��äǺ�����������ǡѺ ��è�����
10.1 ���ѹ�֡��¡�÷ҧ�ѭ�� 10.2 ����ѡ���Թ 10.3 �����ѵ���Ӥѭ��觨���
รู้หรือไม่ ? บังคับให้ลูกหนี้ออกเช็คชำระหนี้ อาจมีความผิดอาญาตามกฎหมาย
รู้หรือไม่ ? บังคับให้ลูกหนี้ออกเช็คชำระหนี้ อาจมีความผิดอาญาตามกฎหมาย เช็คเป็นตราสารประเภทหนึ่งที่สามารถใช้ชำหนี้แทนเงินสด ผู้ที่ได้รับเช็คหรือที่เรียกว่าผู้ทรงเช็คจะสามารถนำเช็คไปขึ้นเงินต่อธนาคารตามวันที่ที่ปรากฏในเช็คได้ ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเมื่อระบบการใช้เช็คได้แพร่หลายในประเทศไทย และยังไม่มีกฎหมายควบคุมการสั่งจ่ายเช็ค บรรดาลูกหนี้จำนวนมากก็สั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้โดยที่รู้อยู่แล้วว่าเช็คนั้นไม่สามารถขึ้นเงินได้ เพราะตัวเองไม่มีเงินในบัญชีธนาคารเพียงพอที่จะชำระหนี้ ทำให้ปรากฏว่ามีเช็คเด้งเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ตราสารประเภทเช็คไม่เป็นที่เชื่อถือในวงการค้า ดังนั้นรัฐจึงต้องออกกฎหมายมาควบคุมการสั่งจ่ายเช็คโดยกำหนดว่า ผู้ที่ออกเช็คเพื่อชำระหนี้โดยที่รู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีเงินในบัญชีพอที่จะชำระในเช็คได้นั้น จะมีความผิดอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี (พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค มาตรา 4 ) ปรากฏว่าหลังจากที่มีกฎหมายดังกล่าวออกมาควบคุมการสั่งจ่ายเช็ค ก็มีเจ้าหนี้ที่อาศัยช่องว่างทางกฎหมาย ใช้เช็คเป็นเครื่องต่อรองให้ลูกหนี้ชำระหนี้ ด้วยวิธีการจูงใจหรือบังคับลูกหนี้ โดยอาศัยอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจที่เหนือกว่า บีบบังคับลูกหนี้จำใจออกเช็คเพื่อเป็นประกันหนี้ เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด ก็จะนำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินต่อธนาคาร ซึ่งเช็คย่อมไม่สามารถขึ้นเงินได้ จากนั้นก็จะดำเนินคดีอาญาเอาแก่ลูกหนี้ ซึ่งลูกหนี้ก็ต้องขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้ให้ได้ เพราะหากไม่ชำระก็จะมีโทษถึงจำคุก ซึ่งด้วยปัญหาการอาศัยช่องว่างทางกฎหมายบีบบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ดังกล่าว รัฐจึงได้ออกกฎหมายมาเพื่อคุ้มครองลูกหนี้ คือ พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ซึ่งได้บัญญัติข้อกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ตามมาตรา 13 อนุมาตรา 2 ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว โดยได้วางหลักไว้ว่า “ห้ามผู้ทวงหนี้กระทำการทวงถามหนี้ในลักษณะที่ไม่เป็นธรรมดังต่อไปนี้ (2) การเสนอหรือจูงใจให้ลูกหนี้ออกเช็คทั้งที่รู้อยู่ว่าลูกหนี้อยู่ในฐานะที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ “ ซึ่งผู้ฝ่าฝืนมาตราดังกล่าวมีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทตามมาตรา 39 ทั้งนี้การกระทำที่จะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 มาตรา 13 อนุมาตรา 2 จะต้องมีองค์ประกอบดังนี้
3.1 มีการออกเช็คใบใหม่เพื่อเปลี่ยนกับเช็คใบเดิมหลายครั้ง เพราะหากพฤติการณ์ปรากฏว่า ลูกหนี้เคยออกเช็คชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระหนี้ตามเช็ค เจ้าหนี้ไม่นำเช็คไปขึ้นเงินต่อธนาคาร กลับให้ลูกหนี้เปลี่ยนเช็คใบใหม่ และลงวันที่ที่ถึงกำหนดชำระหนี้ใหม่ เป็นจำนวนหลายครั้ง ก่อนที่จะนำเช็คใบสุดท้ายไปขึ้นเงิน เช่นนี้ย่อมชี้ให้เห็นว่า เจ้าหนี้ทราบถึงฐานะทางการเงินของผู้สั่งจ่ายเช็คเป็นอย่างดีว่า ผู้สั่งจ่ายเช็คไม่สามารถที่จะชำระเงินภายในกำหนดได้ 3.2 เจ้าหนี้และลูกหนี้ทำการค้าหรือธุรกิจกันมาเป็นเวลานาน หรือรู้จักฐานะทางการเงินกันเป็นอย่างดี และจำนวนเงินที่ปรากฏในเช็คนั้น มีจำนวนสูงมาก หรือมีจำนวนสูงเกินกว่าฐานะทางการเงินที่ลูกหนี้จะสามารถขวนขวายหามาชำระหนี้ได้ภายในกำหนดตามเช็ค 3.3 ลูกหนี้ไม่มีเช็คที่จะออกให้แก่ลูกหนี้ได้ เจ้าหนี้ก็พาลูกหนี้ไปเปิดบัญชีธนาคารและทำเรื่องขอเช็คจากธนาคาร เพื่อให้ลูกหนี้ออกเช็คให้แก่ตนโดยเฉพาะ ซึ่งพฤติการณ์ต่างๆดังกล่าวข้างต้นเหล่านี้ ย่อมบ่งชี้ว่าเจ้าหนี้รู้อยู่แล้วว่า เมื่อถึงกำหนดระยะเวลาในเช็ค ลูกหนี้ย่อมไม่สามารถชำระหนี้ได้ แต่ก็ยังจูงใจหรือบังคับให้ลูกหนี้ออกเช็คให้แก่ตน เพื่อใช้คดีอาญาบีบบังคับให้ลูกหนี้ทำทุกวิถีทางที่จะขวนขวายหาเงินมาชำระหนี้ให้แก่ตน กล่าวโดยสรุปแล้ว ตามหลักกฎหมายทวงหนี้ฉบับใหม่ คือ พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 การที่เจ้าหนี้ให้ลูกหนี้ออกเช็คเพื่อค้ำประกันหนี้หรือเพื่อชำระหนี้ไว้ล่วงหน้าก่อนหนี้จะถึงกำหนดนั้น ยังคงสามารถกระทำได้อยู่ มิใช่จะถือว่าเป็นความผิดอาญาเสมอไป ยกเว้นแต่เจ้าหนี้นั้นมีฐานะเป็น “ผู้ทวงถามหนี้” ตามกฎหมาย และเจ้าหนี้ได้รู้ถึงฐานะทางการเงินของลูกหนี้ดีอยู่แล้วว่า เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้แล้ว ลูกหนี้ย่อมไม่สามารถชำระหนี้ได้อย่างแน่นอน แต่ก็ยังบังคับให้ลูกหนี้ออกเช็คชำระหนี้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะใช้เช็คนั้นดำเนินคดีอาญากับลูกหนี้ แสดงความเห็นเกี่ยวกับบทความนี้comments |