คุกกี้พื้นฐานที่จำเป็น เพื่อช่วยให้การทำงานหลักของเว็บไซต์ใช้งานได้ รวมถึงการเข้าถึงพื้นที่ที่ปลอดภัยต่าง ๆ ของเว็บไซต์ หากไม่มีคุกกี้นี้เว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม และจะใช้งานได้โดยการตั้งค่าเริ่มต้น โดยไม่สามารถปิดการใช้งานได้ Show คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์ จะช่วยให้เว็บไซต์เข้าใจรูปแบบการใช้งานของผู้เข้าชมและจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการใช้งานของผู้ใช้งาน คุกกี้ในส่วนการตลาด ใช้เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อแสดงโฆษณาที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้งานแต่ละรายและเพื่อเพิ่มประสิทธิผลการโฆษณาสำหรับผู้เผยแพร่และผู้โฆษณาสำหรับบุคคลที่สาม ค่าเสื่อมราคาเป็นคำที่คุ้นเคยสำหรับนักบัญชี แต่สำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือบุคคลทั่วไป คงจะเคยผ่านตาสำหรับคำว่า “ค่าเสื่อมราคา” ในการอ่านงบการเงินหรือรายงานทางการเงินต่างๆ มาบ้างแต่อาจจะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของค่าเสื่อมราคา หรือค่าเสื่อมราคาสะท้อนให้เห็นอะไรเกี่ยวกับกิจการ ค่าเสื่อมราคาคืออะไร ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) คือ ค่าใช้จ่ายที่ทยอยตัดจากมูลค่าของสินทรัพย์ที่กิจการใช้ประโยชน์และเกินกว่า 1 ปีขึ้นไป สินทรัพย์เหล่านี้ได้แก่สินทรัพย์ถาวร โดยส่วนใหญ่มีมูลค่าสูง ซึ่งกิจการต้องประมาณการอายุการใช้ประโยชน์ของสินทรัพย์แต่ละรายการ เพื่อที่จะทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละงวด สินทรัพย์ถาวร คืออะไร สินทรัพย์ถาวร หมายถึง สินทรัพย์ที่มีลักษณะถาวรโดยสภาพ โดยเข้าเงื่อนไขทุกข้อดังต่อไปนี้
สินทรัพย์ถาวรแบ่งตามลักษณะสินทรัพย์ได้เป็น 2 ประเภทดังนี้ 1. สินทรัพย์ถาวรที่มีตัวตน (Tangible Fixed Assets) หมายถึง สินทรัพย์ที่มีรูปร่าง สามารถมองเห็น สัมผัส จับต้องได้ กิจการมีไว้เพื่อใช้ในการดำเนินงานและอายุการใช้งานนานหลายปี ได้แก่ ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ เครื่องจักร ยานพาหนะ เครื่องตกแต่ง เป็นต้น 2. สินทรัพย์ถาวรที่ไม่มีตัวตน (Intangible Fixed Assets) หมายถึง สินทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถสัมผัส จับต้องได้ แต่สามารถวัดมูลค่าได้และให้ประโยชน์ในการดำเนินงาน แต่มีความไม่แน่นอนของประโยชน์ในอนาคตค่อนข้างสูง ได้แก่ ซอฟต์แวร์ ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า เป็นต้น เมื่อกิจการนำสินทรัพย์ถาวรที่มีอยู่มาใช้ในการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของกิจการ มูลค่าของสินทรัพย์ย่อมลดลงจากวันที่ซื้อสินทรัพย์ มีการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานและลักษณะการใช้งาน ทำให้ประโยชน์และประสิทธิภาพการใช้งานลดลง กิจการจึงต้องเฉลี่ยมูลค่าราคาทุนของสินทรัพย์ตามอายุการใช้งาน เพื่อคำนวณมูลค่าที่เสื่อมลงของสินทรัพย์ถาวรในแต่ละงวดบัญชี โดยสินทรัพย์ถาวรที่นำมาคิดค่าเสื่อมราคาเป็นสินทรัพย์ประเภทที่มีตัวตน (Tangible Fixed Assets) ได้แก่ อาคาร เครื่องจักรและอุปกรณ์ เครื่องตกแต่ง ยานพาหนะ เป็นต้น โดยตัดเป็นค่าใช้จ่ายประจำงวด ยกเว้น ที่ดิน ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนที่ไม่หักค่าเสื่อมราคาเนื่องจากอายุการใช้ประโยชน์ของที่ดินไม่จำกัด และมูลค่าคงเหลือของที่ดินมีค่าเท่ากับหรือมากกว่ามูลค่าตามบัญชี โดยกิจการจะต้องทยอยบันทึกค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละงวดบัญชี ไม่สามารถบันทึกตัดเป็นค่าใช้จ่ายได้ทั้งจำนวน ณ ปีที่ซื้อสินทรัพย์ถาวรนั้น ข้อดีของการคิดค่าเสื่อมราคา คือ เป็นการปันส่วนต้นทุนของสินทรัพย์ถาวรที่มีตัวตนเป็นค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานอย่างเป็นระบบ และทำให้ตัวเลขกำไรขาดทุนมีความสมเหตุสมผล ถ้ากิจการไม่ใช้การบันทึกค่าเสื่อมราคา เงินที่จ่ายซื้อสินทรัพย์ถาวรจะถูกบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทันที ซึ่งจะส่งผลต่อตัวเลขกำไรขาดทุนของกิจการอย่างมีสาระสำคัญ ทำให้งบการเงินดูผิดปกติ โดยกิจการซึ่งมีกำไรมาตลอดแต่มาแสดงผลประกอบการเป็นขาดทุนอย่างมากในปีที่มีการซื้อเครื่องจักร ข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ในการคำนวณค่าเสื่อมราคา ในการคำนวณค่าเสื่อมราคา กิจการต้องรวบรวมข้อมูลพื้นฐานดังต่อไปนี้ 1. จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา (Depreciation Base) จำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคา หมายถึง ราคาทุนของสินทรัพย์หรือมูลค่าอื่นที่ใช้แทนราคาทุน หักด้วยมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์ ราคาทุนของสินทรัพย์ ประกอบด้วย
ตัวอย่าง ต้นทุนทางตรงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ก. ต้นทุนผลประโยชน์ของพนักงานที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการก่อสร้าง หรือการได้มาซึ่งที่ดินอาคารอุปกรณ์ ข. ต้นทุนการเตรียมสถานที่ ค. ต้นทุนการขนส่งเริ่มแรกและการเก็บรักษา ง. ต้นทุนการติดตั้งและการประกอบ จ. ต้นทุนในการทดสอบว่าสินทรัพย์นั้นสามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสมหรือไม่ หลังหักมูลค่าสิ่งตอบแทนสุทธิที่ได้รับจากการขายรายการต่างๆ ที่ผลิตได้ในช่วงเตรียมความพร้อมของสินทรัพย์ เพื่อให้อยู่ในสถานที่และสภาพที่พร้อมจะใช้งานได้ (เช่น สินค้าที่ผลิตขึ้นในช่วงการทดสอบอุปกรณ์) ฉ ค่าธรรมเนียมวิชาชีพ
ส่วนต้นทุนที่ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาทุน ที่ดินอาคารและอุปกรณ์ ได้แก่ ก. ต้นทุนในการเปิดสถานประกอบการใหม่ ข. ต้นทุนในการแนะนำสินค้าหรือบริการใหม่ (รวมถึงต้นทุนในการโฆษณาและการส่งเสริมการขาย) ค. ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจในสถานที่ตั้งใหม่ หรือกลุ่มลูกค้าใหม่ (รวมทั้งต้นทุนในการฝึกอบรมพนักงาน) ง. ต้นทุนในการบริหารและค่าใช้จ่ายทั่วไป โดยสรุป ราคาทุน = ราคาซื้อ+ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการซื้อจนทำให้สินทรัพย์อยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งานได้ตามต้องการ ต้วอย่างที่1 ราคาทุน วันที่ 31 สิงหาคม 2564 กิจการจ่ายเงินซื้อเครื่องจักร เป็นจำนวนเงิน 10,000,000 บาท โดยได้รับส่วนลด 10% (เป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท) และจ่ายค่าขนส่ง 200,000 บาท มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและทดลองการใช้เครื่อง 100,000 บาท ดังนั้นราคาทุนของเครื่องจักร=10,000,000-1,000,000+200,000+100,000 =9,300,000 บาท 2. อายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์ (Useful life) ในการกำหนดอายุการใช้งานของสินทรัพย์ เจ้าของกิจการควรประเมินอายุการใช้งานจริงของสินทรัพย์ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้ 2.1 Physical Factors คือ พิจารณาประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ โดยประเมินจากกำลังการผลิตหรือผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับจากสินทรัพย์ ได้แก่ ชั่วโมงการทำงานของเครื่องจักร 2.2 Economic Factors คือ พิจารณาอายุประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ โดยคำนึงถึงความล้าสมัยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงหรือการปรับปรุงการผลิต ซึ่งมีทั้งความล้าสมัยทางเทคนิคและความล้าสมัยทางพาณิชย์ เช่น กิจการมีแผนยกเลิกการผลิตสินค้าชนิดหนึ่งเนื่องจากมีความล้าสมัย จึงมีแผนที่จะยกเลิกการใช้งานเครื่องจักรที่ผลิตสินค้าดังกล่าวในอีก 2 ปีข้างหน้า ทั้งๆ ที่เครื่องจักรยังมีความสามารถในการผลิตอยู่ ในกรณีนี้อายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์กำหนดจากความล้าสมัยทางพาณิชย์ 2.3 Other Factors คือ พิจารณาจากข้อกำหนดทางกฎหมายหรือข้อจำกัดอื่นๆ เช่น พิจารณาจากอายุสัญญาเช่าซึ่งถือเป็นข้อจำกัด อย่างกรณีการสร้างอาคารบนที่ดินที่เช่า ซึ่งอาคารมีอายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์ 20 ปี แต่สัญญาเช่าที่ดินมีอายุ 15 ปี กิจการก็ควรคิดค่าเสื่อมราคาอาคารจากอายุการใช้งานเพียง 15 ปีตามสัญญาเช่า 3.อัตราคำนวณค่าเสื่อมราคา (Depreciation Rate) ในทางบัญชีไม่ได้กำหนดอัตราการคำนวณค่าเสื่อมราคา แต่ใช้การประมาณการอายุการใช้งานให้เหมาะกับประเภททรัพย์สินดังที่กล่าวมาแล้วในข้อ 2 แต่ในทางภาษี กรมสรรพากรได้กำหนดหลักเกณฑ์การหักค่าเสื่อมราคาไว้ ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน ฉบับที่ 145 พ.ศ.2527 ซึ่งกำหนดให้กิจการหักค่าสึกหรอตามวิธีเส้นตรง ตามระยะเวลาที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ในอัตราของมูลค่าต้นทุนตามประเภทของทรัพย์สินดังต่อไปนี้ 1) อาคาร
วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา สำหรับการคำนวณค่าเสื่อมราคาโดยทั่วไปมีด้วยกัน 4 วิธีดังนี้ 1 วิธีเส้นตรง (Straight-line Method) การคำนวณค่าเสื่อมราคาโดยวิธีเส้นตรงมีข้อสมมติฐานที่ว่ากิจการจะได้รับผลประโยชน์จากการใช้สินทรัพย์ที่เท่ากันทุกๆ ปีตลอดอายุการใช้งาน ค่าเสื่อมราคาต่อปี= (ราคาทุน-ราคาซาก)/ อายุการใช้งาน ตัวอย่างที่2 กิจการซื้อเครื่องจักร เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2563 ราคา 1,000,000 บาท จ่ายค่าติดตั้งและทดลองการใช้เครื่อง 50,000 บาท มีอายุการใช้งาน 5 ปี เมื่อเลิกใช้เครื่องจักรคาดว่าจะขายเป็นเศษซากได้ในราคา 10,000 บาท ค่าเสื่อมราคาต่อปี=(1,000,000-50,000-10,000) / 5 = 188,000 บาท ระยะเวลาในการใช้งานในปี 2563 ตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2563 = 1 ปี ดังนั้นค่าเสื่อมราคาประจำปี 2563 = 188,000 บาท ผลจากการคำนวณ ทำให้ค่าเสื่อมราคามีจำนวนคงที่ตลอดอายุการใช้ประโยชน์ของสินทรัพย์หากมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์นั้นไม่เปลี่ยนแปลง 2. วิธียอดลดลงทวีคูณ (Double Declining Balance Method) เป็นการคำนวณหาอัตราค่าเสื่อมราคาตามวิธีเส้นตรงต่อปีแล้วปรับเป็น 2 เท่า จากนั้นนำอัตรา 2 เท่าที่คำนวณได้ไปคำนวณค่าเสื่อมราคาสำหรับงวด โดยคำนวณจากราคาตามบัญชี (Book Value) ของสินทรัพย์ถาวรที่ลดลงทุกปี โดยไม่นำราคาซากมาเกี่ยวข้องกับการคำนวณ เป็นการคิดค่าเสื่อมราคาในปีแรกๆ ควรสูงกว่าในปีหลังๆ หรือเรียกว่าเป็นการคิดในอัตราเร่ง โดยหลักการคือ สินทรัพย์ถาวรที่ซื้อมาใหม่ย่อมมีประสิทธิภาพการใช้งานสูง ตัวอย่างที่ 3 กิจการซื้อเครื่องจักรเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2563 ราคา 650,000 บาท มีอายุการใช้งาน 5 ปี ประมาณราคาซากที่ราคา 50,000 บาท การคำนวณค่าเสื่อมราคา อัตราค่าเสื่อมราคาตามวิธีเส้นตรง = 100/5 = 20% สองเท่าของอัตราค่าเสื่อมราคา = 2*20% = 40% ตารางการคำนวณค่าเสื่อมราคา (บาท) ปีที่ราคาตามบัญชี ณ วันต้นปีอัตราค่าเสื่อม ราคาค่าเสื่อมราคาค่าเสื่อมราคาสะสมราคาตามบัญชี ณ วันสิ้นปี1650,00040%260,000260,000390,0002390,00040%156,000416,000234,0003234,00040%93,600509,600140,4004140,40040%56,160565,76084,040584,240 34,240600,00050,000หมายเหตุ การคำนวณค่าเสื่อมราคาในปีที่5 คิดจากราคาตามบัญชีคงเหลือ-ราคาซาก = 84,240-50,000 = 34,240 บาท 3. วิธีผลรวมจำนวนปี (Sum of the Years’ Digits) วิธีนี้ถือจำนวนปีหรืออายุการใช้งานของสินทรัพย์ถาวรเป็นเกณฑ์ โดยใช้ผลบวกรวมทั้งสิ้นในรูปเศษส่วนและจำนวนเศษส่วนจะค่อยๆ ลดลงตามลำดับ ในการคำนวณค่าเสื่อมราคา เป็นการคิดค่าเสื่อมราคาแบบอัตราเร่งเช่นเดียวกับวิธียอดลดลงทวีคูณ โดยค่าเสื่อมราคาในปีแรกๆ จะสูงกว่าในปีหลังๆ การคำนวณค่าเสื่อมราคา
ตัวอย่างที่ 4 กิจการซื้อรถยนต์ราคา 10,000,000 บาทเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2563 ราคาซาก 1,000,000 บาท มีอายุการใช้งาน 5 ปี การคำนวณค่าเสื่อมราคา (ก) ผลรวมจำนวนปี = 5*(5+1)/2 =15 (ข) ราคาทุน-ราคาซาก = 10,000,000-1,000,000 = 9,000,000 บาท ตารางการคำนวณค่าเสื่อมราคา (บาท) ปีที่ราคาทุน-ราคา ซากอัตราค่าเสื่อมราคาค่าเสื่อมราคาค่าเสื่อมราคาสะสมราคาตามบัญชี ณ วันสิ้นปี19,000,0005/153,000,0003,000,0007,000,00029,000,0004/152,400,0005,400,0004,600,00039,000,0003/151,800,0007,200,0002,800,00049,000,0002/151,200,0009,400,0001,600,00059,000,0001/15600,00010,000,0001,000,000หมายเหตุ ราคาตามบัญชีในปีที่ 5 เท่ากับราคาซากของรถยนต์ 1,000,000 บาท ผลจากการคำนวณ ทำให้ค่าเสื่อมราคาลดลงตลอดอายุการใช้ประโยชน์ของสินทรัพย์ 4 วิธีตามจำนวนผลผลิต (Productive-Output Method) หรือตามชั่วโมงการทำงาน (Working-Hours Method) วิธีนี้ใช้จำนวนหน่วยผลิตหรือจำนวนชั่วโมงการทำงานซึ่งเป็นสัดส่วนจริงในการใช้งานเป็นเกณฑ์ในการปันส่วน โดยมีสมมติฐานว่าสินทรัพย์มีการเสื่อมสภาพจากการใช้งาน ผลจากการคำนวณ ทำให้ค่าเสื่อมราคาขึ้นอยู่กับประโยชน์หรือผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับจากสินทรัพย์ ดังนั้นในปีที่มีการผลิตสินค้าจำนวนมากหรือมีชั่วโมงการทำงานสูง ค่าเสื่อมราคาก็จะสูงตามไปด้วย การคำนวณค่าเสื่อมราคา
n=ประมาณการจำนวนหน่วยผลิตหรือชั่วโมงการทำงานตลอดอายุการใช้งานของสินทรัพย์ (ข) ค่าเสื่อมราคาประจำปี = จำนวนชั่วโมงการทำงานในแต่ละปี x อัตราค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง(หน่วย) ตัวอย่างที่ 5 กิจการซื้อเครื่องจักรเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2563 มูลค่า 2,000,000 บาท มีค่าขนส่ง ค่าติดตั้งและทดลองเครื่องรวม 200,000 บาท และประมาณราคาซากที่ราคา 500,000 บาท กิจการประมาณว่าเครื่องจักรนี้จะสามารถผลิตสินค้าได้ตลอดระยะเวลา 5 ปี โดยมีชั่วโมงการทำงานรวม 17,000 ชั่วโมง ในปีที่1 ผลิตสินค้าได้ 2,000 ชั่วโมง ปีที่2 ผลิตสินค้าได้ 3,000 ชั่วโมง ปีที่3 ผลิตสินค้าได้ 5,000 ชั่วโมง ปีที่4 ผลิตสินค้าได้ 4,000 ชั่วโมง ปีที่5 ผลิตสินค้าได้ 3,000 ชั่วโมง การคำนวณค่าเสื่อมราคา
n=ประมาณการชั่วโมงการทำงานตลอดอายุการใช้งานของสินทรัพย์ = (2,000,000+200,000)-500,000/ 17,000 = 100 บาทต่อชั่วโมง (ข) ค่าเสื่อมราคาประจำปี = จำนวนชั่วโมงการทำงานในแต่ละปี x 100 บาทต่อชั่วโมง (หน่วย) ตารางการคำนวณค่าเสื่อมราคา (บาท) ปีที่จำนวนชั่วโมงการ ผลิตอัตราค่าเสื่อมราคา (บาทต่อชั่วโมง)ค่าเสื่อมราคาค่าเสื่อมราคสะสมราคาตามบัญชี ณ วันสิ้นปี12,000100200,000200,000 2,000,00023,000100300,000500,0001,700,00035,000100500,0007,200,0001,200,00044,000100400,0009,400,000800,00053,000100300,00010,000,000500,000หมายเหตุ ราคาตามบัญชีในปีที่ 5 เท่ากับราคาซากของเครื่องจักร 500,000 บาท ตัวเลขค่าเสื่อมราคาสะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง ในการวิเคราะห์งบการเงินของกิจการ ค่าเสื่อมราคาซึ่งเป็นรายการค่าใช้จ่ายที่แสดงในงบกำไรขาดทุนที่สะท้อนให้ผู้ประกอบการ นักลงทุนหรือผู้ใช้งบการเงินเห็นถึง 1. สำหรับนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ค่าเสื่อมราคาช่วยให้ทราบมูลค่าต้นทุนที่แท้จริงของอสังหาริมทรัพย์ว่าเป็นเท่าไร ควรตัดสินใจซื้อหรือเช่า ราคาที่ประกาศขายมีความเหมาะสมหรือไม่ ควรตั้งราคาขายที่เท่าไร 2. สำหรับกิจการประเภทผลิตสินค้าหรือกิจการที่มีสินทรัพย์ถาวรจำนวนมาก ค่าเสื่อมราคามีผลต่อกำไรสุทธิของกิจการอย่างมีสาระสำคัญ เมื่อเทียบกับกิจการซื้อมาขายไปหรือกิจการบริการ 3. ในการวิเคราะห์งบการเงิน การใช้นโยบายวิธีการคิดค่าเสื่อมราคาที่แตกต่างกัน มีผลต่อการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของตัวเลขกำไรของบริษัท 4. การประเมินมูลค่าซากและอายุการใช้งานของสินทรัพย์ถาวรของกิจการมีผลต่อกำไรของกิจการ ถ้ากิจการไม่สามารถประเมินได้อย่างเหมาะสม จะทำให้กำไรไม่สะท้อนความเป็นจริง เกิดความเข้าใจผิดสำหรับผู้ใช้งบการเงิน 5. กรณีกิจการมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา นักลงทุนหรือผู้ใช้งบการเงินควรวิเคราะห์สาเหตุที่มีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวว่ามีความสมเหตุสมผลหรือไม่ เช่น มีการเปลี่ยนแปลงการคำนวณเพื่อต้องการแสดงผลกำไรสูงขึ้นกว่าปีก่อนหรือไม่ 6. ในการคำนวณกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) คำนวณจากกำไรสุทธิของกิจการบวกกลับด้วยค่าเสื่อมราคา เนื่องจากค่าเสื่อมราคาถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นตัวเงิน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกระแสเงินสดที่กิจการมีอยู่ที่เหลือจากการใช้จ่ายจากการดำเนินการซึ่งกิจการสามารถนำไปใช้ลงทุนต่อได้ 7 การคิดค่าเสื่อมราคาทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในแต่ละงวด ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นตัวเงิน ทำให้กิจการมีเงินสดเหลือเพื่อนำไปลงทุนต่อได้หรือเป็นเงินสดสำรองของบริษัทไว้ใช้ปรับปรุงและพัฒนากิจการในด้านต่างๆต่อไป 8 ในการบันทึกบัญชีสินทรัพย์ถาวร เจ้าของกิจการไม่ควรนำสินทรัพย์ส่วนตัว เช่น บ้าน รถยนต์ มาบันทึกเป็นสินทรัพย์ของกิจการและตัดค่าเสื่อมราคา ที่จริงในทางบัญชีไม่มีประเด็นอะไร แต่ในทางภาษี ค่าเสื่อมราคาดังกล่าวถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65ตรี ซึ่งเป็นรายจ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ การบันทึกบัญชีดังกล่าวจะทำให้ข้อมูลตัวเลขผลประกอบการผิดพลาดเพราะไม่สะท้อนข้อเท็จจริงของธุรกิจ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยผู้ประกอบการคำนวณค่าเสื่อมราคาได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว PEAK มี New Feature ที่แสดงค่าเสื่อมราคาสะสมยกมายกมาและมูลค่าซากในรายงานสินทรัพย์ถาวรรายตัว ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มจำนวนรายการสินทรัพย์ถาวรให้รองรับสูงสุดถึง 4,000 รายการ การหักค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน เช่น เครื่องจักร สามารถหักได้เท่าใด“มาตรา 4 ทวิ การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรและอุปกรณ์ของเครื่องจักรที่ใช้สำหรับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในวันที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาในอัตราร้อยละ 40 ของมูลค่าต้นทุน สำหรับมูลค่าต้นทุนที่เหลือให้หักตามเงื่อนไขและอัตราที่กำหนดไว้ในมาตรา 4 ทรัพย์สินตาม ...
อาคารหักค่าเสื่อมราคาได้กี่ปีค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาอาคารได้ในอัตราร้อยละ 5 หรือเกินกว่าอัตราร้อยละ 5 ในบางปี แต่ จำนวนปีอายุการใช้ของทรัพย์สินเพื่อการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาต้องไม่น้อยกว่า 20 ปี ตาม
ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร คิดยังไงค่าเสื่อมราคา = (ราคาทุน – มูลค่าคงเหลือ) / อายุการใช้งาน ราคาทุน คือ ราคาที่ซื้อมาของสินทรัพย์ถาวร มูลค่าในส่วนนี้จะรวมถึงต้นทุนในการทำให้สินทรัพย์ดังกล่าวมีสภาพพร้อมใช้งานด้วย เช่น ค่าขนส่ง ค่าติดตั้งเครื่องจักร เป็นต้น
อาคารชั่วคราวจะหักค่าเสื่อมราคาได้ร้อยละเท่าไรต่อปีหลักเกณฑ์การคิดค่าเสื่อมราคา มีดังนี้ ข้อ 1 การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาจะต้องไม่เกินอัตราร้อยละของมูลค่าต้นทุนตามประเภทของทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้
...
4.4 เงื่อนไขการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ทวิ. |