พิธีขึ้นบ้านใหม่ การเข้าบ้านใหม่
เมื่อการสร้างบ้านเรือนเสร็จแล้วก็จะต้องทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ประกอบพิธีตามที่เชื่อถือกันว่าเป็นสิริมงคล นำความสุขความเจริญมาสู่คนในครอบครัว ในขั้นแรกผู้ที่จะอยู่อาศัยต้องเก็บกวาดทำความสะอาด ตกแต่งบ้านเรือนให้สะอาดสวยงาม เพื่อให้เกิดสิริมงคลและเป็นการให้เกียรติแก่พระสงฆ์และแขกที่เชิญมาเป็นเกียรติ พิธีขึ้นบ้านใหม่เริ่มเมื่อพระสงฆ์มาพร้อม หัวหน้าครอบครัวจุดธูปเทียนรับศีล พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ หากมีตักบาตร เมื่อพระสงฆ์สวดถึงบท “พาหุง” ให้ตักบาตรแล้วถวายอาหาร ถวายเครื่องไทยธรรม กรวดน้ำ ฟังพระสงฆ์อนุโมทนา ต่อจากนั้นทุกคนในพิธีเจ้ารับพรมน้ำมนต์จากพระสงฆ์ผู้เป็นประธาน ขณะนั้นพระสงฆ์อื่นจะเจริญมงคลคาถา เสร็จแล้วให้ใครสัก 2 คน ช่วยอุ้มบาตรน้ำมนต์ และบาตรทรายพร้อมแป้งกระแจะสำหรับเจิม นำหน้าพระสงฆ์ 1 รูป ไปพรมน้ำมนต์ตามห้องต่าง ๆ ถ้ามีการเจิมประตูบ้าน ก็นิมนต์พระท่านให้ทำในโอกาสนี้ก่อนจะโปรยทรายรอบบริเวณพื้นบ้าน ถือเป็นมงคลว่า เป็นทรายเงิน ทรายทอง ให้อยู่เย็นเป็นสุข ขับไล่ภูตผีปีศาจ ถือเป็นอันเสร็จพิธี นอกจากนั้น ถ้าเจ้าบ้านมีความประสงค์ที่จะประกอบพิธีตามทางศาสนา มีการเชิญแขกให้มาร่วมด้วยก็มีหลักที่จะต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ ต้องกำหนดวันการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ให้เป็นที่แน่นอนและการเลือกวันที่ว่านี้ ถ้าต้องการให้เป็นมงคลตามความเชื่อถือที่มีมาแต่โบราณแล้ว ก็ต้องไปหารือกับผู้ที่มีความรู้ทางโหราศาสตร์ให้กำหนดวันและเวลาให้ แล้วออกบัตรเชิญแขกให้มาร่วมในพิธีทำบุญขึ้นบ้านใหม่ และส่งบัตรนั้นออกไปในระยะเวลาก่อนถึงวันกำหนดพอสมควร ในบัตรนั้น ต้องบอกตำบลบ้านที่จะประกอบพิธี กำหนดวัน เวลาอย่างชัดเจน เรียกว่าถ้าเขียนเป็นแผนที่ได้ ก็จะดีที่สุด เมื่อใกล้กับวันที่กำหนดไว้ ต้องเตรียมตกแต่งบ้านเรือนที่จะทำบุญ ขึ้นบ้านใหม่นั้นให้เรียบร้อยงามตาตามสมควร และเตรียมสิ่งของที่จำเป็นใช้ในวันประกอบพิธีให้พร้อมเช่น อาราธนาพระสงฆ์ – เมื่อกำหนดวันงานแน่นอนแล้ว ไปอาราธนาพระตามจำนวนที่ต้องการ ก่อนถึงวันงานอย่างน้อย ๓ ถึง ๗ วัน การอาราธนานั้น ถ้าสามารถเขียนหรือพิมพ์เป็นฎีกานิมนต์ ได้เป็นการดีที่สุด โดยบอกกำหนด วัน เดือน ปี เวลา และงานให้ละเอียด ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆสำหรับพระสงฆ์ ก็สามารถยืมของที่วัดมาใช้ได้ โดยไปเบิกมาก่อนพิธีสักวัน จะได้ไม่ฉุกละหุก จำนวนพระที่นิมนต์ ตามปกติจำนวนนี้คือ ๕ รูป ๗ รูป ๙ รูป แต่ส่วนมากนิยมนิมนต์ ๙ รูป ถือกันว่าเลข ๙ เป็นเลขมงคลขลังดี งานนั้นจะได้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งสมัยนี้ขอแนะนำว่า ตามกำลังศรัทธาครับ การตั้งโต๊ะหมู่ – ควรจัดไว้ทางด้านขวามือของพระสงฆ์ โดยให้พระพุทธผินพระพักตร์ไปด้านเดียวกับพระสงฆ์ ถ้าสถานที่อำนวยให้ผินพระพุทธรูปไปทางด้านทิศตะวันออก หรือทิศเหนือ ได้ก็ยิ่งดี ถ้าสถานที่ไม่พอก็ให้จัดตามความเหมาะสมกับสถานที่ (นี่ก็เป็นข้อจำกัดในการนิมนต์พระด้วย ว่าควรจะเป็นกี่รูป) พระพุทธรูปที่จะนำมาตั้งโต๊ะบูชานั้น ไม่ให้มีครอบและเล็กจนเกินไป หรือใหญ่เกินไป ถ้าโต๊ะบูชาใหญ่เล็ก ก็ให้จัดพระบูชาเหมาะสมตามส่วน มีแจกันดอกไม้ พานดอกไม้จัด ๓ หรือ ๕ พาน แจกันจะใช้ ๑ – ๒ คู่ก็ได้ แล้วแต่ขนาดของโต๊ะ กระถางธูปให้ปักไว้ ๓ ดอก เชิงเทียน ๑ คู่ พร้อมเทียน ขันน้ำมนต์ จะใช้ขัน หรือบาตรหม้อน้ำมนต์มีเชิงก็ได้ (ไม่มีก็ยืมพระท่านไว้เลย) ใส่น้ำสะอาดพอควร มีเทียนน้ำมนต์ ขี้ผึ้งอย่างดี ๑ – ๒ เล่ม ใบเงินใบทองอย่างละ ๕ ใบ มัดหญ้าคาหรือก้าน มะยม สำหรับประพรมน้ำพระพุทธมนต์ ๑ มัด ถ้าใช้ใบมะยมใช้ก้านสด ๙ ก้าน ถ้ามีการเจิม ก็เตรียมแป้งกระแจะ ใส่น้ำหอมในผอบเจิมด้วย ถ้ามีการปิดทองด้วย ก็เตรียมทองคำเปลวไว้ ตามต้องการไว้ในพาน ตั้งไว้ข้างบาตรน้ำมนต์ด้วย ด้ายสายสิญจน์ – ใช้ด้ายดินจับ ๙ เส้น ๑ ม้วน โยงรอบบ้านหรือบริเวณพิธี เวียนจากซ้ายไป ขวา โยงเข้าหาพระประธานที่โต๊ะหมู่บูชา เวียนซ้ายไปขวาเช่นเดียวกัน แต่ไม่ควรเอาไปพันไว้ที่องค์พระประธาน เวียนรอบฐานพระโยงมาที่ขันหรือบาตรน้ำมนต์เวียนขวา แล้วนำด้ายสายสิญจน์วางไว้บนพานรอง ตั้งไว้ข้างโต๊ะบูชาใกล้กับพระเถระ องค์ประธานในสงฆ์ เรื่องด้ายสายสิญจน์นี้ มีข้อควรระวังเป็นพิเศษคือ ห้ามข้ามกรายเป็นเด็ดขาด แม้ที่สุดจะหยิบ ของข้ามหรือยื่นมือไปเขี่ยบุหรี่ บ้วนน้ำหมากน้ำลาย ก็ไม่ควรข้ามด้ายสายสิญจน์อย่างยิ่ง เพราะ นอกจากเป็นการแสดงความไม่เคารพในพระพุทธเจ้า หรือถ้าเป็นงานศพก็ไม่เป็นการเคารพในผู้ตาย และยังเป็นผู้ที่ถูกติเตียนด้วย หากมีความจำเป็นจริงๆ ก็ควรสอดมือไปทางใต้ด้ายสายสิญจน์ การปูอาสนะสำหรับพระสงฆ์ – ควรใช้เสื่อหรือพรหมปูเสียชั้นหนึ่งก่อน นิยมใช้กัน ๒ วิธีคือ ยกพื้นอาสนะสงฆ์ให้สูงขึ้น โดยใช้เตียงหรือแคร่ม้ายาววางต่อกันให้พอจำนวนแก่สงฆ์ และอีก วิธีหนึ่ง ปูลาดอาสนะบนพื้นธรรมดา อาสนะสงฆ์ชนิดยกพื้นนิยมใช้ผ้าขาวปูลาด จะมีผ้านิสีทนะ ปูอีกชั้นหนึ่ง หรือไม่ก็ได้ โดยอาสน์สงฆ์ยกพื้นนี้ มักจัดในสถานที่ที่ฝ่ายเจ้าภาพนั่งเก้าอี้กัน ส่วนอาสนะชนิดที่ปูลาดบนพื้นธรรมดา จะใช้เสื่อหรือพรมผ้าที่สมควรก็สุดแท้แต่ที่จะหาได้ หลักคืออาสนะสงฆ์ ควรอยู่สูงกว่าคนธรรมดาขั้นหนึ่งเสมอ ดังนั้นควรระวังอย่าให้อาสนะพระสงฆ์กับที่นั่งของคฤหัสถ์ฝ่ายเจ้าภาพเป็นอันเดียวกัน ควรปูลาดให้แยกจากกัน ถ้าจะเป็นแยกกันไม่ได้โดยปูเสื่อหรือพรมไว้เต็มห้อง สำหรับอาสนะสงฆ์ ควรปูทับเสื่อหรือพรมอีกชั้นหนึ่งจึงจะเหมาะสม โดยใช้ผ้าขาวหรือผ้านิสีทนะก็ได้ ปูเรียงองค์เป็นระยะให้ห่างกันพอสมควร อย่าให้ชิดกันเกินไป มีหมอนอิงข้างหลังเรียงองค์เท่า จำนวนที่นิมนต์มาในงานนั้นๆ (สิ่งของเหล่านี้ก็ขอยืมที่วัดได้ทั้งหมด) เครื่องรับรองพระ ก็มีกระโถน, ภาชนะน้ำเย็น วางไว้ทางด้านขวามือของพระสงฆ์เป็นรายรูป ถ้าของมีจำกัด ๒ รูปต่อ ๑ ที่ก็ได้ วางเรียงจากข้างในมาหาข้างนอก ตามลำดับ คือกระโถนไว้ในที่สุด ถัดมาภาชนะน้ำเย็น ส่วนน้ำชา หรือเครื่องดื่ม เมื่อพระสงฆ์เข้านั่งเรียบร้อยแล้ว ค่อยถวายก็ได้ การล้างเท้า – เช็ดเท้าพระสงฆ์ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยพบเห็น ซึ่งแต่ก่อนเมื่อพระสงฆ์มาถึงบ้าน ฝ่ายต้อนรับจะคอยล้างเท้าให้ท่าน จะให้ท่านล้างเท้าเองดูไม่เหมาะ เพราะน้ำอาจมีสัตว์ขัดกับพระวินัย ซึ่งมีพุทธบัญญัติว่า เราภิกษุไม่เป็นไข้ จักไม่สวมรองเท้าเข้าไปในบ้าน ถ้าภิกษุรูปใดฝ่าฝืนรับเป็นอาบัติทุกกฎ เสร็จแล้วคอยเช็ดเท้าให้ท่านด้วย สมัยนี้พอลงจากรถ ก็นิมนต์ขึ้นบ้านเลย (ที่หนักกว่านั้นคือ ไม่ไปรับท่านมาจากวัด ให้ท่านขึ้น taxi มาเองก็มี) จากนั้นจึงประเคนเครื่องรับรองพระสงฆ์ เมื่อพระสงฆ์เข้าประจำที่เรียบร้อยแล้ว พึงเข้าประเคนของรับรองพระที่เตรียมไว้ปูแล้ว คือภาชนะน้ำเย็น พานหมากบุหรี่ (เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยถวายกันแล้ว) ประเคนของที่อยู่ข้างใน ก่อน เสร็จแล้วน้ำชาหรือน้ำอัดลมถวายทีละองค์จนครบ การประเคนต้องให้ได้หัตถบาศ คือต้องเข้าไปใกล้พระประมาณ ๑ ศอก จะเป็นชายหรือหญิง ก็ประเคนได้ทั้งนั้น ส่วนของที่ประเคนต้องไม่ใหญ่หรือหนักเกินไป ต้องเป็นของที่พอจะยกได้คนเดียว การจุดธูปเทียนเป็นหน้าที่ของเจ้าภาพไม่ควรให้ผู้อื่นจุดแทน ก่อนจุดเทียนให้กราบพระพุทธเสียก่อน แล้วใช้เทียนชนวนจุดเทียนบนที่บูชา ให้จุดเล่มขวาของพระพุทธรูปเสียก่อน แล้วจุดเล่มซ้าย จึงจุดธูป ๓ ดอก แล้วภาวนาว่า ครั้นเมื่อบูชาและกราบพระเสร็จแล้วให้ถวายกลุ่มด้ายสายสิญจน์ ถวายก็ได้ ถวายเสร็จแล้วเริ่มอาราธนาศีลต่อไป ดังนี้ จุดเทียนน้ำมนต์ตอนพระสวดถึงมงคลคาถาตอนขึ้น “อเสวนาฯ” ให้จุดเทียนชนวนแล้วไปจุดเทียนสำหรับหยดน้ำมนต์ที่ปักติดไว้กับภาชนะทำน้ำมนต์ จุดเสร็จก็ยกประเคน ถวายพระทำน้ำมนต์ต่อไป ไหว้หรือกราบหนึ่งครั้ง (จุดเทียนน้ำมนต์เป็นหน้าที่ของเจ้าภาพ)
เมื่อพระสวดมนต์จวนจบ ถึงบท ส่งเทวดา คือ ทุกฺขปฺปตฺตา…ฯ ให้จัดเตรียมน้ำร้อน น้ำดื่มไว้ พอสวดจบก็เอาไปถวายพระท่าน แล้วเลี้ยงภัตตาหารพระ อย่าลืมจัดสำรับคาวหวานถวายพระพุทธ เจ้าภาพควรบูชาด้วยใจนึกดังนี้ พอการทำบุญเลี้ยงพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็ทำพิธีขึ้นบันไดตามลัทธิความเชื่อถือ (ตามแต่ศรัทธา ไม่ค่อยมีแพร่หลายนัก) ให้ขึ้นบ้านตามทิศที่เป็นมงคล ขึ้นทางทิศบูรพาให้เอาเงินขึ้นก่อนจะมีลาภ ถ้าขึ้นทางทิศอุดรให้เอาทองขึ้นก่อนจะได้สัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้า และถ้าขึ้นทางทิศอีสานให้เอานมวัวและของขาวขึ้นก่อน การขึ้นบ้านตอนแรกท่านให้เอาหญ้าแพรก งา เหล็ก ขึ้นก่อน จะปราศจากทุกข์และอุปัทวันตรายทั้งปวง วันที่จะขึ้นบ้านใหม่ ที่จัดว่าเป็นวันดี ได้แก่ วันพุธ วันพฤหัสบดี และวันศุกร์ พิธีพระเสร็จแล้วก็จะมีการเลี้ยงอาหารกัน เมื่อสมัยก่อนราว ๓๐-๔๐ ปี จะมีการเลี้ยงอาหารแก่วงศาคณาญาติมิตรสหายและแขกเหรื่อที่เชิญมาเป็นเกียรติในงาน พร้อมทั้งจัดให้มีมหรสพ การเล่นรื่นเริง เช่น โขน ละคร ลิเก ลำตัด ให้ชมอีกด้วย การเลี้ยงอาหารแขกแบบไทยๆ นั่งล้อมกันเป็นวงๆ หรือทำร้านมีกระดาน ๓-๔ แผ่นปูยาวสำหรับตั้งอาหาร ๒ ข้าง มีกระดานแผ่นเดียวลดต่ำลงมาปูยาวไปสำหรับแขกนั่งรับประทานอาหาร แต่ปัจจุบันนี้การเลี้ยงแขกนิยมใช้โต๊ะจีนอาหารจีนกันเป็นส่วนมาก มหรสพที่จัดให้ชมมักนิยมหาดนตรี นักร้องเพลงลูกทุ่งลูกกรุง หางเครื่องมาแสดงตอนแขกรับประทานอาหาร เพื่อให้งานครึกครื้นสนุกสนาน รื่นเริงบันเทิงใจไม่เงียบเหงา การจัดงานใหญ่งานเล็กก็แล้วแต่ฐานะและรสนิยมความต้องการของเจ้าภาพ แต่มหรสพเดี๋ยวนี้ไม่นิยมจัดกันแล้ว เพราะฟุ่มเฟือยเกินไป ถ้าต้องการให้มีการยกศาลพระภูมิในวันนั้นด้วย ก็ต้องเชิญผู้มีความรู้ในทางนี้มาเป็นผู้ทำหน้าที่ประกอบพิธีในวันนั้นด้วย ควรเตรียมต้อนรับรองแขกให้พร้อม และมีการนัดหมายกับผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกให้เป็นที่เข้าใจว่าใครมีหน้าที่ที่จะต้องทำอย่างไร ถ้ามีการเลี้ยงอาหารแขกด้วย ก็ต้องเตรียมห้องอาหารและอาหารให้พร้อม จะเห็นว่าการทำบุญขึ้นบ้านใหม่แบบดั้งเดิม เต็มตามพิธีนั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จึงควรจัดตามความเหมาะสมพอดี และพิธีทางพระนี้ ก็เป็นสิ่งควรทำ ส่วนสิ่งที่เป็นความเชื่อ ทางโหราศาสตร์ หรือฮวงจุ้ย เกี่ยวกับการขึ้นบ้านใหม่นั้น จะทำหรือไม่ เชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล แต่ก็นำมาลงให้อ่านกันให้ครบทุกด้านครับ ส่วนการทำพิธีอย่างอื่น ที่ไม่ใช่พิธีสงฆ์ มีวิธีการดังนี้ ขั้นตอนการทำพิธี พิธีนี้เป็นความเชื่ออีกอย่างหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ทำตามกันมามากกว่า ไม่เหมือนพิธีกรรมที่เป็นการทำบุญเลี้ยงพระ พิธีการนี้ เป็นเพียงความเชื่อโบราณซึ่งท่านถือเป็นคติสืบต่อกันมา อย่างไรก็ตามคนไทยกับความเชื่อในหลายๆ เรื่องก็ยังคงแยกกันไม่ขาดแม้แต่ในยุคปัจจุบันก็ตาม
ส่วนพิธี ขึ้นบ้านใหม่ / เข้าบ้านใหม่ แบบซินแสจีน ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับพลังและกระแสต่างๆ ที่เรามองไม่เห็น ลองอ่านเป็นความรู้บ้างก็ดีครับ แต่ใครไม่ค่อยสนใจก็ผ่านไปเลยครับ ถือว่าจบพิธีทำบุญเลี้ยงพระแบบมาตรฐานแล้ว
ในกรณีที่เป็นบ้านใหม่ หรือบ้านนั้นยังไม่เคยเข้าไปอยู่อาศัย ก่อนย้ายเข้า เราสามารถปรับสภาพกระแสภายในบ้านให้ปราศจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย
เราควรกำหนดจุดตั้ง และเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นไว้ล่วงหน้า เพื่อสะดวกในวันทำพิธี และจะได้ตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เสร็จทันในฤกษ์ หากต้องการนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาก่อน ให้ใส่กล่องทึบและวางไว้โต๊ะกลางบ้าน เพื่อจะได้ไม่เกี่ยวข้องกับทิศทาง และหากอัญเชิญมาจากที่บ้านเก่าต้องดูฤกษ์อัญเชิญลง หมายเหต : ไม่ควรเป็นเนื้อสัตว์ เพราะเท่ากับเบียดเบียนชีวิตอื่น สำหรับท่านที่พร้อมแล้ว สามารถเริ่มต้นจากการทำการ์ดขึ้นบ้านใหม่ก่อน รายละเอียดมีที่นี่ ที่มา : ขอขอบคุณ เว็บไซต์ www.mahamodo.com |