วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอนวิศวกรรมา Show
ไม่มีความคิดเห็น:แสดงความคิดเห็นอ๊ะ ๆๆๆ สารภาพมาซะดี ๆ ว่าเพื่อน ๆ อ่านชื่อบทเรียนนี้ว่าอะ ไร (เราเชื่อว่าต้องมีคนอ่านผิดกันบ้างแหละ) วันนี้บทเรียนออนไลน์จาก StartDee จะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักบทเสภาสามัคคีเสวก พร้อม ๆ กับหาคำตอบว่า ระหว่าง ‘สะ - เหวก’ กับ ‘เส - วก’ ชื่อบทเรียนนี้อ่านว่าอะไรกันแน่นะ ? ความเป็นมาของบทเสภาสามัคคีเสวก และ ‘เสวก’ ที่ไม่ได้อ่านว่า ‘สะ - เหวก’พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ทรงพระราชนิพนธ์บทเสภาสามัคคีเสวกเป็นในขึ้น ณ พระราชวังสนามจันทร์ เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๕๗ เพื่อใช้ขับเสภาคั่นระหว่างการแสดงระบำสามัคคีเสวก (จริง ๆ แล้วรัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ร้อยแก้วและร้อยกรองไว้มากมาย เช่น โคลนติดล้อ ตอน ความนิยมเป็นเสมียน และหัวใจชายหนุ่ม เป็นต้น แม้จะเป็นของระดับชั้นม.ปลาย แต่เพื่อน ๆ ลองไปอ่านดูกันเล่น ๆ ได้นะ) ในสมัยก่อนข้าราชการในราชสำนักจะผลัดเปลี่ยนกันจัดงานเลี้ยงที่พระราชวังสนามจันทร์ทุก ๆ วันเสาร์ นอกจากอาหารในงานเลี้ยง ยังมีการแสดงหรือการละเล่นเพื่อความบันเทิงด้วย ซึ่งในครั้งที่มหาเสวกเอก เจ้าพระยาธรรมธิกรณาธิบดี (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล) ต้องเป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยง ก็ได้ทูลขอให้รัชกาลที่ ๖ ช่วยหาการละเล่นขึ้นหนึ่งอย่าง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ จึงผูกระบำสามัคคีเสวกขึ้น ระบำสามัคคีเสวกที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ ทรงคิดค้นขึ้นใหม่นี้เป็นระบำรูปแบบใหม่ที่ไม่มีบทร้อง มีแต่ดนตรีบรรเลงจากพิณพาทย์ประกอบกับการระบำ พระองค์จึงแต่งบทเสภาเพื่อขับในระหว่างที่พิณพาทย์กำลังพักให้หายเหนื่อย โดยบทเสภาสามัคคีเสวกนั้นมีถึง ๔ ตอนด้วยกัน ได้แก่ ๑. กิจการแห่งพระนนที กล่าวถึงพระนนทีผู้เป็นเทพเสวก คอยรับใช้พระอิศวรอย่างขยันขันแข็ง ถือเป็นตัวอย่างของเสวกที่ดี ๒. กรีนิรมิต (กะ - รี - นิ - ระ - มิด) สรรเสริญพระพิฆเณศซึ่งเป็นเทพแห่งศิลปะวิทยาการ ๓. วิศวกรรมา (วิด - สะ - วะ - กัน - มา) กล่าวสรรเสริญพระวิศวกรรมงานช่างและการก่อสร้าง รวมถึงชี้ใ้เห็นความสำคัญของงานศิลปะไทย ๔. สามัคคีเสวก (สา - มัก - คี - เส - วก) กล่าวถึงความสามัคคีในหมู่ข้าราชการ ซึ่งบทเสภาสามัคคีเสวก ตอนวิศวกรรมาและสามัคคีเสวก เป็นบทที่ถูกยกมาเราได้เรียนกันในระดับมัธยมนี้ **เสวก (เส - วก) มาจากภาษาบาลี ในภาษาสันสกฤต ซึ่งหมายถึง ‘คนใช้’ สำหรับในภาษาไทย พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายของคำว่าเสวกไว้ว่า “ข้าราชการในราชสำนัก” ลักษณะคำประพันธ์ของบทเสภาสามัคคีเสวกบทเสภาสามัคคีเสวกแต่งด้วยกลอนเสภาที่มีฉันทลักษณ์อย่างกลอนสุภาพ กลอนเสภานี้ใช้เป็นบทเสภาเพื่อขับเสภาระหว่างที่พิณพาทย์พักเหนื่อย สันนิษฐานว่าการขับเสภานั้นพัฒนามาจากการเล่านิทานในสมัยก่อน จากเดิมที่มีแต่การเล่านิทานแบบร้อยแก้ว ต่อมาก็เริ่มมีผู้แต่งนิทานแบบร้อยกรอง แล้วจึงมีการใส่ทำนอง ขับเสภา และใช้กรับเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะเพื่อเพิ่มอรรถรส โดยกลอนเสภาหนึ่งบทจะมีทั้งหมด ๔ วรรค ได้แก่ วรรคสดับ (วรรคที่ ๑) วรรครับ (วรรคที่ ๒) วรรครอง (วรรคที่ ๓) และวรรคส่ง (วรรคที่ ๔) แต่ละวรรคจะมี ๗-๙ คำ ฉันทลักษณ์ของเสภาเป็นที่นิยมทั่วไป แต่ถ้าจะแต่งให้ไพเราะก็มีข้อบังคับอยู่นิดหน่อย คือ ๑. บังคับสัมผัสนอก สัมผัสใน และสัมผัสระหว่างบทสัมผัสนอก (สัมผัสระหว่างวรรค) เป็นสัมผัสบังคับที่ต้องมีในการแต่งกลอนแปด มีอยู่ด้วยกัน ๒ จุด คือ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ จะสัมผัสกับคำที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ของวรรคที่ ๒ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ จะสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๓ และคำที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๓ หรือ ๕ ของวรรคที่ ๔ สัมผัสใน เป็นสัมผัสที่ไม่ได้บังคับว่าต้องมี แต่ถ้ามีก็จะทำให้กลอนไพเราะมากขึ้นไปอีก โดยในแต่ละวรรคของกลอนจะแบ่งเป็น ๓ จังหวะคือ ooo oo ooo ซึ่งพยางค์ที่ ๓ จะสัมผัสกับพยางค์ที่ ๔ และพยางค์ที่ ๕ จะสัมผัสกับพยางค์ที่ ๖ การสัมผัสสามารถเป็นได้ทั้งสัมผัสสระและสัมผัสพยัญชนะ ตัวอย่างเช่น ศิลปกรรม นำใจ ให้สร่างโศก ช่วยบรรเทา ทุกข์ในโลก ให้เหือดหาย สัมผัสระหว่างบท เป็นการส่งสัมผัสไปยังบทต่อไป ทำให้กลอนเสภาแต่ละบทร้อยเรียงกันเป็นเรื่องราวที่มีความต่อเนื่องกันมากขึ้น โดยคำสุดท้ายของวรรคที่สี่ (วรรคส่ง) ในบทต้น จะไปสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ของบทต่อไป ๒. บังคับเสียงคำท้ายวรรคกลอนแปดจะไพเราะยิ่งขึ้นถ้าพยางค์สุดท้ายของแต่ละวรรคมีเสียงวรรณยุกต์ดังนี้ คำท้ายของวรรคที่ ๑ ใช้ได้ทุกเสียงวรรณยุกต์ คำท้ายของวรรคที่ ๒ ใช้เสียงจัตวา เอก โท (โบราณว่า เสียงจัตวาจะไพเราะที่สุด) คำท้ายของวรรคที่ ๓ ใช้เสียงสามัญและเสียงตรี คำท้ายของวรรคที่ ๔ ใช้เสียงสามัญและเสียงตรี คำศัพท์ที่ควรรู้ในบทเสภาสามัคคีเสวกนอกจากคำว่าเสวก บทเสภาสามัคคีเสวกยังมีคำศัพท์ที่น่าสนใจอีกมาก เพื่อให้เข้าใจบทกลอนเหล่านี้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เรามาดูคำศัพท์น่ารู้เหล่านี้กันดีกว่า (ถ้าสังเกตดี ๆ เพื่อน ๆ จะพบว่ามีคำที่ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษอยู่ด้วย ลองหาให้เจอนะ !)
ถอดคำประพันธ์บทเสภาสามัคคีเสวก ตอนวิศวกรรมาและสามัคคีเสวกตอนวิศวกรรมานอกจากการกล่าวสรรเสริญพระวิศวกรรมผู้เป็นเทพเจ้าแห่งการก่อสร้างและการช่าง บทเสภาสามัคคีเสวก ตอนวิศวกรรมายังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของศิลปะที่มีต่อประเทศชาติ ทั้งในแง่การให้ความเพลิดเพลินใจ และการสร้างความงดงามให้กับบ้านเมือง รวมถึงชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาฝีมือช่างชาวไทย เพื่อให้สร้างสรรค์สินค้าและผลิตภัณฑ์เนื่องด้วยศิลปะไทยได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศในแง่ของเศรษฐกิจด้วย
ในบทนี้กล่าวว่า ประเทศใดที่แผ่นดินมีแต่ศึกสงคราม ไม่มีความสงบสุขในแผ่นดิน ประชาชนในประเทศนั้นย่อมไม่สนใจความงดงามของศิลปะ
แต่หากชาติใดสงบสุขปราศจากสงคราม ประชาชนก็จะหันมาทำนุบำรุงงานด้านศิลปกรรมให้เจริญรุ่งเรือง ศิลปะจึงเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความสงบสุขและความเจริญทางอารยธรรมของประเทศนั้น ๆ
ชาติใดที่ไม่มีช่างศิลป์ก็เปรียบเสมือนผู้หญิงที่ไร้ความงาม ไม่เป็นที่ถูกใจของใคร มีแต่จะถูกเยาะเย้ยให้อับอาย
ศิลปะนั้นช่วยทำให้จิตใจคลายเศร้าโศก ช่วยทำให้ความทุกข์หมดไป เมื่อได้เห็นสิ่งสวยงาม จิตใจก็มีความสุข ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงไปด้วย
หากใครไม่เห็นคุณค่าความงามของศิลปะ เมื่อเผชิญความทุกข์ก็ไม่มีสิ่งใดมาเป็นยาช่วยรักษาบาดแผลทางใจได้ คนพวกนี้จึงเป็นคนที่น่าสงสารยิ่งนัก
เพราะความรู้ทางช่างศิลป์ (ศิลปกรรม) สำคัญเช่นนี้ นานาอารยประเทศจึงนิยมยกย่องคุณค่าของศิลปะและทักษะของช่างศิลป์ว่าเป็นเกียรติยศ เป็นความรุ่งเรืองของแผ่นดิน
คนที่ไม่เห็นคุณค่าหรือความงามของศิลปะก็เหมือนคนป่า ป่วยการอธิบาย พูดด้วยก็เปลืองน้ำลายเปล่า
แต่ประเทศไทยของเรานั้นเห็นคุณค่าของงานศิลป์ จึงมีช่างศิลป์หลากหลาย ทั้งช่างปั้น ช่างเขียน ช่างก่อสร้าง ช่างทองรูปพรรณ ช่างเงิน ช่างถม และช่างอัญมณี (นอกจากนี้ยังมีช่างในแขนงอื่น ๆ อีก เรียกว่าช่างสิบหมู่) ชาวไทยควรช่วยส่งเสริมงานช่างศิลป์เหล่านี้ให้ก้าวหน้ารุ่งเรือง อย่าให้น้อยหน้ากว่านานาประเทศ
ชาวต่างชาติมักนำสินค้าต่าง ๆ (ที่มักมีราคาแพง) เข้ามาขายในไทย การที่เราซื้อของนำเข้าเหล่านั้นก็ทำให้สิ้นเปลืองเงินมาก
แต่ถ้าชาวไทยหันมาอุดหนุนผลงานของช่างไทย ฝีมือของช่างชาวไทยก็จะยิ่งพัฒนายิ่งขึ้น การเห็นคุณค่า และการช่วยสนับสนุนงานศิลปกรรมก็เหมือนกับการช่วยพัฒนาชาติ ให้เจริญรุ่งเรือง สมกับเป็นเมืองที่เจริญแล้ว ไม่น้อยหน้าประเทศเพื่อนบ้าน ตอนสามัคคีเสวกแนวคิดหลักของบทเสภาสามัคคีเสวก ตอนสามัคคีเสวกคือมุ่งเน้นสั่งสอนข้าราชการว่าควรเคร่งครัดในวินัย จงรักภักดี เคารพ และให้ความร่วมมือต่อพระมหากษัตริย์อย่างเต็มที่ โดยเปรียบเทียบประเทศเป็นเรือใหญ่ที่แล่นไปในทะเล มีพระมหากษัตริย์เป็นกัปตัน และเหล่าข้าราชการเป็นกะลาสีเรือ ปัญหาและอุปสรรคน้อยใหญ่ก็เปรียบเหมือนคลื่นทะเลที่อาจซัดเรือให้ล่มลงได้หากเหล่ากะลาสีไม่ปฏิบัติตามหน้าที่และไม่เชื่อฟังกัปตันเรืออย่างพระมหากษัตริย์
ในบทแรกจึงสั่งสอนเหล่าข้าราชการ (เสวก) อย่างตรงไปตรงมาว่าให้นึกอยู่เสมอว่าตนเป็นข้ารับใช้ของพระเจ้าแผ่นดิน เปรียบเหมือนลูกเรือที่อยู่ในเรือใหญ่กลางทะเล จึงต้องมีความสามัคคีต่อกัน
ลูกเรือต้องตั้งใจฟังคำสั่ง เชื่อฟัง และช่วยเหลือกัปตันอย่างแข็งขัน เรือจึงจะรอดไปถึงจุดหมายได้
แต่ถ้าลูกเรือไม่เชื่อฟังกัปตันและเริ่มแตกแยกกัน เวลาคลื่นลมแรงเรือก็จะอับปางลง
หากลูกเรือมัวแต่ทะเลาะกัน กัปตันก็จะไม่มีกำลังแรงกายแรงใจมาต่อสู้ ถ้าไม่เคร่งครัดต่อกฎระเบียบเวลาที่เกิดภัยอะไรขึ้นจะเดือดร้อน
กัปตันสั่งอะไรก็ไม่ฟัง พอถึงเวลาก็มีข้อขัดแย้งต่อมาก็จะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น ในที่สุดเรือก็จะล่มกลางทะเล
ถึงจะเป็นข้าราชการของพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่ควรขาดความสามัคคี เหตุการณ์ในพระราชสำนักก็เปรียบเสมือนเรือที่แล่นอยู่ในมหาสมุทร เหล่าข้าราชการในราชสำนักก็เหมือนเป็นกะลาสีควรให้ความสำคัญกับหน้าที่ต้องรับผิดชอบเป็นหลัก ปฏิบัติตนตามกฏตามระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัดและสามัคคีจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ไม่ควรแยกฝ่ายเลือกที่จะเคารพเชื่อฟังใคร ควรที่จะสามัคคีปรองดองกันในหมู่ข้าราชการเพื่อเป็นพลังในการทำความดี ให้สมกับที่มีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวกัน คุณค่าด้านวรรณศิลป์ของบทเสภาเสวก ตอนวิศวกรรมาและสามัคคีเสวกกลวิธีทางวรรณศิลป์ที่โดดเด่นของบทเสภาสามัคคีเสวก ตอนวิศวกรรมาและสามัคคีเสวกคือการใช้ภาพพจน์เปรียบเทียบ ทั้งภาพพจน์อุปมา เช่น การเปรียบเทียบเสวก (ข้าราชการ) เหมือน ลูกเรือ และภาพพจน์อุปลักษณ์ เช่น การเปรียบเทียบเสวก เป็น กะลาสีเรือ ซึ่งปรากฎให้เห็นเด่นชัดเป็นพิเศษในตอนสามัคคีเสวก ข้อคิดจากบทเสภาสามัคคีเสวก ตอนวิศวกรรมาและสามัคคีเสวก๑. อธิบาย และชี้ให้เห็นความสำคัญของศิลปะในฐานะการพัฒนาคนและบ้านเมือง ๒. สะท้อนค่านิยมการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ๓. ชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาจิตใจคนในบ้านเมืองด้วยงานศิลปะ และความสามัคคีของหมู่ข้าราชการเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ รู้หรือไม่ ?: ช่างสิบหมู่คืออะไรกันนะ ?จากบทเสภาสามัคคีเสวก ตอนวิศวกรรมา เพื่อน ๆ จะเห็นว่ามีการพูดถึงงานช่างศิลป์ของไทยหลากหลายแขนงมาก ในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงมีการรวบรวมช่างศิลป์ที่มีฝีมือและจัดตั้ง ‘กรมช่างสิบหมู่’ ขึ้น คำว่าสิบนั้นลดรูปมาจากคำว่า ‘สิปปะ’ จากภาษาบาลี ในภาษาสันสกฤตที่แปลว่า ‘ศิลปะ’ ช่างสิบหมู่จึงหมายถึงกลุ่มช่างผู้ทำงานด้านศิลปะไทย ซึ่งในสมัยนั้นได้จำแนกกระบวนช่างศิลป์ที่สำคัญของไทยไว้ ๑๐ แขนง ได้แก่ ช่างเขียน ช่างแกะ ช่างสลัก ช่างกลึง ช่างหล่อ ช่างปั้น ช่างหุ่น ช่างรัก (ลงรักปิดทอง) ช่างบุ และช่างปูน ขอบคุณรูปภาพจาก: finesrts.go.th งานศิลป์ไทยเหล่านี้ถูกสืบทอดผ่านหลายชั่วอายุคน ปัจจุบันกรมช่างสิบหมู่คือ ‘สำนักช่างสิบหมู่’ ในสังกัดกรมศิลปากร จำแนกออกเป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มประติมากรรม กลุ่มจิตรกรรม กลุ่มศิลปประยุกต์และเครื่องเคลืบดินเผา กลุ่มประณีตศิลป์ และอีก ๑ ศูนย์ คือศูนย์ศิลปะและการช่างไทย นอกจากสืบสานมรดกทางศิลปะไทย สำนักช่างสิบหมู่ยังคงมีบทบาทในการสร้างสรรค์งานเพื่อบริการประชาชนทั่วไป งานด้านศาสนา งานของราชการและพระราชพิธีที่สำคัญของหลวง ยกตัวอย่างเช่นพระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่มีการรวบรวมช่างสิบหมู่ผู้มีฝีมือจากทั้งประเทศมาร่วมกันสร้างพระเมรุมาศให้งดงามสมพระเกียรติ รวมถึงการสร้างสัตว์หิมพานต์ประดับพระเมรุ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ที่สะท้อนความงดงามของงานศิลป์ไทยได้เป็นอย่างดี นอกจากบทเรียนออนไลน์เรื่องเสภาสามัคคีเสวกแล้ว เพื่อน ๆ ชั้น ม.๒ ยังสามารถเข้าไปอ่านบทเรียนเรื่องศิลาจารึกหลักที่ ๑ ได้ด้วยนะ คลิกตรงนี้เลย หลังจากติดตามอ่านบทเสภาสามัคคีเสวก ตอนวิศวกรรมา และสามัคคีเสวกตั้งแต่ต้นจนจบหลายคนอาจจะรู้สึกว่าอ่านแค่ตัวหนังสือนี่ไม่ได้อรรถรสเอาเสียเลย ! ก่อนจะจากกันไป StartDee เลยอยากชวนทุกคนไปเปลี่ยนบรรยากาศ พักการอ่านวรรณคดีในหนังสือแล้วไปฟังการขับเสภาในแอปพลิเคชัน StartDee กันดีกว่า ถ้าอยากรู้ว่าการขับเสภาต้องทำยังไง โหลดแอปฯ StartDee ให้พร้อม เตรียมกรับไม้ให้พร้อม แล้วไปดูพร้อม ๆ กันเลย ! ขอขอบคุณข้อมูลจาก: ธีรศักดิ์ จิระตราชู (ครูหนึ่ง) |