1. ภาพเคลื่อนไหวแบบ frame by frame มีลักษณะการทำงานแบบใด ก. การตกแต่งภาพ ข. การเปลี่ยนภาพแบบ Transition ค. การเปลี่ยนภาพทีละ Step ง. การตัดต่อภาพยนตร์ 2. จากภาพ ใช้เครื่องมือใดเป็นหลัก ก. ข. ค. ง. 3. ข้อใดคือคีย์ลัดในการแทรกคีย์เฟรม (Insert Keyframe) 4. จากรูปภาพ แถบ TimeLine เป็นสีเขียวเป็นเทคนิคภาพเคลื่อนไหวแบบใด ก. frame by frame ข. แบบย่อ-ขยาย ค. แบบ Shape Tween ง. แบบ Motion Tween 5. ข้อใดกล่าวถูกต้อง เกี่ยวกับเทคนิคสร้างภาพแบบ Shape Tween 6. การทำเมฆลอยควรใช้การเคลื่อนไหวแบบใด 7. การเคลื่อนที่ของรถยนต์จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ใช้หลักการสร้าง Movie ไฟล์ตามข้อใด 8. ภาพพัดลมที่หมุนอยู่กับที่ ควรใช้การหมุนแบบใด 9. จากภาพเป็นการเคลื่อนไหวแบบใด แบบ frame by frame แบบย่อ-ขยาย แบบหมุนพร้อมกับการเคลื่อนที่ แบบ Motion Tween 10. ข้อใดคือคำสั่งสร้างการเคลื่อนไหวแบบปรับให้ค่อยชัดหรือจางลง 11. การสร้างภาพเคลื่อนไหว แบบแมลงบินว่อน ควรใช้คำสั่งใด 12. การสร้างภาพเคลื่อนไหวแบบคล้ายไฟส่องต้องใช้คำสั่งใด ผลคะแนน = เริ่มจากการทำผมให้เปียกโดยการราดน้ำ เมื่อผมเปียกแล้วจึงใส่แชมพูสระผมลงบนศีรษะ แล้วขยี้ให้มีฟองเกิดขึ้น หลังจากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำ แล้วเริ่มทำใหม่อีกครั้ง ในการเขียนอัลกอริทึมนี้ แม้จะมีความชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่ที่ ข้อความอธิบายค่อนข้างเยิ่นเย้อ และถ้าผู้เขียนใช้สำนวนที่อ่านยาก ก็อาจทำให้ผู้อ่านไม่เข้าใจขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมได้ ดังนั้น จึงมีการคิดค้นเครื่องมืออื่นที่ช่วยในการออกแบบโปรแกรมแทนอัลกอริทึม ได้แก่ ผังงาน รหัสจำลอง แผนภูมิโครงสร้าง 3. ขั้นตอนการเขียนโปรแกรม (Coding) 4. ขั้นตอนการตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรม (Testing and Debugging) หลังจากที่ทำการเขียนโปรแกรมเสร็จแล้ว เวลา 50-70% ของเวลาในการพัฒนาโปรแกรม จะถูกใช้ไปในการหาข้อผิดพลาดของโปรแกรมและการ แก้ไขข้อผิดพลาดนั้น 5. ขั้นตอนการทดสอบความถูกต้องของโปรแกรม (Testing and Validating) ในบางครั้ง โปรแกรมอาจผ่านการแปล โดยไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ แจ้งออกมา แต่เมื่อนำโปรแกรมนั้นไปใช้งาน ปรากฏว่าได้ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นจริง เนื่องจากอาจเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรจะต้องมีขั้นตอนการทดสอบความถูกต้องของโปรแกรมอีกทีด้วยในการทดสอบความถูกต้องของข้อมูล จะมีอยู่หลายวิธี ดังต่อไปนี้ 1. การใส่ข้อมูลที่ถูกต้อง (Valid Case) เป็นการทดสอบโปรแกรมเมื่อมีการรันโปรแกรม ให้ทำการใส่ข้อมูลที่ถูกต้องลงไปในโปรแกรม และดูว่าผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรม ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือตรงตามที่ต้องการหรือไม่ 2. การใช้ขอบเขตและความถูกต้องของข้อมูลเป็นการทดสอบ โดยตรวจสอบขอบเขตของข้อมูลที่ป้อนเข้าสู่โปรแกรม เช่น ถ้าโปรแกรมให้มีการป้อนวันที่ ก็จะต้องตรวจสอบว่า วันที่ที่ป้อนจะต้องไม่เกินวันที่ 31 ถ้าผู้ใช้ป้อนวันที่ที่เป็นเลข 32 โปรแกรมจะต้องไม่ยอมให้ป้อนวันที่นี้ได้ 3. การใช้ความสมเหตุสมผล ตัวอย่างเช่น ถ้าโปรแกรมมีการออกแบบให้ผู้ใช้ป้อนข้อมูลลงไปในฟอร์มที่มีข้อมูลที่เป็นเพศ (หญิง หรือ ชาย) และรายละเอียดส่วนตัวของคน ๆ นั้น เช่นเพศ วันลาคลอดชาย ต้องไม่มี (ห้ามใส่)หญิง อาจมีหรือไม่มีก็ได้ 4. ข้อมูลที่เป็นตัวเลขและตัวอักษร เป็นการตรวจสอบว่า ถ้าโปรแกรมให้ผู้ใช้ป้อนข้อมูลในฟิลด์ที่ต้องรับข้อมูลที่เป็นตัวเลข อย่างเช่น ฟิลด์ที่เป็นจำนวนเงิน ก็ควรจะยอมให้ผู้ใช้ป้อนข้อมูลได้เฉพาะตัวเลขเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ใส่ตัวอักษรในฟิลด์นั้นได้ หรือถ้าเป็นฟิลด์ที่รับข้อมูลที่เป็นตัวอักษร เช่น ฟิลด์ชื่อ-นามสกุล ก็จะป้อนข้อมูลได้เฉพาะตัวอักษรเท่านั้น จะป้อนตัวเลขไม่ได้ 5. ข้อมูลเป็นไปตามข้อกำหนด ข้อมูลที่ป้อนในฟิลด์ ต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้แน่นอนแล้วเท่านั้น เช่น กำหนดให้ฟิลด์นี้ป้อนข้อมูลได้เฉพาะตัวเลขที่อยู่ในกลุ่ม 1,2,5,7 ได้เท่านั้น จะป้อนเป็นตัวเลขอื่นที่ไม่อยู่ในกลุ่มนี้ ไม่ได้ 6. ขั้นตอนการทำเอกสารประกอบโปรแกรม (Documentation) 7. ขั้นตอนการบำรุงรักษาโปรแกรม (Program Maintenance) |