📈📉หลักบัญชีคู่ “เดบิต” & “เครดิต” ในการลงบัญชีจะมีสองคำหลักๆ คือ เดบิต กับ เครดิต ◾️เดบิต = ส่วนที่อยู่ด้านซ้าย ของบัญชี ใช้สำหรับบันทึกสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น มีอักษรย่อว่า (Dr.) ◾️เครดิต = ส่วนที่อยู่ด้านขวา ของบัญชี ใช้สำหรับบันทึกหนี้สินส่วนของเจ้าของ รายได้เพิ่มขึ้น มีอักษรย่อว่า (Cr.) ตัวอย่างเช่น ➡ฝั่งซ้าย “ด้านเดบิต (Dr.)” สินทรัพย์ + ค่าใช้จ่าย รายการฝั่งนี้เพิ่มขึ้น เดบิต รายการฝั่งนี้ลดลง เครดิต ➡ฝั่งขวา “ด้านเครดิต (Cr.)” หนี้สิน+ส่วนของเจ้าของ+รายได้ รายการฝั่งนี้เพิ่มขึ้น เครดิต รายการฝั่งนี้ลดลง เดบิต 🌟 เดบิต ต้องเท่ากับ เครดิต เสมอ 📊สนใจผู้ช่วยวางแผนโครงสร้างธุรกิจ วางแผนภาษีและเครื่องมือจัดการธุรกิจดิจิทัลที่ตอบโจทย์ ติดต่อ AccRevo ได้เลยค่า . ☑️☑️สนใจทดลองใช้ระบบ AccRevo ☑️☑️ สามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ทดลองใช้งานฟรี 30 วัน คลิกที่ลิ้งค์เลยค่า >> https://bit.ly/2H8HqFE ➡️ติดตามข่าวสาร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ID Line : @accrevo Facebook : Accrevo : Platform บัญชีดิจิทัล Instagram : accrevo_ai Youtube chanel : Accrevo : Platform บัญชีดิจิทัล โทร : 086-531-6211 Website : www.accrevo.com คนที่ยังไม่รู้ข้อมูลเบื้องต้นของการทำบัญชีแล้วกระโดดมาอ่านเรื่องเดบิตเครดิตเลยอาจจะงงสักหน่อยนะ ฉะนั้นจะต้องเรียนรู้ตั้งแต่การรู้ว่าบัญชีคืออะไร มีแบบไหนบ้าง ซึ่งปัจจุบันนี้ก็จะมีการทำบัญชีอยู่ 2 แบบ คือเป็นบัญชีเดี่ยว (Single-entry bookkeeping system) และบัญชีคู่ (Double-entry bookkeeping system) ชวนอ่านและทำความรู้จักกับระบบบัญชีทั้งสองแบบนี้ก่อนเพื่อความเข้าใจมากขึ้นในการทำบัญชี 1. บัญชีเดี่ยว (Single-entry bookkeeping system) ส่วนมากก็จะทำบัญชีแบบนี้กัน หลายคนก็คงจะรู้จักและคุ้นเคยกับการทำบัญชีเดี่ยวเป็นอย่างดีแล้ว เพราะว่ามันก็จะเหมือนการทำบัญชีรายรับรายจ่ายนั่นเอง เป็นการทำบัญชีที่ง่ายมาก ๆ แล้ว ซึ่งก็จะมีรายการเป็น วันที่ รายการ รายรับ รายจ่าย และคงเหลือ ซึ่งการทำบัญชีแบบนี้ก็ยังไม่ต้องมีการคิดถึงเดบิตเครดิตกัน ส่วนมากร้านเล็ก ๆ จะนิยมใช้เพราะว่าไม่มีอะไรให้ต้องคิดวิเคราะห์เยอะแยะ แต่ว่าหากมีสินทรัพย์มาเกี่ยว หนี้สินมาพัวพันด้วยระบบบัญชีเดี่ยวนี้เริ่มจะไปต่อยากแล้ว ปัญหาก็จะตามมาว่าเราจะลงบัญชียังไง ฉะนั้นเลยจะต้องมีระบบบัญชีคู่ เพื่อมาแจกแจงรายการเหล่านี้ 2. บัญชีคู่ (Double-entry bookkeeping system) หากเป็นในรูปแบบของธุรกิจ เป็นกิจการ บริษัทใหญ่แล้วจะต้องทำบัญชีคู่ เพราะจะช่วยให้ลงรายการต่าง ๆ ได้ดีกว่า ละเอียดกว่า และในการลงรายการนั้นก็จะต้องย้อนกลับไปคิดถึงหมวดหมู่บัญชีทั้ง 5 ด้วย ซึ่งจะมี สินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของเจ้าของ รายรับ และ รายจ่าย เป็นต้น ซึ่งแต่ละหมวดก็ยังแตกย่อยออกไปได้อีกด้วย จะทราบได้อย่างไรว่ารายการไหนอยู่ในหมวดบัญชีไหน เพราะว่าจะต้องรวมสิ่งที่เหมือนกันให้อยู่ในหมวดเดียวกัน ยกตัวอย่างในแต่ละหมวดบัญชีทั้ง 5 ดังนี้
สำหรับการแตกย่อยในแต่ละหมวดนั้น ก็จะแตกไปเป็นรายการเลย ซึ่งในการแตกหมวดหมู่นั้นก็อยู่ที่ว่าทำบัญชีในมุมมองของใคร เช่น บัญชีสำหรับเจ้าของธุรกิจหรือสำหรับพนักงาน หมวดแยกเลยจะต่างกัน ยกตัวอย่างการแตกย่อยก็จะเป็น รายรับ : เงินเดือน หรือ รายรับ : ดอกเบี้ยเงินฝาก หรือรายรับอื่น ๆ อีก เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละเล่มนั้นต้องมีเดบิตเครดิตด้วย ยกตัวอย่างการทำบัญชี วันที่ 27/02/2564 คนรู้จักนำเงินมาฝากเราเอาไว้ 5,000 บาท เกิดรายการดังนี้ สินทรัพย์เพิ่ม หนี้สินเพิ่ม Dr สินทรัพย์: เงินสด 5,000 Cr. หนี้สิน: เจ้าหนี้ (คนรู้จัก) 5,000 ลองมองดี ๆ มันอาจจะดูแปลก ๆ สักหน่อยเขาเอาเงินมาฝากที่เราแล้วเขาเป็นเจ้าหนี้เราได้อย่างเรา ซึ่งมันก็เหมือนกับที่ธนาคารมองเดบิตเครดิตเหมือนกับเรานำเงินไปฝากกับทางธนาคารแล้วเราก็กลายเป็นเจ้าหนี้ของธนาคาร พอเราใช้บัตรเดบิตธนาคารก็เป็นหนี้เราน้อยลงจะประมาณนี้เลยมีบัตรที่ชื่อว่าเดบิตเครดิต แต่ก็ย้ำอีกครั้งว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเวลาทำบัญชีมันไม่เกี่ยวกับบัตรเหล่านี้นะ |