ประเด็นสำคัญ
ประเทศไทยมีนโยบายที่ชัดเจนทั้งในรัฐบาลที่ผ่านมาและปัจจุบันในการใช้การเจรจาการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) กับประเทศต่างๆ เป็นยุทธศาสตร์ในการสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในระดับทวิภาคี และระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายเพื่อการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพิ่มโอกาสในการส่งออก และสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานของประเทศ โดยใช้หลักการเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีศุลกากรและลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี กระบวนการสร้างความโปร่งใสโดยใช้หลักธรรมาภิบาลเป็นสิ่งที่สำคัญในการดำเนินนโยบาย FTA ให้เป็นที่ยอมรับจากสังคม ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ กล่าวคือ รัฐบาลจะต้องสร้างความโปร่งใสในกระบวนการเจรจาตั้งแต่ขั้นตอนการริเริ่ม การเจรจา และการลงนาม โดยเปิดเผยข้อมูลและรายละเอียดที่จำเป็นให้แก่ประชาชนได้รับทราบทั้งด้านบวกและด้านลบของข้อตกลง รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น การทำความตกลงการค้าเสรีที่เน้นแต่ผลทางด้านการค้าและเศรษฐกิจเป็นสำคัญนั้น แม้จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่ปริมาณการปลดปล่อยมลพิษต่างๆ อาจส่งผลเสียหายสะสมต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในระยะยาว การประเมินผลกระทบของความตกลงจึงควรพิจารณาให้รอบคอบ ครอบคลุมในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน โครงการวิจัยเรื่อง การศึกษาทางกฎหมาย และการพัฒนาเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น โดยคำนึงถึงต้นทุนสิ่งแวดล้อม : กรณีศึกษาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษากรอบกฎหมายและพัฒนาเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคมและด้านสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมุ่งศึกษาอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิกส์ และใช้สาขาการผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นกรณีศึกษา เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมส่งออกที่สำคัญของไทย และเชื่อมโยงกับการจัดทำความตกลงที่มีญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญ
ประเทศไทยเจรจาและทำข้อตกลงการค้าเสรีกับหลายๆ ประเทศในคราวเดียวกัน โดยเน้นการเจรจาด้านการลดภาษี เนื่องจากคาดหวังผลกระทบทางบวกต่อเศรษฐกิจและการเมืองในการรักษาประเทศคู่ค้าและมุ่งหวังการเปิดตลาดส่งออกใหม่ๆ ประกอบกับเล็งเห็นประเทศคู่แข่งอย่างสิงคโปร์ได้ดำเนินการสำเร็จไปก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม กระบวนการเจรจาที่เร่งรัดนี้ ส่งผลให้ขาดการจัดลำดับความสำคัญของคู่เจรจา รวมทั้งขาดการศึกษาวิจัยอย่างครบถ้วนในมิติด้านสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้น ศักยภาพและประสบการณ์ของกำลังคนในการเจรจาระหว่างประเทศที่มีจำกัดอาจส่งผลให้เสียเปรียบประเทศคู่เจรจาที่มีกลไกการเจรจาที่ชัดเจน มีองค์กร ภาคประชาชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมรับรู้เนื้อหาสาระ โดยหลักการแล้ว อำนาจต่อรองในการเจรจาเป็นสิ่งสำคัญ รัฐบาลและทีมเจรจาจะต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประเทศ รวมทั้งจุดอ่อนจุดแข็งของประเทศอย่างสมบูรณ์ นอกจากนั้นจะต้องรู้ข้อมูลสถานภาพของประเทศคู่เจรจาเป็นอย่างดีด้วย หลักการ FTA ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าประเทศจะได้รับประโยชน์เสมอไปจากการลงนามข้อตกลง โดยทั่วไปประเทศมักเริ่มต้นการเจรจาในประเด็นที่ตกลงกันได้ง่ายก่อน กล่าวคือ ไม่ขัดผลประโยชน์ซึ่งกันและกันหรือมีแรงกดดันจากกลุ่มการเมืองและประชาชนส่วนใหญ่ หลังจากนั้นจึงจะเจรจาในประเด็นที่ต่างฝ่ายต่างต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ซึ่งในกรณีของทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา ข้อบทที่มักเป็นประเด็นหลัก คือ การค้าสินค้าเกษตร สำหรับกระบวนการเจรจาของประเทศไทย เป็นลักษณะ Top-down ของผู้บริหารประเทศ ทั้งในประเด็นการเลือกประเทศเจรจา จุดยืนในการเจรจาว่าคนกลุ่มใดควรได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ ไม่มีหลักการนำร่างความตกลงมาเปิดเผย หรือมีกติกาการเปิดเวทีแสดงความเห็นและการสรุปผลกระทบ รวมทั้งเปิดเผยแนวทางการดำเนินการเจรจาที่ชัดเจน ส่งผลให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นและเตรียมปรับตัวได้ทันการก่อนการเจรจาจะบรรลุข้อตกลง การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น เริ่มต้นจากการเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในระหว่างวันที่ 18-21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ซึ่งได้มีการหารือในหลายประเด็นรวมทั้งการจัดทำเขตการค้าเสรี ซึ่งสอดคล้องกับการกำหนดนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ของนายกรัฐมนตรี โคอิสุมิ จากเดิมที่ประเทศญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเวทีการเจรหาพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลก เปลี่ยนเป็นการให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศอาเซียนและผลักดันการดำเนินเศรษฐกิจแบบภูมิภาคนิยม และทวิภาคีมากขึ้นผ่านข้อตกลงเขตการค้าเสรี และข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreements: EPAs) หลังจากการหารือได้มีการจัดตั้งคณะทำงานและประชุมร่วมกันระหว่างสองประเทศ ผู้นำทั้งสองประเทศเห็นชอบให้เริ่มเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย – ญี่ปุ่น หรือ Japan-Thailand Economic Partnership Agreement (JTEPA) อย่างเป็นทางการเมื่อ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2546 ต่อมามีการเจรจาอย่างเป็นทางการ 9 ครั้งก็สามารถบรรลุข้อตกลงได้เมื่อวันที่ 1 ก.ย. พ.ศ. 2548 รวมทั้งสิ้น 13 ประเด็น (ภาคผนวก) โดยประเด็นการเจรจาสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการต่างประเทศ อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุการณ์ทางการเมืองของไทยทำให้การลงนามล่าช้า แต่ในที่สุดความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นก็ได้รับการลงนามเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2549 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 กล่าวได้ว่า JTEPA เป็นการเปิดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศในมิติที่ครอบคลุมทั้งการค้า การลงทุน และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจทุกด้าน โดยยึดรูปแบบความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจยุคใหม่ญี่ปุ่น-สิงคโปร์ เป็นต้นแบบ สำหรับขั้นตอนการเจรจาของประเทศไทย มีการแต่งตั้งคณะทำงานและคณะกรรมการขึ้นหลายคณะ และแบ่งตามภารกิจของหน่วยงานภาครัฐเป็นหลัก ส่งผลให้การจัดทำข้อมูลขาดเอกภาพ และประสิทธิภาพในการเจรจาต่อรองมีน้ำหนักลดลง นอกจากนั้นไม่มีกฎหมายหรือระเบียบที่ชัดเจนในการกำกับดูแลและให้โอกาสประชาชนมีส่วนร่วม ในขณะที่ยุทธศาสตร์การเจรจาของญี่ปุ่นมีการทำงานใกล้ชิดระหว่างภาครัฐกับเอกชน จัดลำดับความสำคัญให้ประเทศไทยเป็นประเทศสำคัญอันดับต้นๆ ในการเจรจา โดยเอกชนและประชาชนมีส่วนติดตามและกดดันการทำงานในระหว่างการเจรจา โดยเฉพาะญี่ปุ่นยืนยันในหลักการรักษาผลประโยชน์และปกป้องเกษตรกรของประเทศ การปรับเปลี่ยนสู่อุตสาหกรรมบริการและการใช้ประเทศในเอเชียเป็นตลาดกระจายสินค้าและฐานการผลิต
คณะผู้วิจัยได้ศึกษาเปรียบเทียบกรอบกฎหมายหลายระนาบ ทั้งกรอบกฎหมายภายใต้กรอบขององค์การการค้าโลก หลักกฎหมายระหว่างประเทศ หลักกฎหมายภายใน และความตกลงพหุภาคีว่าด้วยการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เพื่อเปรียบเทียบเนื้อหาสาระกับความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย – ญี่ปุ่น รวมทั้งศึกษาทบทวนวรรณกรรมกระบวนการเจรจาความตกลงของไทยและญี่ปุ่น จากการศึกษาพบว่าปัญหาที่สำคัญ คือ มีความขัดแย้งระหว่างการบังคับใช้กฎหมายภายใน กับการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ความตกลง JTEPA ในบางประเด็น ได้แก่ ไทยไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับเขตการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมได้ เนื่องจากความตกลงระหว่างประเทศอยู่นอกเหนือการบังคับใช้ตามกฎหมายภายใน เป็นต้น นอกเหนือจากนั้น ความตกลง JTEPA เปิดช่องให้มีการส่งสินค้าขยะเข้ามากับซากสินค้าใช้แล้วเพื่อการนำมาใช้ใหม่ กล่าวคือ สามารถนำเข้าสินค้าขยะมากำจัดในประเทศไทยได้ ซึ่งเป็นภาระแก่ประเทศและก่อให้เกิดมลพิษ ในกรณีที่มีข้อพิพาทระหว่างรัฐและนักลงทุนต่างชาติ ความตกลง JTEPA ตกลงให้ใช้กลไกอนุญาโตตุลาการ ในขณะที่ทฤษฎีหลักกฎหมายมหาชน หน่วยงานภาครัฐไม่ตกอยู่ภายใต้การบังคับใช้กลไกนี้ ซึ่งเมื่อใช้การยุติข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการแล้ว ในบางกรณีโดยเฉพาะกรณีที่กระทบต่อนโยบายสาธารณะ เมื่อเกิดข้อพิพาทระหว่างรัฐและนักลงทุน การยุติข้อพิพาทจะมุ่งเน้นแต่ประเด็นการค้า การลงทุน ปัญหาเศรษฐกิจ และการเปิดเสรีเป็นสำคัญ โดยไม่ได้คำนึงถึงปัญหาทางสังคม
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าการส่งออกในปี พ.ศ. 2551 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.54 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และคิดเป็นร้อยละ 10.63 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเบื้องต้น โดยมีอัตราการเติบโตของมูลค่าส่งออกในช่วงปี พ.ศ. 2545-2551 เฉลี่ยประมาณร้อยละ 7 ต่อปี ทั้งนี้ สินค้ากลุ่มคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ครองสัดส่วนประมาณร้อยละ 70 ของการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด โดยมีประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญ ซึ่งหากมีความร่วมมือการเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น การลดอุปสรรคทางการค้าในสินค้ากลุ่มนี้ จะส่งผลกระตุ้นการผลิตภายในประเทศและการส่งออก แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดขยะ กากของเสีย และมลพิษ หรือปัญหาสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นด้วย ในกระบวนการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีสารอันตรายหลายประเภท เช่น ปรอท แคทเมียม ตะกั่ว และสารระเหยต่างๆ ที่สามารถก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพของคนงานในระหว่างการผลิต เครื่องใช้และอุปกรณ์เมื่อเลิกใช้แล้วก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ขยะ ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีเฉพาะในการกำจัดโลหะหนักและสารอันตราย การจัดการที่ไม่ถูกวิธีอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบนิเวศ ปัญหาการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม และส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน ทั้งนี้ ประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย มักเป็นแหล่งระบายขยะอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์เก่า ที่รัฐบาลประเทศพัฒนาแล้วสนับสนุนให้ส่งออกเพื่อลดค่าใช้จ่ายการกำจัดและนำรายได้เข้าประเทศจากการส่งออก เพื่อให้สามารถประเมินผลกระทบด้านต้นทุนต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นระบบ คณะผู้วิจัยใช้ผลจากแบบจำลองดุลยภาพทั่วไป (Global Trade Analysis Project: GTAP) ที่มีผู้ประเมินผลทางการค้าและเศรษฐกิจเบื้องต้นอยู่ก่อนแล้ว โดยนำเอาผลการเปลี่ยนแปลงผลผลิตและรายได้ประชาชาติจากความตกลง JTEPA มาทำการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและต้นทุนผ่านค่าการบำบัดด้วยโปรแกรม STELA Model1 ซึ่งหากปริมาณมลพิษไม่สูงมากไปกว่าความสามารถในการบำบัดของธรรมชาติ มลพิษเหล่านั้นก็อาจไม่มีต้นทุนเกิดขึ้น ทั้งนี้ การประเมินต้นทุนและผลกระทบจะครอบคลุมขั้นตอนการผลิตวัตถุดิบ การผลิตสินค้า การกระจายสินค้า การบริโภคสินค้า การกำจัดซากผลิตภัณฑ์และการนำกลับมาใช้ใหม่ โดยการคำนวณปริมาณมลพิษที่เกิดจากขั้นตอนต่างๆ แบ่งออกเป็น กากของเสีย ก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ภาวะความเป็นกรด มลพิษทางน้ำ และผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศโอโซน จากการคำนวณผลกระทบจากทุกขั้นตอนการผลิตคอมพิวเตอร์ในสภาวะเศรษฐกิจปกติเปรียบเทียบกับกรณีของ JTEPA พบว่า ในสถานการณ์ที่ยังไม่มีความตกลง JTEPA ปริมาณการบริโภค การส่งออกและการนำเข้าเพิ่มขึ้นโดยตลอด และมลพิษแต่ละชนิดก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย และเมื่อเปรียบเทียบกับการเปิดการค้าเสรีตามความตกลง JTEPA พบว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2554-2556 ปริมาณการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยประมาณร้อยละ 0.14-1.03 ปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.87-6.44 และปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 3.66-8.74 ผลการคำนวณต้นทุนการบำบัดมลพิษ พบว่า ในสภาวะปกติต้นทุนการบำบัดโดยรวมยังไม่สูงนัก คิดเป็นประมาณร้อยละ 1.16 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม มีการสะสมของปัญหา ต้นทุนจากการบำบัดจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในเวลา 10 ปี กล่าวคือ ในปี พ.ศ. 2556 ต้นทนุจะสูงถึงประมาณ 21.48 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 751.8 แสนล้านบาท โดยมีต้นทุนการบำบัดที่เกิดจากมลพิษด้านก๊าซเรือนกระจก และมลพิษทางน้ำสูงที่สุด หรือประมาณร้อยละ 40 ของต้นทุนทั้งหมด รองลงมาเป็นต้นทนุด้านการกำจัดกากขยะ (ร้อยละ 14 ของต้นทุนทั้งหมด) แต่เมื่อคำนวณผลกระทบจากการทำความตกลง JTEPA จะพบว่า มลพิษทุกตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มูลค่าการบำบัดสูงขึ้น โดยต้นทุนการบำบัดที่เกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจกและน้ำเสียยังคงมีสัดส่วนสูงที่สุด และเพิ่มมากที่สุด โดยรวมมีต้นทุนรวมเพิ่มขึ้นอีก 272 ล้านเหรียญสหรัฐในปี พ.ศ. 2553 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีก 1.875 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี พ.ศ. 2556 1 แบบจำลอง STELA เป็นโปรแกรมคณิตศาสตร์เชิงพลวัตร (Dynamic Model) ที่คำนวณการเปลี่ยนแปลงปริมาณการผลิตจากปริมาณอุปสงค์คอมพิวเตอร์ หักด้วยการนำเข้า และบวกด้วยการส่งออก จากนั้นจึงนำปริมาณการผลิตดังกล่าวไปคำนวณผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่อไป 5. ข้อเสนอแนะ
บรรณานุกรม ศูนย์ศึกษาเอเปก แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, (2548), โครงการวิจัยที่ปรึกษาการวิเคราะห์เจรจาภายใต้ความร่วมมือหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดระหว่างไทย – ญี่ปุ่น, เสนอต่อสำนักงานเจรจาเขตการค้าเสรีไทย ญี่ปุ่น กระทรวงการต่างประเทศ. ข้อมูลออนไลน์ จาก www.mfa.go.th/jtepa/asset/apec_ch20.pdf สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม (2552) การศึกษาทางกฎหมาย และการพัฒนาเครื่องมือทางเศรษฐกิจ เพื่อประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น โดยคำนึงถึงต้นทุนสิ่งแวดล้อม: กรณีศึกษาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, รหัสโครงการ RDG 5030029สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. Antweiler, Copeland, and Taylor (2001) “Is Free Trade Good for the Environment” American Economic Review, vol. 91(4), pages 877-908. Nagai, Fumio (2004), “Thailand’s FTA Policy: From ‘Dual Track’ Policy to ‘New Asian’ Policy”, in: Siriporn Wajjwalku ( ed.), Japan-ASEAN Comprehensive Economic Partnership: Asian Perspectives, Bangkok: Thammasat University Press for the Thammasat University Institute of East Asian Studies and the Japan Foundation, p. 77-142. ภาคผนวก ประเด็นสำคัญในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น
|