ซินจ่าวววว....เมื่อรู้ข่าวว่าเวียดนามเปิดให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางเข้าไปเที่ยวเวียดนามได้แล้วเราเลยไม่รอช้า จัดการจองทัวร์เที่ยวเวียดนาม 4 วัน 3 คืน เส้นทางเวียดนามกลาง ฮอยอัน เว้ ดานัง และไฮไลท์ของทริปนี้คือบาน่าฮิลล์ Show
ใครกำลังมีแพลนอยากไปเที่ยวเวียดนามตามมาชมรีวิวกันได้เลย การเตรียมตัวก่อนเดินทางไปเที่ยวเวียดนามเนื่องจากทริปนี้ทางเราเดินทางกับทัวร์ จึงมีเอกสารบางส่วนที่ทางทัวร์เป็นคนจัดการให้ แล้วเอกสารที่เราต้องเตรียมมีดังนี้ 1.พาสปอร์ตที่มีอายุเหลือมากกว่า 6 เดือน เวียดนามใช้เงินสกุลดองค่ะ 1 บาทไทย = 680 ดอง **อัพเดตล่าสุดวันที่ 21 เมษายน 2565 นอกจากนี้จะมีพวกค่าทิปคนขี่รถซิคโคล่คนละ 40 บาท คนพายเรือกระด้งสามารถทิปเป็นเงินไทยได้คนละ 20 บาท และทิปไกด์ท้องถิ่นกับคนขับรถของเวียดนาม 250 บาท/วัน ทริปนี้เราไป 4 วันจะเท่ากับ 1,000 บาท ตามกฎระเบียบการท่องเที่ยวของเวียดนามค่ะ สามารถเตรียมเงินไทยไปได้เลยค่ะ 5.ปลั๊กไฟ เวียดนามใช้ปลั๊กแบบ 3 รูกลม ซึ่งปลั๊กไฟปกติของบ้านเราไม่ว่าจะเป็นหัวแบน หัวกลม 2 ขา หรือ 3 ขาก็สามารถเสียบได้ค่ะ ส่วนกระแสไฟฟ้าของเวียดนามคือ 220V เหมือนของไทยดังนั้นไม่ต้องเอาตัวแปลงไปค่ะ สามารถนำไปเสียบปลั๊กของเขาได้เลย 6.ภาษาเวียดนามเบื้องต้น ซินจ่าว = สวัสดี กั๊มเอิน = ขอบคุณ ขอโทษ = ซินโหลย ส่วนใครอยากจะต่อราคาแม่ค้าพ่อค้าเวียดนามถ้าเป็นในตลาดใหญ่ๆ ที่คนไทยไปบ่อยๆ จะพูดไทย ฟังไทยง่ายๆได้ค่ะ 7.สำหรับเสื้อผ้าชุดแต่งกาย อากาศเวียดนามจะคล้ายๆ บ้านเราค่ะ แต่ที่หนาวสุดๆ ในทริปนี้คือบาน่าฮิลล์ให้ติดเสื้อกันหนาว กันลมไปด้วยหนึ่งตัวค่ะ 8.ซิม สามารถซื้อซิมสำหรับใช้ต่างประเทศของค่ายมือถือในเมืองไทยได้หรือสามารถไปซื้อที่โน่นได้ค่ะ ที่สนามบินจะมีเคาน์เตอร์ให้บริการอยู่หรือสามารถซื้อกับไกด์ทัวร์ได้เลยค่ะ ของเราซื้อมาในราคา 350 บาท ทางไกด์บอกว่าใช้เน็ต 4 Gb ซึ่งสัญญาณค่อนข้างดีเป็น 4G ไม่มีหลุดเลยค่ะ 9.เวลาที่เวียดนามเท่ากับประเทศไทยเลยค่ะไม่ต้องปรับนาฬิกาค่ะ เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันได้เลยค่ะ โดยทริปนี้เดินทางโดยสารการบิน Viet Jet Air ไฟลท์ VZ960 ออกจากสุวรรณภูมิเวลา 10.50 น. เมื่อถึงที่นัดหมายทางทัวร์จะแจกแฟ้มที่ใส่เอกสารสำคัญ พร้อมกันนั้นทางทัวร์จะมีแจกกิ๊ฟเซ็ตที่ประกอบไปด้วย กระเป๋าผ้า ร่ม มินิไกด์บุ๊ค เจลแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย และปากกาให้เราด้วยค่ะเมื่อรับเอกสารพร้อมแล้วก็ถึงขั้นตอนการเช็คอิน ซึ่งเคาน์เตอร์สารการบินจะเช็คเอกสารเหล่านี้นานกว่าปกติโดยต่อคนจะใช้เวลาอย่างต่ำประมาณ 5 -10 นาที/คนค่ะ หลังจากรับตั๋วเรียบร้อยแล้วก็เตรียมเข้าเกตเพื่อเดินทางไปเวียดนามกันได้เลย บนเครื่องไม่มีบริการอาหารและเครื่องดื่มนะคะ แนะนำว่าหลังจากได้รับตั๋วแล้วให้ทานอาหารที่สนามบินให้เรียบร้อยค่ะ เครื่องบินใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็มาถึงสนามบินดานังประเทศเวียดนามกันแล้วค่ะ ใช้เวลาไม่นานก็ให้เราผ่านเข้าไปยัง ตม. และรอรับกระเป๋าที่สายพาน ใครจะซื้อซิมสามารถซื้อได้ที่สนามบินหรือไปซื้อกับไกด์บนรถได้เลยค่ะ ส่วนรถที่ใช้ตลอดการเดินทางครั้งนี้เป็นรถโค้ช 45 ที่นั่ง รถใหม่ แอร์เย็น นั่งสบาย ระหว่างนี้ก็มีการแนะนำไกด์ท้องถิ่นที่พูดภาษาไทยเก่งมากๆ พร้อมกับไกด์คนไทยที่จะดูแลเราตลอดทริป พอขึ้นมาปุ๊บทางไกด์ก็แจกเป็นขนมปังบั๋นหมี่ของเวียดนามค่ะ พร้อมน้ำเปล่า
ซึ่งน้ำเปล่าสามารถขอได้ตลอดเลยค่ะ ทริปนี้แทบจะไม่ได้ซื้อน้ำกินเองเลย ล่องเรือกระด้ง พร้อมชมโชว์หมุนเรือแบบ Fastจุดหมายแรกของทริปนี้คือไปนั่งเรือกระด้งที่หมู่บ้านกั๊มทาน เมืองฮอยอันค่ะ โดยเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ภายในสวนมะพร้าวซึ่งรถจะไปจอดตรงบริเวณทางเข้าหมู่บ้านแล้วเราต้องเดินเข้าไปในทางเดินที่แวดล้อมด้วยสวนมะพร้าว ระหว่างเดินเราก็ได้ยินเสียงเพลงลูกทุ่งที่กำลังดังในไทย แว่วออกมาจากภายในสวน ซึ่งเสียงเพลงนี้เป็นเสียงเพลงที่ทางชุมชนท่องเที่ยวเรือกระด้งเปิดต้อนรับเราค่ะ พร้อมกับมีคุณลุง คุณป้า คุณพี่คนพายเรือชาวเวียดนามที่เต้นไปตามเพลงอย่างสนุกสนาน และทุกคนดูดีใจที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพราะตอนที่เราไป เราเป็นนักท่องเที่ยวไทยกลุ่มแรกๆ ที่ได้เดินทางไปที่นี่กันเลย ซึ่งในอดีตหมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นที่พักอาศัยของทหาร ส่วนปัจจุบันอาชีพหลักชองชาวบ้านคือการทำประมง ชาวบ้านมักใช้เรือกระด้งสัญจรไปมาและนำไปหาปลา โดยเรือกระด้งทำจากไม้ไผ่เคลือบด้วยน้ำมันสน สีสันสดใส บางลำมีลายธงชาติไทยและธงชาติเวียดนามด้วยค่ะ หนึ่งลำจะนั่งได้ 3 คนรวมคนพายเรือค่ะ ซึ่งบอกเลยว่าสกิลการพายของลุงๆป้าๆที่นี่ระดับเทพกันทั้งนั้น เพราะขนาดเราที่พายเรือเก่งถ้าให้ไปพายเรือทรงกลมแบบนี้คงจะได้หมุนอยู่กับที่แน่นอน แต่พวกลุงๆ ป้าๆ ที่นี่พายกันฉิวมาก แถมยังมีโชว์หมุนเรือซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ให้เราดูกันด้วย สกิลสุดเทพ หมุนเรือกระด้งที่บอกเลยว่าแค่เห็นอ้วกก็แทบพุ่งแล้วค่ะ ใครที่อยากลองมานั่งเรือกระด้งหมุนแบบเร่งสปีดก็ต้องมาลองกันนะคะ แต่ถ้าใครไม่อยากหมุนอยากนั่งชิลๆ ก็บอกคนขับเรือได้ อย่างลำเราคุณลุงหันมาบอกว่าเอาแบบนี้ไหม เรานี่รีบตอบไปเลยว่าโนๆๆๆ เพราะห่วงกระเป๋ากล้องและมือถือมากกว่า เลยขอคุณลุงนั่งกินชมลมวิวชิลๆ กันดีกว่า สำหรับค่าล่องเรือจะรวมในทริปแล้วค่ะ เสียแค่ค่าทิปคนขับคนละ 20 บาทเท่านั้น จ่ายเป็นเงินไทยได้เลยค่ะ ใช้เวลาล่องประมาณครึ่งชั่วโมงก็โบกมือลาหมู่บ้านกั๊มทานเพื่อไปยังเมืองโบราณฮอยอันกัน ไม่นานรถโค้ชของเรือก็พามาถึงเมืองฮอยอัน โดยภายในเมืองโบราณเราไม่สามารถนั่งรถโค้ชเข้าไปได้ค่ะ รถไปจอดส่งเราที่อนันตรา ฮอยอัน รีสอร์ท ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราจะทานอาหารเย็นกันค่ะ จากนั้นก็นั่งรถบักกี้เพื่อไปยังบริเวณถนนคนเดิน ชมเมืองเก่าฮอยอันเมืองฮอยอัน เมืองเก่าที่มีเสน่ห์ของประเทศเวียดนามซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี พ.ศ.2542 ในอดีตช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 เป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองมากๆ และเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยหลากหลายวัฒธรรมทั้ง ญี่ปุ่น โปรตุเกส จีน อินเดีย ซึ่งเป็นชนชาติที่เดินทางมาค้าขาย คำว่าฮอยอันจึงแปลว่ารวบรวม มีความหมายถึงที่รวบรวมชาวต่างชาติหลายเชื้อชาติ บริเวณประตูทางเข้าย่านเมืองเก่าฮอยอันเราจะพบกับเสาโทริอิไม้สไตล์ญี่ปุ่นตั้งโดดเด่นอยู่ เรือสำเภาจำลองของประเทศญี่ปุ่นบริเวณหน้าทางเข้าที่แสดงถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เคยเป็นหนึ่งในพหุวัฒนธรรมของเมืองฮอยอันแห่งนี้ ตึกเก่าสีเหลืองมัสตาร์ดสไตล์โคโรเนียลที่เราอาจจะเคยเห็นในอาคารเก่าของจังหวัดนครพนมหรืออุบลราชธานี ซึ่งตึกเก่าเหล่านี้เปิดเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของฝากตลอดทางเดินกว่า 2 กิโลเมตร สลับไปกับภาพชาวเวียดนามที่ปั่นจักรยาน และสองข้างทางจะมีร้านสตรีทฟู้ดเวียดนามให้เราได้นั่งยองๆ ลองทานอาหารพื้นถิ่นตลอดทางเดินกันเลย คุณป้าขายอาหารที่หน้าตาคล้ายกับข้าวจี่ของบ้านเรา จุดไฮไลท์ของเมืองโบราณฮอยอันคือสะพานญี่ปุ่นหรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า Lai Vien Kieu ที่แปลว่าเมืองฮอยอันยินดีต้อนรับผู้คนจากทุกที่บนโลกที่มาเยี่ยมเยียน ซึ่งสะพานแห่งนี้สร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่น และได้รับความร่วมมือจากชุมชนจีนที่อยู่ใกล้ๆ ในการสร้างอีกด้วย อายุอานามของสะพานแห่งนี้ประมาณ 400 กว่าปี สร้างในปี 1593 หรือปีลิง แล้วเสร็จปีจอหรือปีสุนัข ทำให้บนสะพานมีรูปปั้นของลิงกับหมาเปรียบเหมือนเป็นผู้ดูแลสะพานแห่งนี้ ตรงกลางสะพานมีศาลเจ้าขนาดเล็กตัวอาคารทำจากไม้ในสไตล์ญี่ปุ่น บรรยากาศบริเวณสองข้างทางของเมืองเก่าฮอยอันจักรยาน โคมไฟและหมวกเวียดนามคือสิ่งที่เราเห็นได้ชินตาในเมืองเก่าแห่งนี้ จากนั้นไปสักการะศาลเจ้ากวนอู ที่รวมใจของชาวจีนกวางตุ้งในเมืองฮอยอัน ภายในประดิษฐานองค์เทพเจ้ากวนอูอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยองค์เจ้าแม่ทับทิมและเทพไฉ่ซิ้งเอี๊ย จากนั้นเดินทางไปชมบ้านโบราณหรือบ้านเก่าฮอยอันเลขที่ 101 (Old House No.101) อายุกว่า 220 ปี สร้างตั้งแต่แต่ปี 1802 ซึ่งบ้านหลังนี้ในอดีตเป็นสถานที่ที่เคยเป็นที่ประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อเดินเข้ามาเราจะพบกับห้องรับแขกก่อนเลยค่ะ ด้านขวาของห้องรับแขกเป็นที่ตั้งแท่นบูชาบรพบุรุษ โดยถ้าแขกจะเข้าบ้านจะต้องมาจุดธูปไหว้บอกกล่าวที่แท่นบูชาบรรพบุรุษก่อน ภายในห้องรับแขกจะมีเก้าอี้สี่ตัวค่ะ ซึ่งจะมีลำดับในการนั่งเก้าอี้ตรงกลางฝั่งซ้ายมือคือคนที่มีตำแหน่งใหญ่สุด และในอดีตผู้หญิงซึ่งเป็นภรรยาจะไม่ได้นั่งเก้าอี้ แต่ต้องคอยยืนรับใช้ผู้ชาย แต่ในปัจจุบันความเชื่อเรื่องชายเป็นใหญ่ในเวียดนามก็มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วค่ะ และนอกจากจะใช้ไว้เป็นห้องรับแขกแล้วห้องนี้ยังเอาไว้สั่งสอนลูก โดยจะมีเตียงตั่งที่นั่งที่พ่อแม่จะเอาไว้ใช้สั่งสอนลูก ต่อหน้าแท่นบูชาบรรพบุรุษอีกด้วย บริเวณผนังของบ้านมีการแขวนรูปบรรพบุรุษพร้อมกับภาพถ่ายบุคคลสำคัญมากมายในประวัติศาสตร์ อาทิ โฮจิมินห์รือลุงโฮ อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีของเวียดนาม นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ถัดจากห้องรับรองแขกจะเป็นห้องพักผ่อนของสมาชิกในครอบครัว โดยทำเป็นช่องแสงธรรมชาติ เป็นสถานที่ที่สมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทที่แวะเวียนมาจะมานั่งสังสรรค์ พูดคุย เล่นหมากรุกกันที่มุมนี้ ระหว่างที่เดินเล่นในเมืองฮอยอันเรายังได้พบคู่หนุ่มสาวมาถ่ายรูปชุดประชาติกันค่ะ น่ารักมากๆ เราเดินเล่นในฮอยอันประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงเวลาไปยังที่ต่อไปค่ะ แต่ก่อนกลับขอแวะซื้อพิซซ่าเวียดนามกันก่อนค่ะ อันละประมาณ 25,000 ดอง ก็ประมาณ 30 กว่าบาท โดยเขาจะใส่ไข่นกกระทา หอมเจียว ต้นหอมซอย ราดด้วยซอสพริก แอบคิดว่าพิซซ่าเวียดนามที่ขายที่บ้านเรามีความครีเอทเรื่องหน้าพิซซ่าเยอะกว่าบ้านเขา แต่ก็มาถึงถิ่นแล้วลองทานกันหน่อย พอรับมาปุ๊บก็จัดแจงถ่ายรูปก่อนกิน พอกินไปคำแรกกรอบ อร่อยดีนะ แต่พอจะกัดคำที่สองเท่านั้นร่วงลงพื้นจ้า 25,000 ดองหายวั้บไปกับตา นี่ก็ยืนอึ้ง พี่คนขายก็มองมาที่เราตอนนั้นก็เสียดายแต่ก็ไม่เป็นไรพอได้ลิ้มลองรสชาติตั้งคำนึงแล้ว ระหว่างนั้นเราก็เดินออกมาถ่ายรูปและรอรถที่จะมารับกลับไปยังโรงแรม สิ่งที่ไม่คาดคิดคือพี่คนขายเดินเอาพิซซ่าอันใหม่มาให้เราแล้วก็ไม่คิดเงินด้วยค่ะ ฮือๆๆๆ ประทับใจในตัวพี่มากๆ เลย ทานอาหารเย็นบุฟเฟต์อาหารเวียดนามที่ ห้องอาหาร LANTERNSสำหรับอาหารเย็น ซึ่งเป็นอาหารมื้อแรกของทริปนี้ทางทัวร์พาเรามาทานที่ห้องอาหาร LANTERNS ภายใน Anantara Hoi An Resort เป็นบุฟเฟ่ต์อาหารเวียดนามค่ะ ทั้งเฝอ พิซซ่าเวียดนาม ปอเปี๊ยะ หอยนางรม ซีฟู้ด และอีกมากมาย บอกเลยว่าอร่อยทุกเมนูกันเลยค่ะ เมนูที่เราตักมาทาน ใครที่ชอบทานอาหารเวียดนามรับรองว่าฟินแน่นอนค่ะ เพราะอร่อยและแถมยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย พักที่ Hoi An Memories Resort & Spaเมื่อทานอาหารเสร็จเราก็เดินทางไปยังที่พักของเราคืนนี้ค่ะกับ Hoi An Memories Resort & Spa ที่พักที่ตั้งอยู่ในเกาะกลางน้ำและเป็นที่พักที่สร้างใหม่โดยใช้สถาปัตยกรรมของเมืองโบราณฮอยอันมาสร้างสรรค์ตึกอาคารต่างๆให้เป็นสไตล์โคโรเนียลสีเหลือง สำหรับการเดินทางไปที่นี่ต้องนั่งเรือไปค่ะ โดยจะมีเรือไม้สุดคลาสสิคของที่พักมารับเรา อ่อ ทางทัวร์แจ้งว่าให้เราเอาแค่กระเป๋าของมีค่าติดตัวไปเท่านั้นเพราะกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ทางทัวร์นำไปรอเราไว้ที่ที่พักแล้วค่ะ นั่งเรือข้ามฟากมาไม่นานก็พบกับเจ้าหน้าที่ของโรมแรมมาคอยต้อนรับเราอยู่ฝั่งนึงของแม่น้ำ ห้องที่เราพักคืนนี้ค่ะเป็นห้องดีลักซ์ ห้องพักกว้างขวางมากๆ สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นเตียงเดี่ยวหรือเตียงคู่ มีระเบียงหน้าห้องที่สามารถชมวิวแม่น้ำได้ด้วย ที่สำคัญห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำสุดโรแมนติก พร้อมกระจกใสที่กั้นระหว่างห้องน้ำและห้องนอน ไม่ต้องกลัวโป๊นะคะเพราะมีม่านที่สามารถเปิดปิดได้ค่ะ ชมโชว์ Hoi An Memories Show สุดอลังการหลังจากเก็บกระเป๋าเข้าห้องเรียบร้อยแล้วเราก็ออกมาชมโชว์ Hoi An Memories Show ซึ่งเป็นไฮไลท์ของการมาพักที่นี่เลยค่ะ โดยเวทีการแสดงจะอยู่ภายในรีสอร์ทเลย จากล็อบบี้จะมีรถกอล์ฟพามาส่ง บอกเลยว่าเป็นการแสดงที่เซอร์ไพรส์มากๆ เพราะตอนแรกเรานึกว่าเป็นการแสดงเล็กๆ แต่ไม่ใช่เลยค่ะ ของจริงยิ่งใหญ่อลังการมากๆ โดยเราจะต้องไปนั่งที่นั่งที่เหมือนในอารีน่า ข้างล่างคือเวทีการแสดงแบบเอาท์ดอร์ที่ใหญ่อลังการมาก จำลองเมืองเก่าฮอยอันมาไว้ที่นี่ แสงเสียงมาเต็ม ใครที่กลัวว่าฟังภาษาเวียดนามไม่ออกจะรู้เรื่องไหม ไม่ต้องกลัวเลยค่ะเพราะเขาจะมีภาษาอังกฤษอธิบายให้เรา พร้อมกันนั้นพี่ไกด์ของทริปนี้ยังส่งข้อมูลมาในกลุ่มไลน์ให้เราได้เข้าใจความหมายของการแสดงมากยิ่งขึ้นด้วย โดยเรื่องราวของการแสดงจะแบ่งเป็น 5 องค์เล่าเรื่องราววิถีชีวิตของชาวฮอยอันในสมัยก่อน ความสัมพันธ์ของเวียดนามและอาณาจักรจามปา เรื่องราวของหญิงสาวที่เฝ้ารอชายหนุ่มคนรักที่เดินทางออกเรือสำเภาไป ต่อด้วยการแสดงที่เล่าเรื่องราวยุครุ่งเรืองของฮอยอันในอดีตที่มีการติดต่อกับประเทศต่างๆ อย่าง โปรตุเกส จีน และญี่ปุ่น ปิดท้ายกับการแสดงอ๊าวหย่ายโชว์ที่สวยงามอลังการมากๆ ใครมาเที่ยวฮอยอันเราขอแนะนำว่าห้ามพลาดการแสดงนี้เป็นอันขาด ทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ที่ Hoi An Memories Resort & Spaตอนเช้าตื่นมาทานอาหารเช้าซึ่งเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าของที่พักค่ะ อาหารหลากหลายมากๆ ใครอยากทานอาหารเวียดนามที่นี่ก็มีให้เลือกทานมากมาย หรือจะเป็นอาหารเช้าสไตล์อเมริกัน แฮม ไส้กรอก ไข่ดาว สลัดผลไม้ก็มีครบ หลังจากทานอาหารเสร็จก่อนจะเช็คเอาท์เราเลยขอเดินสำรวจบรรยากาศของ Hoi An Memories Resort & Spa เป็นที่พักที่ตกแต่งสวยงามมีมุมถ่ายรูปให้ถ่ายเพียบเลยล่ะค่ะ หลังจากเช็คเอา์แล้วทางทัวร์ก็ให้เรานำกระเป๋ามารวมกันไว้แล้วนำขึ้นเรือไปส่งที่รถก่อนเลยค่ะ ไม่ต้องลากไปเช่นเดิมส่วนเราก็เดินตัวปลิวขึ้นเรือไป เรือลำเมื่อวานที่เรานั่งมาค่ะ เป็นเรือไม้สุดวินเทจมากๆ แวะซื้ออัญมณีที่ World Gems Vietnamที่ต่อมาทางทัวร์พาเรามาแวะช้อปอัญมณีและกระเป๋าแบรนด์ Kipling ที่ World Gems Vietnam ใครอยากได้พวกกำไลหยก หินสีนำโชคก็ลองแวะมาชมได้เลย ส่วนใครไม่ซื้อก็ไม่เป็นไรนะคะทางทัวร์ไมได้ห้าม ซึ่งที่นี่จะเป็นจุดพักเข้าห้องน้ำ เพราะห้องน้ำที่นี่ค่อนข้างสะอาดมากๆ ค่ะ เดินทางไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่วัดลินห์อึ๋งเมืองดานังจากฮอยอันเราเดินทางมายังเมืองดานังคือเพื่อเดินทางไปยังวัดลินห์อึ๋ง หนึ่งในวัดชื่อดังของเมืองดานัง ตั้งอยู่บนเกาะเซินตรา ทางเหนือของดานัง จุดเด่นของวัดนี้คือเป็นที่ประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิม สีขาวองค์ใหญ่สูงถึง 67 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่หน้าภูเขาแล้วหันพระพักตร์ไปยังทะเลเบื้องหน้า เขาบอกว่าวัดนี้ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรเรื่องการทำมาค้าขาย สุขภาพ ให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายและรวมถึงการขอลูกด้วยค่ะ ทานอาหารซีฟู้ดและอาหารไทยสุดอร่อยที่ร้าน Lucky Pearl Restaurant & Coffeeมื้อกลางวันเราแวะทานอาหารที่ร้าน Lucky Pearl Restaurant & Coffee ค่ะ ร้านนี้บรรยากาศจะตั้งอยู่ริมทะเล จากตัวร้านสามารถชมวิวทะเลได้ด้วย ซึ่งร้านนี้เจ้าของร้านเป็นพี่ผู้หญิงคนไทยค่ะ มาทำธุรกิจหอยมุกและเปิดร้านอาหารไทยที่นี่ บอกเลยว่าใครที่คิดถึงอาหารไทยได้ฟินกันแน่นอนเพราะพี่เขาใช้วัตถุดิบจากไทยรสชาติจัดจ้านโดนใจมากๆ เมนูที่ทางทัวร์จัดไว้ให้ค่ะ อันนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งนะคะยังมีต้มยำ ไข่เจียว ผลไม้สดอีก ส่วนตัวประทับใจหอยลายผัดพริกเผามากๆ อร่อยสุดๆ ส่วนหอยนางรมจะทานแบบเวียดนามค่ะ ใส่ถั่วลิสงไปด้วย อร่อยนัวไปอีกแบบ ด้านล่างจะมีโซนเครื่องประดับจากไข่มุกและเครื่องสำอางจากไข่มุกค่ะ ทานแล้วก็มาเลือกช้อปกันได้เลย วิวบริเวณริมทะเลด้านหน้าร้านอาหารสวยงามประทับใจมากๆ เช็คอินที่พักที่ Imperial Hotel Hue เมืองเว้จากดานังเรามุ่งตรงมายังเมืองเว้ค่ะ โดยคืนนี้เราพักที่ Imperial Hotel Hue ที่พักระดับ 5 ดาว สวยหรูหรามากๆ ห้องที่เราพักเป็นห้องเตียงแฝดพร้อมวิวเมืองค่ะ เตียงเป็นแบบ 2 เตียงค่ะ เตียงแรกเป็นเตียงขนาดใหญ่ ส่วนอีกเตียงจะขนาดเล็กกว่าค่ะ มีทีวี (ซึ่งไม่ได้เปิดเลย) ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า ชุดคลุบอาบน้ำ รองเท้าสลิปเปอร์ ไดร์เป่าผม โทรศัพท์ เครื่องทำน้ำร้อน ชา กาแฟ และมีน้ำเปล่าให้ 2 ขวด ห้องน้ำมาพร้อมอ่างอาบน้ำแยกกับส่วนชาวเวอร์ค่ะ แต่งชุดอ๊าวหย่ายนั่งซิโคล่ชมเมืองเว้อีกหนึ่งกิจกรรมสุดน่ารักในทริปนี้โดยทางทัวร์จะเป็นคนเตรียมชุดอ๊าวหย่ายให้เราแล้วพาเราไปนั่งรถซิโคล่ที่มารอรับที่โรงแรมกันเลย พาชมเมืองเว้ ซึ่งรถซิโคล่ก็เหมือนรถสามล้อถีบบ้านเราค่ะแต่จะต่างตรงที่คนขับจะปั่นด้านหลัง ส่วนลูกค้าจะนั่งด้านหน้าชมเมืองแบบไม่มีอะไรกั้นกันเลย ค่ารถจะรวมอยู่ในโปรแกรมทัวร์แล้วนะคะ แต่ไม่รวมค่าทิปคนขับคนละ 40 บาทที่เราต้องจ่ายเองเป็นเงินไทยค่ะ รถซิโคล่ปั่นเรียงกันเป็นแถวพาเราไปตามเมืองเว้ค่ะ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงแตรบีบดังเป็นปกติของชาวเวียดนามใครมาเวียดนามแล้วไม่ได้ยินเสียงแตรเขาว่ามาไม่ถึงนะคะ ซึ่งบรรยากาศเมืองเว้เป็นเมืองที่ค่อนข้างคึกคักค่ะมีร้านค้า ร้านอาหาร มากมายสลับไปกับอาคารเก่า รถพาเราข้ามสะพานผ่านประตูเมืองโบราณเพื่อไปยังพระราชวังเว้ จุดหมายต่อไปของเราในทริปนี้ ชมพระราชวังเมืองเว้...พระราชวังต้องห้ามแห่งเมืองเวียดนามจากนั้นรถซิโคล่พาเรามาส่งที่พระราชวังเมืองเว้ค่ะ ซึ่งพอลงรถปุ๊บยังไม่ต้องให้ทิปลุงคนขับนะคะ เพราะเดี๋ยวลุงจะมารับเราไปตลาดดองบาต่อ สิ่งแรกที่รู้สึกเมื่อเดินเข้ามาในพระราชวังแห่งนี้คือความขลัง ความอลังการ ของอดีตเมืองหลวงเก่าของเวียดนาม โดยก่อนที่เวียดนามจะปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์นั้นเวียดนามเคยมีระบอบกษัตริย์มาก่อน พระราชวังแห่งนี้สร้างโดยกษัตริย์ Gia Long ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียน เริ่มสร้างในปีค.ศ. 1804 โดยยึดแบบมาจากพระราชวังกู้กงหรือพระราชวังต้องห้ามของจีน และตั้งชื่อพระราชวังแห่งนี้ว่าพระราชวัง Dai Noi ซึ่งที่นี่เป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียนตั้งแต่องค์ที่ 1 ไปจนถึงองค์ที่ 13 ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายของราชวงศ์เหงียน ภายในมีพื้นที่กว้างขวางประมาณ 5 ไร่ ล้อมรอบด้วยกำแพง 2 ชั้น กำแพงชั้นที่ 2 ซึ่งจะเป็นชั้นในที่เมื่อเราเดินผ่านเข้าไปจะมีสะพานหินที่ทอดตัวข้ามคูน้ำไปยังพระตำหนักไทฮวา ซึ่งเป็นที่ประทับของพระราชวงศ์แต่เสียดายวันที่เราไปเขามีการปิดเอาไว้เลยไม่ได้เข้าไปชมความสวยงามด้านในเลยค่ะ พระตำหนักไทฮวาที่ปิดเอาไว้ แต่โชคดีที่ได้ชมการแสดงต้อนรับที่สวยงามมากๆ เราเดินชมถ่ายรูปความสวยงามของพระราชวังกันจนพอใจก็ถึงเวลาเดินทางไปยังที่ต่อไป ช้อปปิ้งที่ตลาดดองบาจากนั้นก็นั่งรถซิโคล่มายังตลาดดองบาค่ะ ตลาดขายสินค้าขนาดใหญ่ของเมืองเว้ ใครที่อยากซื้อของฝาก ขนม ท็อฟฟี่มะม่วง กาแฟเวียดนามก็มาซื้อที่นี่ได้เลยค่ะ แต่ทางไกด์กำชับเราว่าให้ระวังเรื่องกระเป๋า เพราะอาจจะเจอโจรล้วงกระเป๋าในขณะที่เลือกซื้อสินค้าได้ โดยจุดนี้ทางไกด์จะให้อิสระช้อปปิ้งประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ มีของขายมากมายทั้งเสื้อผ้า นาฬิกา กระเป๋า และของกินของฝาก ส่วนราคาก็สามารถต่อรองกับแม่ค้าได้เลยค่ะ แม่ค้าที่นี่สามารถพูดภาษาไทยคำง่ายๆ ได้ แต่สิ่งที่เราติดใจในตลาดดองบาไม่ใช่สินค้าค่ะแต่เป็นนี่เลย ข้าวต้มเวียดนามที่ขายอยู่หน้าตลาด เป็นคุณป้ายกหม้อพร้อมกับมีข้าวต้มร้อนๆ ที่แน่นไปด้วยเครื่องไม่ว่าจะเป็นหมูก้อน ลูกชิ้น เลือด กระดูกหมู ชามนึงประมาณ 30 บาทเท่านั้นค่ะ รสชาติกลมกล่อมอร่อยมากๆถ้าได้กลับไปอีกต้องกลับไปกินให้ได้อีกแน่นอนค่ะ ส่วนของฝากที่เราอยากแนะนำเมื่อมาเวียดนามก็ต้องนี่เลยค่ะโยเกิร์ตของ VINAMILK หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปเนื้อโยเกิร์ตเนียนอย่างกับพานาค็อตต้าเลยค่ะ อร่อยมากๆ ทานอาหารเย็นสไตล์เวียดนามจากนั้นทางทัวร์พาเรามาทานอาหารเย็นโดยเป็นอาหารสไตล์เวียดนามค่ะ ทั้งแหนมเนืองที่แป้งของเขาจะบางมากๆ ไม่ต้องแตะน้ำเหมือนบ้านเราแค่นำไปห่อแล้วราดด้วยน้ำจิ้มแป้งก็นุ่มแล้วค่ะ นอกจากนี้ยังมีผัดผัก ปลาอินทรีย์ ผัดกุ้งที่รสชาติคล้ายๆ ผัดเปรี้ยวหวานบ้านเรา ต้มจืด และอีกมากมาย ล่องเรือมังกรชมแม่น้ำหอมยามค่ำคืนและกิจกรรมปิดท้ายของคืนนี้คือการล่องเรือมังกรชมแม่น้ำหอม หรือแม่น้ำซงเฮือง ซึ่งที่มาชื่อแม่น้ำหอมมาจากที่ต้นน้ำของแม่น้ำแห่งนี้มีดอกไม้ป่า เมื่อร่วงหล่นลงมาแล้วลอยมาตามแม่น้ำสายนี้ก็ส่งกลิ่นหอมไปทั่วเลยจึงเป็นที่มาของชื่อนี้ค่ะ ซึ่งเรือที่เราล่องหน้าตาคล้ายแพยนต์ขนาดใหญ่หัวเรือประดับตกแต่งด้วยรูปมังกร ส่วนภายในจะจัดโต๊ะที่นั่งให้เรานั่งชมการแสดงบรรเลงเพลงพื้นบ้านของคณะดนตรีและคณะนักร้องค่ะ มีทั้งเพลงเวียดนามและเพลงไทยที่น้ำเสียงของแต่ละคนไพเราะจับใจเรามากๆ สาวเวียดนามเจ้าของเสียงร้องที่มาให้ความสุขกับพวกเราคืนนี้ค่ะ ปิดท้ายกิจกรรมคืนนี้ด้วยการร่วมลอยกระทงซึ่งเป็นดวงไฟดวงน้อยที่ล่องลอยไปในแม่น้ำหอมพร้อมคำอธิษฐานให้ได้กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง ทานอาหารเช้าที่ที่พักเช้านี้เราตื่นมาทานอาหารเช้าที่โรงแรมค่ะ โดยเป็นบุฟเฟ่ต์ที่มีอาหารให้เลือกทานเยอะมากๆ ทั้งอเมริกันเบรคฟาสต์ และอาหารเวียดนาม ที่ประทับใจอาหารเช้าของโรงแรมนี้คือเขามีโยเกิร์ตของ VINAMILK ให้บริการด้วย แถมยังมีชีสเวียดนามที่คนเวียดนามบอกว่าอร่อยมากๆ และแพงมากๆด้วย ซึ่งโลโก้จะเป็นรูปน้องวัวแดงยิ้มค่ะ อร่อยมากๆ จริงๆ ไม่เพียงเท่านั้นกาแฟที่นี่ยังหอมอร่อยอีกด้วย สักการะวัดเทียนมู่เช้านี้ก้าวออกมาจากโรงแรมก็พบกับสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมา แต่พวกเราก็ไม่หวั่นค่ะ เพราะมีร่มของทางทัวร์ที่แจกให้ไว้ตั้งแต่ที่สนามบินใช้กันฝนเดินชมวัดเทียนมู่ อีกหนึ่งวัดสำคัญในเมืองเว้ และยังเป็นวัดที่มีประวัติเกี่ยวกับการต่อสู้ของพระสงฆ์ในอดีตของเวีดนามอีกด้วย วัดเทียนมู่มีความหมายว่าธิดาสวรรค์ เป็นวัดที่สร้างโดยขุนนางในตระกูลเหงียนประมาณปี ค.ศ.1601 จากนั้นก็มีการปฏิสังขรณ์โดยคนในตระกูลเหงียน จวบจนมาในยุคที่ตระกูลเหงียนได้ขึ้นเป็นกษัตริย์และสถาปนาราชวงศ์เหงียนขึ้นมาก็ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้เรื่อยมา เจดีย์แปดเหลี่ยมเจ็ดชั้นที่เปรียบเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของวัดนี้ สร้างเพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้า 7 ชาติภพ เป็นอีกหนึ่งวัดที่เราชอบมากๆ ค่ะ บรรยากาศ สงบ ร่มรื่น และสถาปัตยกรรมต่างๆ ในวัดทำให้เราเดินเพลินเลยค่ะ และจุดสำคัญของวัดนี้ก็คือรถออสตินสีฟ้าคันนี้ค่ะ ซึ่งเป็นรถที่ท่านติช กว๋าง ดึ๊กซึ่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดฟุคหัว ในกรุงไซง่อนได้นั่งรถยนต์คันนี้มาแล้วใช้น้ำมัน 5 แกลลอนของรถคันนี้ราดก่อนจะจุดไฟเผาตัวเอง บริเวณสี่แยกกรุงไซง่อนด้านหน้าทำเนียบประธานาธิบดี เพื่อประท้วงที่ศาสนาพุทธถูกกวาดล้าง เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ปีค.ศ.1963 บริเวณผนังด้านหลังของรถมีการแขวนภาพของท่านติช กว๋าง ดึ๊กที่ได้ทำ ที่ถ่ายโดยมัลคอล์ม บราวน์ และต่อมาได้รับรางวัลพูลิตเซอร์จากการถ่ายภาพนี้ นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายหัวใจของท่านติช กว๋าง ดึ๊กที่ไม่ไหม้ไฟให้ชมอีกด้วยค่ะ ทานอาหารกลางวันที่ร้าน TUYEN SON ในเมืองดานังเดินทางสู่เมืองดานัง เพื่อมาทานอาหารกลางวันที่ร้าน TUYEN SON ซึ่งเป็นอาหารสไตล์เวียดนามกันค่ะ บริเวณด้านหน้าร้านมีแม่ค้า พ่อค้ามาขายผลไม้ ของฝากให้เราได้เลือกซื้อด้วย มื้อนี้จัดเต็มอาหารเวียดนามแบบเต็มโต๊ะเลยค่ะ อร่อยทุกเมนูกันเลย ขึ้นกระเช้า ชมหมอก ถ่ายภาพสะพานมือและบรรยากาศแบบยุโรปที่ BA NA HILLSมาถึงไฮไลท์ของทริปนี้ที่ราเฝ้ารอที่สุดกันแล้วค่ะนั่นคือ BA NA HILLS ที่เที่ยวขึ้นชื่อในเวียดนามกลาง โดยที่นี่ในอดีตคือสถานที่พักตากอากาศของคนฝรั่งเศสที่เคยมาปกครองเวียดนาม ในปี 1901 แต่หลังจากที่ชาวฝรั่งเศสออกไปแล้ว ที่นี่ก็ได้ถูกทิ้งร้าง จวบจนสงครามเวียดนามได้สิ้นสุดลงประเทศเวียดนามก็ได้มีการพัฒนาที่นี่ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นอีกครั้ง และปัจจุบัน BA NA HILLS ได้รับการพัฒนาโดย Sun Group และใช้ชื่อว่า SUN WORLD BA NA HILLS เมื่อมาถึงที่นี่ทางไกด์บอกกับเราว่าข้างบนอากาศจะเย็นให้เตรียมเสื้อกันหนาวไว้ให้พร้อม ซึ่งจากด้านล่างเราจะต้องนั่งเคเบิลคาร์ที่ว่ากันว่าเป็นเคเบิลคาร์แบบ non-stop cable ที่ยาวที่สุดในโลก 11,587 เมตร ไต่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,487 เมตร ไปยังด้านบน ซึ่งถ้ามาเองจะเสียค่าขึ้น 728,000 ดองหรือประมาณ 1 พันกว่าบาท แต่ทริปนี้รวมค่าเข้าเรียบร้อยแล้วค่ะ ซึ่งทางเข้าเคเบิลคาร์ทำเป็นกำแพงเมืองได้อารมณ์กำแพงพระราชวังเว้ที่เราไปชมมากันเลยค่ะ ยิ่งใหญ่อลังการมากๆ เคเบิลคาร์ 1 ตู้สามารถนั่งได้ 10 คนค่ะ เคเบิลคาร์พาเราไต่ระดับความสูงขึ้นมาพร้อมกับชมวิวอันสวยงามของเมืองดานัง จากความสูงใต้เมฆเคเบิลคาร์ก็พาเรามาลอยอยู่เหนือเมฆ ที่รอบตัวเราตอนนี้เต็มไปด้วยหมอกสีขาวจนแทบมองไม่เห็นพื้นเบื้องล่างแล้วล่ะค่ะ ประมาณ 15 นาที เคเบิลคาร์ก็พาเรามายังจุดแรกซึ่งเป็นสะพานมือหรือ Golden Bridge ความยาวประมาณ 150 เมตรค่ะ โดยตัวสะพานเป็นสีทอง พร้อมกับมีมือยักษ์สองมือที่โอบอุ้มสะพานแห่งนี้ไว้ วันที่เราไปสะพานมือแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอก กลายเป็นความสวยงามที่แปลกตาและน่าค้นหามากๆ ค่ะ จากสะพานมือสามารถเดินไปยังโรงไวน์ Debay Wine Cellar (แต่ช่วงที่เราไปปิดเพราะโควิด) และโซนสวนดอกไม้ Le Jardin d’ Amour แต่ด้วยหมอกที่ลงจัดแบบนี้เราเลยขอบ๊ายบายสวนดอกไม้ขึ้นไปชมหมู่บ้านฝรั่งเศสด้านบนกันดีกว่า จากนั้นก็นั่งเคเบิลคาร์จากตรงสะพานมือขึ้นมายัง French Village ตรงจุดนี้เคเบิลคาร์จะไม่ได้ยาวเหมือนจุดแรกนะคะ จุดนี้นั่งต่อมาไม่ถึง 5 นาทีค่ะ ก็มาพบกับหมู่บ้านฝรั่งเศสที่บรรยากาศเป็นการจำลองหมู่บ้านฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ได้ออกมาสวยงามมากๆ ด้านบนจะประกอบไปด้วยสวนสนุก โรงแรม โบสถ์ ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ เหมือนหลุดมาในยุโรปจริงๆ เลยค่ะ โบสถ์ที่สามารถเดินเข้าไปชมด้านในได้ด้วยค่ะ พื้นของที่นี่ปูด้วยหินเหมือนยุโรปจริงๆ เลยค่ะ Mercure Danang French Village Bana Hills โรงแรมสำหรับคนที่ต้องการพักบนบาน่าฮิลล์ค่ะ วันที่เราไปเขายังไม่ได้เปิดเลยอดมานอนเลย มีทางเดินไปยัง The Linh Ung Pagoda ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสีขาวสูง 27 เมตรแต่วันที่เราไปด้วยหมอกที่ลงจัดเลยมองไม่เห็นพระพุทธรูปกันเลยค่ะ จากนั้นก็ไปเล่นสวนสนุกในร่มที่เราสามารถเล่นฟรีได้เช่นกันค่ะ แม้เครื่องเล่นจะไม่เยอะเท่าไรแต่รับรองว่าสนุกมากๆ พักที่ Danang Golden Bay Hotelคืนสุดท้ายสำหรับการพักที่เวียดนามเราเช็คอินที่ Danang Golden Bay Hotel ที่พักสุดหรูริมอ่าวดานังมีวิวสะพานถ่วนเฟื้อกสะพานแขวนที่ทอดตัวยาวข้ามอ่าวดานัง ยิ่งในยามค่ำคืนจะเปิดไปสวยงามมากๆ ห้องที่เราพักเป็นห้องดีลักซ์เตียงคู่ค่ะ ตกแต่งเรียบหรู เตียงนุ่มนอนสบาย ในห้องน้ำเพิ่มความหรูหราด้วยก๊อกน้ำ ฝักบัวและอ่างล้างหน้าสีทองหรูหราสุดๆ ไฮไลท์ของที่นี่คือสระว่ายน้ำบนชั้นดาดฟ้าแบบอินฟินิตี้พูลชมวิวแบบหลักล้านกันเลยทีเดียว ทานอาหารเย็น Premium Seafood Boatget พร้อมชมโชว์สุดอลังการมื้อเย็นวันนี้ทางทัวร์จัดมื้อพิเศษให้กับเราเป็น Premium Seafood Boatget จัดเต็มทั้งกุ้งมังกร ปู หอย กุ้ง ปลา จากทะเลเวียดนามเสิร์ฟมาในเรือไม้ให้เราได้ลิ้มรสชาบูสไตล์เวียดนามที่รสชาติหอมสมุนไพร ใครที่อยากได้รสจัดจ้านทางทัวร์ยังจัดน้ำจิ้มซีฟู้ดมาให้เราด้วยค่ะ แซ่บมากๆ กุ้งมังกร ปู หอย เนื้อแน่นๆ จุกๆ คับเรือ ระหว่างทานก็มีการแสดงโชว์ในชุดอ๊าวหย่ายให้เราชมอีกด้วย ทานอาหารเช้าที่โรงแรมเช้านี้จะเป็นมื้อสุดท้ายของทริปนี้แล้วค่ะ เราเลยจัดเต็มอาหารเช้าของโรงแรมแบบจุกๆ ซึ่งมีเมนูอาหารให้เลือกเยอะเช่นเดิม ถ่ายรูปแลนด์มาร์คของเมืองดานังและช้อปปิ้งปิดท้ายที่ตลาดฮานหลังจากเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมกันแล้วเราก็มาแวะถ่ายรูปกันที่ Dragon Carp Statue รูปปั้นที่หัวเป็นมังกรส่วนตัวเป็นปลาคาร์ป ต่อด้วยสะพานมังกร Dragon Bridge ข้ามแม่น้ำฮาน ในยามค่ำคืนจะเปิดไฟสวยงามและหัวมงกรยังสามารถพ่นไฟและพ่นน้ำได้ด้วย จากนั้นมาช้อปปิ้งปิดท้ายที่ตลาดฮานค่ะ ใครอยากละลายเงินดองในกระเป๋าก็มาตลาดนี้ได้เลย มีทุกสิ่งให้คุณเลือกสรรค์ ซึ่งไกด์ก็เตือนเราเช่นเดิมว่าระหว่างเดินให้ระวังกระเป๋าด้วย เพราะอาจจะมีมิจฉาชีพแฝงมาคอยขโมยของมีค่าของเราระหว่างที่เราเดินช้อปกันได้ค่ะ ตลาดนี้มีของทุกอย่างค่ะ ของกิน ของฝาก ขนม กาแฟ ใครที่พลาดไม่ได้ซื้อของกลับก็มาหาได้ที่นี่เลย เข้ามาในตลาดแล้วรู้สึกว่าแม่ค้ารักเราจังเลย ทั้งเดินตาม เกาะแขน ดึงบ้าง นึกว่าเป็นอั้ม พัชราภากันเลยทีเดียว 555 ส่วนใครไม่อยากซื้อของฝากแนะนำว่ามาหาคาเฟ่นั่งทานกาแฟเวียดนามกันค่ะ แถวนี้มีคาเฟ่น่ารักหลายร้านเลย มีร้านคนไทยมาเปิดด้วย สำหรับร้านนี้ที่เราเลือกมาเป็นร้านที่เห็นการตกแต่งแต่งแล้วก็ชอบมากๆ ค่ะ เลยแวะนั่งจิบกาแฟเวียดนามแท้ๆ กันสักหน่อย เมนูแนะนำของร้านกันกาแฟมะพร้าวปั่นที่เขาผสมนมปั่นจนเนื้อเนียนราดช็อตกาแฟลงไป รสชาติหวานมัน หอมอร่อยมากๆ ปิดทริป 4 วัน 3 คืนเที่ยวเวียดนามกับการเปิดประเทศครั้งแรกและเป็นทริปแรกที่เรามากับทัวร์ค่ะ ทริปนี้ประทับใจหลายๆ อย่างทั้งความสวยงามของเวียดนาม อาหารอร่อยมากๆ เรียกว่า 70% ที่เราทานอร่อยหมดเลย 30% อาจจะมีจืดๆ ไม่ถูกปากบ้าง แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบทานอาหารเวียดนามรับรองว่าทริปนี้จะฟินมากๆ และที่สำคัญทริปนี้เดินทางสลายมีพี่ๆ ไกด์คอยดูแลตลอดทริป ใครที่อยากเที่ยวเวียดนามกับทัวร์ลองเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ได้เลยค่ะ>>https://voucher.chillpainai.com/ |