Show
เลือกอะไรดี? iPhone XR กับ iPhone XS สองสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ Appleเปิดราคาวางจำหน่ายในไทยเรียบร้อยแล้ว สำหรับ iPhone XR, iPhone XS และ iPhone XS MAX ซึ่งเป็น iDevice รุ่นใหม่ทั้ง 3 รุ่นของ Apple ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนก่อน ครั้งนี้เรียกได้ว่าทำสถิติราคาแตะครึ่งแสนกันไปเลยทีเดียว เมื่อเทียบดูจากราคาแล้วเชื่อว่าอาจทำให้หลายคนเกิดความลังเลใจขึ้นมาทันทีว่า ครั้งนี้จะเลือกซื้อรุ่นอะไรดี? ระหว่างกัดฟันไปเล่น iPhone XS ให้สุดไปเลย หรือแค่ iPhone XR ก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นเพื่อไขคำตอบของคำถามนี้ เราขอหยิบ 6 จุดแตกต่างสำคัญของสองรุ่นนี้มาแนะนำผ่านบทความนี้กัน เพื่อช่วยให้ทุกคนตัดสินใจได้ง่ายขึ้น หน้าจอแสดงผล (Panel Display)เริ่มกันที่จุดแตกต่างสำคัญของ iPhone XS และ iPhone XR เลยก็ว่าได้กับชนิดพาแนลหน้าจอแสดงผล ที่ครั้งนี้ทาง Apple เลือกใช้หน้าจอแตกต่างกันทั้งสองรุ่น โดยเลือกใช้หน้าจอ LCD ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 ใส่ไว้บน iPhone XR พร้อมตั้งชื่อหน้าจอนี้ว่า 'Liquid Retina Display' ซึ่งจริงๆ แล้วจอพาแนลนี้ก็คือ หน้าจอ IPS บน iPhone เกือบทุกรุ่นก่อนที่จะมาเป็น iPhone X นั้นเอง และถึงแม้ว่าจอแสดงผลจะยังไม่เป็น HDR Display เหมือนรุ่น iPhone XS แต่ก็สามารถรองรับการแสดงผลของคอนเทนท์ HDR10 และ Dolby Vision ได้ด้วย ในขณะที่ iPhone XS จะใช้หน้าจอแสดงผลเป็นพาแนล OLED ที่ให้สีสันที่สด สว่างและจัดจ้านมากกว่า ซึ่งมีขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล รองรับ 3D Touch (XR ไม่รองรับ) และเป็นหน้าจอที่ให้สีสันเฉดสี, การแสดงผลต่างๆ ตามมาตรฐาน HDR Display รวมไปถึงรองรับการแสดงผลของคอนเทนท์ HDR10 และ Dolby Vision ได้ในตัว กล้องคู่กับเดี่ยว (Dual vs Single Cam)จุดแตกต่างสำคัญอีกอย่างคือ เรื่องของกล้องถ่ายรูป ซึ่งครั้งนี้ Apple แยกไลน์กล้องอย่างชัดเจน โดยใส่กล้องเดี่ยวที่เป็นกล้องตัวเดียวกับ iPhone 8 มาไว้บน iPhone XR และเลือกใส่กล้องคู่พร้อมเซ็นเซอร์ตัวใหม่มาไว้บน iPhone XS แต่ทั้งสองโมดูลให้ความละเอียดมาเหมือนกันที่ 12 ล้านพิกเซล และมีความสามารถที่เหมือนกันทั้งหมด ยกเว้นเรื่องของคุณภาพการถ่ายภาพเชิงลึกหรือภาพ Bokeh อาจมีจุดแตกต่างกันบ้าง และเรื่องของการซูมแบบออปติคอล 2x ที่ฝั่ง iPhone XR ทำไม่ได้ คุณสมบัติกันน้ำและฝุ่น (IP)ถึงแม้ทั้งสองรุ่นจากมาพร้อมคุณสมบัติในการกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IP ด้วยกันทั้งคู่ แต่กลับมีจุดเล็กๆ ที่ต่างกันอยู่คือ iPhone XR จะมาพร้อมคุณสมบัติกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 หรือกันน้ำได้ลึก 1 เมตร นาน 30 นาที ส่วน iPhone XS จะมาพร้อมคุณสมบัติ IP68 ที่สามารถกันน้ำได้ลึกถึง 2 เมตร นาน 30 นาที หน่วยความจำ (ROM)เรื่องของหน่วยความจำเป็นอีกสิ่งเล็กๆ ที่ทั้งสองรุ่นมีความแตกต่างกัน โดยที่ฝั่ง iPhone XR จะมีรุ่นหน่วยความจำให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่น คือ ROM 64GB, 128GB และ 256GB ในขณะที่ฝั่งของ iPhone XS จะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นด้วยเช่นกัน แต่ต่างกันตรงที่จะไม่มีรุ่น ROM 128GB ให้เลือกเหมือน XR และจะมีรุ่น ROM 512GB เป็นตัวท็อปสุดแทน วัสดุตัวเครื่องสำหรับข้อแตกต่างสุดท้ายคือ เรื่องของวัสดุตัวเครื่องที่ทาง iPhone XS จะเลือกใช้วัสดุเป็นสแตนเลสสตีลเกรดเดียวกับเครื่องมือศัลยกรรมเลยทีเดียว ส่วนทางฝั่ง iPhone XR จะใช้วัสดุบอดี้เป็นอลูมิเนียมซีรีย์ 6000 เป็นวัสดุตัวเครื่อง บทสรุป สำหรับ iPhone ทั้งสองรุ่นนั้น มีจุดต่างกันหลักจริงๆ แล้วน่าจะมีอยู่แค่สองอย่างคือ เรื่องของหน้าจอแสดงผลกับกล้องถ่ายรูปเท่านั้น ที่เป็นจุดที่หลายคนน่าจะนำมาใช้ตัดสินใจว่า เราควรเลือกรุ่นไหนดี และรุ่นไหนจะเหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้งานในแต่ละวันของแต่ละคนมากกว่ากันคงจะไม่มีใครตอบแทนได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อยากแนะนำว่า เราเลือกซื้อมือถือมาเพื่อใช้งานไม่ได้ไว้ใช้โชว์ ดังนั้นก็ไม่ควรเลือกซื้อให้เกินกำลัง (ทรัพย์) ของตนเอง เพราะสุดท้ายอาจเดือดร้อนได้ในอนาคต หรือถ้าใครไม่ติดปัญหาเรื่องงบ ก็แนะนำว่าไปให้สุดแล้วหยุดที่รุ่นท็อปได้เลยครับ อยู่ตัวคุณแล้ว!
Apple เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านไอที ซึ่งมีการพัฒนาอุปกรณ์มากมาย ทั้ง iPod, iPhone, iPad, Apple Watch และอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วเป็นอุปกรณ์ที่สามารถเซอไพรส์เหล่าสาวกได้ตลอดทุกครั้ง ในการเปิดตัวอะไรใหม่ ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ที่ Apple ได้ทำการเปิดตัว iPhone รุ่นแรกไปในปี 2007 นั่นเป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับแอปเปิ้ลได้เป็นอย่างมาก ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 13 ปีแล้ว ที่ไอโฟนได้ชื่อว่าเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทำให้ iPhone ก็ยังเป็นทางเลือกแรก ๆ ของใครหลายคน สำหรับใครที่เป็นสาวกคงทราบกับเป็นอย่างดีว่าในทุก ๆ ปี Apple มักจะมีอะไรใหม่ ๆ เด็ด ๆ ออกมาเซอไพรส์ให้สาวกอย่างเราเชยชมและอยากเป็นเจ้าของอยู่เสมอ iPhone เป็น Smart Phone ที่ได้รับความนิยมสูง ใช้ระบบปฎิบัติการ iOSเพื่อน ๆ เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไม iPhone รุ่นใหม่ ๆ ถึงมีราคาที่สูงกว่ารุ่นเก่า ๆ อยู่มากพอสมควร รุ่นใหม่มันมีอะไรที่ดีกว่ามากน้อยแค่ไหน วันนี้เราจึงรวบรวมเอาข้อมูลต่าง ๆ มาให้วิเคราะห์กัน เพื่อที่คุณจะสามารถพิจารณาก่อนเลือกซื้อ และสามารถช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น 1. มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใครiPhone มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใครiPhone เป็นสมาร์ทโฟรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์การออกแบบภายนอกที่ดูสวยงาม มีความเรียบง่าย แต่หรูหรา และในส่วนของภายในก็ไม่แพ้กัน มีการใช้ระบบปฏิบัติการที่มีการออบแบบจัดวางตำแหน่งในส่วนต่าง ๆ มาได้อย่างลงตัว ทำให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็สามารถดูออกได้ทันทีว่าเป็น iPhone 2. วัสดุที่ใช้มีคุณภาพดีอีกหนึ่งข้อที่ทำให้หลาย ๆ คนเลือกใช้ iPhone ก็คือ วัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตตัวเครื่อง ซึ่งทุกส่วนล้วนแล้วแต่ใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงทั้งสิ้น ทั้งภายในและภายนอก ส่งผลให้ iPhone มีความแข็งแรง ทนทาน กว่าสมาร์ทโฟนทั่ว ๆ ไป ความเสถียรของระบบปฏิบัติการ iOS3. ความเสถียรของระบบปฏิบัติการเราต้องยอมรับเลยว่าระบบปฏิบัติการ iOS ที่ใช้อยู่ใน iPhone นั้น ถือว่ามีประสิทธิภาพที่โดดเด่นมาก ๆ ทั้งในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล ฟังก์ชั่นการใช้งาน แอพลิเคชั่นต่าง ๆ และที่สำคัญความเสถียรของตัวระบบเองที่ช่วยให้คุณสามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล ไม่สะดุด มีการอัพเดตอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดปัญหา หากใครที่ไม่เคยใช้ iPhone เลย อาจจะสับสนบ้างเล็กน้อยในช่วงแรก แต่เมื่อคุณใช้งานไปสักระยะจนคล่องแล้ว เรารับรองเลยว่าคุณจะลืมระบบปฏิบัติการอื่น ๆ ทันที หูฟังบลูทูธ (Airpods) มอบคุณภาพเสียงที่เหนือชั้น4. อุปกรณ์เสริมหาง่ายด้วยความที่ iPhone เป็นสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมสูง มันจึงส่งผลให้คุณสามารถหาอุปกรณ์เสริม iPhone ต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น เคส iPhone, ฟิล์มกันรอย iPhone, หูฟังบลูทูธ (Apple Airpods) และอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย ตั้งแต่ศูนย์บริการตามห้างขนาดใหญ่ไปจนถึงในตลาดนัดต่าง ๆ ก็ยังมีอุปกรณ์ของไอโฟนวางจำหน่าย นอกจากนั้นหากเครื่องไหนมีปัญหาคุณสามารถส่งซ่อมที่ศูนย์บริการซึ่งมีอยู่ทั่วทุกจังหวัดได้ทันที 5. ขายต่อราคาไม่ตกด้วยทุกข้อที่กล่าวไปข้างต้น มันจึงส่งผลให้ iPhone มีความทนทานสูง แม้จะผ่านการใช้งานมาอย่างต่อเนื่อง 2 ปี 3 ปีแล้วก็ตาม iPhone ก็ยังคงสามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด ซึ่งต่างจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่น ๆ จึงส่งผลให้ iPhone มือสอง ยังคงมีหลาย ๆ คนต้องการอยู่ มันจึงยังพอขายได้ราคา เรียงลำดับ iPhone รุ่นที่ดี และคุ้มค่าที่สุด
จุดเด่นหลัก ๆ ของ iPhone 14สำหรับสมาร์ทโฟนจาก Apple รุ่นล่าสุดซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย คือ iPhone 14, iPhone 14 Plus, iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max หากคุณต้องการซื้อ iPhone 14 พร้อมโปรโมชั่น เราก็มีแนะนำครับ สามารถตามไปอ่านรายละเอียดได้ที่ เปรียบเทียบ ซื้อ iPhone 14 ค่ายไหนคุ้มสุด สรุป iPhone 14 และ iPhone 14 Plus
iPhone 14 และ iPhone 14 Plus จะมีสเปกภายในจะเหมือนกับ iPhone 13 ซีรีส์ Pro หลาย ๆ อย่าง อาทิเช่น การใช้ชิป A15 Bionic, ความสว่างของจอภาพ หรือจะเป็นขนาดของหน้าจอที่เท่ากัน แต่สิ่งที่ต่างจาก iPhone 13 Pro ขึ้นมาคือระบบกล้องที่ดีขึ้น ทั้งเซนเซอร์, รูรับแสง, การใช้ Autofocus, Action Mode, Action Mode หรือ Photonic Engine ที่รองรับการถ่ายรูปในที่แสงน้อยได้ดีกว่าเดิม รวมถึงการใช้ SOS ฉุกเฉินบน iPhone ที่มีการเชื่อมต่อผ่านดาวเทียมและมีฟีเจอร์ Crash Detection สำหรับตรวจสอบอุบัติเหตุรถชนอย่างรุนแรงที่เพิ่งออกมาใหม่ในปี 2022 iPhone 14 มี 5 สี (มิดไนท์, ม่วง, สตาร์ไลท์, สีแดง, ฟ้า)สำหรับ iPhone 14 และ iPhone 14 Plus นั้น ทั้งสองรุ่นนั้นก็ค่อนข้างเหมือนกันมาก แต่จะต่างกันที่ขนาดจอ เพราะ iPhone 14 มีขนาด 6.1 นิ้ว ส่วน iPhone 14 Plus จะมีขนาด 6.7 นิ้ว นอกจากนี้ก็มีความจุของแบตและความละเอียดของหน้าที่ต่างกันด้วย แต่จะเป็นความแตกต่างที่ไม่ได้ทิ้งระยะห่างมากนัก สรุป iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max
สิ่งที่ทำให้ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มีราคาสูงกว่ารุ่นธรรมดาคงเป็นชิปประมวลผล A16 ตัวใหม่ล่าสุด, การใช้ระบบกล้องระดับโปรที่มีคุณภาพกล้องที่ดีกว่า, ลูกเล่นตรงรอยบากของกล้องหน้า, คุณสมบัติของหน้าจอแบบใหม่ (Always-on Display, ProMotion, 2000-nits) และคุณภาพแบตเตอรี่ดียิ่งขึ้น iPhone 14 ซีรีส์ Pro มี 4 สี (ดำสเปซแบล็ค, เงิน, ทอง, ม่วงเข้ม)หากคุณมีงบประมาณจำกัด iPhone 14 และ iPhone 14 Plus เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หากงบประมาณคุณมีเหลือ ๆ iPhone 14 Pro และ 14 Pro Max จะมีความคุ้มค่ามากกว่า ด้วยกล้องที่มีครบทุกเลนส์ ให้คุณสนุกการถ่ายภาพได้เต็มที่ โหมดถ่ายภาพหลายหลาก บันทึกวิดีโอทำออกมาได้เนียน ไหลลื่น และมีระบบกันสั่นที่ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม จุดนี้ถือว่าทำได้ดีถูกใจสาย Vlog สายยูทูปเบอร์ แน่นอน เปรียบเทียบ iPhone 14 vs iPhone 13 ควรซื้อรุ่นไหนดี ?เป็นคำถามที่หลาย ๆ คนอาจจะหาคำตอบไม่ได้ เพราะดู ๆ ไปแล้ว iPhone 14 กับ iPhone 13 ก็เหมือนจะไม่ได้อัปเดตอะไรมาเพิ่มขึ้นมาสักไหร่ และเพื่อไม่ให้คุณต้องเสียเวลาในการเปรียบเทียบ เราขอสรุปดังนี้ค่ะ
แต่หากคุณมีงบประมาณที่ค่อนข้างจำกัด iPhone 12 Series ก็ยังคงน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เนื่องจาก iPhone 14 Series เพิ่งเปิดตัวออกมา ส่งผลให้เจนฯ ก่อนหน้ามีการปรับราคาลดลง นั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะได้ใช้มือถือที่มีประสิทธิภาพสูง ๆ ในราคาที่ประหยัด ซึ่งเอาจริง ๆ แค่กล้องของ iPhone 12 หรือแม้แต่ iPhone 11 ก็ถ่ายภาพออกมาสวยงามมากแล้ว รีวิว Apple iPhone 14 Pro Maxราคา 44,900 บาท* สำหรับใครที่ชอบจัดเต็มชุดใหญ่ไฟกรัพริบและต้องการสิ่งที่ดีที่สุดใน iPhone 14 ของ Series นี้ คุณจะต้องไม่พลาด iPhone 14 Pro Max ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว มาพร้อมกับชิปประมวลผล A16 ที่ดีที่สุดในขณะนี้ (ปี 2022) ซึ่งเราคงต้องไม่บรรยายอะไรมากมายเกี่ยวกับความสามารถอันรอบด้านของมัน ไม่ว่าจะเป็น ความเร็วแรงของเครื่อง, การรองรับการทำงานหนัก ๆ , การใช้งานที่เหมาะสำหรับงานกราฟิกโหด ๆ หรือเกมเวอร์ชั่นใหม่ ๆ ที่มีลูกเล่นซับซ้อน และความสามารถในการประหยัดพลังงานที่มากขึ้นกว่าเดิม ระบบกล้องระดับโปร ด้วยกล้องหลักความละเอียด 48MP และเซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel ที่ล้ำสมัย ในส่วนของกล้องนั้นก็อย่างที่กล่าวไปแล้วว่ารุ่น Pro Max จะใช้กล้องหลักที่มีความละเอียดมากถึง 48MP มาพร้อมกับการรูรับแสงที่ดีขึ้น ทำให้ภาพที่ออกมาคมชัดและเห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน โดยกล้องหลักและกล้องเทเลโฟโต้จะถ่ายรูปในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น 2 เท่า ส่วนกล้องอัลตราไวด์นั้นมากถึง 3 เท่าเลยค่ะ และสำหรับแฟลช True Tone ก็ใช้แผง LED จำนวน 9 ดวง เพื่อให้ได้ภาพแสงที่สวยที่สุด รวมถึงสามารถถ่ายวิดีโอแบบ 4K โดยที่ไม่ต้องซูมแบบดิจิทัลด้วยค่ะ ถ่ายแบบ ProRAW ที่ความละเอียด 48MP ส่วนโหมดอื่น ๆ อย่างพวกออโต้โฟกัสและรูรับแสงที่กว้างขึ้นของกล้องหน้าหรือจะเป็นการถ่ายวีดีโอ Action Mode แบบไม่ต้องใช้อุปกรณ์กันสั่นนั้น Pro Max ก็ทำได้เหมือนกับ iPhone 14 Pro ทุกอย่างค่ะ เอาเป็นว่าใครที่เป็นสายถ่ายรูปหรือต้องถ่ายคลิปทำคอนเทนต์ พกแค่ iPhone 14 Pro Max เครื่องเดียวก็เอาอยู่แน่นอนค่ะ สำหรับหน้าจอนั้นก็มีการใช้ Always-on Display และใช้เทคโนโลยี ProMotion ที่จะคอยปรับอัตรารีเฟรชแบบแปรผัน 10-120 ครั้งต่อวินาที ทำให้การใช้งานด้านกราฟิกไหลลื่น แถมยังประหยัดพลังงานได้อีกด้วย บอกเลยว่าถูกใจคอเกมแน่นอน โดยมาพร้อมกับลูกเล่นของรูกล้องหน้าที่ไม่ใช่ติ่งไร้ประโยชน์แบบเดิมอีกต่อไป แต่จะเป็นรูปทรงแคปซูลยาว ๆ ที่สามารถปรับขนาดได้และยังกดเล่นได้อีกด้วย หากถามว่า iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ต่างกันตรงไหน? ก็ต้องบอกตจามตรงว่ามันไม่ต่างกันเลยค่ะ จะมีเพียงแค่หน้าจอที่ใหญ่สะใจขึ้น ความละเอียดของหน้าจอที่ดีกว่า รวมถึงความจุของแบตเตอรี่ก็จะมากกว่าทำให้ใช้งานแต่ละวันได้นานกว่า โดย iPhone 14 Pro จะมีความจุแบตเพียง 3,200 mAh เท่านั้น ส่วน iPhone 14 Pro Max จะสูงถึง 4,323 mAh ที่มากพอจะเล่นเกมอย่างต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 14 Proราคา 41,900 บาท* สำหรับใครที่มีไลฟ์สไตล์ชอบใช้งานมือถือหนัก ๆ หรือมีแอปฯ ที่ต้องประมวลเยอะ ๆ และต้องการสมาร์ทโฟนที่เร็วแรงที่สุดในปี 2022 เราแนะนำ iPhone 14 Pro เลยค่ะ เพราะรุ่นนี้เค้ามีการเปลี่ยนชิปประมวล A16 ที่เป็นไฮไลท์ของ Apple ในปีนี้ ทั้งยังมีเฉพาะในรุ่น 14 Pro และ 14 Pro Max เท่านั้นอีกด้วย โดยเทคโนโนโลยีที่ใช้นั้นก็ค่อนข้างทิ้งห่างคู่แข่งไปหลายเจเนอเรชั่น เนื่องจากมีการใช้ CPU 6-core ที่เป็นคอร์ประสิทธิภาพสูง 2 คอร์ และคอร์ประหยัดพลังงานอีก 4 คอร์ ทำให้มันเป็นชิปที่ทำงานได้เร็วขึ้นอีก 40% และใช้พลังงานน้อยกว่าชิป A15 ถึง 20% มาพร้อมกับ GPU 5-core ที่เหมาะกับการเกมหรือแอปฯ ที่เน้นใช้งานด้านกราฟิกแบบซับซ้อน นอกจากนี้ยังใช้ Neural Engine 16-core ที่ประมวลผลได้ประมาณ 17 ล้านล้านรายการต่อวินาที ดังนั้นคุณจึงสามารถใช้งานประมวลผลหนัก ๆ ได้อย่างสบาย ไม่มีอาการเครื่องอืด เครื่องค้าง หรือกระตุกอย่างแน่นอน ชิป A16 Bionic ใน iPhone 14 ซีรีส์ Pro เร็วกว่า แรงกว่า ประหยัดพลังงานมากกว่า ในส่วนของคุณภาพกล้องนั้นก็ต้องบอกว่า iPhone 14 ซีรีส์ Pro ได้มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ด้วยการใช้ความละเอียดที่สูงถึง 48MP ในกล้องหลัก ซึ่งถือว่าต่างจาก iPhone 14 รุ่นธรรมดาที่มีเพียง 12MP ไปไกลมากเลยค่ะ ทั้งยังมีการปรับขนาดเซนเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 65% ส่วนกล้องเทเลโฟโต้ 12MP ก็สามารถซูมแบบออปติคัลได้ 3 เท่า และสุดท้ายคือกล้องอัลตราไวด์ 12MP ก็จะช่วยเก็บภาพได้กว้างมากขึ้น นอกจากนี้ในส่วนของแฟลช True Tone ก็มีการปรับใหม่ให้สว่างกว่าเดิมเพื่อให้ได้ภาพสวยงามและสมจริงที่สุด ในส่วนอื่น ๆ อย่างพวก Photonic Engine, Autofocus ในกล้องหน้า หรือจะเป็น Action Mode นั้นก็ทำได้เหมือนกับ iPhone 14 รุ่นธรรมดาทุกประการเลยค่ะ ฟีเจอร์ Dynamic Island มีแจ้งเตือนและการทำงานต่าง ๆ ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของสมาร์ทโฟน สำหรับใครที่ไม่ชอบรอยบาก (รูกล้องหน้า) ก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ เพราะรุ่นนี้มีฟีเจอร์ Dynamic Island ที่สามารถยืดหดแทบสีดำได้ ทั้งยังกดเล่นได้อีกด้วย มาพร้อมกับคุณสมบัติหน้าจอแบบใหม่คือ Always-on Display ที่ใช้ใน Apple Watch ซึ่งมันจะทำให้คุณสามารถมองเห็นข้อมูลต่าง ๆ บนหน้าจอได้ตลอดเวลา และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือหน้าจอที่สู้แสงมากกว่าเดิมเมื่อมีการใช้งานในที่กลางแจ้งเพราะมีการปรับความสว่างที่สูงถึง 2000-nits ซึ่งสูงกว่า 13 Pro ถึงสองเท่าเลยค่ะ จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 13 Pro Maxรูปภาพจาก apple.comราคา 42,900 บาท* และแล้วก็มาถึงไอโฟนรุ่นท็อปสุด ณ ปัจจุบันนี้ นั่นก็คือ iPhone 13 Pro Max ครับ ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนระดับโปรที่ทำงานได้เร็วและแรงที่สุดในขณะนี้ ด้วยชิป A15 Bionic ตัวใหม่ล่าสุด จากทาง Apple พร้อมแรม 6GB ทำให้การประมวลผลมีประสิทธิภาพสูงขึ้นในทุก ๆ ด้านการออกแบบตัวเครื่องก็ยังคงไว้ซึ่งความเรียบหรูดูดี ด้านหลังจะเป็นแบบด้าน ขอบเครื่องเตนเลสสตีลผิวมันวาว แสดงผลบนหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว รับกับขนาดและน้ำหนักที่พอดีมือ หน้าจอใหญ่ขึ้นแบบนี้ สายเกม สายโซเชียลมีเดีย หรือสายทำคอนเทนต์ก็ใช้งานได้ฟินกว่า แถมหน้าจอก็สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ทำงานได้ลื่นขึ้นกว่ารุ่นที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด มาต่อกันที่ระบบกล้องของ iPhone 13 Pro Max ถือเป็นการอัปเดตกล้องที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาบน iPhone ให้พลัง ระดับโปรไม่ว่าคุณจะถ่ายภาพนิ่งหรือวิดีโอ สามารถถ่ายภาพที่น่าประทับใจได้ ไม่ว่าจะมีแสงมากหรือแสงน้อยอย่างตอนกลางคืนก็ตาม กล้องตัวนี้ก็สามารถให้ภาพที่ออกมาดูสวยงาม สมบูรณ์แบบ และจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างก็คือ ระยะเวลาการใช้งาน ครับ เพราะรุ่นนี้สามารถใช้งานได้นานที่สุด อึดที่สุด ในบรรดาไอโฟนทุกรุ่น แถมยังรองรับชาร์จไว 25 วัตต์ อีกด้วย เรียกได้ว่า iPhone 13 Pro Max ตัวนี้เป็นรุ่นโปรที่มีความโปรอยู่เต็มเปี่ยมสมชื่อของมันจริง ๆ ซึ่งยังไม่หมดเพียงเท่านี้ คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ เปิดตัว iPhone 13 ทั้ง 4 รุ่น จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 13 Proรูปภาพจาก apple.comราคา 37,700 บาท* สำหรับสาวกแอปเปิลคนไหนที่ต้องการจะอัพเดตมาใช้สมาร์ทโฟนระดับโปร iPhone 13 Pro ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย ถึงแม้ว่ารุ่นนี้จะมีขนาดหน้าจอที่เท่ากันกับ iPhone 13 แต่คุณสมบัติอีกหลาย ๆ อย่างก็แตกต่างกันมากพอสมควรเลยทีเดียว โดยทั้ง 2 รุ่น ใช้หน้าจอ Super Retina XDR เป็นจอภาพ OLED ทั้งหน้าจอ ขนาด 6.1 นิ้ว พร้อม HDR มีความละเอียดอยู่ที่ 2532 x 1170 พิกเซล ที่ 460 ppi เท่ากัน แต่ iPhone 13 Pro จะมีเทคโนโลยี ProMotion ที่มีอัตราการดึงข้อมูลใหม่ 120Hz ส่งผลให้มันใช้งานได้ลื่นไหลกว่า และมีความสว่างสูงสุด 1,000 นิต (ทั่วไป) เหมือนกับหน้าจอของ iPhone 13 Pro Max โดยความคุ้มค่าอยู่ที่กล้องถ่ายภาพครับ จากที่ iPhone 13 เป็นแค่กล้องคู่ธรรมดา ๆ ใน iPhone 13 Pro ได้ถูกยกระดับให้เป็นกล้องระดับโปรที่มีกล้องเทเลโฟโต้เพิ่มเข้ามาเป็น 4 เลนส์ ได้แก่ เทเลโฟโต้, ไวด์, อัลตร้าไวด์ และสแกนเนอร์ LiDAR โดยจะเหมือนกับกล้องของ iPhone 13 Pro Max ทุกประการ ช่วยให้การถ่ายภาพและวิดีโอ จากกล้องหลังชุดนี้ ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น ในส่วนของสเปก iPhone 13 Series จะมาพร้อมกับชิป A15 Bionic ตัวแรงของค่ายอยู่แล้ว ฉะนั้นมันสามารถตอบสนองทุกความต้องการด้วยรวดเร็วอย่างแน่นอนครับ พร้อมทั้งให้แบตเตอรี่ที่อึด ใช้งานได้นานขึ้น และนอกจากที่กล่าวไปแล้ว iPhone 13 Pro ก็ยังอัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์ล้ำ ๆ อีกเพียบที่รอให้คุณได้พิสูจน์ด้วยตัวของคุณเอง จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 14 Plusรูปภาพจาก apple.comราคา 37,900 บาท* ขยับราคาและเปลี่ยนขนาดหน้าจอขึ้นมาอีกนิดกับ iPhone 14 Plus ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่ทาง Apple ผลิตขึ้นมาแทนที่รุ่น mini โดยขนาดจอของรุ่นนี้จะมีขนาดใหญ่เท่ากับรุ่น 14 Pro Max เลยทีเดียว ดังนั้นมันจึงค่อนข้างตอบโจทย์คนที่ชอบสมาร์ทโฟนจอใหญ่ ๆ แต่ไม่เน้นสเปกเครื่องที่สูงมากนัก แถมยังมีราคาเปิดตัวไม่แพงเริ่มต้นที่ 37,900 บาทเท่านั้น เพราะในรุ่น 14 Plus นี้จะยังคงใช้ชิปตัวเก่าของ Apple ซึ่งก็คือชิป A15 ที่แม้ว่าจะไม่ใช่ตัวใหม่ล่าสุดแต่ก็ยังมีความเร็วที่ถือว่าแรงมาก ๆ อยู่ดี แถมทาง Apple ยังมีการเพิ่มประสิทธิด้านกราฟิกด้วยการเปลี่ยนไปใช้ GPU แบบ 5-Core แทน ดังนั้นมันจึงเป็นรุ่นที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว รับมือกับงานหนัก ๆ ได้อย่างราบรื่น ประหยัดพลังงาน แถมยังช่วยให้ภาพกราฟิกออกมาไหลลื่นได้ไม่ต่างจาก iPhone 13 ซีรีส์ Pro เลยค่ะ ชิป A15 Bionic ที่มี GPU แบบ 5-core แรงเร็ว เล่นเกมได้ไหลลื่น เทียบเท่า iPhone 13 Pro ในส่วนของระบบกล้องคู่นั้น แม้ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความละเอียดแต่ก็ได้มีการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ ๆ เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น รูรับแสง, เซนเซอร์, การใช้ถ่ายภาพในที่แสงน้อย รวมถึงการใช้ออโต้โฟกัสกับกล้องหน้า สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ภาพออกมาสวย คมชัด และมีเฉดสีที่สมจริง ทั้งยังสามารถจับภาพเคลื่อนไหวให้นิ่งสนิทได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ก็ยังเพิ่ม Action Mode สำหรับการถ่ายวีดีโอเข้ามาทำให้คุณจะได้คลิปที่นิ่งขึ้นเหมือนกับใช้กล้องแอคชั่นจริง ๆ ถ่ายคลิป ในส่วนของคุณภาพหน้าจอนั้นก็ไม่ต้องรีวิวอะไรกันมาก เพราะเป็นจอตัวเดียวกับ iPhone 14 ที่มีการเพิ่มความสว่างสูงสุด 1200-nits เหมือนกัน และสุดท้ายคือการใช้ SOS ฉุกเฉินบน iPhone ที่จะมีการเพิ่มฟีเจอร์ Crash Detection สำหรับตรวจจับการกันชนเข้ามาด้วย ความต่างของขนาด 6.1 และ 6.7 นิ้ว หากถามว่า iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ต่างกันตรงไหนบ้าง? เพราะจริง ๆ แล้วทั้ง 2 รุ่นเหมือนกันมากไม่ว่าจะเป็นคุณภาพกล้อง, ชิปประมวลผล, GPU, CPU, คุณภาพหน้าจอ และอื่น ๆ อีกมากมายที่สเปกตรงกัน ซึ่งนอกจากขนาดจอที่ต่างกันแล้ว ในส่วนของแบตเตอรี่ iPhone 14 Plus ก็มีความจุที่สูงกว่า ทำให้ 14 Plus เล่นวิดีโอนานสูงสุด 26 ชั่วโมง ในขณะที่ iPhone 14 เล่นวิดีโอนานสูงสุดเพียง 20 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 14รูปภาพจาก apple.comราคา 32,900 บาท* สำหรับใครที่อยากได้ iPhone 14 ในราคาเบา ๆ เริ่มต้นที่ 32,900 บาท เราขอแนะนำ iPhone 14 ขนาด 6.1 นิ้ว ที่มีสเปกเหมือนกับ iPhone 14 Plus ทุกอย่าง ต่างกันแค่ขนาดที่เล็กกว่ากันไม่มากนัก ซึ่งในแง่ของประสิทธิภาพการทำงานนั้น iPhone 14 จะยังคงใช้ชิปประมวลผลเป็น A15 แต่เพิ่ม GPU ให้เป็นแบบ 5-core แทนซึ่งนั่นหมายความว่าความเร็วของเครื่องจะเทียบเท่า iPhone 13 ซีรีส์ Pro เลยทีเดียว ทำให้เครื่องมีการประมวลผลที่เร็วแรงและสามารถเล่นเกมได้อย่างไหลลื่นไม่มีสะดุด มาพร้อมกับจอภาพ Super Retina XDR ตัวเดิมแต่มีการปรับความสว่างให้สูงสุดถึง 1200-nits กล้องหลัก กล้องอัลตร้าไวด์ และกล้องหน้า TrueDepth ใหม่ ในส่วนคุณภาพของกล้องนั้นทาง Apple ได้มีการปรับรูรับแสงให้ใหญ่ขึ้น ทั้งมีการยังใช้ Photonic Engine สำหรับช่วยให้คุณถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย รวมถึงยังได้อัปเกรดขนาดของเซนเซอร์จึงทำให้ภาพออกมามีนอยซ์ที่น้อยลง สำหรับกล้องหน้าก็ได้มีการใช้โหมด Autofocus เพิ่มเข้ามา ดังนั้นมันจึงช่วยโฟกัสใบหน้าของคุณไม่ให้รูปออกมาเบลอ ไม่ว่าคุณจะเซฟฟี่รูปเดี่ยวหรือถ่ายรูปหมู่โหมดนี้ก็จะจับใบหน้าได้หมด นอกจากนี้การถ่ายวีดีโอก็ยังมีการใช้ Action Mode ที่ช่วยลดการสั่นสะเทือนได้ดีกว่าด้วยนะคะ ตรวจจับเหตุรถชนอย่างรุนแรงและโทรหาบริการฉุกเฉิกได้ / แชร์ตำแหน่งที่ตั้งได้เองผ่านดาวเทียมด้วยแอป Find My ส่วนการใช้ SOS บน iPhone สำหรับรุ่นนี้มีการเพิ่มฟีเจอร์ตรวจจับการชนของรถเพิ่มเข้ามาพร้อมกับโทรเรียกหน่วยกู้ภัยให้อัตโนมัติ รวมถึงมีการเชื่อมต่อผ่านดาวเทียมจึงทำให้คุณสามารถส่งโลเคชั่นขอความช่วยเหลือได้แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ไม่มีสัญญาณก็ตาม จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 12 Pro Maxรูปภาพจาก apple.comราคา 39,900 บาท* มาต่อกันที่อดีตตัวท๊อปอย่าง iPhone 12 Pro Max กันบ้างครับ ซึ่งถือเป็นรุ่นเรือธงของแอปเปิ้ล ที่มีสเปกและมีการอัพเกรดเพิ่มเติมจาก iPhone 12 Pro พอสมควร โดยใช้ชิปประมวลผล A14 Bionic พร้อมแรม 6GB ช่วยให้มันเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลด้านต่าง ๆ การถ่ายภาพ การบันทึกวิดีโอ หน้าจอ แบตเตอรี่ และอื่น ๆ มีการแสดงผลภาพบนหน้าจอ OLED เป็น Super Retina XDR ขนาดใหญ่ 6.7 นิ้ว พร้อม HDR 10 ซึ่งให้ภาพที่มีความคมชัดสูง พร้อมความสว่างที่มากขึ้น ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ในทุก ๆ สภาพแสง ในส่วนของกล้อง iPhone 12 Pro Max จะมีเซ็นเซอร์ขนาดที่ใหญ่กว่า iPhone 12 Pro อยู่เล็กน้อย โดยมาพร้อมเลนส์ 4 ตัว คือ เลนส์หลัก 12MP เลนส์ Ultrawide 12MP เลนส์ Telephoto 12MP และเลนส์ depth TOF 3D LiDAR scanner ช่วยให้การเก็บภาพทำได้ดีทั้งในที่ที่มีแสงน้อย และแสงจ้า ส่วนฟังก์ชันต่าง ๆ มีเหมือน ๆ กัน โดยสรุปสิ่งที่คุณจะได้จาก iPhone 12 Pro Max หลัก ๆ เลย นั่นคือ หน้าจอที่ใหญ่ขึ้น, มีความละเอียดสูงขึ้น, ระบบกล้องที่ดีขึ้น และแบตที่อึดขึ้น เป็นต้น ซึ่งคุณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ สรุปสเปกของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 12 Proรูปภาพจาก apple.comราคา 34,500 บาท* iPhone 12 Pro มีความแตกต่าง iPhone 12 เล็กน้อยเท่านั้นครับ โดยทั้งคู่มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล Super Retina XDR พาแนล OLED ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซลที่ 460 ppi มีความสว่างสูงสุด 1,200 นิต (HDR) ช่วยให้สามารถเร่งความสว่างได้มากกว่าเดิม ตอบโจทย์การใช้งานในทุกสภาพแสง ทำงานด้วยชิปประมวลผล A14 Bionic รองรับ 5G โดยเป็น CPU แบบ 6‑core แบ่งเป็นคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงานถึง 4 คอร์ GPU แบบ 4‑core และยังมาพร้อมกับ Neural Engine แบบ 16‑core ด้วย ช่วยให้การประมวลผลทำได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด โดยจุดที่จะต่างกันคือการถ่ายภาพ โดย iPhone 12 มาพร้อมกล้องหลัง 2 เลนส์ ส่วน iPhone 12 Pro จะมาพร้อมกับกล้องหลัง 4 เลนส์ ได้แก่ เลนส์หลัก 12MP เลนส์ Ultra wide 12MP เลนส์ Telephoto 12MP และเลนส์ depth TOF 3D LiDAR scanner ช่วยให้การถ่ายภาพ มีความหลากหลายมากขึ้น เก็บภาพออกมาสวยชัดเป็นธรรมชาติ มีมุมมองกว้างขึ้น และมีระบบถ่ายภาพอีกมากมายให้คุณได้ใช้งาน ส่วนกล้องหน้ามาพร้อมเลนส์ 12MP พร้อมฟีเจอร์ที่เหมือนกันทั้งหมดครับ ซึ่งคุณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ สรุปสเปกของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 11 Pro Maxรูปภาพจาก apple.comราคา 34,900 บาท* มาต่อกันที่รุ่นเก่าที่เปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2019 อย่าง iPhone 11 Pro Max กันบ้างครับ ซึ่งถึงแม้จะเก่าแล้ว แต่นี่ก็เป็นอดีตเรือธงของแอปเปิ้ลที่ได้เริ่มต้นเทคโนโลยีอันล้ำสมัยไว้มากมาย ดังนั้นเมื่อเทียบราคาที่ปรับลดลงกับสเปกที่คุณจะได้รับก็ถือว่ายังมีความคุ้มค่าอยู่ไม่น้อยครับ โดยมาในดีไซน์ขอบโค้งมนรุ่นสุดท้าย ก่อนเปลี่ยนมาเป็นขอบเหลี่ยม แสดงผลบนจอภาพ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อม HDR มีความละเอียด สูงถึง 2688 x 1242 พิกเซล พร้อมการแสดงผลแบบ True Tone และขอบเขตสีกว้าง (P3) ให้ภาพที่คมชัด สีสันสดใส ในส่วนของกล้อง iPhone 11 Pro Max จะมาพร้อมกล้องหน้า 12MP และกล้องหลังทั้งหมด 3 เลนส์ ก็คือ เลนส์หลัก 12MP เลนส์ Wide 12MP และเลนส์ Telephoto 12MP ช่วยให้การเก็บภาพทำได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ที่มีแสงน้อย หรือแสงจ้า พร้อมฟังก์ชันการถ่ายภาพต่าง ๆ อีกมากมาย ทั้ง ระบบป้องกันภาพสั่นไหวคู่แบบออปติคัล โหมดภาพถ่ายบุคคลพร้อมกับโบเก้ที่สมจริง การคุมระยะชัดลึก การจัดแสงภาพถ่ายบุคคลพร้อมเอฟเฟ็กต์ 6 แบบ และ HDR อัจฉริยะ ตอบโจทย์สำหรับคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพได้เป็นอย่างดีครับ ทั้งภาพนิ่ง หรือแม้แต่ภาพเคลื่อนไหว นอกจากนี้ก็ยังมีความจุแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ สามารถรองรับการเล่นวิดีโอได้สูงสุดถึง 20 ชั่วโมง ตอบโจทย์การใช้งานทั่งวันได้แบบสบาย ๆ จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 11 Proรูปภาพจาก apple.comราคา 29,900 บาท* iPhone 11 Pro รุ่นกลางในตระกูล iPhone 11 Series ที่มาพร้อมกับ จอภาพ OLED แบบ Super Retina XDR ขนาด 5.8 นิ้ว มีความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล ที่ 458 ppi ให้ความคมชัด สีสันสดใส เป็นธรรมชาติ โดยมีมีความสว่างสูงสุด 800 นิต ในแบบทั่วไป และ 1,200 นิต แบบ HDR ทำให้สามารถเร่งความสว่างได้มากขึ้นเพื่อใช้งานในทุก ๆ สภาพแสง ทำงานด้วยชิปเช็ต A13 Bionic โดยเป็น CPU แบบ 6‑core แบ่งเป็นคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงานถึง 4 คอร์ มี GPU แบบ 4‑core และ Neural Engine แบบ 6‑core ด้วย ช่วยให้การประมวลผลทำได้อย่าง รวดเร็ว ลื่นไหล และไม่มีสะดุด รองรับการใช้งานทุก ๆ ด้านได้เป็นอย่างดี ในส่วนของกล้องจะเหมือนกับ iPhone 11 Pro Max เลย โดยมาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ ได้แก่ เลนส์หลัก 12MP เลนส์ Ultra wide 12MP และเลนส์ Telephoto 12MP ส่วนกล้องหน้า 12MP เพิ่มคุณสมบัติการถ่ายภาพแบบครบครัน ช่วยให้การถ่ายภาพของคุณมีความหลากหลายมากขึ้น สามารถเก็บภาพได้อย่างคมชัด เป็นธรรมชาติ มีมุมมองกว้างขึ้น และมีโหมดการถ่ายภาพอีกมากมายให้คุณได้ใช้งาน ตอบโจทย์ทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอเลย ใครต้องการกล้องระดับแต่อยู่ในบอดี้ที่เล็กลง พกพาง่ายขึ้น รุ่นนี้เหมาะมาก ๆ ครับ จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 13รูปภาพจาก apple.comราคา 28,900 บาท* ใครที่เน้นใช้งานทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม และไม่ได้เน้นการถ่ายรูปมากนัก iPhone 13 คือตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคุณครับเพราะเป็นสมาร์ทโฟนที่ได้ถูกอัปเกรดในส่วนของขนาดและแบตเตอรี่ให้ใหญ่และอึดขึ้นจาก iPhone 13 Mini ทำให้มีแบตเตอรี่ที่สามารถเล่นวิดีโอได้สูงสุดถึง 19 ชั่วโมงบน และไปลดคุณภาพกล้องลงจาก iPhone 13 Pro โดยกล้องหลัง มาพร้อมกับระบบกล้องคู่ คือ เลนส์ไวด์ 12MP และเลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP ส่วนกล้องหน้าก็ใช้ 12MP เช่นกัน ซึ่งในด้านประสิทธิภาพ มันยังคงมีคุณภาพสูงอยู่ คุณยังสามารถเก็บภาพความทรงจำดี ๆ ได้ แม้ในที่สภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้น 47% มีระบบกันสั่นแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งของเซนเซอร์ ทำให้ได้ภาพและวิดีโอที่สมูทมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม และอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณได้ภาพที่น่าประทับใจได้ง่าย ๆ ครับ แต่อาจจะไม่มีฟีเจอร์ถ่ายภาพบางอย่างเหมือนในรุ่นพี่ให้ใช้งาน โดยมาพร้อมหน้าจอแสดงผล Super Retina XDR จอภาพ OLED ขนาด 6.1 นิ้ว ที่ให้ประสบการณ์การรับชมภาพ และเอฟเฟกต์ที่เหนือชั้นมากขึ้น ใช้ขุมพลังจากชิป A15 Bionic ตัวแรง ซึ่งเป็น CPU แบบ 6‑core ใหม่ ประกอบด้วย คอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ ช่วยให้ทั้ง เร็ว แรง และประหยัด พร้อม GPU แบบ 4‑core ใหม่ ส่งผลให้การประมวลผลกราฟิกดีขึ้น และ Neural Engine แบบ 16‑core ใหม่ ทั้งหมดนี้สามารถใช้คุณใช้งานได้ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะใช้เล่นเกมหนักขนาดไหน รุ่นนี้ก็ตอบโจทย์ได้ในราคาเบา ๆ จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 12รูปภาพจาก apple.comราคา 24,290 บาท* iPhone 12 เป็นซีรี่ส์แรกที่มาในดีไซน์ย้อยยุคนิด ๆ โดยกลับไปใช้ขอบเครื่องแบบเหลี่ยม เหมือนในยุค iPhone 5 ซึ่งมีมาให้เลือกทั้งหมด 5 สีด้วยกัน สำหรับรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว แบบ Super Retina XDR ที่มอบสีสันที่สวยงามคมชัด มีการใช้ Ceramic Shield ช่วยมอบความแข็งแรง เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ในด้านสเปก มาพร้อมกับความเร็ว ความแรง กว่าไอโฟนรุ่นก่อนมาก ทำงานด้วยชิพ A14 Bionic พร้อมระบบเซลลูลาร์ 5G ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้คุณไช้งานได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด ในส่วนของการถ่ายภาพต้องบอกเลยว่า ไอโฟนได้ก้าวล้ำไปอีกขั้นแล้ว ด้วยกล้องหลังคู่ 12MP มีเลนส์อัลตร้าไวด์ และไวด์ ในส่วนกล้องหน้า TrueDepth ใช้เลนส์ 12MP เช่นกัน โดยความพิเศษอยู่ที่โหมดอัจฉริยะมากมายที่ได้เข้ามาช่วยให้การถ่ายภาพของคุณสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และสามารถบันทึกวิดีโอได้ในระดับ 4K ในแบบ Dolby Vision เลยทีเดียว ส่งผลให้คุณสนุกได้กับการถ่ายภาพอย่างเต็มที่ พร้อมกับอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่เพียงพอต่อการใช้งานทั้งวัน โดยสามารถเล่นวิดีโอได้นานสูงสุดที่ 17 ชั่วโมง เลยทีเดียว คุณสามารถไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ สรุปสเปกของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 13 Miniรูปภาพจาก apple.comราคา 25,900 บาท* สำหรับ iPhone 13 Mini เป็นน้องเล็ก ราคาประหยัด ตัวใหม่ล่าสุด ในตระกูล iPhone 13 Series ซึ่งได้มีการพัฒนาขีดความสามารถในทุก ๆ ด้านให้ดียิ่งขึ้น โดยมาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR จอภาพ OLED ขนาด 5.4 นิ้ว พร้อม HDR ซึ่งมีความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล ที่ 476 ppi ความสว่างสูงสุด 800 นิต (ทั่วไป) ที่มีความสว่างเพียงพอสำหรับการใช้งาน ด้านขุมพลังได้จากชิป A15 Bionic ที่เหมือนกันกับรุ่นอื่น ๆ ในซีรีส์เดียวกัน ส่งผลให้มีการประมวลผลที่เร็ว และแรง สามารถตอบโจทย์ทุก ๆ การใช้งานได้เป็นอย่างดี ในส่วนของกล้องหลัง มาพร้อมกับเลนส์คู่ ก็คือ เลนส์ไวด์ 12MP และเลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP ส่วนกล้องหน้าใช้เลนส์ 12MP เรียกได้ว่า ทำทุกอย่างได้เหมือนกับ iPhone 13 เลย แต่หน้าจอที่เล็กกว่า ความจุแบตเตอรี่น้อยลง และอยู่ในบอดี้ที่เล็กกว่า เพื่อช่วยให้การถือใช้งานได้ถนัดมือมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยน้ำหนักที่เบาเพียงแค่ 140 กรัมเท่านั้น และที่สำคัญเลย iPhone 13 Mini ยังมาในราคาที่สบายกระเป๋ามาก ๆ จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 12 Miniรูปภาพจาก apple.comราคา 18,900 บาท* มากันที่รุ่นราคาคุ้มค่า ในปัจจุบันครับ สำหรับ iPhone 12 Mini รุ่นน้องเล็ก ราคาประหยัด ในตระกูล iPhone 12 Series ที่แม้จะเปิดตัวไปนานแล้ว แต่ยังคุ้มค่าอยู่ไม่น้อยครับ โดยมาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR จอภาพ OLED ขนาด 5.4 นิ้ว ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซล ที่ 476 ppi พร้อม HDR ซึ่งมีความสว่างสูงสุด 625 นิต (ทั่วไป) ซึ่งน้อยกว่า iPhone 13 Mini ที่อยู่ระดับเดียวกัน ด้านขุมพลัง แม้จะเป็นรุ่นประหยัด แต่ก็มาพร้อมพลังจากชิป A14 Bionic ที่มีประสิทธิภาพในการประมวลผลที่สูง ช่วยให้เครื่องทำงานได้อย่างรวดเร็ว สามารถตอบโจทย์การใช้งานด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี สำหรับกล้องหลัง iPhone 12 Mini ใช้เลนส์คู่ ซึ่งมีเลนส์ไวด์ 12MP และเลนส์อัลตร้าไวด์ 12MP ส่วนกล้องหน้า มาพร้อมเลนส์ 12MP เช่นเดียวกับ iPhone 12 ข่วยให้การถ่ายภาพ รุ่นนี้สามารถตอบโจทย์ได้ดีในระดับนึง ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป หากคุณกำลังหามือถือราคาประหยัด แต่มีความเร็วและแรง สามารถเล่นเกมได้อย่างไหลลื่น แถมเน้นกะทัดรัด พกพาง่าย รุ่นนี้ก็คือคำตอบที่เหมาะกับคุณ จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone SE 2022 (3rd generation)รูปภาพจาก apple.comราคา 15,900 บาท* มาเริ่มกันที่ iPhone SE (3rd generation) ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปแบบสด ๆ ร้อน ๆ ครับ เป็นรุ่นน้องเล็กสุดที่มาพร้อมประสิทธิภาพอันเหลือร้าย ซึ่งถึงแม้จะมาในดีไซน์บอดี้แบบเก่า แต่ประสิทธิภาพภายในถูกอัปเกรดใหม่ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ใช้ ชิปประมวลผล A15 Bionic ชิปเซ็ตของ iPhone13 เรือธงของค่าย ซึ่งรองรับ 5G พร้อมกับเพิ่มแรม 4GB ส่งผลให้การประมวลผลด้านต่าง ๆ ทำได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีหน่วยประมวลผลให้เลือกตั้งแต่ 64GB, 128GB และสูงสุด 258GB ไม่ว่าจะเล่นเกมอะไรรุ่นนี้ก็ตอบโจทย์ด้วยความลื่นไหล ไม่มีสะดุดครับ ในส่วนของหน้าจอ ใช้จอ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว พาแนล IPS ที่ให้การแสดงผลแบบ true tone และจอภาพขอบเขตสีกว้าง (P3) ที่มีความสว่างสูงสุดที่ 625 นิต ทำให้คุณใช้งานได้ในทุก ๆ สภาพแสง ที่ถึงแม้มันจะเล็กไปสักหน่อย แต่ก็ใช้งานได้ดีครับ พร้อมกับมีปุ่ม Home บนหน้าจอ ซึ่งมาคู่กับ Touch ID เช่นเดิม นอกจากนี้ในส่วนของกล้องยังคงมาพร้อมกับกล้องหลัง 12MP ƒ/1.8 และกล้องหน้า 7MP ƒ/2.2 ครับ ส่วนแบตเตอรี่อึดขึ้น โดยใช้งานได้สูงสุด 15 ชม. พร้อมรองรับชาร์จไว 20 วัตต์ จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
รีวิว Apple iPhone 11รูปภาพจาก apple.comราคา 18,690 บาท* iPhone 11 รุ่นประหยัดในตระกูล iPhone 11 Series ครับ สำหรับรุ่นนี้มาพร้อมจอภาพ Liquid Retina HD เป็น LCD ทั้งหน้าจอ ขนาด 6.1 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยี IPS ให้สีสันที่สวยงาม มีความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล ที่ 326 ppi ช่วยให้ภาพมีความคมชัด ทุกรายละเอียด โดยมีความสว่างสูงสุด 625 นิต ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป ในส่วนขุมพลังมาพร้อมกับ ชิปประมวลผล A13 Bionic ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถไช้งานได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเล่นเกม หรือทำอะไรก็ตาม สำหรับกล้องถ่ายภาพรุ่นนี้มาพร้อมกับ กล้อง TrueDepth 12MP และกล้องหลังแบบคู่ที่มีเลนส์ไวด์ และเลนส์อัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12MP โดยความพิเศษอยู่ที่โหมดอัจฉริยะที่ใส่มาให้ ช่วยให้การถ่ายภาพของคุณสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ทั้งวิดีโอและภาพนิ่ง ช่วยให้คุณสนุกกับการถ่ายภาพอย่างเต็มที่ จุดเด่น
ข้อควรพิจารณา
* หมายเหตุ: ราคาสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และโปรโมชั่นของแต่ละร้านค้า
จุดเด่นหลัก ๆ ของ iPhone 121. ดีไซน์ที่แตกต่างสำหรับ iPhone ก่อนหน้านี้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ขอบตัวเครื่องแบบโค้งมน ช่วยใช้คุณจับถือได้อย่างถนัดมือมากขึ้น ซึ่งใน iPhone ตั้งแต่เจน 6 มาถึงเจน 11 ดีไซน์ภายนอกหากมองแบบผ่าน ๆ จะแยกได้ยากมาก เพราะมันเหมือน ๆ กันหมด ส่วนใน iPhone 12 รุ่นใหม่ ย้อนกลับไปใช้ขอบตัวเครื่องแบบเหลี่ยม ออกแบบผสานกันอย่างลงตัว ซึ่งมันทำให้ตัวเครื่องดูสวยขึ้นมาก 2. กล้องสำหรับ iPhone มาจุดเด่นเรื่องกล้องมายาวนาน ซึ่งใน iPhone 12 ก็ได้ทำการอัปเกรดระบบกล้องใหม่ มีการเพิ่มเลนส์ต่าง ๆ เข้ามา ช่วยให้คุณเก็บภาพได้ในองศาที่แตกต่าง ได้ภาพที่คมชัดทุกรายละเอียด สีสันสมจริง ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นการถ่ายภาพต่าง ๆ อีกมากมายให้ได้ใช้งาน รวมไปถึงการบันทึกวิดีโอก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย 3. หน้าจอและขนาดiPhone 12 มาพร้อมหน้าจอแสดงผล แบบ OLED เป็น Super Retina XDR ซึ่งจะมีพิกเซลมากกว่ารุ่นก่อน ๆ ถึง 2 เท่า และมีความสว่างสูงสุดถึง 1,200 นิต ช่วยให้หน้าจอสว่างมากกว่ารุ่นก่อน นอกจากนี้ยังมี Ceramic Shield ซึ่งมันช่วยให้หน้าจอและตัวเครื่องมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า บทสรุปiPhone ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่มีความคุ้มค่าเหมาะสมกับราคาค่าตัว ซึ่งเมื่อนำไปเที่ยกับคุณสมบัติต่าง ๆ และประสิทธิภาพที่คุณจะได้รับแล้วมันเป็นราคาที่เหมาะสม ทั้งตัวบอดี้ที่มีความแข็งแรง ทนทาน กล้องถ่ายรูปที่สามารถถ่ายได้สวย สีสันสมจริง เป็นธรรมชาติ ทั้งยังมีฟังก์ชั่นต่าง ๆ อีกมากมายให้คุณได้เล่น สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่ไม่อยากใช้ iPhone เพียงเพราะว่ามันมีราคาสูง เราอยากให้คุณได้ลองใช้แล้วคุณจะเข้าใจเองว่าทำไม iPhone ถึงมีราคาสูงกว่าปกติ สุดท้ายนี้หากใครอยากจะขายเครื่องเก่ามาซื้อเครื่องใหม่ เราก็มีคำแนะนำดี ๆ มาฝากด้วยครับ ข้อแนะนำก่อนขาย iPhone เครื่องเก่า และวิธีลงขาย iPhone ในอินเทอร์เน็ต |