Sync ปฏิทิน iPhone กับ iPad

หมายเหตุ:  เราต้องการมอบเนื้อหาวิธีใช้ปัจจุบันในภาษาของคุณให้กับคุณโดยเร็วที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ หน้านี้ได้รับการแปลด้วยระบบอัตโนมัติ และอาจมีข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์หรือความไม่ถูกต้อง จุดประสงค์ของเราคือเพื่อให้เนื้อหานี้มีประโยชน์กับคุณ คุณแจ้งให้เราทราบว่าข้อมูลดังกล่าวมีประโยชน์ต่อคุณที่ด้านล่างของหน้านี้ได้หรือไม่ นี่คือ บทความภาษาอังกฤษ เพื่อให้ง่ายต่อการอ้างอิง

ไม่ ปฏิทินใน Outlook for Mac ไม่ซิงค์กับอุปกรณ์ iOS ของคุณทุกเครื่อง

แต่ถ้าใช้ OS X Snow Leopard หรือระบบปฏิบัติการเวอร์ชันก่อนหน้า คุณสามารถเปิด บริการซิงค์ แล้วลองซิงค์ปฏิทิน Outlook ได้ หลังจากที่คุณเปิดบริการซิงค์ คุณสามารถใช้ iTunes เพื่อซิงค์ iCal กับ iPhone, iPad หรือ iPod ของคุณได้

ขั้นตอนที่ 1: ซิงค์ปฏิทิน Outlook กับ ปฏิทิน

  1. บนแท็บเครื่องมือ เลือกบริการ

    Sync ปฏิทิน iPhone กับ iPad

  2. ในบานหน้าต่างด้านซ้าย เลือกกล่องกาเครื่องหมาย ปฏิทิน

    Sync ปฏิทิน iPhone กับ iPad

    หมายเหตุ: โปรแกรมจะเลือกงานโดยอัตโนมัติด้วย

    ถ้าคุณไม่เห็นข้อมูลใดๆ ในบานหน้าต่างด้านซ้าย

    คุณสามารถลองลบไฟล์การกำหนดลักษณะได้ เมื่อลบไฟล์ดังกล่าวแล้ว คุณจะต้องเปิดใช้ บริการซิงค์ อีกครั้งในบานหน้าต่าง การกำหนดลักษณะ Outlook

    1. ออกจากแอปพลิเคชันทั้งหมด

    2. บนเมนู ไป คลิก หน้าแรก.

    3. คลิกโฟลเดอร์ Library แล้วคลิกโฟลเดอร์ Preferences จากนั้น ลากไฟล์ต่อไปนี้ไปที่ Trash:com.microsoft.Outlook.SyncServicesPreferences.plist com.microsoft.Outlook.SyncServices.plist (ถ้ามีอยู่) OfficeSync Prefs (ถ้ามีอยู่)

    4. คลิกโฟลเดอร์ Microsoft แล้วคลิกโฟลเดอร์ Office 2011 จากนั้น ลากไฟล์ OfficeSync Prefs ไปที่ Trash

    5. บนเมนู Apple คลิก รีสตาร์ต

    6. เปิด Outlook for Mac

    7. บนเมนู Outlook คลิก การกำหนดลักษณะ แล้วคลิก บริการซิงค์

    8. ในบานหน้าต่างด้านซ้าย เลือกกล่องกาเครื่องหมายที่อยู่ติดกับรายการที่คุณต้องการซิงค์ แล้วปิดกล่องโต้ตอบ

  3. ในส่วน เลือกบัญชีที่ต้องการซิงค์ ให้เลือกบัญชีที่คุณต้องการซิงค์สำหรับประเภทรายการที่เลือก

    หมายเหตุ: บัญชี บนคอมพิวเตอร์ของฉัน จะรวม รายการ Outlook ทั้งหมดที่ไม่ซิงโครไนซ์กับ บัญชีผู้ใช้ Microsoft Exchange

  4. บนเมนูป๊อบอัพ โฟลเดอร์ Outlook ที่จะเพิ่มรายการใหม่ ให้เลือกตำแหน่งที่ตั้งใน Outlook ที่คุณต้องการบันทึกรายการใหม่ รายการ “ใหม่” คือรายการที่เพิ่มลงในแอปพลิเคชันหรืออุปกรณ์อื่นก่อน แล้วซิงค์กับ Outlook

  5. ปิดกล่องโต้ตอบ บริการซิงค์ แล้วในข้อความยืนยัน คลิก ตกลง

    การซิงค์อาจใช้เวลาจนเสร็จนานขึ้น ขึ้นอยู่กับขนาดของปฏิทิน คุณสามารถปิด Outlook และการซิงค์จะยังเสร็จสมบูรณ์ เช่น อาจใช้เวลานานถ้าคุณมีปฏิทินที่มีระยะเวลานานกว่า 1 ปี

  6. เปิด iCal และดูที่มีซิงค์ข้อมูลปฏิทิน Outlook ของคุณ

    คุณอาจจำเป็นต้องปิดทั้ง Outlook และ iCal แล้ว เปิดอีกครั้งเพื่อดูว่า มีซิงค์ปฏิทินได้

ขั้นตอนที่ 2: ใช้ iTunes เพื่อซิงโครไนซ์ปฏิทิน Outlook ของคุณกับ iPhone, iPad หรือ iPod

สิ่งสำคัญ: ขั้นตอนต่อไปนี้เขียนขึ้นสำหรับ iTunes 10 ถ้าคุณกำลังใช้ iTunes เวอร์ชันอื่น ให้ดู วิธีใช้ iTunes

  1. เชื่อมต่อ iPhone, iPad หรือ iPod กับคอมพิวเตอร์ แล้วเปิด iTunes

  2. ใน iTunes ในบานหน้าต่างด้านซ้ายภายใต้อุปกรณ์ เลือกไอคอนสำหรับอุปกรณ์ของคุณ

  3. ในหน้าต่างหลัก iTunes คลิกแท็บ ข้อมูล

  4. เลือกกล่องกาเครื่องหมาย ซิงค์ปฏิทิน iCal แล้วเลือกปฏิทินที่ต้องการซิงค์

    หมายเหตุ: ถ้ามีการกำหนดประเภทให้รายการของ Outlook ประเภทดังกล่าวจะปรากฏเป็นกลุ่มใน iTunes

  5. เลือกนำไปใช้ นั้นแล้ว เลือกซิงค์

    หมายเหตุ: 

    • iPod บางรุ่นไม่สามารถแสดงบันทึกย่อที่ซิงค์จาก Outlook สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูเอกสารประกอบสำหรับแต่ละรุ่น

    • เมื่อต้องการซิงค์อีเมลระหว่าง Outlook กับอุปกรณ์ของคุณ คุณสามารถเพิ่มบัญชีทั้งใน Outlook และอุปกรณ์ได้ คุณไม่จำเป็นต้องเปิด บริการซิงค์ ใน Outlook

    • อาจใช้เวลาสักครู่กว่าที่ข้อมูลใน Outlook จะปรากฏบน iPhone, iPad หรือ iPod

    • เมื่อเชื่อมต่อ iPhone, iPad หรือ iPod กับคอมพิวเตอร์แล้ว อุปกรณ์ดังกล่าวจะยังคงซิงค์ต่อไปโดยใช้ตัวเลือกที่คุณได้เลือกไว้จนกว่าคุณจะเปลี่ยนเป็นตัวเลือกการซิงค์อื่น

ต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมหรือไม่

ค้นหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าไฟล์ทั้งหมดของคุณยังมีข้อมูลตรงกันบนอุปกรณ์ Apple ทั้งหมดของคุณ

เพราะเหตุใดฉันจึงควรซิงค์ iPhone กับ iPad ของฉัน

การประสานงานและจัดการไฟล์ในคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนของคุณก็เป็นเรื่องยากพออยู่แล้ว แต่เมื่อเพิ่มแท็บเล็ตเข้าไปอีกก็เหมือนกับว่าคุณกำลังหลงทางอยู่ในเขาวงกตดิจิทัลที่คุณสร้างขึ้นมาเอง คุณควรเข้าถึงไฟล์ทั้งหมดของคุณได้อย่างง่ายดายจากทุกอุปกรณ์ของคุณ แต่การทำได้แบบนั้นจริงๆ อาจเป็นเรื่องยากถ้าคุณไม่รู้วิธีเลย

การซิงค์ iPad หรือ iPhone กับคอมพิวเตอร์นั้นค่อนข้างง่าย แต่การซิงค์ทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันอาจซับซ้อนกว่า ลองมาดูเหตุผลบางข้อที่คุณควรซิงค์ iPhone กับ iPad ของคุณกัน

iPad ไม่ได้เป็นแค่ iPhone ขนาดใหญ่ และมีเหตุผลมากมายที่คุณอาจใช้เครื่องหนึ่งแทนอีกเครื่องโดยขึ้นอยู่กับงานที่กำลังทำ โดยที่ต้องการให้ไฟล์เดียวกันเข้าถึงได้จากทุกเครื่อง

ตัวอย่างเช่น คุณอาจเป็นนักวาดภาพประกอบและคุณพบว่าการวาดภาพบนพื้นผิวที่ใหญ่กว่าของ iPad ทำได้ง่ายกว่ามาก แต่เมื่อสร้างผลงานชิ้นเอกของคุณแล้ว คุณก็ต้องการแบ่งปันงานชิ้นนั้นกับคนทั้งโลกบน Instagram และเนื่องจาก Instagram บน iPad ไม่ได้มอบประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหลที่สุด เราขอแนะนำให้ใช้แอปบนโทรศัพท์ของคุณแทน หรืออาจจะเป็นในทางกลับกัน นั่นคือกล้องบน iPhone ของคุณดีกว่า แต่คุณชอบที่จะตัดต่อวิดีโอบน iPad มากกว่า

ไม่ใช่แค่ความสามารถในการสลับไปมาระหว่างอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดายโดยที่ความคืบหน้าของงานไม่หายไป แต่เป็นเรื่องของการเข้าถึงข้อมูลของคุณไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ในขณะที่คุณจะพกโทรศัพท์ติดตัวเมื่อออกไปข้างนอก แต่คุณคงไม่ได้นำแท็บเล็ตไปด้วยบ่อยๆ คุณต้องวางใจได้ว่าจะเข้าถึงไฟล์ทั้งหมดของคุณ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสำหรับงานของคุณ รูปภาพ เพลง หรืออื่นๆ ได้อย่างง่ายดายไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ใด

การซิงค์เป็นเรื่องของการจัดระเบียบ การไล่ดูโฟลเดอร์ต่างๆ บนอุปกรณ์หลายเครื่องเพื่อหารูปภาพหนึ่งรูปที่คุณต้องการเป็นเรื่องที่ใช้เวลานานและไม่จำเป็น คุณจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อรวมไฟล์ทั้งหมดไว้ในที่เดียวที่คุณสามารถเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์

ไฟล์บางไฟล์ที่คุณควรต้องเข้าถึงได้จากอุปกรณ์ ได้แก่

  • รูปภาพและวิดีโอของคุณ: การเก็บรูปถ่ายครอบครัวไว้ในกระเป๋าสตางค์กลายเป็นอดีตไปแล้ว การมีรูปภาพทั้งหมดของคุณบนอุปกรณ์ทุกเครื่องทำให้ความทรงจำอันมีค่าอยู่กับคุณทุกที่ ไม่ว่าคุณจะไปที่ใด
  • ข้อมูลสำหรับงานของคุณ: ทุกวันนี้ชีวิตการทำงานของเราไม่ได้จำกัดอยู่บนโต๊ะในที่ทำงานเท่านั้น การมีไฟล์งานอยู่ใกล้มือไม่ว่าคุณจะใช้ iPhone หรือ iPad ทำให้คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเข้าประชุมสำคัญโดยไม่มีเอกสารที่คุณต้องการ หรือการได้รับคำขอไฟล์เร่งด่วนในขณะที่คุณกำลังยุ่งอยู่
  • แอปของคุณ: การซิงค์แอประหว่าง iPhone และ iPad ก็มีประโยชน์เช่นกัน แอปบนแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนอาจแตกต่างกัน และคุณก็ควรใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละอุปกรณ์
  • ไฟล์ส่วนตัวของคุณ: นอกเหนือจากเอกสารเกี่ยวกับงาน คุณอาจมีไฟล์ส่วนตัวที่คุณจะได้ประโยชน์จากการเก็บไว้ในอุปกรณ์เคลื่อนที่และแท็บเล็ตของคุณ ไฟล์ต่างๆ เช่น ไฟล์สแกนบัตรประชาชนและบัตรประกันภัยเป็นไฟล์สำคัญที่ต้องมีไว้เพื่อพร้อมใช้งานในกรณีที่คุณจำเป็นต้องดำเนินการจอง การชำระเงิน หรือการนัดหมายแบบกะทันหัน
  • รหัสผ่านและรายละเอียดบัญชี: คุณสามารถประหยัดเวลาได้เล็กน้อยโดยการให้อุปกรณ์ทั้งหมดของคุณมีรายละเอียดบัญชีและรหัสผ่านที่บันทึกไว้ เพื่อให้คุณสามารถล็อกอินได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์ใด
  • เพลงของคุณ: ถ้าคุณต้องการใช้ไลบรารีเพลงส่วนตัวมากกว่าการใช้บริการสตรีม เช่น Spotify การเข้าถึงเพลงทั้งหมดของคุณได้ในทุกอุปกรณ์จะเป็นเรื่องสะดวก ไม่ว่าอุปกรณ์นั้นจะเชื่อมต่อกับบัญชี iTunes ของคุณหรือไม่ก็ตาม
  • รายชื่อผู้ติดต่อของคุณ: คุณควรรวมรายชื่อผู้ติดต่อทั้งหมดไว้ด้วยกันเพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องไล่ค้นหารายละเอียดที่คุณต้องการในอุปกรณ์หลายๆ เครื่อง

การซิงค์ iPhone กับ iPad ของคุณไม่ง่ายเหมือนกับการซิงค์ iPhone หรือ iPad กับคอมพิวเตอร์ของคุณ และ Apple ไม่ได้ผลิตสายเคเบิลใดๆ ที่เชื่อมต่อ iPad กับ iPhone คุณจึงต้องใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อซิงค์

วิธีซิงค์ iPhone กับ iPad แบบไร้สายโดยใช้ iCloud

น่าเสียดายที่การใช้ iCloud เพื่อซิงค์ทุกอย่างทันทีไม่ง่ายอย่างที่คุณหวัง เพราะคุณจะต้องไปที่แอปการตั้งค่าบนอุปกรณ์ทั้งสองเครื่องและตัดสินใจเองว่าคุณต้องการซิงค์แอปและเนื้อหาใด

ขั้นตอนในการซิงค์:

  1. ก่อนอื่น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ล็อกอินเข้าบัญชี Apple ID เดียวกันบนอุปกรณ์ทั้งสองและตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทั้งสองเปิด Wi-Fi อยู่ คุณจะเห็นรายการแอปที่สามารถซิงค์กับอุปกรณ์ทั้งหมดของคุณในส่วน iCloud ของแอปการตั้งค่า และคุณสามารถเปิดหรือปิดการซิงค์สำหรับแต่ละแอป
  2. จากนั้น ไปที่ส่วนรหัสผ่านและบัญชีของการตั้งค่าเพื่อตรวจสอบว่าอุปกรณ์ทั้งสองมีการเชื่อมโยงบัญชีอีเมลเดียวกัน
  3. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการตั้งค่าทั้งหมดตรงกันบนอุปกรณ์ทั้งสองเครื่อง

เมื่อปรับการตั้งค่าทั้งหมดของคุณแล้ว การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ทำในแอปที่มีการซิงค์จะอัพเดทบนอุปกรณ์ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเพิ่มรายการปฏิทินบน iPhone ปฏิทินบน iPad ของคุณก็จะอัพเดทตามนั้น

คุณควรทราบว่าวิธีการข้างต้นช่วยให้คุณซิงค์ข้อมูลแอปที่เฉพาะเจาะจงระหว่าง iPhone กับ iPad ของคุณ แต่ไม่ได้ซิงค์เนื้อหาทั้งหมด ถ้าคุณใช้อุปกรณ์ทั้งสองเครื่องอยู่แล้วและบันทึกไฟล์ไว้ในแต่ละเครื่องต่างกัน คุณจะไม่สามารถรวมไฟล์ต่างๆ เข้าด้วยกันได้ทันที ถ้าคุณต้องการซิงค์ทุกอย่างในคราวเดียว คุณจะต้องคืนค่าอุปกรณ์เครื่องหนึ่งให้เป็นการตั้งค่าจากโรงงาน โดยลบเนื้อหาทั้งหมดในระหว่างนั้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าอุปกรณ์เครื่องใดเครื่องหนึ่งของคุณเป็นเครื่องใหม่เอี่ยม การทำซ้ำเนื้อหาจากอุปกรณ์อื่นโดยการสร้างข้อมูลสำรอง iCloud ของอุปกรณ์ต้นทางและกู้คืนข้อมูลสำรองนั้นบนอุปกรณ์ใหม่ในขณะที่คุณตั้งค่าจะทำได้ง่ายกว่า ซึ่งจะเป็นการซิงค์ข้อมูลเกือบทั้งหมดระหว่างอุปกรณ์ทั้งสองเครื่องของคุณ ยกเว้นไฟล์ใดๆ ที่จัดเก็บไว้ใน iCloud แล้ว (เช่น รายชื่อ, โน้ต, iCloud Photos, ข้อความ) การตั้งค่า Touch ID และ Apple Pay และไลบรารี iCloud Music ของคุณ

ไลบรารี iCloud Photos และ iCloud Music เป็นส่วนที่แยกกันของ iCloud ที่คุณจะต้องเปิดด้วยตนเอง การใช้ iCloud เพื่อซิงค์รูปภาพ วิดีโอ และเพลงของคุณข้ามอุปกรณ์ต่างๆ มีข้อเสียบางประการซึ่งเราจะมาดูกันที่ด้านล่างว่ามีอะไรบ้าง

ปัญหาของการใช้ iCloud เพื่อซิงค์ iPhone กับ iPad

คุณอาจคิดว่า iCloud เป็นวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดในการซิงค์ iPad กับ iPhone ของคุณ แต่ไม่จริงเสมอไป ตามที่เราได้กล่าวไปแล้วว่ากระบวนการนี้ไม่ราบรื่นอย่างที่คุณอาจคาดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณมีเนื้อหาที่แตกต่างกันอยู่แล้วในแต่ละอุปกรณ์

นอกจากนี้ iCloud ยังไม่ใช่บริการที่ใช้งานง่ายที่สุดถ้าคุณใช้อุปกรณ์ที่ไม่ใช่ของ Apple การเก็บทุกอย่างไว้ใน iCloud อาจกลายเป็นปัญหาได้ถ้าคุณเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ Android ในภายหลัง หรือถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณไม่ใช่ Mac คุณยังสามารถใช้ iCloud บนอุปกรณ์ที่ไม่ใช่ของ Apple ได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ใช้ได้แบบจำกัด

ในขณะที่พื้นที่จัดเก็บข้อมูล iCloud มีพื้นที่ว่าง 5 GB พื้นที่ดังกล่าวไม่ได้ใช้เฉพาะสำหรับไฟล์ส่วนตัวของคุณเท่านั้น แต่ยังใช้สำหรับไฟล์ขนาดใหญ่อื่นๆ ด้วย เช่น การสำรองข้อมูล จึงทำให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อคุณไม่เหลือพื้นที่ว่างบน iCloud แล้ว ก็จะไม่สามารถทำให้อุปกรณ์ของคุณมีข้อมูลตรงกันได้

iCloud Photos มีตัวเลือกให้คุณจัดเก็บรูปภาพในอุปกรณ์ได้ 2 วิธี ถ้าคุณเลือก “ปรับพื้นที่จัดเก็บข้อมูล” รูปภาพของคุณจะถูกบันทึกไปยัง iCloud แต่เวอร์ชันคุณภาพต่ำจะยังคงได้รับการจัดเก็บไว้ในอุปกรณ์ของคุณ ซึ่งแสดงว่ารูปภาพของคุณยังคงใช้พื้นที่อยู่แม้ว่าคุณจะใช้ iCloud ก็ตาม ถ้าคุณเลือก “ดาวน์โหลดและเก็บต้นฉบับไว้” รูปภาพของคุณจะถูกเก็บไว้โดยมีคุณภาพฉบับเต็มทั้งบนโทรศัพท์ของคุณและบน iCloud ซึ่งจะไม่ช่วยประหยัดพื้นที่เลย

ไม่ว่าคุณจะเลือกตัวเลือกใดก็ตาม เมื่อใช้ iCloud Photos ถ้าคุณลบรูปภาพออกจาก iPhone หรือ iPad รูปภาพนั้นจะถูกลบออกจาก iCloud ด้วย และเมื่อลบรูปภาพออกจาก iCloud ก็จะทำให้ถูกลบออกจากเครื่องด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้คุณเสียรูปภาพและวิดีโอที่สำคัญไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

ไลบรารี iCloud Music ก็มีความเสี่ยงคล้ายๆ กัน เพราะไม่รองรับการแบ่งปันกันในครอบครัว เนื่องจาก iCloud ออกแบบมาเพื่อการใช้งานส่วนตัวเป็นหลัก การแบ่งปันและทำงานร่วมกันในไฟล์จึงทำได้จำกัด นอกจากนี้ ยังอาจซับซ้อนขึ้นไปอีก ถ้าคุณพยายามอัพโหลดเพลงที่ซ้ำกันหรือเพลงที่ไม่ได้ดาวน์โหลดจาก iTunes เช่นเดียวกันกับ iCloud Photos การถอดรหัสว่าไฟล์ใดได้รับการจัดเก็บในเครื่องและไฟล์ใดอยู่ในระบบคลาวด์อาจกลายเป็นเรื่องยาก และถ้าคุณดาวน์โหลดเพลงไว้ไม่เหมือนกันในอุปกรณ์แต่ละเครื่อง การรวมเพลงเข้าด้วยกันอาจเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ

คุณอาจยังคงต้องเก็บข้อมูลบางอย่างให้ตรงกันโดยใช้ Apple ID ของคุณ คุณยังคงสามารถซิงค์รายชื่อผู้ติดต่อจาก iPhone ไปยัง iPad ได้ รวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น ปฏิทิน โน้ต และแอปต่างๆ แต่สำหรับสื่อและเอกสารส่วนตัวของคุณ ยังมีตัวเลือกอื่นๆ ที่ช่วยให้การจัดการไฟล์เป็นไปอย่างราบรื่นและยืดหยุ่นมากขึ้น

วิธีแก้ปัญหา: การใช้ Dropbox เพื่อซิงค์ iPhone และ iPad

วิธีที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบว่า iPhone กับ iPad ของคุณมีข้อมูลตรงกัน คือการใช้ Dropbox เป็น พื้นที่เก็บข้อมูลคลาวด์ หลักด้วยการอัพโหลดจากกล้องโดยอัตโนมัติ ทำให้คุณสามารถโอนย้ายไฟล์โดยอัตโนมัติจาก iPhone หรือ iPad ไปยัง Dropbox ของคุณได้โดยตรง หากต้องการเริ่มต้นใช้งาน ก็เพียงแค่เปิดการอัพโหลดจากกล้องหลังจากที่คุณดาวน์โหลดแอป Dropbox สำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ มาแล้ว

Dropbox จะมีไฟล์ทั้งหมดของคุณ ซึ่งคุณสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายจากอุปกรณ์ใดก็ได้ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต Dropbox ไม่เพียงแต่จะช่วยให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ยังช่วยประหยัดพื้นที่บนอุปกรณ์ของคุณได้มาก คุณสามารถเก็บไฟล์ทั้งหมดของคุณไว้ในระบบคลาวด์และดาวน์โหลดไฟล์ลงในอุปกรณ์ของคุณเฉพาะเมื่อคุณต้องการแก้ไขไฟล์ หรือต้องการใช้งานไฟล์แบบออฟไลน์ชั่วคราว ทั้งยังสามารถแก้ไขไฟล์ Microsoft Office ได้โดยตรงผ่านแอป Dropbox บน iOS คุณจึงไม่จำเป็นต้องจัดเก็บไฟล์ไว้ในเครื่องในขณะที่คุณทำงานกับไฟล์ดังกล่าว

คุณสามารถเปิดการอัพโหลดรูปจากกล้องได้ด้วย ซึ่งจะทำให้ Dropbox อัพโหลดรูปภาพได้แม้จะไม่ได้เปิดแอป เพื่อให้คุณสามารถลบรูปภาพออกจากอุปกรณ์ได้เลยหลังจากจัดเก็บไว้ในคลาวด์อย่างปลอดภัยแล้ว

คุณสมบัติการกู้คืนไฟล์ทำให้การลบรูปภาพหรือเพลงออกจาก iPhone ของคุณไม่เสี่ยงที่จะทำให้ไฟล์หายไปพร้อมกันทั้งหมดเหมือนในกรณีที่อาจเกิดขึ้นถ้าคุณใช้ iCloud Dropbox จะทำให้การแบ่งปันและการทำงานร่วมกันในไฟล์ง่ายขึ้นกว่าที่เคย

คุณสามารถใช้ Dropbox เป็นแกลเลอรีรูปภาพของคุณได้ด้วย วิธีนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณเข้าถึงได้ทั้งไฟล์ที่ซิงค์ระหว่าง iPhone กับ iPad ของคุณเท่านั้น แต่ยังสามารถเข้าถึงไฟล์ได้จากทุกอุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

เข้าถึง Dropbox โดยใช้แอป Files บน iPhone และ iPad

อุปกรณ์ iPadOS และ iOS ทุกเครื่องมาพร้อมกับแอป Files ของ Apple ที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า เมื่อใดก็ตามที่คุณสร้างหรือดาวน์โหลดไฟล์บน iPhone หรือ iPad ของคุณ ไฟล์นั้นจะถูกบันทึกลงในแอป Files ไม่ว่าจะจัดเก็บไว้ในเครื่องหรือในระบบคลาวด์ สิ่งที่คุณอาจไม่รู้ก็คือ โฟลเดอร์ Dropbox ของคุณจะเพิ่มไปยังแอป Files โดยอัตโนมัติเพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงไฟล์ทั้งหมดของคุณได้จากที่เดียว

การเพิ่ม Dropbox ลงใน Files ทำให้การเก็บไฟล์ของคุณบนคลาวด์ง่ายกว่าที่เคย ในขณะที่ยังช่วยให้เข้าถึงไฟล์ได้ง่ายและรวดเร็ว ทั้งยังช่วยให้ย้ายไฟล์จากอุปกรณ์ของคุณหรือจาก iCloud ไปยัง Dropbox ผ่านแอป Files ได้ง่ายอีกด้วย

ดาวน์โหลด Dropbox ในแอป Files:

    1. ดาวน์โหลดแอป Dropbox บน iOS จาก App Store

    2. แอป Files จากสร้างโฟลเดอร์ Dropbox โดยอัตโนมัติในหน้า "Locations" 

    3. โฟลเดอร์ Dropbox จะคงอยู่ในแอป Files และอัพเดทโดยอัตโนมัติตราบเท่าที่คุณมีแอป Dropbox อยู่ในโทรศัพท์

เมื่อใช้แอป Files คุณสามารถเรียกดู ดู ดาวน์โหลด คัดลอก ย้าย เปลี่ยนชื่อ และแก้ไขไฟล์ใน Dropbox ของคุณ และอัปโหลดไฟล์ไปยังโฟลเดอร์ Dropbox ของคุณโดยตรงจากแอปที่รองรับ

ไม่ต้องยุ่งยากกับข้อจำกัดในการซิงค์ผ่าน iCloud เมื่อย้ายไฟล์ iPad และ iPhone ของคุณไปที่ Dropbox คุณจะไม่เพียงเข้าถึงไฟล์ได้จากอุปกรณ์ทั้งสอง แต่จะเข้าถึงได้จากอุปกรณ์ทุกเครื่องที่สามารถต่ออินเทอร์เน็ตได้