ความขัดแย้ง หมายถึง ความไม่ลงรอยกัน การไม่ถูกกันทางความคิดไม่ตรงกัน Show สาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง 1. เกิดจากความเชื่อศรัทธาในคำสอนของศาสนาแตกต่างกัน 2. ความมีทิฏฐิมานะ 3. ความถือตัวว่าความคิดของตนเองดูดีกว่าคนอื่น 4. มีวิสัยทัศน์ที่คับแคบ 5. สังคมโลกขยายตัวเร็วเกินไป และการมีค่านิยมในสิ่งต่าง ๆ ผิดแผกกัน วิธีป้องกันและแก้ไขความขัดแย้งทางศาสนาต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมและวิธีป้องกันและแก้ไขความขัดแย้งทางศาสนา 1. วิธียอมกัน คือ ทุกคนลดทิฐิมานะ 2. วิธีผสมผสานกัน คือ ทุกฝ่ายทุกศาสนาเปิดเผยความจริง 3. วิธีหลีกเลี่ยง คือ ไม่ไปก้าวก่ายความคิดและความเชื่อศาสนาอื่น 4. วิธีการประนีประนอม คือ การแก้ไขปัญหาโดยวิธียอมเสียบางอย่างและได้บางอย่างมีอำนาจพอ ๆ กัน ต่างคนก็ไม่เสียเปรียบ กรณีตัวอย่างปาเลสไตน์ ในดินแดนปาเลสไตน์ได้ เกิดสงครามยืดเยื้อมานับสิบๆปี เกิดจากเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนนี้อยู่ในความครอบครองของชาวเติร์ก (ตุรกี) และมีปาเลสไตน์ เป็นชนพื้นเมืองอยู่ดั้งเดิม ผสมกับชาวอาหรับและชนเผ่าต่างๆโดยมีประเทศอังกฤษ สนับสนุนให้ปาเลสไตน์มีเอกราชในบริเวณนี้ ต่อมาหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาวยิวในเยอรมันถูกฮิตเลอร์ฆ่าตายจำนวนมาก อังกฤษและชาติมหาอำนาจในขณะนั้นได้ให้ชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนปาเลสไตน์ในปีค ศ 1922 แต่ขณะเดียวกันชาวปาเลสไตน์ไม่พอใจเพราะพวกเขายังคงอยู่ลำบากและมีปัญหากับประเทศอิสราเอลจวบจนปัจจุบัน มีการจัดตั้งกลุ่มฮามาส เพื่อขับไล่อิสราเอลออกจากปาเลสไตน์ มีการเจรจาสงบศึกหลายครั้งแต่ยังไม่สำเร็จ สภาพปัยหาต่าง ๆ ยังคงมีจวบจนปัจจุบัน ปัญหาครอบครัวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเกิดจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน การเลี้ยงลูก ปัญหาทางการเงิน หรือแม้แต่เรื่องสุขภาพ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ล้วนเป็นปัจจัยที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสมาชิกภายในบ้านและอาจจะบานปลายจนกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวได้นะคะ วันนี้เรามีวิธีรับมือที่จะให้สมาชิกภายในบ้านร่วมมือกันจัดการปัญหาต่างๆ เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมาฝากค่ะ
ให้คะแนนบทความนี้ [คะแนนบทความนี้: 2.6] ในการใช้ชีวิตประจำวัน ของนักเรียน ไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัว โรงเรียน และสังคม บางครั้งอาจต้องพบเจอกับปัญหาต่างๆ รวมไปถึงความขัดแย้ง ซึ่งบางครั้งอาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ การศึกษาหาความรู้ในเรื่องทักษะชีวิต และนำหลักการดังกล่าวไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้นักเรียนสามารถป้องกันและ แก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น รวมทั้งช่วยลดความขัดแย้ง ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับนักเรียนด้วย โดยทักษะชีวิตที่นักเรียนควรเรียนรู้ มีดังนี้ 2. ทักษะการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างมีระบบ ไม่เกิดความเครียดทางกายและจิตใจ จนอาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่โตเกินแก้ไข 3. ทักษะการต่อรองเพื่อประนีประนอม การต่อรอง หมายถึง การทำให้ลดลงเช่นของแพงมีการต่อรองให้ราคาลดลง ส่วนการประนีประนอมก็คือการผ่อนหนักให้เป็นเบาให้แก่กันหรือปรองดองกัน ดังนั้นทักษะการต่อรองเพื่อการประนีประนอมจึงหมายถึงทักษะที่ลดความรุนแรงหรือผ่อนหนักให้เป็นเบา สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับหลายคู่กรณีทั้งหลาย โดยการใช้ทักษะดังนี้ 1.ควบคุมอารมณ์ ไม่ใจร้อน
มีเหตุผล
4. ทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นความสามารถในการใช้คำพูดและท่าทางเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้อย่างเหมาะสมกับวัฒนธรรม และสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็น การแสดงความต้องการ การแสดงความชื่นชม การขอร้อง การเจรจาต่อรอง การตักเตือน การช่วยเหลือ การปฏิเสธ ซึ่งทักษะที่สำคัญเกี่ยวกับการสื่อสารก็คือ การพูดการฟัง การถาม ทักษะการพูด : เป็นทักษะที่ผู้สื่อการจะต้องคำนึงถึงบริบทโดยรวม เพื่อให้การพูดเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ในการสื่อสารผู้พูดควรคำนึงถึง 1.พูดกับใคร : การพูดนั้นต้องใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมกับคนที่เราพูดด้วย เช่น พูดกับพ่อแม่ พูดกับเพื่อน หรือ พูดกับเด็ก พูดกับผู้ใหญ่ ก็จะต้องใช้ระดับภาษาที่ต่างกันและควรใช้คำสุภาพเพราะการใช้คำพูดที่ไม่ สุภาพอาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ 5. ทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล เป็นความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันและกัน และสามารถรักษาสัมพันธภาพไว้ได้ยืนยาว การสร้างและการรักษาสัมพันธภาพในครอบครัว : ครอบครัวซึ่งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก หรือบางครอบครัวที่เป็นครอบครัวใหญ่อาจรวม ปู่ ย่า ตา ยาย พี่ ป้า น้า อา ที่รวมกันอย่างมีความสุข และมีหลักการสร้างสัมพันธภาพ ที่ดีดังนี้ 1.ทุกคนต้องปฏิบัติตนตามกฎระเบียบของครอบครัว สม่ำเสมอ การสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเพื่อน : เพื่อนคือคนที่ชอบพอรักใคร่กัน คนที่คบกันเป็นเพื่อนส่วนใหญ่จะมีความชอบ ความคิดเห็นตรงกัน และพฤติกรรมเหมือนๆหรือใกล้เคียงกัน หลักการสร้างภาพระหว่างเพื่อนคือ การสร้างและการรักษาสัมพันธภาพในสังคม : การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุข
จะเกิดขึ้นได้โดยมีหลักปฏิบัติ ดังนี้ 6. ทักษะการปฏิเสธ เป็นทักษะการปฏิเสธเป็นทักษะสื่อสารเพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้และยอมรับว่าตนเองไม่เห็นด้วย โดยไม่เสียสัมพันธภาพอันดีต่อกัน องค์ประกอบของการปฏิเสธ มีดังนี้ ๖.๒ หลักการปฏิเสธ ๖.๓ การเลือกใช้ทักษะการปฏิเสธ ๑) เป็นการแสดงสิทธิอันชอบธรรมของบุคคลต่อการแสดงความรู้สึกไม่พอใจความขัดแย้งของตนเอง ต่อผู้อื่นโดยไม่เสียสัมพันธภาพ ๒) ทำให้เกิดความปลอดภัยหรือป้องกันการเกิดความสูญเสียซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ ๓) เป็นการระงับความขัดแย้งหรือเพื่อการรักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกันให้คงอยู่ ๔) ใช้ในการแก้ไขปัญหา รวมทั้งสถานการณ์เสี่ยงต่อสุขภาพและเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตประจำวัน การป้องกันความขัดแย้งมีวิธีอย่างไร1. ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติและอาจเกิดขึ้นได้เสมอ 2. ทั้ง 2 ฝ่าย มีทัศนคติในการช่วยกันแก้ปัญหามากกว่ามุ่งเอาชนะกันและกัน 3. มีความจริงใจที่แสดงความต้องการที่แท้จริงออกมา 4. หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อช่วยการตัดสินใจ 5. หลีกเลี่ยงการใช้คะแนนเสียงข้างมากเป็นข้อยุติ 6. เอาใจใส่ซึ่งกันและกันและไม่เห็นแก่ตัว
นักเรียนมีแนวทางป้องกันแก้ไขความขัดแย้งในครอบครัวอย่างไรใช้เวลาร่วมกันเป็นครอบครัว การใช้เวลาที่ดีร่วมกัน จะช่วยสานสัมพันธ์ภายในครอบครัวให้แน่นแฟ้น และลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น โดยสามารถใช้ช่วงเวลานี้ในการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รับฟังความทุกข์หรือความกังวลใจของคนในครอบครัว อาจให้คำปรึกษาหรือแนวทางแก้ปัญหาอย่างเข้าใจและไม่ตัดสิน เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกวางใจ รู้สึก ...
นักเรียนมีวิธีลดความขัดแย้งในครอบครัวอย่างสร้างสรรค์อย่างไรนักจิตวิทยาแนะนำ 6 วิธีลดความขัดแย้งในครอบครัวอย่างยั่งยืน. 1. รับฟังกันให้มากขึ้น ... . 2. อย่าด่วนตัดสินคนในครอบครัว ... . 3. ระลึกไว้ว่าคนในครอบครัวไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ ... . 4. มีปัญหากันให้รีบพูด ... . 5. หาวิธีแก้ไขปัญหาร่วมกัน ... . 6. ใส่ใจกันให้มากขึ้น. นักเรียนจะป้องกันปัญหาความขัดแย้งในวัยรุ่นได้อย่างไรปัญหาความขัดแย้งที่เกิดในวัยรุ่นส่งผลทำให้มีความรุนแรงเกิดขึ้นตามมาในโรงเรียน สถาบันศึกษา และในชุมชน ส่วนใหญ่เป็นความขัดแย่งภายในโรงเรียนและการทะเลาะวิวาท นอกสถาบัน แนวทางการแก้ไขปัญหาควรปฏิบัติดังนี้ 1. ฝึกตนเองให้สามารถรู้จักแก้ปัญหาด้วยการใช้ความคิดดี เหตุผล หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์และความรุนแรง รู้จัก ประนีประนอม ...
|