สุขภาพแบตเตอรี่ iphone 13 ลดลง

    สำหรับผู้ใช้งานมือถือ iPhone หากเราต้องการเช็คว่าแบตเตอร์ของเครื่องที่เราใช้งานอยู่นั้นเสื่อมลงเยอะขนาดไหนแล้ว หรือยังสามารถทำงานได้ดีอยู่รึปล่าว เราก็สามารถดูได้จากเมนูดังนี้

วิธีเช็คสุขภาพแบตเตอร์รี่ iPhone

1. เข้าสู่ การตั้งค่า

2. ไปที่เมนู แบตเตอร์รี่

สุขภาพแบตเตอรี่ iphone 13 ลดลง

3. กดที่ สุขภาพแบตเตอร์รี่

สุขภาพแบตเตอรี่ iphone 13 ลดลง

     นั้นเพื่อนๆ จะเห็นว่าแบตเตอร์รี่นั้นยังคงเหลือประสิทธิภาพในการจุกระแสไฟฟ้าอยู่สูงสุดกี่เปอร์เซนต์ ซึ่งในรูปตัวอย่างคือ 100% (ซึ่งแปลได้ว่า ยังไม่เสื่อมลงแม้แต่น้อย)

    โดยปกตินั้น สุขภาพแบตเตอร์ มักจะลดลงอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว จากอายุการใช้งานของเครื่อง ซึ่งหากของเพื่อนๆไม่ขึ้น 100% ก็ไม่ต้องตกใจครับ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่วันนี้แอดมินได้นำเทคนิคที่ทุกคนสามารถทำได้เพื่อถนอมให้แบตเตอร์รี่อยู่กับเราไปนานๆ หรือเปอร์เซ็นต์ลงช้าๆใน iphone มาฝากกันครับ

วิธีดูแลสุขภาพแบตเตอร์ไอโฟน

1. ไม่ชาร์จไปเล่นไป เด็ดขาด

2. ไม่ชาร์จตอนเครื่องกำลังร้อน หรืออุณหภูมิห้องสูงมากๆ

3. ตั้งเวลาชาร์จ กรณีของแอดมินใช้ปลั๊กไฟแบบตั้งเวลาได้ โดยตั้งเวลาชาร์จสูงสุดตามเปอร์เซ็นต์แบตเตอร์ที่เหลืออยู่ เพียง 1.50 ชม/วัน ตอนเข้านอนทุกวัน

4. ไม่ควรเล่นจนแบตเตอร์รี่ของเครื่องหมด หรือ เหลือน้อยๆ ตำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ปกติแอดมินจะชาร์จที่ประมาณ 30% กว่าๆ เสมอ

    ซึ่งแอดมินใช้วิธีนี้ กับเครื่อง iphone 13 pro กับเครื่อง iphone 13 ของแฟน ที่ซื้อมาตอนเดือนตุลาคม 2021 ขณะที่เขียนบทความนี้เดือนมิถุนายน 2022 ก็ยังอยู่ที่ 100% ครับ ลองเอาไปปรับใช้ดูกันนะครับ หรือหากเพื่อนๆคนไหนมีวิธีอื่นๆก็สามารถแชร์ไว้ตรงคอมเมนท์ด้านล่างได้เลยครับ

โดยปกติแล้ว iPhone ไม่ว่ารุ่นไหน ถ้าชาร์จไม่ถึง 500 ครั้ง สุขภาพแบตเตอรี่ก็ไม่น่าที่จะตกลงต่ำกว่า 80% แต่ว่าผู้ใช้บางคนอาจจะไม่ใช่ มันลดต่ำลงไวกว่าปกติโดยไม่รู้สาเหตุ นี่ปัญหาที่คนใช้ iPhone บ่นกันบ่อย ๆ ตอนซื้อมาใหม่ ๆ ก็อยู่ 100 พอใช้ ๆ ไปสักพักก็ค่อย ๆ ลดลง จนรู้สึกว่า เอ้ มันลดเร็วไปรึเปล่าเนี้ย ถ้าคุณเป็นหนึ่งในนั้น ก็ขอให้รู้ไว้ว่าคุณไม่ใช้เป็นคนเดียว ส่วนใหญ่ก็เจอสถานการณ์แบบนี้กันทั้งนั้น สาเหตุหลักก็น่าจะมาจากแอปพลิเคชั่นสมัยนี้ กินทรัพยากรมากขึ้นรวมถึงพลังงานก็ใช้เยอะมากขึ้่นด้วย หลาย ๆ แอปเป็นตัวสูบแบตเป็นอย่างดีเลย วิธีแก้ไข เราอาจจะต้องลงมามองในเชิงลึกว่าอะไรที่คอยสูบแบตอยู่เบื้องหลัง ถ้าเราสามารถตัดการทำงานบางอย่างที่ไม่จำเป็นออกไปได้ แบตเตอรี่ต้องชาร์จน้อยครั้งลง ปัญหาสุขภาพแบตลดไวนี้ก็เป็นไปได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นหรือเกิดก็เกิดช้าลง ซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงในเรื่องนี้กัน

จัดการแอปที่สูบแบต

iPhone มีเมนูที่ให้เราเข้าไปดูปริมาณแบตที่แอปต่าง ๆ ใช้ไป รวมถึงพวกระบบที่ทำงานอยู่เบื้องหลังด้วย โดยจะแสดงผลให้เห็นปริมาณแบตที่ใช้ไปออกมาเป็นกราฟเลย ตั้งแต่ระยะเวลา 24 ชั่วโมงล่าสุด หรือจะเลือกดู 10 วันล่าสุดก็ได้ ดังนั้น ถ้าเจอแอปไหนกำลังสูบแบตของคุณอยู่โดยที่คุณก็ไม่รู้ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ก็จัดการแอปนั้นได้เลย จะถอนการติดตั้งหรือจะปิดการใช้งานอะไรก็ว่าไป นี่สามารถช่วย Save สุขภาพแบตเตอรี่ iPhone ได้ในระยะยาวได้

ที่น่าสนใจคือพวกแอปที่มีระบบทำงานเบื้องหลัง (Background Activity) นี่เป็นตัวสูบแบตชั้นดีเลยแม้ว่าแอปนั้น ๆ จะยังไม่ได้เปิดใช้งานเลยก็ตาม วิธีแก้ระบบที่ทำงานเบื้องหลังที่สิ้นเปลืองพลังงานพวกนี้ ก็คือ ปิดฟีเจอร์ Background App Refresh ของ iPhone โดยให้ไปที่ Settings app -> เลือก General -> เลือกตัวเลือก Background App Refresh เราสามารถเลือกปิดทั้งหมดหรือเลือกปิดบางแอปที่ไม่จำเป็นก็ได้ และปล่อยให้แอปที่จำเป็นสามารถ Refresh การทำงานของมันในระดับ Background ได้

ลองจำกัดการเข้าถึงตำแหน่งของคุณดู

สาเหตุขอฃสุขภาพแบต iPhone ลดไวนั้นมีหลายอย่าง คำแนะนำแรกก็คือ อยากให้คุณลองเข้าไปปรับแต่งในเมนูตั้งค่า Location ของ iPhone เพื่อจำกัดการเข้าถึงตำแหน่งของแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ดู อันนี้ไม่ใช่เฉพาะเพื่อรักษา Privacy ความเป็นส่วนตัวเพียงเท่านั้น แต่วิธีนี้ยังช่วยเรื่องสุขภาพแบตเตอรี่ด้วย ใน iPhone อาจจะเข้าไปตั้งค่าในเมนูดังนี้ Setting app -> ตัวเลือก Privacy -> Location Services ->แก้ไขการตั้งค่าของแอปเพื่อจำกัดการเข้าถึงตำแหน่งของเรา มันจะมีตัวเลือกเป็น Never, Ask Next Time, While Using the App และ Always ประเด็นคือ ถ้าแอปไหนเลือกเป็น Always ไว้ อันนี้คือปัญหาล่ะ คือแอปนั้นจะถูกอนุญาตให้เข้าถึง Location ของเครื่องตลอดเวลาเลย ไม่ว่าแอปนั้นจะเปิดหรือปิดอยู่ก็ตาม และนี่คือสาเหตุทำให้ไฟในแบตเตอรี่ไหลอย่างรวดเร็ว ดังนั้น คุณควรจะตั้งค่าให้เป็น Always เฉพาะแอปที่เราจำเป็นต้องใช้เท่านั้น เมื่อใช้แบตน้อยลง เราก็ชาร์จไฟ iPhone น้อยครั้งลง แบตเตอรี่ก็เสื่อมช้าลง ปัญหาสุขภาพแบตลดไวก็อาจจะไม่เกิดขึ้นหรือเกิดช้าลงได้

ปิด Bluetooth / ไม่ให้แอปเข้าถึง Bluetooth ของเรา

ในระบบของ iPhone เราสามารถเข้าดูว่าแอปไหนเข้าถึง Bluetooth ของเครื่องบ้าง ซึ่งเมื่อเราเข้าไปดูก็จะพบว่า หลายแอปกำลังใช้ระบบ Bluetooth ของเราอยู่โดยที่เราไม่เคยรู้เลย เช่น แอปอาจจะใช้ Bluetooth beacons เพื่อติดตามตำแหน่ง หรือไม่ก็ใช้ Bluetooth เพื่อการสแกนอุปกรณ์ Chromecast เป็นต้น ทำให้แอปพวกนี้ทำงานอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา นอกจากจะละเมิดความเป็นส่วนตัวของคุณแล้ว นี่ยังเป็นสาเหตุของการสูบแบตเตอรี่ iPhone ของคุณด้วย ลองเข้าไปแก้ไขการตั้งค่าดู อาจจะทำได้ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ Setting app -> ตัวเลือก Privacy -> Bluetooth -> จะเป็นรายการแอปที่ใช้บลูทูธอยู่ เราก็แค่ปิดบางแอปที่ไม่จำเป็นออก

ทั้งนี้ใน iPhone เราสามารถปิดการใช้งาน Bluetooth ทั้งหมดได้ โดยไม่ต้องเลือกปิดทีละแอป ซึ่งถ้าทำแบบนี้ได้ก็ยิ่งดีเพราะยิ่งช่วยประหยัดแบตเตอรี่ของเราได้มาก เมื่อใช้แบตน้อยลง เราก็ชาร์จไฟ iPhone น้อยครั้งลง แบตเตอรี่ก็เสื่อมช้าลง ปัญหาสุขภาพแบตลดไวก็อาจจะไม่เกิดขึ้นหรือเกิดช้าลงได้ อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ที่เราใช้บ่อย ๆ อย่าง AirPods และ Apple Watch จะใช้งาน Bluetooth ด้วย ดังนั้น ถ้าปิด Bluetooth แล้ว แอปหรืออุปกรณ์ไหน เกิดทำงานไม่ได้ ก็เคยกลับมาเปิดอีกครั้งก็ได้

ลองเปิดโหมดประหยัดพลังงาน

iPhone มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Low Power Mode เป็นโหมดประหยัดพลังงาน ที่ตัดการทำงานเบื้องหลังที่ไม่จำเป็นออก มีการลดความสว่างของหน้าจอหลังจากที่เราไม่ได้ใช้งานให้เร็วขึ้น เป็นต้น จริง ๆ แล้วโหมดประหยัดพลังงานนี้จะทำงานได้เองเมื่อโทรศัพท์ iPhone ของเราแบตลดลงต่ำกว่า 20% เมื่อไหร่จะมี Popup แสดงขึ้นมาว่าโหมดประหยัดไฟได้ทำงานแล้ว แต่กรณีของเรา เราจะสั่งให้มันทำงานตลอดได้เพื่อลดภาระของแบตเตอรี่ โดยให้เราไปที่ ไปที่ Settings app -> Battery -> เปิด Low Power Model หรือไม่เราก็สามารถสั่ง Siri ให้โหมดนนี้ทำงานก็ได้ เมื่อโหมดนี้ทำงาน เราจะเห็นไอคอนรูปแบตเตอรี่ด้านบนหน้าจอของ iPhone จะเป็นสีเหลือง โหมดประหยัดไฟจะถูกปิดเองอัตโนมัติเมื่อเราเอา iPhone ไปเสียบชาร์จไฟ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราใช้ได้ยาวนานขึ้น ทำให้ชาร์จแบตน้อยครั้งลง สุขภาพแบตก็จะลดลงช้าลงด้วย

ลองใช้อินเตอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi แทนซิม 4G/5G ให้บ่อยขึ้น

โดยปกติแล้วการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ถ้าเราใช้ระบบ Cellular หรือการที่เราใช้ซิม 4G/5G อะไรอย่างนี้ มันจะกินไฟมากกว่าที่เราใช้ Wi-Fi ดังนั้น กรณีที่เราอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณ Wi-Fi เช่นที่ทำงาน ที่บ้าน ก็ควรเลือกใช้ Wi-Fi จะดีกว่า แม้ว่าจะกินไฟน้อยกว่าเพียงเล็กน้อย แต่ระยะยาวแล้ว ก็อย่างที่บอกแล้วว่า ก็ทำให้เราชาร์จแบตน้อยลง สุขภาพแบตของ iPhone เปอร์เซ็นต์ก็จะลดลงช้าลงด้วย

ใช้โหมดเครื่องบินในพื้นที่อับสัญญาณ

เวลาที่เราอยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ ไม่ว่าจะเป็นในออฟฟิศที่ห้องอยู่ในตึกสูงหรือพื้นที่ชานเมืองชนบทอะไรอย่างเนี้ย สัญญาณโทรศัพท์ก็จะอ่อน ขณะเดียวกัน iPhone ของเราก็จะทำหน้าที่ของมัน ด้วยการค้นหาสัญญาณอยู่นั่นแหละ นี่ทำให้แบตเตอรี่จะหมดไว้กว่าปกติ ทางที่ดีก็คือ เมื่อเรารู้ว่าจะเข้าไปในพื้นที่อับสัญญาณ ก็ควรเปิดโหมดเครื่องบินไว้ (Airplane Mode) เพราะถึงยังไง เราก็ใช้อินเตอร์เน็ตหรือโทรออกหรือแม้กระทั้งรับสายไม่ได้อยู่ดี ซึ่งเจ้าโหมดเครื่องบินนี้ มันสามารถป้องกันไม่ให้ iPhone ของเราค้นหาสัญญาณโทรศัพท์ตลอดเวลาอย่างไม่จบไม่สิ้นสักที อันนี้ช่วยประหยัดแบตได้เยอะเลย ขณะเดียวกันก็ช่วยให้เราชาร์จน้อยครั้งลงและสุขภาพแบตเตอรี่ของ iPhone ก็ยาวนอนขึ้นด้วย

เปิดระบบชาร์จถนอนแบตเตอรี่

iPhone มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Optimized Battery Charging หรือระบบชาร์จถนอนแบตเตอรี่ อันนี้จะทำให้ iPhone เรียนรู้ประวัติเวลาการชาร์จไฟของเรา นี่ทำให้คุณสามารถเห็นโทรศัพท์ชาร์จค้างอยู่ที่ 80% ตัวอย่างเช่น ถ้าเราชาร์ทโทรศัพท์ทิ้งไว้ทั้งคืน ระบบ Optimized Battery Charging นี้จะหยุดการชาร์จ iPhone อยู่ 80% แล้วพอใกล้เวลาเราตื่นนอนตอนเช้า ระบบก็คอยชาร์ทเพิ่มอีกครั้งให้เต็มใกล้เคียวงเวลาที่เราจะเอาโทรศัพท์ออกไปใช้งาน วิธีการนี้ทำให้ลดการใช้แบตเตอรี่ได้ นั่นเท่ากับสุขภาพแบตก็จะยาวนานขึ้นด้วย เราสามารถเข้าไปเปิดระบบที่่ว่านี้ได้จาก Settings app -> เมนู Battery -> ตัวเลือก Battery Health -> เปิดการใช้งาน Optimized Battery Charging

ใช้ Dark Mode

โหมดที่หน้าจอและเมนูทุกอย่างใน iPhone ของเราจะเป็นโทนสีดำทั้งหมด iOS เวอร์ชั่นหลัง ๆ ทำได้หมดแล้ว อันนี้รวมถึงแต่ละแอปเวอร์ชั่นใหม่ ๆ ที่เราใช้อยู่ก็มีดาร์คโหมดให้ใช้ด้วย โดยให้เราไปที่ Settings app -> เลือก Display & Brightness -> เลือกตัวเลือกเป็น Dark -> ถ้าเลือกตัวเลือกเป็ฯ Automatic หลังจากนั้น Dark Mode จะทำงานอัตโนมัติตามแสดงสว่างของสภาพแวดล้อมว่าเป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืนของแต่ละวัน ทั้งนี้ประโยชน์ก็คือ โดยทั่วไปหน้าจอ OLED ของ iPhone นั้นจะเป็นตัวกินไฟมากที่สุดอันดับต้น ๆ ของการใช้งานโทรศัพท์ของเราเลย แต่ถ้าเป็น Dark Mode โทนสีของเม็ดพิกเซลของหน้าจอแสดงผลจะเป็นโทนสีดำ อันนี้ช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ระดับหนึ่ง เมื่อใช้แบตน้อยลง iPhone ก็ต้องชาร์จไฟน้องครั้งลงด้วย ก็จะยืดอายุให้สุขภาพแบตยาวนานขึ้น

ลดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น

iPhone เครื่อง ๆ หนึ่งของเราลงแอปไว้มากมายอยู่แล้ว ทำให้การแจ้งเตือนต่าง ๆ ก็มากด้วยเช่นกัน ยิ่งถ้าเราบริหารจัดการตั้งค่าแอปไม่ค่อยดีด้วยแล้ว การแจ้งเตือนก็อาจก่อให้เปิดปัญหาด้วยเช่นกัน ไม่เฉพาะสร้างความรำคาญให้กับเราแล้ว แต่ทำให้เปลืองพลังงานของโทรศัพท์ของเราโดยใช่เหตุด้วยเช่นกัน แม้ว่าอาจจะเล็กน้อย แต่ถ้าวัน ๆ หนึ่งมีการแจ้งเตือนออกมามากมายตลอดทั้งวัน สะสมไปมากมาย นี่ก็ทำให้มีผลกระทบกับการสิ้นเปลืองไฟในแบตเตอรี่ของเราอยู่เหมือนกัน สุขภาพแบตเตอรี่ iPhone ก็ถูกใช้ไปอย่างไม่จำเป็นเลย การจัดการการแจ้งเตือนของแอปต่าง ๆ ทำได้โดยไปที่ Settings app -> เลือก Notification -> เข้าไปเลือกแอปที่จะจัดการเปิดปิดการแจ้งเตือนของแต่ละอัน

สุขภาพแบตเตอรี่ iphone 13 ลดลง