Wireless#1: Definition and standard Show Wireless คืออะไร? Wireless คือการสื่อสารไร้สายด้วยคลื่นความถี่วิทยุทุกประเภทรวมถึง วิทยุ FM, AM, วิทยุสื่อสาร, Microwave (Fiber optic ใช้ลำแสงเป็นตัวนำสัญญาณ) แต่ในยุคปัจจุบัน คำว่า Wireless โดยทั่วไปจะเข้าใจในความหมายของการสื่อสารไร้สายของอุปกรณ์เครือข่าย คอมพิวเตอร์ Tips: ถนนวิทยุในกรุงเทพฯ เดิมใช้ชื่อ Wireless ต่อมาใช้ชื่อตามเสียงอ่านว่า Witthayu ชื่อ ถนนสายนี้มาจากการตัดถนนผ่านสถานีวิทยุแห่งแรกของประเทศไทยที่ตั้งอยู่ใน บริเวณสวนลุมไนท์บาซาร์ในปัจจุบัน โดยเสาที่ตั้งเด่นสง่าในสวนลุมไนท์บาซาร์คือเสาติดตั้งสายอากาศวิทยุนั่นเอง Hotspot & WiFi คำ จำกัดความของคำว่า Hotspot เป็น Wireless Access Point ที่ให้บริการสาธารณะ โดยผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตจะจำหน่ายเวลาให้กับผู้ใช้บริการ เพื่อนำไปใช้ในการ Log-in เข้าสู่ระบบของผู้ให้บริการผ่าน Hotspot ของรายนั้นๆ ซึ่งสามารถใช้งานได้กับอุปกรณ์ทุกตัวที่รองรับการเชื่อมต่อเข้าระบบด้วย Web browser ผ่าน Wireless ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับการใช้งานเครือข่ายโทรศัพท์มือถือค่ายใดๆ คลื่นความถี่วิทยุ (Radio frequency) คลื่น ความถี่วิทยุที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นตัวรับ-ส่ง จะครอบคลุมตั้งแต่ความถี่ 3 กิโลเฮิร์ต (Kilo Hertz: kHz) ถึง 300 กิกกะเฮิร์ต (Giga Hertz: GHz) โดยความถี่ช่วง 3 - 30 กิโลเฮิร์ต จะเป็นความถี่ที่มนุษย์สามารถได้ยิน เป็นความถี่ของการสนทนาปกติ ส่วนความถี่ที่สูงกว่า 300 กิกกะเฮิร์ต จะเป็นความถี่ที่มีความเข้มสูงมาก จนเราสามารถมองเห็นได้เป็นแสงต่างๆ นั่นเอง ความยาวคลื่น (Wavelength) จะเป็นค่าแปรผันกับความถี่ ยิ่งความถี่สูงขึ้น ความยาวคลื่นจะยิ่งสั้นลง สูตรคำนวณค่าความยาวคลื่นคือ λ (Lamda) = 29980 / ความถี่(MHz) ค่าที่ได้มีหน่วยเป็นเซนติเมตร ค่าที่ได้นี้สามารถนำไปสร้างสายอากาศได้ทันที
องค์กรที่ควบคุมข้อกำหนดการใช้งานคลื่นความถี่วิทยุ ความ ถี่วิทยุถูกตั้งข้อกำหนดในการใช้งานในแต่ละย่านความถี่โดย ITU (International Telecommunication Union) ซึ่งเป็นองค์กรสากลที่ตั้งมาตรฐานการใช้ความถี่วิทยุในแต่ละภูมิภาคของโลก โดยความถี่ที่ ITU กำหนดให้ใช้ในกิจการเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไร้สายคือ 2.4 GHz และ 5 GHz (อาจจะมีความถี่ย่านอื่นที่ได้ถูกกำหนดไว้ให้ใช้ในกิจการนี้แล้ว เพียงแต่ยังไม่มีอุปกรณ์ออกมารองรับ) ส่วนหน่วยงานในประเทศไทยที่ควบ คุมการใช้งานความถี่ คือ กสทช. (สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ความถี่วิทยุในกิจการโทรศัพท์มือถือ ในปัจจุบันมีความถี่ใช้งานในกิจการโทรศัพท์มือถือดังนี้ GSM/HSPA 850/900/1700/1800/1900/2100 MHz CDMA 800 MHz ซึ่งจะถูกจัดสรรให้กับผู้ให้บริการในแต่ละราย ความถี่วิทยุในกิจการ WiMax เบื้องต้นมีอยู่ 2 ช่วงความถี่คือ 2.5 และ 3.5 GHz ความถี่วิทยุในกิจการเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไร้สาย ความ ถี่วิทยุย่าน 2.400-2.500 GHz อยู่ในมาตรฐาน 802.11b/g/n และความถี่วิทยุย่าน 5.150-5.350, 5.470-5.725, 5.725-5.850 GHz อยู่ในมาตรฐาน 802.11a/n เป็นความถี่ free band ไม่ต้องขออนุญาตใช้งาน แต่ต้องอยู่ในขอบข่ายของกฎหมายในแต่ละภูมิภาคของโลกและของประเทศต่างๆ (ถ้ามี) ตารางต่อไปนี้แสดงมาตรฐานการใช้งานคลื่นความถี่ในกิจการเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไร้สายตามกฎหมายของไทย
การ ใช้งานในความถี่เหล่านี้เป็นกิจการรองไม่ได้รับความคุ้มครองในการถูกรบกวน แต่ถ้าการใช้งานไปรบกวนกิจการหลักอย่างรุนแรงจะต้องระงับการใช้งานทันที Wireless#2: Antenna system and tower สายนำสัญญาณ การเลือกใช้สายนำสัญญาณ ต้องดูจากคุณสมบัติต่างๆ ของสายนำสัญญาณ เช่น
แต่ ในการใช้งานขั้นสูง ความยาวของสายนำสัญญาณจะมีความสัมพันธ์กับความยาวคลื่น ซึ่งจะใช้ในกรณีการต่อสายอากาศหลายต้นจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน (การคำนวณมีความซับซ้อนพอสมควร) สายอากาศ หรือ เสาอากาศที่เรียกกันโดยทั่วไป เป็นส่วนที่ใช้แพร่กระจายคลื่นความถี่วิทยุออกไปตามการออกแบบใช้งานของสาย อากาศ ส่วนความถี่ใช้งานนั้นจะถูกออกแบบให้ใช้ตามย่านความถี่นั้นๆ เฉพาะ ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ความถี่ 2.4 GHz ต้องใช้กับสายอากาศ 2.4 GHz เท่านั้น (ยกเว้นอุปกรณ์ภาครับอย่างเดียวเช่น วิทยุ FM-AM) ทำไมเรียกว่า สายอากาศ? เนื่องจากสมัย ก่อน การสื่อสารวิทยุที่ความถี่ต่ำ จะมีความยาวคลื่นยาวมาก ซึ่งการนำเหล็กหรือตัวนำโลหะอื่นๆ มาใช้แพร่กระจายคลื่น จะทำให้มีน้ำหนักมาก ออกแบบยากและการเก็บรักษาทำได้ช้าและลำบาก โดยเฉพาะในช่วงภาวะสงครามที่ความถี่วิทยุมีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการรบ สายอากาศจะทำมาจากเส้นลวดทองแดง ที่มีน้ำหนักเบา ออกแบบง่ายและเก็บรักษาได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้เรียกเส้นลวดที่ใช้แพร่สัญญาณว่า สายอากาศ ลักษณะการแพร่กระจายของคลื่นวิทยุ คุณสมบัติของสายอากาศในทางทฤษฎีจะมีรูปลักษณะการกระจายคลื่นสองแบบคือ
แต่ ในความเป็นจริงการกระจายคลื่นมีหลายรูปแบบทั้งแบบแนวสายตา สะท้อนวัตถุ สะท้อนผิวโลกหรือชั้นเมฆ ขึ้นอยู่กับระยะทาง สิ่งกีดขวาง ฯลฯ อัตราขยายของสายอากาศ (Gain: dB) เป็น ตัวบ่งบอกอัตราขยายของสายอากาศนั้นๆว่า สามารถขยายกำลังที่ถูกส่งเข้ามาที่สายอากาศและแพร่กระจายออกไปได้ไกลเท่า ไหร่ โดยหน่วยของอัตราขยายจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ dBi เป็นหน่วยของอัตราขยายเทียบกับสายอากาศแบบ Isotropic dBd เป็นหน่วยของอัตราขยายเทียบกับสายอากาศแบบ Dipole โดยที่ 2.15 dBi = 0 dBd อัตราขยายยิ่งสูง ระยะทางยิ่งไปได้ไกลขึ้น แต่องศาในการกระจายคลื่นจะยิ่งแคบลง ประเภทของสายอากาศ สายอากาศรอบตัว (Omni-directional) จะออกอากาศในแนวนอน 360 องศา (เป็นค่าตายตัวของสายอากาศประเภทนี้) ส่วนแนวตั้งขึ้นอยู่กับอัตราขยาย อัตราขยายยิ่งมาก การกระจายคลื่นแนวตั้งจะยิ่งแคบลง โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 2 – 18 dBi สายอากาศทิศทาง (Directional) จะมีทั้งแบบกึ่งทิศทางและแบบทิศทาง แบบ กึ่งทิศทาง (Dipole, Patch panel, Sector) การแพร่กระจายคลื่นจะออกมารอบทิศทาง แต่จะเน้นออกไปทิศทางด้านหน้าของสายอากาศ ซึ่งระยะทางและมุมการกระจายคลื่นขึ้นอยู่กับอัตราขยาย แบบทิศทาง (Yagi-Uda, Helical (Helix), Grid, Parabolic Dish) จะเน้นทิศทางด้านหน้ามากกว่าแบบอื่นๆ และสัญญาณด้านหลังและด้านข้างจะแพร่กระจายออกมาน้อยมาก ส่วนใหญ่อัตราขยายจะสูงกว่า 20 dBi สายอากาศแบบ Helical (Helix) หรือสายอากาศก้นหอย จะมีความพิเศษอยู่ตรงที่ ลักษณะของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่แพร่กระจายออกมา จะมีทั้งแนวตั้งและแนวนอน ทำให้สายอากาศภาครับไม่จำเป็นต้องทำแนวเดียวกับสายอากาศต้นทางที่เป็น helical และค่าสัดส่วนอัตราขยายหน้า/หลัง (Front/back ratio) มีอัตราที่ดีมาก แต่ก็เป็นสายอากาศที่สร้างยากอีกด้วย Tips: สาย อากาศแบบยากิ-อูดะ (Yagi-Uda) ออกแบบโดย ศจ. ฮิเดจุกุ ยากิ และ ศจ. ชินทาโร อูดะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล จึงตั้งชื่อสายอากาศแบบนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านทั้งสอง แต่ปัจจุบันจะเรียกติดปากกันเหลือแค่สายอากาศยากิ ค่า SWR (Standing Wave Ratio) หรือ VSWR (Voltage Standing Wave Ratio) เป็น ส่วนสำคัญที่สุดในการตรวจสอบว่า สายอากาศที่ใช้อยู่ มีประสิทธิภาพเพียงใด โดยค่ามาตรฐานจะอยู่ที่ 1.1:1 – 1.5:1 กรณีเลวร้ายสุดไม่ควรเกิน 2:1 สัดส่วนนี้เป็นสัดส่วนระหว่างกำลังส่งที่ถูกส่งออกไปต่อกำลังส่งที่ถูกสะท้อนกลับมา ตัวอย่างเช่น สาย อากาศใช้ในความถี่ 2.4 – 2.5 GHz ต้องใช้ค่ากึ่งกลางมาคำนวณการทำสายอากาศคือ 2.45 GHz ซึ่งจะได้ค่าออกมาเป็น 29980 / 2450 = 12.2367 เซนติเมตร และถ้าคำนวณความถี่ปลายจะได้ค่าเป็น 2.4 GHz = 12.4917 ซม. และ 2.5 GHz = 11.992 ซม. แต่ ในหลักความเป็นจริง สายอากาศไม่สามารถยืดหดความยาวตามความถี่ใช้งานได้ จึงต้องใช้ค่ากึ่งกลาง และนำมาคำนวณเพื่อให้สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งย่านความถี่ที่จะใช้งาน โดยค่า SWR อาจจะเป็นลักษณะดังนี้ 2.400 GHz = 1.5:1 2.425 GHz = 1.3:1 2.450 GHz = 1.1:1 2.475 GHz = 1.3:1 2.500 GHz = 1.5:1 ซึ่งการคำนวณค่า SWR ที่แท้จริงจะซับซ้อนกว่านี้ ในที่นี้จึงเป็นการอธิบายแบบคร่าวๆ เท่านั้น Tips: ในหลักความเป็นจริง สายอากาศที่มีค่า SWR เป็น 1.x:1 ตลอดช่วงความถี่ไม่มีอยู่จริงในโลก อาจ จะมีสายอากาศที่มีค่า SWR (เฉพาะความถี่กึ่งกลาง) เป็น 1:1 อยู่จริง แต่อาจจะเกิดปรากฏการณ์ “หูหนวกตาบอด” รับไม่ได้ส่งไม่ออก เกิดขึ้น เพราะค่าองค์ประกอบอื่นๆ อาจจะเกิดการผันผวนอย่างรุนแรงจนทำให้สายอากาศไร้ประสิทธิภาพไปในที่สุด กำลังส่ง เป็นกำลังที่ใช้ผลักดันสัญญาณวิทยุให้ออกไปสู่ปลายทาง มีหน่วยเป็นวัตต์ (W) ส่วนกำลังส่งย่อยลงไปจะมีหน่วยเป็นมิลลิวัตต์ (mW: 1/1000 W) หน่วยของกำลังส่งอีกแบบหนึ่งคือการแปลงค่าจาก mW เป็น dBm เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณค่า E.I.R.P. และค่า E.R.P.
กำลัง ส่งยิ่งสูง สัญญาณวิทยุยิ่งไปได้ไกล แต่ต้องอยู่ในความสมดุลของอุปกรณ์ เพราะถ้ากำลังส่งสูงเกินไปจนทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ในอุปกรณ์ Wireless เสียหายเช่น ภาคกรองความถี่ อาจจะเกินคลื่นวิทยุที่ไม่พึงประสงค์ออกมารบกวนอย่างรุนแรงได้ กรณี ที่กำลังส่งเท่ากัน สายอากาศประเภทเดียวกันและอัตราขยายเท่ากัน ความถี่วิทยุที่ต่ำกว่าจะไปได้ไกลกว่า เนื่องจากอัตราการสูญเสียสัญญาณน้อยกว่า และการเดินทางของสัญญาณมีลักษณะกระจายมากกว่า เช่น กำลังส่ง 1 วัตต์ที่ความถี่ 7 MHz เสาสูง 20 เมตร จากไทยสามารถส่งไปได้ถึงหมู่เกาะมัลดีฟส์ ฝั่งทะเลตะวันตกของอินเดีย ส่วนกำลังส่ง 1 วัตต์ที่ความถี่ 2.4 GHz เสาสูง 20 เมตรอาจจะไปได้ 20 กิโลเมตร โดยประมาณ (ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม เช่น สภาพอากาศ ความชื้น ตำแหน่งความสูงของสายอากาศ เป็นต้น) ตำแหน่งความสูงของสายอากาศ ตำแหน่ง ความสูงของสายอากาศจะมีค่าแปรผันตามความถี่วิทยุ ยิ่งความถี่สูงขึ้น ลักษณะการแพร่กระจายจะเข้มข้นขึ้นและกระจายตัวน้อยลง ทำให้ได้รับผลกระทบจากส่วนโค้งของผิวโลกโดยตรง จึงต้องติดตั้งสายอากาศให้สูงขึ้น สิ่งบดบัง สิ่งบดบังที่อยู่ระหว่างทางจะมีผลกระทบในการรับ-ส่งสัญญาณ โดยเฉพาะความถี่วิทยุที่สูงขึ้นยิ่งเกิดผลกระทบมากขึ้น วัสดุ ที่ดูดซับหรือบดบังสัญญาณได้มากที่สุด คือ วัสดุที่มีความชื้นสูงหรือความหนาแน่นสูง เช่น ม่านน้ำตก ต้นไม้ที่ขึ้นหนาแน่น คอนกรีตเสริมเหล็กหนา เป็นต้น เสา (Tower) มีหลายรูปแบบให้เลือกใช้งานตามพื้นที่ที่ต้องการใช้งาน
มีทั้งแบบที่ทำจากเหล็กและอลูมิเนียม และการตั้งเสาสูงต้องอยู่ในกฎข้อบังคับของกรมการขนส่งทางอากาศด้วย การรบกวนสัญญาณ การ รบกวนและการถูกรบกวนสัญญาณ เกิดได้จากหลายสาเหตุ สิ่งที่มีผลกระทบโดยตรงกับ Wireless คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพราะเป็นคลื่นประเภทเดียวกัน แม้ว่าความถี่จะไม่ตรงกันหรือห่างกันมาก แต่ถ้าหากความเข้มข้นของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีสูง หรืออุปกรณ์ด้อยประสิทธิภาพในการคัดกรองคลื่นรบกวน โดยเฉพาะอุปกรณ์ส่งสัญญาณที่ส่งกำลังสูงแต่ส่งคลื่นที่ไม่พึงประสงค์ออกมา มาก ยิ่งมีผลกระทบมาก ส่วนสาเหตุจากธรรมชาติจะเป็นประจุไฟฟ้าในอากาศ เช่น ฟ้าผ่า พายุสุริยะ ขั้วแม่เหล็กโลก เป็นต้น Dynamic Frequency Selection (DFS) เป็น รูปแบบการเปลี่ยนช่องสัญญาณเองโดยอัตโนมัติ เมื่ออุปกรณ์ตรวจพบสัญญาณรบกวนจากความถี่เรดาร์ภาคพื้นดิน ซึ่งได้รับการยืนยันในหลายพื้นที่ของประเทศไทยแล้วว่าช่วงความถี่ที่ ถูกรบกวนมากที่สุดคือ 5.5 – 5.7 GHz (5 GHz Middle band) โดยจะมีผลกระทบมากกับการเชื่อมต่อสัญญาณระยะไกล Wireless#3: 802.11 Standard and configuration มาตรฐานต่างๆ ของ Wireless Network มาตรฐานการเชื่อมต่อข้อมูล การ เชื่อมต่อข้อมูลบน Wireless คือ Carrier sense multiple access with collision avoidance (CSMA/CA) เนื่องจากใช้อากาศเป็นสื่อกลางในการรับ-ส่งข้อมูล ทำให้ไม่สามารถตรวจจับการชนกันของข้อมูลได้ ต้องทำการรับข้อมูลให้ครบถ้วนก่อน จึงจะส่งข้อมูลตอบกลับได้ และระบบ Wireless ทำงานบนความถี่เดียว การทำงานจึงเป็นแบบผลัดกันรับ-ส่ง (Half duplex) โดยจะแตกต่างจากการเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบสาย คือ Carrier sense multiple access with collision detect (CSMA/CD) ซึ่งสามารถตรวจจับการชนกันของข้อมูลได้ จึงรับส่งข้อมูลได้เร็วกว่า และระบบสายมีสองทางพร้อมกันทำให้สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้พร้อมกัน (Full duplex) มาตรฐานด้านคลื่นความถี่ มาตรฐานของความถี่หลักๆ จะมีอยู่ 2 มาตรฐานคือ FCC (USA) และ ETSI (Europe) มาตรฐานด้านความเร็วและความสัมพันธ์กับระยะทาง 802.11a (OFDM) ความถี่ 5 GHz ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดอยู่ที่ 54 Mbps 802.11b (HR-DSSS) ความถี่ 2.4 GHz ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดอยู่ที่ 11 Mbps 802.11g (ERP-OFDM) ความถี่ 2.4 GHz ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดอยู่ที่ 54 Mbps 802.11n (HT) ความถี่ 2.4 และ 5 GHz ความเร็ว (ทางทฤษฎี) ในการรับส่งข้อมูลสูงสุดอยู่ที่ 600 Mbps แต่ โดยทั่วไปแล้ว ในความเร็วระดับ 54 Mbps จะได้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่แท้จริงอยู่ที่ประมาณ 24 Mbps เนื่องจากเป็นการสื่อสารแบบผลัดกันรับ-ส่ง (Half Duplex) และจะลดลงตามระยะทางระหว่างสถานีกับเครื่องลูก Tips: การเชื่อมต่อข้อมูลผ่าน Bluetooth ใช้เทคโนโลยี FHSS บนความถี่ 2.4 GHz ซึ่งการใช้งานบางครั้งอาจจะมีการรบกวนหรือชนกันด้วยความถี่ได้ มาตรฐานการต่อกับแหล่งพลังงาน ใน ปัจจุบันจะมีมาตรฐาน 802.3af (PoE: Power-over-Ethernet) ซึ่งเป็นการจ่ายกระแสไฟฟ้า 48 Volts เข้าไปในสาย LAN UTP เพราะโดยปกติข้อมูลจะวิ่งในสายเพียง 4 เส้น อีก 4 เส้นที่เหลือจะใช้ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าตามมาตรฐานนี้ (สามารถใช้กับสาย Cross-over ได้) อุปกรณ์ Injector ที่ระบุมาตรฐาน 802.3af จะทำการส่งแรงดันไฟฟ้าประมาณ 10V ออกไปตรวจสอบก่อนว่า อุปกรณ์ปลายทางรองรับแรงดันไฟฟ้า 48V ตามมาตรฐาน 802.3af หรือไม่ หากไม่รองรับ อุปกรณ์ Injector จะไม่จ่ายแรงดัน 48V ออกไปให้ เป็นการป้องกันการจ่ายแรงดันไฟฟ้าให้แก่อุปกรณ์ที่ไม่รองรับ ซึ่ง อุปกรณ์ปลายทางบางรุ่นที่ยังไม่รองรับแรงดันไฟฟ้า 48V หรือตามมาตรฐานนี้ จะใช้เป็นลักษณะของ Injector ที่ต้นทางและ Splitter ที่ปลายทาง ส่วน มาตรฐาน 802.3at เป็นการจ่ายกำลังไฟฟ้าที่สูงกว่ามาตรฐาน 802.3af โดยส่วนใหญ่จะนำไปใช้กับอุปกรณ์กระจายสัญญาณแบบกระจาย 2 ความถี่พร้อมกัน (Dual concurrent AP) มาตรฐานช่องสัญญาณ (Channel)
ซึ่งสามารถแบ่งเป็นมาตรฐานของประเทศต่างๆ ดังนี้
ในประเทศเม็กซิโก ช่องสัญญาณที่ 1-8 ถูกกำหนดให้ใช้ภายในอาคารเท่านั้น ย่านความถี่ 5 GHz สำหรับประเทศอื่นๆ ให้อ้างอิงตามมาตรฐาน FCC หรือ ETSI (ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ) ช่องสัญญาณบางช่องจะมีข้อกำหนดเพิ่มเติมบางอย่าง ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ ด้วย รูปแบบการเชื่อมต่อสัญญาณ
WiFi ใช้ความถี่วิทยุย่านใดคลื่นความถี่ WiFi จะมีอยู่ 3 คลื่น โดยที่ช่วงแรกจะมีอยู่แค่ความถี่ 2.4 GHz, 5 GHz แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนานำคลื่นความถี่ 6 GHz ทำให้การรับ-ส่งข้อมูลนั้นเร็วมากขึ้น โดยแต่ละคลื่นนั้นจะมีความแตกต่างในเรื่องความเร็ว ความกว้างของช่องสัญญาณ การรับสัญญาณได้ใกล้ไกลและเรื่องการถูกสัญญาณรบกวน
คลื่นความถี่ของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่จัดอยู่ในย่านความถี่ใดโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล (International Mobile Telecommunications – IMT) ในประเทศไทยในปัจจุบัน • ย่านความถี่700 MHz เป็นย่านความถี่ที่หลายประเทศได้น ามาใช้ส าหรับกิจการโทรคมนาคม เคลื่อนที่สากล สาหรับในประเทศไทยปัจจุบันมีการใช้งานในกิจการโทรทัศน์อยู่
ปัจจุบันประเทศไทยใช้ย่านความถี่ใดกับ 4th Generation4 จี (4G) กล่าวถึงมาตรฐานโทรศัพท์มือถือที่เป็นรุ่นมาตรฐานที่ต่อจาก 3G และ 2G ซึ่ง 4G จะสามารถเล่นบนคลื่นความถี่ 2100 2500 และ 2600 ขึ้นอยู่กับภูมิภาคและผู้ให้บริการ ซึ่งในประเทศไทย ทรูมูฟเอชเปิดตัวไปเป็นค่ายแรก เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ดีแทคเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 และเอไอเอส 4 จี แอดวานซ์ เปิด ...
ช่วงคลื่นความถี่ที่ใช้ได้ของเทคโนโลยี 5G คือเท่าใดคลื่นความถี่ในช่วงแรกของ Sub-6GHz สำหรับการใช้งาน 5G: คลื่นความถี่ต่อเนื่องอย่างน้อย 100 MHz ต่อเครือข่ายจากย่าน 3300-3800 MHz และ 4400-5000 MHz. คลื่นความถี่สูงสำหรับการใช้งานในช่วงแรกของ 5G: คลื่นความถี่ต่อเนื่องอย่างน้อย 800 MHz ต่อเครือข่ายจากย่าน 24.25-29.5 GHz และ 37-43.5 GHz.
|