ผลกระทบการค้าระหว่างประเทศ

ผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจ



2. การค้าระหว่างประเทศลดลงทั่วโลก

ผลกระทบการค้าระหว่างประเทศ
เมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาถดถอย อำนาจซื้อของประชาชนลดลงเป็นหนี้สินทำให้การบริโภคลดลง ดังนั้นทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกาลดลงส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศต่างๆไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นคู้ค้าที่สำคัญของหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย ซึ่งประเทศใดจะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่า ประเทศนั้นๆ พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามากน้อยเพียงใด สำหรับประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ เช่น ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย สิงค์โปร์ และไทย พึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่จึงได้รับผลกระทบเช่นกัน

ผลกระทบการค้าระหว่างประเทศ

ปริมาณการค้าโลก ปริมาณการส่งออกช่วงปี 1990-2011 โดยให้ปี 1990=100

ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย ประจำเดือนเมษายน 2565

                             การส่งออกของไทยในเดือนเมษายน 2565 มีมูลค่า 23,521.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (782,146 ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 9.9 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 6.9 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากการสู้รบในยูเครนและมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียที่ส่งผลต่อการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานการผลิต รวมถึงผลักดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ นอกจากนี้ ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจากมาตรการล็อกดาวน์ในหลายเมือง ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก (Global Manufacturing PMI) ที่อยู่เหนือระดับ 50 โดยเฉพาะสหรัฐฯ ยุโรป อินเดีย เกาหลีใต้ และอาเซียน รวมทั้งมีความต้องการสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้น จึงทำให้การส่งออกไทยยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร ทั้งนี้ การส่งออกไทย 4 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 13.7 เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 8.2 ชี้ให้เห็นว่า การส่งออกยังเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

                             สินค้าส่งออกที่ขยายตัวดี ได้แก่ 1) สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นตามราคาพลังงานโลก เช่น น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยางยานพาหนะ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น 2) สินค้าเกษตรและอาหารที่เป็นสินค้าจำเป็นในภาวะสงคราม และตลาดต่างประเทศต้องการสต็อกสินค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำตาลทราย ไก่แปรรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้กระป๋องและแปรรูป น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง สิ่งปรุงรสอาหาร เป็นต้น 3) สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าคงทน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงาน เช่น เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องคอมเพรสเซอร์ของเครื่องทำความเย็น เป็นต้น และ 4) สินค้าทางการแพทย์ อาทิ เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ เป็นต้น

มูลค่าการค้ารวม

                             มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนเมษายน 2565
                             การส่งออก มีมูลค่า 23,521.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 9.9 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
                             การนำเข้า มีมูลค่า 25,429.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 21.5
                             ดุลการค้าขาดดุล 1,908.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่

                             ภาพรวมการส่งออก 4 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม-เมษายน)
                             การส่งออก มีมูลค่า 97,122.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 13.7
                             การนำเข้า มีมูลค่า 99,975.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 19.2
                             ดุลการค้า 4 เดือนแรก ขาดดุล 2,852.4 ล้านเหรียญสหรัฐ

                             มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนเมษายน 2565
                             การส่งออก มีมูลค่า 782,146 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 19.3 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
                             การนำเข้า มีมูลค่า 856,253 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 31.7
                             ดุลการค้า ขาดดุล 74,107 ล้านบาท

                             ภาพรวมการส่งออก 4 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม-เมษายน)
                             การส่งออกมีมูลค่า 3,183,591 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 24.3
                             การนำเข้า มีมูลค่า 3,322,907 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 30.3
                             ดุลการค้า 4 เดือนแรก ขาดดุล 139,316 ล้านบาท

การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร

                             มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 10.8 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 17 เดือน สินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 49.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน และสหรัฐฯ) ข้าว ขยายตัวร้อยละ 44.0 ขยายตัว ต่อเนื่อง 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อิรัก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน เซเนกัล และโมซัมบิก) ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ขยายตัวร้อยละ 126.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 23 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินเดีย มาเลเซีย เมียนมา เวียดนาม ญี่ปุ่น และกัมพูชา) น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 87.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว เมียนมา และสิงคโปร์) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 24.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 32 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อิตาลี ออสเตรเลีย มาเลเซีย และเวียดนาม) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง หดตัวร้อยละ 12.4 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดจีน ฮ่องกง ไต้หวัน เวียดนาม และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวในตลาดมาเลเซีย สหรัฐฯ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ยางพาราหดตัวร้อยละ 8.6 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวในตลาดเกาหลีใต้ สหรัฐฯ ตุรกี บราซิล อินเดีย อิตาลี และสโลวีเนีย) เครื่องดื่ม หดตัวร้อยละ 14.5 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดเมียนมา เวียดนาม จีน และฟิลิปปินส์ แต่ขยายตัวในตลาดกัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และ สหรัฐฯ) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง หดตัวร้อยละ 12.7 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดจีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ ลาว และเมียนมา แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น มาเลเซีย กัมพูชา เนเธอร์แลนด์ และโอมาน) นมและผลิตภัณฑ์นม หดตัวร้อยละ 25.7 กลับมาหดตัวในรอบ 8 เดือน (หดตัวในตลาดกัมพูชา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เมียนมา และเวียดนาม แต่ขยายตัวในตลาดฮ่องกง ลาว ไต้หวัน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย)

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม

                             มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 8.3 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 14 เดือนโดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ขยายตัวร้อยละ 19.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 15 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน เวียดนาม อินเดีย กัมพูชา สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ลาว และเมียนมา) แผงวงจรไฟฟ้า ขยายตัวร้อยละ 15.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 17 เดือน (ขยายตัวในตลาดฮ่องกง สิงคโปร์ สหรัฐฯ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และไต้หวัน) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 48.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 14 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อินเดีย สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี และสหราชอาณาจักร) เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 25.6 ขยายตัวต่อเนื่อง 17 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนาม) ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม ขยายตัวร้อยละ 53.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 17 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย เวียดนาม และจีน) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 10.9 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และสหรัฐฯ แต่ขยายตัวในตลาดมาเลเซีย เม็กซิโก อินโดนีเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย) เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ หดตัวร้อยละ 30.7 กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวในตลาดเม็กซิโก เวียดนาม และสหราชอาณาจักร) ผลิตภัณฑ์ยาง หดตัวร้อยละ 5.2 หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย เวียดนาม และเกาหลีใต้ แต่ขยายตัวในตลาดจีน ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ เม็กซิโก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และฝรั่งเศส) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 8.1 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอินเดีย แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฟิลิปปินส์ และเบลเยียม) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด หดตัวร้อยละ 8.6 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม ฮ่องกง ญี่ปุ่น และจีน แต่ขยายตัวในตลาดไต้หวัน ตุรกี สิงคโปร์ และแคนาดา)

ตลาดส่งออกสำคัญ

                             การส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ชะลอตัวลง ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ขณะที่การส่งออกไปตลาดจีนหดตัว เนื่องจากผลกระทบจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ 1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 7.6 โดยขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ร้อยละ 13.6 อาเซียน (5) ร้อยละ 26.9 CLMV ร้อยละ 9.3 ขณะที่ตลาด จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป (27) หดตัวร้อยละ 7.2 ร้อยละ 0.3 และ 0.2 ตามลำดับ (2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 12.4 ขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 33.9 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 25.4 ทวีปแอฟริกา ร้อยละ 14.9 และลาตินอเมริกา ร้อยละ 2.0 ขณะที่ทวีปออสเตรเลีย และรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS หดตัวร้อยละ 4.5 และ 65.2 ตามลำดับ และ (3) ตลาดอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 172.2 อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ ขยายตัวร้อยละ 392.2

                             ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 13.6 (ขยายตัวต่อเนื่อง 23 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เป็นต้น ขณะที่ 4 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 21.5

                             ตลาดจีน หดตัวร้อยละ 7.2 (กลับมาหดตัวในรอบ 17 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ยางพารา ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าที่สำคัญขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ยาง และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ขณะที่ 4 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 0.9

                             ตลาดญี่ปุ่น หดตัวร้อยละ 0.3 (กลับมาหดตัวในรอบ 5 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ขณะที่ 4 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 0.9

                             ตลาดอาเซียน(5) ขยายตัวร้อยละ 26.9 (ขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำตาลทราย และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ขณะที่ 4 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 26.9

                             ตลาด CLMV ขยายตัวร้อยละ 9.3 (ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำตาลทราย เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม เป็นต้น ขณะที่ 4 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 6.4

                             ตลาดสหภาพยุโรป (27) หดตัวร้อยละ 0.2 (กลับมาหดตัวในรอบ 15 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่  รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ขณะที่ 4 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 4.3

                             ตลาดเอเชียใต้ ขยายตัวร้อยละ 33.9 (ขยายตัวต่อเนื่อง 15 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ เคมีภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ เม็ดพลาสติก และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม เป็นต้น ขณะที่ 4 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 27.9 

                             ตลาดทวีปออสเตรเลีย หดตัวร้อยละ 4.5 (หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องยนต์สันดาปภายใน และเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ขณะที่ 4 เดือนแรกของปี 2565 หดตัวร้อยละ 2.9

                             ตลาดตะวันออกกลาง ขยายตัวร้อยละ 25.4 (ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว อัญมณีและเครื่องประดับ เคมีภัณฑ์ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น ขณะที่ 4 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 17.7

                             ตลาดทวีปแอฟริกา ขยายตัวร้อยละ 14.9 (ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และข้าว เป็นต้น ขณะที่ 4 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 2.3

                             ตลาดลาตินอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 2.0 (ขยายตัวต่อเนื่อง 15 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องยนต์สันดาปภายใน เป็นต้น ขณะที่ 4 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 4.2

                             ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS หดตัวร้อยละ 65.2 (หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ เป็นต้น ขณะที่ 4 เดือนแรกของปี 2565 หดตัวร้อยละ 25.5

แนวโน้มและแผนส่งเสริมการส่งออกระยะถัดไป

                             แนวโน้มการส่งออกไทย การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศคู่ค้าต้องการรักษาความมั่นคงทางอาหาร สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีจากสินค้าขั้นกลาง เช่น เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ สินค้าที่เกี่ยวกับน้ำมัน (เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซธรรมชาติ) นอกจากนี้ สินค้าไลฟ์สไตล์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันจะได้รับอานิสงส์จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกไทยอาจยังได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบพื้นฐานที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อยู่บ้างในช่วงครึ่งแรกของปี สำหรับตลาดส่งออก คาดว่าบางตลาดจะมีแนวโน้มขยายตัวได้ท่ามกลางสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน เช่น การส่งออกไปตลาดอาเซียนมีทิศทางดีขึ้น หลังเริ่มทยอยเปิดประเทศ และผ่อนคลายมาตรการควบคุมให้ดำเนินกิจกรรมเศรษฐกิจได้ปกติ นอกจากนี้ การส่งออกไปยังตลาดตะวันออกกลางมีแนวโน้มดีต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภาคพลังงาน ซึ่งส่งผลดีต่อกำลังซื้อ ขณะเดียวกันการส่งออกไทยได้รับประโยชน์จากทิศทางเงินบาทอ่อนค่าที่เอื้อต่อการส่งออก อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศคู่ค้าหลัก ซึ่งอาจเป็นปัจจัยบั่นทอนการส่งออกในระยะถัดไป

                             แผนส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเชิงรุก เพื่อผลักดันและอำนวยความสะดวกด้านการส่งออกของผู้ประกอบการไทย ได้แก่ 1) ปลดล็อกอุปสรรคการส่งออกสินค้าผลไม้ไปจีน ส่งเสริมให้เปลี่ยนไปขนส่งสินค้าทางเรือมากขึ้น เพื่อลดความแออัดของด่านพรมแดนทางบก ขณะเดียวกันกระทรวงฯ มอบหมายให้ทูตพาณิชย์เร่งเจรจากับทางการจีนให้อำนวยความสะดวกการขนส่งทางบกให้เป็นไปอย่างคล่องตัว 2) ฟื้นฟูตลาดซาอุดีอาระเบีย นำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน SAUDI FOOD EXPO พร้อมสร้างการเจรจาจับคู่ธุรกิจ อีกทั้งจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทยร่วมกับซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในซาอุดีอาระเบีย เช่น ข้าว อาหารฮาลาล ผลไม้ 3) ส่งเสริมการค้าที่มีกระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงบริบททางการค้าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการค้ากับสหภาพยุโรป 4) เร่งรัดการเจรจาจัดทำ FTA และ Mini-FTA เพื่อเพิ่มโอกาสและขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทย และกระชับความสัมพันธ์กับคู่ค้าทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี

ท่านสามารถดาวน์โหลดเอกสารประกอบการแถลงข่าวภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย ประจำเดือนเมษายน 2565 ได้ที่ คลิกที่นี่

--------------------------------------------

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
กระทรวงพาณิชย์
27 พฤษภาคม 2565

ผลกระทบการค้าระหว่างประเทศ

ผลกระทบการค้าระหว่างประเทศ

ผลกระทบการค้าระหว่างประเทศ

ผลกระทบการค้าระหว่างประเทศ

ผลกระทบการค้าระหว่างประเทศ

ผลกระทบการค้าระหว่างประเทศ

ผลกระทบการค้าระหว่างประเทศ

ผลกระทบการค้าระหว่างประเทศ

ผลกระทบของการค้าระหว่างประเทศมีอะไรบ้าง

-สามารถสร้างการค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น -ช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยของการผลิต -ช่วยสร้างความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ และ การเมืองของประเทศสมาชิกในกลุ่ม -ทำให้ประเทศเล็กที่รวมกลุ่มกัน มีอำนาจในการเจรจาต่อรองเพิ่มขึ้นในเวทีตลาดโลก

การค้าระหว่างประเทศมีความสําคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างไร

เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยพัฒนาความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจให้กับประเทศที่กำลังพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเน้นหนักไปที่เรื่องของการส่งออก ทำให้เศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ เกิดการขยายตัว เกิดอุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้น การผลิตสินค้าเพื่อส่งออกก็มีมากขึ้น เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชน

การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศก่อให้เกิดผลดีอย่างไร

มีเงินตราจากต่างประเทศไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น ลดปัญหาดุลการชำระเงินขาดดุล ได้รับเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยี เข้ามาใช้ผลิตในประเทศ ช่วยให้เกิดการจ้างงานได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ๆ ถ่ายทอดวิธีการในการบริหารจัดการ มีโอกาสส่งออกสินค้าไปแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้นและได้รับการยอมรับมากขึ้น

ทำไมจึงต้องมีการค้าระหว่างประเทศ

เหตุผลทางเศรษฐกิจที่ทำให้ประเทศต่างๆในโลกทำการค้าขายกันเป็นเพราะว่า ไม่มีประเทศใดในโลกสามารถผลิตสินค้าและบริการทุกอย่างได้ครบและเพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ ถึงแม้ว่าบางประเทศจะมีขีดความสามารถผลิตสินค้าได้ทุกอย่างแต่อาจจะมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าซึ่งไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน การที่แต่ละประเทศผลิตเฉพาะสินค้า ...