ในหลวงรัชกาลที่ 5 เคยมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จเยือนยุโรป ตั้งแต่ครั้งเสด็จกลับจากการประพาสสิงคโปร์และชวาในปี พ.ศ. 2414 แต่ถูกทัดทานเอาไว้จากผู้สำเร็จราชการ คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ Show ภายหลังเจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ หรือ Gustave Rolin-Jaequemyns ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินชาวเบลเยี่ยม ได้กราบทูลเสนอแนะผ่านกรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ ให้ในหลวงรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรป ตั้งแต่ก่อนการเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 จนกระทั่งภายหลัง สถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศมีความบีบคั้นและทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้พระองค์ปรึกษาหารือกับเจ้าพระยาอภัยราชาฯ และบุคคลที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยอีกสองท่าน โดยการปรึกษาหารือครั้งนั้น ทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก โดยมีกรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีมหาดไทย กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีต่างประเทศ และเจ้าพระยาอภัยราชาฯ ร่วมกันกำหนดเส้นทาง จากพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2439 บ่งชี้ให้เห็นว่า แนวพระราชดำริในการเสด็จประพาสยุโรปครั้งนั้น ประกอบด้วยแนวทาง 3 ประการ คือ การสร้างสัมพันธไมตรีอันดี ความพยายามให้มีการปกครองที่เสมอกัน และเพื่อส่งเสริมสัมพันธไมตรีให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักของประเทศต่างๆ ในยุโรป ซึ่งอาจมีประโยชน์ทางการเมืองแก่ประเทศไทยในอนาคต และที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างไทยกับฝรั่งเศส นอกจากนี้ เป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกของไทยในสายตาชาวยุโรป เพื่อเป็นการเกื้อหนุนสถานะทางการเมืองระหว่างประเทศของไทย รวมไปถึงประโยชน์ในทางอธิปไตยของประเทศ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ “เป็นการประชาสัมพันธ์สยามประเทศด้วยพระองค์เอง” เป็นการสร้างภาพลักษณ์ความศิวิไลซ์ของไทยให้เป็นที่ประจักษ์ต่อมหาอำนาจและสาธารณชนในตะวันตก ในการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2440 ในหลวงรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสประเทศในยุโรป รวม 13 ประเทศ ประกอบด้วย อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย ฮังการี (ภายหลังแยกเป็นประเทศออสเตรียและประเทศฮังการี) รัสเซีย สวีเดน นอร์เวย์ (ปัจจุบันแยกประเทศเป็น 2 ประเทศ คือ สวีเดนและนอร์เวย์) เดนมาร์ก อังกฤษ เบลเยียม เยอรมนี ฮอลันดา (หรือเนเธอร์แลนด์) ฝรั่งเศส สเปนและโปรตุเกส การเสด็จพระประพาสยุโรปครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ของไทย ทรงดำเนินไปยังประเทศที่ห่างไกลเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ท่ามกลางบริบทประเทศที่กำลังเผชิญการคุมคามจากลัทธิจักรวรรดินิยมอย่างรุนแรง โดยพระองค์ได้ทรงปฏิญาณพระองค์ไว้ดังที่ปรากฏเป็นลายพระราชหัตถเลขา คำปฏิญาณตอนหนึ่งมีใจความว่า … “ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนเฉพาะหน้าพระสงฆ์เถรานุเถรทั้งหลาย อันประชุมอยู่ ณ ที่นี้ ว่าการที่ข้าพเจ้าคิดจะไปประเทศยุโรป ณ ครั้งนี้ ด้วยข้าพเจ้ามุ่งต่อความดีแห่งพระราชอาณาจักร แลด้วยความหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าด้วย เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าตั้งใจจะรักษาตนให้สมควรแก่ที่เป็นเจ้าของประชาชนชาวสยามทั้งปวง จะรักษาเกียรติยศแห่งราชอาณาจักรอันเป็นเอกราชนครนี้จนสุดกำลังที่ข้าพเจ้าจะป้องกันได้ …” การเตรียมการที่สำคัญก่อนการเสด็จประพาสยุโรป คือ การตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน โดยพระองค์ได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระอรรคราชเทวี (ตำแหน่งก่อนการแต่งตั้ง) ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถและผู้สำเร็จราชการฯ อีกทั้งยังทรงเตรียมการด้านการประกาศเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเสนาบดีและขุนนาง เพื่อให้งานด้านต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นไว้ สามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนให้มีการประกาศให้ราษฎรทั่วไปได้รับทราบ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2440 เรือพระที่นั่งมหาจักรีได้เคลื่อนออกจากท่าราชวรดิฐ มุ่งหน้าสู่ยุโรป จนกระทั่งวันที่ 14 พฤษภาคม จึงได้เดินทางถึงเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ใช้เวลาทั้งสิ้นราว 5 สัปดาห์ ในช่วงเวลาการเดินทาง พระองค์ได้แวะเมืองหลายแห่งตามเส้นทาง ประกอบด้วย สิงคโปร์ ลังกา เอเดน อียิปต์ และเป็นการใช้เวลาระหว่างเสด็จทางเรือในการเตรียมพระองค์และบุคคลในคณะให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน สำหรับการเสด็จประพาสยุโรปในครั้งนั้น นอกเหนือไปจากการเรียนรู้ความเจริญก้าวหน้าของโลกตะวันตกเพื่อนำมาปรับปรุงบ้านเมืองแล้ว วัตถุประสงค์สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การสร้าง “ภาพลักษณ์” ของ “ความศิวิไลซ์” ของไทยในการรับรู้ของมหาอำนาจและสาธารณชนในประเทศชาติตะวันตก แม้ว่าในทางการเจรจาอาจจะยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤติทางการเมืองโดยเฉพาะระหว่างสยามและฝรั่งเศสได้ทั้งหมด แต่ก็ถือได้ว่าปัญหาได้บรรเทาความตึงเครียดลงระดับหนึ่ง เบื้องหลังการสร้าง “ภาพลักษณ์” ให้ชาวยุโรปโดยเฉพาะชาวราชสำนักต่างๆ เห็น “ความศิวิไลซ์” ของชาวสยามนั้น ก็มาจากเหตุผลหนึ่งที่ว่า ในยุคล่าอาณานิคมนั้น บรรดาชาติมหาอำนาจตะวันตกจะมีพื้นฐานความคิดที่ว่า ชาติของคนที่มีอารยะ หรือมี “ความศิวิไลซ์” คือ ชาติของชาวผิวขาว จึงเป็นความจำเป็นของชาวผิวขาว (White Man’s Burden) ที่จะต้องเข้ามาช่วยให้ชาติอื่นๆ ที่ป่าเถื่อน ล้าหลัง มีความเป็นรัฐที่ศิวิไลซ์ยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า แท้จริงภาพลักษณ์ของความมีอารยะหรือศิวิไลซ์ จึงขึ้นอยู่กับมุมมองและกรอบอ้างอิงของชาติที่มีอำนาจมากกว่า เพื่อถือเหตุนั้นเข้ามาล่าอาณานิคมในดินแดนที่ตนเองคิดว่าป่าเถื่อนล้าหลัง แต่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและผลประโยชน์มากมายที่ตนเองต้องการ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมภาพลักษณ์ของความศิวิไลซ์ของสยาม จึงต้องมีความเหมาะสมเมื่อมองจากมุมของวัฒนธรรมยุโรป ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 5 ท่านทรงตระหนักในข้อนี้เป็นอย่างดี และการเสด็จประพาสยุโรปในครั้งแรกของพระองค์ ก็ได้เปลี่ยนภาพจำของชาวสยามในการรับรู้ของชนชาติตะวันตก ไปสู่ภาพลักษณ์แห่ง “ความศิวิไลซ์” ได้อย่างสำเร็จและงดงาม การเสด็จประพาสยุโรปของ รัชกาลที่ 5 Soft Power ในการรักษาเอกราชอธิปไตยของไทย : ตอนที่ 2 การเสด็จประพาสยุโรปของรัชกาลที่ 5 มีผลดีต่อไทยในยุคปรับปรุงและปฏิรูปประเทศอย่างไร *สำหรับการเสด็จประพาสยุโรปในครั้งนั้น นอกเหนือไปจากการเรียนรู้ความเจริญก้าวหน้าของโลกตะวันตกเพื่อนำมาปรับปรุงบ้านเมืองแล้ว วัตถุประสงค์สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การสร้าง “ภาพลักษณ์” ของ “ความศิวิไลซ์” ของไทยในการรับรู้ของมหาอำนาจและสาธารณชนในประเทศชาติตะวันตก แม้ว่าในทางการเจรจาอาจจะยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤติทางการเมือง ...
การเสด็จประพาสต้นก่อให้เกิดผลดีอย่างไรนอกจากประเด็นที่กล่าวมาข้างต้น การเสด็จประพาสต้นยังทำให้เห็นความมีอัธยาศัยเอื้อเฟื้อเต็มใจต้อนรับผู้มาเยือนเห็นได้ชัดจากผู้ที่ถวายเลี้ยงพระยาหารพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเป็นพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นความจงรักภักดีของประชาชนต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
การเสด็จประพาสต้นมีวัตถุประสงค์ใดการเสด็จประพาสต้น หรือภูมิหลังการเสด็จประพาสส่วนพระองค์โดยไม่มีหมายก าหนดการ ล่วงหน้า วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อทรงตรวจเยี่ยมราษฎรส่วนพระองค์ การเสด็จประพาสส่วนพระองค์ ของพระมหากษัตริย์ทรงมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และกรุงศรีอยุธยา แต่ค าว่า การเสด็จประพาสต้น เกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์
การเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ 5 มีจุดประสงค์ในข้อใดมากที่สุดหรือที่เรียกกันว่า “การเสด็จประพาสต้น” เป็นการเสด็จเพื่อทรงพักผ่อนพระราชอิริยาบถตามคำแนะนำของหมอหลวง โดยใช้เรือพลับพลาพ่วงเรือไฟไป ถ้าจะประทับแรมที่ไหนก็จอดเรือพลับพลาประทับแรมที่นั่น ทรงต้องการเสด็จประพาสอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้ราษฎรรู้จักพระองค์ จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดกระบวนเรือที่เรียกกันว่า “กระบวนประพาสต้น” คือทรง ...
|