ศิลาจารึกหลักที่ 1 ผู้แต่ง

Skip to content

ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หรือศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 เป็นจารึกหลักแรกที่ใช้ภาษาไทย และตัวอักษรไทย ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงประดิษฐ์ขึ้นในปี พุทธศักราช 1826 นับต่อเนื่องมาถึงในปีปัจจุบัน พุทธศักราช 2546 รวมระยเวลา 720 ปี

ลักษณะของศิลาจารึก เป็นแท่นหินชนวนสีขาว รูปทรงสี่เหลี่ยม ออกกลมมนมีความสูง 1 เมตร 11 เซนติเมตร ความหนา 35 เซนติเมตร มีจารึกทั้ง 4 ด้าน

ด้านที่ 1 มีอักษรจารึก 35 บรรทัด ด้านที่ 2 มีอักษรจารึก 35 บรรทัด ด้านที่ 3 มีอักษรจารึก 27 บรรทัด และด้านที่ 4 มีอักษรจารึก 27 บรรทัด ทุกหน้ามีรอยชำรุด ขีดข่วนและร่องรอยถูกกระเทาะ

มรดกแห่งความทรงจำ (Memorial of the World Project)

คณะกรรมการที่ปรึกษานานาชาติขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 28-30 สิงหาคม (พ.ศ. 2546) ที่ผ่านมา ณ เมือง กแดนซค์ (Gdansk) ประเทศโปแลนด์ มีมติเห็นชอบให้องค์การยูเนสโกจดทะเบียนระดับโลก ศิลาจารึก หลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ภายใต้โครงการมรดกแห่งความทรงจำของโลก ทั้งนี้ถือว่าศิลาจารึกหลักที่ 1 เป็นหลักฐานที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ การปกครอง การค้า และวัฒนธรรมของอาณาจักรสุโขทัย ที่มีความสำคัญกับนานาชาติซึ่งโครงการมรดกความทรงจำของโลกนี้เป็นโครงการเพื่ออนุรักษ์และเผยแพร่มรดกแห่งความทรงจำทีเป็นเอกสาร วัสดุหรือข้อมูลข่าวสารอื่น ๆ เช่น กระดาษ สื่อทัศนูปกรณ์ และสื่ออีเล็กทรอนิกส์ด้วย โดยที่สิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวจะต้องมีความสำคัญ มีการเก็บรักษาให้อยู่ในความทรงจำในระดับนานาชาติและระดับภูมิภาค เมื่อองค์การยูเนสโก ได้ประกาศจดทะเบียนแล้ว ประเทศเจ้าของมรดก จะมีพันธกรณีทางปัญญาและทางศีลธรรม ที่จักต้องอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพที่ดี สามารถเผยแพร่ให้ความรู้แก่มหาชน อนุชนคนรุ่นหลังทั่วโลกให้กว้างขวางเพื่อให้มรดกดังกล่าวอยู่ในความทรงจำของโลกตลอดไป

ในปีนี้ (พ.ศ. 2546) กระทรวงศึกษาธิการมีแผนงานที่จะร่วมกับหน่วยงานทางการศึกษา สื่อสารมวลชน กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จัดงานสมโภชในวาระครบ 720 ปี

ส่วนรูปแบบนั้นจะเน้นเรื่องการพิมพ์และการเผยแพร่ การจัดแปลเป็นภาษาต่างประเทศ การจัดนิทรรศการ การประชุม สัมมนาทางวิชาการ และกิจกรรมสำคัญอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมให้ความรู้ ความเข้าใจในความสำคัญของหลักศิลาจารึก ที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ด้านการเมือง การปกครอง การค้า และวัฒนธรรมทุกด้านของไทยที่สืบทอดจากสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน

สำนักหอสมุดกลางมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้ตระหนักถึงคุณค่า ความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งเป็นเอกสารมรดกวัฒนธรรมอันล้ำค่าของไทย ภาคภูมิใจในประวัติ และเรื่องราวของสุโขทัย ภาคภูมิใจ ตระหนักถึงคุณค่าของภาษาไทย และความร่วมใจอนุรักษ์ภาษาไทย จึงได้จัดนิทรรศการ “720 ปีลายสือไทย” ขึ้น ณ บริเวณชั้น 1 อาคาร 1

และใคร่ขอเชิญชวนผู้สนใจ ชมนิทรรศการดังกล่าว หากท่านผู้ใดสนใจต้องการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม สำนักหอสมุดกลางมีหนังสือเกี่ยวกับสมัยสุโขทัยและหลักศิลาจารึกให้บริการที่ชั้น 2 และชั้น 4 อาคาร 1 หรือติดต่อสอบถามได้ที่ ประชาสัมพันธ์ สำนักหอสมุดกลาง โทร. 0-2310-8653 (ปี พ.ศ. 2560 เปลี่ยนเป็น โทร. 02-310-8661)

บรรณานุกรม

  • ประเสริฐ ณ นคร. ลายสือไทย. เอกสารประกอบโครงการสัมมนาเตรียมการจัดงานสัปดาห์ห้องมุด ปีที่ 28 พุทธศักราช 2546 เรื่อง 720 ปีลายสือไทย. กรุงเทพฯ: ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย, 2546.
  • มรดกแห่งความทรงจำโลก มติ”ยูเนสโก” ยกย่องศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงฯ. มติชน 26, 9308 (3 ก.ย. 46)

บทความโดย วิภาภรณ์ หาญสุทธิวารินทร์
ข่าวรามคำแหง ปีที่ 33 ฉบับที่ 22 วันที่ 22-28 กันยายน 2546

          ���������������ѡ���������ʹ������ͧ�ͧ���֡ ����;�кҷ���稾�Ш��������������������·���ѧ��ç����������������稾����ҹ�ͧ���� ��ҿ�����خ� ��зç��Ǫ���� 㹻վط��ѡ�Ҫ 2376 ���ʴ稨��ԡ�ش�����ѧ������ͧ���Ž����˹�ͧ͢������� ������ʴ稶֧���ͧ��⢷�·ç�����Ҩ��֡ 2 ��ѡ ��� ���Ҩ��֡��͢ع������˧ ������ ������Ҩ��֡�Ѵ�������ǧ ������� ��������¾���� ��ѧ���Һҵ� ������dz�Թ����ҷ��Ѵ��Ҹҵ� �Ӻ����ͧ��� ��������ͧ��⢷�� ��кҷ���稾�Ш���������������� �ç����������ҳ�ѵ���Ӥѭ �֧�ô����� ����ŧ��������ا෾� 

ศิลาจารึกหลักที่ 1 ผู้แต่ง

พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง...ขึ้นต้นมาแบบนี้ เพื่อน ๆ คงรู้แล้วใช่ไหมว่าสิ่งที่เรากำลังจะพูดถึงคือ ศิลาจารึก หลักที่ ๑ นั่นเอง โดยบันทึกเรื่องราวพระราชประวัติของพ่อขุนรามคำแหง และยังรวมไปถึงเรื่องราวในด้านอื่น ๆ อีกหลายด้าน เช่น สภาพสังคม การเมือง การปกครอง วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ของผู้คนในสมัยสุโขทัย เป็นต้น ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น เรามาติดตามกันต่อเลย

นอกจากในบทความนี้ เพื่อน ๆ ยังสามารถเรียนรู้กันได้แบบจุใจในรูปแบบแอนิเมชันได้ที่แอปพลิเคชัน StartDee เลย

ศิลาจารึกหลักที่ 1 ผู้แต่ง

ประวัติความเป็นมาของศิลาจารึก หลักที่ ๑

รัชกาลที่ ๔ ทรงค้นพบศิลาจารึกหลักที่ ๑ ที่ปราสาทเมืองสุโขทัย ซึ่งนักโบราณคดีสันนิษฐานว่า ได้จารึกขึ้นเมื่อประมาณปีพ.ศ. ๑๘๒๖ เป็นต้นมา จนกระทั่งหลัง พ.ศ. ๑๘๓๕ จึงจารึกครบทั้ง ๔ ด้าน ทั้งนี้ ในหนังสือจารึกสมัยสุโขทัย ได้กำหนดเป็น “ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง พ.ศ. ๑๘๓๕ ” ตามปีศักราชที่ระบุไว้ในจารึก ลักษณะของจารึกพ่อขุนรามคำแหง เป็นแท่งศิลารูปสี่เหลี่ยมยอดแหลมปลายมนสูง ๑ เมตร ๑๑ เซนติเมตร มีถ้อยคำจารึก ๔ ด้าน 

ด้านที่ ๑ และด้านที่ ๒ มีจารึกด้านละ ๓๕ บรรทัด ด้านที่ ๓ และด้านที่ ๔ มีจารึกด้านละ ๒๗ บรรทัด รวมทั้งสิ้น ๑๒๔ บรรทัด ผู้แต่งศิลาจารึกหลักที่ ๑ สันนิษฐานว่า อาจมีมากกว่า ๑ คน สำหรับตอนที่ ๑ เชื่อว่าผู้แต่ง คือ พ่อขุนรามคำแหง เพราะใช้สรรพนามแทนตนว่า “กู” อยู่ในเนื้อความ ส่วนตอนที่ ๒ และ ตอนที่ ๓ สันนิษฐานว่า ผู้อื่นแต่งเพิ่มเติมภายหลัง

ลักษณะคำประพันธ์ในศิลาจารึก หลักที่ ๑

แต่งเป็นร้อยแก้ว ส่วนใหญ่เป็นประโยคความเดียวที่สื่อความหมายตรงตัว เข้าใจง่าย อีกทั้งบางตอนมีเสียงสัมผัสคล้องจอง เช่น ในนํ้ามีปลา ในนามีข้าว ทำให้เกิดความไพเราะ

จุดประสงค์ในการแต่งศิลาจารึก หลักที่ ๑

เพื่อบันทึกเรื่องราวสำคัญในสมัยกรุงสุโขทัย ลักษณะการปกครอง วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของราษฎร ตลอดจนบรรยายถึงความเจริญรุ่งเรือง และความสมบูรณ์พูนสุขของกรุงสุโขทัย เนื้อความในศิลาจารึก ทำให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบพระราชประวัติของพ่อขุนรามคำแหงแต่เพียงคร่าวๆ ไม่ได้บ่งบอกถึงรายละเอียดชัดเจนนักว่า ทรงพระราชสมภพแต่เมื่อปีพุทธศักราชใดแน่ชัด บอกแต่เพียงว่าพระองค์ทรงมีพี่น้อง ๕ คน โดยพ่อขุนรามคำแหงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๓ ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กับนางเสือง พระองค์มีพระเชษฐา ๒ พระองค์ และพระขนิษฐา ๒ พระองค์ พระเชษฐาพระองค์แรกสิ้นพระชนม์ตั้งแต่พ่อขุนรามคำแหงยังทรงพระเยาว์ พระเชษฐาพระองค์ที่สองทรงพระนามตามศิลาจารึกว่า "พระยาบานเมือง" ซึ่งได้เสวยราชสมบัติต่อ จากพระราชบิดา และเมื่อพ่อขุนบานเมืองได้เสด็จสวรรคตแล้ว พ่อขุนรามคำแหงจึงเสวยราชสมบัติต่อมา

หากเพื่อน ๆ อยากรู้เรื่องราวความเป็นมาของพ่อขุนรามคำแหง และพระมหากษัตริย์พระองค์อื่น ๆ แห่งอาณาจักรสุโขทัย สามารถอ่านได้ที่บทเรียนออนไลน์เรื่องการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย แม้จะเป็นของน้อง ๆ ป.4 แต่ข้อมูลจัดเต็มน้า

ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ ๑ แบ่งออกได้ ๓ ตอน

นักวิชาการหลายท่านได้แบ่งเรื่องราวในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงออกเป็น ๓ ตอน ได้แก่

ตอนที่ ๑ ตั้งแต่บรรทัดที่ ๑ ถึงบรรทัดที่ ๑๘ กล่าวถึงพ่อขุนรามคำแหงที่เล่าพระราชประวัติของพระองค์เองว่าเป็นใคร อีกทั้งเล่าถึงการสู้รบกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์พระราชบิดา เมื่อพระราชบิดาเสด็จสวรรคต พ่อขุนรามคำแหงทรงปรนนิบัติรับใช้พระเชษฐาคือพ่อขุนบานเมือง เฉกเช่นเดียวกับที่เคยปรนนิบัติรับใช้พระราชบิดา จนกระทั่งเมื่อพระเชษฐาเสด็จสวรรคต พ่อขุนรามคำแหงได้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นลำดับต่อมา

ในส่วนของตอนที่ ๒ นับตั้งแต่ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๘ จนจบด้าน ด้านที่ ๒ ทั้งหมด และด้านที่ ๓ ถึงบรรทัดที่ ๑๐ เนื้อความไม่ปรากฏสรรพนาม "กู" แต่ใช้คำว่า “พ่อขุนรามคำแหง” ในส่วนนี้จะเล่าถึงเหตุการณ์บ้านเมือง และความเจริญรุ่งเรืองในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง กล่าวถึงการค้าขายเสรี การร้องทุกข์ สภาพภูมิศาสตร์ ตลอดจนขนบธรรมเนียม และเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นของเมืองในขณะนั้น ในส่วนนี้ผู้ที่ศึกษาศิลาจารึกได้คาดเดาออกเป็นสองทางว่า

๑. มีผู้บันทึกไว้หลังจากสิ้นรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง เนื่องจากในตอนที่ ๒ นี้ เริ่มที่ว่า "เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำ แหง..."

๒. พ่อขุนรามคำแหงทรงเป็นผู้รับสั่งให้มีการบันทึกต่อเพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ในสมัยที่พระองค์กำลังครองราชย์ 

ตอนที่ ๓ ตั้งแต่ด้านที่ ๓ บรรทัดที่ ๑๐ ถึงด้านที่ ๔ บรรทัดสุดท้าย เป็นส่วนสรรเสริญพระเกียรติคุณพ่อขุนรามคำแหง กล่าวถึงพระราชกรณียกิจที่สำคัญต่าง ๆ ของพระองค์ อีกทั้งกล่าวถึงการที่พระองค์ได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยตามแบบที่ใช้จารึกบนหลักศิลานี้ และยังมีการบันทึกว่าพระองค์ทรงมีความรู้เฉลียวฉลาดกล้าหาญ จนหาใครเปรียบได้ยาก สามารถปราบข้าศึกและขยายอาณาเขตได้อย่างกว้างขวาง บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์และทรงปกครองบ้านเมืองโดยธรรม

ทั้งนี้เนื้อความในตอนที่ ๓ นี้ สันนิษฐานกันว่าได้บันทึกโดยคนรุ่นหลัง ซึ่งมีระยะเวลาห่างจากการบันทึกในตอนที่ 2 แล้วหลายปี

จารึกพ่อขุนรามคำแหงหรือศิลาจารึกหลักที่ ๑ นับเป็นศิลาจารึกหลักสำคัญของประเทศไทย และได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณคดีเรื่องแรกของไทยที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แม้เนื้อความสั้นเพียง ๑๒๔ บรรทัด แต่ได้บันทึกเรื่องราวที่บริบูรณ์ด้วยคุณค่าทางวิชาการหลากหลายสาขาเอาไว้ องค์กรยูเนสโก (UNESCO) ซึ่งประชุมกันระหว่างวันที่ ๒๘-๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๖ ณ ประเทศโปแลนด์ จึงมีมติสนับสนุนเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นทะเบียนศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก

นับเป็นเรื่องน่าดีใจจริง ๆ ที่เพื่อนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ได้มีโอกาสเรียนวรรณคดีเรื่องแรกของประเทศไทยแบบนี้ ใครอ่านจบแล้ว ไปต่อกันได้เลยที่บทเรียนออนไลน์วิชาคณิตศาสตร์ บทกลับของทฤษฎีบทพีทาโกรัส และการนำไปใช้ หรือจะย้ายไปเรียนวิชาสังคมศึกษากับบทเรียนเรื่ององค์ประกอบของแผนที่ ส่วนวิชาภาษาไทย ยังมีบทเสภาสามัคคีเสวก ตอนวิศวกรรมาและสามัคคีเสวก สำหรับใครที่อยากข้ามขั้นเรียนของชั้น ม.๓ ลองอ่านบทเรียนเรื่องพระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรดูสิ สนุกไม่แพ้กัน

อ่านจบแล้ว อย่าลืมไปสนุกกันต่อกับแอปพลิเคชัน StartDee คลิกแบนเนอร์ด้านล่างเลย

ศิลาจารึกหลักที่ 1 ผู้แต่ง

ศิลาจารึกหลักที่ 1 เป็นคำประพันธ์ประเภทใด

ถ้าสังเกตดูในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย หลักที่ ๑ จะมีลักษณะคำประพันธ์ หรือบทร้อยกรองเพราะจะเห็นลักษณะซึ่งเกิดจากการใช้คำคล้องจองกัน เช่น "ในน้ำมาปลา ในนามีข้าว" "เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย" "ไพร่ฟ้าหน้าใส"

ผู้แต่งเรื่องศิลาจารึกหลักที่ ๑ คือใคร

ศิลาจารึก หลักที่ 1 ถือเป็นหนึ่งในวรรณคดีสำคัญในสมัยสุโขทัย สันนิษฐานว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงพระราชนิพนธ์เอง โดยเฉพาะตอนต้นที่เป็นการเล่าพระราชประวัติของพระองค์เอง

ผู้แต่งศิลาจารึกหลักที่ 1 คือใครและแต่งขึ้นเมื่อพศ. ใด

ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หรือศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 เป็นจารึกหลักแรกที่ใช้ภาษาไทย และตัวอักษรไทย ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงประดิษฐ์ขึ้นในปี พุทธศักราช 1826 นับต่อเนื่องมาถึงในปีปัจจุบัน พุทธศักราช 2546 รวมระยเวลา 720 ปี

ศิลาจารึกหลักที่ 1 คืออะไร

ศิลาจารึกหลักที่ 1 เป็นการบรรยายเรื่องราวของกษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วง โดยเฉพาะในสมัยพ่อขุนรามคำแหง จารึกหลักนี้ นักปราชญ์ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าข้อความในตอนต้นๆ ของศิลาจารึกเป็นสิ่งที่พ่อขุนรามคำแหงโปรดให้จารึกขึ้น แต่ตอนท้ายๆ มาสร้างขึ้นในสมัยหลัง