กรุงรัตนโกสินทร์มีการเปลี่ยนจากการใช้เงินพดด้วงมาเป็นเงินกษาปณ์ในสมัยใด

  • Home

  • BLOG myAccount Cloud

  • บัญชีโคตรง่าย

  • เงินมีที่มาอย่างไร เริ่ม ใช้เงิน กันตั้งแต่เมื่อไหร่

กรุงรัตนโกสินทร์มีการเปลี่ยนจากการใช้เงินพดด้วงมาเป็นเงินกษาปณ์ในสมัยใด

เงินมีที่มาอย่างไร เริ่ม ใช้เงิน กันตั้งแต่เมื่อไหร่?

เงิน หรือ เงินตรา นั้น แท้จริงแล้วคือ วัตถุที่ใช้ในการแลกขายซื้อเปลี่ยน เป็นตัวแทนการวัดมูลค่าของสินค้าที่แลกเปลี่ยนกัน เงินหรือเงินตรานั้นในอดีตเริ่มจากการใช้เปลือกหอย อัญมณี และพัฒนามาเป็นโลหะ ส่วนในปัจจุบันนั้นใช้เป็น เหรียญกษาปณ์ และ ธนบัตร แต่เดิมที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบันนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ก่อน พุทธศตวรรษที่ 6 ซึ่งกลุ่มชนเหล่านี้ได้มีการติดต่อกับชุมชนอื่น ในบริเวณใกล้เคียง โดยใช้สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในหลายรูปแบบ เช่น ลูกปัด เปลือกหอย เมล็ดพืช เป็นต้น สำหรับเราชาวไทยนั้นสันนิษฐานว่าได้มีการนำโลหะมาใช้เป็นเงินตรามาตั้งแต่ในสมัยสุโขทัย ซึ่งเรียกโลหะชนิดนี้ว่า เงินพดด้วง

เงินพดด้วง คืออะไร?

เงินพดด้วง นี้ เป็นเงินตราของไทยในสมัยโบราณ เริ่มใช้ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา กรุงธนบุรี จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รวมเป็นเวลากว่า 600 ปี โดยทำจากแท่งเงินบริสุทธิ์ ตามน้ำหนักพิกัดของราคา ทุบปลายทั้งสองข้างให้งอเข้าหากันแล้วตอกประทับตราประจำแผ่นดินและตราประจำรัชกาลลงไป ด้วยเหตุที่มีสัณฐานกลมคล้ายตัวด้วง คนไทยจึงเรียกกันว่า เงินพดด้วง
และในสมัยสุโขทัยนั้นยังไม่มีการผูกขาดการผลิต เงินพดด้วงจึงมีความหลากหลายในเนื้อเงินที่ใช้ทำ รวมถึงน้ำหนักและขนาดอีกด้วย ซึ่งต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทางการก็ได้ห้ามไม่ให้ราษฎรผลิตเงินตราขึ้นเอง เงินพดด้วงจึงได้มาตรฐานมากขึ้น โดยมีตราประทับ 2 ดวง คือ ตราประจำแผ่นดินและตราประจำรัชกาล
โดยเงินพดด้วงได้มีการใช้มาเป็นระยะเวลานานจนถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ในสมัยนั้นการค้าเฟื่องฟู การผลิตเงินพดด้วงด้วยแรงงานคนไม่สามารถผลิตได้ทันต่อความต้องการใช้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตไทยไปเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียที่ประเทศอังกฤษ สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียได้ส่งเครื่องทำเหรียญเงินขนาดเล็กเข้ามาถวาย เป็นราชบรรณาการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าให้จัดทำเหรียญกษาปณ์จากเครื่องจักรขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกกันว่า “เหรียญเงินบรรณาการ”
ในขณะเดียวกันคณะทูตก็ได้สั่งซื้อเครื่องจักรทำเงินจากบริษัทเทเลอร์ เข้ามาในช่วงปลายปี 2401 พระองค์จึงโปรดเกล้าให้สร้างโรงงานผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติ ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานนามว่า “โรงกระสาปณ์สิทธิการ” ในสมัยนี้จึงถือว่ามีการใช้เหรียญกษาปณ์แบบสากลนิยมขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมาแม้ได้ประกาศให้ใช้เงินตราแบบเหรียญแล้วก็ยังโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เงินพดด้วงอยู่เพียงแต่ไม่มีการผลิตเพิ่มเติม จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่มีการนำธนบัตรออกใช้แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ออกประกาศให้เลิกใช้เงินพดด้วงทุกชนิด ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2447 เป็นต้นมา

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

ละครยอดฮิตอย่าง “บุพเพสันนิวาส” ในเรื่องนั้นก็ได้มีการใช้เงินพดด้วงด้วย และในเมื่อวันนี้เราคุยกันถึงเรื่องที่มาของเงินกันแล้ว เราก็เลยมีเกร็ดความรู้เล็กๆ เกี่ยวกับค่าเงินของในยุคนั้นมาแนะนำกันครับ
มาตราเงินไทยในสมัยโบราณ
ตามมาตราเงินไทยในสมัยโบราณนั้น เมื่อเรียงตามมูลค่าจะเป็น ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง โดยมีพิกัดอัตรา ดังนี้
  • 800 เบี้ย เป็น 1 เฟื้อง
  • 50 เบี้ย เป็น 1 โสฬส(สิบหก) 16 โสฬส เป็น 1 เฟื้อง
  • 2 อัฐ เป็น 1 เสี้ยวหรือไพ 4 อัฐ เป็น 1 เฟื้อง
  • 2 เสี้ยวหรือไพ เป็น 1 ซีก 2 เสี้ยวหรือไพ เป็น 1 เฟื้อง
  • 2 ซีก เป็น 1 เฟื้อง 8 เฟื้อง เป็น 1 บาท
  • 2 เฟื้อง เป็น 1 สลึง 4 สลึง เป็น 1 บาท
  • 1 มายนหรือมะยง เป็น กึ่งบาท หรือ 2 สลึง
  • 4 บาท เป็น 1 ตำลึง
  • 20 ตำลึง เป็น 1 ชั่ง
  • 80 ชั่ง เป็น 1 หาบ

บทความโดย: https://www.moneyguru.co.th

กรุงรัตนโกสินทร์มีการเปลี่ยนจากการใช้เงินพดด้วงมาเป็นเงินกษาปณ์ในสมัยใด

เวลาพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตเปลี่ยนรัชกาลใหม่ ราษฎรมักหวาดหวั่นว่าจะเกิดเหตุร้าย เห็นจะเป็นความรู้สึกที่สืบมาแต่เมื่อกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานีในสมัยกลาง ตั้งแต่พระเจ้าปราสาททองเสวยราชย์เป็นต้นมา ด้วยมักเกิดรบพุ่งหรือฆ่าฟันกัน แม้ไม่ถึงเช่นนั้นก็คงมีการกินแหนงแคลงใจกันในเวลาเปลี่ยนรัชกาลแทบทุกคราว ที่จะเปลี่ยนโดยเรียบร้อยทีเดียวนั้นมีน้อย จนเกิดเป็นคติสำหรับวิตกกันว่าเวลาเปลี่ยนรัชกาลมักจะเกิดเหตุร้าย 

เมื่อเปลี่ยนรัชกาลคราวนี้ก็หวาดหวั่นตามเคย มีอุทาหรณ์ดั่งหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเรียกว่า "สยามริปอสิตอรี" ของหมอสมิธพิมพ์จำหน่ายอยู่ในสมัยนั้นกล่าวความดังนี้ "เวลานี้ทั่วประเทศสยามพากันสั่นสะท้านและหวาดหวั่น อยู่ในระหว่างเปลี่ยนรัชกาล ด้วยพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เก่าซึ่งมีพระเดชพระคุณแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินมาก และได้ทรงปกครองชนชาติอื่นที่มาพึ่งพระบารมีอยู่ในพระราชอาณาเขต กลับทั้งชาวต่างประเทศยังอยู่ในบังคับของกงสุลนั้นมิได้เสด็จสถิตอยู่ในเศวตฉัตรให้คนทั้งหลายเกรงพระราชอาญาเสียแล้ว  

แม้สมเด็จเจ้าฟ้าอันเป็นพระราชโอรสได้ทรงรับรัชทายาทก็จริงแต่ว่าประชวรพระกำลังยังปลกเปลี้ย  จะรอดพระชนม์ทนการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและการรับแขกเมืองเฝ้าได้แลหรือ แม้แต่ในเวลาเมื่อสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินกำลังประชวรยังไม่สวรรคต ก็มีกิตติศัพท์ว่าจะเกิดกบฏและได้มีเหตุวุ่นวายด้วยเนื่องจากฝิ่นเถื่อนทั้งปรากฏว่ามีผู้ทำอัฐปลอมมากเกิดยุ่งยากในเรื่องเครื่องแลกจนตื่นกัน ไม่เป็นอันซื้อขายในท้องตลาดอยู่หลายวัน" ดังนี้

แต่ที่จริงมีเหตุการณ์อันเป็นเรื่องร้อนต้องรีบระงับเมื่อแรกเข้ารัชกาลที่ 5 แต่ 2 เรื่องคือ เรื่องเงินตราเรื่อง 1 กลับเรื่องจีนตั้วเหียอีกเรื่อง 1 จะกล่าวอธิบายเป็นลำดับต่อไปในตอนนี้

เรื่องเงินตรา

เดิมเงินตราในประเทศสยามนี้ใช้เงินพดด้วง (รูปเป็นก้อนกลม) ตีตรารัชกาลประจำเป็นสำคัญ เป็นประเพณีสืบมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีและเงินพดด้วงนั้นทำเป็น 4 ขนาด ขนาดใหญ่ราคา 1  บาท ขนาดรองราคากึ่งบาท (แต่ขนาดนี้มิใคร่ชอบใช้กัน) ขนาดต่อลงมาราคาสลึงหนึ่ง (4 สลึงเป็นบาท) ขนาดเล็กราคาเฟื้อง 1 (2 เฟื้องเป็นสลึง) เครื่องแลกราคาต่ำกว่านั้นลงมาใช้เบี้ยหอยซึ่งมาจากทะเล อัตราราคา 800 เบี้ยต่อเฟื้อง แต่ราคาเบี้ยไม่คงที่ อาจจะขึ้นและลดผิดกันได้มากๆ ตามเวลาที่มีชาวต่างประเทศบรรทุกเอาเบี้ยเข้ามาขายมากหรือน้อย ถ้าคราวมีเบี้ยเข้ามามากราคาก็ลด 1,000 เบี้ยต่อเฟื้อง  ถ้าเบี้ยขาดคราวราคาก็ขึ้นถึง 600 เบี้ยต่อเฟื้อง

การเปลี่ยนแปลงเงินตราในกรุงรัตนโกสินทร์

เมื่อรัชกาลที่ 4 ตั้งแต่ทำหนังสือสัญญากับฝรั่งต่างประเทศแล้ว การค้าขายในกรุงเทพฯ เจริญรวดเร็วเกินคาดหมาย เช่นแต่ก่อนมามีเรือกำปั่นฝรั่งเข้ามาค้าขายในกรุงเทพฯ เพียงราวปีละ 12 ลำ แต่พอทำหนังสือสัญญาแล้ว ก็มีเรือกำปั่นฝรั่งเข้ามาค้าขายตั้งปีละ 200 ลำ พวกพ่อค้าฝรั่งเอาเงินเหรียญดอลล่าร์ซึ่งใช้ในการซื้อขายทางเมืองจีนเข้ามาซื้อสินค้า ราษฎรไทยไม่ยอมรับฝรั่งจึงต้องเอาเงินเหรียญดอลล่าร์มาขอแลกเงินบาทจากรัฐบาล ก็เงินบาทพดด้วงนั้นช่างหลวงทำที่พระคลังมหาสมบัติ เตาหนึ่งทำได้วันละ 240 บาท เพราะทำแต่ด้วยเครื่องมือมิได้ใช้เครื่องจักร  

กรุงรัตนโกสินทร์มีการเปลี่ยนจากการใช้เงินพดด้วงมาเป็นเงินกษาปณ์ในสมัยใด

เตาหลวงมี 10 เตา ระดมกันทำเงินพดด้วงได้แต่ละวันละ 2,400 บาท เป็นอย่างมาก ไม่พอให้ฝรั่งแลกตามปรารถนา พวกกงสุลพากันร้องทุกข์ว่าเป็นการเสียประโยชน์ของพวกชาวต่างประเทศที่มาค้าขาย พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชดำริจะเปลี่ยนรูปเงินตราสยามเป็นเหรียญ (ครั้งนั้นเรียกว่า "เงินแป") ให้ทำได้ด้วยเครื่องจักร และในเมื่อกำลังให้รอเครื่องจักรนั้น โปรดฯ ให้ประกาศพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ราษฎรรับเหรียญดอลล่าร์จากชาวต่างประเทศ แล้วเอามาแลกเงินบาทที่พระคลังมหาสมบัติได้ โดยอัตรา 3 เหรียญดอลล่าร์ต่อ 5 บาท ราษฎรยังไม่พอใจจะรับเงินดอลล่าร์ โปรดฯ ให้เอาตรามหามงกุฎและตราจักร ซึ่งสำหรับตีเงินพดด้วงตีลงเป็นสำคัญดอลล่าร์ให้ใช้ไปพลาง ก็ยังมิใคร่มีใครพอใจจะใช้    

ครั้นเมื่อปีวอก พ.ศ.2403 การสร้างโรงกษาปณ์สำเร็จ ทำเงินตราสยามเป็นเหรียญมีตราพระมหามงกุฎกับฉัตรทั้งสองข้าง ด้านหนึ่งตราช้างเผือกอยู่ในวงจักรด้านหนึ่งเป็นเหรียญเงิน 4 ขนาดคือบาทหนึ่ง กึ่งบาท สลึงหนึ่ง เฟื้องหนึ่ง และทำเหรียญทองคำราคาเหรียญละ 10 สลึง (ตรงกับตำลึงจีน) ด้วยอีกอย่างหนึ่ง เมื่อประกาศให้ใช้เงินตราอย่างเหรียญแล้ว เงินพดด้วงก็ยังโปรดฯ อนุญาตให้ใช้อยู่ เป็นแต่ไม่ทำเพิ่มเติมขึ้น

ต่อมาอีก 2 ปีถึงปีจอ พ.ศ.2405 โปรดฯ ให้โรงกษาปณ์ทำเหรียญดีบุก ขึ้นเป็นเครื่องแลกใช้แทนเบี้ยหอย เหรียญดีบุกนั้นก็มีตราพระมหามงกุฎกับฉัตรและตราช้างในวงจักรทำนองเดียวกับตราเงินเหรียญเป็นเงิน 2 ขนาด ขนาดใหญ่เรียกว่า "อัฐ" ราคา 4 อันเฟื้อง เท่ากันอันละ 100 เบี้ย ขนาดเล็กให้เรียกว่า "โสฬศ" ราคา 16 อันเฟื้อง เท่ากับอันละ 50 เบี้ย การใช้เบี้ยหอยก็เป็นอันเลิกแต่นั้นมา

ถึงปีกุน พ.ศ.2406 พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริให้สร้างเหรียญทองคำมีตราทำนองเดียวกับเงินเหรียญขึ้น สำหรับให้เป็นเครื่องแลก 3 ขนาด ขนาดใหญ่ให้เรียกว่า  "ทศ" ราคา 10 อันต่อชั่งหนึ่ง คืออันละ 8 บาท (เท่าราคาทองปอนด์อังกฤษในสมัยนั้น) ขนาดกลางให้เรียกว่า "พิศ" ราคาอันละ 4 บาท ขนาดเล็ก (คือเหรียญทองที่ได้สร้างขึ้นแต่แรก) ให้เรียก "พัดดึงส์" ราคาอันละ 10 สลึง เท่ากับตำลึงจีน ดูเหมือนจะเป็นคราวเดียวกับที่ทรงสร้างเหรียญทองเป็นเครื่องแลกนี้เอง  

พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริสร้าง (ธนบัตร) เครื่องแลกด้วยกระดาษ   มีตัวอักษรพิมพ์และประทับพระราชลัญจกร 3 ดวงเป็นสำคัญทุกใบขึ้นอีกอย่าง 1 เรียกว่า "หมาย" มีราคาต่างๆ กันตั้งแต่ใบละ 1 เป็นลำดับลงมา จนใบละเฟื้อง 1 และทรงพระราชดำริสร้าง (เช็ค) เรียกว่าใบ "พระราชทานเงินตรา" อีกอย่าง 1 ขนาดแผ่นกระดาษใหญ่เรียกว่า "หมาย" มีตัวอักษรพิมพ์และประทับพระราชลัญจกรด้วยชาด 2 ดวง ด้วยครามดวง 1  เป็นลายดุนดวง 1 เป็นสำคัญทุกใบ มีราคาต่างกัน (ว่าตามตัวอย่างที่มีอยู่มาแต่งหนังสือนี้) ตั้งแต่ "พระราชทานเงินตราชั่งสิบตำลึง" (สันนิษฐานว่าเห็นจะมีต่อลงไปจนใบละตำลึงหนึ่งเป็นอย่างต่ำ) กระดาษทั้ง 2 อย่างนี้ ใครได้ก็เห็นจะเอาไปขึ้นเงินที่พระคลังมหาสมบัติในไม่ช้า เพราะยังไม่แลเห็นประโยชน์ในการใช้กระดาษเป็นเครื่องแลกในสมัยนั้นจึงมิได้แพร่หลาย

กรุงรัตนโกสินทร์มีการเปลี่ยนจากการใช้เงินพดด้วงมาเป็นเงินกษาปณ์ในสมัยใด

ครั้นถึงปีฉลู พ.ศ.2408 พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้โรงกษาปณ์สร้างเหรียญทองแดง มีตราทำนองเดียวกับเหรียญดีบุกเป็นเครื่องแลกอีก 2 ขนาด มีราคาระหว่างเหรียญเงินกับเหรียญดีบุกขนาดใหญ่ให้เรียกว่า "ซีก" ราคา 2 อันเฟื้อง ขนาดเล็กให้เรียกว่า "เซี่ยว" ราคา 4 อันเฟื้อง

เงินตราไทยที่พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯ ราชดำริ ที่เป็นเงินและทองแดงใช้ได้ต่อมาดังพระราชประสงค์แต่ที่เป็นทองคำและดีบุกเกิดเหตุขัดข้องด้วยเหรียญทองคำนั้น ชาวเมืองเอาไปเก็บเสียอย่างทองรูปพรรณ หรือมิฉะนั้นก็เอาไปทำเครื่องแต่งตัวเสีย ไม่ชอบใช้เป็นเครื่องแลกในการซื้อขายเหรียญทองเป็นของ มีน้อยก็เลยหมดไป 

ส่วนเหรียญดีบุกนั้น เมื่อแรกสร้างก็ได้ทรงปรารภว่าเป็นของอาจสึกหรอ และทำปลอมง่ายจึงโปรดฯ ให้เจือทองแดงและดีบุกดำลงในเนื้อดีบุกที่ทำเหรียญให้แข็งผิดกับดีบุกสามัญ ถึงกระนั้นพอใช้เหรียญดีบุกกันแพร่หลาย ไม่ช้าก็มีพวกจีนคิดทำปลอม ครั้นตรวจจับในกรุงเทพฯ แข็งแรง พวกผู้ร้ายก็หลบลงไปซ่อนทางหัวเมืองปักษ์ใต้แล้วลอบส่งเข้ามาจำหน่ายในกรุงเทพฯ เกิดมีเหรียญดีบุกปลอมในท้องตลาดมากขึ้นทุกที จนราษฎรรังเกียจการที่จะรับใช้เหรียญดีบุก ด้วยไม่รู้จะเลือกว่าไหนเป็นหลวงไหนเป็นของปลอม จะใช้เบี้ยหอยก็หาไม่ได้ด้วยเลิกใช้มาเสียหลายปีแล้ว

เมื่อเริ่มรัชกาลที่ 5 พ.ศ.2411 เป็นเวลากำลังเกิดการปั่นป่วนด้วยราษฎรไม่พอใจรับเหรียญดีบุก ว่าถึงตลาดในกรุงเทพฯ แทบจะหยุดการซื้อขายอยู่หลายวัน รัฐบาลจึงต้องรีบวินิจฉัยแล้วออกประกาศเมื่อเดือน 11 แรม 12 ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ.2511 ขึ้นในรัชกาลที่ 5 ได้เพียง 13 วันสั่งให้คนทั้งหลายนำเหรียญทองแดงและเหรียญดีบุกของหลวงมาขึ้นเอาเงินจะยอมให้เต็มราคาภายใน 15 วัน เมื่อผลกำหนดนั้นไปแล้วให้ใช้ลดราคาลงเหรียญทองแดงอย่างซีกคงราคาแต่ละอัฐ 1 (8 อันเฟื้อง) อย่างเซี่ยวคงราคาแต่อันละโสฬศ 1 (16 อันเฟื้อง) เหรียญดีบุกก็ลดราคาลงเหรียญอัฐคงราคาแต่อันละ 20 เบี้ย (40 อันเฟื้อง) อย่างโสฬศคงราคาแต่ละอัน 10 เบี้ย (80 อันต่อเฟื้อง) แม้รัฐบาลประกาศอัตราราคาอย่างนั้นแล้ว  ราษฎรยังลดราคากันโดยลำพังต่อลงไปอีก ใช้อัฐดีบุกเดิมในท้องตลาดราคาเพียงอันละ 10 เบี้ย (80 อันต่อเฟื้อง) โสฬศดีบุกก็ลดราคาลงไปตามกันเป็นอันละ 5 เบี้ย (16 อันต่อเฟื้อง) คำซึ่งเคยเรียกว่า อัฐและโสฬสก็เรียกกันว่า "เก๊" แต่ใช้กันต่อมาอีกหลายปี

เพราะเกิดลำบากเลยเรื่องเงินตราดังกล่าว รัฐบาลจึงได้ตกลงแต่แรกขึ้นรัชกาลที่ 5 ว่าจะสร้างโรงกษาปณ์ใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเก่า แต่การที่จะสร้างกว่าจะสำเร็จอีกหลายปี ในชั้นแรกจะต้องทำเงินตราประจำรัชกาลที่ 5 ขึ้นตามประเพณีเปลี่ยนรัชกาลใหม่ จึงทำให้ที่โรงกษาปณ์เดิมไปพลาง เงินเหรียญตรารัชกาลที่ 5 ซึ่งสร้างขึ้นขั้นแรกนั้น ด้านหนึ่งเป็นตราพระเกี้ยวยอดมีพานรองสองชั้นและฉัตรตั้งตราสองข้าง อีกข้างหนึ่งคงใช้รูปช้างเผือกอยู่ในวงจักรเหมือนรัชกาลที่ 4 แต่ทำเพียง 3 ขนาด  

ที่คนทั้งหลายชอบใช้คือ เหรียญบาท เหรียญสลึงและเหรียญเฟื้อง ในคราวนั้นยังไม่ได้ทำเหรียญทองแดง สำหรับรัชกาลที่ 5 (ด้วยรัฐบาลทราบว่าสั่งให้ทำในประเทศอื่นถูกกว่าทำเองแต่จะให้ทำในอินเดียหรือยุโรปยังไม่ได้ตกลงเป็นยุติ) ทำแต่เหรียญดีบุกขึ้นมาอย่างหนึ่ง ดวงตราทำนองเดียวกับเงินเหรียญขนาดเขื่องกว่าอัฐดีบุกรัชกาลที่ 4 สักหน่อย 1 แต่ให้ใช้ราคาเพียงโสฬศ 1 คือ 16 อันเฟื้องเรื่องเงินตราก็เป็นอันเรียบร้อยไปคราวหนึ่ง

กรุงรัตนโกสินทร์มีการเปลี่ยนจากการใช้เงินพดด้วงมาเป็นเงินกษาปณ์ในสมัยใด

แต่ต่อมาเมื่อราคาทองแดงและดีบุกสูงขึ้น มีผู้รู้ว่าราคาเหรียญทองแดงและเหรียญดีบุกที่ใช้กันที่ท้องตลาดในกรุงเทพฯ ต่ำกว่าราคาเนื้อทองแดงและดีบุกหลอมซึ่งมีขายกันในประเทศอื่นก็พากันเอาเหรียญทองแดงและเหรียญดีบุกหลอมส่งไปขายเสียประเทศอื่นๆ เป็นอันมาก   

ครั้นเหรียญทองแดงและดีบุกมีใช้ในท้องตลาดน้อยลงก็เกิดการใช้ปี้กระเบื้องกันขึ้นแพร่หลาย อันปี้กระเบื้องนั้นเดิมเป็นแต่คะแนนสำหรับเล่นเบี้ยในโรงบ่อน จีนเจ้าของบ่อนคิดทำขึ้นเพื่อให้ใช้ขอลากได้บนเสื่อสะดวกกว่าเงินตราเวลาคนไปเล่นเบี้ยให้เอาเงินแรกปี้มาเล่น ครั้นเลิกแล้วก็ให้คืนปี้แลกเอาเงินกลับไป เป็นประเพณีมาดังนี้ ใครเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยตำบลไหนก็คิดทำปี้ มีเครื่องหมายของตัวเป็นคะแนนราคาต่างๆ สำหรับใช้เล่นเบี้ยในบ่อนตำบลนั้น    

การที่จะเกิดใช้ปี้เป็นเครื่องแลกแทนเงินตราเดิมเกิดขึ้นแต่นักเลงเล่นเบี้ยที่มักง่ายเอาปี้ซื้อของกินตามร้านที่หน้าโรงบ่อน ผู้ขายก็ยอมรับด้วยอาจเข้าไปแลกกลับเป็นเงินที่ในโรงบ่อนได้โดยง่าย จึงใช้ปี้กระเบื้องกันในบริเวณโรงบ่อนขึ้นก่อน   

ครั้นเมื่อหาเหรียญทองแดงและเหรียญดีบุกของหลวงใช้ยากเข้า ก็ใช้ปี้เป็นเครื่องแลกแพร่หลายห่างบ่อน
เบี้ยออกไปทุกที เพราะคนเชื่อว่าอาจจะเอาไปซื้อเป็นเงินเมื่อใดก็ได้ ฝ่ายนายบ่อนเบี้ยจำหน่ายปี้ได้เงินมากขึ้นเห็นได้เปรียบก็คิดสั่งปี้กระเบื้องจากจีนเข้ามาเพิ่มเติมทำเป็นรูปและราคาต่างๆ ให้คนชอบตั้งแต่อันละโสฬศ คนละอัฐ อันละไพ สองไพ จนถึงอันละเฟื้องสลึงสองสลึงเป็นอย่างสูงมีทุกบ่อนไป ก็แต่ลักษณะอากรบ่อนเบี้ยนั้น ต้องว่าประมูลกันใหม่ทุกปี 

เมื่อสิ้นปีลง นายอากรคนใหม่ไม่ได้ทำอากรต่อไปก็กำหนดเวลาให้คนไปเอาปี้บ่อนของตนเองมาแลกเงินคืนภายใน 15 วัน พ้นกำหนดไปไม่ยอมรับการเอาอันนี้ก็กลายเป็นทางที่เกิดกำไรเพิ่มผลประโยชน์แก่นายอากรบ่อนเบี้ยอีกทางหนึ่ง ฝ่ายราษฎรถึงเสียเปรียบก็มิสู้รู้สึกเดือดร้อนด้วยได้ใช้ปี้เป็นครั้งแลกกันในการซื้อขายแทนเหรียญทองแดงและดีบุกซึ่งหายากก็ไม่มีใครร้องทุกข์เป็นเช่นนี้มาจนปีจอ พ.ศ.2417 รัฐบาลจึงต้องประกาศห้ามมิให้นายบ่อนเบี้ยทำปี้  

แต่ในเวลานั้นเหรียญทองแดงซึ่งสั่งให้ทำในยุโรปยังไม่สำเร็จต้องออกธนบัตรราคาใบละอัฐ 1 ให้ใช้กันในท้องตลาดอยู่คราวหนึ่งจนถึงปีชวด พ.ศ.2419 จึงได้จำหน่ายเหรียญทองแดงประจำรัชกาลที่ 5 ให้ใช้กันในบ้านเมืองทำเป็น 4 ขนาดคือ ซีก เซี่ยว อัฐ และ โสฬศ มีตราพระจุลมงกุฎอยู่บนอักษรพระนาม  จ.ป.ร. ด้าน 1 อักษรบอกราคาด้าน 1 เหมือนกันหมดทุกขนาดเรื่องเงินตราก็เป็นอันยุติเรียบร้อย.

อ่านต่อตอน 2 สัปดาห์หน้า
--------------
    อ้างอิง: พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 5 กรมศิลปากร

ประเทศไทยเปลี่ยนจากการใช้เงินพดด้วงมาเป็นเงินเหรียญในสมัยใด

สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เงินตราที่ใช้ในช่วงต้นรัชกาลยังคงเป็นเหรียญกษาปณ์ที่ผลิตตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาจึงทรงให้กรมกระสาปน์สิทธิการผลิตเหรียญกษาปณ์ชนิดเงินราคาหนึ่งบาท ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านหลังเป็นรูปไอราพตออกใช้หมุนเวียน

เงินพดด้วงมีใช้ในสมัยใด

เงินพดด้วง เป็นเงินตราที่เริ่มต้นผลิตมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยใช้อย่างต่อเนื่องมาจนถึงสมัยศรีอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ผลิตจากแท่งโลหะแบ่งน้ำหนักตามมาตรฐานน้ำหนักชัดเจนเป็นหน่วยชั่ง ตำลึง บาท สลึง เเละเฟื้อง เงินพดด้วงสามารถนำไปซื้อสินค้าในต่างอาณาจักรได้เพราะทำจากเนื้อเงินบริสุทธิ์ โดยใช้น้ำหนักเป็นตัว ...

เหตุใดจึงมีการใช้เหรียญกษาปณ์แทนเงินพดด้วง

เหรียญกษาปณ์เริ่มผลิตขึ้นใช้ในสยามครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยเมื่อแรกที่ทรงขึ้นครองราชย์นั้นไทยยังคงใช้เงินพดด้วงเป็นเงินตราหลัก แต่เนื่องจากพดด้วงเป็นเงินที่ผลิตด้วยแรงงานคน ปริมาณการผลิตเงินพดด้วงจึงไม่เพียงพอต่อการใช้สอย ต่อมาความต้องการในการใช้เงินพดด้วงยิ่งเพิ่มมากขึ้นหลังการทำ ...

เงินแปเกิดขึ้นในสมัยใด

น. เงินเหรียญมีลักษณะแบนกลมที่ออกมาใช้เป็นเงินตราในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทำด้วยเงิน มีราคาเป็นตำลึง บาท สลึง เฟื้อง ไพ (ประชุม ร. ๔), เรียกเหรียญซึ่งทำด้วยทองแดงหรือดีบุก.