เครื่องดนตรีไทย13:21 Toknowเครื่องดนตรีไทย คือ เครื่องดนตรี ที่สร้างสรรค์ขึ้นตามศิลปวัฒนธรรมดนตรีของไทย ที่มีรูปแบบเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตความเป็นอยู่และถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของคนไทย โดยนิยมแบ่งตามอากัปกิริยา ของการ บรรเลง เครื่องดีด เครื่องสี เครื่องตี เครื่องเป่า<br> <br> <u><b>เครื่องดีด</b></u><br> </p><div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://2.bp.blogspot.com/_-DPRqRg30MI/TU79KEAXw6I/AAAAAAAAABY/sVcfGMzbg7U/s1600/019jpeg.jpeg" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/_-DPRqRg30MI/TU79KEAXw6I/AAAAAAAAABY/sVcfGMzbg7U/s1600/019jpeg.jpeg"></a></div><b><br> </b><br> <br> <div>เครื่องดีดคือ เครื่องดนตรีไทยที่บรรเลงหรือเล่นด้วยการใช้นิ้วมือ หรือไม้ดีด&nbsp;</div><div style="display:inline!important">ดีดสาย ให้สั่นสะเทือนจึงเกิดเสียงขึ้น เครื่องดนตรีไทยประเภทนี้มีหลายชนิด&nbsp;</div><span class="Apple-style-span" style="font-weight:normal"><div style="display:inline!important">แต่ที่นิยมเล่น กันแพร่หลาย ในปัจจุบันมีอยู่ไม่กี่ชนิด คือ กระจับ พิณและจะเข้&nbsp;</div></span><span class="Apple-style-span" style="font-weight:normal"><div style="display:inline!important">กระจับปี่ จะเข้ ซึง พิณไหซอง</div></span><br> <div style="font-weight:bold"><span class="Apple-style-span" style="font-weight:normal"><b></b></span></div><div style="display:inline!important"><b><br> </b></div><br> <div style="font-weight:bold"><span class="Apple-style-span" style="font-weight:normal"><b></b></span></div><div style="display:inline!important"><br> <div style="text-align:left"><u><b>กระจับปี่&nbsp;</b></u></div><div style="text-align:left"><br> </div><div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://1.bp.blogspot.com/_-DPRqRg30MI/TU79x9DzKmI/AAAAAAAAABc/0TyDsNCyYSo/s1600/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/_-DPRqRg30MI/TU79x9DzKmI/AAAAAAAAABc/0TyDsNCyYSo/s1600/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588.jpg"></a></div></div><div style="font-weight:bold"><span class="Apple-style-span" style="font-weight:normal"><b></b></span></div><div style="display:inline!important"></div><div>กระจับปี่ เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด หรือพิณ 4 สายชนิดหนึ่ง ตัวกะโหลกเป็นรูปกลมรี</div><div style="display:inline!important">แบนทั้งหน้าหลัง มีความหนาประมาณ 7 ซม. ด้านหน้ายาวประมาณ 44 ซม. กว้าง</div><span class="Apple-style-span" style="font-weight:normal"><div style="display:inline!important">ประมาณ 40 ซม. ท าคันทวนเรียวยาวประมาณ 138 ซม. ตอนปลายคันทวนมีลักษณะ</div></span><span class="Apple-style-span" style="font-weight:normal"><div style="display:inline!important">แบน และบานปลายผายโค้งออกไป ถ้าวัดรวมทั้งคันทวนและตัว กะโหลก จะมีความยาว</div><br> </span><br> <div>ประมาณ 180 ซม. มีลูกบิดส าหรับขึ้นสาย 4 อัน มีนมรับนิ้ว 11 นมเท่ากับจะเข้ ตรง</div><div>ด้านหน้ากะโหลกมีแผ่นไม้บางๆ ท าเป็นหย่องค้ าสายให้ตุงขึ้น เวลาบรรเลงใช้</div><div>นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ จับไม้ดีด เขี่ยสายให้เกิดเสียง</div><div style="font-weight:bold"><br> </div><br> <u><span class="Apple-style-span" style="font-weight:800">พิณ</span></u><br> <br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://3.bp.blogspot.com/_-DPRqRg30MI/TU7-KGuvAfI/AAAAAAAAABg/38oeIBN8wzk/s1600/pin.jpg" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/_-DPRqRg30MI/TU7-KGuvAfI/AAAAAAAAABg/38oeIBN8wzk/s1600/pin.jpg"></a></div><span class="Apple-style-span">พิณ เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายแบบหนึ่ง มีหลายชนิดแตกต่างตามท้องที่ ในภาคอีสานของ</span><br> <span class="Apple-style-span">ประเทศไทย พิณอาจมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น "ซุง" หรือ "เต่ง" จัดเป็นเครื่องดนตรี</span><br> <span class="Apple-style-span">ประเภทเครื่องสาย มีรูปร่างคล้ายกีตาร์แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยทั่วไปมี 3 สาย ในบางท้องถิ่นอาจมี 2&nbsp;</span><br> <span class="Apple-style-span">หรือ 4 สาย บรรเลงโดยการดีดด้วยวัสดุทีเป็นแผ่นบาง เช่นไม้ไผ่เหลา หรืออาจใช้ปิ้กกีตาร์ดีดก็ได้&nbsp;</span><br> <span class="Apple-style-span">สมัยก่อนจะเล่นเครื่องเดียวเพื่อเกี้ยวสาว ปัจจุบันมักใช้บรรเลงในวงดนตรีโปงลาง วงดนตรีล าซิ่ง หรือ</span><br> <span class="Apple-style-span">วงดนตรีลูกทุ่ง</span><br> <span class="Apple-style-span" style="font-weight:800"><br> </span><br> <br> <u><span class="Apple-style-span" style="font-weight:800">จะเข้</span></u><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://3.bp.blogspot.com/_-DPRqRg30MI/TU7_UuAOpgI/AAAAAAAAABk/9_kR2QbSQdw/s1600/020.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/_-DPRqRg30MI/TU7_UuAOpgI/AAAAAAAAABk/9_kR2QbSQdw/s1600/020.jpg"></a></div><br> <span class="Apple-style-span">จะเข้ เป็นเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องดีด มี 3 สาย เข้าใจว่าได้ปรับปรุงแก้ไขมาจากพิณ คือ&nbsp;</span><br> <span class="Apple-style-span">กระจับปี่ซึ่งมี 4 สาย น ามาวางดีดกับพื้นเพื่อความสะดวก จะเข้ได้น าเข้าร่วมบรรเลงอยู่ในวงมโหรี</span><br> <span class="Apple-style-span">คู่กับกระจับปี่ในสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีผู้นิยมเล่นจะเข้กันมาก ท าให้กระจับปี่</span><br> <span class="Apple-style-span">ค่อย ๆ หายไปในปัจจุบัน เนื่องจากหาผู้เล่นเป็นน้อย</span><br> <span class="Apple-style-span">ตัวจะเข้ท าเป็นสองตอน คือตอนหัวและตอนหาง โดยลักษณะทางตอนหัวเป็นกระพุ้งใหญ่ ท าด้วย</span><br> <span class="Apple-style-span">ไม้แก่นขนุน หนาประมาณ 12 ซม. ยาวประมาณ 52 ซม. และกว้างประมาณ 11.5 ซม. ท่อนหัว</span><br> <span class="Apple-style-span">และท่อนหางขุดเป็นโพรงตลอด รวมทั้งสิ้นมีความยาวประมาณ 130 – 132 ซม. ปิดใต้ทองด้วย</span><br> <span class="Apple-style-span">แผ่นไม้ มีเท้ารองตอนหัว 4 เท้า และตอนปลายปางอีก 1 เท้า วัดจากปลายเท้าถึงตอนบนของตัว</span><br> <span class="Apple-style-span">จะเข้ สูงประมาณ 19 ซม. ท าหลังนูนตรงกลางให้สองข้างลาดลง โยงสายจากตอนหัวไปทางตอน</span><br> <span class="Apple-style-span">หางเป็น 3 สาย มีลูกบิดประจ าสายละ 1 อัน สาย 1 ใช้เส้นลวดทองเหลือง อีก 2 สายใช้เส้นเอ็น มี</span><br> <span class="Apple-style-span">หย่องรับสายอยู่ตรงปลายหางก่อนจะถึงลูกบิด ระหว่างตัวจะเข้มีแป้นไม้เรียกว่า นม รองรับสาย</span><br> <span class="Apple-style-span">ติดไว้บนหลังจะเข้ รวมทั้งสิ้น 11 อัน เพื่อไว้เป็นที่ส าหรับนิ้วกดนมแต่ละอันสูง เรียงล าดับขึ้นไป&nbsp;</span><br> <span class="Apple-style-span">ตั้งแต่ 2 ซม. จนสูง 3.5 ซม.</span><br> <span class="Apple-style-span">เวลาบรรเลงใช้ดีดด้วยไม้ดีดกลมปลายแหลมท าด้วยงาช้างหรือกระดูกสัตว์ เคียนด้วยเส้นด้าย</span><br> <span class="Apple-style-span">ส าหรับพันติดกับปลายนิ้วชี้ข้างขวาของผู้ดีด และใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วกลางช่วยจับให้มีก าลัง&nbsp;</span><br> <span class="Apple-style-span">เวลาแกว่งมือส่ายไปมา ให้สัมพันธ์ กับมือข้างซ้ายขณะกดสายด้วย</span><br> <span class="Apple-style-span" style="font-weight:800"><br> </span><br> <br> <u><span class="Apple-style-span" style="font-weight:800">ซึง</span></u><br> <a target="_blank" href="http://4.bp.blogspot.com/_-DPRqRg30MI/TU7_nliDeNI/AAAAAAAAABo/hrG0sjHHPzY/s1600/021.jpg" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"></a><span class="Apple-style-span" style="font-weight:800"> </span><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://4.bp.blogspot.com/_-DPRqRg30MI/TU7_nliDeNI/AAAAAAAAABo/hrG0sjHHPzY/s1600/021.jpg" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"><img border="0" height="263" src="http://4.bp.blogspot.com/_-DPRqRg30MI/TU7_nliDeNI/AAAAAAAAABo/hrG0sjHHPzY/s320/021.jpg" width="320"></a></div><span class="Apple-style-span">ซึงเป็นเครื่องดนตรีประเภท ดีด มี4 สาย แต่แบ่งออกเป็น2เส้น เส้นละ2สาย มีลักษณะคล้าย&nbsp;</span><br> <span class="Apple-style-span">กระจับปี่ แต่มีขนาดเล็กกว่า ความยาวทั้งคันทวนและกะโหลกรวมกันประมาณ 81 ซม&nbsp;</span><br> <span class="Apple-style-span">กะโหลกมีรูปร่างกลมวัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ 21 ซม ทั้งกะโหลกและคันทวน ใช้ไม้</span><br> <span class="Apple-style-span">เนื้อแข็งชิ้นเดียวคว้านตอนที่เป็นกะโหลกให้เป็นโพรง ตัดแผ่นไม้ให้กลม แล้วเจาะรูตรงกลาง</span><br> <span class="Apple-style-span">ท าเป็นฝาปิดด้านหน้า เพื่ออุ้มเสียงให้กังวาน คันทวนเป็นเหลี่ยมแบนตอนหน้า เพื่อติดตะพาน</span><br> <span class="Apple-style-span">หรือนมรับนิ้ว จ านวน 9 อัน ตอนปลายคันทวนท าเป็นรูปโค้ง และขุดให้เป็นร่อง เจาะรูสอด</span><br> <span class="Apple-style-span">ลูกบิดข้างละ 2 อัน รวมเป็น 4 อันสอดเข้าไปในร่อง ส าหรับขึ้นสาย 4 สาย สายของซึงใช้สาย</span><br> <span class="Apple-style-span">ลวดขนาดเล็ก 2 สาย และ สายใหญ่ 2 สาย ซึงเป็นเครื่องดีดที่ชาวไทยทางภาคเหนือนิยมนามาเล่นร่วมกับปี่ซอ หรือ ปี่จุ่มและ สะล้อ</span><br> <span class="Apple-style-span">แบ่งตามลักษณะได้ 3 ประเภท คือ ซึงเล็ก ซึ่งกลาง และซึงหลวง(ซึงที่มีขนาดใหญ่)</span><br> <span class="Apple-style-span">แบ่งตามประเภทได้ 2 ชนิด คือ ซึงลูก3 และซึงลูก4 (แตกต่างกันที่เสียง ลูก 3 เสียงซอลจะอยู่</span><br> <span class="Apple-style-span">ด้านล่าง ส่วนซึงลูก4 เสียงซอลจะอยู่ด้านบน)</span><br> <span class="Apple-style-span" style="font-weight:800"><br> </span><br> <u><b>เครื่องสี</b></u> เป็นเครื่องสายที่ท าให้เกิดเสียงด้วยการใช้คันชักสีเข้ากับสายในดนตรีไทย เรียกว่า ซอ ซึ่งมีอยู่ ๓ ชนิด ด้วยกัน คือ ซอ ได้แก่ ซออู, ซอด้วง, ซอสามสาย สะล้อ <br> <br> <b>ซอด้วง&nbsp;</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.dontee-thai.ob.tc/gaohu.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" height="320" src="http://www.dontee-thai.ob.tc/gaohu.jpg" width="294"></a></div><br> ซอด้วงเป็นซอสองสาย มีเสียงแหลม ก้องกังวาน คันทวนยาวประมาณ 72 <br> ซม คันชักยาวประมาณ 68 ซม ใช้ขนหางม้าประมาณ 120 – 150 เส้น กะโหลกของ <br> ซอด้วงนั้น แต่เดิมใช้กระบอกไม้ไผ่มาท า ปากกระบอกของซอด้วงกว้างประมาณ 7 <br> ซม ตัวกระบอกยาวประมาณ 13 ซม กะโหลกของซอด้วงนี้ ในปัจจุบันใช้ไม้จริง หรือ <br> งาช้างท าก็ได้<br> แต่ที่นิยมว่าเสียงดีนั้น กะโหลกซอด้วงต้องท าด้วยไม้ล าเจียก ส่วนหน้าซอนิยมใช้<br> หนังงูเหลือมขึง เพราะท าให้เกิดเสียงแก้วเกิดความไพเราะอย่างยิ่ง ลักษณะของซอ<br> ด้วง มีรูปร่างเหมือนกับซอของจีนที่เรียกว่า ฮู – ฉิน (Huchin) ทุกอย่าง เหตุที่เรียกว่า <br> ซอด้วง ก็เพราะมีรูปร่างคล้ายเครื่องดักสัตว์ เพราะตัวด้วงดักสัตว์ ท าด้วยกระบอกไม้<br> ไผ่เหมือนกีน จึงได้เรียกชื่อไปตามลักษณะนั้นนั่นเอง<br> สายซอด้วงนั้น มีเพียงสองสายและมีเสียงอยู่ สองเสียง คือสายเอกจะเป็นเสียง "เร" <br> ส่วนสายทุ้มจะเป็นเสียง "ซอล" โดยใช้สายไหมฟั่นหรือว่าสายเอ็นก็ได้<br> ซอด้วงใช้ในวงเครื่องสาย วงมโหรี โดยท าหน้าที่เป็นผู้น าวงและเป็นหลักในการ<br> ดำเนินทำนอง<br> <br> <b>ซอสามสาย</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.skoolbuz.com/content_images/200911/images/image003.jpg" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"><img border="0" height="236" src="http://www.skoolbuz.com/content_images/200911/images/image003.jpg" width="320"></a></div><b>&nbsp;</b>ซอสามสาย เป็นซอชนิดหนึ่งของไทย มีมาแต่โบราณ มีเสียงไพเราะ นุ่มนวล <br> รูปร่างวิจิตรสวยงามกว่าซอชนิดอื่น ถือเป็นเครื่องดนตรีชั้นสูง ใช้ในราชส านัก มีส่วนประกอบ <br> ดังนี้ - กะโหลก ท าด้วยกะลามะพร้าว ตัดตามด้านขวาง ด้านหน้าต่อติดกับกรอบไม้เนื้อแข็ง <br> เดิมนิยมใช้ไม้สักเรียกว่า "ขนงไม้สัก" มีรูปร่างคล้ายกรอบหน้านาง ใช้หนังลูกวัวหรือหนังแพะ<br> ขึงปิดทับขอบขนงไม้สักและขอบกะลาให้ตึงพอดี - คันซอ แบ่งออกเป็นสามส่วน คือ ทวนบน <br> ทวนกลาง และทวนล่าง ทวนบน คือ ส่วนที่นับจากรอบต่อเหนือรัดอกขึ้นไป ทวนกลาง คือ <br> ส่วนต่อจากทวนบนลงมาถึงกะโหลก ทวนล่างหรือแข้งไก่ คือ ส่วนที่ต่อจากกะโหลก ลงไป<br> รวมทั้งเข็มที่ท าด้วยโลหะ ซึ่งอยู่ปลายล่างสุด - ลูกบิด มีสามลูก ลูกล่างส าหรับสายเอก ลูกบน<br> ส าหรับสายกลาง สองลูกนี้อยู่ทางขวา ทางซ้ายมีลูกเดียว ส าหรับสายทุ้ม หรือสายสาม - รัดอก <br> มักใช้สายไหมฟั่นเกลียวแบบสายซอ พันรอบทวนกลาง ใช้รัดสายทั้งสาม ให้แนบเข้ากับทวน<br> กลาง เพื่อให้เสียงของสายเปล่าได้ระดับและมีความกังวาน - หย่อง ท าด้วยไม้หรืองา เหลาเป็น<br> รูปคันธนูให้ได้ขนาดพอรับสายซอทั้งสามสาย บนหย่องบากร่องไว้ สามต าแหน่ง เพื่อรอง<br> รับสายซอ - ถ่วงหน้า ท าด้วยแก้วหรือโลหะ ขึ้นรูปเป็นตลับกลมเล็ก ๆ ข้างบนประดับพลอยสี<br> ต่าง ๆ หรือถม หรือลงยา ภายในบรรจุสีผึ้งผสมตะกั่ว เพื่อให้ได้น้ าหนัก ใช้ชันปิดหน้า ใช้ปรับ<br> เสียงให้สายเอกเข้ากับสายทุ้ม - หนวดพราหมณ์ ใช้สายไหมฟั่นเกลียวอย่างสายซอ ผูกเป็นสาย<br> บ่วง ร้อยเข้าไปในรูที่ทวนล่าง เพื่อรั้งปมปลายสายซอทั้งสาม - คันชัก ท าด้วยไม้เนื้อแข็งและ<br> เหนียว กลึงให้ได้รูป ขึงด้วยขนหางม้าสีขาวประมาณ ๒๕๐-๓๐๐ เส้น<br> <br> <b>ซออู้&nbsp;</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.bloggang.com/data/yyswim/picture/1193377592.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" height="240" src="http://www.bloggang.com/data/yyswim/picture/1193377592.jpg" width="320"></a></div><br> ซออู้ เป็นซอสองสาย ตัวกะโหลกทำด้วยกะลามะพร้าว โดยตัดปาดกะลาออก<br> เสียด้านหนึ่ง และใช้หนังลูกวัวขึงขึ้นหน้าซอ กว้างประมาณ 13 – 14 ซม เจาะกะโหลกให้<br> ทะลุตรงกลาง เพื่อใส่คันทวนที่ท าด้วยไม้จริง ผ่านกะโหลกลงไป ออกทะลุรูตอนล่างใกล้<br> กะโหลก คันทวนซออู้นี้ ยาวประมาณ 79 ซม ใช้สายซอสองสายผูกปลายทวนใต้<br> กะโหลก แล้วพาดผ่านหน้าซอ ขึ้นไปผูกไว้กับ ลูกบิดสองอัน ลูกบิดซออู้นี้ยาวประมาณ <br> 17 –18 ซม โดยเจาะรูคันทวนด้านบน แล้วสอดลูกบิดให้ทะลุผ่านคันทวนออกมา และใช้<br> เชือกผูกรั้งกับทวนตรงกลางเป็นรัดอก เพื่อให้สายซอตึง และส าหรับเป็นที่กดสายใต้รัด<br> อกเวลาสี ส่วนคันสีของซออู้นั้นท าด้วย ไม้จริงยาวประมาณ 70 ซม ใช้ขนหางม้า<br> ประมาณ 160 - 200 เส้น ตรงหน้าซอใช้ผ้าม้วนกลมๆ เพื่อท าหน้าที่เป็นหมอนหนุน สาย<br> ให้พ้นหน้าซอ ด้านหลังของกะโหลกซอ แกะสลักเป็นรูปลวดลายสวยงาม และเป็น<br> ช่องทางให้เสียงออกด้านนี้ด้วย<br> ซออู้มีรูปร่างคล้ายๆกับซอของจีนที่เรียกว่า ฮู – ฮู้ ( Hu-hu ) เหตุที่เรียกว่าซออู้ก็เพราะ <br> เรียกตามเสียงที่ได้ยินนั่นเอง<br> <br> <b>สะล้อ</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.lannamusic.advancewebservice.com/userimages/saloo01.jpg" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"><img border="0" height="213" src="http://www.lannamusic.advancewebservice.com/userimages/saloo01.jpg" width="320"></a></div><b><br> </b><br> สะล้อเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองล้านนาชนิดหนึ่ง เป็นประเภทเครื่องสีซึ่ง<br> มีทั้ง 2 สายและ 3 สาย คันชักส าหรับสีจะอยู่ข้างนอกเหมือนคันชักซอ<br> สามสาย สะล้อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทร้อ หรือ ซะล้อ มีรูปร่างคล้ายซออู้<br> ของภาคกลาง ใช้ไม้แผ่นบาง ๆ ปิดปากกะลาท าหลักที่หัวส าหรับพาด<br> ทองเหลือง ด้านหลังกะโหลกเจาะเป็นรูปลวดลายต่าง ๆ เช่น รูปหนุ<br> มาน รูปหัวใจ ส่วนด้านล่างของกะโหลก เจาะทะลุลง ข้างล่าง เพื่อสอด<br> คันทวนที่ท าด้วยไม้ชิงชัน ยาวประมาณ 64 ซม ตรงกลางคันทวนมีรัด<br> อกท าด้วยหวาย ปลายคันทวนด้านบนเจาะรูส าหรับสอดลูกบิด ซึ่งมี 2 <br> หรือ 3 อัน ส าหรับขึงสายซอ จากปลายลูกบิดลงมาถึงด้านกลางของ<br> กะโหลกมีหย่องสำหรับ หนุนสายสะล้อเพื่อให้เกิดเสียงเวลาสี คันชัก<br> สะล้อท าด้วยไม้ดัดเป็นรูปโค้ง ขึงด้วยหางม้าหรือพลาสติก เวลาสีใช้ยาง<br> สนถูท าให้เกิดเสียงได้<br> สะล้อใช้บรรเลงประกอบการแสดงหรือบรรเลงร่วมกับบทร้องและ<br> ทำนองเพลงได้ทุกชนิดเช่น เข้ากับปี่ในวงช่างซอ เข้ากับซึงในวง<br> พื้นเมือง หรือใช้เดี่ยวคลอร้องก็ได<br> <br> <u><b>เครื่องเป่า</b></u><br> เครื่องเป่า เป็นเครื่องดนตรีที่ท าให้เกิดเสียงจากลมเป่า อุปกรณ์ดังเดิมได้จากพืช ได้แก<br> หลอดไม้ต่าง ๆ และจากสัตว์ ได้แก่ เขาสัตว์ต่างๆ ต่อมาได้มีวิวัฒนาการด้วยการเจาะ<br> รูและท าลิ้น เพื่อให้เกิดระดับเสียงได้มาก เครื่องดนตรีเหล่านี้ ได้แก่ ขลุ่ยชนิดต่าง ๆ ป<br> ชนิดต่าง ๆ และแคน เป็นต้น<br> ขลุ่ย ได้แก่ ขลุ่ยหลิบ ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยอู้ ขลุ่ยกรวด แคน<br> ปี่ ได้แก่ ปี่นอก ปี่กลาง ปี่ใน ปี่ไฉน ปี่ชวา ปี่มอญ ปี่อ้อ ปี่จุม โหวด<br> <br> <b>ปี่</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://thai.cri.cn/chinaabc/chapter23/images/houguan.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" height="320" src="http://thai.cri.cn/chinaabc/chapter23/images/houguan.jpg" width="223"></a></div><br> ปี่เป็นเครื่องดนตรีไทย ทำด้วยไม้จริงเช่นไม้ชิงชันหรือไม้พยุง กลึงให้เป็นรูปบานหัวบานท้าย ตรงกลาง<br> &nbsp;เจาะภายในให้กลวงตลอดเลา ทางหัวของปี่เป็นช่องรูเล็กส่วนทาง ปลายของปี่ ปากรูใหญ่ใช้ชันหรือวัสด<br> งอื่นมาหล่อเสริมขึ้นอีกราวข้างละ ครึ่งซม ส่วนหัวเรียก ทวนบน ส่วนท้ายเรียก ทวนล่าง ตอนกลางของป<br> ะรูนิ้วส าหรับเปลี่ยนเสียงลงมาจำนวน 6 รู แต่สามารถเป่าได้เสียงตรง 24 เสียง กับเสียงควงหรือเสียงแทน<br> &nbsp;เสียง รวมเป็น 32 เสียง รูตอนบนเจาะเรียงลงมา 4 รู เว้นระยะห่างเล็กน้อย เจาะรูล่างอีก 2 รู ตรงกลางของ<br> ปี่ กลึงขวั้นเป็นเกลียวคู่ไว้เป็นจำนวน 14 คู่ เพื่อความสวยงามและกันลื่นอีกด้วย ตรงทวนบนนั้นใส่ลิ้นปี่ท<br> วยใบตาลซ้อนกัน 4 ชั้น ตัดให้กลมแล้วน าไปผูกติดกับท่อลมเล็กๆที่ เรียกว่า กำพวด เรียวยาวประมาณ 5<br> กำพวดนี้ท าด้วยทองเหลือง เงิน นาก หรือโลหะอย่างอื่นวิธีผูกเชือกเพื่อ ให้ใบตาลติดกับก าพวดนั้น ใช้วิธ<br> เรียกว่า ผูกตะกรุดเบ็ด ส่วนของ กำพวดที่จะต้องสอดเข้าไปเลาปี่นั้นเขาใช้ถักหรือเคียน ด้วยเส้นด้าย สอด<br> เข้าไปในเลาปี่ให้พอมิดที่พันด้ายจะทำให้เกิดความแน่นกระชับยิ่งขึ้น<br> ปี่ของไทยจัดได้เป็น 3 ชนิด ได้แก<br> <br> <b>ปี่นอก</b><br> &nbsp;มีขนาดเล็ก ยาวประมาณ 31 ซม. กว้าง 3.5 ซม. เป็นปี่ที่ใช้กันมาแต่เดิม เสียงของปี่นอกจะมีเสียงที่เล็กแหลม <br> ปี่กลาง มีขนาดกลาง ยาวประมาณ 37 ซม. กว้างประมาณ 4 ซม. ส าหรับเล่นประกอบการแสดงหนังใหญ่ มีส าเนียงเสียง<br> อยู่ระหว่าง ปี่นอก กับปี่ใน เสียงของปี่กลางจะ ไม่แหลมหรือว่าต่ าเกินไปแต่จะอยู่ในระดับปานกลาง <br> ปี่ใน มีขนาดใหญ่ มีความยาวประมาณ 41 – 42 ซม. กว้างประมาณ 4.5 ซม. เป็นปี่ที่พระอภัยมณีใช้ส าหรับเป่าให้นาง<br> ผีเสื้อสมุทร (ในวรรณกรรมของสุนทรภู่) ขาดใจตายนั่นเอง โดยเสียงของปีในจะเป็นเสียงที่ต่ า และเสียงใหญ่<br> <br> <b>ปี่นอก</b><br> ปี่นอกเป็นปี่ที่มีเสียงสูงสุดในบรรดาเครื่องเป่าตระกูลปี่ใน ลักษณะมีขนาดเล็ก<br> และเสียงแหลม มีความยาวประมาณ 31 เซนติเมตร มึความกว้างประมาณ 3.5 <br> เซนติเมตร มีลักษณะบานหัวบานท้ายเช่นเดียวกับปี่ใน บริเวณเลาปี่ที่ป่องเจาะ<br> รู 6 รู ปี่นอกใช้เล่นในวงปี่พาทย์ไม้แข็งและวงปี่พาทย์ชาตร<br> <br> <b>ปี่ใน</b><br> ปี่ใน เป็นปี่ที่มีขนาดใหญ่และมีเสียงต่ำ ในบรรดาเครื่องเป่าที่มีลิ้นตระกูลปี่ใน ลักษณะเป็นปี่<br> ท่อนเดียว ลำปี่ที่ทำหน้าที่เป็นตัวขยายเสียงเรียกว่า"เลา"<br> เลาปี่ทำมาจากไม้ เช่น ไม้พยุง ไม้ชิงชัน มีความยาวประมาณ 52 เซนติเมตร ความกว้าง<br> ประมาณ 4 เซนติเมตร มีลักษณะหัวบานท้ายและป่องตรงกลาง เจาะรูกลางตลอดเลา ด้านบน<br> มีรูเล็กใช้เสียบลิ้นปี่ ด้านล่างรูจะใหญ่ บริเวณเลาปี่ที่ป่องตรงกลางจะเจาะรู 6 รู ลิ้นปี่ท าจาก<br> ใบตาลน ามาตัดซ้อนกัน 4 ชั้น ตัดผูกกับท่อทองเหลืองเล็กๆ เรียกว่า"กำพวด"<br> ปี่ในใช้บรรเลงในวงปี่พาทย์<br> <br> <b>ปี่ชวา&nbsp;</b><br> ปี่ชวา เป็นเครื่องเป่าชนิดหนึ่งที่มีลิ้น เข้าใจว่าเมืองไทยรับมาในคราวเดียวกับกลองแขก <br> ส่วนประกอบของปี่ชวามีดังนี้<br> ปี่ชวาใช้ในการบรรเลงในวงบัวลอย วงปี่พาทย์นางหงส์ และวงเครื่องสายปี่ชวา<br> นอกจากนี้ปี่ชวายังใช้ในการเป่าประกอบการรำกระบี่กระบองและการชกมวยอีกด้วย<br> <br> <b>ปี่มอญ</b><br> ปี่มอญ เป็นเครื่องเป่าในตระกูลปี่ ไทยได้แบบอย่างมาจากมอญ ปี่ชนิดนี้แบ่งเป็น 2 ท่อน ท่อน<br> แรกเรียกว่า"ตัวเลา" ทำด้วยไม้จริง กลึงให้กลมเรียวยาว ภายในโปร่งตลอด ตอนปลายกลึงผาย<br> ออกเล็กน้อย ถัดลงมากลึงเป็นลูกแก้วคั่นส าหรับผูกเชือกโยงกับตัวล าโพง ที่ตัวเลาด้านหน้า<br> เจาะรู 7 รู เรียงตามล าดับเพื่อเปิดปิดนิ้วบังคับเสียง ด้านหลังตอนบนเจาะอีก 1 รูเป็น"รูนิ้วคำ" อี<br> ท่อนหนึ่งเรียกว่าลำโพง ท าด้วยทองเหลืองหรือสแตนเลส ลักษณะคล้ายดอกล าโพง แต่ใหญ่<br> กว่า ปลายผายบานงุ้มขึ้น ตอนกลางและตอนปลายตีเป็นลูกแก้ว ตัวเลาปี่จะสอดใส่เข้าไปใน<br> ลำโพง โดยมีเชือกเคียนเป็นทักษิณาวัฏ ในเงื่อน"สับปลาช่อน" ยึดระหว่างลูกแก้วล าโพงปี่กับ<br> ลูกแก้วตอนบนของตัวเลาปี่ เพื่อไม่ให้หลุดออกจากกันง่ายๆ<br> เนื่องจากว่าปี่มอญมีขนาดใหญ่และยาวกว่าปี่อื่นๆ ทำให้กำพวดของปี่จึงต้องยาวไปตามส่วน<br> โดยมีความยาวประมาณ 8-9 ซม. และเขื่องกว่าก าพวดของปี่ชวา และมีแผ่นกระบังลม<br> เช่นเดียวกับปี่ชวาและปี่ไฉน<br> ปี่มอญใช้เล่นในวงปี่พาทย์มอญและเล่นประกอบเพลงออกภาษาในภาษามอญ<br> <br> <b>แคน&nbsp;</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.isangate.com/images2/kan.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" height="294" src="http://www.isangate.com/images2/kan.jpg" width="320"></a></div><br> แคน เป็นเครื่องเป่าพื้นเมืองของชาวอีสานเหนือที่ใช้ไม้ซางขนาดต่าง ๆ ประกอบกันเข้าเป็นตัว<br> แคน แคนเป็นสัญลักษณ์ของภาคอีสาน เป็นเครื่องเป่ามีลิ้นโลหะ เสียงเกิดจากลมผ่านลิ้นโลหะไป<br> ตามลำไม้ที่เป็นลูกแคน การเป่าแคนต้องใช้ทั้งเป่าลมเข้าและดูดลมออกด้วย จึงเป่ายากพอสมควร <br> แคนมีหลายขนาด บางขนาดมีเสียงประสานอยู่ด้วย แคนมีหลายประเภทตามจำนวนลูกแคน คือ<br> 1.แคนหก มีลูกแคน 3 คู่ (6 ลูก) เป็นแคนขนาดเล็กที่สุด ส าหรับเด็กหรือผู้เริ่มฝึกหัดใช้เป่าเพลงง่าย <br> ๆ เพราะเสียงไม่ครบ<br> 2.แคนเจ็ด มีลูกแคน 7 คู่ (14 ลูก) เป็นแคนขนาดกลาง มีเสียงครบ 7 เสียง ตามระบบสากล และมี<br> ระดับเสียงสูง ต่ า ทั้ง 7 เสียง หรือที่เรียกว่า คู่แปด คือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที (คู่แปด คือทุกเสียง<br> เช่นเสียงโด ก็จะมีทั้งเสียงโดสูง และโดต่ า ทุกเสียงมีคู่เสียงทั้งหมด)<br> 3.แคนแปด ใหญ่กว่าแคนเจ็ด มีลูกแคน 8 คู่ (16 ลูก) คือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด เพิ่มคู่เสียง<br> ระดับสูงขึ้นไปให้เป็นเสียงประสานในการเล่นเพลงพื้นเมือง<br> 4.แคนเก้า มีลูกแคน 9 คู่ (18 ลูก) ใหญ่ที่สุด เวลาเป่าต้องใช้ลมมากจึงไม่ค่อยมีคนนิยม ในเรื่อง<br> ระดับเสียงของแคนเหมือนระบบเสียงดนตรีสากลนั้น เป็นเรื่องน่าสนใจ น่าที่จะได้ศึกษากันต่อไป<br> ว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ในขณะที่ดนตรีไทยไม่มีขั้นครึ่งเสียง และเพลงพื้นเมืองอีสานใช้เพียง <br> 5 ขั้น คือ โด เร มี ซอล ลา ไม่มีเสียงฟา และ ที<br> <br> <b>ขลุ่ยเพียงออ</b><br> <br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.bngmusicthailand.com/images/1141957095/1202886393.JPG" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" height="283" src="http://www.bngmusicthailand.com/images/1141957095/1202886393.JPG" width="320"></a></div>ขลุ่ยเพียงออ เป็นเครื่องดนตรีไทย ประเภทเครื่องเป่าชนิดไม่มีลิ้น ทำจากไม้รวกปล้องยาวๆ <br> ด้านหน้าเจาะรูเรียงกัน ส าหรับปิดเปิดเพื่อเปลี่ยนเสียง ตรงที่เป่าไม่มีลิ้นแต่มีดาก ซึ่งท าด้วยไม้อุด<br> เหลาเป็นท่อนกลมๆยาวประมาณ ๒ นิ้ว สอดลงไปอุดที่ปากของขลุ่ย แล้วบากด้านหนึ่งของดาก<br> เป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เราเรียกว่า ปากนกแก้ว เพื่อให้ลมส่วนหนึ่งผ่านเข้าออกท าให้เกิดเสียงขลุ่ย<br> ลมอีกส่วนจะวิ่งเข้าไปปลายขลุ่ยประกอบกับนิ้วที่ปิดเปิดบังคับเสียงเกิดเป็นเสียงสูงต่ าตาม<br> ต้องการใตปากนกแก้วลงมาเจาะ ๑ รู เรียกว่า รูนิ้วค้ำ เวลาเป่าต้องใช้หัวแม่มือค้ำปิดเปิดที่รูนี้ บาง<br> เลาด้านขวาเจาะเป็นรูเยื่อ ปลายเลาขลุ่ยมีรู ๔ รู เจาะตรงกันข้ามแต่เหลื่อมกันเล็กน้อย ใช้ส าหรับ<br> ร้อยเชือกแขวนเก็บหรือคล้องมือจึงเรียกว่า รูร้อยเชือก รวมขลุ่ยเลาหนึ่งมี ๑๔ รูด้วยกัน<br> รูปร่างของขลุ่ยเมือพิจารณาแล้วจะเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่ง จากหลักฐานที่พบขลุ่ย<br> ในหีบศพภรรยาเจ้าเมืองไทยที่ริมฝั่งแม่น้ำฮวงเหอ ซึ่งมีหลักฐานจารึกศักราชไว้ไม่ต่ ากว่า ๒,๐๐๐ <br> ปี ปัจจุบันขลุ่ยมีราคาสูง เนื่องจากไม้รวกชนิดที่ทำขลุ่ยมีน้อยลงและใช้เวลาทำมากจึงใช้วัตถุอื่นมา<br> เจาะรูซึ่งรวดเร็วกว่า เช่น ไม้เนื้อแข็ง ไม้ไผ่ ไม้ชิงชัน ไม้พยุง บางครั้งอาจทำจากท่อพลาสติกแต่<br> คุณภาพเสียงไม่ดีเท่าขลุ่ยไม้ ขลุ่ยที่มีเสียงไพเราะมากส่วนใหญ่จะเป็นขลุ่ยผิวไม้แห้งสนิท<br> <br> <b>ขลุ่ยหลิบ</b><br> ขลุ่ยหลิบจัดเป็นขลุ่ยที่มีขนาดเล็กที่สุดใบรรดาขลุ่ยไทยทั้งหมด มีความยาว<br> ประมาณ 25 เซนติเมตร มีเสียงสูง ใช้ในการบรรเลงในวงมโหรีเครื่องคู่ เครื่อง<br> ใหญ่ และวงเครื่องสายเครื่องคู่ โดยเป็นเครื่องน าในวงเช่นเดียวกับระนาด <br> หรือซอด้วง นอกจากนี้ยังใช้บรรเลงในวงเครื่องสายปี่ชวา โดยบรรเลงเป็น<br> พวกหลังเช่นเดียวกับซออู้<br> <br> <u><b>เครื่องตี</b></u><br> เครื่องตี เป็นเครื่องดนตรีที่ท าให้เกิด เสียงดนตรีด้วยการใช้ของสองสิ่งกระทบกัน ด้วยการตี <br> นับว่าเป็นเครื่องดนตรีประเภท เก่าแก่ที่สุดที่ที่มนุษย์รู้จักใช้ ได้มีวิวัฒนาการจากอุปกรณ์<br> ง่ายๆ ให้มี ความหลากหลายออกไปทั้งรูปแบบและวัสดุที่ใช้ ส าหรับเครื่องดนตรีไทย ที่เป็น<br> ประเภทเครื่องตีมีดังนี้ <br> กลองแขก กลองสะบัดชัย กลองสองหน้า กลองทัด กลองมลายู กลองยาว กลองมโหระทึก <br> กรับได้แก่ กรับเสภา, กรับพวง ฯลฯ ขิม ฆ้องมอญ ฆ้องวงเล็ก ฆ้องวงใหญ่ <br> ฉาบ ได้แก่ ฉาบเล็ก, ฉาบใหญ ฯลฯ ฉิ่ง <br> ตะโพน ได้แก่ ตะโพนไทย, ตะโพนมอญ <br> โทน โปงลาง ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้มเหล็ก ระนาดเอก <br> ระนาดเอกเหล็ก ร ามะนา อังกะลุง เปิงมาง โหม่ง<br> <br> <b>ระนาดเอก</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.culture.go.th/knowledge/story/ranad/chap6/c6s1p1p6.jpg" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"><img border="0" height="180" src="http://www.culture.go.th/knowledge/story/ranad/chap6/c6s1p1p6.jpg" width="320"></a></div><b>&nbsp;</b>ระนาดเอกเป็นเครื่องตีชนิดหนึ่ง ที่วิวัฒนาการมาจากกรับ แต่เดิมคงใช้กรับสองอันตีเป็น<br> จังหวะ ต่อมาก็เกิดความคิดว่า ถ้าเอากรับหลาย ๆ อันวางเรียงราดลงไป แล้วแก้ไขประดิษฐ์ให้<br> มีขนาดลดหลั่นกัน แล้วท ารางรองอุ้มเสียง และใช้เชือกร้อยไม้กรับขนาดต่าง ๆ กันนั้นให้<br> ติดกัน และขึงไว้บนรางใช้ไม้ตีให้เกิดเสียง น าตะกั่วผสมกับขี้ผึ้งมาถ่วงเสียงโดยน ามาติดหัว<br> ท้ายของไม้กรับนั้น ให้เกิดเสียงไพเราะยิ่งขึ้น เรียกไม้กรับที่ประดิษฐ์เป็นขนาดต่างๆกันนั้นว่า <br> ลูกระนาด เรียกลูกระนาดที่ผูกติดกันเป็นแผ่นเดียวกันว่า ผืน<br> ลูกระนาดนี้ท าด้วย ไม้ชิงชัน หรือไม้แก่น เช่น ไม้ไผ่บง ไม้มะหาด ไม้พะยูงก็ได้ โดยน ามา<br> เหลาให้ได้ตามขนาดที่ต้องการ แล้วท ารางเพื่ออุ้มเสียงเป็นรูปคล้ายล าเรือ ให้หัวและท้ายโค้ง<br> ขึ้น เรียกว่า รางระนาด แผ่นไม้ที่ปิดหัวท้ายรางระนาดเราเรียกว่า โขน ระนาดเอกในปัจจุบันมี<br> จ านวน 21 ลูก ลูกต้นมีขนาด 39 ซม กว้างราว 5 ซม และหนา 1.5 ซม มีขนาดลดหลั่นลงไป<br> จนถึงลูกที่ 21 หรือลูกยอดที่มีขนาด 29 ซม เมื่อน าผืนระนาด มาแขวนบนรางแล้ว หากวัดจาก<br> โขนหัวรางข้างหนึ่งไปยังโขนหัวรางอีกข้างหนึ่ง จะมีความยาวประมาณ 120 ซม มีเท้ารองราง<br> เป็นเท้าเดี่ยว รูปคล้ายกับพานแว่นฟ้า<br> ระนาดเอกใช้ในวงปี่พาทย์และวงมโหรี โดยท าหน้าที่เป็นผู้นำ<br> <br> <b>ระนาดทุ้ม&nbsp;</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.paktho.ac.th/student/thaimusic/images/thai/ranatthum.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" height="184" src="http://www.paktho.ac.th/student/thaimusic/images/thai/ranatthum.jpg" width="320"></a></div><br> ระนาดทุ้ม เป็นเครื่องดนตรีที่สร้างขึ้นมาในรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นการสร้าง<br> เลียนแบบระนาดเอก ใช้ไม้ชนิดเดียว กันกับระนาดเอก ลูกระนาดทุ้มมีจ านวน 17 หรือ 18 <br> ลูก ลูกต้นยาวประมาณ 42 ซม กว้าง 6 ซม และลดหลั่นลงมาจนถึงลูกยอด ที่มีขนาดยาว 34 <br> ซม กว้าง 5 ซม รางระนาดทุ้มนั้นประดิษฐ์ให้มีรูปร่างคล้ายหีบไม้ แต่เว้าตรงกลางให้โค้ง <br> โขนปิดหัวท้ายเพื่อ เป็นที่แขวนผืนระนาดนั้น ถ้าหากวัดจากโขนด้านหนึ่งไปยังโขนอีกด้าน<br> หนึ่ง รางระนาดทุ้มจะมีขนาดยาวประมาณ 124 ซม ปาก รางกว้างประมาณ 22 ซม มีเท้าเตี้ย <br> รองไว้ 4 มุมราง<br> หน้าที่ในวงของระนาดทุ้มนั้น ท าหน้าที่เดินท านองรอง ในทางของตนเองซึ่งจะมีจังหวะ<br> โยน ล้อ ขัด ที่ท าให้เกิดความไพเราะและเติมเต็มช่องว่างของเสียง อันเป็นเอกลักษณ์<br> เฉพาะตัวของระนาดทุ้ม<br> <br> <b>กรับ</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.lesla.com/board/file/4/20100903-143019-1842077587.jpg" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"><img border="0" height="240" src="http://www.lesla.com/board/file/4/20100903-143019-1842077587.jpg" width="320"></a></div><b>&nbsp;</b>กรับ เป็นเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่ง ซึ่งกรับนั้นมีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ กรับคู่ กรับพวง และกรับเสภา<br> &nbsp; กรับคู่&nbsp; ทำด้วยไม้ไผ่ผ่าซีก เหลาให้เรียบและเกลี้ยงอย่าให้มีเสี้ยน มีรูปร่างแบนตามซีกไม้ไผ่ <br> หนาตามขนาดของเนื้อไม้ยาวประมาณ 40 ซม ทำเป็น 2 อันหรือเป็นคู่ ใช้ตีให้ผิวกระทบกันทางด้านแบน<br> เกิดเป็นเสียง กรับ <br> &nbsp;&nbsp; กรับพวง เป็นกรับชนิดหนึ่งตอนกลางทำด้วยไม้บางๆหรือแผ่นทองเหลือง หรืองาหลายๆอัน<br> และทำไม้แก่น 2 อันเจาะรูตอนหัวร้อยเชือกประกบไว้ 2 ข้างเหมือนด้ามพัด เวลาตีใช้มือหนึ่งถือตรงหัว<br> ทางเชือกร้อย แล้วฟาดลงไปบนอีกฝ่ามือหนึ่ง เกิดเป็นเสียงกรับขึ้นหลายเสียง จึงเรียกว่ากรับพวงใช้เป็น<br> อานัตสัญญาณ เช่นในการเสด็จออกในพระราชพิธีของพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าพนักงานจะรัวกรับ และใช้กรับ<br> พวงตีเป็นจังหวะ ในการขับร้อง เพลงเรือ ดอกสร้อยและใช้บรรเลงขับร้องในการแสดง นาฎกรรมด้วย <br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.dontrithai108.com/images/column_1215186628/1215186753.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" height="240" src="http://www.dontrithai108.com/images/column_1215186628/1215186753.jpg" width="320"></a></div><b>&nbsp;&nbsp; กรับเสภา </b>ทำด้วยไม้แก่น เช่นไม้ชิงชัน ยาวประมาณ 20 ซม หนาประมาณ 5 ซม เหลาเป็นรูป 4 <br> เหลี่ยมแต่ลบเหลี่ยม ออกเพื่อมิให้บาดมือและให้สามารถกลิ้งตัวของมันเองกลอก กระทบกันได้<br> โดยสะดวก ใช้บรรเลงประกอบในการขับเสภา เวลาบรรเลงผู้ขับเสภาจะใช้กรับเสภา 2 คู่ รวม 4 อัน ถือ<br> เรียงกันไว้บนฝ่ามือของตนข้างละคู่ กล่าวขับเสภาไปพลาง มือทั้ง 2 ข้างก็ขยับกรับแต่ละข้างให้กลอก<br> กระทบกันเข้าจังหวะ กับเสียงขับเสภา จึงเรียกกรับชนิดนี้ว่า กรับเสภา<br> <br> <b>ระนาดเอกเหล็ก</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRgGgiB9FEZQSfEYbyzt1ry7hdWiHe89tuygEkZ4iO_OOKPXzkmdQ" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"><img border="0" src="http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRgGgiB9FEZQSfEYbyzt1ry7hdWiHe89tuygEkZ4iO_OOKPXzkmdQ"></a></div><br> ระนาดเอกเหล็ก เป็นเครื่องดนตรีที่ประดิษฐ์ขึ้นในรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่<br> เดิมลูกระนาดทำด้วยทองเหลือง จึงเรียกกันว่าระนาดทอง ในเวลาต่อมาได้มีการประดิษฐ์<br> ลูกระนาดด้วยเหล็ก ระนาดเอกเหล็กมีจ านวน 20 หรือ 21 ลูก โดยวางไว้บนรางที่มีไม้<br> ระกำวางพาดไปตามของราง หากไม่มีไม้ระก า ก็อาจใช้ผ้าพันไม้แล้วน ามารองลูกระนาดก็<br> ได้ ลูกต้น ของระนาดเอกเหล็กมีขนาด 23.5 ซม กว้างประมาณ 5 ซม ลดหลั่นขึ้นไปจนถึง<br> ลูกยอดที่มีขนาด 19 ซม กว้างประมาณ 4 ซม รางของระนาดเอกเหล็กนั้น ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีเท้ารองรับไว้ทั้ง 4 ด้านหรืออาจใส่ลูกล้อเพื่อสะดวกในการขนย้ายก็ได้<br> ระนาดเอกเหล็กบรรเลงเหมือนระนาดเอกทุกประการ เพียงแต่ไม่ได้ทำหน้าที่ผู้นำ<br> <br> <b>ระนาดทุ้มเหล็ก</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.thailandmuseum.com/bangkok/images/dontree2.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" src="http://www.thailandmuseum.com/bangkok/images/dontree2.jpg"></a></div><br> ระนาดทุ้มเหล็ก เป็นเครื่องดนตรีที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 4 มี<br> พระราชด าริให้สร้างขึ้น ลูกระนาดทำอย่างเดียวกับระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็กมีจ านวน 16 <br> หรือ 17 ลูก ลูกต้นยาวประมาณ 35 ซม กว้างประมาณ 6 ซมและลดหลั่นลงไปจนถึงลูกยอดซึ่งยาว<br> ประมาณ 29 ซม กว้างประมาณ 5.5 ซม ตัวรางระนาดยาวประมาณ 1 เมตร ปากราง กว้างประมาณ <br> 20 ซม มีชานยื่นออกไปสองข้างราง ถ้านับส่วนกว้างรวมทั้งชานทั้งสองข้างด้วย รางระนาดทุ้ม<br> เหล็กจะกว้าง ประมาณ 36 ซม มีเท้ารองติดลูกล้อ 4 เท้า เพื่อให้เคลื่อนที่ไปมาได้สะดวก ตัวรางสูง<br> จากพื้นถึงขอบบนประมาณ 26 ซมระนาด ทุกชนิดที่กล่าวมานั้น จะใช้ไม้ตี 2 อัน<br> ระนาดทุ้มเหล็กท าหน้าที่เดินท านองคล้ายฆ้องวงใหญ่ เพียงแต่เดินทำนองห่างกว่า<br> <br> <b>ฆ้องวงใหญ่&nbsp;</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.landco-sportland.com/data/products/55SAMKNWY001.jpg" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"><img border="0" height="224" src="http://www.landco-sportland.com/data/products/55SAMKNWY001.jpg" width="320"></a></div><br> ฆ้องวงใหญ่เป็นเครื่องดนตรีที่วิวัฒนาการมาจากฆ้องรางของอินโดนีเซีย สันนิษฐานว่ามีมา<br> ตั้งแต่สมัยสุโขทัย ส่วนประกอบของฆ้องวงใหญ่ประกอบด้วยลูกฆ้องและวงฆ้อง ลูกฆ้องมี <br> 16 ลูกท าจากทองเหลือง เรียงจากลูกเล็กด้านขวา วงฆ้องสูงประมาณ 24 เซนติเมตร ใช้หวาย<br> โป่งท าเป็นราง ให้หวายเส้นนอกกับเส้นในห่างกัน 14-17 เซนติเมตร ใช้หวาย 4 อัน ด้านล่าง <br> 2 อันขดเป็นวงขนานกัน เว้นที่ไว้ให้นักดนตรีเข้าไปบรรเลง<br> ฆ้องวงใหญ่เป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญที่สุด เพราะคนที่จะเล่นดนตรีในวงปี่พาทย์ต้องมาเรียน<br> ฆ้องวงใหญ่ก่อน ฆ้องวงใหญ่ทำหน้าที่เดินทำนองหลัก ซึ่งถือเป็นแม่บทของเพลง<br> ฆ้องวงใหญ่ใช้เล่นในวงปี่พาทย์ วงปี่พาทย์นางหงส์ และวงมโหร<br> <br> <b>ฆ้องวงเล็ก</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.landco-sportland.com/data/products/55SAMKNWL002.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" height="224" src="http://www.landco-sportland.com/data/products/55SAMKNWL002.jpg" width="320"></a></div><br> ฆ้องวงเล็กเป็นเครื่องดนตรีไทยสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 มีลักษณะเหมือนกับฆ้องวง<br> ใหญ่ แต่ลูกฆ้องมีขนาดเล็กกว่า มีลูกฆ้อง 18 ลูก บรรเลงทำนองคล้ายระนาดเอก แต่<br> ตีเก็บถี่กว่าระนาดเอก<br> ฆ้องวงเล็กใช้วงปี่พาทย์ไม้แข็ง วงปี่พาทย์ไม้นวม วงปี่พาทย์นางหงส์ และวงมโหรี<br> <br> <br> <br> <b>ฉิ่ง</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://board2.yimwhan.com/data_user/kom2505/photo/cate_3/r2_1.jpg" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"><img border="0" height="240" src="http://board2.yimwhan.com/data_user/kom2505/photo/cate_3/r2_1.jpg" width="320"></a></div><b>&nbsp;</b>ฉิ่งเป็นเครื่องดนตรีไทยประเภทตี ท าด้วยทองเหลือง หล่อหนา ปากผายกลม 1 ชุด มี 2 ฝา ฉิ่งมี <br> 2 ชนิดคือ ฉิ่งส าหรับวงปี่พาทย์ และ ฉิ่งที่ใช้ส าหรับวงเครื่องสายและวงมโหรี ฉิ่งส าหรับวงปี่<br> พาทย์มีขนาดที่วัดฝ่านศูนย์กลาง จากขอบข้างหนึ่งไปสุดขอบอีกข้างหนึ่ง กว้างประมาณ 6 –<br> 6.5 ซม เจาะรูตรงกลางส าหรับร้อยเชือก เพื่อให้จับสะดวกขณะตี ส่วนฉิ่งส าหรับวงเครื่องสาย<br> และวงมโหรีนั้น มีขนาดเล็กกว่า วัดผ่านศูนย์กลางได้ขนาดประมาณ 5.5 ซม<br> เนื่องจากการตีฉิ่ง ต้องเอาขอบของฝาข้างหนึ่งกระทบกับอีกฝากหนึ่ง แล้วยกขึ้น ก็จะมีเสียงดัง<br> กังวานยาวดัง ฉิ่ง แต่ถ้าเอาทั้ง 2 ฝานั้นกระทบและประกบกันไว้ จะได้ยินเสียงดังสั้นๆดัง ฉับ <br> ดังนั้นการเรียกชื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า ฉิ่ง ก็เพราะเรียกตามเสียงที่เกิดขึ้นนั่นเอง<br> <br> <b>ฉาบ</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.bs.ac.th/musicthai/img37.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" src="http://www.bs.ac.th/musicthai/img37.jpg"></a></div><br> ฉาบเป็นเครื่องดนตรีประเภทตี ทำด้วยโลหะคล้ายฉิ่ง แต่หล่อให้บางกว่า ฉาบมี 2 ชนิดคือฉาบ<br> เล็ก และ ฉาบใหญ่ ฉาบเล็กมีขนาด ที่วัดผ่านศูนย์กลางประมาณ 12 –14 ซม ส่วนฉาบใหญ่มี<br> ขนาดที่วัดผ่าน ศูนย์กลางประมาณ 24 –26 ซม เวลาบรรเลงใช้ 2 ฝามาตีกระทบกันให้เกิดเสียง<br> ตามจังหวะ เมื่อฉาบทั้งสองข้างกระทบกันขณะตีประกบกันก็ จะเกิดเสียง ฉาบ แต่ถ้าตีแล้วเปิด<br> เสียงก็จะได้ยินเป็น แฉ่ง แฉ่ง แฉ่ง เป็นต้น<br> <br> <b>กลองแขก</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/nation/musical/img11.jpg" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"><img border="0" src="http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/nation/musical/img11.jpg"></a></div><b>&nbsp;</b>กลองแขกเป็นเครื่องดนตรีประเภทตีที่มีรูปร่างยาวเป็นรูปทรงกระบอก ขึ้นหนังสองข้างด้วยหนัง<br> ลูกวัวหรือหนังแพะหน้าใหญ่ กว้างประมาณ 20 ซม เรียกว่า หน้ารุ่ย ส่วนหน้าเล็กกว้างประมาณ <br> 17 ซม เรียกว่า หน้าด่าน ตัวกลองแขกทำด้วยไม้แก่น เช่นไม้ชิงชันหรือไม้มะริด การขึ้นหนังใช้<br> เส้นหวายผ่าซีกเป็นสายโยงเร่งเสียง โยงเส้นห่าง ๆ ในปัจจุบันอาจใช้เส้นหนังแทนเนื่องจากหา<br> หวายได้ยาก กลองแขกสำหรับหนึ่งมี 2 ลูก ลูกเสียงสูงเรียก ตัวผู้ ลูกเสียงต่ำเรียก ตัวเมีย ตีด้วยฝ่า<br> มือทั้งสองข้างให้สอดสลับกันทั้งสองลูก<br> <br> <b>ตะโพน</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.dontee-thai.ob.tc/img40.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" src="http://www.dontee-thai.ob.tc/img40.jpg"></a></div><br> ตะโพน เป็นเครื่องดนตรีที่ขึงด้วยหนัง ตัวตะโพนทำด้วยไม้สักหรือไม้ขนุน เรียกว่า หุ่น ขุดแต่งให้<br> เป็นโพรงภายใน ขึ้นหนัง 2 หน้า ดึงด้วยสายหนังโยงเร่งเสียงเรียกว่า หนังเรียด หน้าใหญ่มีความ<br> กว้างประมาณ 25 ซม เรียกว่า หน้าเท่ง ติดหน้าด้วยข้าวสุกบดผสมกับขี้เถ้าเพื่อถ่วงเสียง อีกหน้า<br> หนึ่งเล็กกว่ามีขนาดประมาณ 22 ซม เรียกว่า หน้ามัด ตัวกลองยาวประมาณ 48 ซม รอบ ๆ <br> ขอบหนังที่ขึ้นหน้า ถักด้วยหนังที่ตีเกลียวเป็นเส้นเล็กๆ เรียกว่า ไส้ละมาน แล้วจึงเอาหนังเรียด<br> ร้อยในช่วงของไส้ละมานทั้งสองข้าง โยงเรียงไปโดยรอบจนมองไม่เห็นไม้หุ่น มีหนังพันตรง<br> กลางเรียกว่า รัดอก ข้างบนรัดอกทำเป็นหูหิ้วและมีเท้ารองให้ ตัวตะโพนวางนอนอยู่บนเท้า ใช้ฝ่า<br> มือซ้ายขวาตีได้ทั้งสองหน้า ใช้สำหรับบรรเลงผสมอยู่ในวงปี่พาทย์ ทำหน้าที่กำกับจังหวะหน้าทับ<br> ต่าง ๆ<br> ตะโพนนี้ ถือเป็นบรมครูทางดุริยางคศิลป์ นับว่าพระประโคนธรรพ เป็นครูตะโพน เมื่อจะเริ่มการ<br> บรรเลง จะต้องนำดอกไม้ธูปเทียน บูชาตะโพนก่อนทุกครั้ง และถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมา เหต<br> ที่ต้องกราบใหว้บูชาก็เพราะ ตะโพนเป็นเครื่องดนตรีที่บรรเลงร่วมกับ สังข บัณเฑาะว์ และ <br> มโหระทึก ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประจำองค์ของเทพเจ้า และสมมุติเทพ ดังนี้คือ สังข์ประจำพระองค<br> พระนารายณ์ และพระอินทร์ บัณเฑาะว์ ประจำองค์พระอิศวร มโหระทึก เป็นเครื่องดนตรีบรรเลง<br> ประกอบพระอิศริยยศองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นสมมุติเทพส่วนตะโพนนั้นเป็นกลองที่พระ<br> คเณศได้เป็นผู้ตีเป็นคนแรก ดังนั้น ตะโพนเมื่อนำมาร่วมบรรเลงในวงปี่พาทย์ จึงถือเป็นบรมครู <br> และทำหน้าที่กำกับหน้าทับต่างๆทั้งหมด<br> <br> <b>กลองทัด</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://krutri.samroiwit.in.th/studentwrok/pics/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%94.jpg" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"><img border="0" src="http://krutri.samroiwit.in.th/studentwrok/pics/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%94.jpg"></a></div><b>&nbsp;</b>กลองทัด เป็นกลองสองหน้าขนาดใหญ่ ขึ้นหน้าทั้งสองข้างด้วยหนังวัวหรือหนังควาย ตรึง<br> ด้วยหมุด หุ่นกลองทำจากไม้เนื้อแข็ง กลึงคว้านข้างในจนเป็นโพรง ป่องตรงกลางนิดหน่อย<br> หมุดที่ตรึง หนังเรียกว่าแส้ ทำด้วยไม้หรืองาหรือกระดูกสัตว์ตรงกลางหุ่น กลองมีห่วง<br> ส าหรับแขวน เรียกว่า หูระวิง กลองทัดมีขนาดหน้ากว้างเท่ากันทั้งสองข้าง วัด<br> เส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ 46 ซม ตัวกลองยาวประมาณ 41 ซม กลองทัดมี 2 ลูก ลูกที่มี<br> เสียงสูง ดัง ตุม เรียกว่า ตัวผู้ และ ลูกที่มีเสียงต่ำตีดัง ต้อม เรียกว่า ตัวเมีย ใช้ไม้ตี 1 คู่ มี<br> ขนาดยาวประมาณ 54 ซม<br> กลองทัดใช้บรรเลงในวงปี่พาทย์ โดยเล่นคู่กับตะโพน<br> <br> <b>กลองสองหน้า&nbsp;</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://krutri.samroiwit.in.th/studentwrok/pics/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" src="http://krutri.samroiwit.in.th/studentwrok/pics/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2.jpg"></a></div><br> กลองสองหน้า สันนิษฐานว่าเริ่มน ามาใชในสมัยรัชกาลที่ 2 มีลักษณะคล้ายลูกเปิงมาง <br> แต่ใหญ่กว่า หน้ากลองด้านกว้างเส้นผ่าศูนย์กลาง 21-24 เซนติเมตร ด้านเล็ก<br> ส้นผ่าศูนย์กลาง 20-22 เซนติเมตร ตัวกลองยาว 55-58 เซนติเมตร ใช้ในวงปี่พาทย์เสภา<br> และใช้ตีประกอบจังหวะการเดี่ยวเครื่องดนตรีต่างๆด้วย<br> <br> <br> <br> <b>โทน&nbsp;</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/c/ce/%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5.jpg" imageanchor="1" style="clear:left;float:left;margin-bottom:1em;margin-right:1em"><img border="0" height="240" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/c/ce/%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5.jpg" width="320"></a></div><b>&nbsp;</b>โทนเป็นชื่อของเครื่องหนัง ที่ขึงหนังหน้าเดียว มีสายโยงเร่งเสียงจากขอบหนังถึงคอ มีหางยื่น<br> ออกไปและบานปลาย มีชื่อเรียกคู่กันว่า โทนทับ โดยลักษณะรูปร่างนั้น โทนมีชื่อเรียกกันได้<br> ตามรูปร่างที่ปรากฏ 2 ชนิดคือ โทนชาตรี และ โทนมโหรี<br> โทนชาตรีนั้น ตัวโทนท าด้วยไม้ขนุน ไม้สัก หรือ ไม้กะท้อนมีขนาดปากกว้าง 17 ซม ยาว<br> ประมาณ 34 ซม มีสายโยงเร่งเสียงใช้หนังเรียด ตีด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งคอยปิดเปิด <br> ปลายหางที่เป็นปากลำโพง ช่วยให้เกิดเสียงต่างๆ ใช้ส าหรับ บรรเลงประกอบการแสดงละคร<br> ชาตรี และหนังตะลุง และตีประกอบจังหวะในวงปี่พาทย์ หรือวงเครื่องสาย หรือวงมโหรีที่เล่น<br> เพลงภาษาเขมร หรือ ตะลุง<br> ส่วนโทนมโหรีนั้น ตัวโทนทำด้วยดินเผา ด้านที่ขึงหนังโตกว่า โทนชาตรี ขนาดหน้ากว้าง<br> ประมาณ 22 ซม ยาวประมาณ 38 ซม สายโยงเร่งเสียงใช้หวายผ่าเหลาเป็นเส้นเล็กหรือใช้ไหม<br> ฟั่นเป็นเกลียว ขึ้นหนังด้วยหนังลูกวัว หนังแพะ หนังงูเหลือม หรือหนังงูงวงช้าง ใช้สำหรับ<br> บรรเลงคู่กับรำมะนา โดยตีขัดสอดสลับกัน ตามจังหวะหน้าทับ<br> <br> <b>รำมะนา</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.landco-sportland.com/data/products/55SAMDMRN001.jpg" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" height="224" src="http://www.landco-sportland.com/data/products/55SAMDMRN001.jpg" width="320"></a></div><br> รำมะนา เป็นกลองที่ขึงหนังหน้าเดียว หน้ากลองที่ขึงหนังผายออก ตัวกลองสั้น รูปร่างคล้าย<br> ชามกะละมัง มีอยู่ 2 ชนิด คือ "รำมะนามโหรี" และ "รำมะนาลำตัด"<br> รำมะนามโหรี มีขนาดเล็ก หน้ากว้างประมาณ 26 ซม ตัวรำมะนายาว ประมาณ 7 ซม หนังที่<br> ขึ้นหน้าตรึงด้วยหมุดโดยรอบ จะเร่งหรือลดเสียงให้สูงต่ำไม่ได้ แต่มีเชือกเส้นหนึ่งที่เรียกว่า <br> สนับ ส าหรับหนุนข้างในโดยรอบ ช่วยท าให้เสียงสูงได้ บรรเลงใช้ตีด้วยฝ่ามือคู่กับโทนมโหรี<br> ส่วน รำมะนาำ ลำตัด มีขนาดใหญ่ หน้ากว้างประมาณ 48 ซม. ตัวรำมะนายาวประมาณ 13 ซม. <br> ขึ้นหนังหน้าเดียว โดยใช้เส้นหวายผ่าซีกโยงระหว่างขอบปน้ากับวงเหล็กซึ่งรองก้นใช้เป็น<br> ขอบ ของตัวรำมะนา และใช้ลิ่มหลายๆ อันตอกเร่งเสียงระหว่างวงเหล็กกับก้นร ามะนา <br> รำมะนาชนิดนี้เข้าใจว่าได้แบบอย่างมาจากชวาและเข้ามาแพร่หลายในสมัยรัชกาลที่ 5 ใช้<br> ประกอบการเล่นลำตัดและลิเก ลำตัด ในการประกอบการเล่นลำตัดนั้นจะใช้รำมะนากี่ลูกก็ได้ <br> โดยให้คนตีนั่งล้อมวงและเป็นลูกคู่ร้องไปด้วย<br> <br> <b>กลองสะบัดชัย&nbsp;</b><br> <div class="separator" style="clear:both;text-align:center"><a target="_blank" href="http://www.dkt.ac.th/kruya/50webm6/m67/project/klong/DSC01442.JPG" imageanchor="1" style="clear:right;float:right;margin-bottom:1em;margin-left:1em"><img border="0" height="320" src="http://www.dkt.ac.th/kruya/50webm6/m67/project/klong/DSC01442.JPG" width="236"></a></div><br> กลองสะบัดชัย เป็นกลองที่มีมานานแล้วนับหลายศตวรรษ ในสมัยก่อนใช้ ตียามออกศึก<br> สงคราม เพื่อเป็นสิริมงคล และเป็น ขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหารหาญในการต่อ สู้ให้ได้ชัย<br> ชนะ ทำนองที่ใช้ในการตี กลองสะบัดชัยโบราณมี 3 ทำนอง คือ ชัยเภรี, ชัย ดิถี และชนะมาร<br> การตีกลองสะบัดชัยเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านล้านนาอย่างหนึ่ง ซึ่งมักจะพบเห็นในขบวน<br> แห่หรืองานแสดงศิลปะพื้นบ้านในระยะหลังโดยทั่วไป ลีลาในการตีมีลักษณะโลดโผนเร้าใจมี<br> การใช้อวัยวะหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่นศอก เข่า ศีรษะ ประกอบในการตีด้วย ท าให้การ<br> แสดงการตีกลองสะบัดชัยเป็นที่ประทับใจของผู้ที่ได้ชม จนเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางใน<br> ปัจจุบัน <p></p> <div style="clear:both"></div> </div> <div class="post-footer"> <div class="post-footer-line post-footer-line-1"></div> <div class="post-footer-line post-footer-line-2"></div> <div class="post-footer-line post-footer-line-3"></div></div> </div> <div class="comments" id="comments"> <a name="comments"></a> <h4> 0 ความคิดเห็น: </h4> <dl class="avatar-comment-indent" id="comments-block"> </dl> <p class="comment-footer"> </p><div id="comment-form"> <a name="comment-form"></a> <h4 id="comment-post-message">แสดงความคิดเห็น</h4> <p> </p> <a target="_blank" href="https://www.blogger.com/comment/frame/8068855033932841251?po=2504827534620552193&hl=th" id="comment-editor-src"></a> <iframe allowtransparency="true" class="blogger-iframe-colorize blogger-comment-from-post" frameborder="0" height="410" id="comment-editor" name="comment-editor" src="" width="500"></iframe> <script src="https://www.blogger.com/static/v1/jsbin/3469866930-comment_from_post_iframe.js" type="text/javascript"> <script type="text/javascript"> BLOG_CMT_createIframe('https://www.blogger.com/rpc_relay.html', '0'); |