โครงการ แท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษาไทย

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2564

พิมพ์  

โครงการ แท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษาไทย

ศธ. ชี้แจงข้อเรียกร้องให้นำแท็บเล็ตพีซีมาใช้ในระบบการศึกษาของไทย

ปลัด ศธ. เผยการจัดหา PC แท็บเล็ต เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียน มีความเหมาะสมและจำเป็นกับนักเรียนเพียงบางกลุ่มบางสถานศึกษาเท่านั้น

          วันที่ 6 กรกฎาคม 2564 นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวชี้แจงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความระบุถึงการศึกษาไทย ว่าช่วงสถานการณ์โควิด-19 การปรับตัวเพื่อเรียนออนไลน์ โดยไม่ติดขัด แท็บเล็ตพีซี จึงเป็นอุปกรณ์ทางเลือกที่พัฒนาให้นักเรียนรู้จักแสวงหาความรู้ และแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง พร้อมกับปรับบทบาทครูเป็นผู้อำนวยการสอนเท่านั้นนั้น
        นายสุภัทรฯ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ​Tablet PC ได้จัดซื้อให้กับนักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศ ครั้งแรกในปี 2555 จำนวน 8 แสนเครื่องเศษ โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้จัดซื้อให้ ซึ่งได้จัดซื้อจากบริษัทของประเทศจีนโดยตรง ในปี 2556 ได้จัดซื้อครั้งที่ 2 สำหรับนักเรียน ป.1 และ ม.1 ทั้งประเทศ จำนวน 1 แสน 6 หมื่นเศษ โดยใช้วิธีการจัดซื้อแบบ e-Bidding ภายในประเทศไทย และในปี 2557 ได้มีการประเมินผลการใช้ Tablet PC  ในการจัดการเรียนการสอนของนักเรียน โดยมีผลสรุปพอสังเขป ดังนี้
​          -  Tablet PC มีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน
​          -  นักเรียนและครู มีความพึงพอใจสูง ในการใช้ Tablet PC ในการเรียนการสอน
​          -  Tablet PC ตอบสนองการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีความแตกต่างของบุคคลด้านความพร้อมทางสติปัญญา
​          -  ผลการตอบรับภาพรวมในระดับโรงเรียนเห็นควรดำเนินโครงการ Tablet PC ต่อเนื่อง
          สภาพปัญหาการใช้งาน จนถึงปัจจุบันพบว่า Tablet PC ยังมีจุดที่ต้องได้รับการพัฒนาหลายส่วน ดังนี้
​          -  Spec Tablet PC ในสมัยนั้นค่อนข้างต่ำ การทำงานช้า และอายุการใช้งานสั้นปัจจุบันผ่านมา 8 หมดอายุการใช้งาน ไม่สามารถรองรับ application ในปัจจุบัน
​          -  สื่อ Application มีน้อย ไม่เพียงพอในการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน
​          -  ระบบปฏิบัติการ (OS) มีข้อจำกัดในการรองรับสื่ออิเล็กทรอนิกส์รูปแบบต่างๆ
​          -  มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลจำกัด หรือจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อการใช้งาน
​          -  สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เพียงพอสำหรับการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์
          ข้อเสนอสำหรับการจัดหา Tablet PC
​          1. งานวิจัยของ มศว. ประสานมิตร เมื่อปี 2555 พบว่า Tablet PC เหมาะสมสำหรับนักเรียนระดับชั้น ป.4 ขึ้นไป กรณีจะจัดหา Tablet PC ให้กับนักเรียนในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 เห็นควรจัดหาให้ระดับมัธยมศึกษาก่อนเป็นลำดับแรก เนื่องจากนักเรียนกลุ่มนี้ใช้รูปแบบการเรียนการสอนออนไลน์อยู่เดิมแล้ว ในส่วนของระดับประถมศึกษายังมีการใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย ได้แก่ On - AIR On – Hand On - Demand นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบการจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ที่มาช่วยสนับสนุนการเรียนรู้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้ โดยเนื้อหาปัจจุบันนำเสนอในรูปแบบ New DLTV สามารถเข้าเรียนเมื่อใดก็ได้ เรียนล่วงหน้า ย้อนหลังได้ ผ่านเว็บไซต์ www.dltv.ac.th หรือผ่าน Application DLTV จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ที่เพียงพอสำหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษา
​          2. กลุ่มเป้าหมาย ควรเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาที่ด้อยโอกาสขาดแคลนอุปกรณ์ในการเรียน เช่น นักเรียนในกองทุน กสศ.
​          3. Spec ของ Tablet PC ควรเป็นคุณลักษณะที่ใช้งานได้จริงในปัจจุบันรองรับสื่อ Application ได้ทุกประเภท
​          4. การจัดหาควรใช้วิธีการเช่า ไม่ควรจัดซื้อ เพราะสามารถใช้งบดำเนินการสำหรับบริหารจัดการได้เลย เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 คลี่คลาย อาจจะไม่ต้องเช่าต่อก็ได้
          ความทุกข์ของผู้ปกครอง และเด็กจากการเรียนผ่านออนไลน์ สังคมโดยรวม ช่วงนี้เวลา ที่ครอบครัวที่มีลูกส่วนใหญ่จะเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเรียนออนไลน์ในช่วงวิกฤติโควิด-19 พ่อแม่ก็จะบ่นมากหน่อย มีลูกหลากหลายวัย ปัญหาก็จะแตกต่างกันไปในรายละเอียด ถ้าลูกเล็กก็จะบ่นมากเป็นพิเศษ เพราะแทบจะต้องอยู่กับลูกที่บ้านและเรียนไปพร้อมกับลูก ถ้าพ่อแม่ทำงานด้วยก็จะมีรายละเอียดของปัญหามากขึ้นไปอีก ส่วนพ่อแม่ที่มีลูกโตก็มีปัญหาไม่น้อยเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงานเยอะ การบ้านเยอะ ทำเท่าไหร่ก็ไม่หมด ในขณะที่เด็กระดับมหาวิทยาลัยก็จะออกแนวอยากกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเสียที  ส่วน ครู - อาจารย์ ในทุกระดับ ครูระดับเด็กเล็ก เด็กโต เด็กมหาวิทยาลัย ต่างก็มีปัญหาที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่พูดตรงกันก็คือ การสอนออนไลน์ทำให้แบกภาระหนักขึ้น ต้องเตรียมตัว และหาวิธีการต่าง ๆ รวมถึงเทคนิคการสอนต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้เด็กเรียนด้วย แล้วไหนจะต้องคิดถึงวิธีการประเมินผลอีกต่างหาก
          สรุปก็คืออยากกลับไปสอนในสถาบันการศึกษามากกว่าสอนทางออนไลน์ ทั้งยังมีคุณครูจำนวนมากและโรงเรียนหลายแห่งไม่ได้มีความพร้อมด้านอุปกรณ์หรือทักษะทางดิจิทัล ครูหลายคนใช้โปรแกรมเช่น Google Classroom, Zoom หรือ Teams ไม่คล่อง ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และเมื่อได้พูดคุยด้วยกับเด็กหลากหลายวัย ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากกลับไปเรียนที่โรงเรียน ไม่อยากเรียนผ่านออนไลน์ด้วยสารพัดเหตุผล เช่น เรียนยากขึ้น เรียนไม่รู้เรื่อง งานเยอะ เรียนได้แย่ลง อยากเจอเพื่อน อยากทำกิจกรรม สรุปก็คือ ไม่ว่าจะมีโอกาสได้พูดคุยกับใคร ทุกคนล้วนแล้วไม่อยากอยู่ในสภาพต้องเรียนออนไลน์
          งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนเรื่องผลกระทบของการเรียนออนไลน์ ในผู้ปกครองชาวอเมริกัน 405 คน ที่มีลูกอย่างน้อย 1 คนอายุต่ำกว่า 12 ปี และครึ่งหนึ่งของผู้ปกครองมีลูกอายุระหว่าง 2-5 ปี พบว่า 40 % ของผู้ปกครองรู้สึกเครียดจากการที่ลูกต้องเรียนออนไลน์ โดย 25 % ให้ข้อมูลว่า บ้านมีอุปกรณ์หรือสภาพไม่พร้อมต่อการเรียนออนไลน์ ในขณะที่ผลสำรวจของ Washington Post จากผู้ปกครองที่มีลูกต้องเรียนออนไลน์ 60 คน พบว่าลูกตัวเองเครียดขึ้น ก้าวร้าวขึ้น เบื่ออาหาร บ่นปวดหลัง มีปัญหาเจ็บตาหรือตาอ่อนล้า
          ส่วนงานวิจัยในประเทศจีน สำรวจนักเรียนในมณฑลหูเป่ยที่อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยเก็บข้อมูลนักเรียนเกรด 2 ถึง 6 จำนวน 2,330 คน ระหว่าง 28 ก.พ.-5 มี.ค. 2563 พบว่ามีนักเรียนมากถึง 40% ที่เผชิญความเครียดและวิตกกังวลสอดคล้องกับประเทศไทยที่ล่าสุดมีนักเรียนและนักศึกษาจำนวนมากเครียดจากการเรียนออนไลน์ เพราะไม่สามารถปรับตัวได้ ทำให้เกิดความทุกข์ และมีบางคนที่สุดท้ายก็นำไปสู่โศกนาฏกรรม
          ช่วงของสถานการณ์วิกฤติ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการปรับตัวเป็นวิถีชีวิตแบบใหม่ (New Normal) โดยเฉพาะสถาบันทางการศึกษาที่ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนแบบปกติได้ จึงจำเป็นต้องใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เพื่อให้การเรียนรู้ต่อเนื่องการเรียนการสอนแบบออนไลน์มีองค์ประกอบ ได้แก่ ผู้สอน ผู้เรียน เนื้อหา สื่อการเรียนการสอน แหล่งเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการเรียนการสอน ระบบการติดต่อสื่อสาร ระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ การวัดและการประเมินผลและเมื่อการเรียนออนไลน์มีบทสรุปเหมือนกับการเรียนปกติ ก็คือ ตัดสินกันที่การวัดและประเมินผลแบบเดิม ซึ่งกลายเป็นเรื่องหนักหน่วงของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเด็ก มีเด็กจำนวนมากที่ไม่ใช่ทุกข์ใจแค่การเรียนออนไลน์ การทำงานที่มากขึ้น แต่การสอบกลายเป็นเรื่องหนักสุด สืบเนื่องจากผลพวงเรื่องประสิทธิภาพในการเรียนออนไลน์ที่เด็กส่วนใหญ่อยากเรียนที่สถาบันการศึกษามากกว่า เด็กจำนวนมากถอดใจยอมถอยจากระบบ ออกจากโรงเรียนกลางคัน ในขณะที่ระดับมหาวิทยาลัยก็ดรอปไว้ก่อน
          นักเรียนในสิงคโปรต์ต้องกลับไปเรียนออนไลน์นาน 10 วันในช่วงปลายเดือน พ.ค. เพื่อที่จะรักษาระยะห่างระหว่างคนเด็กหลายล้านคนทั่วโลกต้องเรียนหนังสือจากบ้าน เพราะเกือบทุกประเทศกำลังเผชิญกับการระบาดใหญ่ของโควิด แม้ขณะนี้นักเรียนจำนวนหนึ่งกลับไปโรงเรียนแล้ว สิ่งที่น่ากังวลในขณะนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องช่วงเวลาที่สูญเสียไปของการศึกษา แต่ยังเป็นผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพจิตของเด็กด้วยเด็ก ๆ ทั่วโลกทุกข์ทรมานกับความรู้สึกเครียด ความวิตกกังวล และการโดดเดี่ยวในช่วงที่ต้องล็อกดาวน์และปิดโรงเรียนนานหลายเดือนในช่วงปีที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาด แทบไม่มีการพูดถึงเรื่องสุขภาพจิตในโรงเรียนที่มุ่งเน้นด้านวิชาการในสิงคโปร์ แต่เรื่องนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป
          ข้อมูลรูปแบบการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียน
          จากข้อมูลของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 กระทรวงศึกษาธิการพบว่ามีโรงเรียนที่จัดการเรียนแบบออนไลน์เต็มรูปให้กับนักเรียนจำนวน 7889 โรงเรียนซึ่งคิดเป็นร้อยละ 22.5 46 ในสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นมีข้อจำกัดจากการใช้พีซีแท็บเล็ตในหลายมิติด้วยกัน ดังนี้
​          1. ครอบครัวผู้ปกครองไม่สามารถจัดหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อให้นักเรียนได้เรียนออนไลน์อย่างเต็มรูปผ่าน PC tablet ได้ด้วยสภาพพื้นที่ของที่อยู่อาศัยและสภาพเศรษฐกิจ
​          2. ผู้ปกครองต้องออกไปทำงานนอกบ้านนักเรียนต้องอยู่กับพีซี แท็บเล็ตโดยไม่มีผู้ดูแลกระตุ้นเตือนให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองทำให้ขาดประสิทธิภาพ
​          3. ผู้เรียนต้องการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อนและครู
​          4. การจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนามนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นจะต้องมีการพัฒนาในองค์ประกอบ 3 ด้านคือ  ด้านสติปัญญา  ด้านร่างกายอารมณ์สังคม และด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดังนั้นการใช้พีซีแท็บเล็ต เป็นไปเพื่อช่วยในการเรียนออนไลน์จะมีประโยชน์เกิดคุณค่าต่อการพัฒนาการศึกษาของคนได้เฉพาะบางส่วนจึงไม่เป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับการจัดการศึกษาโดยรวม
          ทางเลือกสำหรับการจัดการศึกษาในช่วงสถานการณ์โควิด 19
          กระทรวงศึกษาและ สถานศึกษา คำนึงถึงการจัดการศึกษาด้วยรูปแบบที่ใช้ครอบครัวและผู้เรียนเป็นฐาน ทั้งนี้ รูปแบบการจัดการศึกษาการจัดการเรียนการสอนจึงต้องมีความหลากหลายตามความต้องการจำเป็นทั้งนี้ต้องเลือกที่เหมาะสมกับบริบทของครอบครัวสภาพพื้นที่สภาพเศรษฐกิจกิจและสังคมรวมถึงศักยภาพของผู้เรียนเป็นหลัก การจัดหา PC แท็บเล็ตเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนจึงมีความเหมาะสมและจำเป็นกับนักเรียนเพียงบางกลุ่มบางสถานศึกษาเท่านั้น  ซึ่งส่วนใหญ่นักเรียนที่เรียนในระบบออนไลน์ก็สามารถใช้เครื่องมือที่มีอยู่แล้วในการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ที่สถานศึกษาดำเนินการไปแล้ว