ทีมวิทยากรของสถาบันไอเอ็มซี ได้มีโอกาสไปบรรยาย และทำ Workshop ในหัวข้อ Digital Transformation ให้กับหลาย ๆองค์กร สิ่งหนึ่งที่ทีมงานจะนำมาให้ผู้เรียนทำเสมอในตอนท้ายก็คือ การเขียน Business Model Canvas (BMC) สำหรับการจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจ (Business Transformation) ในยุคของดิจิทัล เพราะการทำ Digital Transformation คือ การปรับกลยุทธ์และอาจต้องคิดโมเดลของธุรกิจใหม่โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวช่วย มากกว่าที่จะคิดเพียงนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในองค์กรเพียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่ยังมีโมเดลธุรกิจเดิมๆซึ่งอาจกำลังเกิด Digital Disruption Business Model Canvas เป็นเครื่องมือที่ช่วยออกแบบโมเดลธุรกิจผ่านปัจจัยทั้ง 9 ด้านที่ครอบคลุมส่วนสำคัญๆ ต่อธุรกิจ BMC ถูกพัฒนา และนำเสนอโดย Alexander Osterwalder และ Yves Pigneur ในหนังสือชื่อ Business Model Generation (ปี พ.ศ. 2552) เพื่อเป็นเทมเพลตที่ช่วยออกแบบแบบจำลองธุรกิจหรือโมเดลธุรกิจ และทำให้สามารถช่วยประเมินธุรกิจในด้านต่าง ๆ 9 องค์ประกอบคือ
BMC ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ด้วยวิวัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้ธุรกิจต่าง ๆ อาจต้องกลับมาทบทวน Business Model ที่ดำเนินอยู่ ทั้งนี้รูปแบบธุรกิจแบบเดิมก็อาจเริ่มเปลี่ยนไปในยุคไอทีที่เข้ามาในช่วงก่อนหน้านี้ซึ่งมีเรื่องของอินเตอร์เน็ต และ Smartphone เข้ามา และกำลังเปลี่ยนไปอีกครั้งในยุคของเทคโนโลยีดิจิทัลที่เราต้องทำ Digital Transformation เลยอยากเขียนสรุปสั้นๆให้เห็นว่า องค์ประกอบแต่ละด้านของ Business Model Canvas มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในยุคดิจิทัล เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปวางแผนปรับโมเดลธุรกิจในการทำ Digital Transformation ดังนี้ คุกกี้พื้นฐานที่จำเป็น เพื่อช่วยให้การทำงานหลักของเว็บไซต์ใช้งานได้ รวมถึงการเข้าถึงพื้นที่ที่ปลอดภัยต่าง ๆ ของเว็บไซต์ หากไม่มีคุกกี้นี้เว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม และจะใช้งานได้โดยการตั้งค่าเริ่มต้น โดยไม่สามารถปิดการใช้งานได้ คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์ จะช่วยให้เว็บไซต์เข้าใจรูปแบบการใช้งานของผู้เข้าชมและจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการใช้งานของผู้ใช้งาน คุกกี้ในส่วนการตลาด ใช้เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อแสดงโฆษณาที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้งานแต่ละรายและเพื่อเพิ่มประสิทธิผลการโฆษณาสำหรับผู้เผยแพร่และผู้โฆษณาสำหรับบุคคลที่สาม การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) เป็นแนวคิดที่มีการพูดถึงตั้งแต่ราว 30 ปีก่อน ที่คอมพิวเตอร์เริ่มเข้ามามีบทบาทในการทำงานของมนุษย์ แต่ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมามีการพูดถึงอย่างแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากความพร้อมของเทคโนโลยีที่พอเหมาะพอดี เกิด Digital Disruption ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลต่อรูปแบบของการทำธุรกิจ โมเดลธุรกิจ พฤติกรรมของลูกค้า ความต้องการของลูกค้า และสิ่งที่ลูกค้าให้คุณค่า รวมถึงกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมผู้บริหารหรือนักธุรกิจทุกคนจำเป็นต้องทำความเข้าใจ ปรับตัว ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้สอดคล้องกับกระแสคลื่นลมครั้งนี้ให้ทันเวลา แต่ก่อนที่จะเปลี่ยนผ่าน เราจำเป็นต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงเสียก่อน เส้นทางสู่การเปลี่ยนผ่าน การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ไม่ใช่เพียงการสร้างเว็บไซต์ ซื้อเครื่องจักรสุดทันสมัย หรือแปลงข้อมูลของบริษัทให้เป็นไฟล์ดิจิทัล แต่หัวใจสำคัญก็คือ การคิดอย่างเป็นดิจิทัล มองกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างเป็นระบบ และความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างยืดหยุ่น ดังที่ Michael Porter ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีทางเศรษฐกิจ กลยุทธ์ธุรกิจแห่ง Harvard Business School ได้อธิบายไว้ว่า “การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล คือ กลยุทธ์ที่จะนำพาธุรกิจเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจดิจิทัล” ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เป็นภาระหน้าที่ของฝ่ายไอที แต่เป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่เจ้าของกิจการและพนักงานทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกันเรียนรู้ และลงมือทำไปด้วยกัน เริ่มต้นจากการทบทวนคุณค่าของธุรกิจเดิมว่าจะขยับไปสู่การขับเคลื่อนแบบดิจิทัลได้อย่างไรบ้าง ทดลองโมเดลง่าย ๆ เพื่อทดสอบสมมติฐานแล้วจึงค่อย ๆ ขยับขยายให้ใหญ่ขึ้น ตามมาด้วยการสื่อสารกับคนในองค์กรทุกฝ่าย ให้ปรับวิธีคิด เรียนรู้แนวคิดใหม่ เรียนรู้วิธีการใหม่ในการทำงานเดิมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยไม่ลืมสร้างรับฟังความคิดเห็น สานความสัมพันธ์ ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด หมั่นกลับมาทบทวน เพื่อค้นหาโมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์ความเป็นไปของบริบททางเศรษฐกิจและสังคมอันมีวิธีคิดแบบดิจิทัลเป็นพื้นฐาน แหล่งอ้างอิง: https://skyteam-it.com/digital-transformation-framework/ รู้รอบก่อนลงมือ ศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลนั้นมีหลากหลายรูปแบบ หลายวิธีการแต่ที่จะขาดไปไม่ได้สำหรับทุกธุรกิจก็คือ องค์ความรู้พื้นฐานเหล่านี้ 1. การสร้างองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Build Data-Driven Culture) ในแต่ละวันมนุษย์สร้างข้อมูลดิจิทัลขึ้นมามากมายมหาศาล การเลือกใช้ข้อมูลให้เป็นจึงสำคัญยิ่งกว่าการกอบโกยเป็นเจ้าของข้อมูลทั้งหมดไว้แต่ไม่รู้จะนำไปใช้ได้อย่างไร เช่น การมีเบอร์โทรศัพท์ของลูกค้าตั้งแต่ปีแรกที่ก่อตั้งบริษัทจนถึงปัจจุบัน ไม่ได้สร้างมูลค่าให้ธุรกิจได้เท่าการรู้ว่าเบอร์โทรศัพท์ใดที่มีการใช้งานติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ใช้งานในช่วงเวลาใดบ้าง และมีรายการสั่งซื้อสินค้าใดบ้าง จากตัวอย่างง่าย ๆ ที่ยกมาข้างต้น จะเห็นได้ชัดเจนว่า “การขับเคลื่อนด้วยข้อมูล” นั้นไม่ใช่เพียงมีข้อมูลแต่คือการนำข้อมูลที่ผ่านการคัดสรร และวิเคราะห์แล้วไปใช้สร้างกลยุทธ์ดึงดูดใจ สร้างแผนการผลิต วางระบบคลังสินค้า ออกแบบการจองคิวเข้ารับบริการ ฯลฯ ได้อีกมากมาย แหล่งอ้างอิง: https://www.revealbi.io/blog/reveal-data-driven-decision-making 2. ทักษะการเป็นผู้นำในยุคดิจิทัล (Leadership in Digital World) นอกจากวิสัยทัศน์ที่พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจคาดเดาได้แล้ว ผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการจำเป็นต้องมีทักษะของการเป็นผู้นำในยุคดิจิทัลซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่ผู้ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มีร่วมกัน ได้แก่ คิดสร้างสรรค์ เชื่อในพลังของนวัตกรรม (Innovative) ไม่ยึดติดกรอบเดิม พร้อมกระโจนสู่ความเสี่ยงที่ประเมินไว้ (Disruptive) แน่วแน่ในทุกการตัดสินใจ ยืดอกรับผิดชอบเมื่อผิดพลาด (Bold in Leadership) เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เชื่อมั่นในตัวเอง (Socially Adapt) มุ่งตรงไปที่เป้าหมาย มองหาความเป็นไปได้เสมอ (Determined) แหล่งอ้างอิง: https://www.linkedin.com/pulse/innovation-five-habits-digital-transformation-leaders-robbert-de-haan/ 3. การบริหารโครงการยุคใหม่ (Modern Project Management) แหล่งอ้างอิง: https://www.smartsheet.com/triple-constraint-triangle-theory ที่ผ่านมาการบริหารจัดการกระบวนการทำงานต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้จัดการโครงการเป็นสำคัญ แต่เมื่อต้องการจะปรับตัวเข้าสู่การเป็นดิจิทัล การใช้เครื่องมือตัวช่วยจัดการโครงการที่ติดตามผลการทำงานอัตโนมัติ ประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ ก่อนถึงจุดที่จะเกิดปัญหา เพื่อบริหารเวลา ค่าใช้จ่าย และความต้องการให้งานออกมามีคุณภาพดีได้อย่างแม่นยำ เครื่องมือที่เข้ามามีบทบาทในการทำงานรูปแบบใหม่ มีทั้งแบบที่ช่วยให้งานง่ายขึ้น เช่นระบบจัดการบัญชี ทำใบเบิกจ่าย ใบเสนอราคาที่เป็นแบบฟอร์มเฉพาะ คำนวณภาษีได้อย่างแม่นยำ ลดเวลาในการทำงานเดิมซ้ำ ๆ ระบบการสื่อสารในองค์กรที่ติดตามความคืบหน้าของงานได้อย่างละเอียด ไปจนถึงระบบ Automation ที่ทำงานได้ด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่อง โจทย์ที่ท้าทายของระบบเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ที่ความยากง่ายในการใช้งาน แต่อยู่ที่การจัดการความรู้สึก ความเคยชินของพนักงานที่เคยทำงานเดิมซ้ำ ๆ มาตลอด ว่าจะสามารถลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานของตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเหล่านี้ได้อย่างไร 4. การทำธุรกิจแบบแพลตฟอร์ม (The Business of Platforms) ในศตวรรษนี้ เราน่าจะเห็นตรงกันว่ามีการผลิตเกิดขึ้นมากเพียงพอสำหรับมนุษย์ทุกคนแล้ว แต่กระบวนการจัดจำหน่าย การซื้อขายแบบเดิม ๆ ทำให้เราหาสิ่งต้องการไม่เจอ หรือคนขายก็หาลูกค้าไม่พบ ประกอบกับเทรนด์ที่ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น การสร้างพื้นที่ตรงกลาง ที่ทำให้ความต้องการซื้อกับความต้องการขายมาบรรจบพบกัน จึงเป็นอีกรูปแบบที่หลายธุรกิจปรับตัวเข้ามาร่วมแข่งขัน เนื่องจากไม่ต้องเป็นผู้ดูแลกระบวนการผลิต ไม่ต้องสร้างคลังสินค้า ไม่ต้องจ้างพนักงานส่งของ แต่เปลี่ยนมาสร้างการเชื่อมต่อที่ตอบโจทย์แทน ย้ำตรงนี้ว่าแพลตฟอร์มไม่ได้จำกัดรูปแบบว่าจะต้องเป็นแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์เสมอไป แต่หัวใจสำคัญคือ การสร้างพื้นที่ที่ตอบโจทย์การแลกเปลี่ยนและความเชื่อมั่นจากกลุ่มเป้าหมายทั้งสองฝั่ง แหล่งอ้างอิง: เอกสารประกอบการเรียนหัวข้อ Business of Platforms สอนและออกแบบโดย คุณไผท ผดุงถิ่น ผู้ก่อตั้ง Builk เว็บแอพพลิเคชั่นสำหรับบริหารธุรกิจก่อสร้างรายแรกในเอเชีย 5. การระดมทุนยุคดิจิทัล (The Business of Platforms) การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอดีตอาจเป็นเรื่องยาก แต่ในปัจจุบันมีเครื่องมือที่ช่วยให้ไอเดียแปลงเป็นความจริงที่จับต้องได้ง่ายขึ้น การระดมทุนในยุคดิจิทัลจึงไม่ต้องง้อธนาคารอีกต่อไป แต่เราสามารถพิชชิงไอเดียให้ผู้คนในโซเชียลมีเดียทั่วโลกได้รับรู้และร่วมลงทุนผ่านตัวกลางอย่างแพลตฟอร์มที่เป็น Funding Portal การระดมทุนที่ง่ายขึ้นทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และผู้ประกอบการเริ่มต้น (Startup) ในยุคปัจจุบันมีโอกาสพัฒนาตัวเองได้อย่างมั่นใจ วัดกันด้วยไอเดียที่แปลกใหม่และทำเงินได้จริง ไม่ต้องรอพิสูจน์ผ่านกาลเวลาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แหล่งอ้างอิง: https://ec.europa.eu/growth/tools-databases/crowdfunding-guide/what-is/explained_cs มองให้ไกล ไปให้ถึง เมื่อรู้แล้วว่าอะไรบ้างที่ต้องเปลี่ยนแปลง อีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือปัจจัยที่นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านในอนาคต ว่าเราจะเลือกรับมาปรับใช้กับธุรกิจที่มีอยู่ได้อย่างไร Forbes เสนอเทรนด์การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลที่น่าจับตาสำหรับปี 2021 ไว้ดังนี้
|