1.ชนชั้นปกครอง แบ่งออกได้เป็น 1.1 พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงตำแหน่งสูงสุดในสังคม มีอำนาจสูงสุด มีหน้าที่ปกครองดูแลพลเมืองให้อยู่ด้วยความสุขและความปลอดภัย ออกกฏหมายและพิจารณาตัดสินคดีความต่างๆ ทรงดำรงฐานะเป็นสมมติเทพตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ 1.2 พระบรมวงศานุวงศ์ หรือเจ้านาย คือเชื้อพระวงศ์ของพระมหากษัตริย์ มีฐานะรองจากพระมหากษัตริย์ อำนาจจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตำแหน่ง หน้าที่การงานกับความโปรดปรานของพระมหากษัตริย์ ยศของเจ้านายแบ่งได้เป็น สกุลยศ เป็นยศที่ได้รับมาตั้งแต่เกิด สืบเชื้อสายจากพระมหากษัตริย์โดยตรง มีลำดับชั้นดังนี้
เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หม่อมเจ้า ………ยศที่ได้รับอาจมีการเลื่อนขั้นหรือลดขั้นได้แล้วแต่ความผิดที่ได้กระทำลงไปหรือความชอบ ที่ได้รับ แต่มิได้สืบทอดยศที่ได้นั้นไปถึงลูกหลาน สิทธิตามกฏหมายของเจ้านายนั้น เช่น สามารถได้รับส่วนแบ่งรายได้จากภาษีอากรของแผ่นดินจะถูกพิจารณาคดีความได้ภายใน ศาลของกรมวังเท่านั้น และจะนำไปขายเป็นทาสไม่ได้ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ได้มีการสถาปนาเจ้านายให้ทรงกรมมีตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นตำแหน่ง 1.3 ขุนนาง และข้าราชการ ในสมัยอยุธยาขุนนางมีฐานะซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้กับผู้ที่ได้รับอำนาจต่างๆ ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ .2.ชนชั้นใต้การปกครอง แบ่งออกเป็น – ไพร่ส่วย ไพร่ที่ส่งเงินหรือสิ่งของมาแทนตัวของไพร่แทนการทำงานเพื่อชดเชย อาจเนื่องจากอยู่ไกลจากเมืองหลวง เข้ามารับราชการไม่สะดวก ตั้งแต่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีการส่งเงินมาแทนแรงงานมากขึ้น เงินที่ส่งมานี่เรียกว่า เงินค่าราชการ เก็บในอัตราเดือนละ 2 บาท หรือปีละ 12 บาท – ไพร่สม ไพร่ที่ขึ้นต่อขุนนางและข้าราชการต่างๆ เพื่อทำงานรับใช้โดยตรง ไพร่นี้จะตกเป็นของมูลนายนั้นจนกว่ามูลนายจะถึงแก่กรรม ไพร่สมจะถูกโอนมาเป็นไพร่หลวง แต่บุตรของมูลนายเดิมมีสิทธิยื่นคำร้องของควบคุมไพร่สมนี้ต่อจากบิดาก็ได้ สิทธิทั่วไปของไพร่ เช่น ไพร่จะอยู่ภายใต้สังกัดของมูลนายคนใดคนหนึ่ง ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไพร่ไม่สามารถย้ายสังกัดได้นอกจากมูลนายของตนจะยินยอม ที่ดินของไพร่สามารถสืบทอดไปยังรุ่นต่อไป แต่ถูกจำกัดสิทธิในการย้ายที่อยู่ และต้องขึ้นทะเบียนตามภูมิลำเนาของตน เป็นต้น หลังจากที่เข้าเวรทำงานครบ 6 เดือนแล้ว สามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวเพื่อประกอบอาชีพในครอบครัวได้อิสระ เว้นแต่ในยามสงคราม 2.2 ทาส เป็นบุคคลชนชั้นต่ำที่สุดในสังคม ไม่มีกรรมสิทธิในแรงงานและชีวิตของตนเอง ทำงานให้แก่นายเงินของตนเท่านั้น ทาสแบ่งตามกฏหมายได้ 7 ชนิด คือ – ทาสสินไถ่ เป็นไพร่ที่ยากจน ขายตนเองหรือถูกผู้อื่นขายให้แก่นายเงิน ต้องทำงานเพื่อหาเงินมาไถ่ค่าตัวจึงหลุดจากความเป็นทาสได้ – ทาสในเรือนเบี้ย คือลูกของทาสที่เกิดจากบิดามารดาที่เป็นทาส ทำให้ตกเป็นของนายเงินไปโดยปริยาย และไม่สามารถไถ่ตนเองให้เป็นอิสระได้ – ทาสที่ได้มาด้วยการรับมรดก ทาสถือว่าเป็นทรัพย์สิน สามารถสืบทอดเป็นมรดกได้ – ทาสที่มีผู้ใหญ่ เนื่องจากทาสเป็นทรัพย์สิน จึงสามารถยกให้แก่กันได้ – ทาสที่ช่วยไว้จากทัณฑโทษ ผู้ที่ต้องโทษทางอาญาแต่ไม่มีเงินจ่าย แล้วมีผู้นำเงินมาจ่ายค่าปรับให้แทนผู้นั้นแล้วให้ไปทำงาน ผู้นั้นจึงต้องไปเป็นทาส – ทาสที่ช่วยจากทุพภิกขภัย หากเกิดภัยจากธรรมชาติต่างๆ เช่น วาตภัย หรืออุทกภัย พวกไพร่ที่ได้รับความเดือดร้อนแล้วมาขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้านาย ก็จะต้องขายตัวมาเป็นทาสเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ได้ต่อไป – ทาสเชลย คือเชลยที่ได้มาจากการไปทำการรบในศึกต่างๆ เมื่อจับได้ก็ให้เป็นทาสรับใช้นายผู้นั้นไป ทาสนั้นต้องทำงานให้กับนายของตนเท่านั้น ไม่มีสิทธิมีอิสรภาพที่จะดำเนินชีวิตได้ตามลำพัง เมื่อทาสกระทำความผิด นายจะสามารถลงโทษทาสอย่างไรก็ได้ แต่ต้องไม่ให้ถึงแก่ความตาย ถ้าหากทาสตาย นายเงินจะมีความผิดฐานฆ่าคนตาย ทาสเปรียบเสมือนเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่ง จะนำไปแลกเปลี่ยน ซื้อขาย หรือตกทอดเป็นมรดก แต่ผู้ที่ไม่สามารถดำรงชีวิตหรือ ประกอบอาชีพตามปกติได้ก็มักจะขายตัวมาเป็นทาส เพราะมีความสุขสบายกว่าการเป็นขอทาน ” แม้ว่าทาสจะเป็นบุคคลชนชั้นต่ำสุด ไม่มีอิสรภาพ แต่ยังเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้บ้าง มีศักดินา 5 ไร่ สามารถทำมรดกหรือสัญญา และมีสิทธิไถ่ถอนตัวเองได้หากมีเงินมาไถ่ถอน เว้นเพียงทาสเชลยเท่านั้นที่ไม่มีโอกาสเป็นอิสระ” ศักดินาของการแบ่งชนชั้น ชนชั้นของบุคคลแต่ละกลุ่มนอกจากจะถูกแบ่งตามบทบาทในสังคมที่ได้รับแล้ว ก็ได้มีศักดินาเป็นของตนเองที่เป็น เครื่องแบ่งชนชั้นของบุคคลด้วย ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้มีการแบ่งศักดินาเป็นดังนี้ – พระมหาอุปราช 100,000 ไร่ แต่การจัดระบบศักดินานี้ไม่ได้หมายความว่าจำเป็นจะต้องมีที่ดินทั้งหมด เป็นเพียงสิทธิที่จะมีที่ดินจำนวนเท่าที่กำหนดไว้เท่านั้น ส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ได้กำหนดศักดินาไว้ เนื่องจากถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของที่ดินทั้งราชอาณาจักรอยู่แล้ว พระสงฆ์ ไม่ได้จัดให้อยู่ในฐานะใด เนื่องจากพระสงฆ์เป็นบุคคลที่มีหน้าที่สืบทอดพระพุทธศาสนา เป็นที่รวมของบุคคลชนชั้นต่างๆ และได้รับความเคารพนับถือจากบุคคลทุกชนชั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการปกครองบ้านเมืองโดยตรง แต่จะให้ความรู้ด้านวิชาการและจริยธรรมแก่บุตรทุกคน ทุกชนชั้น โดยจะมีวัดเป็นศูนย์กลางเพื่อให้เป็นที่พึ่งของประชาชนของชุมชน คอยให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ชักชวนประชาชนให้ร่วมกันบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม จัดว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสงเคราะห์ ช่วยเหลือประชาชนนอกจากนี้การบวชจัดเป็นวิธีเลื่อนชั้นในสังคมวิธีหนึ่ง ผู้ได้บวชเรียนแล้วจะได้มีติดต่อใกล้ชิดกับคนหลายชนชั้น และหลังจากสละสมณเพศออกมาก็มีโอกาสเข้ารับราชการ ทำให้ได้รับความก้าวหน้าในชีวิตมากกว่าเดิม การศึกษา ในสมัยอยุธยา การศึกษาถูกจำกัดอยู่ในวงจำกัด ไม่ได้มีมากเหมือนในปัจจุบัน เป็นการศึกษาแบบไม่บังคับผู้สอนมักสงวนวิชาไว้แค่ในวงศ์ตระกูลของตนหรือ หลังจากที่มีชาวตะวันตกเข้ามาติดต่อกับไทย ก็ได้นำหมอสอนศาสนาหรือมิชชันนารีมาด้วย นอกจากจะเผยแผ่ศาสนาคริสต์ของชาวตะวันตกนั้นแล้ว ก็ได้ให้การศึกษากับชาวไทย โดยจัดตั้งโรงเรียนเพื่อให้วิชาการ วิทยาการต่างๆ แก่เด็กไทยได้มีความรู้ทัดเทียมกัน หรือบางครั้งก็มีการส่งนักเรียนไทยไปเรียนยังต่างประเทศ เพื่อนำความรู้กลับมาพัฒนาบ้านเมืองต่อไป อ้างอิง http://vichakarn.triamudom.ac.th/comtech/studentproject/soc/ayuttaya1/content08.htm |