[11] Department for Communities and Local Government, "Local government legislation: Byelaws,", September 18, 2012, accessed July 25, 2016, https://www.gov.uk/guidance/local-government-legislation-byelaws. การแบ่งประเภทของกฎหมายนั้นอาจแบ่งได้ในหลายลักษณะขึ้นอยู่กับว่ายึดอะไรเป็นหลักเกณฑ์ในการแบ่ง แต่โดยทั่วไปแล้วเราจะแบ่งอย่างกว้างๆออกเป็นสองประเภท คือ กฎหมายภายในประเทศ ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใช้โดยองค์กรที่มีอำนาจภายในรัฐหรือประเทศ และกฎหมายภายนอกประทศหรือกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นจากสนธิสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศ โดยกฎหมายทั้งภายในและภายนอกประเทศนั้นยังสามารถแบ่งย่อยได้อีกหลายลักษณะตามหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกันของนักกฎหมาย เช่น การใช้เนื้อหาของกฎหมายเป็นหลักเกณฑ์การแบ่ง หรือ การใช้สภาพบังคับกฎหมายเป็นหลักเกณฑ์การแบ่ง เป็นต้น โดยในที่นี้จะขอแบ่งประเภทของกฎหมายโดยใช้หลักเกณฑ์การแบ่ง ดังต่อไปนี้ กฎหมายซึ่งจัดประเภทตามวิธีการนี้ที่สมควรทราบ คือ กฎหมายที่จัดทำโดยองค์กรพิเศษซึ่งได้รับมอบหมายให้มีอำนาจจัดทำ ได้แก่ รัฐธรรมนูญ กฎหมายที่จัดทำโดยองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ พระราชบัญญัติ กฎหมายที่จัดทำโดยองค์กรฝ่ายบริหาร ได้แก่ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา และกฎกระทรวง และกฎหมายที่จัดทำโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ข้อบัญญัติและข้อบังคับต่างๆขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑) กฎหมายที่จัดทำโดยองค์กรพิเศษ ได้แก่ รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เกิดจากอำนาจจัดทำขององค์กรพิเศษที่ได้รับมอบหมายให้จัดทำรัฐธรรมนูญ เช่น สภาร่างรัฐธรรมนูญ เป็นต้น โดยรัฐธรรมนูญจะกำหนดว่า อำนาจสูงสุดทางการปกครองหรืออำนาจอธิปไตยนั้นมาจากชาวไทย และพระมหากษัตริย์ในฐานะที่ทรงเป็นประมุขของประเทศ ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี และทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ ยังได้วางหลักประกันเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ โดยบทบัญญัติของกฎหมายอื่นที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญจะบังคับใช้ไม่ได้ ๒) กฎหมายที่จัดทำโดยองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติ โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติเป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา อันเป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศ โดยปกติการจัดทำกฎหมายขึ้นใช้ในประเทศไทยจะทำเป็นพระราชบัญญัติ เช่น พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.๒๕๔๑ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นต้น ในพระราชบัญญัติแต่ละฉบับจะแบ่งข้อความเป็นส่วนๆ เรียกว่า "มาตรา" ประกอบด้วย ข้อกำหนดความประพฤติต่างๆและกำหนดโทษหรือผลร้ายอันเกิดจากการฝ่าฝืนไว้ด้วย พระราชบัญญัติมีผลบังคับเป็นกฎหมายได้โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเป็นหนังสือประกาศกฎหมายและเรื่องสำคัญของทางราชการ ทั้งนี้กฎหมายบางฉบับของไทยได้ถูกจัดทำขึ้นเป็นประมวลกฎหมาย หมายถึง กฎหมายที่รวบรวมกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเข้าไว้ในฉบับเดียวกัน โดยมีการแบ่งข้อความออกเป็นหมวดหมู่และจัดเรียงลำดับตามเหตุผล เพื่อสะดวกแก่การใช้และค้นหา ซึ่งการประกาศใช้ประมวลกฎหมายจะทำเป็น"พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมาย"โดยมีประมวลกฎหมายนั้นต่อท้าย ประเทศไทยได้เริ่มมีประมวลกฎหมายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยถือตามแบบอย่างของประเทศในยุโรปตะวันตกและในทวีปเอเชียบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น เป็นต้น ประมวลกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนี้ ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลรัษฎากร ประมวลกฎหมายที่ดิน และประมวลกฎหมายอาญาทหาร ๓) กฎหมายที่จัดทำโดยองค์กรฝ่ายบริหาร ได้แก่ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา ๑. พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายบริหารของประเทศ แต่ตามปกติคณะรัฐมนตรีจะบริหารประเทศโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายในรูปพระราชบัญญัติ ซึ่งองค์กรนิติบัญญัติเป็นผู้จัดทำขึ้นแต่รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจไว้เป็นพิเศษว่า ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจในการตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดัง เช่น พระราชบัญญัติได้แต่การตราพระราชกำหนดชนิดนี้ ให้กำหนดได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรี เห็นว่า เป็นกรณึฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน อันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ และคณะรัฐมนตรีต้องนำพระราชกำหนดนั้นเสนอต่อรัฐสภาในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไป ถ้ารัฐมนตรีไม่อนุมัติ ก็ให้พระราชกำหนดนั้นตกไปหากพระราชกำหนดที่ตราขึ้นมีผลเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดและพระราชกำหนดนั้นต้องตกไปเพราะไม่ได้รับอนุมัติ ให้บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีอยู่ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกมีผลบังคับใช้ต่อไป ๒. พระราชกฤษฎีกา คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี เพื่อกำหนดการต่างๆ ตามที่รัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัติให้อำนาจไว้ หรือ เพื่อวางระเบียบการต่างๆทางบริหาร โดยไม่ขัดต่อกฎหมายอื่น เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญทั่วไป พ.ศ.๒๕๕๒ พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานปฏิรูปการศึกษา พ.ศ.๒๕๕๒ เป็นต้น โดยพระราชกฤษฎีกาจะมีผลใช้บังคับได้ต่อเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเท่านั้น แม้พระราชกฤษฎีกาจะเป็นกฎหมายซึ่งองค์กรฝ่ายบริหารจัดทำเช่นเดียวกับพระราชกำหนด แต่ต่างกับพระราชกำหนด เพราพระราชกฤษฎีกานั้นมีฐานะต่ำกว่าพระราชกำหนด และต้องออกโดยอาศัยอำนาจที่รัฐธรรมนูญมอบให้โดยตรงหรือฝ่ายนิติบัญญัติมอบให้โดยพระราชบัญญัติ และไม่ต้องนำไปเสนอให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติเหมือนพระราชกำหนด |