่งอยู่ลัดลงไปทางใต้ของชายฝั่งอาฟริกาตะวันตกจนถึงมอริตาเนีย(Mauretania) และต่ำลงไป การค้นหาทองคำที่กินี(Guinea)ถูกแทรกแซงจากความต้องแรงงานทาส การค้าทาสกลาย เป็นกิจการสำคัญของโปรตุเกสตามดินแดนแถบชายฝั่งทะเลหลังจากมีการพัฒนาไร่อ้อย (The development of sugar plantation)ในมาเดอิรา(Madeira) เซา โตเม(Sao Tome)และบราซิล(Brazil) ตามลำดับ อาณานิคมของสเปนในแถบทะเลแคริบเบียน(The Spanish Carribbean Colonies) และอาณานิคมที่กระจัดกระจายในเม็กซิโก(Mexico)และเปรู(Peru) ต่างก็เป็นแหล่งระบายทาสที่ให้กำไรมากมายแก่พ่อค้าโปรตุเกส แม้ว่าความป่าเถื่อนจะเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อให้ได้ทาสมาเป็นสินค้า แต่ชาวโปรตุเกสก็พบว่าการค้าทาสโดยสันติกับนายหน้าชาวอาหรับ(Arub) เบอร์เบอร์(Berber) และนิโกร (Negro)แห่งดินแดนเร้นลึกเข้าไปจากชายฝั่ง(Hinterland) ให้กำไรมากกว่าการจู่โจมเข้าไปในหมู่บ้านโล่งๆบนชายฝั่งที่ไม่มีการป้องกันตนเอง โรงสินค้าแห่งแรกถูกตั้งขึ้นที่อาร์กีม(Argium) เมื่อค.ศ.1445 การตั้งโรงงานหรือโรงสินค้าเช่นนี้ เป็นแบบฉบับซึ่งชาวอังกฤษ ชาวดัทซ์(Dutch) ชาวฝรั่งเศส(French) ได้นำเอาไปใช้และประยุกต์ใช้ต่อๆกันมา และ ณ ที่อาร์กีมนี้เองที่สินค้าชาวยุโรปจำพวกผ้า(textiles) โลหะภัณฑ์(Hardware) หนังสัตว์(Hides) กระจกเงา(Looking-glass)ฯลฯ ต่างถูกนำมาแลกเปลี่ยนกับทองคำผง(Gold-dust) ทาสผิวดำ(Negro-slave) ครั่ง(Gumlac) ชะมด(Civet) เครื่องเทศ(Malagueta) ชนิดที่เรียกว่า ”Grain of paradise”
by C.R. Boxer (แปลโดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร / ร่างรอขัดเกลาสำนวน พิสูจน์อักษร อ้างอิงและกำกับภาษาต่างประเทศ) ความพ่ายแพ้ของโปรตุเกสและการสิ้นพระชนม์กษัตริย์ดอม เซบัสติอาว( ) ผู้ทรงไร้รัชทายาทจากการสงครามที่อัลคาเซอร์ เคบีร์()ในมอรอคโค เมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ.1578 ทำให้กษัตริย์ฟิลิปที่ 2() แห่งสเปนทรงอ้างสิทธิเป็นกษัตริย์โปรตุเกสเมื่อ ค.ศ.1580 การประกาศอ้างพระราชสิทธิของพระองค์เป็นไปอย่างถูกกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้น การสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์เฮนริก( )ในปีเดียวกันก็ทำให้บัลลังก์ของโปรตุเกสว่างลง และพระบรมราชโองการของกษัตริย์ฟิลิปที่2 แห่งสเปน ยังถูกบังคับใช้ด้วยความช่วยเหลือดุ๊กแห่งอาลวา( ) ผู้ทรงมีประสบการณ์ การประกาศรวมราชอาณาจักรสเปนและโปรตุเกสโดยใช้เงินเม็กซิกันมูลค่ามหาศาลอย่างระมัดระวัง ทำให้กษัตริย์ฟิลิปที่2 ทรงได้รับการยกย่องอย่างสมพระเกียรตเหนือราชอาณาจักรใหม่ของพระองค์ กษัตริย์ฟิลิปที่2ทรงตรัสว่า “ข้าพเจ้ามีกรรมสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์โปรตุเกสทั้งจากการเป็นทายาทและซื้อมาอย่างถูกต้อง( )
(footnote)1.เมื่ออาณาจักรอิสราเอลของชาวยิวตกเป็นชาวแอสซีเรียนในศตวรรษที่แปดก่อนคริสต์กาลและอาณาจักรจูดาห์ของชาวยิว ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอาณาจักรอิสราเอลตกเป็นของชาวแคลเดียนในศตวรรษที่หกก่อนคริสต์กาล ทำให้ชาวยิวถูกกวาดต้อนเข้าไปอยู่ในอาณาจักรบาบิโลนเป็นยุดที่รู้จักกันในพระคัมภีร์เก่าว่า “ The Babyloniarl Captirity” ผู้แปล
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1645 เกอร์ริต เดมเมอร์ ( ) ข้าหลวงแห่งโมลุกกะได้ตั้งข้อสังเกตว่า ภาษาอังกฤษและภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาที่ค่อนข้างง่ายต่อการเรียนรู้ของชาวแอมโบเนส ( ) และเป็นภาษาที่น่าสนใจมากกว่าภาษาดัทช์ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดคือชัยชนะทางภาษาของกามูส์1. ( หมายถึงภาษาโปรตุเกส : ผู้แปล) ซึ่งมีเหนือภาษาของโฟนเดล2. (หมายถึงภาษาดัทช์ : ผู้แปล) ในเมืองปัตตาเวีย “ราชินีแห่งน่านน้ำบูรพา ” ของดัทช์ นอกจากเชลยศึกและนกเดินทางจากกองเรือในบางโอกาสแล้ว โปรตุเกสไม่เคยตั้งถิ่นฐานอยู่ในปัตตาเวียเลย แต่ปรากฏว่าภาษาเครโอลของโปรตุเกสกลับเป็นภาษาพูดของเหล่าทาสและคนรับใช้ในบ้าน ที่ถูกส่งไปจากดินแดนแถบอ่าว เบงกอล เป็นภาษาพูดของชาวดัทช์และหญิงเลือดผสมที่เกิดและเจริญเติบโตในปัตตาเวียและบางครั้งภาษาเครโอลก็เป็นภาษาพูดของชาวโปรตุเกสเองด้วย ใน ค.ศ. 1659 แมตซุกเกอร์ ( ) ข้าหลวงใหญ่และสภาที่ปรึกษา ได้พยายามชี้แจงให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในเนเธอร์แลนด์ได้ทราบถึง ความสูญเปล่าของมาตรการรุนแรงต่อการใช้ภาษาโปรตุเกส โดยแมตซุกเกอร์และคณะได้เสนอว่า :ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาที่ง่ายต่อการพูดและการเรียนรู้ จึงเป็นสาเหตุที่เราไม่สามารถจะป้องกันมิให้ทาสที่นำมาจากอาระกัน ( ) ซึ่งไม่เคยได้ยินภาษาโปรตุเกสมาก่อนแม้แต่คำเดียว (และแม้แต่ลูกหลานของเรา) พูดภาษาโปรตุเกส และนำเอาภาษาโปรตุเกสไปใช้เป็นภาษาของตน แทนที่จะใช้ภาษาอื่น ๆ 3 ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นประการใดที่จำนวนของผู้ซึ่งใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาพูดได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆในสังคมอาณานิคมโปรตุเกส บทบาทของสตรีเป็นสิ่งที่ได้รับการคำนึงถึงมากกว่าที่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ และหากจะกล่าวไปแล้ว ประวัติศาสตร์แทบจะไม่สนใจบทบาทของสตรีเลยก็ว่าได้ ยกเว้นกรณีของพระราชินีและเจ้าหญิงบางคน อย่างไรก็ตามสำหรับในสถานการณ์ที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้นั้น มีสตรีจำนวนไม่มากนักที่ร่วมเดินทางไปเอเชียกับสามีหรือผู้นำครอบครัว แต่ละปีหนึ่ง ๆ ที่แล่นไปสู่อินเดีย จะมีผู้ชายชาวโปรตุเกสเดินทางไปยังเมืองกัว ประมาณ 3,000 – 4,000 คน ในจำนวนนี้มีผู้หญิงโปรตุเกสไม่เกิน 20 – 30 คน และบ่อยครั้งทีเดียวที่ไม่มีผู้หญิงโปรตุเกสร่วมทางไปด้วย ผู้หญิงโปรตุเกสซึ่งเดินทางไปยังอาณานิคมของโปรตุเกสในอาฟริกา ไม่ว่าดินแดนชายฝั่งอาฟริกาตะวันตกหรืออาฟริกาตะวันออก มีจำนวนน้อยกว่าผู้หญิงที่เดินทางไปยังเอเชีย เนื่องจากเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า อาฟริกาเป็นดินแดนซึ่งชาวยุโรปอยู่ได้ไม่นานเท่าใดก็มักจะต้องล้มตายลงเป็นจำนวนมาก กษัตริย์โปรตุเกสทรงต่างจากกษัตริย์สเปนอย่างเด่นชัด พระองค์สนับสนุนให้ผู้หญิงโปรตุเกสออกเดินทางไปยังอาณานิคมของโปรตุเกสในเอเชียและอาฟริกา โดยมีข้อยกเว้นคือ ผู้หญิงเหล่านี้ จะต้องไปในฐานะของ “หญิงกำพร้าแห่งกษัตริย์โปรตุเกส ” ผู้หญิงเหล่านี้เป็นผู้ซึ่งอยู่ในวัยที่สมควรจะครองเรือนได้แล้ว พวกเธอจะถูกส่งไปกรุงลิสบอนเป็นกลุ่ม ๆ มีพระราชทรัพย์ของกษัตริย์โปรตุเกสเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หญิงสาวทุกคนจะนำสินสมรสเดิมหลายอย่างติดตัวไปด้วยตามนโยบายของรัฐบาลโปรตุเกส เพื่อมอบให้แก่ชายหนุ่มที่มีความประสงค์จะแต่งงานกับหญิงสาวคนใดคนหนึ่ง หญิงสาวลูกกำพร้าแห่งกษัตริย์โปรตุเกสมีจำนวนไม่มากนัก มีเรื่องเล่ากันว่า หากพวกเธอไม่ตายตั้งแต่ยังเป็นเด็กก็เสียชีวิตไปตั้งแต่แรกเกิด หญิงสาวบางคนมีคุณสมบัติกุลสตรีเพียบพร้อมแต่ก็มีอายุมากเกินไป หรือ หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่เกินกว่าจะหาสามีได้ ข้าพเจ้าขอเพิ่มเติมรายละเอียดว่า หากหญิงกำพร้าแห่งกษัตริย์โปรตุเกสเดินทางไปถึงเมืองกัวโดยสวัสดิภาพแล้ว พวกเธอไม่จำเป็นจะต้องแต่งงานกับชาวโปรตุเกสก็ได้ หญิงสาวบางคนถูกยกให้แต่งงานกับผู้ลี้ภัย หรือ เจ้าชายชาวเอเชียนผู้ร่ำรวย เช่น กษัตริย์พลัดถิ่นแห่งมัลดีฟส์ ( ) , เจ้าชายผู้ทรงพระเยาว์แห่งมอมบาชา ( ) , เจ้าชายอาหรับผู้ลี้ภัยจากเพ็มบา( ) และบุคคลอื่น ๆ อีกจำนวนมาก กษัตริย์โปรตุเกสทรงมีนโยบายอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้บรรดาสามีหญิงกำพร้าเหล่านี้มีความจงรักภักดีต่อพระองค์ด้วย แต่ “หญิงกำพร้าแห่งกษัตริย์โปรตุเกส ” มีจำนวนน้อยเกินกว่าจะทำให้ประชากรในอาณานิคมของโปรตุเกสแถบอาฟริกาและเอเชียเพิ่มขึ้นมากอย่างเด่นชัดได้ ในขณะที่ผู้ชายชาวโปรตุเกสส่วนใหญ่ มักจะแต่งงานกับหญิงสาวชาวเอเชียหรือยูเรเชียนตั้งแต่หนึ่งครั้งหรือมากกว่าหนึ่งครั้งขึ้นไปอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ กษัตริย์โปรตุเกสทรงมีนโยบายสนับสนุนให้ชาวโปรตุเกสแต่งงานกับชาวพื้นเมือง นโยบายดังกล่าวนี้ อัฟฟองโซ เดอ อัลบูเคอร์ก ( ) ได้นำไปใช้ที่เมืองกัวเมื่อ ค.ศ. 1510 หลังจากที่เขายึดครองเมืองกัวได้ อย่างไรก็ตาม นโยบายสนับสนุนให้ชาวโปรตุเกสแต่งงานกับชนพื้นเมืองนั้น ใช่ว่าจะได้รับการส่งเสริมอย่างสม่ำเสมอเท่าใดนัก อัลบูเคอร์กชี้ว่า ผู้ชายที่แต่งงานมีเหย้าเรือนไปแล้ว จะสร้างสรรค์อาณานิคมได้ดีกว่าหนุ่มโสดเจ้าสำราญ ซึ่งพอใจแต่การใช้ชีวิตอยู่กับบรรดาชู้รักของตนเท่านั้น อัลบูเคอร์รายงานว่า เมื่อเห็นชาวโปรตุเกสและบาทหลวงคณะเจซูอิตในอาณานิคมโปรตุเกสที่บราซิลต่างก็มีสำนึกเช่นเดียวกับชาวโปรตุเกสในอินเดีย บุคคลผู้หนึ่งซึ่งมีชีวิตอยู่ในขณะนั้นได้บันทึกไว้ว่า ผู้ชายชาวโปรตุเกสที่แต่งงานแล้วเพียงคนเดียวมีค่าเท่ากับหนุ่มโสดถึงยี่สิบคนเพราะหนุ่มโสดมักจะคิดถึงแต่การเดินทางผจญภัยต่อไปเรื่อย ๆ หรือมักจะคิดถึงแต่การกลับไปสู่มาตุภูมิอีกครั้งเท่านั้น ในขณะที่ผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วจะต้องขวนขวายมองหาลู่ทางในการทำเกษตรกรรมหรือการสร้างเคหะสถาน อย่างไรก็ตาม การชักชวนให้หนุ่มโสดชาวโปรตุเกสในเอเชีย อาฟริกาและบราซิล รีบแต่งงานมีครอบครัวเร็ว ๆ ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายดายเลยชายหนุ่มโปรตุเกสส่วนใหญ่มักพอใจจะอยู่กินกับหญิงสาวผิวสีจำนวนมากเท่าที่พวกเขาจะมีปัญญาหาได้ โดยไม่ต้องแต่งงานกับพวกเธอคนใดคนหนึ่ง และหนุ่มโสดประเภทนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากในอาณานิคมของโปรตุเกส สิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้ชาวโปรตุเกสเกิดความกระตือรือร้นหรือความอยากได้ใคร่มีในระดับที่แตกต่างกันออกไป คือ การใช้แรงงานทาสอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้การทวีจำนวนของโสเภณีทาสถูกประณามจากบาทหลวงที่มีตำแหน่งสูงโดยปราศจากการตอบสนองอย่างสิ้นเชิงจากสังคม สาเหตุสำคัญที่ทำให้โสเภณีทาสมีจำนวนเพิ่มขึ้น คือ การตายของผู้ชายชาวผิวขาวมีอัตราสูงกว่าการตายของหญิงผิวสี ดังนั้นผู้ตั้งถิ่นฐานชาวโปรตุเกสจึงต้องมีภาระในการรับผิดชอบต่อหญิงหม้ายและเด็กกำพร้าจำนวนมากซึ่งจมอยู่กับความตกต่ำหม่นหมองใจ1.ด้วยเหตุนี้ กฎเกณฑ์ทุกอย่างจึงมีข้อยกเว้นระหว่างหญิงผิวขาวและหญิงเลือดผสมซึ่งกลายเป็นเจ้าของที่ดินหรือ เจ้าของทาสที่ร่ำรวย หรือเป็นทั้งเจ้าของที่ดินและเจ้าของทาสไปพร้อม ๆ กัน หญิงเหล่านี้จะถูกยกขึ้นเป็น “ ......” หรือหญิงผู้ได้รับมรดกแห่งลุ่มแม่น้ำแซมเบเซีย หรือ “ .......” (เลดี้แห่งอีโบ ) แห่งหมู่เกาะเควอริมบา ( ) มรกดที่ได้รับประกอบด้วยการค้าทองคำ งาช้างและทาสในอาฟริกาตะวันออก อย่างไรก็ตาม โดยหลักการแล้วเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า “ หญิงผู้สืบทอดมรดก” ส่วนใหญ่เป็นชาวมูแลตา ( ...... ) และบุตรของพวกเธอมักจะมีผิวสีเหมือนผู้เป็นมารดา ระบบการสืบทอดมรดกดังกล่าวถูกกำหนดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 แต่จากหลักฐานบัญชีของบาทหลวงคณะเจซูอิตชาวโปรตุเกสแห่งแซมเบเซียเมื่อ ค.ศ. 1667 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ขณะนั้นระบบการสืบทอดมรดกถูกริเริ่มขึ้นมาแล้ว2.การแต่งงานกับชาวต่างชาติ ทำให้บุตรของชาวโปรตุเกสที่เกิดจากการอยู่กินโดยมิได้สมรส อาจเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ถูกต้องก็ได้ แต่ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากชาวโปรตุเกส ล้วนมีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์โปรตุเกสและศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกและแม้ว่าโปรตุเกสจะถูกขับออกไปแล้ว แต่เชื้อสายของชาวโปรตุเกสที่ยังคงอาศัยอยู่ในดินแดนต่าง ๆ ก็ยังมีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์โปรตุเกสและศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกอย่างมั่นคงสืบมาเป็นเวลานาน บุคคลเหล่านี้รวมไปถึงหญิงเลือดผสมหรือหญิงพื้นเมืองชาวเอเชีย ชาวอาฟริกันและชายอเมรินเดียน ซึ่งโปรตุเกสได้เข้าไปปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่และเปลี่ยนแปลงแบบแผนประเพณีต่าง ๆ ของพวกเขา อาทิ การดูแลบ้านเรือน การทำอาหารการแต่งกายและโภชนาการ ภายใต้การปกครองของดัทช์นั้น หญิงยูเรเซียน หญิงเลือดผสมหรือแม้แต่นางทาสในมะละกา ปัตตาเวียและศรีลังกา ต่างก็ใช้ภาษาโปรตุเกสในชีวิตประจำวันหญิงชาวโปรตุเกสได้ชื่อว่ามีนิสัยรักความสันโดษที่สุดในยุโรป นักเขียนชาวโปรตุเกสแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 17 บันทึกด้วยความชื่นชมว่า หญิงพรหมจรรย์ชาวโปรตุเกสจะออกจากบ้านเพียงสามกรณีเท่านั้น คือ ออกจากบ้านเพื่อเข้าพิธีตั้งชื่อ ( ) ของตน เพื่อการแต่งงาน ( ) และในงานศพของตน ( ) เมื่อตายแล้ว ค่านิยมดังกล่าวของผู้หญิงชาวโปรตุเกสคล้ายกับคติของผู้หญิงญี่ปุ่น คือ ผู้หญิงมีนายเหนือหัวสามคนที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต กล่าวคือ ขณะเป็นเด็กผู้หญิงมีบิดาเป็นนาย เมื่อแต่งงานมีสามีเป็นนาย และเมื่อตกพุ่มหม้ายผู้หญิงก็ได้บุตรชายมาเป็นนาย นิสัยรักสันโดดของผู้หญิงชาวโปรตุเกสจะได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้ปกครองชาวมัวร์หรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่มีส่วนทำให้หญิงสาวชาวโปรตุเกสและผู้หญิงส่วนใหญ่ในตะวันออก เคยชินต่อการใช้ชีวิตอย่างสันโดษ คือ ฮาเร็ม ( สถานที่ซึ่งอนุภรรยาหรือ นางบำเรอของขุนนางชาวมัวร์อาศัยอยู่ : ผู้แปล) กับ เซนานา ( บริเวณส่วนหนึ่งของบ้านซึ่งสตรีวรรณะสูงของชาวอินเดียอาศัยอยู่โดยไม่ปะปนกับผู้อื่น) ชาวดัทช์แสดงความรู้สึกต่อค่านิยมดังกล่าวด้วยความขบขัน และแสดงความรังเกียจค่านิยมข้างต้นระหว่างการยึดครองภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล แต่ในทางตรงกันข้าม ความมีอิสระซึ่งชาวดัทช์มอบให้แก่บุตรสาวและภรรยาของตนในขณะนั้น กลับเป็นสิ่งที่ผู้ชายชาวลูโซบราซิลเลียนตำหนิติเตียน บาทหลวงมานูเอล กาลาโด ( ) ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในเปอร์นัมบูโก ได้บันทึกไว้ในหนังสือชื่อ “......... ” ว่าระหว่างปี ค.ศ. 1630 – 1647 ไม่มีชายหนุ่มโปรตุเกสคนใดแต่งงานกับหญิงสาวชาวดัทช์ หรือ แม้แต่เป็นชู้รักกับหญิงสาวชาวดัทช์เลย ขณะที่หนุ่มดัทช์จำนวนมากกลับแต่งงานกับหญิงสาวชาวลูโซบราซิลเลียน และภายหลังชาวดัทช์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะยอมรับนับถือประเทศและศาสนาของทางฝ่ายภรรยาไปด้วย ในทำนองเดียวกัน การแต่งงานแบบผสมผสานที่มีขึ้นในตะวันออก ทำให้รัฐบาลดัทช์จับตาดูด้วยความไม่ไว้วางใจ เนื่องจากบรรดาลูก ๆ และสามีชาวดัทช์ของหญิงสาวชาวลูโซ – บราซิลเลียนเหล่านั้น จะต้องพลอยนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกไปด้วย โจฮัน แมตซุกเกอร์ ( ) ข้าหลวงใหญ่แห่งปัตตาเวีย ระหว่าง ค.ศ. 1653 – 1678) ผู้ซึ่งสังเกตเห็นอันตรายในรูปแบบดังกล่าว และเป็นผู้ที่ให้ความสนใจต่อปัญหาแนวโน้มของผู้ชายดัทช์ในการแต่งงานกับหญิงโปรตุเกส แมตซูกเกอร์เป็นผู้ที่ชื่นชมในความรักสันโดษของผู้หญิงโปรตุเกส เขาได้เสนอให้ชาวดัทช์ยึดถือความสันโดษเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิต เขาแนะนำว่า ผู้หญิงชาวยูเรเซียนทั้งหมดที่แต่งงานกับชาวดัทช์ควรจะเก็บตัวอยู่แต่ภายในบ้านของตน โดยที่เขาเองก็มิได้อธิบายว่า เหตุใดจึงต้องปฏิบัติเช่นนั้น1.สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้อิทธิพลของโปรตุเกสมีความสืบเนื่องในเวลาต่อมา แม้แต่ในดินแดนต่าง ๆ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของดัทช์นานหลายศตวรรษ สิ่งนั้นคือองค์ประกอบทางศาสนา แม้บางครั้งการเผยแพร่ศาสนาของโปรตุเกสจะใช้วิธีการขู่เข็ญบังคับ มากกว่าการโฆษณาชวนเชื่ออย่างสันติ และแม้ว่าโปรตุเกสจะไม่ประสบความสำเร็จในการเผยแพร่ศาสนา เนื่องจากอิทธิพลของศาสนาอิสลาม และโปรตุเกสสร้างความประทับใจได้เพียงเล็กน้อยในการติดต่อกับอินเดียและจีน แต่เมื่อโปรตุเกสได้ปลูกฝังศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกลงไปแล้วความเชื่อทางศาสนาดังกล่าวมักจะหยั่งรากลงไปได้อย่างล้ำลึกเสมอ อิทธิพลของโปรตุเกสในอาณานิคมของดัทช์แถบเอเชียซึ่งเคยเป็นของโปรตุเกสมาก่อน ทำให้ดัทช์ต้องใช้ความพยายามในการกำจัดให้หมดไปจากอาณานิคมของดัทช์ในเอเชีย แต่ความพยายามดังกล่าวก็ไม่ใคร่จะได้ผลนักยกเว้นที่แอมบัวนา ( ) เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ความพยายามในการกำจัดอิทธิพลของโปรตุเกสในเอเชียถูกผลักดันออกมาดำเนินการเป็นครั้งคราวคิดเป็นเวลาร่วม 150 ปี แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น พวกคาลวินิสต์กลุ่มพริดิแคนต์ ( ) แต่ในช่วงนั้น หากคาลวินิสต์กลุ่มพริดิแคนต์ ( ) ไม่เคยได้รับความสำเร็จในการเผยแพร่ศาสนาในระดับที่เท่าเทียมกับการเผยแพร่ศาสนาของบาทหลวงนิกายโรมันคาธอลิกเลย เมื่อใดก็ตามที่ชุมชนของชาวยูเรเซียนในปัตตาเวีย มะละกาโคโรมันเดล ( ) ศรีลังกาและมะละบาร์มีโอกาส พวกเขาก็มักจะเสี่ยงอันตรายด้วยการออกไปให้พ้นจากสายตาของนักเทศน์แห่งนิกายโปรเตสแตนท์ ( ) เพื่อประกอบพิธีมิสซา ( ) หรือนำเด็กเขาพิธีรับศีลล้างบาป ( ) หรือประกอบพิธีรับศีลสมรส ( ) โดยมีบาทหลวงแห่งนิกายโรมันคาธอลิกที่ปลอมตัว จาริกเข้าไปเป็นผู้ประกอบพิธีให้1. พวกคาลวินิสต์ซึ่งแปลงศาสนามาจากนิกายโรมันคาธอลิกโดยการกระทำของดัทช์ แทบจะไม่ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรมให้หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันเลย ในขณะที่ชุมชนคาธอลิกซึ่งก่อตัวขึ้นจากการปลูกฝังของโปรตุเกส ยังคงปรากฏร่องรอยให้เห็นอย่างชัดเจนในดินแดนหลายแห่งข้าพเจ้าได้กล่าวไปในตอนต้นแล้วว่า จักรวรรดิอาณานิคมโปรตุเกส ( ) เป็นองค์การทางเศรษฐกิจและองค์การที่ตั้งอยู่บนดินแดนริมทะเล ( ) ซึ่งก่อตัวขึ้นจาก พื้นฐานทางการทหารและทางด้านศาสนา โดยมีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวพันกันเป็นลูกโซ่อย่างไม่จบสิ้นและบ่อยครั้งทีเดียวที่องค์ประกอบเหล่านี้มีความขัดแย้งกัน เช่น ไม้กางเขนกับดาบ พระเจ้ากับทรัพย์ศฤงคาร และการเผยแพร่ศาสนากับเครื่องเทศ (ที่บราซิลคือการเผยแพร่ศาสนากับน้ำตาล) ดิโอโก โด กูโต ( ) นายทหารนักบันทึกจดหมายเหตุชาวโปรตุเกสผู้เคยใช้ชีวิตในอินเดีย ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ข้างต้นเมื่อ ค.ศ. 1612 ว่า :เหนือดินแดนอาณานิคมของโปรตุเกสในย่านตะวันออก กษัตริย์โปรตุเกสมักใช้ความพยายาม ในการรวมอำนาจทางศาสนจักรและอำนาจทางอาณาจักรเข้าด้วยกันเสมอและในทางปฏิบัตินั้น อำนาจทั้งสองขั้วไม่เคยถูกแยกออกจากกันเลยนโยบายในการรวมอำนาจทางศาสนาจักรและอาณาจักร ( ) แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดในทางปฏิบัติ เช่น กษัตริย์โปรตุเกสทรงให้ความอุปถัมภ์แก่ศาสนจักร ( หรือ ) อย่างยาวนานและรุนแรง ในการต่อสู้กับพวกมุสลิม พวกนอกศาสนา ( ) และพวก อนารยชน ( ) อื่น ๆ รวมทั้งทรงสนับสนุนการต่อสู้กับมิสชันนารีของนิกายโรมันคาธอลิกชาติอื่นที่เป็นศัตรูกับโปรตุเกสด้วยความอุปภัมภ์ทางศาสนา ในการก่อตั้งมิสซังคาธอลิกและศาลทางศาสนา ( ) ของโปรตุเกสในดินแดนส่วนใหญ่ของอาฟริกา เอเชียและบราซิลนั้น ถูกกำหนดให้รวมอยู่ภายใต้สิทธิและอำนาจของกษัตริย์โปรตุเกสที่ทรงปฏิบัติสืบทอดกันมา ในความเป็นจริงแล้วการให้ความอุปถัมภ์ทางศาสนาในดินแดนที่ไม่ใช่ยุโรปโดยกษัตริย์โปรตุเกส จะมีขึ้นเมื่อได้รับสิทธิพิเศษจากพระสันตปาปาแล้วเท่านั้น เช่นเดียวกับการให้ความอุปถัมภ์ทางศาสนาของกษัตริย์แห่งสเปน ( ) ในดินแดนแถบสแปนิชอเมริกา ( ) และฟิลิปปินส์นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ( ) นั้น ปัญหาทางการเมือง การต่อตัวของนิกายโปรตุเสตแตนท์และปัญหาอิตาลีถูกเตอรกีรุกราน ทำให้พระสันตปาปาไมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ศาสนา ในดินแดนที่โปรตุเกสกับสเปนเป็นผู้ค้นพบ พระสันตปาปาจึงมิได้ทรงตระหนักถึงภยันตรายอันเกิดขึ้นจากการอนุญาตให้กษัตริย์โปรตุเกสและกษัตริย์สเปน ( ) ดำเนินการอุดหนุนทุนทรัพย์ในการตั้งโรงสวด ( ) ทะนุบำรุงการปกครองคณะสงฆ์ และส่งบาทหลวงไปเผยแพร่ศาสนาแก่อนารยชนได้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่พระสันตปาปาจะทรงได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น ในการแต่งตั้งบิชอป ไปแทนตำแหน่งที่ว่างในแขวงการปกครอง ( ) ของบิชอปทุกแห่ง รวมทั้งการที่พระสันตปาปาจะทรงได้รับสิทธิพิเศษในการเก็บอากรแบบหนึ่งซักสิบ ( ) และสามารถดำเนินการจัดเก็บภาษีศาสนา ( ) ได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย สำหรับในกรณีของโปรตุเกสนั้น กษัตริย์โปรตุเกสทรงได้รับสิทธิพิเศษทางศาสนาดังกล่าวข้างต้นในฐานะผู้บริหาร ผู้ปกครองและประมุขแห่งคริสจักร ( ) ของโปรตุเกส มิใช่ทรงได้รับในฐานะของกษัตริย์โปรตุเกส ลักษณะที่กษัตริย์โปรตุเกสทรงเป็นประมุขแห่งศาสนจักรโปรตุเกสเช่นนี้ เป็นคณะสงฆ์แบบลัทธิทหาร ( ) ซึ่งกษัตริย์ดอม ดินิส ( ) ทรงก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1319 แทนคณะสงฆ์แห่งเทมปลารส์ ( ) ที่ถูกกำจัดไปก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ต่อมาใน ค.ศ. 1551 เมื่อกษัตริย์โปรตุเกสทรงรวมคณะสงฆ์แบบลัทธิทหารไว้ภายใต้อำนาจแล้ว กษัตริย์โปรตุเกสทรงมอบอำนาจบังคับบัญชาสูงสุดของมิสซังคาธอลิกในอาณานิคมทุกแห่ง ให้แก่พระสันตปาปาแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 161.เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในคริสต์วรรษที่ 17 เปลี่ยนแปลงไป พระสันตปาปาทรงพบว่า สิทธิพิเศษอันไร้ขอบเขตซึ่งกษัตริย์โปรตุเกสและกษัตริย์สเปนทรงได้รับจากพระสันตปาปาเมื่อสองร้อยปีที่แล้วนั้น ได้บานปลายออกไปเป็นสิทธิในการอุปภัมภ์ศาสนาของกษัตริย์ ที่ก่อให้เกิดความยุ่งยากและก่อให้เกิดการบ่อนทำลายอำนาจของพระสันตปาปาเป็นอย่างยิ่ง พระสันตปาปาแทบจะไม่มีอำนาจเหมือนอาณานิคมของสเปนในอเมริกาเลย และสิทธิของกษัตริย์สเปนในการอุปถัมภ์ศาสนายังคงอยู่อย่างสมบูรณ์ จนกระทั่งอาณานิคมของสเปนในอเมริกาประกาศเอกราชในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่สำหรับโปรตุเกสนั้น เมื่อถูกดัทช์และอังกฤษทำลายอำนาจที่มีอยู่เหนือน่านน้ำในแถบเอเชียและอาฟริกาได้สำเร็จ ก็มีสถานภาพทางการเมืองอ่อนแอกว่าสเปนมาก พระสันตปาปาจึงสามารถลดเงื่อนไขและยกเลิกสิทธิพิเศษในการอุปถัมภ์ศาสนาของกษัตริย์โปรตุเกสในเอเชียและอาฟริกาได้ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 17 – 18 การเพิ่มอำนาจของพระสันตะปาปาในระยะแรก ดำเนินการโดยสภาพระราชาคณะแห่งกระทรวงเผยแพร่ศาสนา ( ) ซึ่งตั้งขึ้นที่กรุงโรมเมื่อ ค.ศ. 1622 ระยะต่อมาดำเนินการโดยได้รับความช่วยเหลือจากคณะสงฆ์แห่งฝรั่งเศสและมิสซังคาธอลิกอิตาเลียนแห่งเอเชียและอาฟริกา ส่วนในบราซิลนั้น อำนาจของโปรตุเกสมีความมั่นคงพอ ๆ กับอำนาจของสเปนในละตินอเมริกา ทำให้พระสันตปาปาจำต้องยอมรับสิทธิพิเศษในการอุปภัมภ์ทางศาสนา ( ) ของกษัตริย์โปรตุเกสจนกระทั่งบราซิลได้รับเอกราชไปในที่สุด พระสันตปาปาหลายต่อหลายพระองค์ต่างก็ไม่ทรงพอพระทัยต่อการที่โปรตุเกสได้รับสิทธิพิเศษในการอุปถัมภ์ทางศาสนา แต่กษัตริย์โปรตุเกสก็ได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ เพื่อพิทักษ์สิทธิอันชอบธรรมแห่ง ( ) ที่ทรงได้รับสืบทอดมานานกว่าสามร้อยปี การป้องกันสิทธิดังกล่าวของโปรตุเกส ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ขึ้นในอินเดีย อินโดจีน จีนและดินแดนอื่น ๆ อีกหลายแห่ง ซึ่งไม่อาจนำมาอธิบายโดยสังเขปที่นี้ได้ แต่อาจจะกล่าวได้ว่า สิทธิพิเศษของกษัตริย์โปรตุเกสในการอุปถัมภ์ทางศาสนาที่อินเดีย (ในพื้นที่นอกเขตอาณานิคมของโปรตุเกส) เพิ่งจะยกเลิกไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง หลังจากถูกกดดันทางการทูตจากรัฐบาลนายเนห์รู ( )1.คณะเจซูอิต คือสถาบันทางศาสนาที่เป็นหัวหอกในการเผยแพร่ศาสนา และได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์โปรตุเกสเป็นอันดับแรก คณะเจซูอิต ( )ได้ดำเนินการเผยแพร่ศาสนาในอาณานิคมของโปรตุเกสหลังจากการประกาศตั้งคณะเมื่อ ค.ศ. 1540 ได้ไม่นานนัก ต่อมาการดำเนินการดังกล่าวของคณะเจซูอิตได้ถูกยับยั้งลงเมื่อ ค.ศ. 1760 โดยคำสั่งของปอมบาล ( ) ในช่วงเวลาเกือบสองร้อยปี (หลัง ค.ศ. 1540 – 1760 : ผู้แปล) นี้ บาทหลวงคณะเจซูอิตได้ชื่อว่าเป็นแนวหน้าในการเผยแพร่ศาสนาตั้งแต่บราซิลจนถึงญี่ปุ่น ที่มีความเสียสละยิ่งกว่าบาทหลวงคณะอื่น ๆ คณะเจซูอิตได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ให้การศึกษาแก่เยาวชนในอาณานิคมของโปรตุเกสที่ดีที่สุดและสถานศึกษาของคณะเจซูอิตได้กลายเป็นศูนย์สำคัญทางวัฒนธรรม ของดินแดนต่าง ๆ ที่ใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาพูด บาทหลวงคณะเจซูอิตเป็นทั้งครูและผู้เผยแพร่ศาสนาที่มีมาตรฐานทางความรู้ สูงกว่าบาทหลวงคณะเมนดิเกนต์ ( หรือที่เรียกกันว่าคณะโดมินิกัน ) คณะฟรานซิสกัน ( ) คณะออกุสติเนียน ( ) และคณะคาร์เมลิตส์ ( ) ซึ่งล้วนแต่มีมิตรภาพอันดีต่อกันทั้งสิ้น ยิ่งบาทหลวงคณะเจซูอิตเป็นครูที่ดีที่สุด และได้รับความเคารพจากชนชั้นผู้ดีชาวโปรตุเกส ( ) ในแผ่นดินแม่มากที่สุดเพียงใด และยิ่งได้รับเกียรติเป็นผู้ฟังการสารภาพบาปของกษัตริย์โปรตุเกสบ่อยครั้งเท่าใด บารมี อำนาจ และอิทธิพลของบาทหลวงคณะเจซูอิตก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปด้วย “ ผู้สำเร็จราชการเดินทางมาปกครองแล้วก็กลับไป แต่บาทหลวงคณะเจซูอิตยังคงอยู่กับเรา” ความรู้สึกดังกล่าวคือสิ่งที่พลเมืองชาวกัว ( ) แสดงออกมาอย่างลึกซึ้งต่อบาทหลวงคณะเจซูอิตบาทหลวงคณะเจซูอิตจำเป็นต้องรับจ้างเป็นผู้คำนวณรายรับ – รายจ่ายทางการค้า เพื่อให้การเผยแพร่ศาสนาดำเนินต่อไปได้ เช่นเดียวกับบรรดานักบวช ( )และบาทหลวง ( ) คณะอื่น ๆ ที่ทำงานอยู่ในอาฟริกาตะวันออก อันเป็นดินแดนซึ่งบาทหลวงคณะต่าง ๆ ได้รับค่าตอบแทนในการดำรงชีพเป็นสินค้าและเครื่องใช้ อาทิผ้าฝ้ายและสิ่งของที่ไม่ใช่เงินตรา นอกจากนี้คณะเจซูอิตยังเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ในดินแดนหลายแห่ง เช่น ไร่น้ำตาลและทุ่งปศุสัตว์ในบราซิลแหล่งเพาะปลูกในอังโกลา และหมู่บ้านสวนปาล์มในอินเดีย ความมั่งคั่งที่คณะเจซูอิตได้รับจากการเป็นเจ้าของที่ดิน และการเป็นเจ้าของผลประโยชน์ในวงการค้าหลาย ๆ แห่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้คณะเจซูอิตถูกตำหนิติเตียนอย่างมุ่งร้ายและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยบางโอกาสและบางสถานที่ก็มีการขุดคุ้ยหามูลฝอยมาสนับสนุนได้อย่างน่าเชื่อถือ ดังเช่น ระหว่าง ค.ศ. 1659 – ค.ศ. 1662 มีการกล่าวหาบาทหลวงคณะเจซูอิตในอังโกลา ซึ่งแม้แต่บาทหลวงคณะอื่น ๆ ในอังโกลาก็ไม่อาจรอดพ้นจากการถูกกล่าวหา ด้วยข้อหาคล้าย ๆ กันได้ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 18 บาทหลวงคณะโดมินิกันแห่งแซมเบเซียก็ถูกกล่าวหาด้วยเช่นกัน แต่ผู้ที่กล่าวถึงเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องที่สุด คือชาวโปรเตสแตนท์ชื่อ ปีเตอร์ มุนดี ( ) หลังจากที่ได้เฝ้าดูบทบาทของบาทหลวงคณะเจซูอิต ในการเผยแพร่ศาสนาและทำงานทางด้านการศึกษาในเอเชีย ปีเตอร์ มุนดี ( ) ได้ประกาศเมื่อ ค.ศ. 1638 ว่า “หากจะกล่าวตามข้อเท็จจริงแล้วละก็บาทหลวงคณะเจซูอิตเป็นผู้ที่ประหยัดทั้งเงินทุนและแรงงาน ขยันหมั่นเพียรแต่ไม่หักโหม เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ของการทำงาน” เพื่อการสรรเสริญพระบารมีของพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่ง คือ บาทหลวงแห่งคณะเจซูอิตไม่เพียงแต่จะสามารถทำงานได้ดีเท่านั้น หากแต่ยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย1.สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่ง เกี่ยวกับการทำงานของบาทหลวงคณะเจซูอิตที่ทำให้ถูกต่อต้านอย่างรุนแรง คือการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของชาวอเมรินเดียนในบราซิล คณะเจซูอิตเป็นนักบวชคณะเดียวในบราซิลที่สนับสนุนให้ชาวอเมริเดียนต่อต้านชาวผิวขาว ซึ่งพยายามแสวงหาผลประโยชน์จากชาวอเมริเดียน และต้องการจับชาวอเมรินเดียนไปเป็นทาส ยกเว้นในบางโอกาสและสถานที่จึงจะมีบาทหลวงคณะคาปูชิน ( ) ร่วมยืนหยัดในอุดมคติเดียวกัน บาทหลวงผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของคณะเจซูอิต ชื่อบาทหลวงอันโตนิโย วิเยียรา ( ) ผู้มีชีวิตอย่างสมบุกสมบันในคริสต์วรรษที่ 17 ได้บันทึกไว้ว่า ความผิดของชาวโปรตุเกสที่กระทำต่อชาวอเมริเดียน เป็นผลให้ชาวอเมริเดียนมากกว่าสองล้านคน ในแถบลุ่มแม่น้ำอเมซอนเพียงแห่งเดียวต้องเสียชีวิตไปในช่วงเวลาสี่สิบปีแห่งการยึดครองของโปรตุเกส เรื่องราวที่บาทหลวง อันโตนิโย วิเยียราบันทึกไว้ มีลักษณะคล้ายกับเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของบาทหลวง บาร์โธเลเม เดอ ลาส์ คาซัส ( ) ชาวสเปนแห่งคณะโดมินิกัน เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างจากงานเขียนของบาทหลวง เดอ ลาส์ คาซัส คือ บาทหลวงวิเยียราและบาทหลวงชาวโปรตุเกสคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่มักจะมองข้ามความผิดอันเกิดจากการจับชาวนิโกรไปเป็นทาส ในขณะที่มองว่าการจับชาวอเมรินเดียนไปเป็นทางเป็นสิ่งที่จะต้องต่อต้าน แต่กระนั้นบาทหลวงเหล่านี้ก็ได้คัดค้านอย่างตรงไปตรงมาต่อการกระทำอันโหดร้ายทารุณ ที่ชาวอาฟริกันได้รับจากการถูกบังคับให้ทำงานในไร่น้ำตาลที่บราซิล อันเป็นดินแดนซึ่งทางแต่ละคนจะมีชีวิตรอดอยู่ได้โดยเฉลี่ยคนละ 3 ปี เท่านั้นกษัตริย์โปรตุเกสทรงพิจารณาปัญหาความขัดแย้งเรื่องอิสรภาพของชาวอเมริเดียน ระหว่างบาทหลวงคณะเจซูอิตกับชาวผิวขาวที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณานิคมอย่างค่อนข้างลังเลพระทัย แม้ว่าในสภาวะเช่นนั้นกษัตริย์โปรตุเกสจะทรงเข้าข้างบาทหลวงคณะเจซูอิตก็ตาม กฎหมายซึ่งถูกร่างขึ้นมาอย่างต่อเนื่องที่กรุงลิสบอน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมรินเดียน มีลักษณะที่ค่อนข้างจะประนีประนอม ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความไม่พอใจและเกิดความขัดแย้งกันในระหว่างการพิจารณา แต่ท่าทีของคณะเจซูอิต โดยเฉพาะอิทธิพลของบาทหลวงอันโตนิโย วิเยียรา ผู้เคยเป็นที่ปรึกษาระดับสูงของกษัตริย์โปรตุเกส ได้ช่วยให้บรรดาบาทหลวงของชาวอินเดียนแห่งบราซิล ( ) ในอาณานิคมของสเปนแถบอเมริกา ( ) รอดพ้นจากความเดือนร้อนได้บ้าง ข้อกล่าวหาของคณะเจซูอิตต่อการแสดงความโหดร้ายทารุณกับทาสชาวอาฟริกัน ปรากฏให้เห็นจากงานเขียนสองชิ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 จากการตีพิมพ์ของบาทหลวงคณะเจซูอิต งานทั้งสองเล่มประกอบด้วยเรื่องราวของทาสชาวนิโกรทั้งหมด1. คำกล่าวหาของคณะเจซูอิตซึ่งเข้าข้างชนชาติที่ถูกกดขี่นี้ ไม่มีผลโน้มน้าวจิตใจได้ดีเท่ากับงานเขียนของบาทหลวงคณะเจซูอิตชาวสแปนิช – อเมริกันชื่อ บาทหลวงอลองโซ เดอ ซัลโดวาล ( ) งานเขียนของเขา “......... ” ตีพิมพ์ที่เซวิลล์ ( ) เมื่อ ค.ศ. 1627 คาดหมายเหตุการณ์ล่วงหน้าหลายเรื่องเกี่ยวกับการโต้แย้งของพวกที่นิยมการเลิกทาสชาวแองโกลแซกซอน ( )ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งความล่อแหลมในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ หลายอย่างที่มีฐานะของจักรวรรดิโปรตุเกส ปัจจัยสำคัญที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ คือความเสื่อมโทรมและการลดจำนวนอาณานิคมโปรตุเกสในตะวันออก การเพิ่มความสำคัญของบราซิลและอังโกลา ความสูญเสียจากการปราชัยซึ่งโปรตุเกสได้รับ ระหว่างการรบกับดัทช์ในเอเชียนานถึงหกสิบปี เป็นสิ่งที่เร่งเร้าให้ศัตรูของโปรตุเกสชาติอื่น ๆ โจมตีอาณานิคมที่กำลังอ่อนแอของโปรตุเกสในแถบตะวันออก เมื่อสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 17 ชาวอาหรับแห่งโอมาน ( ) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาอำนาจทางทะเลขึ้นมา จึงไม่เพียงแต่จะรบกวนโปรตุเกสในอ่าวเปอร์เซียและดินแดนชายฝั่งทะเลทางทิศตะวันตกของอินเดียเท่านั้น หากแต่ยังช่วงชิงเอามอมบาซา ( ) ไปจากโปรตุเกส และคุกคามโมแซมบิกของโปรตุเกสอีกด้วย ความพยายามของโปรตุเกสในการปราบปรามการลุกฮือของชาวโอมานี ( ) ต้องประสบกับอุปสรรคจากการขยายอำนาจของแคว้นมาระตะ ( ) ในอินเดีย ซึ่งขยายตัวเข้ามาใกล้เมืองกัวมากจนทำให้โปรตุเกสวิตกกังวล สงครามอันยาวนานและผลพวงจากความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจ เป็นเครื่องแสดงว่า มิได้เหนี่ยวรั้งความดึงดูดใจของโปรตุเกสอีกต่อไป ดังเช่นเมื่อครั้งหนึ่งนั้น เคยมีความสำคัญเทียบเท่ากับกรุงลิสบอนเลยทีเดียวต้นปี ค.ศ. 1645 ชาวโปรตุเกสผู้หนึ่ง ซึ่งรู้จักบราซิลอย่างดีได้บันทึกไว้ว่า ไม่มีภูมิภาคใดในโปรตุเกส ( ) ที่อุดมสมบูรณ์ อยู่ใกล้อำนาจทางการเมือง มีทาสดีและมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยยิ่งกว่าบราซิล ชาวโปรตุเกสที่ตกทุกข์ได้ยากในมาตุภูมิ จึงควรจะเดินทางไปยังบราซิล 1.ข้อความในบันทึกข้างต้นเขียนขึ้นก่อนที่ดินแดนเกือบครึ่งหนึ่งของบราซิล จะตกอยู่ภายใต้การยึดครองของดัทช์ อีกสิบปีต่อมาหลังจากการขับไล่ผู้รุกรานนอกรีต (ชาวดัทช์ : ผู้แปล) และ หลังจากการฟื้นตัวของตลาดน้ำตาลแล้ว การอพยพออกจากโปรตุเกสยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ครั้นในช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1680 ปรากฏว่ามีชาวโปรตุเกสอพยพออกจากมาตุภูมิไปยังบราซิลประมาณ 2,000 คน ผู้อพยพส่วนใหญ่เดินทางไปบราซิลด้วยความสมัครใจ ตรงกันข้ามกับกองเรือโปรตุเกสที่เดินทางไปยังอินเดียในช่วงนั้น ซึ่งบรรทุกแต่พวกที่ถูกเนรเทศ ( ) นักโทษ ( ) และคนเดนคุก ( ) ที่ถูกเกณฑ์เป็นทหาร ดังนั้นในแต่ละปีจึงไม่บ่อยนักที่จะมีผู้เดินทางไปยังอินเดียเกินกว่า 1,000 คน ผู้หญิงผิวขาวที่อพยพไปยังบราซิลมีจำนวนไม่มากนัก แต่การเดินทางช่วงสั้น ๆ และง่าย ๆ เช่นนี้ ทำให้จำนวนของผู้หญิงที่เดินทางไปบราซิลมีมากกว่าผู้หญิงที่ลงเรือเดินทางไปยังอินเดีย ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางที่ยาวนานและเต็มไปด้วยภยันตรายเป็นอย่างยิ่งกษัตริย์ฟรังซัวร์ที่ 1 ( ) แห่งฝรั่งเศส ได้ทรงขนามพระนามแห่งกษัตริย์มานูเอลที่ 1 ( ) อย่างดูถูกเหยียดหยามว่า “ .........หรือ (กษัตริย์ผู้ค้าของชำ อีกหนึ่งร้อยห้าสิบปีต่อมาพระนามนี้ก็ไม่อาจนำมาใช้ได้อีกต่อไปกับกษัตริย์ดอม โจอาวที่ 4 ( ) ผู้ทรงได้รับพระนามว่า “ .......” กษัตริย์ดอม โจอาวที่ 4 ยังทรงตั้งชื่อให้แก่บราซิลด้วยพระองค์เองว่า บราซิลคือ “ ........หรือ (วัวนม) ส่วนพระองค์ บราซิลเป็นแหล่งน้ำตาล ยาสูบ ไม้ฝาง ( )1. และผลิตผลอื่น ๆ จากพืชเมืองร้อน ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้โปรตุเกสสามารถสนับสนุนกองทัพในการป้องกันชายแดนให้พ้นจากการรุกรานของสเปน และเป็นปัจจัยที่ทำให้โปรตุเกสได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศสและอังกฤษ |