สาระสำคัญ/ความคิดรวมยอดการเข้าร่วมกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนา ทำให้เกิดการพัฒนาตนเองทั้งกาย วาจา ใจ และเป็นการสืบทอดการปฏิบัติบัติที่ดีงามในสังคม ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้1. อธิบายสาระสำคัญของวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาได้ 2. วิเคราะห์แนวทางการปฏิบัติตนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาได้ถูกต้อง 3. อภิปรายถึงประโยชน์ของการเข้าร่วมกิจกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และการศึกษาเกี่ยวกับวันสำคัญทางศาสนาได้อย่างมีเหตุผล วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันมาฆบูชา คือ วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 พระศาสดาประชุมพระสาวก ณ พระวิหารเวฬุวัน ได้มีสันติบาตประกอบด้วย 1. เป็นวันอุโบสถขึ้น 15 ค่ำ โอวาทปาฏิโมกข์ โดยแสดงในที่ประชุมสงฆ์ที่กรุงพันธุมดีราชธานี ดังนี้ 1. ความอดทน คือ ความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปริพพาน หลักธรรมเนื่องในวันวิสาขบูชา มีดังนี้ 1. การรำลึกถึงพุทธคุณ หรือความกตัญญู จุดมุ่งหมายของการประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา ก็เพื่อรำลึกถึงพุทธคุณ คือ พระวิสุทธิคุณ 2. หลักอริยสัจ 4 อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ คือ ทุกข์ (ความทุกข์,ปัญหา) สมุทัย (เหตุเกิดแห่งทุกข์,ปัญหา) นิโรธ (หนทางดับทุกข์,ปัญหา) และมรรค (ทางหรือวิธีการแก้ทุกข์,ปัญหา) 3. หลักความไม่ประมาท คือ การมีสติทั้งขณะที่ทำ ขณะพูดและขณะคิด วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 แต่ถ้าเป็นปีที่มีอธิกมาส จะต้องกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 หลัง ก่อนวันเข้าพรรษา 1 วัน ความสำคัญของวันนี้ มี 3 ประการ คือ 1) เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือ ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ 2. กามสุขัลลิกานุโยค คือ การทำตนให้พัวพันหมกมุ่นอยู่ในกามสุข โดยหลักการปฏิบัติที่สุดโต่งทั้ง 2 ประการนี้ พระพุทธเจ้าจึงให้มนุษย์ปฏิบัติตนอยู่ในทางสายกลางที่เรียกว่า “มัชฌิมปฏิปทา” หมายถึง ข้อปฏิบัติที่ทำให้บรรลุนิพพานไม่ตึง หรือไม่หย่อนจนเกินไป ประกอบด้วยมรรคองค์ 8 ได้แก่ 1. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ วันอัฏฐมีบูชา หมายถึง การบูชาในวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า ถัดจากวันวิสาขบูชา 8 วัน วันอัฏฐมีบูชา ถือว่าเป็นวันบูชาพระสรีระของพุทธเจ้าหลังจากพระเพลิงไหม้แล้ว พระสรีระในที่นี้ หมายถึง พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งหลังจากพระเพลิงไหม้พระสรีระของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็มีการสักการะ เคารพ นบนอบบูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคด้วยอาการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ระเบียบดอกไม้และของหอมตลอด 7 วันฉะนั้น จึงถือว่าวันอัฏฐมีบูชาเป็นระลึกถึงวันคล้ายวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ทำให้พุทธศาสนิกชนได้ตั้งอยู่ในความไม่ ประมาทและเข้าใจหลักของไตรลักษณ์ คือ ลักษณะทั่วไปของสิ่งทั้งปวง ถือเป็นสามัญลักษณะ ประกอบ 1. อนิจจตา หมายถึง ความไม่เที่ยงไม่คงที่ ไม่อยู่ในภาพเดิมตลอดไป ภาวะที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไป กล่าวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีสิ่งใดที่จะคงอยู่สภาพเดิมได้ตลอดชั่วนิรันดร์ ดุจดั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงแม้จะเป็นผู้บรรลุพระสัมโพธิญาณหลุดพ้นแล้วก็ยังหนีไม่พ้นหลักของอนิจจตา มีภาวะการเกิด การเจ็บป่วย การแก่ และการตายในที่สุด เพียงแต่ว่าพระพุทธองค์ต่อแต่นี้ไปจะหลุดพ้น เป็นนิพพาน สู่บรมสุขสูงสุด โดยไม่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกแล้ว 2. ทุกขตา หมายถึง ความทุกข์ เป็นภาวะที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและการสลายตัว ภาวะที่กดดัน ฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัวเพราะปัจจัยปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะทำให้คงอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้นาน ภาวะเช่นนี้ พระพุทธองค์ทรงค้นพบหนทางพ้นทุกข์ ที่เรียกว่าอริยมรรค 8 ดังนั้น หากพุทธศาสนิกชนสามารถประพฤติปฏิบัติตามหลักอริยมรรค 8 ก็สามารถล่วงพ้นจากความทุกข์ได้ หรือสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประวันได้ วันธรรมสวนะ คือ วันกำหนดประชุมฟังธรรมที่เรียกเป็นคำสามัญทั่วไปว่า ”วันพระ” เป็นประเพณีนิยมพุทธบริษัท ที่ได้ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแล้วครั้งพุทธกาล
โดยถือว่าการฟังธรรมตามกาลที่กำหนดไว้เป็นประจำ ย่อมก่อให้เกิดสติปัญญาและสิริมงคลแก่ผู้ฟัง ดังบาลีว่า 1. ในวันธรรมสวนะตอนเข้าประมาณ 09.00 นาฬิกา พระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ประชุมพร้อมกันในสภาพที่กำหนดแสดงธรรม จะเป็นวิหาร อุโบสถ
ศาลาการเปรียญ วิหารคด หรือศาสนสถานแห่งหนึ่งแห่งใดก็ได้ จัดให้นั่งกันตามที่เป็นสัดส่วนเรียบร้อย มีพระพุทธรูปและที่บูชาประดิษฐานอยู่เบื้องหน้า จัดให้มีอาสนะสำหรับเป็นที่นั่งของพระภิกษุสามเณรเป็นสัดส่วน วันเข้าพรรษา คือ การที่พระภิกษุผูกใจว่าจะอยู่ประจำเสนาสนะวัดใดวันหนึ่ง ตลอดเวลา 3 เดือนในฤดูฝนไม่ไปค้างแรมให้ล่วงราตรีในที่แห่งอื่นระหว่างที่ผูกใจนั้น เป็นพิธีกรรมสำหรับภิกษุโดยตรง ซึ่งมีวินัยนิยมบรมพุทธานุญาตไว้ให้ปฏิบัติทุกรูป จะเว้นเสียมิได้ไม่ว่าในกรณีใด ๆ มีเรื่องราวปรากฎ อยู่ในวัสสูปนายิกขันธกะ พระวินัยปิฎกใจความย่อ ๆ ว่า สมัยเมื่อผ่านปฐมโพธิกาลไปแล้วมีกุลบุตรเข้ามาบวชเป็นภิกษุมากขึ้น พระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงบัญญัติให้ภิกษุจำพรรษา ถึงฤดูฝนมีน้ำขังเต็มพื้นที่ไร่นาทั่วไป ชาวบ้านอาศัยพื้นที่เหล่านั้นประกอบอาชีพทางกสิกรรมพวกพ่อค้าเป็นต้นที่มิใช่ชาวกสิกรต่างพักผ่อนหยุดสัญจรกันในฤดูนี้เพราะนอกจากไม่สะดวกแล้วยังเป็นอันตรายแก่พืชผลของชาวไร่ชาวนา แต่ภิกษุในสมัยนั้นบางจำพวกหาพักการจาริกไม่บ้างพากันย่ำเหยียบหญ้าระบัดและสัตว์เล็กตายเป็นอันมาก ชาวบ้านพากันติเตียน พระพุทธเจ้าทรงทราบจึงบัญญัติให้ภิกษุสำพรรษาในฤดูฝนตลอด 3 เดือน นับแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 8 ไปจนถึงวันเพ็ญเดือน 11 เหลือเวลา 1 เดือน ท้ายฤดูฝนคือแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงเพ็ญเดือน 12 ซึ่งเป็นเวลานำลดและพืชผลเริ่มสุกแล้วไว้เป็นจีวรกาล คือ เวลาแสวงหาจีวรผลัดเปลี่ยนของภิกษุ ต่อมาทรงบัญญัติซ้ำเติมในเรื่องการจำพรรษานี้อีกให้ภิกษุทุกรูปถือเสนาสนะจะเป็นถ้ำ คูหา หรือกุฏิอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ที่มีมุง ที่บังแดดฝนครบถ้วน ห้ามจำพรรษาในที่กลางแจ้ง ในโพรงไม้ ในหลุมที่ขุดหรือในกุฏิดินซึ่งมีลักษณะเหมือนตุ่มอาจเป็นอันตรายพังลงมาทับเพราะน้ำฝนได้ โดยพระพุทธบัญญัติดังกล่าวนี้จึงถือเป็นประเพณีนิยมปฏิบัติสืบ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ระเบียบพิธี การเข้าพรรษาเป็นวัตรปฏิบัติของภิกษุสามเณร ซึ่งมีระเบียบพิธีปฏิบัติดังนี้ 1. ถึงวันเข้าพรรษา คือ วันแรมค่ำหนึ่ง เดือน 8 ถ้าเป็นปีมีอธิกมาสก็ตกวันแรมค่ำหนึ่ง เดือน 8 หลัง พระภิกษุ สามเณรทั้งหมดภายในวัดเตรียมดอกไม้ธูปเทียนใส่พานหรือภาชนะที่สมควรเพื่อใช้สักการะปูชนียวัตถุต่าง ๆ ในวัด และใช้ทำสามีจิกรรมกันตามธรรมเนียมให้พร้อมก่อน และในวันนี้หรือวันก่อนวันนี้หนึ่งหรือสองวันทายกทายิกามักนำเครื่องสักการะมากถวายภิกษุสามเณรที่ตนนับถือ เช่น ดอกไม้ ธูปเทียน ผ้าอาบน้ำฝน เป็นต้น และมักจะนิยมหล่อเทียนขนาดใหญ่กุให้จุดอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืนตลอด 3 เดือน ถวายสงฆ์เพื่อจุดเป็นพุทธบูชาเริ่มตั้งแต่วันเข้าพรรษา2. ถึงกำหนดเวลา ส่วนใหญ่จะเป็นตอนเย็น พระภิกษุสามเณรลงพร้อมกันในโรงอุโบสถ จัดให้นั่งตามลำดับอาวุโสก่อนหลัง หันหน้าไปทางพระพุทธรูป เริ่มทำวัตรเย็น แสดงพระธรรมเทศนาหรืออ่านประกาศเรื่องวัสสูปนายิกา ทำสามีจิกรรม คือ ขอขมาโทษต่อกัน อธิษฐานพรรษา เสร็จแล้วสักการบูชาปูชนียสถานภายในวัด3. การประกาศวัสสูปนายิกานั้น ก็เพื่อบอกให้รู้เรื่องเข้าพรรษา บอกเขตของวัดนั้น ๆ ที่จะต้องรักษาพรรษา บอกเรื่องการถือเสนาสนะ และประกาศให้รู้ว่า จะให้ถืออย่างไร ปฏิบัติอย่างไร และหากมีกติกาอื่นใดอีกในเรื่องจำพรรษาร่วมกันก็ให้บอกได้ในประกาศนี้4. การทำสามีจิกรรม ขอขมาโทษต่อกัน เป็นหน้าที่ของภิกษุสามเณรทุกรูปในวัดนั้น ๆ จะต้องทำตามวินัยนิยม ซึ่งมีระเบียบพิธีดังนี้ 1) ผู้รับขอขมาโทษ นั่งพับเพียบหันหน้ามาทางผู้ขอขมา เมื่อผู้ขอขมากราบเริ่มประนมมือรับ ประธาน กราบพระพุทธรูป 3 ครั้งแล้ว พระสังฆเถระผู้เป็นประธานหรือเจ้าอาวาสนำประนมมือว่า นโม พร้อมกัน 3 จบ ต่อจากนั้นนำเปล่ง คำอธิษฐานพรรษาพร้อมกัน 3 จบ ว่า“อิมสฺมึ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ” (หรือ อุเปมะ) เสร็จแล้วกราบพระอีก 3 ครั้ง นั่งราบพับเพียบตามเดิม6. การสักการะบูชาปูชนียวัตถุสถานภายในวัด หากมิได้สักการบูชาปูชนียวัตถุสถานก่อนเข้าโรงอุโบสถ เมื่อออกจากโรงอุโบสถแล้ว พึงถือเครื่องสักการะร่วมกันไปสักการะปูชนียสถานอื่น ๆ ในบริเวณวัดเท่าที่มี เช่น พระเจดีย์ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นต้น เสร็จแล้วถ้าต้องการทำสามีจิกรรมกันตามกุฎีต่อ ก็พึงทำในระยะนี้ กลับถึงกุฎีของตนแล้ว ถ้าจะอุตสาหะอธิษฐานพรรษาซ้ำจำกัดเฉพาะเขตกุฎีของตนอีกก็ทำได้ วันออกพรรษา ตรงกันวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เป็นวันครบ 3 เดือน หลังจากที่พระภิกษุอธิษฐานตั้งใจจำพรรษาไม่จาริกไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในวันเข้าพรรษา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันมหาปวารณา ที่เรียกเช่นนี้เป็นเพราะเป็นวันที่ภิกษุสงฆ์ที่อยู่ร่วมกัน ๓ เดือนตลอดพรรษา ได้ปวารณาตนต่อกัน คือ เปิดโอกาสให้ภิกษุอื่นเตือนเกี่ยวกับความประพฤติเสื่อมเสียใด ๆ ไม่ว่าจะโดยการได้เห็นได้ยินมาด้วยตนเองหรือโดยการระแวงสงสัยก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ภิกษุผู้อยู่ร่วมกันนาน ๆ ย่อมจะเห็นข้อบกพร่องของกันและกันจึงควรมีการว่ากล่าวตักเตือนกันขึ้น เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ความสามัคคีขึ้นในภายหมู่สงฆ์ ก่อนที่แต่ละรูปจะจาริกไปยังสถานที่ต่าง ๆ ต่อไป ระเบียบพิธี 1. ในวันเพ็ญเดือน 11 นั้น ต้องทำบุพกรณ์และบุพกิจเหมือนการทำสังฆอุโบสถ เว้นแต่ในส่วนบุพกิจไม่นำปาริสุทธิ เปลี่ยนเป็นนำปวารณาของภิกษุไข้มา เมื่อถึงกำหนดเวลาที่พระสงฆ์เคยลงทำอุโบสถกรรมสวดพระปาติโมกข์ตามปกติ ตีระฆังสัญญาณให้ภิกษุทั้งวัดลงประชุมพร้อมกันในโรงอุโบสถ นั่งบนอาสน์สงฆ์ตามลำดับพรรษาแก่อ่อนจากขวามาซ้ายเรียงแถว ๆ ไป หันหน้าเข้าหาพระพุทธรูปประธาน กล่าวคำบูชา 2. เจ้าอาวาสหรือพระสังฆเถระผู้ฉลาดในสังฆกรรม ขึ้นนั่งเตียงปาติโมกข์ ประกาศชี้แจงเรื่องทำปวารณากรรมให้เข้าใจทั้วกันก่อนแล้วเริ่มบอกบุพกรณ์บุพกิจของปวารณากรรม เสร็จแล้วตั้งญัตติปวารณากรรม ต่อนั้นพระสงฆ์พึงปวารณากัน ตามแบบโดยลำดับอาวุโส ถ้ามีจำนวนภิกษุจำพรรษามากเป็นร้อยๆ รูป จะให้ผู้มีพรรษาเท่ากันปวารณาพร้อมกันก็ได้ ทั้งนี้ต้องบอกแจ้งในญัตติว่าจะใช้เอกวาจิกาสมานวัสสิกาปวารณาก่อน 3. ระเบียบปวารณาที่นิยมกัน ให้พระสงฆ์ทั้งหมดนั่งพับเพียบเรียงแถวไม่ละหัตถบาสตามลำดับอาวุโส ทุกรูปหันเข้าหาพระพุทธรูปประธาน ผู้แก่อาวุโสปวารณาก่อน ถึงลำดับตนแล้วพึงคุกเข่าว่าคำปวารณา จบแล้วนั่งราบพับเพียบตามเดิม โดยนัยนี้จนได้ปวารณาทั่วกันครบทุกรูป 4. เมื่อปวารณาเสร็จแล้วใหญ่จะมีสวดมนต์ต่อท้าย 5. ภิกษุทุกรูปเมื่อปวารณาแล้วในวันปวารณานั้นจำต้องรักษาราตรีอยู่ วันเทโวโรหณะ แปลว่า วันเป็นที่ลงจากเทวโลก หมายถึง วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลกมาสู่มนุษยโลก หลังจากที่ได้แสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระมารดา และเสด็จจำพรรษา ณ ดาวดึงส์พิภพครบไตรมาสแล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้ ในช่วง
5–4 ปีหลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ต่าง ๆ แล้วปรากฏว่าลาภสักการะของพวกเดียรถีย์ได้เสื่อมลงตามลำดับ ทั้งนี้เพราะประชาชนได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก ทำให้พวกเดียรถีย์เดือนร้อนต่างพากันคิดแสวงหาวิธีที่จะดึงให้ประชาชนกลับ มาเลื่อมใสตนโดยใส่ร้ายพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้น ผลร้ายกลับตกมาสู่พวกของตนด้วยซ้ำ ในที่สุดจึงได้อาศัยข้อบัญญัติที่พระพุทธเจ้าห้ามเฉพาะพระสาวกแสดงปาฏิหาริย์
เที่ยวประกาศข่าวท้าพระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์แข่งกัน โดยลืมนึกไปว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติห้ามเฉพาะสาวกเท่านั้นไม่รวมถึงตัวพระองค์ เมื่อความทราบถึงพระพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงคิดถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นหากพระองค์ไม่แสดงปาฏิหาริย์ จึงทรงประกาศว่าในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8พระองค์จะแสดงปาฏิหาริย์ที่ต้นมะม่วงพวกเดียรถีย์ได้ฟังดังนั้นจึงหาวิธีแกล้งพระพุทธเจ้าโดยช่วยกันทำลายต้นมะม่วงในเมืองนั้นทั้งหมด แล้วก็ช่วยกันสร้างมณฑปของตนเพื่อแสดงปาฏิหาริย์ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8
ตอนเช้าปรากฏว่าเกิดฝนตกและพายุพัดมณฑปของพวกเดียรถีย์พังจนหมดสิ้นส่วน ระเบียบพิธี 1. ก่อนถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นกำหนดวันทำบุญตักบาตร ทางวัดที่จะจัดให้มีงานทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ จะต้องเตรียม 2. สำหรับทายกทายิกาเมื่อทราบกำหนดจากทางวัดแล้วจะต้องตระเตรียมและดำเนินการดังนี้ ศาสนพิธี การถวายภัตตาหาร สิ่งของที่ควรถวายและสิ่งของต้องห้ามสำหรับพระภิกษุ สิ่งของที่ควรถวายพระภิกษุ1. ข้าวและอาหารที่จะนำมาถวาย นิยมเป็นข้าวปากหม้อและกับข้าวปากหม้อ คือ เป็นสิ่งที่ปรุงเสร็จใหม่ ๆ ยังไม่ได้ตักออกไปเพื่อบริโภคหรือใช้อย่างอื่น ส่วนกับข้าวที่ปรุง หากเป็นเนื้อสัตว์ไม่ควรฆ่า เพื่อถวายพระโดยเฉพาะ สิ่งของต้องห้ามสำหรับพระภิกษุ 1. ภัตตาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ จะต้องไม่เป็นเนื้อสัตว์ที่ฆ่าเพื่อถวายพระโดยเฉพาะ การถวายสังฆทาน เครื่องสังฆทาน การถวายทาน คือ การถวายวัตถุที่ควรให้เป็นทาน ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าวัตถุที่ควรให้เป็นทานนี้ว่า “ทานวัตถุ” จำแนกได้เป็น 10 ประการ คือ ทั้ง 10 ประการนี้ ควรถวายเป็นทานแด่ภิกษุสามเณรเพื่อใช้สอยหรือบูชาพระตามสมควรสังฆทาน นั้น หมายถึง ทานที่อุทิศแก่สงฆ์ มิได้เจาะจงแก่บุคคล โดยนิยมที่เข้าใจทั่วไปในเรื่องการถวายสังฆทานนี้ ก็คือการจัดภัตตาหารถวายพระภิกษุสงฆ์ไม่เกี่ยวกับการถวายวัตถุทางอย่างอื่น ๆ การจัดภัตตาหารถวายสงฆ์อย่างนี้ เรียกว่า ถวายสังฆทาน เครื่องสังฆทาน ก็คือ ทานวัตถุที่จะถวายเป็นสังฆทานมีภัตตาหารเป็นที่ตั้ง นอกนั้นจะมีของเป็นบริวารอื่น ๆ ได้แก่ น้ำรวมทั้งเครื่องดื่มอันควรแก่สมรบริโภค ผ้า เครื่องนุ่งห่ม ดอกไม้ ธูปเทียน สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก คิลานเภสัช ได้แก่ ยารักษาโรคต่าง ๆ รวมทั้งปัจจัยซึ่งอาจทำใบปวารณาถวายก็ได้ การถวายผ้าอาบน้ำฝน การถวายผ้าอาบน้ำฝน ผ้าอาบน้ำฝน
หรือที่เรียกว่า ผ้าวัสสิกสาฎก คือ ผ้าสำหรับใช้นุ่งในเวลาอาบน้ำฝน หรืออาบน้ำทั่วไป เรียกกันว่าผ้าอาบน้ำฝนและเรียกกันสั้น ๆ ว่า “ผ้าอาบ” แต่เดิมพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ทรงไว้แต่ผ้า ๓ผืน ที่เรียกว่า ไตรจีวร คือ สังฆาฏิ ผ้าคลุมชั้นนอก อุตตาสงค์ ผ้าห่ม (จีวร) แลอันตรวาสก ผ้านุ่ง (สบง) เท่านั้น ยังหาได้ทรงอนุญาตให้ใช้ผ้าอาบน้ำฝนไม่ เมื่อเวลาฝนตกภิกษุบางรูปปราถนาจะอาบน้ำฝนไม่มีผ้าอื่นจะผลัดนุ่งอาบก็เปลือยกายอาบน้ำฝน ครั้งหนึ่ง นางวิสาขามหาอุบาสิกาใช้นางทาสีไปยังอาราม
นางทาสีเห็นภิกษุเปลือยกายอาบน้ำฝนก็เข้าใจว่าเป็นพวกอาชีวก (ชีเปลือย) จึงกลับมาบอกนางวิสาขาว่า ไม่มีภิกษุในอารามเลย มีแต่อาชีวกนอกพระศาสนานางวิสาขาจึงได้ทูลขอพร ก. ตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน7๗ ถึงวันเพ็ญเดือน 8 รวมเวลา 2 ปักษ์เป็นเวลา 1 เดือนในปลายฤดูร้อน นี้เป็นเขตกาลแสวงหา 1. ในวันกำหนดถวายผ้าสัสสิกสาฎก ภิกษุสามเณร และอุบาสกอุบาสิกาควรประชุมพร้อมกันในโรงอุโบสถ หรือในศาลาการเปรียญแห่งใดแห่งหนึ่งแล้วแต่เหมาะสม ก่อนถวายเจ้าอาวาสหรือภิกษุผู้สามารถรูปหนึ่งพึงแสดงธรรมอนุโมทนาวัสสิกสาฎกทานของทายก 1 กัณฑ์ ถ้าวันถวายกำหนดในวันธรรมสวนะประจำ เทศน์กัณฑ์วันธรรมวสนะนี้ควรต่อท้ายอนุโมทนาวัสสิกสาฎกทานด้วยเลย 2. เมื่อแสดงธรรมจบแล้ว หัวหน้าทายกนำกราบพระและว่า นโม พร้อมกัน 3 จบก่อน ต่อนั้นนำถวายผ้าวัสสิกสาฎก ซึ่งตั้งไว้ ณเบื้องหน้าต่อหน้าพระสงฆ์ให้ว่านำเป็นคำๆ ทั้งคำบาลีและคำแปล คำบาลี อิมานิ มยํ ภนฺเต, วสฺสิกสาฎกานี, สปริวารานิ, ภิกฺขุสงฺฆสฺส, โอโณชยาม, สาธุ โน
ภนฺเต, 4. ประเคนเสร็จแล้ว พระสงฆ์อนุโมทนา 5. ระหว่างพระว่า ยถา ทายกทั้งหมดพึงกรวดน้ำ แล้วประนมมือรับพรไปจนจบเป็นอันเสร็จพิธี การกรวดน้ำ การกรวดน้ำ หมายถึง การตั้งใจแผ่ส่วนบุญหรือส่วนกุศลที่ได้ทำไปให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปหรือผู้ใดผู้หนึ่ง โดยการรินน้ำใส่ภาชนะเพื่อเป็นเครื่องบ่งถึงเจตนาอุทิศนั้นกิริยาหลั่งน้ำใส่ภาชนะนิยมทำในหลายกรณี คือ 1. ให้วัตถุสิ่งของที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ การกรวดน้ำที่นิยมโดยทั่วไปมี 2 วิธีคือ 1. การกรวดน้ำโดยใช้น้ำหลั่งลงในภาชนะที่รองรับ หากที่หลั่งมีปากเล็ก เวลากรวดน้ำให้ค่อย ๆ รินใส่ที่รองโดยมิให้ขาดสาย เมื่อกรวดเสร็จให้นำไปเทไว้ที่โคนไม้หรือที่กลางแจ้ง ห้ามเทใส่ถังขยะหรือสถานที่สกปรก 2. การกรวดน้ำโดยไม่ต้องใช้น้ำ ใช้ในกรณีที่ไม่ได้จัดเตรียมน้ำสำหรับกรวดหรือหาน้ำกรวดไม่ได้ ผู้กรวดพึงตั้งใจอุทิศส่วนกุศลที่ตนได้ทำให้แก่ผู้ที่ต้องการอุทิศไปให้ การกรวดน้ำ สามารถทำได้ทุกเมื่อหลังการบำเพ็ญบุญกุศล ทั้งงานมงคลและงานอวมงคล ส่วนขั้นตอนการกรวดน้ำเริ่มจากที่พระสงฆ์กล่าวอนุโมทนาว่า ยถา วาริวหา…ให้เริ่มเทน้ำกรวดพร้อมกับตั้งในอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้แก่ผู้ที่ต้องการให้รับ โดยอาจระบุชื่อ นามสกุล ด้วยก็ได้
หรืออาจจะอุทิศโดยไม่เจาะจงผู้ใดผู้หนึ่งก็ได้เมื่อพระสงฆ์สวดบทว่า สพพีติโย…ให้เทน้ำที่เหลือลงในภาชนะรองรับให้หมดแล้วตั้งใจรับพรที่พระสงฆ์สวดให้จนกว่าจะจบ แล้ว การทอดกฐิน การทอดกฐิน กฐิน แปลว่า กรอบไม้หรือสะดึงสำหรับขึงผ้าเย็บจีวรของภิกษุ การทอดกฐิน คือ การนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างต่ำ 5 รูป แล้วให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่ได้รับมอบหมายจากคณะสงฆ์ทั้งหมดเป็นเอกฉันท์ให้เป็นผู้รับกฐินนั้น การทอดกฐิน นิยมทำกันตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงกลางเดือน 12 ในวัดหนึ่ง ๆ จะทอดกฐินได้เพียง 1 ครั้ง ใน 1 ปี และพุทธศาสนิกชนนิยมทอดกฐินเพราะถือว่าจะได้รับอานิสงส์มากกว่าทานพวกอื่น ๆ
ที่สามารถทำได้ทุกเวลาประเพณีทอดกฐินมีมาตั้งแต่พุทธกาล มีเรื่องเล่าว่า ในครั้งพุทธกาลภิกษุชาวปาไถยรัฐ (1) เที่ยวไปไหนไม่ต้องบอกลา 2. กฐินพระราชทาน หมายถึง กฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้หน่วยราชการ เอกชน องค์กร หรือบุคคลต่าง ๆ นำไปทอดที่พระอารามหลวง โดยผู้ที่มีความประสงค์จะทอดกฐินที่พระอารามหลวง จะต้องติดต่อที่สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ 3. กฐินสามัคคี หมายถึง กฐินที่หน่วยงาน องค์กร กลุ่มบุคคลหรือบุคคลต่าง ๆ นำไปทอดถวายที่วัดราษฏร์การเตรียมการ 1. จองกฐิน หมายถึง การแจ้งความประสงค์ทีจะนำผ้ากฐินไปทอดยังวัดที่ต้องการ สำหรับพระอารามหลวงให้แจ้งที่สำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ 2. บอกบุญแก่ญาติพี่น้องเพื่อร่วมทำพิธีในวันเวลาตามที่กำหนด 3. ตระเตรียมเครื่องกฐินและบริวาร ได้แก่ ผ้าไตรจีวร 3 ไตร สำหรับถวายพระผู้ครองกฐินและคู่สวด แต่ผ้าที่จะเป็นผ้ากฐินจริง ๆ จะใช้เพียง 1 ผืนเท่านั้น ส่วนบริวารกฐิน ได้แก่ จตุปัจจัย ไทยทาน เครื่องใช้ของพระภิกษุ เครื่องนวกรรม เช่น จอบ มีด ขวาน เป็นต้น การถวายกฐินกฐินพระราชทาน ในการถวายกฐินนั้นนิยมถวายในโบสถ์ โดยเฉพาะกฐินพระราชทานจะถวายกันในโบสถ์ และก่อนจะถึงกำหนดเวลา จะนำเครื่องบริวารกฐินไปจัดตั้งไว้ในโบสถ์ก่อน ส่วนผ้าพระกฐินจะยังไม่เข้าไปพอถึงกำหนดเวลาพระสงฆ์แห่งวัดนั้นจะรับกฐิน จะลงโบสถ์พร้อมกันนั่งเป็นระเบียบบนอาสนะที่ซึ่งจัดไว้ เจ้าภาพเจ้าของกฐิน หรือผู้รับพระราชทานผ้าพระกฐินไปทอดพร้อมด้วยผู้ร่วมในงานจะพากันไปยังโบสถ์ เมื่อถึงหน้าโบสถ์เจ้าหน้าที่จะนำผ้ากฐินไปรอส่งให้ประธานผู้ทอดกฐินซึ่งเจ้าภาพหรือผู้รับพระราชทานผ้าพระกฐินนั้นประธานรับผ้าพระกฐินวางบนมือถือประคองนำคณะเดินเข้าสู่โบสถ์แล้วนำผ้าพระกฐินไปวางไว้บนพานทีจัดไว้หน้าพระสงฆ์และหน้าพระประธานในโบสถ์ คณะที่ตามมาเข้านั่งที่ ประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วทราบพระพุทธรูปประธานในโบสถ์ แบบเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้งแล้วลุกมายกผ้าพระกฐินในพานขึ้น ดึงผ้าห่มพระประธานมอบเจ้าหน้าที่รับไปห่มพระประธานทีหลัง แล้วประนมมือวางผ้าพระกฐินบนมือทั้งสองหันหน้าตรงพระสงฆ์แล้วกล่าวคำถวายผ้าพระกฐินจบแล้ว พระสงฆ์รับสาธุการ ประธานวางผ้าพระกฐินลงบนพานเช่นเดิม แล้วกลับเข้านั่งที่ ถัดจากนี้ไปเป็นพิธีกรานกฐินของพระสงฆ์ กฐินสามัคคี กฐินของประชาชนหรือกฐินสามัคคี ในวัดบางวัดนิยมถวายกันที่ศาลาการเปรียญหรือวิหารสำหรับทำบุญ เจ้าหน้าที่จึงนำผ้ากฐินที่ถวายแล้วไปถวายพระสงฆ์พิธีกรานกฐินในโบสถ์เฉพาะพระสงฆ์อีกทีหนึ่ง การทำพิธีกฐินัตถารกิจของพระสงฆ์ เริ่มจากการกล่าวคำขอความคิดเห็นที่เรียกกันว่า อปโลกน์และการสวดญัตติทุติยกรรม คือ การยินยอมยกให้ ต่อจากนั้นพระสงฆ์รูปที่ได้รับความยินยอมนำผ้าไตรไปครองเสร็จแล้วขึ้นนั่งยังอาสนะที่เดิม ประชาชนผู้ถวายผ้ากฐินทายกทายิกาและผู้ร่วมบำเพ็ญกุศล ณ ที่นั้นเข้าประเคนสิ่งของอันเป็นบริวารขององค์กฐินตามลำดับจนเสร็จแล้ว พระสงฆ์ทั้งหมดจับพัด ประธานสงฆ์เริ่มสวดนำด้วยคาถาอนุโมทนา ประธานหรือเจ้าภาพผู้ถวายกฐินกรวดน้ำ จนจบบทยถาแล้ว คฤหัสถ์ทั้งหมดนั่งประนมมือรับพรพระจนจบเป็นเสร็จพิธี การทอดผ้าป่า ครั้งพุทธกาลเรียกว่า ผ้าบังสุกุลจีวร คือผ้าเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้าของหวงแหนทิ้งอยู่ตามป่าดงบ้าง ตามป่าดงบ้าง ตามป่าช้าบ้าง ตามถนนหนทางและห้อยอยู่ตามกิ่งไม้บ้าง ที่สุดจนกระทั่งที่เขาอุทิศวางไว้แทบเท้า ประเพณีการทอดผ้าป่ามีมาแต่ครั้งพุทธกาล คือ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสรู้ใหม่ ๆ ยังไม่ได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุรับคฤหบดีจีวร คือจีวรที่ชาวบ้านถวายโดยเฉพาะ ทรงอนุญาตแต่เพียงให้ภิกษุแสวงหาผ้าสุกุล คือผ้าเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้าของเขาทิ้งแล้ว หรือผ้าที่เขาห่อซากศพทิ้งไว้ตามป่าช้า และเศษผ้าที่ทิ้งอยู่ตามถนนหนทาง นำมาซักฟอกตัดเย็บเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่งที่ต้องการ แล้วใช้นุ่งห่ม ชนผู้นับถือพระพุทธศาสนาส่วนมากในสมัยนั้นเห็นความลำบากของภิกษุในเรื่องนี้ มีความประสงค์จะบำเพ็ญกุศลไปไม่ขัดต่อพุทธบัญญัติในขณะนั้นจึงได้จัดผ้าที่สมควรแก่สมณบริโภคไปทอดทิ้งไว้ตามที่ต่าง ๆ โดยมากเป็นป่าช้าที่รู้ว่าภิกษุผู้แสวงหาเดินไป เห็นจะเป็นด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า ผ้าป่า ในภาษาไทยเรา แต่ครั้งนั้น การทอดผ้าป่าไม่ได้นิยมกาล แล้วแต่ใครศรัทธาจะทำเมื่อไร ก็ทอดเมื่อนั้น เมื่อทรงบัญญัติจีวรกาล คือ การแสวงหาและทำจีวรขึ้นจำกัด 1 เดือน นับแต่ออกพรรษาแล้วและถ้าได้กรานกฐินด้วยขยายออกไปอีก 4 เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือน 4 การทอดผ้าป่าจึงนิยมทำกันในระยะนี้ ส่วนมากในฤดูออกพรรษาใหม่ ๆการทอดผ้าป่าที่ทำกันในประเทศไทย มีทำกันหลายอย่าง ได้แก่ ผ้าป่าหางกฐิน
หรือผ้าป่าแถมกฐิน หมายถึง ผ้าป่าที่นำไปถวายวัดพร้อมกับการทอดกฐิน โดยจะถวายหลังจากการทอดกฐินแล้ว พิธีทอดผ้าป่านี้จะเป็นแบบไหนก็ตาม ข้อสำคัญมีอยู่ว่าให้อุทิศเป็นผ้าป่าจริง ๆ
อย่าถวายแก่ใครโดยเฉพาะ ถ้าทอดลับหลังพระสงฆ์ผู้รับเพียงแต่ตั้งใจขณะทอดว่า ขออุทิศผ้าและเครื่องบริวารเหล่านี้แก่ภิกษุผู้ต้องการผ้าบังสุกุลมาถึงเฉพาะหน้า เท่านี้ ก็ได้ชื่อว่าทอดและถวายผ้าป่าแล้ว แต่ถ้าเป็นการทอดหมู่ต่อหน้าพระสงฆ์ผู้รับ หัวหน้าทายกพึงนำว่าคำอุทิศถวายเป็นคำ ๆ ทั้งคำบาลี และคำแปล สำหรับ 1. เมื่อพระสงฆ์ในวัดและเจ้าภาพพร้อมกัน ณ บริเวณพิธีแล้ว เจ้าภาพจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย กราบ 3 ครั้ง คำถวายผ้าป่าคำบาลี อิมานิ มะยัง ภันเต, ปังสุกูลจีวะรานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ, สาธุ โน 3. พระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุล เรียกว่า ชักผ้าป่าหรือชักผ้าบังสุกุล 4. ถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแก่พระสงฆ์ (ถ้ามี) 5. พระสงฆ์อนุโมทนา ผู้อยู่ในพิธีกรวดน้ำ รับพร เป็นเสร็จพิธี |