เราควรขับรถให้ห่างจากคันหน้า เท่า ไหร่

เราควรขับรถให้ห่างจากคันหน้า เท่า ไหร่

อุบัติเหตุบนท้องถนน รถชนท้ายมีให้เห็นกันอยู่ทุกวัน ซึ่งมีผลอย่างยิ่งสำหรับผู้ขับขี่ทั้ง 2 ฝ่ายนอกจากเสียทรัพย์แล้ว ยังเสียเวลาเข้าไปอีก และยังส่งผลทำให้สภาพการจราจรติดขัดยิ่งขึ้น จึงมีข้อสงสัยจากผู้ขับขี่โดยเฉพาะผู้ขับรถหน้าใหม่ หรือยังมีประสบการณ์ไม่มากนักว่า เทคนิคการขับรถต้องเว้นระยะห่างจากคันหน้าเท่าไร วัดกันแบบไหน ถึงจะเรียกว่า ระยะปลอดภัย

เมื่อต้องสอบในขับขี่ จะมีคำถามอยู่ในข้อสอบกฎหมายจราจรรถยนต์ข้อหนึ่งถามว่า ผู้ขับขี่ต้องขับขี่รถห่างจากคันหน้าเท่าไร คำตอบที่ถูกต้องคือ ห่างจากรถคันหน้าพอสมควรในระยะปลอดภัยที่หยุดรถได้เมื่อจำเป็นต้องหยุด แต่เมื่อมองตามหลักปฏิบัติแล้ว การเว้นระยะห่างคันหน้านั้นมีด้วยกันหลายตัวแปร ไม่ว่าจะเป็นสภาพการจราจร โดยเฉพาะในเมือง ที่การเคลื่อนตัวด้วยความเร็วไม่สูงมาก เว้นระยะห่างมากเกินไป ก็ยิ่งทำให้สภาพการจราจรไม่คล่องตัว ความเร็วที่ใช้ สภาพพื้นผิวถนน ไปจนถึงสภาพอากาศ

อย่างน้อยผู้ขับขี่จะต้องจำและสร้างความคุ้นเคยกับรถคุณและการขับขี่ของคุณ ว่าระยะทางที่ต้องใช้ในการหยุดรถเท่าใดเป็นระยะปลอดภัยมากที่สุด ถ้าระยะที่น้อยกว่านี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ จะต้องชะลอความเร็วเพื่อเพิ่มระยะห่าง อาจพอสรุปเพื่อให้สามารถเทียบเป็นระยะทางได้ง่าย ๆ ว่า ทุก ๆ อัตราเร็ว 10 กม./ชม. จะเว้นระยะห่างไว้ 5 เมตร เช่น อัตราเร็ว 50 กม./ชม. จะเว้นระยะห่างไว้ 25 เมตร แต่ในสภาพภูมิอากาศที่แย่ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น สภาพถนนที่ลื่น ควรเพิ่มระยะห่างอย่างน้อยสองเท่า

เราควรขับรถให้ห่างจากคันหน้า เท่า ไหร่

ในกรณีที่ผู้ขับขี่ต้องวิ่งบนถนนที่ต้องใช้ความเร็วค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นบนทางด่วน มอเตอร์เวย์ หรือไฮเวย์ คุณต้องมีระยะห่างจากรถคันหน้า 2 วินาทีขึ้นไป หมายถึงระยะห่างจากรถยนต์คันหน้าเมื่อเทียบเป็นระยะเวลาในการวิ่งรถแล้วไม่ต่ำกว่า 2 วินาที ในกรณีของสภาพภูมิอากาศที่แย่ เช่น ถนนเปียก ฝนตก ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อยเท่ากับ 4 วินาทีคือ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ถึงจะเรียกว่าระยะปลอดภัย

เราควรขับรถให้ห่างจากคันหน้า เท่า ไหร่

วิธีการคำนวณแบบนี้ให้ใช้จุดอ้างอิงเทียบโดยใช้สะพาน ต้นไม้ หรือป้าย สัญญาณจราจร เมื่อรถยนต์คันหน้าเคลื่อนที่ถึงจุดอ้างอิงคุณก็พูดในใจว่า “หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที” ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 วินาที คุณจะต้องขับรถยนต์ มาถึงตรงจุดอ้างอิงนั้นพอดี แสดงว่าคุณห่างจากรถยนต์คันหน้าเท่ากับ 3 วินาที ซึ่งอยู่ในระยะห่างที่ปลอดภัย แต่ถ้าคุณมาถึงจุดอ้างอิงก่อนที่คุณจะพูดจบ แสดงว่าคุณขับขี่ชิดกับรถยนต์คันหน้ามากเกินไป สำหรับอุบัติเหตุชนท้ายกันของรถยนต์มักเกิดขึ้นเพราะว่า

– ขับขี่ชิดกับรถยนต์คันหน้ามากเกินไป

– ไม่สามารถเบรกได้ทันเวลา

โดยผู้ขับขี่สามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุเช่นนี้ได้โดยรักษาระยะห่างให้เหมาะสมและมองไปข้างหน้าไปให้ไกล อย่ามองเพียงแค่คันหน้าคุณเพียงคันเดียว เพื่อให้เวลาแก่ตัวคุณอย่างเพียงพอที่จะตอบสนองด้วยการเบรกได้ทันเวลา เมื่อรู้สึกว่าขับขี่ชิดกับรถยนต์คันหน้ามากเกินไป คุณควรชะลอความเร็วลงทีละน้อยเพื่อเพิ่มระยะห่างให้เหมาะสม

ระยะที่ปลอดภัย ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าเท่าไหร่ดี?

เราควรขับรถให้ห่างจากคันหน้า เท่า ไหร่

สำหรับการจราจรปกติ เราควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้า 2-3 วินาที โดยสังเกตได้จาก เมื่อรถคันหน้าวิ่งผ่านวัตถุเช่น เสาไฟฟ้าหรือต้นไม้ ให้เราเริ่มนับ 1 จนถึง 3 วินาที ถ้าเราขับรถถึงวัตถุเดียวกันนั้นก่อนที่เรานับเสร็จ แสดงว่าเว้นระยะห่างน้อยเกินไป หรืออีกวิธีคือ ทุกอัตราเร็ว 10 กม./ชม. ควรเว้นระยะเพิ่ม 5 เมตร เช่น ขับรถที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ควรเว้นระยะห่าง 50 เมตรนั้นเอง แต่การเว้นระยะนั้นอาจเปลี่ยนแปลงตามสภาพการจราจรและสภาพอากาศ เช่น สภาพฝนตก เราควรเว้นระยะให้มากขึ้นเพื่อที่จะหยุดรถได้อย่างปลอดภัย"

การลดอุบัติภัยในการขับขี่ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ รถโดยสารสาธารณะเราทุกคนสามารถทำได้โดยควรปฏิบัติตามกฎจราจร ทั้งนี้ มีข้อสงสัยที่ว่าเราควรขับรถเว้นระยะห่างเท่าไหร่จึงจะป้องกันอันตรายจากอุบัติภัยบนท้องถนนถึงขั้นเสียชีวิตได้ จนเป็นประเด็นซักถามในสังคมออนไลน์อยู่หลายแห่ง วันนี้ ร้านไทยจราจร จึงได้รวบรวมสาระดี ๆ เกี่ยวกับเรื่องการเว้นระยะห่างในการขับขี่มาฝากกัน ดังนี้

การเว้นระยะห่างกับรถคันอื่นกฎหมายระบุว่าอย่างไรบ้าง

การเว้นระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้าเราไม่ว่าคุณจะขับรถอะไร พรบ. จราจรทางบกไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน มอบให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ขับขี่ ดังมาตรา 40 ได้ระบุว่าให้เว้นระยะห่างจากรถคันหน้าพอสมควรที่จะทันหยุดรถได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุ หากมีการขับรถขึ้นสะพานหรือขึ้นบนทางลาดชัน ก็ต้องระวังไม่ให้รถของท่านถอยไปชนรถคันอื่น ดังที่เราไม่เคยเห็น ป้ายจราจร เตือนให้เว้นระยะห่างจากรถคันอื่นอย่างการมี ป้ายเตือนความสูง ป้ายจำกัดความเร็ว ฯลฯ

หลักการโดยทั่วไปสำหรับเว้นระยะห่างจากรถคันอื่น

เราควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างไร ประเด็นนี้ต้องพิจารณาควบคู่กับความเร็วในการขับขี่ด้วย โดยทั่วไปใช้หลักการดังนี้

  1. กฎ 2 วินาที

หมายถึงการให้เรามีระยะของการเหยียบเบรกได้ทันก่อนที่รถจะชนกับรถข้างหน้าเป็นเวลา 2 วินาที โดยอิงจากงานวิจัยที่พบว่าสมองเราจะต้องใช้เวลาในการสั่งการจากกระบวนการคิดจนกระทั่งการเหยียบเท้าที่เบรกอย่างน้อย 2 วินาที ท่านที่มีการตัดสินใจช้าหรือลังเลใจบ่อย ๆ หรือขับรถไม่คล่องเป็นมือใหม่ป้ายแดง ก็ควรเพิ่มระยะเวลาให้มากกว่านี้ ถือคติว่าปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุด

  1. อิงตามความเร็วรถ

ให้เว้นระยะห่างจากคันหน้าตามอัตราส่วนความเร็วรถที่ขับขี่ ยกตัวอย่างเช่น ทุก ๆ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้า 5 เมตรเป็นขั้นต่ำ ดังนั้นถ้าวิ่งด้วยความเร็วรถ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็จะต้องเว้นระยะห่างไว้ถึง 25 เมตรจึงจะป้องกันอันตรายอุบัติเหตุรถชนถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่อนข้างแน่นอน ไม่ควรคิดว่าอุปกรณ์จราจรอย่าง ยางชะลอความเร็ว ยางปูพื้นกันลื่น จะเป็นตัวช่วยได้ทั้งหมด การลดความเร็วของตัวรถเองที่แล่นมาเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยควบคุมอุบัติเหตุได้มากที่สุด

ที่ไหนบ้างที่ควรเว้นระยะห่างให้มากขึ้นเป็นพิเศษ

บริเวณที่ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าเป็นพิเศษ ต้องดูตามสถานการณ์ เช่น

  1. การขับขี่บริเวณโรงเรียน ย่านชุมชน ตลาดนัด โรงพยาบาล หรือบริเวณอื่นที่อาจต้องมีการเร่งความเร็วและเบรกบ่อย ๆ มีสิ่งมีชีวิตเดินหรือวิ่งตัดหน้ารถ เช่น เด็กและสัตว์เลี้ยงในชุมชนนั้น
  1. บริเวณ ทางม้าลาย หรือ ทางเดินคนข้าม ก็เป็นจุดที่ควรเว้นระยะห่างให้มากขึ้น อย่าลืมว่าแม้ว่าจะมีสัญญาณไฟจราจร ควบคุมการข้ามถนนแล้ว แต่ก็อาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันได้เช่นกัน
  1. บริเวณทางลาดชัน เส้นทางคดเคี้ยวตามไหล่เขา เช่น ทางลงเขาในภาคเหนือ ก็เป็นอีกบริเวณที่ต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ ด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกและความไม่คุ้นเส้นทาง ยิ่งเป็นนักท่องเที่ยว มักทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

แม้ว่าหลายแห่งจะมีการติดตั้ง กรวยจราจร หรืออุปกรณ์ดูดซับแรงกระแทก เช่น แบริเออร์บรรจุน้ำหรือทราย ก็สามารถช่วยความรุนแรงของอุบัติเหตุได้บางส่วนและบางพื้นที่เท่านั้น สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ตัวผู้ขับขี่ที่ต้องไม่ประมาท ขับขี่ด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด เว้นระยะห่างจากรถคันอื่นอย่างเหมาะสม หากทำให้เป็นกิจวัตรก็จะลดเปอร์เซ็นต์ของการเกิดอุบัติเหตุได้ไม่ว่าจะขับขี่รถที่ใดก็ตาม

สถานการณ์อะไรที่ควรเว้นระยะห่างในการขับขี่มากขึ้น

ในช่วงเวลาที่ฝนตกจะทำให้มีคราบน้ำมันไหลลื่นเคลือบบนพื้นถนน ทำให้ลดแรงเสียดทานในการขับขี่ เกิดอาการล้อไถล การเบรกจะยากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์รถยนต์ 4 ล้อ 6 ล้อ 10 ล้อ รถพ่วง (ยิ่งรถใหญ่ และรถพ่วงที่ควบคุมลำบาก ก็ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวัง) และหากมีน้ำหนักเพิ่มจากบรรทุกสิ่งของที่มากก็จะยิ่งเบรกได้ยากและใช้เวลามากขึ้น

สถานการณ์เช่นนี้จึงควรเพิ่มระยะห่างออกมาอีกหลายสิบเมตรจากรถคันหน้า เพื่อที่จะป้องกันรถชน พลิกคว่ำ อันเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

การตรวจสภาพรถสำคัญกับการเบรก

ก่อนจะสตาร์ทเครื่องควรจะเช็คความสมบูรณ์ของอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้แก่

  1. ผ้าเบรก เป็นประเด็นหลักที่พบบ่อยทำให้เบรกไม่อยู่ ต้องระวังไม่ปล่อยให้ผ้าเบรกหมดจนกระทั่งได้ยินเสียงดังเอี๊ยดเวลาเบรก มิเช่นนั้นจะส่งผลทั้งประสิทธิภาพในการเบรกและทำให้จานเบรกชำรุดไปด้วย แม้ว่าจะมีหลักเกณฑ์ในการเปลี่ยนผ้าเบรกทุก 50,000 กิโลเมตร แต่การใช้งานในเขตเมืองที่มีการเบรกบ่อย ๆ อายุการใช้งานก็จะสั้นกว่านั้นได้
  1. ปัจจัยส่วนอื่น ๆ เช่นน้ำมันเบรก ต้องเช็คว่าไม่มีการรั่วซึม ลูกยางและแม่ปั้มเบรกเสียหาย สายเบรกชำรุดจากหนูกัดแทะ รวมถึงล้อรถที่ขาดการดูแลเรื่องดอกยางทำให้ดอกยางโล้นจากการสึกหรอเมื่อใช้งานไปนาน ๆ ควรเปลี่ยนยางเมื่อ ใช้งานไปประมาณ 50,000 กิโลเมตร หรือเปลี่ยนตามสภาพยางก็ได้

          จะเห็นได้ว่าการเว้นระยะห่างจากรถคันอื่นเป็นเรื่องสำคัญ ช่วยป้องกันอุบัติเหตุถึงขั้นร้ายแรงเสียชีวิตได้ ทั้งต้องไม่ลืมตรวจสภาพรถอย่างสม่ำเสมอ ร้านไทยจราจร หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ท่านระมัดระวังการขับขี่และเป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้

เราควรขับรถให้ห่างจากคันหน้า เท่า ไหร่

   ปรึกษาสินค้าและบริการ ฟรี! โทร 02-114-7006

อุปกรณ์จราจร มากกว่า 1,000 ชนิด !!

ร้านไทยจราจร คือแหล่งรวบรวมอุปกรณ์จราจรที่ทันสมัยและครบวงจรมากที่สุดในประเทศไทย สินค้าของทางร้านจะมีการอัพเดทใหม่ตลอดเวลา ซึ่งมีผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี จีน เพื่อมีความหลากหลายในการตอบโจทย์ และแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้งานทุกท่าน