ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา การพัฒนาส่วนใหญ่ถูกทุ่มให้กับด้านเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเพียงมิติเดียว ทำให้ละเลยการพัฒนาด้านอื่น ๆ ไป ประกอบหลายกิจกรรมที่ไม่ได้คำนึงถึงทรัพยากรธรรมชาติและทำลายสิ่งแวดล้อมในชุมชน กิจกรรมที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนมีหลายมิติตั้งแต่การหาของล่าสัตว์ ใช้พื้นที่ทำไร่นา อยู่อาศัย การใช้ทำประโยชน์ให้กับนายทุน เช่น การจ้างปลูกพืชอาหารสัตว์ ซื้อที่ดินแบบเหมาเพื่อจัดตั้งสถานที่ทางเศรษฐกิจ ให้เช่าที่กับชาวบ้านทำไร่ทำนา การใช้พื้นที่ในเชิงวิชาการ เช่น ใช้พื้นที่ทำวิจัยศึกษา ทำโครงการอาสาสมัครต่าง ๆ หรือใช้ชุมชนเป็นฐานเรียนรู้ การใช้พื้นที่ทางธรรมชาติในการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการทำการเกษตร การก่อตั้งโรงงาน การจัดงาน การท่องเที่ยว หรือการทำเหมืองถ่าน ซึ่งชาวบ้านก็อาจจะไม่ใช่ผู้ที่ต้องการให้มีกิจกรรมเหล่านี้ในชุมชน แต่เหตุผลทางการเงิน โอกาส หรือไม่มีทางเลือก กิจกรรมเหล่านี้จึงได้เกิดขึ้น Show
การละเลยทรัพยากรธรรมชาตินั้นส่งผลต่อระบบนิเวศและสุขภาพของคนทุกคนทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชนเอง นอกเหนือจากการถูกตีตราว่าชาวบ้านเป็นผู้ทำลายธรรมชาติ ถึงแม้ทำเพื่อตอบจะความต้องการนายทุนหรือตลาดก็ตาม ผลตอบแทนที่ได้รับกลับมาอย่างไม่คุ้มเสีย คือการที่พวกเขาต้องแบกรับที่จะใช้ชีวิตอยู่กับต้นทุนทางทรัพยากร ระบบนิเวศที่ถดถอยและเสื่อมโทรม และสุดท้าย พวกเขาก็เป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากโรคภัยที่รุมเร้าอย่างช้า ๆ ของเหลือจากการเกษตรประเทศไทยมีประชากรส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตรและปลูกพืชหลากหลาย โดยมีเกษตรกรส่วนหนึ่งเร่งการผลิตพืช ให้ได้หลายรอบต่อปี จากข้อมูลล่าสุด เรามีชีวมวลที่เหลือใช้ 159 ล้านตัน ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ คิดเป็น 53% ของชีวมวลที่เกิดขึ้นทั้งหมด 296 ล้านตัน ไม่ว่าจะเป็นใบอ้อย ตอซังและฟางข้าว และตอซังข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การจัดการของเหลือจากการเกษตรยังขาดการจัดการที่ดี และเลือกใช้วิธีการเผาเศษวัสดุทางการเกษตรแทนวิธีการอื่น ๆ เพราะเป็นหนทางที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ นำมาซึ่งปัญหามลพิษทางอากาศ และโรคทางเดินหายใจ นอกจากการนำไปหมักปุ๋ย หรือแปรรูปแล้ว มีการคาดการณ์ว่ามูลค่าจากปริมาณเศษเหลือใช้ทางการเกษตรคงเหลือ จะสามารถกระตุ้นทางเศรษฐกิจได้เฉลี่ยสูงกว่าแสนล้านบาทต่อปี เพื่อตอบความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuels) เพื่อลดการพึ่งพิงน้ำมันเชื้อเพลิงจาก (Fossil Fuel) และลดสาเหตุของก๊าซเรือนกระจก ช่วยส่งเสริมรายได้เกษตรกร และการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน เพราะเชื้อเพลิงชีวภาพสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ โดยของเหลือทิ้งทางการเกษตร ทุก ๆ 1 ตัน เมื่อเทียบเป็นค่าพลังงาน จะมีมูลค่าน้ำมันดิบเฉลี่ย 2 บาท ดังนั้น หากเกษตรกรสามารถจัดเก็บเศษเหลือใช้จากการเกษตร ที่มีอยู่ในประเทศได้ทั้งหมด โดยไม่มีต้นทุนค่าขนส่ง การท่องเที่ยวธรรมชาติที่มีสภาพดีและสวยงามเป็นแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่และเกิดกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบทั้งบวกและลบต่อชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เพราะในขณะที่เศรษฐกิจทางการเงินดีขึ้น แต่ ต้องแลกมาซึ่งความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นขยะมูลฝอย น้ำเสีย มลภาวะทางเสียง ยกตัวอย่าง การจัดคอนเสิร์ตในป่านั้นจะเกิดแสง สี เสียงที่ทำให้สัตว์ป่าที่เป็นทรัพยากรธรรมตื่นกลัว ทิ้งที่อยู่อาศัย และส่งผลต่อการสืบพันธุ์ สัตว์ป่าโดนเฉี่ยวชน รวมถึงขยะมหาศาลหลังจบงานคอนเสิร์ต เป็นต้น การสูญเสียความหลากลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss)ระบบนิเวศของไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพและมีห่วงโซ่อาหารที่ซับซ้อนมาก เรามีพืชสวนครัวหลากหลายสายพันธุ์ แต่กลับอยู่ในวิกฤติใกล้สูญพันธ์ มีการรับสินค้าเกษตรจากต่างชาติเข้ามาขายในตลาด และยังมีเหตุการณ์ขาดแคลนอาหารให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะช่วง Covid-19 ดร. นณณ์ ผาณิตวงศ์ ASEAN Biodiversity Hero จากผลงานอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ได้อธิบายว่า หากสิ่งหนึ่งหายไปตอนนี้อาจยังไม่มีผลกระทบมาก เราสามารถเปลี่ยนไปกินสิ่งอื่นได้ แต่การหายไปของสิ่งมีชีวิตนั้นเกิดขึ้นถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนวันหนึ่ง ประเทศเราก็จะเป็นระบบนิเวศน์ที่ซับซ้อนน้อยกว่านี้ มีสิ่งมีชีวิตคีย์สโตน (keystone species) น้อยลงเรื่อย ๆ และถูกแทรกแซงด้วยเอเลียนสปีชีส์ (alien species) ตัวอย่างผลกระทบจากการพัฒนาชุมชนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเดิมที เรามีข้าวกว่าหมื่นชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีทรง ความมัน ความหอม และรสชาติที่ต่างกัน เพื่อให้ทานคู่กับอาหารประจำถิ่นนั้น ๆ แล้วอร่อย ดังนั้น ข้าวแต่ละชนิดก็มีลักษณะพื้นที่ที่ปลูกขึ้นไม่เหมือนกันเช่นกัน เมื่อเกิดความนิยมในข้าวกระแสหลักก็ทำให้เกิดการระดมปลูกข้าวเศรษฐกิจแทนกระทั้งข้าวพื้นถิ่นสูญพันธุ์ไปจนเหลือไม่กี่สิบชนิดที่กินกัน แม้ข้าวจะเป็นพืชที่ปรับตัวกับพื้นที่ใหม่ ๆ เก่ง ข้าวต่างถิ่นก็ถือเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ที่ไม่แข็งแรง มีภูมิต้านทานต่ำ ต้องมีการพึ่งสารเคมี เป็นพิษต่อผู้ปลูกและผู้กิน สารเคมีไหลลงแหล่งน้ำและ ทำลายแมลงที่ช่วยผสมเกษรในพื้นที่ที่มีความเซนซิทีฟต่อเคมี อย่างเต่าทองและผึ้ง (ที่เป็นสิ่งมีชีวิตคีย์สโตนที่แพร่กระจายเกสรพืช ผสมละอองเกสรให้ 90% ของพืชดอกป่า และ 75% ของพืชอาหาร ปัจจุบัน ผึ้งลดจำนวนลงเหลือเพียง 50% ใน 1 ปี) ส่งผลให้ต้องใช้เคมีในการจัดการเพลี้ย มีพืชผสมพันธุ์ออกดอกผลน้อยลง สุดท้าย แมลงและสัตว์อื่นก็ไม่มีอาหาร เสี่ยงสูญพันธุ์ตามไปด้วย ภาพจาก สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (WCS) ประเทศไทยตัวอย่างที่สอง การทำถนนผ่าป่าหรือปรับปรุงถนนลูกรังในป่า มีผลทำให้รถในพื้นที่ป่าสามารถขับได้เร็วขึ้น (เสี่ยงชนสัตว์และแมลงมากขึ้น นำคนมาได้เยอะขึ้น และเกิดเสียงดังสร้างความตกใจแก่สัตว์มากขึ้น) หากผ่านลำธาร ก็เสี่ยงทำลายแหล่งกินน้ำของสัตว์ แถมยังเป็นการแบ่งพื้นที่ป่าออกเป็นส่วนเล็ก ๆ ทำให้สัตว์ป่าอยู่ในสภาพ ‘ติดเกาะที่ล้อมด้วยทะเลมนุษย์’ ขาดการติดต่อกับกลุ่มอื่น ไม่เกิดการแลกเปลี่ยนทางพันธุกรรม ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ของการสูญพันธุ์ Felix Mueller/Wikimedia Commons, CC BY-SAการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพจากการสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์ เป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงที่สุดในระดับโลก ตามมาด้วยปัญหาจากไนโตรเจน (ส่วนใหญ่เกิดจากปุ๋ยทางการเกษตรที่ปนเปื้อนดินและน้ำ) และวิกฤติภูมิอากาศ จำเป็นต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุด การจัดการทรัพยากรธรรมชาติในปัจจุบันมีการกำกับเพื่อไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกใช้มากเกิน ด้วยแนวทางการดูแล 3 ส่วน ส่วนแรกคือ การควบคุมโดยตรงจากรัฐ (ออกข้อบังคับให้มีทางเลือกที่ถูกต้องและลงโทษหากมีการทำผิด ออกนโยบายและจัดหาทุนในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนา) และส่วนที่ 2 คือ รัฐให้สัมปทานกับเอกชน (privatization) และแนวทางที่ 3 คือชุมชนดูแลจัดการกันเองภายใต้การกำกับของรัฐ (ตามสิทธิของชุมชน รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540) เพราะชาวบ้านก็สามารถเรียนรู้วิธีการจัดการ และมักจะพยายามหาทางออกที่ดีขึ้นเมื่อมีโอกาส และหากพวกเขาได้รับเครื่องมือในการจัดการร่วมกัน ก็จะสามารถดูแลทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวทางการดูแลทรัพยากรโดยรัฐนั้น จะประสบผลดีต่อ หากมีการทำข้อมูลและการบังคับใช้กฎอย่างแม่นยำทั่วถึง ซึ่งในความจริงอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากรัฐบาลที่หวังคะแนนเสียงการเลือกตั้งนั้นจะไม่เวนคืนป่าที่ถูกทำลายกลับมา เพราะกลัวเสียคะแนนนิยมหรือกลัวกระทบนายทุน ทำให้เกิดช่องว่างในการทำผิดกฎ ในขณะที่การให้สัมปทานกับเอกชนนั้นก็ทำภายใต้ความเชื่อที่ว่าเอกชนมีแรงจูงใจในการดูแลให้อยู่สภาพดี และช่วยดูชุมชน และในความเป็นจริง ทรัพยากรส่วนใหญ่มีอย่างจำกัด (อาจเสี่ยงต่อการผูกขาด) และมีความไม่แน่นอน (เสี่ยงต่อการขาดทุน) รวมถึงกิจกรรมที่เอกชนใช้ทรัพยากรนั้นอาจส่งผลต่อวิถีชีวิตชุมชนและเกิดเป็นความขัดแย้ง ส่วนการดูแลโดยชุมชนนั้น มักประสบปัญหาการกำหนดขอบเขตของสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ และความรับผิดชอบดูแลทรัพยากรที่ไม่ชัดเจน ซึ่งคนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นเด็กและคนชรา มีความรู้เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมไม่มาก และหากไม่รู้จักกัน หรือไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่มีความรู้สึกหวงแหนหรือรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของทรัพยากรร่วมกัน รวมถึงกรณีที่ชุมชนเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจก็อาจเลือกใช้อย่างสิ้นเปลืองแทน ท้ายที่สุด ทรัพยากรก็ตกเป็นสภาพเปิด (open for all) ไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ชัดเจน ถูกใช้จนเกิดขีดจำกัดจนหมดไป “ทรัพย์สินที่เป็นของทุกคน ย่อมจะไม่เป็นของใครเลยสักคน” ประเด็นที่น่าสนใจ
ตัวอย่างการพัฒนาเศรษฐกิจระดับชุมชนที่น่าสนใจ
หลายสิบปีก่อน บ้านห้วยหินลาดในเคยผ่านการทำสัมปทานจนกลายเป็นภูเขาหัวโล้น เมื่อเหลือต้นลำพูเพียงต้นเดียว ปราชญ์ชาวปกาเกอญอจึงชวนชุมชนมาทำข้อตกลงว่าจะช่วยฟื้นฟูและรักษาสภาพของธรรมชาติไว้ให้ดีที่สุด ชาวบ้านจึงกลับมาดูแลและทำไร่หมุนเวียนตามวิถีดังเดิม จนไม่กี่ปีก่อนได้รับรางวัล ตอนนี้ หินลาดในกลับมาเป็นป่าที่สมบูรณ์ ชาวบ้านช่วยกันทำโพรงผึ้งด้วยความหวังที่จะเป็นบ้านให้กับผึ้ง คีย์สโตนสปีชีส์ที่ช่วยผสมเกษร และสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งผึ้งจะมาทำรังในโพรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับกลิ่นเคมีที่อาจติดอยู่ที่ไม้ที่นำมาทำโพรง สภาพอากาศ ความไกลกับความชุกของอาหารผึ้ง รวมถึงอารมณ์ของผึ้ง ทำให้แต่ละปี ชุมชนได้ปริมาณและรสชาติน้ำผึ้งต่างกันไป นอกจากชาวปกาเกอญอรุ่นใหม่ที่หินลาดในจะใช้ผลิตภัณฑ์อย่าง น้ำผึ้งในการฟื้นฟูธรรมชาติ การสร้างความหลากหลายของชีวภาพ เป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่เอารัดเอาเปรียบ และคืนกำไรให้ชุมชนแล้ว พวกเขายังเล่าเรื่องราวของชุมชน การจัดการป่า และความมั่นคงทางอาหาร ผ่านน้ำผึ้งและกาแฟออแกนิกให้คนปลายน้ำได้เรียนรู้ด้วย
อีก 2 เรื่องที่น่าสนใจในการพัฒนาชุมชนลิงก์แหล่งที่มาของข้อมูลและเรื่องราวที่น่าสนใจ
แนวคิดในการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพควรดำเนินการอย่างไรวิธีการสำคัญที่ใช้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การออกกฎหมายควบคุม การจัดตั้งองค์กรเพื่อบริหารงาน การวางแผนพัฒนาสิ่งแวดล้อม การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม การศึกษา และจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากโครงการพัฒนาทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนและการประชาสัมพันธ์และสิ่งแวดล้อมศึกษา ในวิธีการ ...
แนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อประโยชน์ที่ยั่งยืนมีอะไรบ้าง9 วิธีอนุรักษ์ทรัพยากรอย่างยั่งยืน. 1. ประหยัดการใช้สิ่งต่างๆ ในบ้าน ... . 2. ใช้ซ้ำ สำหรับสิ่งของที่สามารถใช้ได้ ... . 3. รีไซเคิลวัสดุต่างๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ... . 4. ซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุด ถ้าไม่เสียอย่าเพิ่งทิ้ง ... . 5. ทดแทนวัสดุที่เป็นมลพิษด้วยของจากธรรมชาติ ... . 6. ป้องกันไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย. ข้อใดคือแนวคิดในการจัดการสิ่งแวดล้อมการจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental Management) หมายถึง ขบวนการดำเนินการ อย่างมีระบบในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสนองความต้องการของมนุษย์ โดยไม่มีผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม และยังทำให้มีทรัพยากรธรรมชาติใช้ในอนาคตต่อไป
แนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมมีความหมายว่าอย่างไรการจัดการสิ่งแวดล้อม หมายถึง กระบวนการใช้สิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ โดยการวางแผน ดําเนินงาน ติดตามประเมินผลและปรับปรุง แก้ไขพัฒนาให้ดีขึ้น ทั้งนี้ต้องคํานึงถึงการใช้อย่างประหยัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้ให้ได้ยั่งยืน ยาวนานตลอดไป และเอื้ออํานวยประโยชน์ต่อมวลมนุษย์และธรรมชาติให้มากที่สุด (วินัย วีระวัฒนา ...
|