ล.1: โทรทัศน์เบื้องต้น -- หลักการทำงานของเครื่องรับโทรทัศน์ขาวดำ -- ระบบสายอากาศโทรทัศน์ -- จูนเนอร์เครื่องรับโทรทัศน์ -- วงจรขยายสัญญาณไอเอฟภาพรวม -- วงจรดีเทกเตอร์สัญญาณภาพ -- วงจรขยายสัญญาณภาพ -- วงจรหลอดภาพ -- วรจรเอจีซี -- วงจรแยกสัญญาณซิงก์ -- วงจรหักแหทางแนวตั้ง -- วงจรหักเหทางแนวนอน -- ระบบเสียงของเครื่องรับโทรทัศน์ -- วงจรจ่ายกำลังไฟฟ้าของเครื่องรับโทรทัศน์ -- เครื่องมือและการปรับแต่งเครื่องรับโทรทัศน์ -- หลักการซ่อมเครื่องรับโทรทัศน์ -- ตัวอย่างการซ่อมเครื่องรับโทรทัศน์ -- ล.2: สีแสงที่ใช้ในเครื่องรับโทรทัศน์ -- สัญญาณและการส่งโทรทัศน์สี -- มาตรฐานและระบบโทรทัศน์สี -- กระบวนการดิจิตอล -- ระบบไมโครคอมพิวเตอร์ในเครื่องรับโทรทัศน์ -- บล็อกไดอะแกรมและการทำงานของเครื่องรับโทรทัศน์สี -- หลอดภาพสีและการควบคุมลำอิเล็กตรอน -- การเตรียมสัญญาณภาพสี RGB -- การขยายสัญญาณภาพสี RGB และการขับหลอดภาพ -- วงจรเครื่องรับโทรทัศน์สีแบบรวมระบบ PAL/NTSC/SECAN -- มาตรฐานระบบโทรทัศน์และความถี่ หน้าจอ LED (Light Emitting Diode)ใช้ระบบการฉายภาพด้วยหลอดไฟขนาดเล็ก ซึ่งได้มีการนำเทคโนโลยีของหลอดไฟ LED ไปใช้กับการทำเป็นไฟท้ายรถของรถยนต์ชื่อดังอย่าง Honda อีกด้วย โดยต้นกำเนิดของการใช้การฉายภาพแบบนี้ก็คือ หลอด LED จะทำหน้าที่เป็นตัวกำเนิดแสง และมีผลึกคริสตัลที่เป็นของแข็งกึ่งเหลว 3 สีคือสีแดง น้ำเงินและเขียว คอยบิดตัวกันเป็นองศาและเพื่อให้แสงไฟจากหลอด LED ส่องผ่านมาเพื่อทำให้ฉายออกไปเป็นภาพสีสันที่สวยงามบนหน้าจอได้นั่นเอง เทคโนโลยีจอแสดงผล LED Screen จอ LED เป็นระบบจอแสดงภาพขนาดใหญ่โดยใช้หลักการทำงานของการผสมสีของ LED หลัก3 สี ได้แก่ สีแดง (Red), สีเขียว(Green) และสีน้ำเงิน (Blue) หรือเรียกสั้นๆว่าRGB ให้เกิดเป็นสีต่างๆโดยความละเอียดในการปรับสีของLED แต่ละสีจะถูกควบคุมด้วยสายสัญญาณที่มีขนาดตั้งแต่16 บิตขึ้นไปดังนั้นยิ่งควบคุมด้วยจำนวนสายสัญญาณมากขึ้นก็จะได้ภาพที่มีความลึกของสี (Processing depth) มากขึ้นจึงได้ภาพที่สมจริงยิ่งขึ้น หลักการผสมสีแบบFull Color ส่วนประกอบของหลอด LED 7.หลักการทำงานของวงจรภาครับของโทรทัศน์เเละวงจรที่เกี่ยวข้อง การทำงานของ โทรทัศน์ นั้น จะเริ่มต้นเมื่อคลื่นของภาพและเสียงที่ออกมาจากแหล่งกำเนิด (เช่น สถานีโทรทัศน์) มาสู่เสาอากาศที่บ้าน ซึ่งเป็นตัวรับสัญญาณคลื่น สัญญาณคลื่นก็จะส่งข้อมูลมาตามสายเข้าสู่ตัวรับสัญญาณภายในโทรทัศน์นั้น จากนั้นตัวรับสัญญาณจะแยกคลื่นภาพกับคลื่นเสียงออกจากกัน โดยคลื่นภาพจะส่งไปยังหลอดภาพเพื่อเปลี่ยนสัญญาณคลื่นเป็นสัญญาณไฟฟ้า การเปลี่ยนสัญญาณคลื่นเป็นสัญญาณไฟฟ้า ที่ขั้วของหลอดภาพ ก่อให้เกิดลำอิเล็กตรอน วิ่งจากขั้วหนึ่งไปอีกขั้นหนึ่ง เมื่อลำอิเลกตรอนวิ่งไปกระทบ จอภาพที่ด้านในเคลือบสารชนิดหนึ่งจึงเกิดเป็นดภาพ โดยการถ่ายเทพลังงานในลักษณะนิ่ง เรียกกันว่า การวาดภาพ โดยการวาดนั้นนจะกวาดเป็นเส้น ตามทางแนวนอน จำนวน 542 เส้น หรือแบบ 625 เส้น ก่อให้เกิดรูปภาพออกมาทางด้านหน้าของจอภาพ จึงสรุปได้ว่าภาพที่เราเห็นทางโทรทัศน์นั้นก็คือการเรืองแสงของสารเคลือบจอภาพ จากการตกกระทบของอิเลคตรอนนั่นเอง 8.หลักการทำงานวงจรภาคสัญญาณ เสียง(Audio)ในโทรทัศน์เเละวงจรที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างวงจรขยายกำลังสัญญาณ ตัวขยายสัญญาณ หรือ วงจรขยายสัญญาณ(อังกฤษ: Electronic Amplifier or Amplifier) หรือเรียกสั้นๆว่า Amp เป็นอุปกรณ์หรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยเพิ่มขนาดหรือกำลังของสัญญาณ โดยการใช้พลังงานจากแหล่งจ่ายไฟและการควบคุมสัญญาณเอาต์พุทให้มีรูปร่างเหมือนสัญญาณอินพุท แต่มีขนาดใหญ่กว่า ในความหมายนี้ ตัวขยายสัญญาณทำการกล้ำสัญญาณ (อังกฤษ: modulate) เอาต์พุทของแหล่งจ่ายไฟ ตัวขยายอิเล็กทรอนิกส์มี 4 ประเภทพื้นฐานได้แก่ ตัวขยายแรงดัน, ตัวขยายกระแส, ตัวขยาย transconductance และตัวขยาย transresistance ความแตกต่างอยู่ที่สัญญาณเอาต์พุตจะแทนความหมายของสัญญาณอินพุทแบบเชิงเส้นหรือแบบเอ็กซ์โปเนนเชียล ตัวขยายสัญญาณยังสามารถถูกแยกประเภทโดยการแทนที่ทางกายภาพในขบวนของสัญญาณด้วย[1] ในบทความนี้ ตัวขยายสัญญาณหมายถึงอุปกรณ์เช่นทรานซิสเตอร์, หลอดสูญญากาศ ฯลฯ วงจรขยายสัญญาณหมายถึงอุปกรณ์ขยายสัญญาณหรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆที่ขยายสัญญาณ 9.หลักการทำงานวงจรภาคสัญญาณสี(Chrominance Signal)ในโทรทัศน์และวงจรที่เกี่ยวข้อง หลักการส่งและรับสัญญาณโทรทัศน์การส่งโทรทัศน์ขาว-ดำ จะดำเนินการส่งสัญญาณด้านภาพ และสัญญาณด้านเสียงออกอากาศขั้นตอนที่สำคัญ คือด้านสัญญาณภาพจะนำสัญญาณทางไฟฟ้าของภาพมารวมกับคลื่นพาหะ หรือแคร์เรีย เรียกว่า วิดีโอ แคร์เรีย (Vidio Carrier) คลื่นนี้สามารถออกอากาศได้ด้านสัญญาณเสียงจะนำสัญญาณไฟฟ้ามารวมกับคลื่นพาหะ หรือ แคร์เรย เรียกว่า ซาวด์ แคร์เรีย (Sound Carrier) คลื่นนี้สามารถออกอากาศได้หลักการเครื่องส่งโทรทัศน์เบื้องต้นด้านสัญญาณภาพกล้องถ่ายภาพ เรียกว่า แคมเม่อร่า ทิ้ว (Camera Tube) จะดำเนินการถ่ายภาพต่างๆ เช่น คน , วิว หรือวัตถุต่างๆ กล้องถ่ายจะเปลี่ยนจากภาพต่างๆ มาเป็นสัญญาณทางไฟฟ้าของภาพ เรียกว่า วิดีโอ ซิกแนล (Vidio Signal) แล้วจะนำเอา วิดีโอ ซิกแนล ไปขยายให้มีกำลังสูงขึ้นในภาควิดีโอ แอมป์ (Vidio Amp)เครื่องรับโทรทัศน์สัญญาณภาพเรียกว่า วิดีโอแคร์รีย (Vidio Carrier) และสัญญาณเสียงเรียกว่า ซาวด์แคร์เรีย (Sound Carrier) ของแต่ละสถานีส่งโทรทัศน์จะเข้าภาคจูนเนอร์ (Tuner) ภาคจูนเนอร์จะเลือกรับสถานีที่ต้องการสัญญาณด้านเสียงสัญญาณด้านเสียงจะเข้าภาค ซาวด์ดีเทคเตอร์ (Sound Detector) การดีเทคเตอร์จะเป็นแบบ เอฟ เอ็ม ดีเทคเตอร์ (FM Detector) วิธีการดีเทคเตอร์คือการตัดหรือบายพาส (By Pass) แคร์เรีย ลงกราวด์ ดังนั้นสัญญาณด้านเสียงขณะนี้จะเหลือ ซาวด์ซิกแนล (Sound Signal) หรือสัญญาณทางไฟฟ้าของสียง ออดิโอแอมป์ (Audio Amp) จะเป็นภาคขยายเสียง โดยการนำเอา ซาวด์ซิกแนล มาทำการขยายกำลังฬห้สูงขึ้น เพียงพอต่อความต้องการ แล้วส่งซาวด์ซิกแนล ที่ถูกขยายแล้วต่อไปยังลำโพงสัญญาณด้านภาพสัญญาณด้านภาพจะเข้าสู่ วิดีโอดีเทคเตอร์ (Vidio Deyector) การดีเทคเตอร์จะเป็นแบบ เอ เอ็ม ดีเทคเตอร์ (AM Detector) วิธีการดีเทคเตอร์คือการตัดหรือบายพาส (By Pass) แคร์เรียลงกราวด์ ดังนั้นสัญญาณด้านภาพขณะนี้จะเหลือ วิดีโอซิกแนล (Vidio Signal) หรือสัญญาณทางไฟฟ้าของภาพความรู้เกี่ยวกับโทรทัศน์สีการที่คนเราสามารถมองเห็นสีสันต่างๆ ย่อมจะมีความเป็นธรรมชาติ หลังจากที่การคิดค้นเครื่องส่งโทรทัศน์ขาว-ดำ เป็นผลสำเร็จ ก็มีการค้นคว้าพัฒนาเพื่อให้สามารถส่งโทรทัศน์สี โทรทัศน์สีมีองค์ประกอบ มีขั้นตอนต่างๆ ที่สลับซับซ้อนมากมาย แต่มนุษย์เราก็ประสบความสำเร็จในที่สุดสามารถสร้างเคริ่องส่งโทรทัศน์สี ประเทศไทยเริ่มมีกิจการโทรทัศน์สีตั้งแต่ปี 2510 และในปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆ ถูกพัฒนาจนถึงยุคไมโครคอมพิวเตอร์ย่านความถี่แสงและความยาวคลื่นสีสันต่างๆ ที่เกิดจากการที่มนุษย์สร้างขึ้นหรือเกิดจากธรรมชาติ จะมีทั้งสีมองเห็นและสีที่มองไม่เห็น คลื่นแสงที่สามารถมองเห็นจะอยู่ระหว่างรังสีอินฟาเรด (Infraed) กับรังสีอุลตร้าไวโอเลต (Ultraviolet) ส่วนที่นอกเหนือจากนี้จะมองไม่เห็นสี สีสันทั้งหลายต่างมีพลังแม่เหล็กไฟฟ้า คือ มีความยาวคลื่นและความถี่ของแต่ละสีจะไม่เท่ากัน-สีม่วง (Violet) มีความยาวคลื่นประมาณ 400-450 มิลลิไมครอนหรือนาโนเมตร-สีน้ำเงิน (Blue) มีความยาวคลื่นประมาณ 450-500 มิลลิไมครอนหรือนาโนเมตร-สีเขียว (Green) มีความยาวคลื่นประมาณ 500-570 มิลลิไมครอนหรือนาโนเมตร-สีเหลือง (Yellow) มีความยาวคลื่นประมาณ 570-590 มิลลิไมครอนหรือนาโนเมตร-สีส้ม (Orange) มีความยาวคลื่นประมาณ 590-610 มิลลิไมครอนหรือนาโนเมตร-สีแดง (Red) มีความยาวคลื่นประมาณ 610-700 มิลลิไมครอนหรือนาโนเมตรหลักการผสมสีหลักการผสมสี คือ การนำเอาแม่สี (Primary Color) 3 มาสีผสมเข้าด้วยกันจะก่อให้เกิดสีสันต่างๆ มากมาย หลักการผสมสี จะมี 2 ลักษณะ คือ แบบแอ็ดดิทีฟ (Additive) และแบบซับแทรกทีฟ (Subtractive)1. การผสมแบบ แอ็ดดิทีฟ (Additive) การผสมในลักษณะนี้จะนำเอาแม่สี 3 แม่สี คือ แดง , เขียว และน้ำเงิน เมื่อนำมาผสมกันเข้าจะได้สีที่เจือจางกว่าเดิม การผสมแบบแอ็ดดิทีฟ จะนำมาใช้ในกิจการโทรทัศน์2. การผสมแบบซับแทรกทีฟ (Subtractive)การผสมแบบซับแทรกทีฟ จะมีมีสี 3 แม่สี มาผสมกันได้แก่-1.แดง-2.น้ำเงิน-3.เหลืองการผสมแบบนี้จะให้สีเข้มข้นกว่าเดิม จะเป็นการผสมใช้ในงานวาดเขียนหรือการพิมพ์แดง+เหลือง = แดง , เหลืองแดง+น้ำเงิน = สีม่วงเหลือง+น้ำเงิน = เขียว แดง+เหลือง+น้ำเงิน = ดำสัดส่วนการผสมแสงสีในวิธีการของโทรทัศน์ สัญญาณส่งสว่าง เรียกว่า สัญญาณลูมิแนนซ์ (Luminance) หรือสัญญาณ Y จะเป็นสัดส่วนที่ชี้บอกความส่องสว่างของสีนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นการผสมสีจากแม่สี ผลจากการทดลองเมื่อนำหลอดไฟ สีแดง , น้ำเงิน , สีเขียว ให้มีอัตราส่วนที่เหมาะสมจะห็นเป็นสีขาวได้จากสมการY = 0.3 R + 0.59 G + 0.11การสร้างสัญญาณสีจากภาพสีภาพที่ปรากฏอยู่ทั่วๆ ไป ที่เราสามารถมองเห็นเป็นภาพสี จะประกอบด้วยสีสันต่างๆมากมาย ส่วนที่จะเปลี่ยนสัญญาณภาพสีเป็นสัญญาณสีได้แก่ กล้องถ่ายโทรทัศน์สีและหลอดภาพสี จะสร้างสัญญาณสีไม่ครบ แต่จะสร้างขึ้นมาเพียง 3 เท่านั้นคือ แดง เขียว น้ำเงิน เครื่องส่งโทรทัศน์สีระบบ PALเครื่องส่งโทรทัศน์สีระบบ (PAL)จากการที่ได้ศึกษาเรื่องกล้องถ่ายภาพโทรทัศน์สี จะพบว่าได้มีสัญญาณทางไฟฟ้าจากกล้องถ่ายแต่ละกล้อง คือสัญญาณเอาต์จากกล้องสีแดง กล้องสีเขียว และกล้องสีน้ำเงิน ขั้นตองต่อไปจะนำสัญญาณทั้ง 3 มาเข้าวงจร เมตริกซ์ จะก่อให้เกิดสัญญาณ1. สัญญาณขาว-ดำ ลูมิแนนซ์ (Luminance) หรือ สัญญาณ Y2. สัญญาณสี โครมิแนนซ์ (Chrominance) ประกอบด้วย- สัญญาณ R-Y- สัญญาณ B-Yหลักการเครื่องรับโทรทัศน์สีเบื้องต้นหลักการเครื่องรับโทรทัศน์สีเบื้องต้น โดยพิจารณาเครื่องรับโทรทัศน์สีจะคล้ายกับเครื่องรับโทรทัศน์ขาว-ดำ จะแตกต่างเฉพาะเครื่องรับโทรทัศน์สีจะเพิ่มวงจรภาคสีหรือโครมิแนนซ์สัญญาณจากสถานีส่ง จะประกอบไปด้วยสัญญาณหลัก 2 สัญญาณ1. สัญญาณด้านเสียง2. สัญญาณด้านภาพ- สัญญาณด้านขาว-ดำ- สัญญาณด้านสี- สัญญาณซิงค์โครไนเซชันสัญญาณเข้ามาที่สายอากาศ จะเข้าสู่วงจรของเครื่องรับคือ จูนเนอร์ จูนเนอร์จะเลือกรับสถานีที่ต้องการ และดำเนินวิธีการของจูนเนอร์จะได้สัญญาณเอาต์พุต จูนเนอร์ คือ VIF และ SIF 10.หลักการทำงานวงจรภาคสัญญาณสีส่องสว่าง(Luminance Signal)ในโทรทัศน์และวงจรที่เกี่ยวข้อง ความรู้เกี่ยวกับโทรทัศน์สี 11.หลักการทำงานวงจรภาคสัญญาณซิงค์(Sync)ในโทรทัศน์และวงจรที่เกี่ยวข้อง สัญญาณซิงค์ คือ สัญญาณที่ส่งจากเครื่องส่วไปยังเครื่องรับ เพื่อให้เครื่องรับเขียนภาพในจังหวะเดียวกันกับเครื่องส่งสัญญาณที่มี 2 ชนิดคือ ซิงค์ในแนวตั้ง และในแนวนอน
12.หลักการทำงานวงจรภาคควบคุมการสแกน(Deflection)ในโทรทัศน์และวงจรที่เกี่ยวข้อง ้หลอดรังสีแคโทด สโคปเป็นเครื่องมือวัดทาง อิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญอีกชนิดหนี่งที่ใช้ในการวัดแสดงรูปคลื่นสัญญาณต่างๆ ออกมาเป็นภาพ ปรากฎบนจอหลอดภาพให้เห็นได้ เช่น การวัดสัญญาณกระแสไฟฟ้าหรือแรงดันไฟฟ้า(ที่เป็นไฟ AC หรือ DC) การวัดความถี่ของ สัญญาณ การวัดเฟสของสัญญาณ และรวมถึงการวัดสัญญาณพัลส์การอ่านค่าแอมพลิจูดของสัญญาณจะเป็น พีค-ทู-พีค หรือค่าพีคและค่าเวลาเป็นวินาที หลักการทำงานของออสซิลโลสโคป ออสซิสโลสโคปจะใช้หลักการบังคับการบ่ายเบนของลำอิเล็กตรอนภายในหลอดภาพรังสีแคโทด (Cathode ray tube ; CRT) หน้าที่หลักของออสซิลโลสโคป คือ 1. รับสัญญาณ
1. ใช้วัดแรงดันไฟฟ้าตรง (DC) วัดแรงดันไฟฟ้าสลับ (AC) และกระแสไฟฟ้าของสัญญาณ
แผนภาพบล็อกของออสซิลโลสโคป (Oscilloscope block diagram) ทั่วไป (แบบ 1 ลำแสง) มีส่วนประกอบดังนี้ ส่วนประกอบแผนภาพของบล็อกของออสซิสโลสโคป คือ 1. Cathode ray tube, or CRT2. Vecital amplifier 3. Delay line 4. Time base generator 5. Horizontal amplifier 6. Trigger circuit 7. Power supply อธิบายแผนภาพบล็อก 1. หลอดรังสีแคโทดหรือเรียกสั้นๆ ว่า "CRT" ถือว่าเป็นหัวใจของออสซิลโลสโคป ด้านในหลอดภาพฉาบด้วยสารเรืองแสง เมื่ออิเล็กตรอนวิ่งกระทบจุดใดจุดนั้นจะเรืองแสงขึ้นจึงเกิดเป็นภาพให้เห็น หลักการเกิดภาพบนจอออสซิสโลสโคป การเกิดรูปสัญญาณที่จอออสซิลโลสโคป (หลอด CRT) อาศัยหลักการทำงานของ 2 ภาคใหญ่ๆ คือ
ส่วนประกอบภายในหลอด CRT แบ่งได้เป็น 4 ส่วน คือ 4. ตัวหลอดแก้วและขั้วหลอด (Glass envelope and bade of the tube) ประเภทของหลอด CRT ถ้าแบ่งตามจำนวนของลำแสงอิเล็กตรอนภายในหลอดจะแบ่งออกเป็น 1.1 ลำแสงเดียว (Single-beam)2.2 ลำแสงคู่ (Dual-beam) 3.3 หลายลำแสง (Multi-beam) สายโพรบกับออสซิลโลสโคป โพรบ (Probe) 13.หลักการทำงานวงจรภาคสัญญาณภาพ(Video Amp)ในโทรทัศน์และวงจรที่เกี่ยวข้อง
14.หลักการทำงานวงจรภาคเมทริกซ์(Matrix)ในโทรทัศน์และวงจรที่เกี่ยวข้อง รหัสสีเขียวของเมทริกซ์ สัญลักษณ์ที่ปรากฏในเมทริกซ์ทุกๆภาค โลกของเมทริกซ์ (อังกฤษ: The Matrix Universe) คือชุดเรื่องราวทั้งหมดที่ต่อยอดมาจากภาพยนตร์แนวไซไฟเรื่อง The Matrix (เดอะ เมทริกซ์ เพาะพันธุ์มนุษย์เหนือโลก 2199) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสงครามระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรในโลกอนาคต สร้างสรรค์และกำกับโดยพี่น้องวาชอว์สกี้(Andi Wachowski และ Larry Wachowski) โดยการร่วมงานสร้างกับวอร์เนอร์สบราเธอร์ส(Warner Bros.) และ Village Roadshow Pictures ออกฉายครั้งแรกในปี 1999 15.หลักการทำงานวงจรภาคจ่ายไฟฟ้า(Power Supply)ในโทรทัศน์และวงจรที่เกี่ยวข้อง รูปแสดงแหล่งจ่ายไฟแบบหลอดสูญญากาศ แขวนบนแร็ค ปรับได้ ทำงานที่ +/- 1500 volts DC, 0 to 100mA output, สามารถจำกัดกระแสได้ แหล่งจ่ายไฟ (อังกฤษ: Power supply)เป็นอุปกรณ์ที่จ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับโหลดไฟฟ้า. เป็นคำที่ใช้กันมากที่สุด ในการแปลงพลังงานไฟฟ้าจากรูปแบบหนึ่ง ไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง แม้ว่ามันจะยังอาจหมายถึง อุปกรณ์ที่แปลงพลังงานรูปแบบหนึ่ง (เช่นพลังงานกล, พลังงานเคมี, พลังงานแสงอาทิตย์) ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า. แหล่งจ่ายไฟแบบควบคุมได้(อังกฤษ: regulated power supply)สามารถควบคุม แรงดันหรือกระแสเอาต์พุตให้มีค่าที่คงที่แน่นอน แม้ว่าโหลดจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีการเปลี่ยนแปลงที่พลังงานที่อินพุทก็ตาม แหล่งจ่ายไฟทุกตัวต้องได้รับพลังงานจากแหล่งพลังงานภายนอกเพื่อจ่ายให้โหลดและการบริโภคพลังงานของตัวมันเองในขณะที่ปฏิบัติงาน แหล่งพลังงานภายนอกจะขึ้นอยู่กับการออกแบบ. แหล่งจ่ายไฟอาจจะได้รับพลังงาน จาก: แหล่งจ่ายไฟอาจถูกนำมาใช้แบบแยกส่วน หรือเป็นอุปกรณ์ส่วนหนึ่งของโหลด เช่นแหล่งจ่ายไฟในคอมพิวเตอร์เดสก์ทอป และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปสำหรับผู้บริโภค คุณลักษณะเฉพาะที่ระบุไว้บนแหล่งจ่ายไฟ ได้แก่:
16.การใช้เครื่องมือวัดทดสอบมาตรฐานสัญญาณโทรทัศน์ เครื่องทดสอบกล้องวงจรปิด IPC CCTV จอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว สำหรับงานติดตั้งและซ่อมบำรุงกล้องแบบ IP analog, กล้อง HD coaxial และอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยอื่นๆ ด้วยความละเอียดหน้าจอ 1920x1200 จึงสามารถแสดงภาพจากกล้อง HD และกล้องอะนาล็อกที่ความละเอียดสูงเครื่องวัดและทดสอบในงานติดตั้งและงานซ่อมบำรุงระบบกล้องทีวีวงจรปิด ขนาดเล็กเท่ามือถือ มีจอมอนิเตอร์สีในตัว บันทึกคลิปวิดีโอได้ ทำงานด้วยแบตเตอรี่ สะดวกในการใช้งานภาคสนาม เป็นอุปกรณ์ Encoder DVB H.264 สามารถแปลง TS ไป TS MPEG-2 HD, MPEG-2 SD รองรับ Full HD 1080i สามารถรับอินพุท HD-SDI, HDMI, YPbPr/RGBPromax Ranger Neo Lite เป็นเครื่องวัดรุ่นใหม่ ที่มีความสามารถในการตรวจวิเคราะห์สัญญาณโทรทัศน์ดิจิตอล หรือทีวีดาวเทียม และตรวจวัดสัญญาณ WiFi ได้ด้วย รองรับ DVB – T2 / S2 / C2 จอสัมผัส Touch Screen + ปุ่มควบคุมการทำงาน สเปคตรัมความละเอียดสูง Sweep Rate 70 ms รองรับ HEVC H.265 demodulationมีฟังก์ชันที่จัดเต็มมาสอดคล้องกับเทคโนโลยี สัญญาณภาพที่มีการบีบอัดข้อมูลมาตรฐาน HEVC H.265 และการวิเคราะห์สัญญาณ T2 – MI Packet Analysis, IPTV TESTING นอกจากนั้น ความสามารถทางด้านสเปคตรัม ที่มีความเร็วในการ Sweep สูงขึ้น หน่วยความจำภายในมากขึ้นถึง 7GB สามารถบันทึก Transport stream ได้มากขึ้นเครื่องวัดและวิเคราะห์สัญญาณทีวีดิจิตอล DVB-T/T2, DVB-C/C2, DVB-S/S2 แสดงผลการวัดหลายหน้าจอพร้อมกัน โดยยังคงสมรรถนะยอดเยี่ยมและความเร็วสูง ตามแบบฉบับ HD RANGER เหมือนเดิม เครื่องวัดความแรงสัญญาณแบบมือถือ สำหรับตรวจวัดสัญญาณโทรทัศน์ดิจิตอล DVB-T2 สะดวก ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับงานติดตั้งสายอากาศ ซ่อมบำรุงสายสัญญาณในอาคาร หรือตาม outlet ต่างๆ เป็นเครื่องมือวัดช่วยในการติดตั้ง และปรับจานรับสัญญาณดาวเทียม ในระบบ KU BAND และ C BAND ใช้งานง่าย มีฟังก์ชั่นแสดง Spectrum ของสัญญาณ เพื่อช่วยในการปรับแต่งให้ได้สัญญาณถูกต้อง ทั้ง Cross Polarization Hor/Ver เป็นอุปกรณ์บันทึก MPEG-2 Transport Stream เหมาะสำหรับงานทดสอบระบบ Broadcast DTV หรือทดสอบ DVB สามารถบันทึกได้ต่อเนื่อง 15 ชั่วโมง ใช้ในการทดสอบสาย Coaxial เคเบิลสำหรับงานเคเบิลทีวีและ SMATV สามารถโปรแกรมความถี่ Pilot ได้ 4 ความถี่ ใช้ในการคำนวณค่า Loss, Slope, การปรับ Tilt Balance ร่วมกับเครื่องวัดสัญญาณ ความถี่สามารถตั้งค่าได้ 5 – 2150MHz 17.การปรับแต่งและตรวจซ่อมเครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องรับโทรทัศน์โดยทั่ว ๆ ไปจะประกอบด้วยภาคต่าง ๆ ที่สำคัญ 5 ภาค คือ 1. ภาครับและขยายสัญญาณภาพและสัญญาณเสียง (Tuner) มีหน้าที่รับและขยายสัญญาณภาพซึ่งส่งไปยังระบบเอเอ็ม และสัญญาณเสียงซึ่งส่งในระบบเอฟเอ็ม ทั้งสองคลื่นเข้ามาพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น การรับโทรทัศน์ช่อง 9 นั้นส่งสัญญาณภาพด้วยความถี่ 67.25 MC. (เมกะเฮิรตซ์) ส่งสัญญาณเสียงด้วยความถี่ 71.75 MC. (เมกะเฮิรตซ์) ระบบการส่งโทรทัศน์เพื่อการศึกษาและโทรทัศน์เพื่อการสอน การส่งโทรทัศน์เพื่อการศึกษาและโทรทัศน์เพื่อการสอนแบ่งเป็นระบบต่าง ๆ ได้ดังนี้ 3.2 การใช้กล้องโทรทัศน์กล้องเดียวถ่ายทอดการสอนหรือเหตุการณ์ในที่นั้นส่งไปยังเครื่องรับโทรทัศน์หลายเครื่องที่ติดตั้งอยู่ในห้องเดียวกันหรือห้องอื่น ๆ ในอาคารเดียวกัน การถ่ายทอดนี้ใช้เมื่อเวลามีการสอนแก่ผู้เรียนจำนวนมาก ๆ 18.การบำรุงรักษาเครื่องรับโทรทัศน์แบบจอภาพ CRT 19.การบำรุงรักษาเครื่องรับโทรทัศน์แบบจอภาพ LCD หลีกเลี่ยงเวลานาน เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้งานอย่างต่อเนื่องของระยะเวลานั่นคือปล่อยให้ส่วนที่เหลือของทีวีเป็นเวลานานการใช้เวลานานจะทำให้ชิ้นส่วนภายในของทีวีมีอุณหภูมิสูงเผาส่วนภายในหรือเร่งอายุของชิ้นส่วนการอยู่ในหน้าจอเดียวกันเป็นเวลานานจะทำให้พิกเซลบางภาพมีความร้อนมากเกินไปและทำให้หน้าจอไม่มีภาพ ในการหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้อย่าพยายามกดปุ่มหยุดชั่วขณะขณะชม DV หรือวิดีโออื่น ๆ ให้แห้ง เก็บทีวีแห้งทำงานเป็นเวลานานจะทำให้อุณหภูมิสูงชิ้นส่วนความร้อนภายในความเสียหายความชื้นที่พบคือเห็นได้ชัดบางครอบครัวไม่ได้ใช้โทรทัศน์ แต่ยังควรจะเป็นไฟฟ้าทั้งหมดดูทีวีให้ชิ้นส่วนความร้อนได้ถึง ขับไล่ความชื้นภายใน กำจัดฝุ่น เนื่องจากพื้นผิวที่เป็นไฟฟ้าสถิตย์พื้นผิวหน้าจอ LCD จึงง่ายต่อการปนเปื้อนฝุ่น แต่น้ำสะอาดเป็นวิธีที่ไม่สะอาดในการทำความสะอาดประการแรกผลการทำความสะอาดเป็นเรื่องทั่วไปและง่ายต่อการทิ้งรอยน้ำ ที่สำคัญกว่าคริสตัลเหลวมีความอ่อนไหวต่อความเสียหายถาวรเนื่องจากความชื้น (หากน้ำลดลงซึมเข้าสู่หน้าจออย่าปล่อยให้กระแสไฟฟ้าระเหยออกเพื่อให้น้ำระเหยช้าๆในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น) ในความเป็นจริงผ้าทำความสะอาดผลึกเหลวและโซลูชั่นการทำความสะอาดมีอยู่ ผ้าทำความสะอาดมืออาชีพผลการทำความสะอาดจะดีกว่าเนื้อนุ่ม (ไม่คิดว่าสามารถแทนที่ด้วยผ้าแก้ว) ทำความสะอาดของเหลวยังทำให้ผลการทำความสะอาดเป็นเลิศมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนบนหน้าจอหรือใช้มืออาชีพได้เช่นกัน สะอาด ตามหลักการทางฟิสิกส์เมื่อทีวีทำงานพื้นผิวด้านนอกของหน้าจอสารเรืองแสงจะมีประจุและสร้างสนามไฟฟ้า สนามไฟฟ้านี้จะมีฝุ่นละอองอยู่ในอากาศภายใต้การกระทำจะถูกยึดกับพื้นผิวของหน้าจอเรืองแสงหลังจากผ่านไปเป็นระยะเวลานานทำให้เกิดการสะสมและส่งผลต่อการรับชมและแม้กระทั่งการเกิดจุดด่างดำ ดังนั้นการทำความสะอาดหน้าจอทีวีจึงกลายเป็นงานที่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ทีวี พื้นผิวด้านนอกของการทำความสะอาดหน้าจอเรืองแสงจะต้องดำเนินการในสภาพปิด ในเวลาเดียวกันไม่ได้ทำความสะอาดด้วยผ้าขนหนูขนผ้าไหมและวัตถุอื่น ๆ เพราะชนิดของสินค้าและผลิตภัณฑ์แก้วหลังจากแรงเสียดทานจะทำให้ค่าใช้จ่าย; ถ้าเราใช้ชนิดของสินค้านี้เพื่อทำความสะอาดหน้าจอไม่เพียง แต่ไม่กวาดทำความสะอาด แต่รายการดังกล่าวจะอยู่บนฝุ่นผ้าไหมและผ้าขนสัตว์ ฯลฯ ที่แนบมากับหน้าจอเรืองแสง ห้ามใช้สิ่งที่เรียกว่าตัวแทนการตกแต่งไฟฟ้าหรือผงซักฟอกอื่น ๆ และสิ่งอื่น ๆ เพื่อล้างหน้าจอเรืองแสง เนื่องจากพวกเขามีกรดมากหรือน้อยด่างการกัดกร่อนของผลิตภัณฑ์แก้วพื้นผิวหน้าจอเรืองแสงจะมีผลกระทบ อันที่จริงแล้ววิธีนี้เป็นวิธีที่ดีในการทำความสะอาดพื้นผิวของหน้าจอเรืองแสงด้วยกระดาษทำความสะอาดเลนส์กล้อง การใช้วิธีการของกระดาษเลนส์เทียมมีความคล้ายคลึงกับกระดาษทิชชูเลนส์ที่ไม่ใช้ความนุ่มนวลในการทำความสะอาดแผ่นทำให้เป็นพิเศษเนื้อเยื่อเบ็ดเตล็ดอาจทำให้เลนส์เกิดความเสียหายในทรายการเสริมแรงของกระดาษที่ทำจากกระดาษแข็งจะถูกลบออกอย่างสมบูรณ์ดังนั้นจึงใช้ทำความสะอาดพื้นผิวหน้าจอ เท่านั้นจะมีรอยขีดข่วนและผลการกำจัดฝุ่นดีไม่ผลิตไฟฟ้าสถิตย์จะไม่ปรากฏในสิ่งที่แนบมาเพื่อให้บรรลุสะอาดและป้องกันพื้นผิวหน้าไป เมื่อใช้กระดาษจากเลนส์ใช้เพื่อเช็ดพื้นผิวของหน้าจอเรืองแสงไปในทิศทางเดียวกันจากนั้นให้เพิ่มกระดาษที่มีความแข็งแรงเพียงเล็กน้อยเพื่อเช็ดพื้นผิวของหน้าจอเรืองแสงอย่างระมัดระวัง ควรสังเกตว่าเป็นครั้งแรกที่มีน้ำหนักเบาเพื่อไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนบนหน้าจอของสารเรืองแสง ด้วยวิธีนี้หน้าจอฝุ่นหลังจากฝุ่นกวาดและสว่างก่อนที่จะรู้สึกเลือน 20.การบำรุงรักษาเครื่องรับโทรทัศน์แบบจอภาพ plasma 1.อย่าตั้งเครื่องให้หลอดภาพโดนแดดหรือแสงสว่างถูกโดยตรง2.เครื่องรับโทรทัศน์จะมีช่องระบายอากาศอยู่ทางด้านหลัง ด้านข้างและด้านล่าง จึงไม่ควรให้สิ่งใดไปอุดตันช่องระบายเหล่านี้ 3.อย่างตั้งในที่ที่มีฝุ่นมาก เพราะฝุ่นจะเกาะติดบนหน้าจอภาพ ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน ควรทำความสะอาดหน้าจอภาพเป็นครั้งคราวด้วยผ้าชุบน้ำหมาด ๆ 4.อย่าตั้งไว้ใกล้กับตัวแผ่ความร้อน หรือแหล่งกำเนิดความร้อนใด ๆ เพราะหากเครื่องโดนความร้อนจัดจะทำให้เครื่องรับทำงานผิดปกติไป 5.โดยปกติอุปกรณ์ใช้ไฟฟ้าจะต้องติดตั้งห่างจากบริเวณชื้นแฉะ ฉะนั้นเครื่องรับโทรทัศน์ก็ไม่มีการยกเว้น และควรจะระลึกไว้เสมอด้วยว่าภายในเครื่องรับโทรทัศน์นี้เป็นตัวกำเนิดไฟฟ้าแรงสูงด้วย 6.ห้ามนำเอาวัตถุใด ๆ สอดใส่เข้าไปในภายในเครื่องทางช่องระบายอากาศ เช่น ตัวตุ๊กตา เศษกระดาษ ดินสอ หากเป็นไปได้ควรตั้งให้สูงพอที่เด็กจะเล่นไม่ถึง 7.ห้ามถอดแก้ฝาหลังของเครื่องออกเป็นอันขาด เพราะการถอดแก้ฝาหลังออกเป็นช่องเปิดให้เห็นชิ้นส่วนภายในของเครื่อง และถ้าผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ไปจับถูกต้องเข้าก็จะถูกไฟฟ้าดูดหรือไหม้ได้ 8.อย่าปล่อยให้เครื่องรับโทรทัศน์ของท่านไปกระทบกับวัตถุใด ๆ เป็นอันขาด โดยเฉพาะผิวหน้าหลอดจอ ควรต้องระวังเป็นกรณีพิเศษ 9.ในขณะที่ฟ้าแลบ หรือระหว่างฝนฟ้าคะนอง ถ้าจะให้ปลอดภัยควรจะต้องดึงปลั๊กไฟของเครื่องออกจากปลั๊กไฟบ้านและควรปลดสายอากาศออกด้วย เพื่อป้องกันเครื่องจะเสีย 10.ถ้าหากเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีเสียงหรือมีกลิ่นผิดปกติในขณะที่เปิดดูอยู่ก็ให้รีบปิดเครื่องพร้อมกับดึงปลั๊กออกก่อนที่ท่านจะแจ้งช่างบริการ หรือผู้แทนจำหน่ายให้ท่านมาแก้ไข 11.ในกรณีที่เครื่องรับไม่ทำงาน ถ้าหากว่าท่านได้พยายามทำทุกอย่างตาม “แนวทางตรวจเช็คเครื่องรับโทรทัศน์ด้วยตนเอง” ที่ได้บอกไว้ในคู่มือนี้แล้วยังไม่สามารถช่วยให้เครื่องรับใช้งานได้ก็ให้ปิดเครื่องรับ และโทรติดต่อผู้จำหน่วยให้ท่าน หรือช่างบริการทันที 12.การทำความสะอาด ห้ามใช้เบนซิน ทินเนอร์ หรือสารละลายเคมีภัณฑ์ใดมาเช็ดตู้เครื่องรับเป็นอันขาด ควรใช้ผ้านิ่มเช็ดก็เพียงพอ และควรจำไว้ด้วยว่า อย่าวางวัตถุที่เป็นยางหรือพลาสติกไว้บนตู้รับเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้มีรอยคราบรูปวัตถุนั้น ๆ ติดอยู่บนตู้รับ 13.ไฟฟ้าสถิตบนหน้าจอภาพ เมื่อท่านเอามือไปสัมผัสหน้าหลอดจะรู้สึกเหมือนว่ามีไฟฟ้าตกค้างอยู่ นี้เป็นสาเหตุเนื่องจากไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นที่หน้าหลอดจอ แต่ไฟฟ้าสถิตนี้ไม่ทำอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ มันเหมือนกับไฟฟ้าสถิตที่ท่านมีความรู้สึกในบางขณะที่ท่านถอดเสื้อ 14.ในวันที่ไปพักผ่อนนอกบ้าน เมื่อท่านไม่ได้ใช้เครื่องรับของท่านเป็นเวลานาน ในขณะที่ท่านออกไปพักผ่อนนอกบ้านหลายวันก็ควรถอดปลั๊กของเครื่องรับออกจากปลั๊กไฟบ้าน 21.การบำรุงรักษาเครื่องรับโทรทัศน์แบบจอภาพ LED 1.ไม่มีภาพไม่มีเสีย ให้ตรวจสอบดูว่า ได้เสียบปลั๊กไฟ และเปิดสวิทช์ของเครื่องรับหรือยัง2.มีเสียงแต่ไม่มีภาพ ให้กดปุ่มเลือกช่องอย่างระมัดระวัง พร้อมกับตรวจดูว่า ความสว่างความเข้ม ปรับไว้ถูกต้องหรือไม่ 3.การใช้เครื่องเล่นวีดีโอเทป เมื่อปรากฏสัญญาณ TEST ของสัญญาณ วีดีโอ เส้นของสัญญาณ TEST บิดงอบริเวณตอนล่าง นั่นไม่ใช่การเสียของเครื่องรับ และอาการนี้จะไม่มีผลเสียต่อการดูภาพจากเครื่องเล่นวีดีโอแต่อย่างใด 4.ภาพเป็นเงา (ภาพซ้อน) ให้เปลี่ยนทิศทาง หรือระดับความสูงหรือตำแหน่งของเสาอากาศ ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดจากสัญญาณทางภาคเครื่องส่งกระทบกับตัวตึกอาคารหรือภูเขา แล้วสะท้อนกลับมาเข้าเครื่องรับอีกระลอกหนึ่ง การปรับทิศทางระดับความสูงของเสาอากาศก็อาจจะช่วยให้การรับภาพให้ดีขึ้นได้บ้าง 5.ภาพเป็นหิมะ จะเห็นมีจุดเล็ก ๆ ปรากฏลายไปทั่วบนภาพ เมื่อมีอาการเช่นนี้ให้ตรวจดูการต่อสายของสายอากาศ หรือทิศทางของเสาอากาศ 6.มีเสียงหึ่ง แต่ไม่มีภาพ ให้กดปุ่มเลือกช่อง และให้ตรวจดูสายอากาศว่าต่อเข้ากับเครื่องหรือเปล่า 7.ภาพไม่มีสีทั้ง ๆ ที่รับสัญญาณสีอยู่ ให้หมุนปุ่มปรับความชัดเจนของภาพเล็กน้อย และปรับปุ่มปรับความเข้มของสี 8.มีสัญญาณรบกวน หรือแทรกปรากฏบนจอภาพ การจุดระเบิดของเครื่องยนต์ จะทำให้เกิดจุดขาว ๆ หรือเส้นทางด้านแนวนอนบนจอภาพ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการรบกวนของเครื่องยนต์ ไฟนีออน สว่านไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ภายในบ้าน ทางแก้ควรติดตั้งเสาอากาศให้ห่างจากแหล่งกำเนิดสิ่ง รบกวนเหล่านี้ 9.การรบกวนของเครื่องวิทยุ ผลของการรบกวนนี้จะทำให้เกิดมีการไหลเป็นระลอก ๆ ของเส้นหรือแถบเส้นทะแยงมุมสาเหตุนี้มิใช่เกิดจากการผิดปกติของเครื่องรับ แต่เกิดจากการรบกวนของสัญญาณภายนอก หรือเครื่องจักรที่ใช้ความถี่ของวิทยุรบกวน 22.การประเมินราคาค่าบริการซ่อมบำรุงโทรทัศน์ในเบื้องต้น ทีวี แอลซีดี 19" - 39"700.-ทีวี แอลซีดี 40"900.-ทีวี แอลซีดี 41" - 45"1,100.-ทีวี แอลซีดี 46" - 49"1,300.-ทีวี แอลซีดี 50" - 55"1,500.-ทีวี แอลซีดี 56" ขึ้นไป1,800.-ทีวีจอแก้ว 14" - 20"400.-ทีวีจอแก้ว 21"- 24"500.-ทีวีจอแก้ว 25" - 28"600.-ทีวจอแก้ว 29" - 33"700.-ทีวีจอแก้ว 34" ขึ้นไป800.-โปรเจคชั่นทีวี1,200.- |