พระรัตนตรัย : ความหมายและคุณค่าของธรรมคุณ 6 ธรรมคุณ หมายถึง คุณของพระธรรม ประกอบด้วย 1. สฺวาขาโต ภควตา ธมฺโม แปลว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว คือตรัสไว้เป็นความจริงแท้ อีกทั้งงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด พร้อมทั้งธรรม(เนื้อความใจความ) พร้อมทั้งพยัญชนะ(อักษร) ประกาศหลักการครองชีวิตอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง 2. สฺนทิฏฐิโก แปลว่า อันผู้ปฏิบัติธรรมจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง คือผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้ใดบรรลุธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นประจักษ์ด้วยตนเองไม่ต้องเชื่อตามคำบอกของผู้อื่น ผู้ใดไม่ปฏิบัติธรรม ไม่บรรลุธรรม ถึงผู้อื่นจะบอกก็เห็นชัดไม่ได้ 3. อกาลิโก แปลว่า ไม่ประกอบด้วยภาค คือ การปฏิบัติธรรมไม่ขึ้นกับกาลเวลา พร้อมเมื่อใด บรรลุได้ทันที บรรลุเมื่อใด เห็นผมได้ทันทีอีกอย่างว่าความเจริญเป็นอยู่อย่างไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่จำกัดด้วยกาลเวลา 4. เอหิปสฺสิโก แปลว่า ควรเรียกให้มาดู คือเชิญชวนให้มาชมและพิสูจน์ได้ หรือท้าทายต่อการตรวจเป็นของจริงและดีจริง5. โอปนยิโก แปลว่า
ควรน้อมเข้ามา คือ ควรน้อมนำหลักธรรมเข้ามาไว้ในใจ หรือน้อมใจเข้าไปให้ถึงหลักธรรมด้วยการปฏิบัติให้เกิดมีขึ้นในใจหรือให้ใจบรรลุถึงอย่างนั้น หมายความว่าเชิญชวนให้ทดลองปฏิบัติดูอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่นำผู้ปฏิบัติให้เข้าไปถึงที่หมายคือนิพพาน อริยสัจ 4: ทุกข์ : ขันธ์ 5 : อายตนะ อายตนะ แม้ว่าชีวิตจะประกอบด้วยขันธ์ 5 ซึ่งแบ่งซอยออกไปเป็นหน่วยย่อยต่าง ๆ มากมาย แต่ในทางปฏิบัติ คือในการดำเนินชีวิต ทั่วไปมนุษย์ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับส่วนประกอบเหล่านั้นโดยทั่วถึงแต่อย่างใด ส่วนประกอบหลายอย่างมีอยู่และทำหน้าที่ของมันเป็นโดยมนุษย์ไม่รู้จักหรือแม้รู้จักก็แทบไม่ได้นึกถึงเลย เช่น ในด้านรูปธรรม อวัยวะภายในร่างกายหลายอย่างทำหน้าที่ของมันอยู่โดยมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของไม่รู้และไม่ได้ใส่ใจที่จะรู้ จนบางคราวมันเกิดความวิปริตหรือทำหน้าที่บกพร่องขึ้น มนุษย์จึงจะหันมาสนใจ แม้องค์ประกอบต่างในการะบวนการผ่ายจิตก็เป็นเช่นเดียวกัน การศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบต่าง ๆ และกระบวนการทำงานด้านจิตใจเราปล่อยให้เป็นภาระของนักศึกษาทางแพทยศาสตร์และชีววิทยา ส่วนการศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบและกระบวนการทำงานด้านจิตใจ เราปล่อยให้เป็นภาระของนักอภิธรรมและนักจิตวิทยา แต่สำหรับคนทั่วไป ความหมายของชีวิตอยู่ที่ชีวิตในทางปฏิบัติ หรือชีวิตที่ดำเนินอยู่เป็นประจำในแต่ละวัน ซึ่งได้แก่การติดต่อเกี่ยวข้องกับโลก สิ่งที่ให้ความหมายแก่ชีวิต คือการติดต่อเกี่ยวข้องกับโลกหรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ชีวิตตามความหมายของมนุษย์คือชีวิตโดยความสัมพันธ์กับโลก ชีวิตในทางปฏิบัติหรือชีวิตโดยความสัมพันธ์กับโลกได้ ซึ่งเรียกว่า”ทวาร”(ประตู, ช่องทาง)หรืออายตนะ อายตนะ แปลว่า ที่ต่อ หรือแดน หมายถึงที่ต่อกันให้เกิดความรู้ แดนเชื่อมต่อให้เกิดความรู้หรือแหล่งที่มาของความรู้ แปลอย่างง่าย ๆ ว่า ทางรับรู้ แบ่งออกเป็น 1.อายตนะภายในหมายถึง ที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ แดนต่อความรู้ฝ่ายภายใน ได้แก่ ตา(จักขุ) หู(โสตะ) จมูก (ฆานะ) ลิ้น (ชิวหา) กาย (กาย) ใจ (มโน) ทั้ง 6 นี้เรียกอีกอย่างว่า อินทรีย์ 6 เพราะเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตนแต่ละอย่าง เช่น จักขุ เป็นเจ้าในการเห็น เป็นต้น 2. อายตนะภายนอก หมายถึง ที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ แดนต่อความรู้ฝ่ายภายนอก ได้แก่ รูป (รูปะ) คือสิ่งที่เห็น เสียง (สัททะ) สมุทัย :หลักกรรม : สมบัติ 4 วิบัติ 4 อกุศลกรรมบถ 10 อบายมุข 6 สมบัติ 4 สมบัติ หมายถึง ข้อดี ความเพียบพร้อม ความสมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งอำนวยแก่การให้ผลของกรรมดี และไม่เปิดช่องให้กรรมชั่วแสดงผล หรือส่วนประกอบอำนวยช่วยเสริมกรรมดี ประกอบด้วย 1. คติสมบัติ หมายถึง สมบัติแห่งคติ หรือถึงพร้อมด้วยคติ ในช่วงยาว หมายถึง เกิดในกำเนิดอันอำนวย หรือที่เกิดอันเจริญในช่วงสั้น หมายถึง ที่อยู่ ที่ไป ทางดำเนินดีหรือทำสิ่งที่ถูกต้อง คือในกรณีนั้น ๆ สภาพแวดล้อมนั้น ๆ ถิ่นที่อยู่นั้น ๆ ตลอดถึงแนวทางดำเนินชีวิตขณะนั้น เอื้ออำนายแก่การกระทำความดี หรือการเจริญงอกงามของความดี ทำให้ความดีปรากฏโดยง่าย 2. อุปธิสมบัติ หมายถึง สมบัติแห่งร่างกาย ถึงพร้อมด้วยรูปกาย มีรูปกายที่ดีพร้อม ในช่วงยาว หมายถึง มีการสง่า สวยงามบุคลิกภาพดี ในช่วงสั้น หมายถึง มีร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี 3. กายสมบัติ หมายถึง สมบัติแห่งกาล ถึงพร้อมด้วยกาล ในช่วงยาวหมายถึง เกิดอยู่ในสมัยที่โลกมีความเจริญ หรือบ้านเมืองสงบสุข มีการปกครองที่ดี คนในสังคมอยู่ในศีลธรรม สามัคคีกัน ยกย่องคนดี ไม่ส่งเสริมคนชั่ว ในช่วงสั้น หมายถึง ทำถูกกาลเวลา 4. ปโยคสมบัติ หมายถึง สมบัติแห่งการประกอบ ถึงพร้อมด้วยการประกอบความเพียร ในช่วงยาวหมายถึง ฝักใฝ่ในทางที่ถูก นำความเพียรไปใช้ขวานขวายประกอบการที่ถูกต้องดีงาม มีปกติประกอบกิจการงานที่ถูกต้อง ทำแต่ความดีงามอยู่แล้ว ในช่วงสั้น หมายถึง เมื่อทำกรรมดี ก็ทำให้ถึงขนาด ทำจริงจัง ให้ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ ใช้วิธีการที่เหมาะกับเรื่อง หรือทำความดีต่อเนื่องมาเป็นพื้นแล้ว กรรมดีที่ทำเสริมเข้าไปอีก จึงเห็นผลได้ง่าย วิบัติ 4 วิบัติ หมายถึง ข้อเสีย,จุดอ่อน,ความบกพร่องแห่งองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งไม่อำนวยแก่การให้ผลดีของกรรมดี แต่เปิดช่องให้กรรมชั่วแสดงผล หรือส่วนประกอบบกพร่อง เปิดช่องให้กรรมชั่ว ประกอบด้วย 1. คติวิบัติ หมายถึง วิบัติแห่งคติ,คติเสีย ในช่วงยาวหมายถึง เกิดในกำเนินต่ำทราม หรือเกิดในที่ไร้ความเจริญ ในช่วงสั้น หมายถึง ที่อยู่ ที่ไป ทางดำเนินชีวิตไม่ดี หรือทำไม่ถูกเรื่อง ไม่ถูกที่ คือ ในกรณีนั้น ๆ สภาพแวดล้อมนั้น ๆ ถิ่นนั้น ๆ ตลอดถึงแนวทางดำเนินชีวิตขณะนั้นไม่เอื้ออำนวยแก่การกระทำความดีหรือการเจริญงอกงามของความดี แต่กลับเปิดทางให้แก่ความชั่วและผลร้าย 2. อุปธิวิบัติ หมายถึง วิบัติแห่งร่างกาย ,รูปกายเสีย ในช่วงยาว หมายถึง ร่างกายพิการ ไม่งดงาม บุคลิกภาพไม่ดี ในช่วงสั้น หมายถึง สุขภาพไม่ดี เจ็บป่วย มีโรคเบียดเบียน 3. กาลวิบัติ หมายถึง วิบัติแห่งกาล กาลเสีย ในช่วงยาวหมายถึง เกิดในสมัยที่โลกไม่มีความเจริญ หรือบ้านเมืองมีแต่ภัยพิบัติ ผู้ปกครองไม่ดี สังคมเสื่อมจากศีลธรรม มีการกดขี่เบียดเบียนกันมาก ยกย่องคนชั่วเป็นใหญ่ บีบคั้นคนดี เป็นต้น ในช่วงสั้นหมายถึง ทำผิดกาลเวลา 4. ปโยควิบัติ หมายถึง วิบัติแห่งการประกอบกิจการเสีย ในช่วงยาวหมายถึง ฝักใฝ่ในทางที่ผิด ประกอบกิจการงานที่ผิด หรือมีปกติชอบกระทำแต่ความชั่ว ในช่วงสั้น หมายถึง เมื่อกระทำกรรมดี ก็ไม่ทำให้ถึงขนาด ไม่ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ ทำจับจดใช้วิธีการไม่เหมาะกับเรื่อง หรือเมื่อประกอบคาวมดีต่อเนื่องมา แต่กลับทำความชั่วหักล้างความดี เป็นต้น วิบัติ 4 นี้ เป็นสิ่งที่จะต้องนำมาประกอบการพิจารณาในเรื่องการให้ผลของกรรม เพราะการปรากฏของวิบากกรรม นอกจากอาศัยเหตุหรือกรรมแล้ว ยังต้องอาศัยฐานคือ คติ อุปธิ กาละ และปโยคะ เป็นปัจจัยประกอบด้วย อกุศลกรรมบถ 10 อกุศลกรรมบถ หมายถึง ทางแห่งอกุศล ,ทางทำความชั่ว กรรมชั่วอันเป็นทางนำไปสู่ความเสื่อม ความทุกข์ หรือทุกคติเป็นสภาพที่ทำให้จิตเสียคุณภาพและเสื่อมสมรรถภาพ ดังนั้น ส่วนที่เป็นอกุศลกรรมบถ เป็นสิ่งที่ควรละเสีย ประกอบด้วย ก. กายกรรม 3 หมายถึง การกระทำชั่วทางกาย ได้แก่ ค. มโนกรรม 3 หมายถึง การกระทำชั่วทางใจ ได้แก่ อบายมุข 6 อบายมุข หมายถึง ช่องทางแห่งความเสื่อม ,ทางแห่งความพินาศ,หรือเหตุให้เกิดความย่อยยับแห่งโภคทรัพย์ เป็นสิ่งที่ควรละเว้น ประกอบด้วย 1. ติดสุราและของมึนเมา มีโทษ 6 ประการคือ 1.1 เสียทรัพย์ คือทรัพย์หมดไป ๆ เห็นชัด 2.1 เป็นการไม่รักษาตัว 2.2 เป็นการไม่รักษาลูกเมีย 2.3 เป็นการไม่รักษาทรัพย์สมบัติ 2.4 เป็นที่ระแวงสงสัย เป็นผู้ต้องสงสัย 2.5 เป็นเป้าให้เขาใส่ความหรือเป็นที่เล่าลือของบุคคลอื่น 2.6 นำเรื่องเดือดร้อนมาให้ตนเองและครอบครัว3. ชอบดูการละเล่น มีโทษคือทำให้การงานเสื่อมเสีย เพราะใจกังวลคอยคิดแต่การละเล่น และเสียเวลาเมื่อไปดูสิ่งนั้น ๆ 6 ประการคือ 3.1 เต้นรำที่ไหนไปที่นั่น 4.1 เมื่อชนะย่อมก่อเวร 4.2 เมื่อแพ้ก็เสียดายทรัพย์สินที่เสียไป 4.3 เสียทรัพย์ ทรัพย์หมดไป ๆ เห็นได้ชัด 4.4 เข้าที่ประชุม เขาไม่เชื่อถ้อยคำ 4.5 เป็นที่หมิ่นประมาทของเพื่อนฝูง 4.6 ไม่เป็นที่พึงประสงค์ของผู้ที่จะหาคู่ครองให้ลูกของเขา เพราะเห็นว่าจะเลี้ยงลูกเมียไม่ไหว5. คบคนชั่ว ทำให้เกิดโทษ โดยนำให้กลายไปเป็นคนชั่วอย่างคนที่ตนคบทั้ง 6 ประเภท คือ 5.1 นักการพนัน 5.2 นักเลงผู้หญิง 5.3 นักเลงเหล้าและสิ่งเสพติดต่าง ๆ 5.4 นักลวงของปลอม 5.5 นักหลอกลวง 5.6 นักเลงหัวไม้6. เกียจคร้านทำการงานมีโทษ โดยทำให้ยกเหตุต่าง ๆ เป็นข้ออ้าง ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ทำการงานโภคทรัพย์ใหม่ก็ไม่เกิดโภคทรัพย์เก่าที่มีอยู่ก็หมดไป คืออ้างไปทั้ง 6 กรณีว่า 6.1 มักอ้างว่า หนาวนัก แล้วไม่ทำงาน บุคคลในสังคมใดมัวเมามั่วสุมอยู่ในอบายมุขดังกล่าวข้างต้นสังคมนั้นจะพบแต่ความเสื่อมความพินาศหายนะโดยไม่ต้องสงสัยหากคนในสังคมต้องการให้ตนเอง
ครอบครัวและสังคมมีความเจริญรุ่งเรือง มีความสุข ก็จำต้องละเว้นอบายมุข ทั้ง 6 เหล่านั้นเสีย นิโรธ : สุข 2 สุข 2 (happiness)
ความสุข คือความดับทุกข์การสิ้นทุกข์ (นิโรธ) ทั้งปวง ความดับทุกข์ หมายถึง หมดความทุกข์ บรรลุความสุขอันสูงสุด ความสุขมีความสำคัญมากในการปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนา อาจกล่าวได้ว่า พุทธจริยธรรมไม่แยกส่วนต่างหากจากความสุข เริ่มตั้งแต่ขั้นต้นในการทำความดีหรือกรรมดีทั่ว ๆ ไปที่เรียกว่า บุญ ก็มีพุทธพจน์ตรัสว่า “บุญเป็นเรื่องของความสุข” ในการบำเพ็ญเพียรทางจิตหรือเจริญภาวนา ความสุขก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เกิดสมาธิ ดังพุทธพจน์ ว่า “ผู้มีสุข จิตย่อมตั้งมั่น(เป็นสมาธิ)” และเมื่อจิตเป็นสมาธิบรรลุฌานแล้ว ความสุขก็เป็นองค์ประกอบของฌาน และสุขที่ประณีตขึ้นไปอีก คือจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ นิพพาน ก็เป็นความสุข และเป็นบรมสุขคือ สุขสูงสุดอีกด้วย นอกจากนั้น จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาที่เป็นบรมสุขหรือโพธินั้น ก็พึงบรรลุได้ด้วยความสุข หรือด้วยข้อปฏิบัติที่มีความสุข มิใช่บรรลุด้วยความทุกข์หรือด้วยข้อปฏิบัติที่เป็นทุกข์ สุข 2 ในที่นี้หมายถึง ความสุข 2 ลักษณะคือ 1. สามิสสุข (sensual happiness)หมายถึง ความสุขทางวัตถุ คือความสุขที่เกิดจากกามคุณ หรือความสุขทางโลกีย์ เช่นความสุขที่เกิดจากการได้เห็นรูป ได้ลิ้มรส ได้ดมกลิ่น ได้ยินเสียง และการสัมผัส เป็นที่พึงพอใจ เป็นที่น่าใคร่น่าปารถนา เป็นต้น 2. นิรามิสสุข (spirituall happiness) หมายถึง ความสุขทางใจ คือ ความสุขปลอดโปร่งเพราะใจสงบ หรือได้รู้แจ้งตามความเป็นจริงเป็นความสุขที่ไม่อิงอาศัยวัตถุ เป็นต้น มรรค : บุพพนิมิตของมัชฌิมปฏิปทา ดรุณธรรม 6 กุลจิรัฎฐิติธรรม 4 กุศลกรรมบถ 10 มงคล 38 : ประพฤติธรรม เว้นจากการดื่มน้ำเมา บุพพนิมิตของมัชฌิมปฏิปทา บุพพนิมิตของมัชฌิมปฏิปทา ก็คือบุพภาคของการศึกษา หมายถึง ส่วนเบื้องต้นของการศึกษา นั่นคือ “สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ” เป็นองค์ประกอบสำคัญของมรรค ในฐานะที่เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรม หรือเป็นขั้นเริ่มแรกในระบบการศึกษาตามหลักการของพระพุทธศาสนา และเป็นธรรมที่ต้องพัฒนาให้บริสุทธิ์ ชัดเจน เป็นอิสระมากขึ้นตามลำดับ จนกลายเป็นการตรัสรู้ในที่สุด สัมมาทิฎฐิ คือปัญญาชั้นสูงที่เกิดจาการสั่งสอนอบรมในด้านจิตใจ จนเห็นสัจจะทั้งปวงว่าอะไรควรข้องแวะ อะไรควรละอย่างชัดเจน การจัดการศึกษาจนได้ปัญญาประเภทสัมมาทิฎฐิ คือการวางรากฐานความถูกต้องให้แก่วิชาการทั้งปวง ความรู้ใด ๆ ก็ตามที่ตั้งอยู่บนสัมมาทิฎฐิ ล้วนเป็นความรู้ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใคร แต่จะสร้างสรรค์ประโยชน์ฝ่ายเดียว พื้นฐานสำคัญของการเรียนการสอนวิชาต่างๆ ต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นแกนกลาง พระพุทธองค์ก็ได้ชี้ชัดว่าการเกิดสัมมาทิฏฐิมาจากเหตุสองอย่าง คือ 1. ปรโตโฆสะ คือปัจจัยกระตุ้นการเรียนรู้จากภายนอก เช่น การแนะนำ การถ่ายทอด การโฆษณา คำบอกเล่า ตลอดจนการเลียนแบบจากพ่อ แม่ ครู เพื่อน ซึ่งหมายเอาเฉพาะการเรียนจากส่วนที่ดีงามถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับฟังธรรม ความรู้ หรือคำแนะแนะนำจากบุคคลที่เป็นกัลยาณมิตร บุคคลที่ทรงคุณธรรม เป็นต้น2. โยนิโสมนสิการ คือปัจจัยกระตุ้นการเรียนรู้จากภายใน หมายถึงการคิดอย่างแยบคาย หรือความรู้จักคิด คิดอย่างมีระบบ คิดอย่างมีกระบวนการ คิดรอบด้าน หรือคิดตามแนวทางปัญญา คือรู้จักมอง รู้จักพิจารณาสิ่งทั้งหลายตามสภาวะ ตามความเป็นจริง ซึ่ง โยนิโสมนสิการ เป็นองค์ประกอบภายใน ได้แก่ปัจจัยภายในตัวบุคคล เรียกว่า วิธีการแห่งปัญญา นั่นก็คือ วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการเป็นวิธีคิดที่ก่อให้เกิดปัญญา ปัจจัยทั้งสองอย่างนี้ย่อมสนับสนุนซึ่งกันและกัน สำหรับคนสามัญซึ่งมีปัญญาไม่แก่กล้า ย่อมต้องอาศัยการแนะนำชักจูงจากผู้อื่น (ปรโตโฆสะ) และคล้อยตามคำแนะนำชักจูงที่ฉลาดได้ง่าย แต่ก็จะต้องฝึกหัดให้สามารถใช้ความคิดอย่างถูกวิธี (โยนิโสมนสิการ) ด้วยตนเองได้ด้วย จึงจะก้าวหน้าไปถึงที่สุดได้ ส่วนคนที่มีปัญญาแก่กล้าย่อมรู้จักใช้โยนิโสมนสิการได้ดีกว่า
แต่อย่างไรก็ตามก็อาจต้องอาศัยคำแนะนำที่ถูกต้องเป็นเครื่องนำทางในเบื้องต้น และเป็นเครื่องช่วยส่งเสริมให้ก้าวหน้าไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้นในระหว่างการฝึกอบรม ดรุณธรรม 6 ดรุณธรรม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัฒนมุข หมายถึง ธรรมที่เป็นหนทางแห่งความสำเร็จ คือ การเปิดประตูสู่ความเจริญก้าวหน้า ดำเนินตามหลักธรรมที่เป็นทวารแห่งประโยชน์สุข หรือข้อปฏิบัติที่เป็นดุจประตูชัยอันเปิดออกไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของชีวิต มี 6 ประการคือ 1. อโรคยะ หมายถึง การรักษาสุขภาพดี มีลาภอันประเสริฐ คือความไร้โรคทั้งทางจิตและทางกาย กุลจิรัฏฐิติธรรม 4 (reasons for lasting of a wealthy family) 1. นัฎฐคเวสนาหมายถึง ของหายของหมด รู้จักหามาไว้ คือเมื่อมีสิ่งของภายในบ้านสูญหายไป และอยู่ในวิสัยที่จะหามาแทนได้ ก็รู้จักหาวิธีการต่าง ๆ ให้ได้มาซึ่งสิ่งของเหล่านั้น หรือหาสิ่งของอื่น ๆ มาทดแทนไว้ เป็นต้น 2. ชิณณปฏิสังขรณา หมายถึง ของเก่าชำรุด รู้จักบูรณะซ่อมแซม คือการรู้จักบำรุงรักษาและซ่อมแซมสิ่งของที่ชำรุดที่ยังสามารถนำมาใช้ใหม่ได้ หรืออยู่ในสภาพที่ยังสามารถทำงานได้ แต่มีอุปกรณ์บางอย่างชำรุดไป ก็สามารถที่จะซ่อมแซมนำกลับมาใช้ใหม่ได้นอกจากนี้ยังหมายถึงการรู้จักนำสิ่งของที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ได้ใหม่ (recycle) 3. ปริมิตปานโภชนา หมายถึง รู้จักประมาณในการกินการใช้ คือการรู้จักใช้จ่ายทรัพย์สมบัติ รู้จักการประหยัดอดออม รู้จักใช้จ่ายตามฐานะของตนเอง หรือการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับฐานะเป็นต้น 4. อธิปัจจสีลวันตสถาปนา หมายถึง ตั้งผู้มีศีลธรรมเป็นพ่อบ้านแม่เรือน คือผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวจะต้องตั้งอยู่ในหลักของ 1. ไม่แสวงหาวัสดุที่หายแล้วคือเมื่อสิ่งของภายในบ้านสูญหายไป แต่อยู่ในวิสัยที่จะหามาแทน กลับไม่ทำ ไม่แสวงหา หากหายไปบ่อย ๆ สิ่งของแม้จะมีมากเพียงใดก็หมดได้ เปรียบกับภูเขาแม้จะใหญ่โตเพียงใด หากเก็บเอาก้อนหินทีละก้อนออกไปทุกวัน ๆ ภูเขาที่ว่าใหญ่นั้นก็จะไม่มีให้เห็น เงินทองหรือสิ่งของก็เช่นกัน หากมีแต่หยิบออกหรือหายไปแม้จะทีละน้อย ๆ แต่ไม่มีการหามาเพิ่มหรือทดแทน ก็จะหมดสิ้นไปในที่สุด 2. ไม่บูรณะวัสดุที่ชำรุดเสียหายคือ ไม่บำรุงรักษาและซ่อมแซมสิ่งของที่ชำรุด
ไม่ดูแลและไม่ใส่ใจกับสิ่งของที่มีอยู่เหล่านั้นให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ ทิ้งขว้างละเลยและปล่อยให้เสียหายก่อนเวลาอันสมควร ผลสุดท้ายของที่มีอยู่ก็ใช้การไม่ได้ 4. ตั้งสตรีหรือบุรุษผู้ทุศีลให้เป็นแม่บ้านพ่อเรือน คือการแต่งงานกับสตรีหรือบุรุษไม่ดี ซึ่งมักทำลายกฎเกณฑ์ ประพฤติผิดศีลธรรม จริยธรรมเสมอ หรือการไว้วางใจให้สตรีหรือบุรุษเช่นนั้นครอบครองทรัพย์สมบัติ คนเช่นนั้นก็จะมีแต่ผลาญทรัพย์สมบัติให้หมดไป กุศลกรรมบถ 10 กุศลกรรมบถ หมายถึง ทางแห่งกุศลกรรม,ทางทำความดี หรือกรรมดีอันเป็นทางนำไปสู่สุคติ เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ประกอบด้วย 1) ปาณาติปาตา เวรมณีหมายถึง ละเว้นการฆ่า การสังหาร การบีบคั้นเบียดเบียน มีเมตตากรุณา ช่วยเหลือเกื้อกูลสงเคราะห์ ข. วจีสุจริต คือ มีความสุจริตทางวาจา พูดในสิ่งที่ดีงามถูกต้อง ประพฤติชอบด้วยวาจา มี 4 ประการ คือ ค. มโนสุจริต คือ มีความสุจริตทางใจ คิดสิ่งที่ดีงามถูกต้อง ประพฤติชอบด้วยจื มี 3
ประการคือ มงคล 38 : ประพฤติธรรม ประพฤติธรรม การประพฤติธรรม หมายถึง การประพฤติปฏิบัติตนถูกต้องตามธรรม ฝึกฝนอบรมตนให้มีคุณธรรม คือ การประพฤติกุศลกรรมบถ 10 ประการ ได้แก่ 1.1 กายสุจริตคือ มีความสุจริตทางกาย ทำสิ่งที่ดีงามถูกต้อง ประพฤติชอบด้วยกาย 3 ประการ คือ 1.2 วจีสุจริต คือ มีความสุจริตทางวาจา พูดสิ่งที่ดีงามถูกต้อง ประพฤติชอบด้วยวาจา มี 4 ประการคือ 1.3 มโนสุจริต คือ มีความสุจริตทางใจ คิดสิ่งที่ดีงามถูกต้อง ประพฤติชอบด้วยใจ มี 3 ประการ คือ 1. เป็นมหากุศล เว้นจากความชั่ว หมายถึง การละเว้นจากากทำบาป การงดเว้นจากความชั่วร้าย หรือการงดเว้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวงหรือเรื่องที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ความชั่วในที่นี้หมายถึง กรรมกิเลส คือกรรมที่ทำให้เศร้าหมอง มี 4 อย่าง คือ 1. ปาณาติบาต การฆ่าสัตว์ การเว้นจากความชั่ว มี 3 วิธีคือ 2. สมาทานวิรัติ หมายถึง งดเว้นเพราะสมาทาน คือ ได้ปฏิญาณไว้ว่าจะไม่ทำอย่างนั้น ๆ เช่น รับศีลแล้วก็รักษาได้อย่างเคร่งครัด 3. สมุจเฉทวิรัติ หมายถึง งดเว้นบาปได้เด็ดขาด คือ ไม่ทำความชั่วตลอดชีวิต เป็นการงดเว้นของพระอริยบุคคล เว้นจาการดื่มน้ำเมา การดื่มน้ำเมา เป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง คำว่า อบายมุข แปลว่า เหตุหรือทางแห่งความเสื่อม หมายถึง ทางที่ผู้ใดก็ตามเมื่อเข้าไปลองเสพแล้ว
ถ้าไม่ยอมละเลิกเสียจะต้องถึงความพินาศย่อยยับหรือเสื่อมโทรมไปในที่สุดการดื่มสุรา(รวมยาเสพติดทุกชนิด)เป็นทางแห่งความเสื่อมโทรมเป็นที่ตั้งของความประมาท เป็นเหตุให้เกิดโทษ 6 อย่าง ได้แก่ ทรัพย์ สมบัติเสื่อมสูญไป ก่อการทะเลาะวิวาท เป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ เป็นเหตุให้เสียชื่อเสียง เป็นเหตุให้ไม่เกิดความอาย(ไร้ยางอาย) เป็นเหตุให้บั่นทอนกำลังสติปัญญา ดังคำบาลีกล่าวว่า คำว่า “มัชชะ” นั้นหมายถึง สิ่งที่เสพเข้าไปในร่างกายแล้ว เกิดปฏิกิริยาสนองตอบทำให้สติขาดความยั้งคิด เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ซึ่งเรียกทั่วไปว่า สิ่งเสพติดให้โทษ เช่น สุรา เมรัย กระแช่ น้ำตาลเมา เบียร์ ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา ยาบ้าและยาอี เป็นต้นตลอดถึงสิ่งเสพติดทั้งหลายที่สังเคราะห์ขึ้นด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เมื่อเสพเข้าไปแล้ว ทำให้มึนเมา ก็รวมอยู่ในมัชชะนี้ทั้งนั้น ในที่นี้จะขอกล่าวถึง มัชชะ ที่หมายถึงเฉพาะน้ำเมาที่ดื่มเข้าไปแล้ว เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท 10 อย่าง คือ สุรา 5 อย่าง เมรัย 5 อย่าง ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวิภังค์แห่งสุราปานสิกขาบทว่าสุรา มี 5 ชนิด คือ เมรัย มี 5 ชนิด คือ การดื่มสุราและเมรัย เป็นการบ่อนทำลายศีลธรรมอันดีงามโดยไม่ยั้งคิด เพราะผู้ดื่มจนเมามายแล้วจะต้องประมาท หลงลืมตัว ไร้ความสำนึกผิดชอบชั่วดี เป็นเหตุให้กิเลสกำเริบเสิบสาน ชักพาทำให้ทำความชั่วได้ทุกอย่าง คือยั่วยุให้ลุ่มหลงเกิดขึ้นในใจจนไม่มีสติคอยยับยั้งทำให้เกิดความโลภทำให้เกิดความหลงและเป็นทางให้เกิดความโกรธตามมา เมื่อความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้นแล้ ก็บังคับให้คนทำตามอำนาจของกิเลส ก่อให้ทำความชั่วทั้งกาย ทางวาจาและทางใจโทษแห่งการดื่มน้ำเมา มี 6 ประการคือ 1. ทรัพย์สมบัติเสื่อมสูญ กล่าวคือ ผู้ที่ระเริงหลงอยู่แต่ในสิ่งเสพติด ย่อมจับจ่ายใช้สอยทรัพย์สมบัติเดิมเท่านั้น ไม่ขวนขวายหาทรัพย์สมบัติใหม่ เมื่อของเก่าหมดไป ของใหม่ก็ไม่เกิดขึ้น จนในที่สุด เหลือแต่ตัวเปล่าไร้ทรัพย์สมบัติเป็นคนอยากจนเข็ญใจ หาที่พึ่งไม่ได้ 2. ก่อการทะเลาะวิวาท คือ เมื่อสติสัมปชัญญะหมดความรู้สึกไป ปัญญาคิดถูกคิดผิดก็ไม่มี จะทะเลาะเบาะแว้งกันย่อมเกิดได้โดยง่ายเช่น ทะเลาะกันด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟัง หยาบคาย ไร้สาระประโยชน์ มีแต่ความแตกร้าวทางความคิด ไม่ปรองดองสามัคคีกันชักนำให้ใช้พละกำลังทางร่างกายเข้าทำร้ายซึ่งกันและกันถึงกับได้รับบาดเจ็บก็มีไม่น้อย 3. เป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยชนิดต่าง ๆได้ดี แต่เมื่อดื่มเข้าไปแล้วมาก ๆ สารพิษของยาเสพติดจะเข้าไปสะสมในร่างกายมากขึ้นเรื่อย ๆซึ่งเกินความจำเป็นสำหรับร่างกาย แต่ร่างกายก็ยังถูกยัดเยียดให้รับ เมื่อหมักหมมมากเข้า ก็เป็นบ่อเกิดของโรคภัยต่าง ๆ 4. เป็นเหตุทำให้ทำลายชื่อเสียงเกียรติยศ ผู้คนเมื่อมึนเมาย่อมขาดสติสัมปชัญญะ ไม่รู้จักรับผิดชอบชั่วดี มีพฤติกรรมแสดงออกทั้งทางกาย วาจา และใจในทางทุจริต จึงต้องถูกตำหนิติเตียน ถูกลงโทษ หมดความเชื่อถือ ก่อให้เกิดการเสียชื่อ เสียงเกียรติยศในที่สุด 5. เป็นเหตุให้ไม่เกิดความอาย เพราะเมื่อเสพเข้าไปแล้วย่อมขาด หิริโอตัปปะ คือ ความละอายและเกรงกลัวต่อความชั่ว ทำให้ใจกล้าทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ หรือไม่เหมาะไม่ควร เป็นต้น 6. บั่นทอนกำลังปัญญาให้เสื่อมลงปกติปัญญาจะเกิดขึ้นหรือใช้การได้ดีนั้น ต้องอาศัยการสำรวมกาย วาจาและใจ ให้เรียบร้อยสงบนิ่ง แล้วมีสติคอยกำกับอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเสพสิ่งเสพติดเข้าไปแล้ว จะทำให้การกลับตรงกันข้าม คือ เป็นเหตุบั่นทอนปัญญาให้เลื่อมลง หยุดความยั้งคิด ความรับผิดชอบชั่วดีในการกระทำต่าง ๆ นำความคิดไปสู่ทางเสื่อมโดยส่วนเดียว กล่าวโดยสรุป การงดเว้นอบายมุขทุกประเภท เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ได้ประสบแต่สิ่งที่ดี โดยเฉพาะการงดเว้นสิ่งเสพติดทั้งหลายเป็นมงคลชีวิต พระพุทธองค์ได้แสดงอานิสงส์ (ประโยชน์) ไว้ว่า เป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดรู้ทันเหตุการณ์ในอดีต อนาคตและปัจจุบัน มีสติมั่นคงทุกเมื่อ ไม่เป็นบ้า ไม่หลงผิด ไม่หลงงมงาย ไม่มัวมัว ไม่พลั้งเผลอ ไม่หลงไหล ไม่สะดุ้งหวาดผวา ไม่มีเรื่องรำคาญใจ ไม่มีใครริษยา นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดความสุข มีคนเคารพยำเกรง ชอบพูดแต่ความจริงไม่มีใครพูดส่อเสียด ไม่มีใครพูดหยาบคาย ไม่เกียจคร้าน ไม่มีความโลภ โกรธ หลง มีความละอายแก่ใจ รู้จักกลัว มีความเห็นถูกต้อง มีสติปัญญาฉลาดรู้เท่าทันในความเจริญและความเสื่อม เป็นต้น |