อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในประเทศไทย 2564

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ณ สิ้นปี 2564 มีจำนวนธุรกิจโลจิสติกส์ในประเทศไทย ที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 36,733 ราย โดยเป็นธุรกิจโลจิสติกส์ที่เปิดกิจการใหม่จำนวน 4,411 ราย เติบโต 34.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจโลจิสติกส์ 48,743.73 ล้านบาท หรือ10.2 %ของการลงทุน ในกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งหมด

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

โดยกลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนการเปิดกิจการมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ 1. การอำนวย ความสะดวกของท่าเรือ 2. การขนส่งทางระบบท่อลำเลียง และ 3. ตัวแทนดำเนินพิธีการศุลกากร มีสัดส่วน 14.2% 11.7% และ 11.4% ของจำนวนธุรกิจโลจิสติกส์ที่เปิดใหม่ทั้งหมด

ในส่วนของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศในปี 2564 มีมูลค่า 17.09 ล้านล้านบาท ไทยพึ่งพาการขนส่งทางเรือเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วน 67.2% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย (เติบโต 28.8%) สินค้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียมดิบ และชิ้นส่วนรถยนต์ รองลงมา คือ การขนส่งทางอากาศ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.7 (เติบโต 13.3%)

สินค้าสำคัญ ได้แก่ วงจรอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์สื่อสาร การขนส่งทางถนน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.9 (เติบโต 32.7%) สินค้าสำคัญ ได้แก่ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์บันทึกเทป และยางธรรมชาติ และการขนส่งทางราง คิดเป็นสัดส่วน 0.1% (เติบโต 34.8%) สินค้าสำคัญ ได้แก่ ยางสังเคราะห์ ยางธรรมชาติ และแผ่นไม้อัด โดยมีตลาดที่สำคัญ คือ จีน เป็นอันดับหนึ่งในทุกรูปแบบการขนส่ง

ในปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกรวมจากไทยไปจีนทางถนน เติบโตถึง 62.9% โดยคาดว่าค่าระวางเรือที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้การส่งออกผลไม้ และพืชผัก มีการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (Shift Mode) มาใช้ทางถนนผ่านแดนมากขึ้น ด้วยระยะเวลาในการขนส่งที่สะดวกกว่า และอัตราค่าบริการที่มีความคุ้มค่ามากกว่า เมื่อเทียบกับการขนส่งรูปแบบอื่น

โดยเฉพาะพิกัด 0810 สินค้าผลไม้สดอื่นๆ (เช่น ทุเรียน ฯลฯ) ที่มูลค่าการส่งออกทางถนนเพิ่มขึ้น 164.3% และมีสัดส่วนการส่งออกทางถนน 65.2% (จากเดิม 47.4%) และพิกัด 0804 สินค้าผลไม้สดหรือแห้ง (เช่น มะม่วง ฝรั่ง มังคุด สับปะรด ฯลฯ) ที่มูลค่าการส่งออกทางถนนเพิ่มขึ้น 73.6% และมีสัดส่วนการส่งออกทางถนน 92.2% (จากเดิม 72.3%)

คาดการณ์ว่าการค้าผ่านแดนจากไทยไปจีนในปี 2565 น่าจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยเชิงบวกต่อการขนส่งทางถนน ทั้งการเริ่มเปิดด่านทางบกของจีน (โม่ฮาน โหยวอี้กวน รถไฟผิงเสียง และตงซิง) และรถไฟลาว-จีนความเร็วสูง ที่คาดว่าจะขนส่งได้สะดวกมากขึ้นในช่วงกลางปี 2565

ปัจจุบันภาคโลจิสติกส์ของไทยมีศักยภาพสูงขึ้น และยังมีโอกาสขยายตัวอีกมากในปี 2565 ตามการฟื้นตัวของการบริโภค โดยเฉพาะการส่งออกผลไม้สดจากไทยไปจีน จำพวกทุเรียน มังคุด และลำไย ซึ่งเป็นโอกาสของการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Logistics) ด้วย

สำหรับภาครัฐจะต้องร่วมมือกันเร่งผลักดันการใช้ประโยชน์รถไฟจีน-ลาว เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการส่งออกของไทย กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโลจิสติกส์ควบคู่กับการพัฒนาการค้า ผู้ที่สนใจข้อมูลสำคัญด้านธุรกิจโลจิสติกส์ สามารถติดตามผ่านช่องทางเว็บไซด์ www.คิดค้า.com

วันที่ 21 มี.ค. 2565 เวลา 11:50 น.

โลจิสติกส์ไทยคึกคักยอดเปิดบ.ใหม่เดือนเดียวพุ่ง 444 แห่ง

เอกชนสนเปิดธุรกิจโลจิสติกส์ เดือนม.ค.โต 39.6% ตอบรับเทรนด์อี-คอมเมิร์ช สนค.ธุรกิจคลังสินค้ายังมีช่องให้ขยายตลาด หนุนใช้ประโยชน์ RCEP รองรับขนส่งรถไฟไทย-จีน

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เปิดเผยว่า เดือนมกราคม ปี 2565 มีธุรกิจโลจิสติกส์ที่จดทะเบียนเปิดกิจการใหม่กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จำนวน 444 ราย เติบโตร้อยละ 39.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นการค้าแบบอีคอมเมิร์ชขยายตัวมากขึ้น ผู้ประกอบการต้องหาช่องทางในการเข้าถึงผู้บริโภคให้มากที่สุด

กลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนการเปิดกิจการมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ  1. การขนส่งและขนถ่ายสินค้า จำนวน 244 ราย 2. การขนส่งสินค้าทางถนน 68 ราย และ 3. กิจกรรมตัวแทน  รับจัดส่งสินค้า 33 ราย โดยมีการเติบโตร้อยละ 26.4 83.8 และ 32.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ

ทั้งนี้ธุรกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การบริหารจัดการด้านการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า เพื่อสนับสนุนการผลิตและกระจายสินค้าและวัตถุดิบ (TSIC 52291)  ซึ่งในปี 2563 มีรายได้รวม 87,240.63 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 22.4 (จากเดิมเติบโตร้อยละ 2.8 ในปีก่อนหน้า) และในปี 2564 มีนิติบุคคลธุรกิจการบริหารจัดการด้านการขนส่งฯ จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 207 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.3 รวมการลงทุนเป็นมูลค่า 908.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 284.0 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ (ทุนจดทะเบียนสูงตั้งแต่ 10-500 ล้านบาท) 7 ราย ซึ่งมีการลงทุนรวมร้อยละ 71 ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด

สำหรับธุรกิจการบริหารจัดการด้านการขนส่งฯ ที่ดำเนินกิจการอยู่ 1,276 ราย ส่วนใหญ่มีการจดทะเบียนกระจุกตัวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 46 และปริมณฑลร้อยละ 20 (ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ) และพื้นที่เขต EEC ร้อยละ 11 (ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดชลบุรี) โดยพบว่าในเขตจังหวัดชายแดน   ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อการค้าภูมิภาค ยังมีจำนวนการจดทะเบียนธุรกิจคลังสินค้าค่อนข้างน้อย เช่น เชียงราย  หนองคาย  บึงกาฬ  มุกดาหาร  และนครพนม  เป็นต้น ดังนั้นธุรกิจคลังสินค้าจึงเป็นโอกาสของนักธุรกิจหน้าใหม่ ยังมีพื้นที่ให้เข้ามาทำตลาดอีกมาก โดยผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงสถานที่ประกอบการเป็นหลักเพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งของ รวมถึงการพัฒนารูปแบบคลังสินค้าให้ทันสมัย นำเทคโนโลยีมาใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการในอนาคตเพิ่มมากขึ้น

นายรณรงค์ กล่าวถึง ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 นั้น เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยผลักดันและหนุนการส่งออกไทยให้ขยายตัวมากขึ้น โดยผู้ประกอบการด้านพิธีการทางศุลกากรและผู้ส่งออก ควรเร่งศึกษาสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ อาทิ  การลดอากร ขาเข้าเพิ่มเติมจากความตกลง FTA อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว เช่น จีน ลดอากรยานยนต์ ภายใต้พิกัดศุลกากร 8703 สำหรับรถยนต์ขนาดใหญ่ รถพยาบาล รถบรรทุกมินิบัส ซึ่งเป็น 1 ใน 10 สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปจีน เหลือร้อยละ 15 (ขณะที่ FTA อาเซียน-จีน มีอัตราอากรร้อยละ 25)

ขณะที่ ญี่ปุ่น ลดอากรเนื้อสัตว์ และส่วนอื่นของสัตว์ เช่น ตับสัตว์ ภายใต้พิกัดศุลกากร 1602 ระหว่างปี 2565-2567 เหลือร้อยละ 5.625  5.25 และ 4.875 ตามลำดับ (ขณะที่ FTA อาเซียน-ญี่ปุ่น มีอัตราอากรร้อยละ 6)

การปรับลดระยะเวลาตรวจปล่อยสินค้าเร่งด่วนและสินค้าเน่าเสียง่าย ให้แล้วเสร็จภายใน 6 ชั่วโมง และสินค้าทั่วไปภายใน 48 ชั่วโมง และ กฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rules: PSRs) ที่เปิดโอกาสให้ใช้วัตถุดิบนอกภูมิภาคมากขึ้น และกฎการสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าที่ครอบคลุม 15 ประเทศ ช่วยส่งเสริมการเป็นห่วงโซ่การผลิตร่วมในภูมิภาค RCEP

นอกจากนี้ ตามข้อตกลง RCEP ประเทศสมาชิก มีการเปิดตลาดให้ไทยเพิ่มเติมในธุรกิจบริการด้านการขนส่ง ได้แก่ 1.จีนเปิดบริการตรวจสอบสินค้าที่ขนส่ง 2.เกาหลีให้บริการซ่อมและบำรุงรักษาอากาศยาน และบริการซ่อมและบำรุงรักษาราง บริการที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งทางราง 3.ญี่ปุ่นให้บริการอุตสาหกรรมทางอวกาศยาน  4.ออสเตรเลีย บริการบรรจุภัณฑ์ และบริการไปรษณีย์ และ 5. นิวซีแลนด์ บริการเสริมของการขนส่งทางอากาศ อาทิ บริการซ่อมบำรุงรักษาอากาศยาน บริการคลังสินค้า บริการตัวแทนจัดเก็บสินค้า บริการลานจอดในอากาศยาน และบริการสนับสนุนอื่นๆ เพื่อการขนส่งทางอากาศ

สำหรับไทยเปิดตลาดให้สมาชิก RCEP เข้ามาลงทุนในธุรกิจบริการขนส่งเพิ่มเติม อาทิ บริการซ่อมบำรุงและซ่อมแซมอากาศยาน โดยอนุญาตให้ผู้ให้บริการของประเทศสมาชิก RCEP ถือหุ้นได้ร้อยละ 51 บริการบำรุงรักษาและซ่อมแซมอุปกรณ์การขนส่งทางราง และบริการเก็บสินค้าและคลังสินค้าสำหรับสินค้าแช่เย็นและแช่แข็ง อนุญาตให้ถือหุ้นได้ร้อยละ 70 เป็นต้น

ทั้งนี้การเข้ามาลงทุนของต่างชาติ จะช่วยให้ไทยได้ประโยชน์จากการเป็นห่วงโซ่คุณค่าโลก ประกอบกับการขยายตัวของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่จะช่วยขยายการค้าการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์ตามไปด้วย

อย่างไรก็ตามในปี 2565 ธุรกิจบริการโลจิสติกส์จะมีส่วนที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะการขยายการค้ากับกลุ่มประเทศสมาชิก RCEP และการขยายตัวของธุรกิจโลจิสติกส์เพื่อเตรียมพร้อมรองรับรถไฟจีน-ลาว สำหรับภาครัฐจะต้องร่วมมือกันเร่งสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมกลยุทธ์การใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับการวางแผนการขนส่งทั้งในและระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

  • TAGS :
  • คลังสินค้า
  • โลจิสติกส์
  • ส่งออกไทย
  • RCEP
  • สนค.