Advertisement หลังจาก ‘แฟลช เอ็กซ์เพรส’ ก้าวข้ามเส้นที่ยังไม่เคยมีสตาร์ทอัพใดในประเทศไทยทำได้มาก่อน อย่างการระดมทุนเพิ่มมูลค่ากิจการทะลุ 1,000
ล้านเหรียญสหรัฐ จนกลายเป็น ‘ยูนิคอร์น’ ตัวแรกของประเทศไทย หลายคนก็เริ่มสงสัยว่า นอกจากแฟลชฯ แล้ว ยังมีสตาร์ทอัพไหนอีกบ้างที่กำลังนับถอยหลัง สร้างการเติบโตเพื่อมุ่งสู่ ‘ยูนิคอร์น’ บริษัทเทรดเหรียญดิจิทัลที่ก่อตั้งในปี 2561 โดย ‘ท็อป’ หรือ ‘จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา’ ที่ตอนนี้กลายเป็นบริษัทซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันดันหนึ่งของประเทศไทย โดยมีฐานผู้ใช้งานมากกว่า 1 ล้านบัญชี และครองส่วนแบ่งในตลาดเทรดเหรียญดิจิทัลสูงสุดในไทยตอนนี้ บริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ (Payment Gateway) ที่ก่อตั้งในปี 2560 โดย จุน ฮาเซกาวา และอิศราดร หะริณสุต เดิมใช้ชื่อ Omise Holding ก่อนเปลี่ยนมาเป็นชื่อปัจจุบัน เป็นบริษัทแม่ของ Omise และ OMG Network บริษัทนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน หรือให้บริการลงทุนใน ‘กองทุนรวม’ นั่นเอง โดยโดดเด่นด้านความเป็นกลางในการลงทุน เนื่องจากไม่มีสังกัดในบริษัทหลักทรัพย์ ก่อตั้งโดย เจษฎา สุขทิศ ในปี 2558 ปัจจุบัน มีเม็ดเงินในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนมาแล้วกว่า 10,000 ล้านบาท ⚫️ Ookbeeบริษัทผู้ให้บริการอีบุ๊กและสิ่งพิมพ์ดิจิทัล ที่มี ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นในปี 2553
โดยถือเป็น บริษัทผู้พัฒนาบล็อกเชนด้าน Cross-chain Data Oracle อันดับหนึ่งของเมืองไทย ทำหน้าที่นำข้อมูลจากโลกจริงเข้าสู่ระบบบล็อกเชน โดยบริษัทฯ ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 โดย สรวิศ ศรีนวกุล และจดทะเบียนในสิงคโปร์ ⚫️ LINEMAN Wongnaiบริษัทผู้ให้บริการด้านเดลิเวอรี่และรีวิวอาหารที่เกิดจากการควบรวมกิจการครั้งสำคัญในปี 2563 ที่ผ่านมา ระหว่าง Wongnai แพลตฟอร์มรีวิวร้านอาหารฐานผู้ใช้ 10 ล้านรายต่อเดือน และ LINEMAN แพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ที่มีฐานร้านอาหาร 4 แสนร้านทั่วประเทศ โดยปัจจุบันมี ยอด ชินสุภัคกุล ผู้ก่อตั้งวงในเป็นผู้กำหนดทิศทางหลัก ทั้ง 6 บริษัทต่างมีแนวทางในการบริหารงานและสร้างการเติบโตที่แตกต่างกัน บางบริษัทก็มีการระดมทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่บางบริษัทให้ความสำคัญกับการเติบโตจากรายได้อื่นๆ แต่ก็ล้วนมุ่งหน้าสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ ‘ยูนิคอร์น’ ส่วนที่ว่าใครจะไปถึงหรือใครจะร่วงหล่นลงกลางทางได้นั้นยากจะตอบ เพราะมีโอกาสเป็นไปได้ทั้งคู่ podcastกำลังโหลดบทความถัดไป... ปัจจุบันหลายภาคส่วนพากันสนับสนุนให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจ Startup เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสโลก แต่จากสถิติของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กลับพบว่า ผู้ประกอบการชาวไทยที่ประสบความสำเร็จมีจำนวนไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ดร.ศศิรินทร์ สายะสนธิ หัวหน้าภาควิชาการสร้างเจ้าของธุรกิจ (หลักสูตรภาษาไทย) คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารกิจการ จะมาไขความลับดังนี้ 1. ขาดความเข้าใจด้านการตลาดและลูกค้าอย่างแท้จริง Startup ต้องอาศัยองค์ประกอบด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่จึงมักมีความมั่นใจและใส่ใจในเรื่องดังกล่าวเกินไป กระทั่งละเลยหรือลืมมองรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดขึ้น แต่เมื่อผ่านประสบการณ์ความล้มเหลวมาแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้จะเห็นโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นในการทำธุรกิจครั้งต่อไป โดยนำประสบการณ์ที่ผิดพลาดมาปรับปรุงธุรกิจครั้งใหม่นั่นเอง 2. เป็นคนดีของสังคมโลกเกินไป ทุกหน่วยงานสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจ Startup คิดค้นนวัตกรรม ห้ามเหมือนใคร ทำให้พวกเขาไม่กล้าจะลอกเลียนรูปแบบธุรกิจที่มีอยู่ก่อนแล้ว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงสามารถดูตัวอย่างธุรกิจที่มีอยู่แล้วและนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ถ้าสังเกตจะพบว่า ธุรกิจ Stratup ที่ประสบความสำเร็จหลายๆ รายมีรูปแบบไม่ค่อยต่างกันนัก เช่น Alibaba ที่มีความคล้ายคลึงกับ eBay หรือ Grab Taxi ที่พัฒนารูปแบบมาจาก Uber 3. นโยบายรัฐที่ผิดพลาด รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนเป็น Startup โดยอิงกระแสโลกและยกตัวอย่างความสำเร็จของธุรกิจเพียงไม่กี่ราย ทั้งๆ ที่อัตราการประสบความสำเร็จนั้นยากยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่ นั่นแสดงให้เห็นว่านโยบายอาจไม่เหมาะสมกับบริบทของไทยหรือขาดการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่า จริงๆ แล้วประเทศไทยควรสร้างผู้ประกอบการลักษณะใดกันแน่ หนึ่งในตัวอย่างนโยบายที่ผิดพลาดคือ การทุ่มเงินหลายพันล้านเพื่อสร้างผู้ประกอบธุรกิจ Startup ผ่านมหาวิทยาลัยบางแห่ง โดยที่คณาจารย์ส่วนใหญ่ไม่เคยสร้างธุรกิจมาก่อน นอกจากนี้รัฐบาลยังสนับสนุนให้สร้างและเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการ แต่กลับไม่คำนึงถึงการสร้างคนซื้อไปพร้อมๆ กัน ทำให้มีคนขายมากกว่าคนซื้อ รัฐบาลจึงควรสนับสนุนให้มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้นทั้งจากภายในและต่างประเทศ 4. ขาดการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากลูกค้า ผู้ประกอบธุรกิจ Startup ที่ล้มหายไป ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยในระยะแรกอาจจำหน่ายสินค้าหรือบริการได้เพราะความแปลกใหม่ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะก็เริ่มขายไม่ออก ลูกค้าไม่ซื้อซ้ำ หรือไม่สามารถสร้างลูกค้ารายใหม่ๆ ได้ เมื่อประสบปัญหาด้านเงินทุนหมุนเวียนก็จำเป็นต้องเลิกกิจการไป ดังนั้นหากสามารถหาวิธีมัดใจลูกค้าอย่างต่อเนื่องได้ กิจการก็จะอยู่รอด 5. ใช้เงินสูงเกินไปในการเริ่มต้นธุรกิจ ผู้ประกอบธุรกิจมักลงทุนตามอารมณ์หรือวาดฝันอย่างสวยหรูมากเกินไปเพราะคิดว่าเงินเหล่านั้นคือการลงทุน สักพักก็จะได้กำไรคืนกลับมา โดยลืมไปว่าการใช้เงินมากเกินในการเริ่มต้นธุรกิจหมายถึงต้นทุนที่สูงมากขึ้น โอกาสในการได้ทุนคืนก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่น นำเงินไปสร้างสำนักงานที่สวยหรูหรือซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาแพงเกินความจำเป็น 6. Startup มีวงจรชีวิตที่ค่อนข้างสั้น Startup เป็นธุรกิจที่อิงกับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นอย่างมาก ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้มักมาไวและไปไว อันส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของความนิยมอย่างรวดเร็ว เช่น เกม Pokemon GO ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงแรก แต่ปัจจุบันแทบไม่มีใครให้ความสนใจ จึงจะเห็นได้ว่าธุรกิจประเภทนี้มีการเติบโตที่รวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันอายุขัยของธุรกิจก็สั้นด้วยเช่นกัน การปรับตัวที่รวดเร็วให้ทันกระแสสังคมจึงเป็นเรื่องท้าทายความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจ Startup เป็นอย่างยิ่ง 7. พฤติกรรมการบริโภคของคนไทยยังไม่สอดคล้องกับธุรกิจ Startup ข้อนี้ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก เพราะลูกค้าจะเข้าถึงสินค้าและบริการของธุรกิจ Startup ได้นั้นต้องอาศัยเทคโนโลยีและเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ อาทิ สมาร์ทโฟน ฯลฯ ทำให้กลุ่มลูกค้าแคบลง จริงอยู่ว่าการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในประเทศไทยแพร่หลายขึ้นมาก แต่ก็ยังถือว่าเป็นการใช้งานเฉพาะกลุ่มอยู่ดี พฤติกรรมดังกล่าวจึงยังไม่ค่อยเอื้อกับธุรกิจ Startup เท่าที่ควรถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ แม้การทำธุรกิจ Startup ในเมืองไทยอาจไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตามถ้าได้ศึกษาและผ่านกระบวนการบ่มเพาะการสร้างเจ้าของธุรกิจอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับบริบทของประเทศโดยอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์จริงในการทำธุรกิจ โอกาสในการประสบความสำเร็จก็ยังพอมองเห็นว่าอยู่ไม่ไกลเกินคว้า |