เสี่ยงต่อ ภาวะแทรกซ้อน การได้รับ ยาละลายลิ่มเลือด

การดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบด้วยยาละลายลิ่มเลือด

ประเภทผลงานนวัตกรรม      :  นวัตกรรมด้านกระบวนการ (Process Innovation )

สรุปผลงานโดยย่อ                  :

สรุปผลการศึกษา

1.จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดในหอผู้ป่วยวิกฤตสมองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ถึง 2555 มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากการประชาสัมพันธ์แก่โรงพยาบาลชุมชนและบุคคลทั่วไปทำให้การส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลชุมชนมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบตั้งแต่เกิดอาการจนกระทั่งได้รับการได้รับยาละลายเล่มเลือดภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2552 ได้ทำการขยายเวลาเป็น 4.5 ชั่วโมงตามหลักฐานเชิงประจักษ์

2.DTN ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2551 ถึง 2555 มีแนวโน้มลดลง จากการพัฒนาทักษะของทีมผู้ให้การดูแลตั้งแต่การประเมินผู้ป่วยแรกรับและการบริหารยาละลายลิ่มเลือดแต่ด้วยการหมุนเวียนแพทย์จึงอาจส่งผลให้ DTN มากบางช่วงเวลา

3.จำนวน SICH ภายใน 36 ชั่วโมง จำนวน AICH และผู้ป่วยถึงแก่กรรมหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2555 มีแนวโน้มลดลง เนื่องจาก มีการติดตามประเมินอาการแสดงและให้การพยาบาลที่ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกในสมองเช่นการจัดการภาวะความดันโลหิตสูง การป้องกันอาการท้องผูกการดูแลในกรณีที่ผู้ป่วยปัสสาวะไม่ออกและการจัดการความเจ็บปวดเป็นต้น ข้อเสนอแนะการทบทวนผลการรักษาการพยาบาลทำให้พยาบาลได้ พัฒนาความรู้และทักษะการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น

เป้าหมาย/วัตถุประสงค์    :         ศึกษาผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบที่ได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด

วิธีดำเนินการศึกษา

คือศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบทุกรายที่ได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดในหอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2550

ผลการศึกษา

1.จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาลิ่มเลือดในหอผู้ป่วยวิกฤตโรคหลอดเลือดสมองตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 ถึง 2555 จำนวน 9, 27, 53, 98 และ 84 คนตามลำดับ

  1. เวลาตั้งแต่ผู้ป่วยมาถึงแผนกฉุกเฉินจนกระทั่งได้รับยาละลายลิ่มเลือดตั้ง(door to needle time)แต่ปีพ.ศ. 2551 ถึง 2555 เท่ากับ 62 ,66 ,67 ,53 และ 60 นาทีตามลำดับ
  2. อัตราผู้ป่วยที่เกิดภาวะเลือดออกในสมองแบบมีอาการ(symptomatic intracerebral hemorrhage) ภายในระยะเวลา 36 ชั่วโมงหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 ถึง 2555 เท่ากับร้อยละ 11 ,11 ,15 ,11 และ 10 ตามลำดับ

ภาวะสมองขาดเลือด เกิดขึ้นเมื่อเลือดที่จ่ายไปยังสมองส่วนต่างๆ ถูกขัดจังหวะ ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลอดเลือดสมองตีบและอุดตัน ทำให้ขัดขวางการลำเลียงเลือด ซึ่งนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์สมอง เนื้อสมองก็จะเริ่มตาย ส่งผลให้สมองสูญเสียการทำหน้าที่จนเกิดอาการของอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ถ้าเห็นคนในบ้านหรือผู้ใหญ่ มีอาการอ่อนแรง แขนขาชาครึ่งซีก ปากหรือหน้าเริ่มเบี้ยว เหมือนจะเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพื่อรับการรักษาด้วยการฉีดยาละลายลิ่มเลือดอย่างทันท่วงที


รู้จัก...ยาละลายลิ่มเลือด

ยาละลายลิ่มเลือด (rtPA) เป็นยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้ก้อนเลือด หรือลิ่มเลือดที่แข็งตัว บล็อกเส้นทางการไหลของเลือดสลายตัวและละลายไป ช่วยให้เลือดและออกซิเจนไหลเวียนไปยังบริเวณที่เคยมีการอุดกั้นของลิ่มเลือดได้อีกครั้ง เพื่อเปิดทางให้เลือดสามารถวิ่งไปเลี้ยงสมองได้เป็นปกติ และหยุดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่ได้รับผลกระทบ

การรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดเหมาะกับใคร

การให้ยาสลายลิ่มเลือด โดยปกติจะใช้รักษาผู้ป่วยที่เกิดภาวะอุดตันของหลอดเลือดเฉียบพลัน อายุมากกว่า 18 ปี มีขนาดของสมองขาดเลือดไม่ใหญ่เกิน 1 ใน 3 ของสมองครึ่งซีก รวมทั้งผู้ป่วยจะต้องมาถึงโรงพยาบาลไม่เกิน 4.5 ชั่วโมง นับตั้งแต่เริ่มมีอาการ ที่สำคัญไม่มีข้อห้ามในการให้ยาละลายลิ่มเลือด และผู้ป่วยหรือญาติเห็นประโยชน์มากกว่าข้อเสีย และตัดสินใจให้รักษาด้วยวิธีนี้ โดยแพทย์จะทำการฉีดยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ เพื่อละลายลิ่มเลือด หรือก้อนไขมันที่ปิดกั้นหลอดเลือดอยู่ออก ส่งผลให้หลอดเลือดที่อุดตันนั้นกว้างขึ้น ช่วยให้เลือดกลับไปเลี้ยงสมองอีกครั้ง


ข้อดีของการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด

  • เนื้อสมองส่วนที่ขาดเลือดฟื้นตัว
  • ลดอัตราความพิการ อัมพฤกษ์ อัมพาต
  • ลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่มีลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมอง

ข้อห้ามในการให้ยาละลายลิ่มเลือด

ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบและอุดตัน มีภาวะสมองขาดเลือดที่มาทันเวลา 4.5 ชั่วโมงนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถรักษาด้วยการฉีดยาละลายลิ่มเลือดได้ ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมตามหลักทางการแพทย์ และในกรณีต่อไปนี้ มีอาการของโรคหลอดเลือดสมองตีบและอุดตันที่ไม่ทราบเวลาที่เริ่มเป็นอย่างชัดเจนหรือมีอาการภายหลังตื่นนอน มีอาการเลือดออกใต้ชั้นเนื้อเยื่อหุ้มสมอง มีเลือดออกในทางเดินอาหารหรือทางเดินปัสสาวะภายใน 21 วัน มีประวัติผ่าตัดใหญ่ภายใน 14 วัน ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำมาก ความดันโลหิตสูง มีอาการชัก ภาวะตับวาย การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ อุบัติเหตุที่รุนแรงต่อศีรษะ พบเลือดออกหรือมีการบาดเจ็บ กระดูกหักจากการตรวจร่างกาย พบการเปลี่ยนแปลงในระยะแรกของหลอดเลือดสมองตีบขนาดใหญ่ เช่น พบสมองบวม รวมถึงภาวะอื่นๆ ที่มีโอกาสเลือดออกง่ายในอวัยวะที่สำคัญ และไม่สามารถหยุดห้ามเลือดได้ ก็ไม่ควรให้ยาละลายลิ่มเลือด


เช็คสัญญาณเตือนของภาวะหลอดเลือดสมองตีบและอุดตัน

หากผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง มีสัญญาณเตือนของภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือตันเฉียบพลัน ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยทันที ซึ่งมีอาการที่สังเกตได้ ดังนี้

  1. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกหรือทั้ง 2 ข้าง
  2. พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง
  3. ปากเบี้ยว
  4. การรับฟังบกพร่องหรือฟังไม่เข้าใจ
  5. เวียนศีรษะ ร่วมกับเดินเซ ทรงตัวไม่อยู่
  6. ตามัว มองเห็นภาพซ้อน
  7. ซึม ไม่รู้สึกตัวทันที

สำหรับผู้ที่มีอาการของโรคหลอดเลือดสมองตีบและอุดตัน ที่ผ่านการรักษาโดยแพทย์จนพ้นวิกฤติแล้ว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมทั้งรับประทานยาตามที่แพทย์กำหนดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ปรับยาและหยุดยาเอง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากยา หรือเกิดโรคหลอดเลือดสมองเป็นซ้ำอีกได้


ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์ ไม่เสียค่าใช้จ่าย