จัดฟันแฟชั่นกับหมอ ราคาเท่าไหร่

เป็นหมอฟัน แต่รับจัดฟันแฟชั่น?

ไม่ทราบว่าตั้งกระทู้ถูกหมวดหรือเปล่านะคะ ถ้าผิดก็ขออภัยด้วย

เรื่องคือเราไปจัดฟันที่คลินิกแถวบ้าน เห็นว่าเปิดมานานแล้ว
ตอนกำลังอยู่ในขั้นตอนใส่เครื่องมือ เด็กที่เป็นผู้ช่วยของหมอ (เป็นวัยรุ่น) ก็ถามหมอว่า "เอาแฟชั่นออกเท่าไหร่"
หมอก็ตอบว่า "สองพัน"
เราก็ เฮ้ย แฟชั่นที่ว่านี่หมายถึงจัดฟันแฟชั่นหรือเปล่า ก็มันมีอยู่แค่อย่างเดียวที่คิดได้
ช็อคเลยค่ะ แล้วที่เขาทำให้เราอยู่นี่ของจริงใช่มั้ยเนี่ย ทำไมเป็นหมอฟันถึงรับจัดฟันแฟชั่นได้ด้วยเนี่ย
เขาก็เรียนจบทันตแพทย์มานะคะ มหาวิทยาลัยชื่อดังด้วย
หรือว่านี่เป็นเรื่องของจรรยาบรรณคะ รู้สึกว่าจัดฟันแฟชั่นมันมีผลเสียไม่ใช่หรือคะ คนเป็นหมอฟันน่าจะรู้ดีสุด

ถ้ามีความรู้เกี่ยวกับการจัดฟัน หรือการจัดฟันแฟชั่น ช่วยบอกหน่อยนะคะ บางทีเราอาจจะคิดผิดไปเอง
ตอนนี้เราเครียดมาก เพราะต้องจัดกับหมอคนนี้ไปอีกนานเลย
ขอบคุณค่ะ

ประสบการณ์การจัดฟันแฟชั่นกับการจัดฟันกับทันตแพทย์!!

สวัสดีค่ะเพื่อนทุกคน คือพอดี เราเห็นข่าวเรื่องการจัดฟันในสังคมอออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันแฟชั่นต่างๆ หรือการทำรีเทนเนอร์ตามที่ต่างๆเยอะมากมาย วันนี้เราก็อยากจะมาเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ที่เจอมากับตัวเอง ทั้งแบบการจัดฟันในตามท้องตลาดทั่วไปและการจัดฟันในคลินิก
เข้าเรื่องเลยล่ะกัน!!!
     เมื่อสมัย 4-5 ปีที่แล้ว สมัยเราอยู่มัธยม เราเกิดอยากจะดัดฟันมาก เพราะเห็นคนอื่นดัดกันก็อยากดัดบ้าง แต่ด้วยความที่ราคาจัดฟันในคลีนิกนั้นมีราคาสูงมาก  แต่ด้วยความอยากมีเหล็กและยางสีๆติดฟัน ก็เลยหาที่จัดฟันถูกๆ ซึ่งเราจำได้เหมือนเคยเห็นป้ายรับจัดฟันในในตลาดนัดแถวบ้าน ก็เดินหา และในที่สุดก็เจอป้ายรับจัดฟันอยู่หน้าร้านต่อผม เป็นป้ายเล็กๆ หน้าร้านก็มียางสีสันต่างๆ วางขาย โดยสถานที่ในการดัดก็จะเป็นเต็นท์หลังร้านนั้นแหละ จากนั้นก็ถามราคาตามปกติ ซึ่งการจัดฟันแฟชั่นที่เราเคยทำมีทั้งหมด 3 แบบ เราจะขอเล่าลักษณะและรายละเอียดคร่าวๆ ไปทีละแบบ
     1. แบบติดกาวกับฟัน ราคา 1200 บาท บนล่าง สมัยนั้น ไม่มีแบบที่ถอดได้ แต่ด้วยความอยากดัด ทำให้เราต้องตัดสินใจ โดยวิธีการดัดแบบนี้คือ เขาจะเอาตัวแบร็กเก็ต ติดกาวอะไรสักอย่างซึ่งมีกลิ่นแรงมาก จากนั้นก็นำมาติดที่ฟันเราอีกที ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที ก็เสร็จเรียบร้อย จ่ายเงิน และไม่มีคำแนะนำใดๆ โดยบอกแค่ว่าถ้าอยากเปลี่ยนสียาง ก็มาได้ตลอด หลังจากนั้นเราก็กลับบ้าน กลับมาได้สักพัก เริ่มมีอาการปวดฟัน รู้สึกเหมือนฟันมันร้าวๆ แน่นๆ และตึงบริเวณเหงือก ซึ่งก่อนติดเขาบอกว่าจะปวดฟันนิดหน่อย และให้เราทน เราทนอยู่ได้ 2 วัน สุดท้ายกาวกับแบร็กเก็ตก็หลุดออกจากกัน แต่ยังติดกับฟันกรามอยู่ ให้เพื่อนๆคิดสภาพ แบร็กเก็ตห้อยต่องแต่งทั้งแผงแต่ติดฟับฟันกรามเราซี่เดียว เราก็เลยดึงออกเอง ไปส่องกระจกดูก็เห็นเป็นคราบกาวขาวๆ ติดเต็มฟัน
     จากการดัดครั้งแรก เว้นระยะห่างกันประมาณ 1 เดือนกว่าๆ เราก็ไปเจอร้านดัดแฟชั่นอีกร้านนึง ซึ่งข้างหน้าร้านก็เหมือนๆกัน ลักษณะเป็นร้านความสวยความงาม และก็จะมียางสีต่างๆวางขาย มีป้ายรับดัดฟันเล็กๆ ด้วยความที่อยากจะดัดฟันให้ได้อีกครั้ง จึงเข้าไปถามราคาและตกลงดัดในที่สุด
    2. รีเทนเนอร์แฟชั่นแบบเหล็กคาด ราคา 900 บาท บนล่าง ตอนนั้นเราไม่รู้จักคำว่ารีเทนเนอร์ ว่ามันคืออะไร ที่ร้านบอกว่า ถ้าดัดแบบนี้ จะสามารถถอดเข้าถอดออกได้ ซึ่งมันไม่เหมือนกับการติดกาว และอีกอย่างในความคิดเราตอนนั้นนะ มันคนละแบบกันคงปลอดภัยกว่า เราก็เลยโอเค จากนั้นเขาก็ให้เราเข้าไปในเต็นท์ และบอกให้เรานั่งที่เก้าอี้พลาสติก จากนั้นเขาเปิดลิ้นชัก เพื่อเตรียมอุปกรณ์ สิ่งที่เราเห็นคือ เขาหยิบประปุกซึ่งในนั้นมีผงสีออกม่วงๆ เขาตักมันใส่ในถ้วยพลาสติก ใส่น้ำ และก็คนให้เข้ากัน มีลักษณะเหมือนเนื้อครีม และก็เอาแบบพิมพ์ฟัน ซึ่งเป็นพลาสติกมีลักษณะเป็นตัวยู จากนั้นก็เอาครีมใส่ลงไปเต็มเบ้าพิมพ์ และก็บอกให้เราอ้าปาก และก็ใส่พิมพ์เข้ามาในปากเรา ให้เรากัด โดยจะทำทั้งบนและล่าง หลังจากนั้นก็จ่ายเงิน และรอรับรีเทนเนอร์
อีกประมาณ 3 - 4 วันข้างหน้า และเมื่อถึงวันเราก็ไปเอามาใส่ โดยเราใส่เอง และไม่มีคำแนะนำใดๆ จากนั้นก็กลับบ้าน กลับมาได้สักพัก ก็เหมือนกรณีแรก คือมีอาการแน่นฟัน และเจ็บฟัน เราก็ถอดออก หายปวดก็ใส่ใหม่ ผ่านไป 2 เดือน กับการถอดเข้าถอดออก รู้สึกว่าเหล็กมันบิดๆเบี้ยวๆ ไม่โค้งเหมือนเดิม ก็ถอดออกมา และก็ไม่ได้ใส่อีก
     จากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ เราก็ว่าจะเอารีเทนเนอร์ไปซ่อมที่ร้านเดิม แต่ดันไปเห็นการดัดฟันแฟชั่นอีกแบบ
3. แบร็กเก็ตติดกับรีเทนเนอร์แบบถอดได้ ราคา 1800 บนล่าง เราตัดสินใจทำแบบนี้ เพราะดูดีกว่าแบบที่ผ่านๆมา ซึ่งวิธีการก็เหมือนกับวิธีที่ 2 คือ มีการพิมพ์ฟัน และก็รอรับเหมือนเดิม ซึ่งตัวแบร็กเก็ตฟันที่ได้มามันมีไม่ครบทุกซี่ รู้สึกจะมีถึงแค่ซี่หลังเขี้ยว เพียงไม่ถึงวันสิ่งที่ตามมา คือเจ็บเหงือก บริเวณข้างหลังของฟันล่าง รู้สึกเหมือนมีการกดทับเหงือก ทำให้บวม ก็เลยถอดๆใส่ๆ ใส่ไปประมาณ 4 เดือน ก็ต้องทิ้งมัน เพราะตัวแบร็กเก็ตเป็นสนิม กลัวว่าจะมีการติดเชื้อ
หลังจากเลิกดัดฟันแฟชั่นได้ประมาณปีกว่าๆ ก็เริ่มมีอาการปวดฟันกราม จึงไปหาทันตแพทย์
*** การจัดฟันกับทันตแพทย์***
    เราไม่เคยมีความคิดที่จะจัดฟันกับทันตแพทย์เลย เราเป็นคนที่มีความรู้สึกกลัวการพบหมอฟัน แบบมีอคติว่าถ้าไปพบต้อง โดนถอน ขูดหินปูน มันต้องเจ็บแน่ๆ แต่เพราะความเจ็บเลยต้องไปหาหมอ ซึ่งหมอบอกว่าเป็นฟันคุด ก็เลยต้องผ่าออก หลังจากนั้นก็มีการตรวจสุขภาพฟันเรื่อยๆ มีการขูดหินปูน แล้วหมอก็แนะนำให้เราจัดฟัน เพราะหมอบอกว่าฟันหน้าเราสบกัน ถ้าไม่จัด ฟันจะกร่อนไปเรื่อยๆ ซึ่งเราก็ได้ไปขอพ่อแม่ และก็ได้รับการจัดในที่สุด
วิธีหลักๆ ในการจัดฟัน
   1. พิมพ์แบบฟัน คือ ในกระบวนการของแพทย์  มีอุปกรณ์พร้อม ทุกอย่างดีสะอาด คุณหมอใส่ถุงมือ ใส่ที่ปิดปาก ใส่ชุดคลุม เครื่องมือพิมพ์ฟันก็เป็นโลหะ เขาจะลองเอาใส่ปากเราก่อน ถ้าใหญ่เกินไปเขาก็จะเอาอีกขนาดมาแทน ส่วนผงครีม เขาจะทาบนเพดานปากก่อน และก็ใส่ในแบบพิมพ์บางส่วน
  2. เอ็กซเรย์ฟัน วิธีนี้เราโดนส่งตัวไปโรงพยาบาล โดยคุณหมอที่คลินิกเขียนใบให้ใบนึงไปที่โรงพยาบาล เข้ามาในห้องก็เจอเครื่องขาวๆใหญ่ๆ นางพยาบาลก็ให้เรากัดยางขาวๆ แล้วเครื่องนั้นก็หมุนรอบหัวเราขึ้นเป็นวงกลม ต่อมาก็รอหน้าห้อง รับฟิล์ม จ่ายเงินจบ หลังจากนั้นก็กลับมาที่คลินิกคุณหมอก็ตรวจอีกที แล้วนัดติดอุปกรณ์ หรือแบร็กเก็ต
  3. การติดแบร็กเก็ต คือขั้นตอนนี้มันต่างจากดัดแฟชั่นมาก ก่อนจะติดหมอไม่ได้เอาแบร็กเก็ตใส่กาวติดเลย แต่เขาจะฉายแสงสีน้ำเงิน มีเสียงดังติ้ดๆ นั้นแหละ หมอถึงติด ทำอย่างนี้ทุกซี่ ใส่ยางใส่เหล็กก็มีเครื่องตลอด เอาเป็นว่ามีเครื่องมือครบ อีกอย่างมีผู้ช่วยหมอด้วย
  4. ขั้นตอนดูแลรักษา  การจัดฟันกับทันตแพทย์ ต้องหาหมอทุกเดือน ขูนหินปูน เปลี่ยนยาง เปลี่ยนเหล็ก และแบร็กเก็ตจะถูกเปลี่ยนทิศทางอย่างเหมาะสม  และที่สำคัญแบร็กเก็ตของหมอ มีขนาดเหมาะกับลักษณะฟันของแต่ละบุคคล เพราะเราฟันเล็กมาก หมอก็ใส่แบร็กเก็ตแบบเล็กในการจัด

        พอมาถึงจุดนี้ ก็น่าจะเห็นวิธีการหลายๆ ระหว่างการจัด "แฟชั่น" หรือ การจัดฟันกับ "ทันตแพทย์" ทุกอย่างเหมือนจะคล้ายแต่วิธีก็อย่างที่เล่า ทุกอย่างที่เราเล่ามันเกิดขึ้นกับเราจริงๆ  และขออภัยในคำศัพท์บางตัวเราก็เรียกไม่ถูก เราขอใช้เป็นภาษาบ้านๆล่ะกัน ส่วนวิธีทางการแพทย์ อาจจะมีรายละเอียดมากกว่านี้ ก็แล้วแต่ละคนไป ส่วนเรียงลำดับขั้นตอนไม่ถูก ก็ขออภัยด้วยนะ คิดว่าทุกคนคงเข้าใจ และอาจจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ หวังว่า บทความบทนี้จะเป็นแนวคิดอะไรได้บ้าง ^^ บทความดังกล่าวเป็นความคิดเห็นส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน พิมพ์ผิดยังไง ขอโทษด้วยนะเราพิมพ์ในมือถือ