รูปภาพที่นำมาใช้ประกอบงานนำเสนอมีความสำคัญอย่างไร

มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญได้แก่

1. ความเรียบง่าย: จัดทำสไลด์ให้ดูเรียบง่ายที่สุดเท่าที่ทำได้ เช่น ใช้สีอ่อนเป็นพื้นหลังเพื่อไม่รบกวนสายตาในการอ่าน และสามารถเห็นเนื้อหาได้อย่างชัดเจน หรือใช้พื้นหลังตามลักษณะเนื้อหา

2. มีความคงตัว (Consistent): เป็น สิ่งสำคัญที่สุดในการนำเสนอสไลด์ซึ่งเป็นเนื้อหาในเรื่องเดียวกัน คือ ต้องมีความคงตัวในการออกแบบสไลด์ ซึ่งหมายถึงต้องใช้รูปแบบสไลด์เดียวกันทุกแผ่นที่เกี่ยวกับเนื้อหานั้น โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสี พื้นหลัง หรือขนาดและแบบตัวอักษร แต่หากต้องการเน้นจุดสำคัญ หรือเป็นเนื้อหาย่อยออกไปจะสามารถเปลี่ยนบางสิ่ง เช่น สีตัวอักษรในสไลด์ให้ดูแตกต่างไปได้บ้าง หรืออาจมีการเปลี่ยนสีพื้นหลังให้แตกต่างจากเนื้อหาสักเล็กน้อยก็อาจทำได้ เช่นกัน

3. ใช้ความสมดุล: การออกแบบส่วนประกอบของสไลด์ให้มีลักษณะสมดุลมีแบบแผน (Formal balance) หรือสมดุลไม่มีแบบแผน (informal balance) ก็ได้ แต่ต้องระวังสไลด์ทุกแผ่นให้มีลักษณะของความสมดุลที่เลือกใช้ให้เหมือนกันเพื่อความคงตัว

4. มีแนวคิดเดียวในสไลด์แต่ละแผ่น: ข้อความ และภาพที่บรรจุในสไลด์แผ่นหนึ่งๆ ต้องเป็นเนื้อหาของแต่ละแนวคิดเท่านั้น หากเนื้อหานั้นมีหลายแนวคิด หรือเนื้อหาย่อยต้องใช้สไลด์แผ่นใหม่

5. สร้างความกลมกลืน: ใช้แบบอักษรและภาพกราฟิกให้เหมาะสมกับลักษณะของเนื้อหา ใช้แบบอักษรที่อ่านง่าย และใช้สีที่ดูแล้วสบายตา เลือกภาพกราฟิกที่ไม่ซับซ้อน และให้ถูกต้องตรงตามเนื้อหา รวมถึงให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เป็นทางการ หรือไม่เป็นทางการด้วย

6. แบบอักษร: ไม่ใช้อักษรมากกว่า 2 แบบในสไลด์เรื่องหนึ่ง โดยใช้แบบหนึ่งเป็นหัวข้อ และอีกแบบหนึ่งเป็นเนื้อหา หากต้องการเน้นข้อความตอนใดให้ใช้ตัวหนา (bold) หรือตัวเอน (italic) แทนเพื่อการแบ่งแยกให้เห็นความแตกต่าง

7. เนื้อหา และจุดนำข้อความ: ข้อความในสไลด์ควรเป็นเฉพาะหัวข้อ หรือเนื้อหาสำคัญเท่านั้น โดยไม่มีรายละเอียดของเนื้อหา และควรนำเสนอเป็นแต่ละย่อหน้า โดยอาจมีจุดนำข้อความอยู่ข้างหน้า เพื่อแสดงให้ทราบถึงเนื้อหาแต่ละประเด็น และไม่ควรมีจุดนำข้อความมากกว่า 4 จุดในสไลด์แผ่นหนึ่ง โดยสามารถใช้ต้นแบบสไลด์ที่มีจุดนำข้อความใน Auto Layout เพื่อเพิ่มจุดนำข้อความให้ปรากฏขึ้นหน้าข้อความแต่ละครั้งเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้รับฟังการนำเสนอ อาจจะใช้การจางข้อความ (dim body text) ในข้อความที่บรรยายไปแล้วเพื่อให้มีเฉพาะจุดนำข้อความ และเนื้อหาที่กำลังนำเสนอเท่านั้นปรากฏแก่สายตา

8. เลือกใช้กราฟิกอย่างระมัดระวัง: การใช้กราฟิกที่เหมาะสมจะสามารถเพิ่มการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล แต่หากใช้กราฟิกที่ไม่เหมาะสมกับเนื้อหาจะทำให้การเรียนรู้นั้นลดลง และอาจทำให้สื่อความหมายผิดไปได้

9. ความคมชัด (Resolution) ของภาพ: เนื่องจากความคมชัดของจอมอนิเตอร์มีเพียง 72-96 DPI เท่านั้น ภาพกราฟิกที่นำเสนอประกอบในเนื้อหาจึงไม่จำเป็นต้องใช้ภาพที่มีความคมชัดสูงมาก ควรใช้ภาพในรูปแบบ JPEG ที่มีความคมชัดปานกลาง และขนาดไม่ใหญ่มากนัก ประมาณ 20-50 KB ซึ่งท่านควรทำการบีบอัด หรือcompress และลดขนาดภาพก่อนเพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่ในการเก็บบันทึก และการจัดส่งไฟล์ผ่านไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e- mail) หรือการอัพโหลดไว้บนเว็บไซต์จะสามารถทำได้ไวยิ่งขึ้น

10. เลือกต้นแบบสไลด์ และแบบอักษรที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ร่วม: เนื่องจากการนำเสนอต้องมีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์ร่วม เช่น เครื่องแอลซีดี หรือโทรทัศน์เพื่อเสนอข้อมูลขยายใหญ่บนจอภาพ ดังนั้น ก่อนการนำเสนอควรทำการทดลองก่อนเพื่อให้ได้ภาพบนจอภาพที่ถูกต้องเหมาะสม เพราะว่าเมื่อฉายแล้วเสี้ยวซ้ายของสไลด์จะไม่ปรากฏให้เห็นตามหลักของอัตรา ส่วน

สรุป ปัจจุบันได้มีการสร้างต้นแบบ (templates) สำเร็จรูปไว้เพื่อการนำเสนอด้วยโปรแกรม PowerPoint ไว้ หลากหลายรูปแบบ ซึ่งน่าดึงดูดใจ และสวยงาม โดยจัดพื้นหลัง กราฟิก ข้อความ และสีให้สอดคล้องตามลักษณะของแก่นสาระ และแยกประเภทเป็นหมวดหมู่ให้เลือกใช้งานได้โดยสะดวก เช่น ต้นแบบในการนำเสนอเกี่ยวกับวงการธุรกิจด้านต่างๆ วงการแพทย์ วงการฝึกอบรม/การศึกษาฯลฯ ซึ่งท่านควรเลือกใช้โดยคำนึงถึงหลักการออกแบบข้างต้นประกอบด้วย เช่น ใช้พื้นหลังตามลักษณะเนื้อหาทั้งนี้ การนำหลักการออกแบบหน้าจอภาพดังกล่าวข้างต้น มาใช้เป็นหลักในการออกแบบสไลด์เพื่อการนำเสนอ จะช่วยให้การนำเสนอของท่านมีความน่าสนใจ และบรรลุประสิทธิผลยิ่งขึ้น

สื่อ Courseware

ความหมายของสื่อ Courseware

การนำเสนอเนื้อหาและเทคนิคการเรียนรู้ที่ถูกแปลงให้อยู่ในลักษณะของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย

สื่อในรูปแบบปฎิสัมพันธ์ที่เผยแพร่ทั้งในลักษณะเชิงพาณิชย์และให้บริการดาวน์โหลด

Class notes, scanned images, syllabi, textbooks, tutorials และ assignments ของผู้สอนที่นำเสนอด้วยเทคโนโลยี Internet/WWW

สื่อการสอนที่พัฒนาโดย HyperCard, PowerPoint, Macromedia Director, Macromedia Flash, Toolbox, หรือ Macromedia Author ware

รูปแบบของสื่อ Courseware

บทเรียนคอมพิวเตอร์บนเว็บ

สื่อที่พัฒนาด้วยโปรแกรมประเภท Authoring เช่น Tool book , Director และ Author ware นำ มาใช้บนเว็บโดยผ่านกระบวนการบีบอัดหรือการกระจายให้เป็นแฟ้มขนาดเล็กหลาย แฟ้ม ด้วยโปรแกรมเฉพาะที่แต่ละบริษัทพัฒนาขึ้น เพื่อให้ใช้งานบนเว็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องรอการส่งแฟ้มเป็นเวลานาน และทำให้สะดวกต่อการส่งข้อมูลออนไลน์ที่เรียกใช้งานบนเว็บแล้วแสดงผลได้ ทันที (Streaming) เหมือนเรียกจากแผ่นซีดี

สไลด์อิเล็กทรอนิกส์

สื่อที่พัฒนาด้วยโปรแกรมสร้างสื่อนำเสนอ เช่น Microsoft PowerPoint และแปลงให้อยู่ในรูปแบบสไลด์อิเล็กทรอนิกส์ที่อาศัยเทคโนโลยี HTML และ/หรือXML ทำให้สามารถเรียกดูผ่านเว็บเบราเซอร์ได้ทันที รวมทั้งการแปลงให้อยู่ในรูปของเอกสาร PDF (Portable Document Format) ก็ได้

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Book

สื่อที่มีรูปเล่มและองค์ประกอบของเล่มหนังสือครบถ้วน เป็นสื่อที่นิยมจัดทำให้อยู่ในรูปของแฟ้มในฟอร์แมต PDF และใช้โปรแกรม Acrobat Reader ในการอ่าน รวมทั้งในปัจจุบันมีฟอร์แมตอื่นๆ เพิ่มเติมมากมาย และรูปแบบการนำเสนอแบบ Multimedia e-Book ด้วยโปรแกรม Flip Album หรือ Macromedia Flash

เทปเสียงดิจิทัล (Sound)

เสียง เป็นอีกองค์ประกอบของการพัฒนาสื่อเรียนรู้ในรูปแบบมัลติมีเดีย อันจะช่วยให้เกิดบรรยากาศที่น่าสนใจในการรับรู้ทางหู โดยอาศัยจะนำเสนอในรูปของ เสียงประกอบ เพลงบรรเลง เสียงพูด เสียงบรรยาย หรือเสียงพากย์ เป็นต้น ทั้งนี้ คลื่นเสียงแบบออดิโอ (Audio) ซึ่งมีฟอร์แมตเป็น .wav, .au, wma, mp3 เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมใช้สูงมาก นอกนี้จากนี้ยังไฟล์เสียงในรูปแบบ MIDI (Musical Instrument Digital Interface) ซึ่ง เป็นรูปแบบของเสียงที่แทนเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ สามารถเก็บข้อมูล และให้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ สร้างเสียงตามตัวโน้ต เสมือนการเล่นของเครื่องเล่นดนตรีนั้นๆ ก็เป็นอีกรูปแบบที่นิยมนำมาใช้ในการทำเสียงเพลงประกอบการบรรยาย หรือการนำเสนอ

วีดิทัศน์ (Video)

วี ดิทัศน์ นับเป็นสื่ออีกรูปหนึ่งที่นิยมใช้กับเทคโนโลยีมัลติมีเดีย เนื่องจากสามารถแสดงผลได้ทั้งภาพเคลื่อนไหว และเสียงไปพร้อมๆ กัน ทำให้เกิดความน่าสนใจในการนำเสนอ

การ บรรจุวีดิทัศน์ลงในคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องใช้โปรแกรม และอุปกรณ์เฉพาะในการจัดทำ ปกติแล้วแฟ้มภาพวีดิทัศน์จะมีขนาดเนื้อที่บรรจุใหญ่มาก ดังนั้นจึงต้องลดขนาดแฟ้มภาพลงด้วยการใช้เทคนิคบีบอัดภาพ (Compression) ทำให้รูปแบบของไฟล์วีดิทัศน์ที่ใช้กันมีลักษณะเฉพาะออกไป เช่นฟอร์แมต MOV, AVI, RM และ MPG เป็นต้น

สำหรับการนำเสนอผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สื่อดิจิทัลเน้นการนำเสนอในระบบ Streaming เพื่อให้เรียกภาพวิดีโอในลักษณะรับชมได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาในการรอการถ่ายโอนแฟ้มนาน เช่น WMV, FLV

สื่อผสมรูปแบบใหม่

นอก จากนี้ยังมีการนำเอาสื่อหลากหลายรูปแบบมานำเสนอร่วมกัน เช่น สไลด์อิเล็กทรอนิกส์ ผสมรวมกับวีดิทัศน์ในรูปดิจิทัล หรือรวมกับเทปเสียงดิจิทัล ทำให้ได้สื่อการเรียนรู้หลากหลายสื่อผสมผสานกัน สร้างจุดดึงดูด น่าสนใจมากขึ้น ผ่านโปรแกรมสร้างสื่อมัลติมีเดีย เช่น Microsoft Producer for PowerPoint เป็นต้น

หลักการและแนวคิดในการผลิตและนำเสนอสื่อด้วยคอมพิวเตอร์

1. เทคโนโลยีการใช้และการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา

เทคโนโลยีการสื่อสาร : การเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

โลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปทุกด้าน  โดยธรรมชาติและโดยฝีมือมนุษย์เอง  ในขณะที่มนุษย์สามารถใช้เครื่องอำนวยความสะดวกมีความสุขสบายมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันธรรมชาติก็ถูกทำลายมากขึ้นเช่นเดียวกัน

ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ เทคโนโลยีการสื่อสารนับว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วอย่างหนึ่ง  นับตั้งแต่มนุษย์ค้นพบระบบการพิมพ์  และ การค้นพบสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จนกระทั่งนำผลการค้นคว้าวิจัยมาใช้พัฒนาอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ ตั้งแต่ขนาดเล็กๆ จนกระทั่งถึงเครื่องจักรยนต์ขนาดใหญ่  ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมนุษย์จากยุคสังคมเกษตรกรรมมาสู่ยุคสังคมอุตสาหกรรม และยุคข่าวสารหรือสารสนเทศในปัจจุบัน  อัลวิน ทอฟเลอร์ นักเขียนและนักคิดคนสำคัญได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับสารสนเทศไว้หลายประการ คือ (ครรชิต มาลัยวงศ์, 2540 หน้า 7)

–                   สังคมสารสนเทศ  เป็นสังคมที่ประชากรส่วนใหญ่ทำงานเกี่ยวกับสารสนเทศมากยิ่งกว่าทำงานในโรงงาน    อุตสาหกรรมหรือในงานเกษตร

–                   งานส่วนใหญ่เป็นงานบริการที่ใช้สมองมากกว่าแรงงาน

–                   การศึกษามีความสำคัญมากในการเตรียมประชากรเข้าสู่สังคมสารสนเทศ

นอกจากนี้ ทอฟเลอร์  ยังได้อธิบายถึงการมาของคลื่นลูกที่สาม คือ การเปลี่ยนแปลงอันเป็นอิทธิพลของการสื่อสารมวลชน ชีวิต ครอบครัว และธุรกิจ  เขาทำนายว่า  คนจะทำงานในที่ทำงานน้อยลง จะทำงานที่บ้านมากขึ้น  เพราะ เทคโนโลยีใหม่ๆ จะกำหนดว่างานแต่ละงานนั้นสามารถทำได้โดยการอ่านคู่มือและคำสั่งที่กำหนดไว้ แล้ว และทำโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมีเครื่องอยู่ที่บ้านก็ได้  การโทรคมนาคมจะช่วยให้คนไม่ต้องเดินทางมากนัก

คำอธิบายและคำทำนายของ ทอฟเลอร์  น่า จะเป็นจริงสำหรับชิวิตสังคมสมัยใหม่ในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเครื่องมือสื่อ สารนานาชนิด ที่ต่างก็ถูกควบคุมด้วยชิ้นส่วนของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์  ทำให้มนุษย์ได้รับอิทธิพลของการสื่อสารและวิธีใช้ที่ชาญฉลาดเป็นเครื่องมือในการสื่อสารระหว่างกันนี้

เราอาจพอสรุปได้ว่า เทคโนโลยีการสื่อสารมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม อันเนื่องมาจาก

1. สังคมเข้าสู่ยุคสารสนเทศ (Information Age)

2. ความรู้วิทยาการต่างๆ มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอันเป็นผลจากเครื่องอุปกรณ์ที่ทันสมัย

3. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์) นำไปสู่การเผยแพร่ความรู้ ข่าวสารที่รวดเร็ว

4. ความทันสมัยของระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เป็นตัวเร่งให้มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น

   เทคโนโลยีการผลิต การใช้สื่อเพื่อการศึกษาในอดีต – ปัจจุบัน

          การผลิตและการใช้สื่อในอดีต

ระบบการสื่อสารในอดีต ซึ่งแพร่กระจายข่าวสารความรู้ต่างๆ ยังมีขอบเขตจำกัด เนื่องจากอุปกรณ์ต่างๆ ยังไม่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเต็มที่และความรู้ด้านเทคโนโลยี สารสนเทศยังมีการค้นพบน้อย  ดัง นั้น สื่อที่ใช้ในการสื่อสารเพื่อการศึกษายังคงเป็นสื่อดั้งเดิมที่สะดวก หาง่ายและราคาถูกและมีความซับซ้อนน้อย การผลิตและการใช้สื่อในอดีตจึงมีลักษณะดังต่อไปนี้

1. เน้นการใช้สื่อบุคคล (personal media)  คือ อาศัยการพูดคุยแบบซึ่งหน้า  การสอนที่ใช้อุปกรณ์อย่างง่าย เช่น การบรรยาย การสนทนา ประกอบกับกระดานดำ

2. เน้นการใช้สื่อราคาถูก หาง่ายในท้องถิ่น (Low cost media) เช่น การใช้ของจริง แผนภูมิ กระดาษหรือวัสดุเขียนที่หาได้ในท้องถิ่น

3. เน้นการใช้สื่อเพื่อการสอน มากกว่าสื่อเพื่อการเรียน เนื่องจากกิจกรรมในชั้นเรียนทุกอย่างขึ้นอยู่กับ  ผู้สอน จึงถือว่าสื่อเป็นเครื่องช่วยสอนอย่างหนึ่งที่ขาดครูไม่ได้

4. เน้นการใช้สื่อโสตทัศน์ เช่น เครื่องฉาย เครื่องเสียง

5. ใช้สื่อมวลชนเป็นหลักในการเผยแพร่ข่าว – สาร สู่มวลชน โดยเป็นการสื่อสารทางเดียว  ผู้รับ       ไม่สามารถสื่อสารกลับมาได้ (ขาดปฏิสัมพันธ์)

                    การผลิตและการใช้สื่อการศึกษาในปัจจุบัน – อนาคต

การผลิตและการใช้สื่อในปัจจุบันมีแนวโน้มที่เปลี่ยนไปจากเดิม เนื่องจากมีการค้นพบสื่อใหม่ๆ ที่สามารถส่งข่าวสารได้อย่างสะดวกและรวดเร็วและเปิดโอกาสให้ผู้รับข่าวสาร มีอิสระในการรับส่งข่าวสารมากขึ้น สรุปได้ดังนี้

1. เน้นสื่อที่ผู้รับสาร หรือผู้เรียนสามารถศึกษาด้วยตนเองได้ จากสื่อที่มีการออกแบบอย่างดี

2. การ ผลิตและการใช้สื่ออาศัยเครื่องมือ อุปกรณ์ด้านสารสนเทศ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มาช่วยสนับสนุนการผลิต เพื่อลดเวลาให้สามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้นและมีประสิทธิผลมากขึ้นด้วย

3. การผลิตและการใช้สื่อมุ่งเน้นผู้เรียนมากกว่าผู้สอน โดยยึดผู้เรียนหรือผู้ดูเป็นศูนย์กลาง

4. สื่อมีราคาแพงและต้องการการลงทุนสูง  แต่มีแนวโน้มที่จะถูกลงเรื่อยๆ

5. บุคคลมีอิสระในการรับข่าวสารและมีแนวโน้มที่จะเรียกร้องสิทธิในการรับรู้ข่าวสาร  และมีบทบาท   ในการมีส่วนร่วมในการใช้สื่อมากขึ้น

6. ใช้สื่อที่มีความสามารถในการโต้ตอบกลับมากขึ้น(Interaction)  คือ ผู้รับมีปฏิสัมพันธ์ทางด้านสื่อกับผู้รับสื่อ

7. การแพร่กระจายสื่อ โดยใช้ระบบเครือข่าย (Network)  ทั้งระบบเครือข่ายที่ใช้สายเคเบิ้ล (on line) และที่ไม่ใช้สาย (off line)  ใช้ระบบดาวเทียม (Satellite)  อินเตอร์เน็ต (Internet ) ติดต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างสถานที่ห่างไกลกันได้ตลอดเวลา

แนวโน้มของสื่อและเทคโนโลยีการสอนในอนาคตได้

แนว โน้มของสื่อและเทคโนโลยีการสอนในอนาคต อาจมองเห็นได้จากสภาพการณ์ปัจจุบันซึ่งจากสภาพปัจจุบัน หากเราสังเกตจะพบว่าในครึ่งหลังของศตวรรษนี้ ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารอยู่ 2 ลักษณะคือ

1) การพัฒนาสื่อให้มีขนาดเล็กลง 2) ระบบการสื่อสารด้านอิเล็กทรอนิกส์มีมากขึ้นเป็นลำดับ

ใน ลักษณะแรก การสื่อสารมีขนาดเล็กลงมากนี้ ทำให้สามารถนำสื่อมาใช้ได้อย่างคล่องตัวสะดวกสบายและมีราคาถูลง ทำให้โอกาสนำสื่อการสอนมาใช้ทั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียนมากขึ้น จะเห็นว่าเครื่องฉายและเครื่องเสียงต่างๆมีขนาดเล็กลงมาก บางชนิดทำแบบกระเป๋าหิ้วซึ่งนำเอาวงจรแบบพิมพ์ ( Print Circuit ) และ IC ( Integrated Circuit ) มาใช้ก็ยิ่งทำให้เราเข้าสู่ยุคของ Mini และ Micro กันอย่างจริงจัง

วีดีโอมีขนาดเล็กลง ดังจะเห็นได้จากการโฆษณาด้านนี้ว่า มีวีดีโอ Hand Cam ซึ่งเป็นระบบวีดีโอ ที่รวมเอากล้องถ่ายรูปและบันทึกเทปอยู่ในชุดเดียวกันมีขนาดเล็กมากใช้ม้วนเทป

ขนาดครึ่งนิ้ว และมีน้ำหนักเพียง 2 กิโลกรัมเท่านั้น ในปัจจุบันได้มีการนำเอา Laser Vedeo disc มาเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ทำให้เกิดระบบสื่อที่กล่าวถึงกันมาก Interactive Videodisc

การทำสื่อให้เล็กลงที่เรียกว่า Miniaturization นี้มีผลต่อสื่อสิ่งพิมพ์ด้วยการย่อส่วนทำให้เกิด Microfiche นำมาใช้กับสิ่งพิมพ์ Microfiche เพียงแผ่นเดียวสามารถบรรจุข้อมูลหนังสือได้หลายร้อนหน้าเช่น Encyclopedia Britannica ทั้งชุดใหญ่สามรถบรรจุลงใน Microfiche เป็นแผ่นโปร่งใสที่มีขนาด 4×6 นิ้วซึ่งสามารถบรรจุภาพหรือสไลด์สีได้ถึง 96 ภาพ ง่ายต่อการเก็บรักษาและราคาถูก

ความก้าวหน้าของ Microchip ที่นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีราคาถูกลง มีการพัฒนา IC ให้มีขนาดเล็กนี้จนใช้กล้องจุลทรรศน์แบบอิเล็กตรอน ( Electron Microscope ) ส่งดูจึงมองเห็นได้ซึ่ง IC ขนาดเล็กนี้ทำด้วย Silicon โดยใช้ระบบการพิมพ์แบบ Optical Lithography นอกจากนี้ยังได้นำเทคนิคทางวิศวกรรมพันธุกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้าง ” Biochip ” หรือ ” Biological Microprocessors of Protien ” ขึ้น Biolchip มีขนาดเล็กมากคือ มีขนาดเพียง 10 หรือ 25 Nanometer ซึ่งเล็กกว่า Silicon chip มากมายกล่าวได้ว่าวงจรโปรตีนมีขนาดเล็กเท่ากับ 1 โมเลกุลเท่านั้น

นวัต กรรมอีกลักษณะหนึ่งคือ การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการถ่ายทอดการสอนกล่าวคือใน อดีตครูมีบทบาทในการถ่ายทอดความรู้ไปสู่ผู้เรียน แต่ในปัจจุบันเรามีการสอนผ่านทางโทรทัศน์ วิทยุ โดยเฉพาะทางด้านโทรทัศน์นั้นจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆเพราะระบบการแพร่ภาพมี รัศมีส่งผ่านไกลมาก ทั้งแบบสายเคเบิล ไมโครเวฟ และดาวเทียม ทำให้การรับโทรทัศน์ทำได้ทุกแห่งสถานศึกษาตั้งอยู่แม้อยู่ในบ้านที่มี อุปกรณ์รับสัญญาณและเสียง ในปัจจุบันเรามีการสอนผ่านทางโทรทัศน์ วิทยุ โดยเฉพาะด้านโทรทัศน์นั้นจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะระบบการแพร่ภาพมีรัศมีการส่งไกลมาก ทั้งแบบ สายเคเบิล ไมโครเวฟ และดาวเทียม ทำให้การรับโทรทัศน์ทำได้ทุกแห่งที่สถานศึกษาตั้งอยู่หรือแม้แต่ในบ้านที่มี อุปกรณ์รับสัญญาณภาพและเสียง ในปัจจุบันสัญญาณภาพและเสียงผ่านดาวเทียมยังสามารถรับและส่งผ่านระบบ โทรทัศน์ที่ประกอบด้วยใยแสง ( Optical Fiber ) ซึ่งจะส่งข่าวสารหลายร้อยช่องภาพได้ในเวลาเดียวกัน

ความ สำเร็จในด้านกระสวยอวกาศ ช่วยในการการซ่อมแซมและสับเปลี่ยนดาวเทียมที่ใช้ในการสื่อสาร ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการสื่อสารถูกลงมากและยังครอบคลุมพื้นที่ของโลกได้มาก ขึ้น กระสวยอวกาศมีความสามารถในการนำดาวเทียมขึ้นไปได้ทีละดวง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการบำรุงรักษาและสับเปลี่ยนดาวเทียมก็ลดลงไปได้หลายเท่า ตัว ระบบการสื่อสารจึงพัฒนาการก้าวหน้ามากขึ้น

เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ ก็มีส่วนทำให้ค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดความรู้และการสอนกว้างขวางออกไป ได้มีการจัดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า Centralized Computer ซึ่ง ผู้เรียนจะอยู่ที่ใดก็ได้ ถ้ามีอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงกับศูนย์คอมพิวเตอร์ก็สามารถเรียกได้ทันที หรืออาจเรียกเก็บข้อมูลไว้ เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนเมื่อต้องการในเวลาใดก็ได้ ระบบการหมุนเวียนแบบเล็กทรอนิกส์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกับศูนย์กลางนี้ ทำให้เกิดวิธีการที่เรียกว่า การประชุมทางไกล ( Teleconference ) ทำ ให้ผู้สอนแลผู้เรียนโต้ตอบกันได้ เป็นการสื่อสารสองทาง โดยผู้สอนอาจอยู่ในบ้านหรือที่ทำงานไม่ต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าผู้เรียน หลังจากผู้เรียนได้เรียนแล้วก็อาจจะโทรศัพท์ไต่ถามสนทนากับผู้สอนก็ได้ Teleconference จะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการมีเวลาไม่เพียงพอสำหรับผู้สอนด้วย

การ รวมตัวกันของช่องทางต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดข่าวสารด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะมีมากขึ้นเป็นลำดับ จากเดิมที่มีการแยกกันระหว่างโทรทัศน์ โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์และสื่อสารการพิมพ์ก็จะกลายเป็นการผสมผสานกันเรียกว่า Videotex และ Teletex ซึ่ง Video tex นั้นเป็นการสื่อสารสองทางโดยการส่งข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งพิมพ์ผ่านสายโทรศัพท์ หรือสายเคเบิล ส่วน Teletex เป็นการส่งข้อมูลผ่านสัญญาณออกอากาศโดยใช้ ” Vertical Blanking Interval ” ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็สามารถจะทำงานได้ผลต่อผู้รับเหมือนกัน

เทคโนโลยีการผลิตและการใช้สื่อการศึกษาที่สำคัญ

เทคโนโลยีที่สามารถนำมาใช้กับงานผลิตและใช้สื่อที่สำคัญ ได้แก่เทคโนโลยีต่อไปนี้

1. ระบบคอมพิวเตอร์กราฟิก (Computer graphic) เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ประกอบด้วยภาพเสียงและภาพเคลื่อนไหว

2. ระบบมัลติมีเดียในการนำเสนอชื่อและการเรียนรู้(ทางด้านเสียง ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว)

3. ใช้สื่อผสมกันระหว่างสื่อชนิดต่างๆ (Multi media) มากกว่าจะใช้เพียงสื่อเดียว

4. ในอนาคตมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปใช้สื่อที่เป็นสื่ออิเลคโทรนิคส์ แทนการพิมพ์บนแผ่นกระดาษ เช่น สื่อในรูปของแผ่น CD ROM, VDO CD, Electronic Slide, Electronic Magazine เป็นต้น

5. การติดต่อกันมีแนวโน้มที่จะเป็นสื่อไร้สายมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน เช่น โทรศัพท์มือถือ การสื่อสารผ่านดาวเทียม หรือระบบไมโครเวฟ

6. เทคโนโลยี ด้านสื่อมีอัตราล้าสมัยเร็วมากเมื่อเทียบกับสื่อในสมัยก่อน จึงต้องมีหน่วยงานที่ติดตามและศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

                    สื่อที่ใช้ในงานการศึกษานอกระบบในอนาคต

1. การ ใช้สื่อบุคคลยังมีความจำเป็นอยู่ แต่จะลดปริมาณน้อยลงเมื่อโครงสร้างพื้นฐานได้รับการพัฒนาไปอย่างทั่วถึงทุก พื้นที่ ทั้งนี้เพราะรัฐบาลจำกัดกำลังคนและงบประมาณ

2. มีการใช้สื่อคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนงานการศึกษานอกระบบ ในรูปแบบของสื่อทางไกลมากขึ้น

สื่อระหว่างบุคคล – CAI,  fax/modem,  e-mail,  โทรศัพท์ไร้สาย

     สื่อกลุ่ม           –  ใช้วีดิโอโปรเจคเตอร์นำเสนอภาพและเสียงวีดิโอโดยผ่านช่องทางช่องเดียวกันในการประชุมสัมมนาหรือฝึกอบรม

สื่อมวลชน        –  มีการแพร่กระจายข่าวสารผ่านเครื่อข่ายอินเตอร์เน็ตมากชึ้นทำให้มีความ   รวดเร็วในการรับส่งข่าวสารและค้นคว้าหาข้อมูล

–  วิทยุ โทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียง  ยังคงมีอิทธิพลต่อชาวบ้าน  แต่รายการจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นรายการข่าวและรายการที่มีสารประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันมากขึ้น  อีกทั้งจะมีการจัดระบบให้มี   ปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมมากขึ้น หรือ ผู้ชมมีโอกาสในการเป็นผู้เลือกรายการที่ตนสนใจมากยิ่งขึ้น

3. ขณะ นี้รัฐบาลมีนโยบายในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลในระดับท้องถิ่นมากยิ่งขึ้นและมี โอกาสเข้าไปใช้ประโยชน์จากการค้นหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการมากกว่าในอดีต

4. เอกชนจะมีอิทธิพลต่อการรับและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มาก  โดยอาศัยระบบขายตรง(direct sale) และการพัฒนาเป็นเครือข่ายของเอกชนในการผลิตและการตลาด

5. จะต้องมีการใช้สื่อสนับสนุนการพัฒนาเพื่อการมีส่วนร่วมมากกว่าในอดีต (Development Participation)  มีการเรียกร้องสิทธิและต้องการมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาต่างๆ (อบต. เป็นองค์กรที่เข้มแข็งและจะเสนอโครงการตามความต้องการของประชาชนได้ในระบบ Botton Up  แทนระบบ Top Down อันจะมีผลให้ประชาชนเห็นความจำเป็นของการแสวงหาข้อมูลข่าวสารท้องถิ่นมากขึ้น

  1.                        2.              การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานผลิตและนำเสนอสื่อ

การผลิตและพัฒนาสื่อเพื่อนำมาใช้งานทางการศึกษาตามปกติแล้ว  จะต้องผ่านกระบวนการที่จำเป็นทั้ง 3 ขั้นตอน คือการวางแผนการผลิต การผลิตทางเทคนิค และการทดสอบสื่อก่อนนำไปใช้จริง ซึ่งเป็นขั้นตอนการวัดผล – ประเมินผล เพื่อดูประสิทธิภาพของสื่อทั้ง 3 ขั้นตอนนี้  อาจกล่าวได้ว่าสามารถนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ได้ทุกขั้นตอน  แต่ขั้นตอนที่จำเป็นต้องใช้มากที่สุด คือ ขั้นตอนการผลิตทางเทคนิค  ซึ่งต้องอาศัยคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยสร้างตัวอักษร ภาพกราฟิก  ภาพนิ่ง  ภาพเคลื่อนไหว  รวมทั้งเสียงที่จะถูกออกแบบมาในรูปของสัญญาณดิจิตอล (Digital Data) รวมทั้งการทำข้อมูลดิจิตอลทั้งหมดมาผสมผสานกันในรูปของ มัลติมีเดีย(Multimedia)  ในที่นี้จะกล่าวถึง งานผลิตและพัฒนาสื่อต่างๆ ที่สามารถนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ดังต่อไปนี้

1.  พิมพ์งานเอกสาร (Printed material) เป็นงานเตรียมต้นฉบับด้วยคอมพิวเตอร์ แทนการพิมพ์แล้วเลย์เอาท์ลงบนกระดาษ ซึ่งมีความล่าช้าและมีข้อเสียหลายประการ คือ เนื่องจากต้องใช้เวลาและความชำนาญในการเลย์เอาท์เป็นพิเศษ  และหากมีข้อผิดพลาดจะแก้ไขได้ยากกว่า เช่นการแก้ไขคำผิดการจัดคอลัมน์และหน้าใหม่  การแก้ไขตำแหน่งของภาพ การบีบข้อมูลให้ลงในตำแหน่งที่ต้องการ ฯลฯ  ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ การใช้คอมพิวเตอร์สามารถทำได้ดีกว่า

โดยสรุปการใช้คอมพิวเตอร์ในงานออกแบบเอกสารสิ่งพิมพ์อาจทำได้ดังต่อไปนี้

1. ใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบพิมพ์ตัวอักษร แล้วนำมาตัดแปะลงบนกระดาษแบบตามคอลัมน์  และหน้าที่ต้องการ เว้นกรอบภาพเอาไว้ เพื่อนำไปเลย์เอาท์อีกครั้งบนแผ่นฟิล์ม ก่อนนำไปถ่ายเพลท

2. ใช้ คอมพิวเตอร์ออกแบบทั้งตัวอักษรและภาพทั้งหมด โดยจัดหน้าและคอลัมน์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ตามต้องการ รวมทั้งหน้าปกซึ่งอาจเป็นภาพสี่สี เสร็จแล้วจึงส่งไปให้โรงพิมพ์ดำเนินการจัดพิมพ์ โดยใช้การส่งข้อมูลแผ่นดิสเก็ตไปดำเนินการทำเพลตและเข้าเครื่องพิมพ์ต่อไป  ภาพที่จะนำมาพิมพ์ในเอกสารจะสแกนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อนำไปจัดหน้าต่อไป

3. การสร้างหนังสืออิเลคทรอนิคส์  เป็นวิธีแปลงไฟล์ข้อมูลเอกสารที่จัดเลย์เอาท์ไว้แล้วเป็นไฟล์แบบ Post scrip file  (.pdf)  ซึ่งสามารถเปิดอ่านด้วยโปรแกรมพิเศษ เช่น acrobat reader บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ทันที โดยสามารถ ย่อ – ขยายได้และยังสามารถนำไปใส่ไว้ในโฮมเพจเพื่อผู้ใช้สามารถเปิดอ่านทางอินเตอร์เน็ตได้  เนื่องจากแฟ้มภาพ (.pdf) ต้องการเนื้อที่หน่วยความจำน้อยและยังสามารถพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ได้อีกด้วย  ข้อมูลหนังสือจำนวนมาก จึงสามารถบรรจุไว้ในแผ่นซีดีได้เป็นจำนวนหลายๆ เล่ม

โปรแกรมสำเร็จ (software) ที่นำมาใช้เพื่องานออกแบบและจัดหน้าที่นิยมมากที่สุด คือ โปรแกรม Page Maker  เนื่องจากสามารถจัดหน้าได้สะดวก  การกำหนดคอลัมน์และตัวอักษรได้ง่ายและรวดเร็ว  ส่วนโปรแกรมอื่นๆ ที่นิยมใช้กันแต่มีลูกเล่นน้อยกว่า เช่น Microsoft word หรือ  Word Perfect ซึ่งปกตินิยมใช้กับการสร้างเอกสารทั่วๆ ไปมากกว่า  ส่วนโปรแกรมสร้างแฟ้มข้อมูล .pdf  ใช้กับโปรแกรม Adobe Acrobat

2.  งานออกแบบศิลปกรรม (Artwork desing) การออกแบบศิลปกรรมเป็นสื่อประเภทกราฟิกต่างๆ เช่น ภาพโปสเตอร์ ชาร์ท แผนภูมิหรือภาพนิ่ง  ล้วนแต่เป็นงานที่ต้องอาศัยความประณีตและต้องใช้เวลาและฝีมือของช่างศิลป์ในการออกแบบ  แต่คอมพิวเตอร์จะช่วยทำให้การออกแบบง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ออกแบบสื่อกราฟิกที่ไม่ใช่ช่างศิลป์   งานศิลปกรรมที่สามารถสร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร์ได้แก่

– งานกราฟิก ภาพลายเส้น กรอบ ระบายสีภาพและตัวอักษร

– งานกราฟิก 3 มิติ ที่สร้างเงาหรือพื้นผิวให้เว้าหรือนูนเข้าไปภายในภาพ

– ภาพถ่ายหรือภาพที่มีโทนสีต่อเนื่อง

โปรแกรมที่นำมาใช้ออกแบบงานศิลปกรรมที่นิยม ได้แก่ โปรแกรม Corel Draw,  Ilustrater,  freehand ฯลฯ  ซึ่งสามารถสร้างานได้หลายรูปแบบ  ส่วนภาพถ่ายหรือภาพนิ่งนั้น จะใช้โปรแกรม Photoshop ซึ่งนิยม  นำมาใช้ในงานตกแต่งภาพถ่าย

3. งานออกแบบโปรแกรมการนำเสนอข้อมูล  เป็นสื่อที่เปลี่ยนรูปแบบที่เคยนำเสนอโดยสไลด์ หรือแผ่นโปร่งใสออกมาทางจอฉายภาพทางเครื่องฉายวีดิโอ (Video Projecter) หรือ ดาต้าโชว์ (Data shoe Projecter)  การผลิตสื่อเพื่อการนำเสนอนี้เป็นการสร้างงานกราฟิก – ภาพถ่าย และเสียงเพื่อนำเสนอร่วมกันหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า Multimedia  โปรแกรมที่นำเสนอข้อมูลนี้ได้แก่  Power point Persuation ส่วน Macromind director เป็นโปรแกรมสร้างภาพและนำเสนอแบบ Video – animation ที่มีภาพเคลื่อนไหว

                 วิธีการนำสื่อคอมพิวเตอร์มาใช้ในการนำเสนอสื่อทางวิชาการ

การนำสื่อคอมพิวเตอร์มาเสนอข้อมูลทางวิชาการอาจทำได้ดังต่อไปนี้

1.  นำข้อมูลที่สร้างไว้ในคอมพิวเตอร์ ฉายออกทางเครื่องฉายภาพวีดิโอโดยตรง  วิธีนี้เพียงแต่นำเครื่องคอมพิวเตอร์มาต่อเชื่อมกับเครื่องฉายภาพวีดิโอแล้วควบคุมภาพให้ปรากฎบนจอทีละภาพ เช่นเดียวกับการฉายสไลด์  ก็จะทำให้การนำเสนอน่าสนใจ และผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนภาพได้โดยง่าย  ปัจจุบันนี้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทำได้  มีการนำเสนอรูปภาพพร้อมกับเสียงไปพร้อมกันได้ เช่นเดียวกับสไลด์ประกอบเสียง  โดยเรียกชุดอุปกรณ์นำเสนอนี้ว่า “ multi media ”  ซึ่งความจริงก็คือการนำภาพนิ่ง – ภาพเคลื่อนไหว มานำเสนอพร้อมๆ กับเสียงประกอบนั่นเอง

การบันทึกภาพและเสียงเก็บไว้ในแผ่น CD ROM  สามารถทำได้ง่ายด้วยเครื่อง “CD WRITER”  ในปัจจุบันทำได้ไม่สิ้นเปลืองเนื้อที่ในฮาร์ดดิสก์  และสามารถนำติดตัวไปที่ต่างๆได้โดยง่าย  จึงมีผู้ผลิตแผ่น CD โปรแกรมต่างๆ ออกมาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก

  1. การนำภาพและเสียงมาเสนออย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตัวมันเอง  การสร้างโปรแกรมนำเสนอแบบนี้สามารถใช้โปรแกรมประเภท Authoring เช่น  Author ware / tool bookซึ่งเป็นโปรแกรมสำเร็จรูปมาช่วยในการผลิตอย่างง่ายและรวดเร็วมากกว่าการใช้คอมพิวเตอร์เขียน  โปรแกรมบางโปรแกรมสามารถผลิตภาพนำเสนออย่างเดียว เช่น โปรแกรม”PowerPoint” ก็เป็นที่นิยมกันทั่วไป แต่ไม่สามารถนำมาเสนอพร้อมกับเสียงได้
  2. การพิมพ์ภาพหรือข้อมูลอื่นๆ  ที่เตรียมไว้ให้อยู่ในรูปของวัสดุฉายด้วยเครื่องบันทึกฟิล์ม (Film Recorder)  หรือเครื่องพิมพ์เลเซอร์ขาว-ดำ  และสี  แผ่นฟิล์มอาซิเตท ใช้นำเสนอผลงานด้วยเครื่องสไลด์ หรือเครื่อง  ฉายภาพข้ามศีรษะ

                              3. การผลิตและใช้โปรแกรมนำเสนอ (Presentation Program)

– แนวความคิดเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ใน Presentation

– การเตรียมข้อมูลและการเขียน สตอรี่บอร์ด

– โปรแกรม Presentation ที่ใช้ในการนำเสนอข้อมูล (Action,  Direction,  PowerPoint)

– การใช้โปรแกรม PowerPoint เพื่อการนำเสนอ

                      ลำดับขั้นตอนในการผลิตโปรแกรมนำเสนอ

  1. ศึกษาเนื้อหา เรื่องที่จะผลิต
  2. กำหนดเป็นหัวข้อและประเด็นย่อยๆ เพื่อนำมาใช้ทำภาพ
  3. สร้างบทหรือสตอรี่บอร์ดหยาบๆ ลงบนกระดาษโดยการร่างภาพในกรอบว่ามีตัวอักษรและภาพอย่างไร หรือมีเสียงประกอบหรือไม่
  4. ดำเนินการออกแบบภาพ – ตัวอักษร – เรื่อง  ตามที่ได้ออกแบบไว้ในสตอรี่บอร์ด  ซึ่งอาจเป็นภาพที่มีอยู่แล้วหรือภาพที่สร้างขึ้นเอง
  5. สร้าง effect ต่างๆ เช่น การสร้าง Transition  ของเฟรมสไลด์ หรือสร้างBuild สำหรับการเคลื่อนที่ของตัวอักษรและภาพภายในเฟรม

                       ข้อควรระวังในการออกแบบ

  1. พื้นกับตัวอักษร มีการตัดกันอย่างเหมาะสม เช่น ตัวอักษรสีดำบนพื้นสีเหลือง  อักษรขาวบนพื้น   สีน้ำเงิน  ฟ้าอ่อนบนพื้นสีม่วง เป็นต้น
  2. ตัวอักษรควรมีขนาดใหญ่และอ่านง่าย  ถ้าเลือกได้ควรใช้ตัวอักษรที่มีความหนา ขนาดตัวอักษรที่พอเหมาะถ้าเป็นภาษาไทยควรมีขนาดประมาณ 50 Point ขึ้นไป  แบบตัวอักษรที่ใช้ได้ดี เช่น Eucrosia, Freesia UPC, หรือ DelIinea UPC และBrowallia UPC
  3. ในสไลด์ เฟรม  ไม่ควรใช้ตัวหนังสือหลายบรรทัดเกินไป เช่น ใช้ประมาณ 5 – 10  บรรทัด        ก็เพียงพอ มิฉะนั้นตัวอักษรจะเล็กลงทำให้อ่านบาก
  4. พยายามใช้ภาพประกอบให้มาก เช่น ภาพกราฟิก ที่เป็นชาร์ท กราฟ Clip art  หรือเป็นภาพถ่าย   ที่ Scan มา หรือถ่ายจากกล้องดิจิตอล  แต่ภาพกราฟิกสีหรือภาพถ่ายที่นำมาใช้ ควรมีความสัมพันธ์กับเรื่องที่นำเสนอ    มิฉะนั้นแล้วส่วนสำคัญในสไลด์อาจถูกแย่งความสำคัญไป
  5. ระวังไม่ใช้สีที่ตัดกันมากจนเกินไป  อาจทำให้ดูไม่สบายตา เช่น  สีแดงเข้ม กับสีน้ำเงินเข้ม จะทำให้ดูแล้วปวดตามาก
  6. ไม่ควรสร้างการเคลื่อนไหวให้กับตัวอักษรหรือภาพในสไลด์มากจนเกินไป ผลที่ออกมาจะทำให้ดูสับสน แล้วยังอาจสร้างความรำคาญให้คนดูอีกด้วย

4.  การใช้ระบบมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา

 สื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา

 ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เอื้อให้นักออกแบบสื่อมัลติมีเดีย สามารถประยุกต์สื่อประเภทต่างๆ มาใช้ร่วมกันได้บนระบบคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างสื่อเหล่านี้ ได้แก่ เสียง วีดิทัศน์ กราฟิก ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวต่างๆ การนำสื่อเหล่านี้มาใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เรารวมเรียกสื่อประเภทนี้ว่า มัลติมีเดีย (Multimedia) การ พัฒนาระบบมัลติมีเดียมีความก้าวหน้าเป็นลำดับ จนถึงขั้นที่ผู้ใช้โปรแกรมสามารถโต้ตอบกับระบบคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่างๆ กันได้ เช่น การใช้คีย์บอร์ด การใช้เม้าส์ การสัมผัสจอภาพ และการใช้เสียง เทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ได้พัฒนาขึ้นพร้อมๆ กับการพัฒนาฮาร์ดแวร์ เช่น การพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้อ่านและบันทึกข้อมูล การพัฒนาหน่วยความจำให้มีขนาดเล็กลง แต่มีความจุมากขึ้น และมีสมรรถนะในการเข้าถึงข้อมูลเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยี ด้านอุปกรณ์ต่อพ่วงสำคัญๆ เช่น เครื่องกราดภาพ (Scanner) เครื่องบันทึกภาพและเสียงระบบดิจิทัล เครื่องอ่านพิกัด (Digitizer) และ อื่นๆ ซึ่งล้วนสนับสนุนการออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้น่าสนใจ และมีประสิทธิภาพเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้โปรแกรม แนวคิดใหม่ในการออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางแนวคิดเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ขัดข้องที่ไม่สามารถนำเสนอด้วยสื่อรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ได้ บางแนวคิดเกิดขึ้นมาพร้อมกับการพัฒนาด้านศักยภาพของระบบคอมพิวเตอร์ เทคนิควิธีการออกแบบดังกล่าวทำให้เกิดคำศัพท์ที่มีคำนิยาม และความหมายที่หลากหลาย เช่น คำว่า มัลติมีเดย มัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์ (Interactive multimedia) ไฮเปอร์มีเดีย (Hypermedia) และไฮเปอร์เท็กซ์ (Hypertext)

http://puknik.igetweb.com/?mo=3&art=443966