ฝากครรภ์ โรงพยาบาลรัฐ 2565

อยากทราบค่าคลอดบุตร รพ.รัฐ ค่ะ

กระทู้คำถาม

คลอดธรรมชาติ สังคมคุณแม่ ฝากครรภ์ ตั้งครรภ์ Single Mom

ตอนนี้ฝากครรภ์ที่ รพ.เกษมราษฎร์ ประชาชื่นค่ะ (ฝากฟรี) แต่เห็นค่าคลอดแล้วแพงมากค่ะ ไม่ไหว เลยอยากหา รพ.รัฐที่ค่าคลอดถูกๆค่ะ แล้วถ้าจะย้ายจาก รพ.ปัจจุบันไป จะมีปัญหาอะไรไหมคะ ตอนนี้ตั้งครรภ์ ประมาณ 4 เดือนแล้วค่ะ เลยต้องเตรียมตัวไว้ก่อน เห็นค่าคลอดแต่ละที่แล้ว ไม่ไหวแน่ๆค่ะ ใช้สิทธิ์ประกันสังคมค่ะ แต่ไม่มีเงินพอจะสำรองจ่าย แ่ต่ละที่เป็นหมื่นทั้งนั้นเลยค่ะ

0

0

ฝากครรภ์ โรงพยาบาลรัฐ 2565

สมาชิกหมายเลข 1005025

THAIRATH MEMBERSHIP

Live ชมรายการสด

ข่าว

ข่าว

  • ข่าวล่าสุด
  • พระราชสำนัก
  • ทั่วไทย
  • ในกระแส
  • การเมือง
  • เศรษฐกิจ
  • ต่างประเทศ
  • อาชญากรรม
  • ยานยนต์
  • เทคโนโลยี
  • ราคาทองคำ
  • รายงานพิเศษ

กีฬา

  • ฟุตบอลต่างประเทศ
  • ฟุตบอลไทย
  • Sport insider
  • ไฟต์สปอร์ต
  • กีฬาโลก
  • วิดีโอ
  • แกลเลอรี่
  • ซีเกมส์ 2021

ไทยรัฐทีวี

  • ดูย้อนหลัง
  • วาไรตี้บันเทิง
  • กีฬา
  • ผังรายการ
  • Live

โปรโมชั่น

โปรโมชั่น

  • ซื้อ-ขาย
  • ส่วนลด
  • เช็คราคา

Thairath Talk

หนังสือพิมพ์

คอลัมน์

บันเทิง

ดวง

หวย

นิยาย

วิดีโอ

Podcast

ไลฟ์สไตล์

กิจกรรม

Thairath Plus

Thairath Plus

  • Speak
  • Money
  • Everyday Life
  • Nature Matter
  • Subculture
  • Futurism
  • Spark

Mirror

Mirror

100 ปี ชาตกาล กำพล วัชรพล

  • ร่วมงานกับเรา
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • ติดต่อโฆษณา

facebookfacebook twittertwitter instagraminstagram youtubeyoutube

การดูแลชีวิตคนตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ผ่านการ "ฝากท้อง" และคลอดบุตรที่มีคุณภาพ เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้เกิดการตรวจพบ การป้องกันและการรักษาความผิดปกติต่างๆ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของชีวิต

นับเป็นเรื่องดีที่ประเทศไทยมีระบบสวัสดิการด้านสุขภาพทั้ง 3 ระบบหลัก คือ ข้าราชการ ประกันสังคมและบัตรทอง ให้การดูแลค่าใช้จ่ายกรณีฝากท้องและคลอดบุตร จนคนไทยเกือบทั้งหมดมีสิทธิรับบริการขั้นพื้นฐานได้ฟรี เรียกได้ว่า “คนไทยฝากท้องคลอดลูกฟรี” เป็นเป้าหมายที่ใกล้สู่ความเป็นจริงมากแล้ว
    สิทธิเบื้องต้น คนไทย “ทุกคน” มีสิทธิเลือกฝากท้องฟรี 5 ครั้งที่สถานพยาบาลของรัฐ ตามโครงการ “ฝากครรภ์ทุกที่ฟรีทุกสิทธิ” ของ สปสช. ขณะที่ในส่วนของการคลอดบุตร หากเป็น “ข้าราชการ” หรือเป็นผู้มีสิทธิ “บัตรทอง” สามารถคลอดบุตรได้ฟรีที่สถานพยาบาลของรัฐ เพียงแค่แสดงบัตรประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ฯ (รวมถึงเอกชนบางแห่งที่มีข้อตกลงกับหน่วยงานที่บริหารเงินทุนของระบบสวัสดิการข้าราชการและบัตรทอง

ขณะที่ผู้ประกันตน “กองทุนประกันสังคม” จะต้องสำรองจ่ายค่าคลอดไปก่อน แต่สามารถนำหลักฐานมาเบิกเงินค่าบริการทางการแพทย์กรณีคลอดบุตรจากประกันสังคมได้ 15,000 บาท (เหมาจ่าย) และเบิกค่าฝากท้องเพิ่มได้อีก 1,500 บาท ยังไม่รวมเงินชดเชยการหยุดงานและเงินสงเคราะห์บุตร ซึ่งทั้ง 2 ก้อนหลังเป็นเงินที่คนในระบบบัตรทองและข้าราชการไม่ได้รับ
    แน่นอนว่าการให้สิทธิคลอดบุตรของระบบข้าราชการและระบบบัตรทองไม่ได้ฟรีในทุกกรณี เพราะมีเงื่อนไขสำคัญ คือ การจำกัดสถานพยาบาลรับบริการที่เกือบทั้งหมดเป็นของรัฐ แต่อย่างน้อยหญิงมีครรภ์ใน 2 ระบบก็มีสิทธิเลือกรับ “บริการขั้นพื้นฐาน” ได้ฟรี โดยไม่ต้องสำรองจ่าย

คือ สามารถคลอดบุตรด้วยวิธีธรรมชาติได้ จะผ่าคลอดได้ในกรณีมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ได้พักฟื้นในห้องปกติได้อย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังคลอด รับยาบำรุงขั้นพื้นฐาน และรับการช่วยเหลือกรณีมีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ขณะคลอด แต่หากต้องการรับบริการที่มากกว่ากำหนด ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจเลือกที่จะจ่ายค่าบริการด้วยตนเอง เช่น ต้องการรับบริการที่สถานพยาบาลเอกชน การพักฟื้นในห้องพิเศษ รวมถึงการเลือกที่จะคลอดด้วยวิธีการผ่าท้องโดยไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจำเป็น 

ในกรณีของผู้ประกันตนประกันสังคม ที่แม้จะต้องสำรองจ่ายไปก่อน แต่สิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตรที่เบิกได้ก็มีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าเฉลี่ยของบริการขั้นพื้นฐาน

ฝากครรภ์ โรงพยาบาลรัฐ 2565

ผลการสำรวจในการวิจัยพบว่า ผู้ประกันตนฯ พอใจกับการเบิกเงินค่าคลอดแบบเหมาจ่าย มากกว่าให้กองทุนประกันสังคมจ่ายตรงให้สถานพยาบาล  โดยการจ่ายให้ผู้ประกันตนนี้ ทำให้ผู้ประกันตนมีสิทธิเลือกสถานพยาบาลได้อย่างเสรี ไม่ถูกจำกัดสถานพยาบาลที่เข้ารับบริการว่าจะต้องเป็นสถานพยาบาลของรัฐเท่านั้น จึงเป็นการสร้างความสะดวกเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ประกันตนที่ทำงานในสถานประกอบการเอกชน ซึ่งมักจะไม่สะดวกเข้าฝากท้องในเวลาราชการ
    แต่การต้องสำรองจ่ายค่าบริการก่อน แล้วจึงนำหลักฐานมาเบิก ทำให้สิทธิส่วนนี้ที่แม้เหมือนจะฟรีแต่ก็ยังไม่ฟรีจริง อีกทั้งจำนวนเงินเหมาจ่าย 15,000 บาทที่ได้รับนั้น ผลสำรวจพบว่าอาจจะไม่เพียงพอสำหรับกรณีผ่าคลอด ยังไม่รวมถึงโรคและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งจะก่อปัญหากับผู้ประกันตนฯ ที่ตั้งครรภ์โดยไม่มีรายได้หรือเงินเก็บมากพอ
    เพื่อให้ผู้ประกันตนฯ สามารถมีสิทธิคลอดบุตรได้ฟรี และยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ที่มีมูลค่าสูงกว่าบริการขั้นพื้นฐาน และยังคงสามารถเลือกสถานพยาบาลได้อย่างเสรี จึงขอเสนอแนวทางการดำเนินการ 3 ประการ คือ 
1.ยกเลิกระบบสำรองจ่าย และหันมาใช้ระบบจ่ายออนไลน์แทน ซึ่งประกันสังคมประสบความสำเร็จแล้วในกรณีการจ่ายค่าทันตกรรมผ่านระบบ SSO Connect โดยสามารถกำหนดวงเงินให้แก่ผู้ประกันตนฯ ได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 28 ของการตั้งครรภ์ แม้เกิดการแท้งบุตร หลังสัปดาห์ที่ 28 สิทธิประโยชน์ส่วนนี้ก็เป็นสิทธิที่ประกันสังคมกำหนดให้เบิกได้อยู่แล้ว
2.ทำให้สิทธิการรักษาโรคขณะตั้งครรภ์ และการรักษาภาวะแทรกซ้อน เป็นสิทธิรักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลคู่สัญญาต้องดูแลผู้ประกันตนฯ หากสามารถทำได้ ด้วยระบบการย้ายสถานพยาบาลในปัจจุบัน ผู้ประกันตนฯ จะมีทางเลือกที่จะรับบริการในสถานพยาบาลที่ตนไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนนี้

ฝากครรภ์ โรงพยาบาลรัฐ 2565

3.เพิ่มวงเงินให้เพียงพอในกรณีที่ผู้ประกันตนฯ ต้องผ่าคลอดเนื่องจาก “มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์” ซึ่งผลการวิเคราะห์ทางการเงินพบว่าอยู่ในขอบข่ายที่น่าจะสามารถทำได้ ทั้งนี้ อาจต้องพิจารณาปัจจัยการเงินอื่น ๆ ประกอบ โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันที่ประกันสังคมประกาศปรับลดอัตราเงินสมทบเข้ากองทุนจนส่งผลต่อรายได้กองทุนเป็นอย่างมาก
    โดยภาพรวม แม้การคุ้มครองกรณีฝากท้องและคลอดบุตรของระบบสวัสดิการด้านสุขภาพทั้ง 3 ระบบหลักจะยังมีข้อจำกัดต่าง ๆ แตกต่างกันออกไป แต่ก็เป็นที่น่าชื่นชมว่าทั้ง 3 ระบบได้มีการพัฒนาประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการขยายขอบเขตสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ ไปพร้อมกับการพัฒนาระบบเบิกจ่ายต่าง ๆ จะเป็นการพัฒนาอีกก้าวสำคัญและหากสามารถดำเนินการได้สำเร็จ ก็จะทำให้เป้าหมาย “คนไทยฝากท้องคลอดลูกฟรี” กลายเป็นจริงได้เสียที.