ISBN 9789740217749 Call number HC445 .ค33 2565 Imprint กรุงเทพฯ : มติชน, 2565 Physical 795 หน้า : ภาพประกอบ ; 21 ซม. Note หนังสืออนุสรณ์พิธีพระราชทานเพลิงศพ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ม.ป.ช., ม.ว.ม., ป.ภ. Book Content บทความ คนเดินตรอก ฉบับบันทึกความทรงจำ / วีรพงษ์ รามางกูร -- ตรอกที่ 1 ปฐมบท -- ตรอกที่ 2 การเงิน -- ตรอกที่ 3 การคลัง -- ตรอกที่ 4 ภาษีอากร -- ตรอกที่ 5 สินค้าเกษตร -- ตรอกที่ 6 ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ -- ตรอกที่ 7 สหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย -- ตรอกที่ 8 รางวังโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ -- ตรอกที่ 9 ปัจฉิมบท Subject วีรพงษ์ รามางกูร, 2486-2564 เศรษฐศาสตร์ (60) นักการเมือง -- ชีวประวัติ (50) นักการเมือง -- ไทย -- ชีวประวัติ (129) ไทย -- ภาวะเศรษฐกิจ -- รวมเรื่อง (3) Current edition available LIC Publication type หนังสืออนุสรณ์งานศพนักการเมือง
**“ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร บุรุษหนึ่งไม่มีสอง ผู้เป็นตำนาน “กุนซือ 7 รัฐบาล” นับเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญในแวดวงเศรษฐศาสตร์-รัฐศาสตร์ และการเมือง บ้านเรา ภายหลังจากที่ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร หรือ “ดร.โกร่ง” อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงแก่อนิจกรรมลงด้วยวัย 78 ปี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา “ดร.วีรพงษ์ รามางกูร” หรือชื่อเดิม “ประดับ บุคคละ” เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2486 ที่กรุงเทพฯ เป็นบุตรชาย ร.ต.ต.ประดิษฐ์ รามางกูร และ นางบุญศรี รามางกูร ต่อมาได้เข้าเป็นอาจารย์ประจำแผนกวิชาการต่างประเทศและการทูต ร่วมมือกับ “ศ.บำรุงสุข สีหอำไพ” ก่อตั้งแผนกอิสระสื่อสารมวลชน ซึ่งต่อมาคือ คณะนิเทศศาสตร์ ของจุฬาฯ จากนั้นได้รับทุนจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ เข้าศึกษาต่อทางด้านวิชาเศรษฐมิติ (Econometrics) ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ใช้ชีวิตที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นาน 5 ปีครึ่ง ต้นปี พ.ศ. 2515 ได้กลับมาเป็นอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วดำรงตำแหน่งเป็นคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ พ.ศ. 2519 หลังปี พ.ศ. 2526 เข้าทำงานที่สถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย จากนั้น พ.ศ. 2533 ได้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐบาลประเทศลาว ในการวางแผนเศรษฐกิจจากระบบสังคมนิยมมาเป็นระบบทุนนิยม ตามนโยบายเปิดประเทศ เป็นเวลาเกือบ 6 เดือน และยกย่องกันว่า รัฐบาลลาวได้ไว้วางใจ และนับถือ ดร.โกร่ง ว่า เป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจประเทศลาวเป็นอย่างมาก ตลอดชีวิตการทำงานของ “ดร.โกร่ง” ได้รับการยอมรับและเชื่อถือของสังคมเป็นอย่างมาก เพราะรอบรู้ทั้งความรู้ด้านรัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ความสามารถในการวิเคราะห์คาดการณ์ แนวโน้มทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง ไม่เป็นที่สองรองใคร นอกจากนี้ “ดร.โกร่ง” นับเป็นลูกศิษย์ “หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช” อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “เสาหลักประชาธิปไตย” หรือแม้แต่ฝีมือในการผูกดวงชะตา วางราศีของ “ดร.วีรพงษ์” ยังได้รับการยอมรับในวงการว่าไม่ธรรมดา โดยเป็นศิษย์ของโหราจารย์ชื่อดัง “อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร” ความสามารถและผลงานอันเอกอุ ทำให้ “ดร.วีรพงษ์” ได้รับความไว้วางใจจากฝ่ายการเมืองเชื้อเชิญแต่งตั้งให้เป็น “ที่ปรึกษา” ไปจนกระทั่งมอบตำแหน่ง รองนายกฯ และรัฐมนตรีใน 7 รัฐบาล ตั้งแต่ รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร รัฐบาล สมัคร สุนทรเวช และรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะที่ธุรกิจเอกชนก็ทาบทามให้เข้าไปช่วยบริหารธุรกิจในฐานะประธานกรรมการ และกรรมการของบริษัทเอกชนอีกหลายสิบแห่ง
“ครั้งหนึ่งตำแหน่งรองประธานเอดีบีว่างลง แล้วก็เป็นโควตาของประเทศไทย เราก็อยากจะไปหาสตางค์ เพราะเงินเดือนมันสูง ก็ไปล็อบบี้ “ท่านสิทธิ เศวตศิลา” รัฐมนตรีต่างประเทศ ว่า ผมอยากจะไปรับตำแหน่ง ท่านบอกเอาสิ แต่ให้ไปขอป๋าเอง ผมก็กะลิ้มกะเหลี่ยไปขอ “ป๋าเปรม” ท่านร้อง “ฮื้อ—แล้วเราคิดว่างานเอดีบี กับงานป๋าเนี่ย งานไหนสำคัญต่อประเทศชาติ และประชาชนไทยมากกว่ากัน” เจออย่างนี้เราจะตอบยังไง เราก็ครับ ถ้างั้นผมไม่ไป ก็เลยต้องอยู่ต่อ”
ต่อจาก รัฐบาลป๋าเปรม “ดร.วีรพงษ์” เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลของ “พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” อยู่ได้ไม่นานเกิดปฏิวัติรัฐประหาร โดย “บิ๊กสุ” พล.อ.สุจินดา คราประยูร แต่จากนั้น พล.อ.สุจินดา ก็ลาออก เมื่อเลือกตั้งกันใหม่ “ดร.วีรพงษ์”
จึงกลับเข้ามารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาล “อานันท์ ปันยารชุน” ซึ่งนั่นถือเป็นการฝากผลงาน มาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจที่เป็นประวัติการณ์ หลายต่อหลายเรื่อง เช่น ปฏิรูประบบภาษีอากร การยกเลิกกำแพงภาษี การนำระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้เป็นครั้งแรก หรือการริเริ่มตราพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน หรือ พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน ** “รังสิมันต์ โรม” เมื่อปากกล้าก็อย่าขาสั่น กลัวผลกรรมที่จะตามมา
คดีที่ 2 เป็นการฟ้องตัวเองในคดีอาญา ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ซึ่งเขาได้อภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎร และนำสิ่งที่อภิปรายไม่ไว้วางใจมาเผยแพร่ต่อ และคดีที่ 3 เป็นคดีแพ่ง ถูกฟ้องฐานละเมิด โดยเรียกค่าเสียหายมูลค่า 100 ล้านบาท!! “รังสิมันต์” บอกว่า การฟ้องดังกล่าวนี้ ตัวเองจะต่อสู้คดีไป แต่ก็อ้างว่าเป็นห่วงผลกระทบที่จะตามมา คือ การทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล โดยเฉพาะเวทีที่ใหญ่สุด คือ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าไม่พาดพิงบุคคลภายนอกเลย จะไม่สามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้ เพราะถ้าต้องการตรวจสอบการทุจริตความผิดพลาดในเชิงนโยบาย ศีลธรรม หรือคุณธรรมของรัฐบาล สุดท้ายล้วนเกี่ยวพันกับบุคคลภายนอกทั้งสิ้น งานนี้ พูดกันตามตรง “ทั่นโรม” จะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างไรก็ไม่มีใครว่า จะอภิปรายพูดอะไรในสภาฯ ก็ว่ากันไป แต่หากไปพาดพิงให้บุคคลภายนอกให้เสียหาย แน่นอนว่า บุคคลนั้นๆ ไม่มีโอกาสชี้แจงในสภาฯ ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องร้อง เป็นสิทธิของเขาที่จะปกป้องตัวเองด้วยการพึ่งกระบวนการยุติธรรม เป็นเรื่องธรรมดา จริงหรือเท็จก็ไปพิสูจน์กันในศาล
เรียกว่า เห็น “ทั่นโรม” ปากกล้าขาสั่นแบบนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเป็นคุณลักษณะของพรรคก้าวไกล หรือไม่ ? ที่เล่นบทอีแอบ ชอบไปยุเด็กรุ่นใหม่ แกนนำม็อบ 3 นิ้ว หรือกลุ่มเด็ก “ทะลุฟ้า” กระทั่ง “ทะลุแก๊ส” โดยอ้างว่า มีสิทธิ เสรีภาพให้ออกมาทำผิดกฎหมายแล้วก็โดนจับติดคุกกันหมด เรื่องของกฎหมายเขามีไว้ให้ระมัดระวังและเป็นข้อควบคุมไม่ให้ทำผิด สิทธิ เสรีภาพ นั้นมีได้ แต่อยู่ในกรอบที่ต้องไม่ไปละเมิดหรือก้าวก่ายใครให้เสียหาย ใครๆ ก็รู้ แต่ดูเหมือนพรรคก้าวไกลจะหลับหูหลับตา ท่องแต่คำว่าประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพ แล้วอยู่เหนือกฎหมายนั่นจะได้อย่างไร ก็เห็นๆ กันว่า สุดท้ายเยาวชนที่เป็นแนวร่วมของ “ก้าวไกลและรังสิมันต์” ถูกดำเนินคดีถูกจองจำก็เพราะความหลงเชื่อ เชื่อในสิ่งทีผิดๆ ของผู้ใหญ่ที่ปลูกฝังล้างสมองกันแบบนี้ เพราะฉะนั้น งานนี้ก็ต้องย้ำว่า “รังสิมันต์ โรม” เมื่อปากกล้าแล้วก็อย่าขาสั่นเลย ก็ต้องคอยรับผลกรรมที่จะตามมาด้วย!! |