วรรณคดีอยุธยาตอนกลาง เป็นยุคทองของวรรณคดี” มีกวีและวรรณคดีเกิดขึ้นมากมาย ลักษณะคำประพันธ์นิยม ใช้โคลงมากที่สุด ฉันท์และกาพย์มีบ้าง ไม่ปรากฏคำประพันธ์ประเภทกลอน มีแบบเรียนภาษาไทยกำเนิดขึ้นด้วยคือเรื่อง “จินดามณี” วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนกลาง มีดังนี้ ๑. กาพย์มหาชาติ กาพย์มหาชาติ เป็นวรรณคดีเก่าแก่เล่มหนึ่ง ที่แต่งขึ้นเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง และประวัติการแต่งก็ไม่ปรากฏแน่ชัด แต่ถือว่ามีคุณค่าทั้งทางวรรณคดีและทางพุทธศาสนา ประวัติ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า กาพย์มหาชาติน่าจะแต่งขึ้นในสมัยพระเจ้าทรงธรรม เมื่อมีประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตร่วมกันแต่งขึ้น ในช่วง พ.ศ.๒๑๔๕ - ๒๑๗๐ เนื้อหา ภาษา และคำประพันธ์ เนื้อหาของกาพย์มหาชาตินั้น เป็นการเล่าเรื่องมหาชาติ หรือเรื่องมหาเวสสันดรชาดกนั่นเอง เป็นการแต่งแบบที่เรียกว่า ยกคาถา กล่าวคือ ยกคาถาภาษาบาลีขึ้นมาประโยคหนึ่ง แล้วแต่งภาษาไทยเล่า สลับไปเป็นช่วงๆ จนจบ โดยใช้คำประพันธ์ที่เรียกว่าร่ายโบราณ หรือที่เรียกกันในสมัยนั้นว่า ร่ายมหาชาติ เนื่องจากเป็นร้อยกรองที่แต่งไว้สำหรับการเทศน์เรื่องมหาชาตินั่นเอง แต่ละกัณฑ์ (ในกาพย์มหาชาติเรียกว่า บรรพ) มีความยาวไม่มาก จุดมุ่งหมาย ใช้เทศน์ให้อุบาสกอุบาสิกาฟัง ตัวอย่าง จาก กัณฑ์วนประเวศน์ *เต จัต์ตาโร ขัต์ติยา* อันว่าพระบรมกษัตริย์ทั้งสี่ศรีสุริยวงศ์ เมื่อเสด็จบทจรประสงค์สู่เขาคิริยวงกฎ มิได้แจ้งทางที่กำหนดดำเนินไพร ด้วยความเข็ญใจก็จำเป็น ปติปเถ ทอดพระเนตรเห็นมหาชน อันเดินทวนทางถนนนั้นมา ก็ตรัสถามถึงมรคาเขาคันธมาทน์ ..." (* คาถาภาษาบาลี) ๒. โคลงสุภาษิต ผู้แต่ง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช -โคลงพาลีสอนน้อง พาลีพระยาวานรเจ้าเมืองขีดขินสอนสุครีพน้องชายถึงหลักการรับราชการ -โคลงทศรถสอนพระราม ท้าวทศรถสอนพระรามถึงหลักการครองบ้านเมือง -โคลงราชสวัสดิ์ ทรงนำหลักพระพุทธศาสนามาสั่งสอนข้าราชการหลายเรื่อง เช่น กิริยามารยาท
การแต่งกายเข้าเฝ้า การไม่ยักยอกของหลวง ฯลฯ เป็นต้น -โคลงพาลีสอนน้อง เป็นหลักฐานสำหรับข้าราชการ -โคลงทศรถสอนพระราม เป็นการแสดงหลักในการ ปกครองบ้านเมือง -โคลงราชสวัสดิ์ แต่งเพื่อสอนข้าราชการ คุณค่า ให้แบบอย่างการปฏิบัติตนของกษัตริย์และข้าราชการแสดงค่านิยมในการเคารพยกย่องกษัตริย์ ๓. เสือโคคำฉันท์ เสือโคคำฉันท์ เริ่มด้วยบทไหว้ครู ไหว้เทวดา และบทเทิดเกียรติกษัตริย์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกเสือกับลูกโคที่พระฤๅษีได้ชุบให้เป็นมนุษย์ โดยให้ชื่อลูกเสือว่า “พหลวิไชย" ส่วนลูกโคได้ให้ชื่อว่า “คาวี" ผู้แต่ง พระมหาราชครู ได้เค้าเรื่องมาจากปัญญาสชาดก คำประพันธ์ เป็นคำฉันท์ มีกาพย์ฉบังและกาพย์สุรางคนางค์ปนอยู่ด้วย วัตถุประสงค์ เป็นคติสอนใจ สาระสำคัญ เป็นเรื่องราวของลูกเสือกับลูกโคซึ่งเป็นเพื่อนกัน เป็นผู้มีคุณธรรมคือความกตัญญูและซื่อสัตย์ จึงได้รับการชุบเป็นคนชื่อ หลวิชัยและคาวี ซึ่งก็ยังมีความรักความผูกผันซึ่งกันและกัน ได้เดินทางผจญภัยจนได้ปกครองเมืองเป็นเจ้าเมืองทั้งสองคน คุณค่า เป็นคำฉันท์ที่แต่งเป็นเรื่องยาวเป็นเรื่องแรก ให้คติสอนใจในเรื่องความกตัญญูและความซื่อสัตย์ ๔.สมุทรโฆษคำฉันท์ สมุทรโฆษคำฉันท์ เป็นวรรณคดีที่ได้รับการยกย่องจาก วรรณคดีสโมสร ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ว่าเป็นเรื่องที่แต่งดีเป็นเยี่ยมในกระบวนคำฉันท์ เป็นวรรณกรรมขนาดย่อม มีความยาว ของเนื้อเรื่อง ๒๑๒๘ บท(นับรวมแถลงท้ายเรื่อง ๒๑ บท ) กับโคลงท้ายเรื่องอีก ๔ บท สมุทรโฆษคำฉันท์นับเป็นหนึ่งในวรรณคดีไทย ที่มีประวัติอันยาวนาน สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา จวบจนถึงช่วงต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีเนื้อหาแบบนิยายไทยทั่วไป ที่มีความรักและการพลัดพราก กวีได้สอดแทรกขนบการแต่งเรื่องไว้อย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกัน นักประวัติศาสตร์ยังใช้วรรณคดีเล่มนี้สำหรับการอ้างอิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ด้านขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมด้วย ประวัติและผู้แต่ง สมุทรโฆษคำฉันท์มีผู้แต่งสามท่าน ซึ่งแต่งในยุคสมัยต่างๆ กัน ดังนี้ ๑. พระมหาราชครู แต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา แต่แต่งตั้งปี พ.ศ. ใดไม่ปรากฏ คาดว่าน่าจะอยู่ในราว พ.ศ. ๒๒๐๐ ท่านได้แต่งไว้ ๑๒๕๒ บท นับตั้งแต่ต้น จนถึงตอน "งานสยุมพรพระสมุทรโฆษกับนางพินทุมดี" ด้วยกาพย์ฉบัง ที่ว่า พระเสด็จด้วยน้องลีลาส ลุอาศรมอาส- นเทพลบุตรอันบนฯ ๒. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เอง ๒๐๕ บท แต่ไม่จบเรื่อง ก็สวรรคตเสียก่อน ทรงแต่งตั้งแต่ตอน "พระสมุทรโฆษและนางพินทุมดีไปใช้บน" (แก้บน) จนถึง ตอนที่พิทยาธรสองตนรบกัน (ตนหนึ่งตกลงไปในสวน) แต่ยังรบไม่จบ ทรงแต่งจนถึงสัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙ ที่ว่า แต่นี้พี่อนุช(ะ)ถึงแก่กรรม(ะ)พิกล เรียมฤๅจะยากยล พธู ตนกูตายก็จะตายผู้เดียวใครจะแลดู โอ้แก้วกับตนกู ฤเห็นฯ ๓. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงพระนิพนธ์ต่อจากนั้นจนจบเรื่อง นับได้ ๘๖๑ บท หลังจากที่ค้างอยู่นานถึง ๑๖๐ ปี (นับจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๑) เนื่องจากไม่มีผู้ใดกล้าแต่งต่อ โดยได้ทรงพระนิพนธ์เป็นสองช่วง และสุดท้ายก็จบเรื่อง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๒ (จ.ศ. ๑๒๑๑) เนื้อเรื่อง ดัดแปลงมาจากสมุทรโฆษชาดก ในปัญญาสชาดก กล่าวคือเป็นชาดกที่มิได้มีอยู่ในพระไตรปิฎก แต่เนื้อหาในเรื่องที่พระราชครูแต่งนั้น แตกต่างไปจากชาดกอยู่บ้าง ทว่าเมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงแต่ง พระองค์ได้ดำเนินตามปัญญาสชาดกจนจบเรื่อง ๕. จินดามณี จินดามณี (มีความหมายว่า แก้วสารพัดนึก) เป็นแบบเรียนภาษาไทย มีเนื้อหาครอบคลุมเรื่อง การใช้สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ การแจกลูก การผันอักษร อักษรศัพท์ อักษรเลข การสะกดการันต์ การแต่งคำประพันธ์ ชนิดต่างๆ และกลบท ปรากฏกลบท อยู่ ๖๐ ชนิด มีทั้งจินดามณี แต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง โดยพระโหราธิบดี ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และยังเป็นแบบเรียนเล่มแรกของไทยด้วย และจากการที่จินดามณีของพระโหราธิบดี เป็นแบบเรียนไทยมาก่อนจนเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของแบบเรียนไทย ทำให้หนังสือแบบเรียนไทยในยุคต่อมาหลายเล่มใช้ชื่อตามว่า "จินดามณี" เช่นเดียวกัน เช่น จินดามณีฉบับความแปลก จินดามณีครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ จินดามณีฉบับกรมหลวงวงษาธิราชสนิท จินดามณีฉบับพิมพ์ของหมอสมิท และจินดามณีฉบับพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ ผู้แต่ง พระมโหราธิบดี คำประพันธ์ เป็นร้อยแก้ว มีตัวอย่างคำประพันธ์ต่างๆ วัตถุประสงค์ สมเด็จพระนารายณ์โปรดให้นักปราชญ์แต่งหนังสือเรียนภาษาไทยเพื่อไม่ให้เด็กไทยหันไปเรียนและไปนับถือศาสนาคริสต์ สาระสำคัญ กล่าวถึงอักษรศัพท์ เป็นคำศัพท์ที่มีเสียงคล้ายๆ กัน วิธีใช้อักษรต่างๆ การผันอักษร กำเนิดตัวอักษร วิธีแต่งคำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ คุณค่า เป็นตำราเรียนภาษาไทยเล่มแรก เป็นหนังสือค้นคว้าอ้างอิงเกี่ยวกับภาษาไทยที่ดีที่สุด ๖.พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ ผู้แต่ง เป็นพระประสงค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้รวบรวมจดหมายเหตุและเหตุการณ์ต่างๆ รวบรวมไว้ด้วยกัน หลวงประเสริฐอักษรนิติเป็นผู้ได้มาจากชาวบ้านแล้วนำมาถวายสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงประทานชื่อให้เป็นเกียรติ หลวงประเสริฐอักษรนิติ (แพ ตาละลักษณ์) เวลาแต่ง พ.ศ. ๒๒๒๓ คำประพันธ์ เป็นร้อยแก้ว เป็นการบันทึกเหตุการณ์สำคัญ หรือเหตุการณ์แปลก ๆ ไว้ วัตถุประสงค์ เพี่อบันทึกเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เป็นหลักฐาน สาระสำคัญ เริ่มตั้งแต่เริ่มสร้างพระพุทธรูปวัดพนัญเชิง พ.ศ. ๑๘๖๗ จุลศักราช ๖๘๖ ไปจนถึง พ.ศ. ๒๑๔๗ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปรบที่เมืองเชียงใหม่ ประชวรสวรรคตที่เมืองห้างหลวง คุณค่า มีคุณค่าสำคัญด้านประวัติศาสตร์ ๗. อนิรุทธ์คำฉันท์ ผู้แต่ง ศรีปราชญ์ เป็นบุตรของพระโหราธิบดี
เป็นกวีเอกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ แสดงความสามารถแต่งฉันท์เป็นเรื่องยาวได้ สาระสำคัญ เรื่องอนิรุทธ์ได้มาจากคัมภีร์วิษณุปุราณะและมหาภารตะ มีเนื้อเรื่องคล้ายสมุทรโฆษ คือมีการอุ้มสมระหว่าง พระอนิรุทธ์กับนางอุษา และพรากจากกัน แต่ในที่สุดก็ได้พบกันและครองกันสืบมา (๑) ใช้ในการเปรียบเทียบกับเรื่องอณุรุทในสมัยรัชกาลที่ ๑ (๒) มีลักษณะแหวกธรรมเนียมนิยมคือไม่มีบทไหว้ครู ๘. โคลงกำสรวล หรือ กำสรวลศรีปราชญ์ ผู้แต่ง ศรีปราชญ์ คำประพันธ์ เป็นโคลงดั้น มีสัมผัสระหว่างบท วัตถุประสงค์ พรรณนาการเดินทางพร้อมทั้งคร่ำครวญถึงนางผู้เป็นที่รักไปด้วย เนื้อความบางตอนมีการยกวรรณคดีเรื่องอื่นมากล่าวเปรียบเทียบ คุณค่า ด้านภาษา ให้ความรู้ด้านคำศัพท์โบราณ ด้านภูมิศาสตร์ ทราบสภาพเส้นทางตามที่กวีกล่าว ด้านสังคม ได้รู้ถึงความเป็นอยู่ การแต่งกาย ๙. โคลงเบ็ดเตล็ดของศรีปราชญ์ ผู้แต่ง ศรีปราชญ์ได้แต่งไว้เป็นโคลงเฉพาะกิจ
มีการรวมรวมอยู่ในโคลงกวีโบราณของพระยาตรังคภูมิบาล และตำนานศรีปราชญ์ ของพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษณ์) ๑๐. โคลงอักษรสามหมู่ ผู้แต่ง พระศรีมโหสถ คำประพันธ์ โคลงสี่สุภาพ กลบท ใช้คำๆ เดียวกันเรียงตั้งแต่ไม่มีรูปวรรณยุกต์ และผันได้ด้วยไม้เอก ไม้โท เป็นชุดๆ วัตถุประสงค์ เพื่อแสดงฝีมือทางวรรณศิลป์ คุณค่า เป็นแบบอย่างในการแต่งกลบทของกวียุคหลัง ๑๑. โคลงเฉลิมพระเกียรติพระนารายณ์ ผู้แต่ง พระศรีมโหสถ สาระสำคัญ เล่าเรื่องการได้ช้างเผือก
อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากชียงใหม่ และพรรณนาเมืองลพบุรี ๑๒. นิราศนครสวรรค์ ผู้แต่ง พระศรีมโหสถ
๑๓. กาพย์ห่อโคลง ผู้แต่ง พระศรีมโหสถ (๒) ได้ทราบถึงสภาพบ้านเมือง ๑๔. นิราศสีดา (ราชาพิลาป) ผู้แต่ง ไม่ปรากฎ ลักษณะคำประพันธ์ กาพย์ฉบัง และ กาพย์สุรางคนางค์ สาระสำคัญ เป็นเรื่องที่แต่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พรรณนาความคร่ำครวญของพระราม ตอนเดินออกเดินทางตามหานางสีดา คุณค่า เป็นตัวอย่างของนิราศให้กวีรุ่นหลังได้ศึกษา ๑๕. คำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง ผู้แต่ง ขุนเทพกวี คำประพันธ์ ฉันท์, กาพย์ยานี และกาพย์ฉบัง วัตถุประสงค์ ใช้ขับในราชพิธีสมโภชช้างเผือก สาระสำคัญ ตอนต้นเป็นบทสดุดีเทพทั้งหลายพรรณนาการเตรียมตัวคล้องช้างขอพรเทพให้ทำการคล้องช้างสำเร็จ คุณค่า (๑) เป็นคำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างที่เก่าที่สุดที่กวีรุ่นหลังนำมาเป็นตัวอย่าง (๒) ให้ความรู้เรื่องพิธีกรรมเกี่ยวกับช้าง ๑๖. โคลงทวาทศมาส ผู้แต่ง ไม่ชัดเจน บอกไว้เพียงว่าพระเยาวราชแต่ง และมีขุนพรหมมนตรี ขุนศรีกวีราชและขุนสารประเสริฐ เป็นผู้เกลากลอน เวลาการแต่ง ยังไม่เป็นที่ยุติ บางท่านว่าแต่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์บางท่านว่าแต่งในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ คำประพันธ์ โคลงดั้นวิวิธมาลี สาระสำคัญ พรรณนาคร่ำครวญการจากไป ๑๒ เดือน คุณค่า เป็นตัวอย่างในการแต่งนิราศของกวีรุ่นหลัง ๑๗. โคลงนิราศหริภุญชัย ผู้แต่ง กวีชาวเชียงใหม่ ๑๘. ลิลิตพระลอ ผู้แต่ง ไม่ทราบแน่ชัด ระยะเวลาในการแต่ง
อาจเป็นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(พ.ศ.๒๐๑๗)หรือสมเด็จพระนารายณ์มหาราช(พ.ศ.๒๒๐๕) ลักษณะคำประพันธ์ เป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพเป็นส่วนใหญ่ บางโคลงมีลักษณะคล้ายโคลงดั้นและโคลงโบราณ และร่ายบางบทเป็นร่ายโบราณและร่ายดั้น วรรณคดีสโมสรให้เป็น ยอดของลิลิต ความมุ่งหมาย แต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อให้เป็นที่สำราญหฤทัย คุณค่า ด้านสังคม และวัฒนธรรม เป็นนิยายพื้นบ้านที่สะท้อนชีวิตทั้งด้านการปกครอง ประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อต่างๆ |