วันนี้ (26 ส.ค.) ที่ห้องออคิดบอลรูม โรงแรมพูลแมนขอนแก่น สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) จัดเวทีประชุมสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคในการทำงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจัดเวทีเสวนา “เส้นทางการทำงานผู้บริโภค และความท้าทายในการคุ้มครองผู้บริโภคยุคดิจิทัล” มีนายศุภชัย ลีเขาสูง ปลัดจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานเปิดการประชุม ผู้เข้าร่วมเวทีมีทั้งผู้บริโภค หน่วยงานรัฐ และนักวิชาการ ซึ่งต่างสะท้อนความกังวลร่วมกันว่าไม่ใช่แต่ประสิทธิภาพข้อมูลความรู้ แต่ความรวดเร็วในยุคดิจิทัลก็นำมาซึ่งความฉับไวในกลโกงรูปแบบใหม่ๆ ที่เร็วกว่าไปไกลกว่า นางสาวบุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า การเดินหน้างานคุ้มครองผู้บริโภคของสภาองค์กรของผู้บริโภคมุ่งลดปัญหาผู้บริโภคและให้ข้อมูลความรู้แก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะการทำงานยุคดิจิทัลที่ไม่เพียงเฉพาะสภาองค์กรของผู้บริโภคต้อง ‘รวดเร็ว-ทันท่วงที’ แต่ทุกฝ่ายต้องตื่นตัวและเร่งมือแก้ไขปัญหาให้มากยิ่งขึ้นด้วย เนื่องจากปัจจุบันรูปแบบและกลโกงมิจฉาชีพได้ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และอาจเป็นเรื่องยากที่จะทำให้หมดไป จึงต้องหาแนวทางที่จะจำกัดวงไม่ให้ระบาดจนเป็นปัญหาอย่างรุนแรงและกระทบต่อผู้บริโภค “ผู้บริโภคต้องการความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหา และทุกฝ่ายไม่ควรทำงานเป็นเพียงหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียนเท่านั้น แต่ต้องทำงานเชิงรุก มีการเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกหน่วยงานแบบบูรณาการ มีชุดความรู้ให้ผู้บริโภค เมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ดังกล่าว และต้องสามารถนำชุดความรู้เหล่านั้นออกมาใช้ได้ทันทีอย่างมีคุณภาพ” น.ส.บุญยืนกล่าว ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภคกล่าวอีกว่า ผู้บริโภคในยุคดิจิทัลควรเป็นผู้บริโภคที่ตื่นตัวเท่าทัน ไม่เปิดโอกาสให้เกิดการละเมิดสิทธิ สามารถรักษาสิทธิตัวเองดูแลรักษาสิทธิผู้บริโภคคนอื่นๆ และสาธารณประโยชน์ได้ ขณะเดียวกันต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลที่น่าเชื่อถือเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งเชื่อมั่นว่าผู้บริโภคยุคใหม่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง และทำให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญต่อคุณภาพสินค้าและบริการ ท้ายที่สุดจะช่วยให้กลไกการคุ้มครองผู้บริโภคดีขึ้นได้แน่นอน ด้านนายชาญณรงค์ บุริสตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่น มองความท้าทายในการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคในส่วนของภาคธุรกิจว่า ปัจจุบันข้อมูลข่าวสารไปเร็วมาก มีการใช้สื่อกันอย่างอิสระ ขณะที่ผู้บริโภคอาจไม่ได้กลั่นกรองข้อมูล ซึ่งบางเรื่องอาจเป็นเรื่องไม่จริงหรือมีรายละเอียดไม่ครบ จากประเด็นที่เกิดขึ้นก็อาจทำให้ภาครัฐเข้ามากำกับดูแลการคุ้มครองผู้บริโภคยากขึ้น “การทำธุรกิจวันนี้เป็นอาชีพอิสระ อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ไม่มีตัวตน การรู้ไม่เท่าทัน หรือการที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าโดยเห็นแก่ของถูก เราเลยไม่รู้ว่าสินค้าเหล่านั้นมีคุณภาพหรือถูกกฎหมายหรือไม่ ซึ่งจะมีปัญหาตามมาที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบไม่ได้ เพราะกระจัดกระจาย จากสมัยก่อนเรารู้ว่าผู้ผลิตสินค้านั้นๆ คือใคร ร้านค้าตั้งอยู่ที่ไหน ยังมีตัวตน แต่วันนี้ไม่มีตัวตน ทุกคนมุ่งแต่ขายสินค้า ขายเครื่องสำอางโดยไม่รู้ว่ามีกฎหมายควบคุมอยู่ จะขายยาก็ผิดกฎหมาย คนขายก็ไม่รู้ คนซื้อก็ไม่รู้ ผมเห็นว่าคนควบคุมสื่อ คนทำป้าย คนรับผลิตคลิป แม้กระทั่งแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เผยแพร่ ต้องเข้ามามีส่วนร่วมคุ้มครองผู้บริโภคด้วย” นายชาญณรงค์กล่าว หอการค้าจังหวัดขอนแก่นจะสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นภาครัฐด้วยกัน องค์กรของผู้บริโภค ผู้ประกอบการ รวมทั้งผู้บริโภค เพื่อร่วมพัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้น โดยส่วนตัวมองว่าหากผู้ประกอบการใดที่ทำธุรกิจที่ดี ทุกคนสามารถช่วยส่งเสริมและให้กำลังใจได้ ส่วนผู้ประกอบการที่ยังติดปัญหาหรือพบปัญหาเรื่องมาตรฐาน คุณภาพของสินค้า ทุกคนก็สามารถร้องเรียน ติชมหรือกระตุ้นเพื่อให้เกิดการปรับปรุงได้
ส่วนการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคในยุคดิจิทัล แม้โลกดิจิทัลจะนำมาซึ่งความรวดเร็ว สะดวกสบาย แต่ก็นำมาซึ่งการหลอกลวงฉ้อโกงได้เช่นกัน ปัจจุบันกลโกงถูกพัฒนาขึ้นในกลวิธีต่างๆ และก้าวนำการรู้เท่าทันของผู้บริโภคอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการซื้อขายออนไลน์ เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มิจฉาชีพนำมาหลอกลวงและทำให้ผู้บริโภคต้องถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคลและสูญเงินให้มิจฉาชีพไปจำนวนมาก ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่หลักที่สภาองค์กรของผู้บริโภคและองค์กรของผู้บริโภคต้องทำให้ผู้บริโภครู้เท่าทันในเรื่องราวเหล่านี้โดยเร็ว โดยเห็นว่าการร่วมมือกับหลายภาคส่วนเป็นทางที่จะช่วยกันระดมความคิดเพื่อเร่งแก้ปัญหากลโกงในยุคดิจิทัลนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ระบบคุ้มครองผู้บริโภคของไทยในปัจจุบันมีการกระจายตัวสูง หากผู้บริโภคร้องเรียนผิดหน่วยงานหรือผิดขั้นตอนจะทำให้เกิดความล่าช้ามาก ดังนั้นจุดรับแจ้งเหตุหรือจุดรับเรื่องร้องเรียนต่างๆ ควรเป็นแบบเบ็ดเสร็จหรือให้บริการผู้บริโภคจบในที่เดียว
รวมทั้งการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิชาการ พรรคการเมือง และผู้บริโภค ในประเด็นการผลักดันไม่ต่อสัญญาสัมปทาน และผลักดันราคาค่าโดยสาร 25 บาทตลอดสายของรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลังปี 2572 หรือในประเด็นการส่งข้อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในประเด็นการเสนอให้หน่วยงานเร่งออกมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ขณะนี้มีผู้บริโภคหลายรายได้รับผลกระทบจากการปลดล็อกกัญชา เป็นต้น ข้อมูลจากศูนย์บริการผู้บริโภคแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop Service) ของสภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่าตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564-24 สิงหาคม 2565 สภาองค์กรของผู้บริโภคและหน่วยรับเรื่องร้องเรียนประจำจังหวัด 13 จังหวัดได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคทั้งสิ้น 9,601 ราย โดยปัญหาที่มีผู้ร้องเรียนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 คือด้านการเงินการธนาคาร มีผู้ร้องเรียนทั้งหมด 7,429 ราย คิดเป็นร้อยละ 77.38 ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นปัญหาช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนักเมื่อช่วงต้นปี จนทำให้ผู้บริโภคที่ซื้อประกันโควิดถูกยกเลิกกรมธรรม์ประกันโควิด ไม่จ่ายค่าสินไหม จ่ายค่าสินไหมล่าช้า
และปัญหาการซื้อขายออนไลน์ ซื้อของไม่ได้ของ หลอกขายสินค้าปลอม ไม่มีคุณภาพ หรือไม่ตรงปก ทั้งนี้ จากจำนวนผู้ร้องเรียนทั้งหมดนั้น สภาองค์กรของผู้บริโภคสามารถแก้ไขปัญหาได้สำเร็จลุล่วงถึงร้อยละ 90 ให้บริการทั้งแบบช่องทางปกติและช่องทางออนไลน์ โดยมีวิธีดำเนินการต่อข้อร้องเรียน 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ ขั้นเจรจาประสานงานกับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขั้นไกล่เกลี่ย และขั้นฟ้องคดี รวมจำนวนคดีที่ฟ้อง 23 คดี |