เมื่อถึงรอบที่จะต้อง ยื่นภาษี กรมสรรพากรก็ได้เปิดให้ประชาชนผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์กำหนดยื่นแสดงรายได้และจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2564 สามารถยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2565 และสามารถยื่นแบบภาษีฯได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th หรือยื่นผ่าน Rd smart tax application ทางโทรศัพท์มือถือ จะได้รับสิทธิ์ขยายเวลาการยื่นแบบฯ ออกไปอีก 8 วัน Show โดยการ ยื่นภาษี มีด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ถ้าจะให้มองเห็นภาพง่ายๆเลย ก็คือ คนมีเงินเดือน โบนัส ค่าครองชีพก็ให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.91 หรือคนที่มีรายได้เป็นเงินเดือนเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีรายได้ทางอื่น ส่วนคนที่มีรายได้อื่น ๆ หรือมีทั้งเงินเดือนและรายได้อื่น ๆเช่น ค้าขายแบบบุคคลธรรมดา เงินปันผล หรืออื่น ๆ ก็ให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 ซึ่งการคิดอัตราภาษีนั้นก็ขึ้นอยู่กับเงินได้สุทธิหรือรายได้ของผู้เสียภาษีแต่ละคน
ข้อมูล : กรมสรรพากร ยกตัวอย่าง กรณีมีรายได้ประเภทที่ 1 (เงินเดือน) และประเภทที่ 2 (ค่าจ้างทั่วไป-ฟรีแลนซ์) จะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ดังนั้น จากตารางด้านบนนี้แสดงว่า หากมีรายได้ตลอดทั้งปีไม่เกิน 310,000 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อนส่วนตัวรวม 160,000 บาทแล้ว จะเหลือเงินได้สุทธิ 150,000 บาท ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษี แต่ถ้ามีรายได้สุทธิมากกว่า 310,000 บาท แสดงว่าจะต้องยื่นภาษี แต่จะเสียภาษีมาก-น้อยแค่ไหนนั้น ให้วิธีคำนวณภาษี ด้วยการ นำ รายได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน x อัตราภาษี ขั้นตอนที่ 1 นำรายได้ตลอดทั้งปีมาหักค่าใช้จ่าย แยกตามประเภทของรายได้ และหักลดหย่อนตามรายการต่าง ๆ เพื่อหารายได้สุทธิ ในการ ยื่นภาษี ตัวอย่างที่หนึ่ง มานะ มีรายได้ทั้งปี 600,000 บาท จะต้องหักค่าใช้จ่ายเบื้องต้นดังนี้ - หักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ (แต่ไม่เกิน 100,000 บาท) = 100,000 บาท จะเหลือรายได้สุทธิ 500,000 บาท ขั้นตอนที่ 2 นำรายได้ที่เหลือมาหักค่าลดหย่อน โดยให้ลองสำรวจดูว่ามีค่าลดหย่อนอะไรบ้าง แล้วนำค่าลดหย่อนนั้นมาลบออกจาก 500,000 บาท เช่น หากปีนี้ มานะ ซึ่งมีภรรยา 1 คน มีรายได้ไม่ถึง 30,000 บาท ทั้งคู่จดทะเบียนสมรสกันแล้ว แต่ไม่มีบุตร, มีบิดาอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ต้องเลี้ยงดู 1 คน, ซื้อ SSF ไป 50,000 บาท, ซื้อประกันสุขภาพ 9,000 บาท ก็สามารถนำค่าใช้จ่ายลดหย่อนทั้งหมดมาหักออกจาก 500,000 บาท ดังนี้ - หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท - หักค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท - หักค่าลดหย่อนเลี้ยงดูบิดา 1 คน จำนวน 30,000 บาท - หักค่าซื้อ SSF ไป 50,000 บาท - หักค่าประกันสุขภาพ 9,000 บาท รวมหักไปทั้งสิ้น 209,000 บาท ทำให้ มานะ จะเหลือรายได้สุทธิ 291,000 บาท ขั้นตอนที่ 3 นำรายได้สุทธิที่ได้ มาเทียบอัตราภาษี ซึ่งปัจจุบันใช้วิธีเสียภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งอัตราภาษี ในปี 2564 ที่มานะต้องเสีย (ตามตารางอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา2564 ด้านบน) กรณีของมานะ มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 291,000 บาท เท่ากับต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 5% แต่ในจำนวนนี้ 150,000 บาทแรก ได้รับการยกเว้นภาษี จึงคงเหลือส่วนที่ต้องเสียภาษีอยู่ที่ (291,000-150,000) = 141,000 บาท ที่อัตรา 5% คิดเป็นเงินภาษี 7,050 บาท ภาพประกอบ:AFP, สรรพากร ตัวอย่างที่สอง พากเพียรทำงานมีรายได้รวมทั้งปี 800,000 บาท เลี้ยงดูบุตรอายุ 6 ขวบ และ 4 ขวบ ส่งเงินสมทบประกันสังคม 5,100 บาท ซื้อประกันชีวิตไว้ 50,000 บาท เลี้ยงดูบิดา-มารดา 2 คน คำนวณภาษีได้ด้วยการ - หักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ (แต่ไม่เกิน 100,000 บาท) = 100,000 บาท - หักค่าประกันสังคม 5,100 บาท - หักค่าซื้อประกันชีวิต 50,000 บาท - หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท - หักค่าลดหย่อนบุตร 2 คน รวม 60,000 บาท - หักค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดา 2 คน รวม 60,000 บาท รวมหักค่าลดหย่อนไป 335,100 บาท ดังนั้น พากเพียร จะเหลือรายได้สุทธิ 800,000-335,100 = 464,900 บาท จึงต้องเสียภาษีที่ขั้น 10% ซึ่งคำนวณแต่ละขั้น(ตามตารางอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา2564 ด้านบน) - 150,000 บาทแรก ไม่เสียภาษี จึงเหลือเงินที่ต้องไปคำนวณ (464,900-150,000) = 314,900 บาท - ส่วนต่อมาเสียภาษี 5% ซึ่งจำนวนเงินภาษีของฐาน 5% คือ 7,500 บาท จึงเหลือเงินที่ต้องไปคำนวณต่อที่ฐาน 10% (314,900-150,000) = 164,900 บาท - เงินส่วนที่เหลือ 164,900 บาท นำมาคิดภาษีที่ฐาน 10% จะเท่ากับ 16,490 บาท นำเงินภาษีแต่ละขั้นมารวมกัน (7,500+16,490) เท่ากับพากเพียรต้อง เสียภาษี 23,990 บาท ส่วนกรณีมีเงินได้ประเภทอื่น นอกจากเงินเดือนด้วย จะมีการหักค่าใช้จ่ายที่ต่างกันไป ซึ่งต้องนำไปคำนวณอีกที ได้แก่
กรณีมีเงินได้ประเภทอื่น ๆ นอกจากเงินได้ประเภทที่ 1 (เงินเดือน โบนัส ค่าคอมมิชชัน เบี้ยเลี้ยง บำเหน็จ บำนาญ) รวมกันเกิน 1 ล้านบาทต่อปี จะต้องลองใช้วิธีคำนวณภาษีแบบเหมา คือ (เงินได้ทั้งหมด - เงินได้ประเภทที่ 1) x 0.5% แล้วเปรียบเทียบกันดูว่า วิธีคำนวณภาษีแบบปกติ คือ (รายได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี กับคำนวณภาษีแบบเหมา คือ (เงินได้ทั้งหมด - เงินได้ประเภทที่ 1) x 0.5% แบบไหนต้องจ่ายภาษีมากกว่าก็ให้ใช้วิธีนั้นในการคำนวณเพื่อเสียภาษี ภาพประกอบ:AFP สำหรับใครที่ยังไม่ได้ ยื่นภาษี ก็ลองนำวิธีการคำนวณภาษีไปลองประเมินค่าใช้จ่ายในเบื้องต้นกันดู เพื่อที่จะได้วางแผนภาษีกับช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้ โดยต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่า หากจ่ายเพิ่มแล้วจะคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือนำมาลดหย่อนได้จริงหรือไม่ ถ้าดูแล้วเป็นประโยชน์ก็สมควรจะที่จะจ่ายเพิ่ม ที่สำคัญอย่าลืมเช็กเวลาสิ้นสุดการยื่นภาษีด้วยล่ะ ... อ้างอิง : กรมสรรพากร ภาพประกอบ: พีอาร์ ซิตี้แบงก์
รายได้ปีละล้านเสียภาษีเท่าไรเงินได้สุทธิเกินกว่า 1,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 2,000,000 บาท เสียภาษีอัตราร้อยละ 25. เงินได้สุทธิเกินกว่า 2,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 4,000,000 บาท เสียภาษีอัตราร้อยละ 30. เงินได้สุทธิเกินกว่า 4,000,000 บาท ขึ้นไป เสียภาษีอัตราร้อยละ 35.
รายได้เท่าไรเสียภาษี 2564
รายได้ 7 ล้านเสียภาษีเท่าไรอัตราภาษีแบบขั้นบันได ตามรายได้ที่ได้รับ
500,001 – 750,000 บาท อัตราภาษี 15% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 37,500 บาท) 750,001 – 1,000,000 บาท อัตราภาษี 20% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 50,000 บาท) 1,000,001 – 2,000,000 บาท อัตราภาษี 25% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 250,000 บาท)
รายได้ปีละ2ล้านเสียภาษีเท่าไรสรุปรายได้ 2 ล้านบาทเสียภาษีน้อยที่สุดคือ 10,000 บาท ตามที่กรมสรรพากรบอก (รายได้ 2 ล้านบาททำธุรกิจขาดทุนก็ต้องเสียภาษีขั้นต่ำ 10,000 บาท จะแตกต่างกับนิติบุคคลที่ขาดทุนไม่ต้องเสียภาษี และยกผลขาดทุนสะสมไปใช้ปีถัดไปได้)
|