เสียงและการได้ยิน เครื่องวัดเสียง Show เมื่อคลื่นเสียงเคลื่อนที่จากแหล่งกำเนิดผ่านตัวกลางมากระทบเยื่อหูผู้ฟัง มีผลทางการได้ยินเสียงแตกต่างกัน เสียงแต่ละเสียงมีความแตกต่างกันอยู่ 3 ประการ คือ ความดัง ( loudness)ระดับเสียง(pitch) และคุณภาพเสียง(quality) เสียง (Sound) เป็นคลื่นเชิงกลที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ เมื่อวัตถุสั่นสะเทือน ก็จะทำให้เกิดการอัดตัวและขยายตัวของคลื่นเสียง และถูกส่งผ่านตัวกลาง เช่น อากาศ ไปยังหู แต่เสียงสามารถเดินทางผ่านสสารในสถานะก๊าซ ของเหลว และของแข็งก็ได้ แต่ไม่สามารถเดินทางผ่านสุญญากาศได้ เมื่อการสั่นสะเทือนนั้นมาถึงหู มันจะถูกแปลงเป็นพัลส์ประสาท ซึ่งจะถูกส่งไปยังสมอง ทำให้เรารับรู้และจำแนกเสียงต่างๆ ได้
ความดังของเสียง การได้ยินเสียงดังและเสียงค่อย ขึ้นอยู่กับความเข้มเสียง แบ่งตามลักษณะการเกิดเสียงได้ 3 ลักษณะ 1. เสียงดังแบบต่อเนื่อง (continuous Noise) เป็นเสียงดังที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำแนกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ เสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (steady-state Noise) และเสียงดีงต่อเนื่องที่ไม่คงที่ (Non steady state Noise) 1.1 เสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (Steady-state Noise) เป็นลักษณะเสียงดังต่อเนื่องที่มีระดับเสียง เปลี่ยนแปลง ไม่เกิน 3 เดซิเบล เช่น เสียงจากเครื่องทอผ้า เครื่องปั่นด้าย เสียงพัดลม เป็นต้u 1.2 เสียงดังต่อเนื่องที่ไม่คงที่ (Non-steady state Noise) เป็นลักษณะเสียงดังต่อเนื่องที่มี ระดับเลียงเปลี่ยนแปลงเกินก่า 10 เดชิเบล เช่น เสียงจากเลื่อยวงเดือน เครื่องเจียร เป็นต้น 2. เสียงดังเป็นช่วงๆ (lntermittent Noise) เป็นเสียงที่ดังไม่ต่อเนีอง มีความเงียบหรีอเบากว่าเป็นระยะๆลลับไปมา เช่น เสียงเครื่องปั๊ม/อัดลม เสียงจราจร เสียงเครื่องบินที่บินผ่านไปมา เป็นต้น 3. เสียงดังกระทบ หรือ กระแทก (lmpact or lmpulse Noise) เป็นเสียงที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว ในเวลาน้อยกว่า 1 วินาที มีการเปลี่ยนแปลงของเสียงมากกว่า 40 เดชิเบล เช่น เสียงการตอกเสาเข็ ม การปั๊มชิ้นงาน การทุบเคาะอย่างแรง เป็นต้น การวัดความดังของเสียง เราวัดเป็น ระดับความเข้มของเสียง โดยเอาความเข้มของเสียงเบาที่สุดที่หูมนุษย์ได้ยินเป็นมาตรฐาน แล้วหาความเข้มของเสียงที่ได้ยินนั้นว่าอยู่ระดับใด แต่ปัจจุบันมีเครื่องมือที่มีชื่อว่า sound level meter สามาถวัดระดับความเข้มเสียงเป็นเดซิเบลได้โดยตรง ระดับเสียง หมายถึง ระดับของเสียงที่ได้ยิน ขึ้นอยู่กับความถี่ของเสียงนั้น ความถี่ของเสียงยิ่งสูงเสียงที่ได้ยินยิ่งมีระดับเสียงสูง 1. ความถี่ของเสียงที่หูคนปกติได้ยิน มีค่าอยู่ระหว่าง 20-20,000 เฮิรตซ์ 2. ความถี่ของเสียงที่ต่ำกว่า 20 เฮิรตซ์ เรียกว่า
คลื่นใต้เสียง 3. ความถี่ของเสียงที่สูงกว่า 20,000 เฮิรตซ์ เรียกว่า คลื่นเหนือเสียง 4. เสียงแหลม คือ เสียงที่มีความถี่สูง หรือมีระดับเสียงสูง 5. เสียงทุ้ม คือ เสียงที่มีความถี่ต่ำ หรือมีระดับเสียงต่ำ คุณภาพเสียง เป็นสมบัติเฉพาะของเสียงจากวัตถุแต่ละประเภทที่ใช้ทำให้เกิดเสียงนั้น ดังนั้น คุณภาพเสียงจะช่วยให้เราแยกประเภทของแหล่งกำเนิดเสียงได้ว่าเป็นเสียงอะไร มลภาวะของเสียง เสียงที่มีระดับความเข้มเสียงสูงถือได้ว่า ข้อควรรู้ 1. ระดับความเข้มเสียงที่หูคนเริ่มได้ยินมีค่า 0 เดซิเบล และระดับความเข้มเสียงที่หูคนทนฟังได้มีค่า 120 เดซิเบล 2. องค์การอนามัยโลกกำหนดให้ระดับความเข้มเสียงที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 85 เดซิเบล และได้ยินติดต่อกัน การนำความรู้เรื่องเสียงไปใช้ประโยชน์ Link สินค้า เครื่องวัดเสียง Sound meter อ้างอิง :
ปัจจัยที่ทำให้เราได้ยินเสียงมีอะไรบ้างในการได้ยินเสียงครั้งหนึ่ง ๆ จะมีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ ต้นกำเนิดเสียง ตัวกลาง และประสาทรับเสียงของผู้ฟัง ความรู้สึกในการได้ยินเสียงของมนุษย์โดยทั่วไปแยกออกเป็นลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ 1. ความรู้สึกดัง-ค่อยของเสียง ขึ้นอยู่กับ แอมพลิจูดและความเข้มเสียง 2. ความรู้สึกทุ้ม-แหลมของเสียง ขึ้นอยู่กับความถี่ของเสียง
คนปกติได้ยินเสียงที่ระดับใดปกติจะสามารถรับเสียงที่มีความดังของเสียงต่ำสุด 0 เดซิเบล (decibel:dB) และสูงสุด 120. เดซิเบล (ความถี่ของคลื่นเสียง ตั้งแต่ 20-20,000 เฮิรตซ์) ระดับเสียงที่มีความปลอดภัยใน การได้ยินสำหรับมนุษย์ คือ ความดังประมาณ 75 เดซิเบล (decibel:dB) หรือน้อยกว่า
เสียงดังมากจะทำให้เกิดความรู้สึกอย่างไรการได้ยินเสียงที่ดังมากเกินไป จะทำให้เราเกิดความรำคาญ รู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจ เกิดความเครียดทางประสาท ขาดสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และหากเสียงนั้นดังช่วงกลางคืนจะไปรบกวนการนอนหลับ อาการเหล่านี้นานไปจะส่งผลต่อสุขภาพโดยตรง อาจก่อให้เกิดอาการป่วยทางกาย เช่น โรคกระเพาะ โรคความดันสูง
ระดับความดังของเสียงขึ้นอยู่กับอะไรความดังของเสียง ขึ้นอยู่กับความเข้มของเสียงหรือแอมพลิจูด แอมพลิจูดมากเสียงจะดัง แอมพลิจูดน้อยเสียงจะมีเสียงค่อย
|