เฉลย แบบวัดและบันทึกผลการเรียน รู้ หน้าที่พลเมือง ม. 4--6

Description: flipbook (undefined description)

Read the Text Version

No Text Content!

´Ó礏 °Ò¹´Õ¡ÃÐÁÅ ·Í§¸ÃÃÁªÒµÔ´Óç ¸ÃÃÁÒÃѡɏ ๘๘.-Á .๔ Á .๖˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹ªÑé¹ÁѸÂÁÈÖ¡ÉÒ»‚·Õè๔ -๖8.9064.62914.10214.694 1.79445.89983.23623.09073.15673.52282.9706561.6087 0 ¼Ñ§Áâ¹·Ñȹ ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ˹ŒÒ·Õè¾ÅàÁ×ͧ ÇѲ¹¸ÃÃÁ áÅСÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµã¹Êѧ¤Á.- Á ڞ|¬Ù‰ž–ÙÐหน้าที่พลเมือง วั นธรรม และการด�าเนินชีวิตในสังคมม.๔ ม.๖˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·ÕèòÇѲ¹¸ÃÃÁä·Â¤ÇÒÁËÁÒ ¤ÇÒÁÊíÒ¤ÑÞ áÅлÃÐàÀ·¢Í§ÇÑ ¹¸ÃÃÁÅÑ¡É ÐáÅФÇÒÁÊíÒ¤ÑޢͧÇÑ ¹¸ÃÃÁä·ÂÇÑ ¹¸ÃÃÁã¹ÀÙÁÔÀÒ¤µ‹Ò§ ¢Í§ä·Â¡ÒûÃѺ»Ãاà»ÅÕè¹á»Å§ÇÑ ¹¸ÃÃÁä·Â¤ÇÒÁᵡµ‹Ò§ÃÐËÇ‹Ò§ÇÑ ¹¸ÃÃÁä·Â¡ÑºÇÑ ¹¸ÃÃÁÊÒ¡Åá¹Ç·Ò§¡ÒÃ͹ØÃѡɏÇÑ ¹¸ÃÃÁä·Â·Õè´Õ§ÒÁÇÔ¸Õ¡ÒÃàÅ×Í¡ÃѺÇÑ ¹¸ÃÃÁÊÒ¡Å˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õèñ Êѧ¤ÁÁ¹Øɏความหมาย การอยู่ร่วมกัน และองค์ประกอบของสังคม โครงสร้างทางสังคมสถาบันทางสังคมการจัดระเบียบทางสังคมการขัดเกลาทางสังคมการเปลี่ยนแปลงในสังคมปัญหาสังคมไทยและแนวทางการแก้ไขปัญหาแนวทางการพั นาทางสังคมกฎหมายกฎหมายแพ่งเกี่ยวกับตนเองและครอบครัวกฎหมายแพ่งเกี่ยวกับนิติกรรมและสัญญากฎหมายอาญากฎหมายอื่นที่ควรรู้กฎหมายระหว่างประเทศที่ควรรู้˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè÷¡®ËÁÒÂ㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹความเป็นมาของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโครงสร้างและความสำาคัญของรัฐธรรมนูญหลักการที่กำาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแนวทางการปฏิบัติตนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญบทบัญญัติเกี่ยวกับรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาลพรรคการเมือง การเลือกตั้ง รัฐบาล และการจัดตั้งรัฐบาลการตรวจสอบการใช้อำานาจรัฐตามรัฐธรรมนูญ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õèö ÃÑ°¸ÃÃÁ¹ÙÞáË‹§ÃÒªÍҳҨѡÃä·Âลักษณะการเมืองการปกครองรูปแบบของรัฐการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอิทธิพลของระบอบการเมืองการปกครองที่มีผลต่อการดำาเนินชีวิตสถานการณ์การเมืองการปกครองของสังคมไทยปัญหาการเมืองสำาคัญที่เกิดขึ้นภายในประเทศการดำาเนินนโยบายด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·ÕèõÃкͺ¡ÒÃàÁ×ͧ¡Òû¡¤Ãͧความหมายและความสำาคัญของสิทธิมนุษยชนแนวคิดและหลักการของสิทธิมนุษยชนความเป็นมาและสาระสำาคัญของปฏิญญาสากว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนบทบาทขององค์การระหว่างประเทศในเวทีโลกที่มีผลต่อประเทศไทยปัญหาสิทธิมนุษยชนในประเทศและแนวทางแก้ไขปัญหาและพั นาอุปสรรคและการพั นาสิทธิมนุษยชนในประข้อตกลงระหว่างประเทศ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·ÕèôÊÔ·¸ÔÁ¹Øɪ¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õèó¾ÅàÁ×ͧ´Õ¢Í§»ÃÐà·ÈªÒµÔáÅÐÊѧ¤ÁâÅ¡ความสำาคัญของพลเมืองดีคุณลักษณะพลเมืองดีแนวทางการพั นาตนเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติและสังคมโลกคุณธรรม จริยธรรมของการเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติและสังคมโลกบทบาทหน้าที่ของพลเมืองดีต่อประเทศชาติ และสังคมโลกช�อ…………………………………………………………………นามสกุล………………………………………………………………เลขประจำตัว………………………………………………… …………………………………ชั้นเลขที่…………………………….โรงเรียน………………………………………………………………………………………………………………………………………หนังสือเลมนี้เปนของกรอบบันทึกนี้ ส นักพิมพ์จัดท ขึ้น เพื่ออ นวยความสะดวกแก่การใช้งานของนักเรียน พิมพครั้งที่ ๑๓สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติISBN : 978-616-203-891-4รหัสสินคา ๓๐๑๓๐๒๙¼ÙŒµÃǨ¼È. ÀÒÇԹՏ ÁÕ¼´Ø§¹ÒÂä¾ÈÒÅ Àً侺Ùŏ¹Ò§Êؤ¹¸ ÊÔ¹¸¾Ò¹¹·ºÃóҸԡÒüÈ. ÇԪѠÀÙ‹â¸Թ¼ÙŒàÃÕºàÃÕ§È. ´Ã. ¡ÃÐÁÅ ·Í§¸ÃÃÁªÒµÔÃÈ. ´Ã. ´íÒ礏 °Ò¹´ÕÃÈ. ´íÒç ¸ÃÃÁÒÃѡɏ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×鹰ҹ˹ŒÒ·Õè¾ÅàÁ×ͧ ÇѲ¹¸ÃÃÁáÅСำô�ำàนÔนªÕÇÔµãนÊѧคÁ Á. - Á.ô öw“¤h˜Ÿ‘ÝwŸ‘ª‘¢Ù‘¥i˜ž|z–£w—Ÿ –Ÿ˜ÙŸ «“Ý•ž×ي‘‘ ‡Ÿ™“žw˜¥‡‘«wÙw“Ÿ|wŸ‘–£w—Ÿxž³ÙÜ޳لŸÙ ܤ‰Š–žw‘Ÿ »¾¾ºªÑé¹ÁѸÂÁÈÖ¡ÉÒ»‚·Õè -ô ö ˹ŒÒ·Õè¾ÅàÁ×ͧ ÇÑ ¹¸ÃÃÁ áÅСÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµã¹Êѧ¤Á ໚¹ÇÔªÒ·ÕèÇ‹Ò´ŒÇ¡Òû¯ÔºÑµÔµ¹à»š¹¾ÅàÁ×ͧ·Õè´Õ¢Í§»ÃÐà·ÈªÒµÔáÅÐÊѧ¤ÁâÅ¡ ÁÕ¤Ø ¸ÃÃÁ¨ÃÔ¸ÃÃÁ໚¹ËÅѡ㹡ÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµ à¾×èͤÇÒÁÊѹµÔÊآ㹻ÃÐà·ÈªÒµÔáÅÐÊѧ¤ÁâÅ¡ ã¹ÃдѺªÑé¹ÁѸÂÁÈ ¡Éҵ͹»ÅÒÂËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈ ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×é¹°Ò¹ ¾Ø·¸ÈÑ¡ÃÒª ¡ÅØ‹ÁÊÒÃÐÊѧ¤ÁÈ ¡ÉÒ ÈÒÊ¹Ò áÅÐÇÑ ¹¸ÃÃÁä´Œ¡íÒ˹´ãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹µŒÍ§àÃÕ¹ÊÒÃзÕè ˹ŒÒ·Õè¾ÅàÁ×ͧ ÇÑ ¹¸ÃÃÁ áÅСÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµã¹Êѧ¤Á è§ä´Œ¡íÒ˹´äÇŒ ´Ñ§¹ÕéÇÔà¤ÃÒÐˏáÅл¯ÔºÑµÔµ¹µÒÁ¡ ËÁÒ·Õèà¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§¡Ñºµ¹àͧ ¤Ãͺ¤ÃÑÇ ªØÁª¹ »ÃÐà·ÈªÒµÔáÅÐÊѧ¤ÁâÅ¡ÇÔà¤ÃÒÐˏ¤ÇÒÁÊíÒ¤Ñޢͧâ¤Ã§ÊÌҧ·Ò§Êѧ¤Á ¡ÒâѴà¡ÅÒ·Ò§Êѧ¤Á áÅСÒÃà»ÅÕè¹á»Å§·Ò§Êѧ¤Á»¯ÔºÑµÔµ¹áÅÐÁÕʋǹʹѺʹعãËŒ¼ÙŒÍ×è¹»ÃоĵԻ¯ÔºÑµÔµ¹à»š¹¾ÅàÁ×ͧ´Õ¢Í§»ÃÐà·ÈªÒµÔáÅÐÊѧ¤ÁâÅ¡»ÃÐàÁԹʶҹ¡Òà ÊÔ·¸ÔÁ¹Øɪ¹ã¹»ÃÐà·Èä·ÂáÅÐàʹÍá¹Ç·Ò§¾Ñ ¹ÒÇÔà¤ÃÒÐˏ¤ÇÒÁ¨íÒ໚¹·Õè¨ÐµŒÍ§ÁÕ¡ÒûÃѺ»Ãاà»ÅÕè¹á»Å§áÅÐ͹ØÃѡɏÇÑ ¹¸ÃÃÁä·ÂáÅÐàÅ×Í¡ÃѺÇÑ ¹¸ÃÃÁÊÒ¡ÅÇÔà¤ÃÒÐˏ» ÞËÒ¡ÒÃàÁ×ͧ·ÕèÊíÒ¤ÑÞã¹»ÃÐà·È¨Ò¡áËÅ‹§¢ŒÍÁÙŵ‹Ò§ ¾ÃŒÍÁ·Ñé§àʹÍá¹Ç·Ò§á¡Œä¢àʹÍá¹Ç·Ò§·Ò§¡ÒÃàÁ×ͧ¡Òû¡¤Ãͧ·Õè¨Ð¹íÒä»ÊÙ‹¤ÇÒÁࢌÒã¨áÅСÒûÃÐÊÒ¹»ÃÐ⪹Ã‹ÇÁ¡Ñ¹ÃÐËÇ‹Ò§»ÃÐà·ÈÇÔà¤ÃÒÐˏ¤ÇÒÁÊíÒ¤ÑÞáÅФÇÒÁ¨íÒ໚¹·Õè¨ÐµŒÍ§¸íÒçÃÑ¡ÉÒäÇŒ 觡Òû¡¤ÃͧµÒÁÃкͺ»ÃЪҸԻäµÂ ÍѹÁÕ¾ÃÐÁËÒ¡ÉѵÃԏ·Ã§à»š¹»ÃÐÁØ¢àʹÍá¹Ç·Ò§áÅÐÁÕʋǹËÇÁ㹡ÒõÃǨÊͺ¡ÒÃ㪌ÍíÒ¹Ò¨ÃÑ°¡ÒÃàÃÕºàÃÕ§˹ѧÊ×ÍàÅ‹Á¹Õé ¤ мٌàÃÕºàÃÕ§䴌¨Ñ´áº‹§à¹×éÍËÒá¡‹ÍÂ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ à¾×èÍÊдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹áÅСÒÃÈ ¡ÉÒ·íÒ¤ÇÒÁࢌÒ㨠è§ã¹áµ‹ÅÐ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙé ¼ÙŒàÃÕ¹¨Ðä´ŒÃѺÊÒÃФÇÒÁÃÙŒ¤Ãº¶ŒÇ¹ÊÁºÙà µÒÁËÅÑ¡Êٵà ËÇѧ໚¹Í‹ҧÂÔè§Ç‹Ò ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ˹ŒÒ·Õè¾ÅàÁ×ͧ ÇÑ ¹¸ÃÃÁ áÅСÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµã¹Êѧ¤Á Á àÅ‹Á¹Õé ¨ÐÁÕʋǹª‹ÇÂàÍ×éÍÍíÒ¹ÇÂãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹à¡Ô´¤Ø ÀÒ¾ ÊÁµÒÁ·ÕèËÅÑ¡ÊÙµÃ᡹¡ÅÒ§¡ÒÃÈ ¡ÉÒ¢Ñé¹¾×鹰ҹ䴌¡íÒ˹´äÇŒค ค�ำน�ำ ñÊѧ¤ÁÁ¹Øɏñ¤ÇÒÁËÁÒ ¡ÒÃÍÂًËÇÁ¡Ñ¹ áÅÐͧ¤»ÃСͺ¢Í§Êѧ¤Á â¤Ã§ÊÌҧ·Ò§Êѧ¤Á ʶҺѹ·Ò§Êѧ¤Á ¡ÒèѴÃÐàºÕº·Ò§Êѧ¤Á ¡ÒâѴà¡ÅÒ·Ò§Êѧ¤Á ¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§ã¹Êѧ¤Á » ÞËÒÊѧ¤Áä·ÂáÅÐá¹Ç·Ò§¡ÒÃᡌ䢻 ÞËÒ á¹Ç·Ò§¡ÒÃ¾Ñ ¹Ò·Ò§Êѧ¤Á òÇѲ¹¸ÃÃÁä·Âóñ¤ÇÒÁËÁÒ ¤ÇÒÁÊíÒ¤ÑÞ áÅлÃÐàÀ·¢Í§ÇÑ ¹¸ÃÃÁ ÅÑ¡É ÐáÅФÇÒÁÊíÒ¤ÑޢͧÇÑ ¹¸ÃÃÁä·Â ÇÑ ¹¸ÃÃÁã¹ÀÙÁÔÀÒ¤µ‹Ò§ ¢Í§ä·Â ¡ÒûÃѺ»Ãاà»ÅÕè¹á»Å§ÇÑ ¹¸ÃÃÁä·Â ¤ÇÒÁᵡµ‹Ò§ÃÐËÇ‹Ò§ÇÑ ¹¸ÃÃÁä·Â¡ÑºÇÑ ¹¸ÃÃÁÊÒ¡Å á¹Ç·Ò§¡ÒÃ͹ØÃѡɏÇÑ ¹¸ÃÃÁä·Â·Õè´Õ§ÒÁ ÇÔ¸Õ¡ÒÃàÅ×Í¡ÃѺÇÑ ¹¸ÃÃÁÊÒ¡Å ó¾ÅàÁ×ͧ´Õ¢Í§»ÃÐà·ÈªÒµÔáÅÐÊѧ¤ÁâÅ¡ õù¤ÇÒÁÊíÒ¤Ñޢͧ¾ÅàÁ×ͧ´Õ ¤Ø ÅÑ¡É Ð¾ÅàÁ×ͧ´Õ á¹Ç·Ò§¡ÒÃ¾Ñ ¹Òµ¹à»š¹¾ÅàÁ×ͧ´Õ¢Í§»ÃÐà·ÈªÒµÔ áÅÐÊѧ¤ÁâÅ¡ ¤Ø ¸ÃÃÁ ¨ÃÔ¸ÃÃÁ¢Í§¡ÒÃ໚¹¾ÅàÁ×ͧ´Õ¢Í§ »ÃÐà·ÈªÒµÔáÅÐÊѧ¤ÁâÅ¡öô º·ºÒ·Ë¹ŒÒ·Õè¢Í§¾ÅàÁ×ͧ´Õµ‹Í»ÃÐà·ÈªÒµÔáÅÐÊѧ¤ÁâÅ¡ ôÊÔ·¸ÔÁ¹Øɪ¹ ÷ñ¤ÇÒÁËÁÒÂáÅФÇÒÁÊíÒ¤ÑޢͧÊÔ·¸ÔÁ¹Øɪ¹á¹Ç¤Ô´áÅÐËÅÑ¡¡ÒâͧÊÔ·¸ÔÁ¹Øɪ¹¤ÇÒÁ໚¹ÁÒáÅÐÊÒÃÐÊíÒ¤Ñޢͧ»¯ÔÞÞÒÊÒ¡ÅÇ‹Ò´ŒÇÂÊÔ·¸ÔÁ¹Øɪ¹áË‹§ÊË»ÃЪҪҵÔÊÒúÑÞ º·ºÑÞÞѵԢͧÃÑ°¸ÃÃÁ¹ÙÞáË‹§ÃÒªÍÒ Ò¨Ñ¡Ãä·Âà¡ÕèÂǡѺÊÔ·¸ÔÁ¹Øɪ¹º·ºÒ·¢Í§Í§¤¡ÒÃÃÐËÇ‹Ò§»ÃÐà·Èã¹àÇ·ÕâÅ¡·ÕèÁռŵ‹Í»ÃÐà·Èä·Â» ÞËÒÊÔ·¸ÔÁ¹Øɪ¹ã¹»ÃÐà·ÈáÅÐá¹Ç·Ò§¡ÒÃᡌ䢻 ÞËÒáÅÐ¾Ñ ¹Ò ÍØ»ÊÃäáÅСÒÃ¾Ñ ¹ÒÊÔ·¸ÔÁ¹Øɪ¹ã¹»ÃÐà·Èä·Â ¢ŒÍµ¡Å§ÃÐËÇ‹Ò§»ÃÐà·È õÃкͺ¡ÒÃàÁ×ͧ¡Òû¡¤Ãͧ øùÅÑ¡É Ð¡ÒÃàÁ×ͧ¡Òû¡¤Ãͧ ÃٻẺ¢Í§ÃÑ° ¡Òû¡¤ÃͧÃкͺ»ÃЪҸԻäµÂÍѹÁÕ¾ÃÐÁËÒ¡ÉѵÃԏ·Ã§à»š¹»ÃÐÁØ¢ ÍÔ·¸Ô¾Å¢Í§Ãкͺ¡ÒÃàÁ×ͧ¡Òû¡¤Ãͧ·ÕèÁռŵ‹Í¡ÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇԵʶҹ¡Òà ¡ÒÃàÁ×ͧ¡Òû¡¤Ãͧ¢Í§Êѧ¤Áä·Â » ÞËÒ¡ÒÃàÁ×ͧÊíÒ¤ÑÞ·Õèà¡Ô´¢ é¹ÀÒÂã¹»ÃÐà·È ¡ÒôíÒà¹Ô¹¹âºÒ´ŒÒ¹¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ÃÐËÇ‹Ò§»ÃÐà·È¢Í§ä·Â öÃÑ°¸ÃÃÁ¹ÙÞáË‹§ÃÒªÍҳҨѡÃä·Â ññó¤ÇÒÁ໚¹ÁҢͧÃÑ°¸ÃÃÁ¹ÙÞáË‹§ÃÒªÍÒ Ò¨Ñ¡Ãä·Â â¤Ã§ÊÌҧáÅФÇÒÁÊíÒ¤ÑޢͧÃÑ°¸ÃÃÁ¹ÙÞ ËÅÑ¡¡Ò÷Õè¡íÒ˹´äÇŒã¹ÃÑ°¸ÃÃÁ¹ÙÞ áË‹§ÃÒªÍÒ Ò¨Ñ¡Ãä·Â á¹Ç·Ò§¡Òû¯ÔºÑµÔµ¹µÒÁº·ºÑÞÞѵԢͧÃÑ°¸ÃÃÁ¹ÙÞ º·ºÑÞÞѵÔà¡ÕèÂǡѺÃÑ°ÊÀÒ ¤ ÐÃÑ°Á¹µÃÕ áÅÐÈÒÅ ¾Ãä¡ÒÃàÁ×ͧ ¡ÒÃàÅ×Í¡µÑé§ ÃÑ°ºÒÅ áÅСÒèѴµÑé§ÃÑ°ºÒÅ ¡ÒõÃǨÊͺ¡ÒÃ㪌ÍíÒ¹Ò¨ÃÑ°µÒÁÃÑ°¸ÃÃÁ¹ÙÞ¡®ËÁÒÂ㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹñóù¡ ËÁÒ ¡ ËÁÒÂᾋ§à¡ÕèÂǡѺµ¹àͧáÅФÃͺ¤ÃÑÇ ¡ ËÁÒÂᾋ§à¡ÕèÂǡѺ¹ÔµÔ¡ÃÃÁáÅÐÊÑÞÞÒ ¡ ËÁÒÂÍÒÞÒ ¡ ËÁÒÂÍ×è¹·Õè¤ÇÃÃÙŒ ¡ ËÁÒÂÃÐËÇ‹Ò§»ÃÐà·È·Õè¤ÇÃÃÙŒ ตัวชี้วัด˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè๑Á¹Øɏ໚¹ÊѵǏÊѧ¤Á·Õ赌ͧÍÒÈÑÂÍÂÙ‹ÃÇÁ¡Ñ¹à»š¹ËÁÙ‹àËÅ‹Ò µ‹Ò§µŒÍ§¾ 觾ÒÍÒÈÑÂáÅÐËÇÁ¡Ñ¹ÊÌҧÇÑ ¹¸ÃÃÁ ·Ñ駷Õè໚¹Çѵ¶Ø ઋ¹ ·Õè¾Ñ¡ÍÒÈÑ à¤Ã×èͧ¹Ø‹§Ë‹Á áÅÐÂÒÃÑ¡ÉÒâä áÅзÕèäÁ‹ãª‹Çѵ¶Ø à¾×è͹íÒÁÒ㪌㹪ÕÇÔµ»ÃШíÒÇѹáÅÐä´Œ¾Ñ ¹Ò¨¹¡ÅÒÂ໚¹¤Ãͺ¤ÃÑÇ ªØÁª¹ àÁ×ͧãËÞ‹áÅлÃÐà·È ·íÒãËŒà¡Ô´¤ÇÒÁ Ѻ ŒÍ¹ÁÒ¡ÂÔ觢 é¹ à¾ÃÒÐÁÕ¼ÙŒ¤¹ËÅÒ¡ËÅÒ¡ÅØ‹Á µ‹Ò§ªÒµÔ¾Ñ¹¸Ø áÅе‹Ò§ÇÑ ¹¸ÃÃÁÁÒÍÒÈÑÂÍÂًËÇÁ¡Ñ¹ ´Ñ§¹Ñé¹ àÃÒ¨ §ÁÕ¤ÇÒÁ¨íÒ໚¹·Õè¨ÐµŒÍ§È ¡ÉÒàÃ×èͧÃÒǢͧÊѧ¤ÁÁ¹Øɏ à¾×èÍãËŒà¡Ô´¤ÇÒÁÃÙŒ ¤ÇÒÁࢌÒã¨à¡ÕèÂǡѺÊѧ¤ÁÁ¹Øɏ͋ҧ໚¹Ãкº áÅÐãˌࢌÒ㨶 §Ãкºâ¤Ã§ÊÌҧ·Ò§Êѧ¤Á ʶҺѹ·Ò§Êѧ¤Á ¡ÒäǺ¤ØÁ·Ò§Êѧ¤Á µÅÍ´¨¹¤ÇÒÁà¡ÕèÂǾѹ¡Ñ¹ÃÐËÇ‹Ò§Êѧ¤Á ·Ñé§ã¹ÃдѺ»ÃÐà·ÈáÅÐ¹Ò¹ÒªÒµÔ ค ■ วิเคราะห์ความสำาคัญของโครงสร้างทางสังคม การขัดเกลาทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (ส ๒. ม.๔-๖/๒)สาระการเรียนรู้แกนกลาง■โครงสร้างทางสังคม■สถาบันทางสังคม■การจัดระเบียบทางสังคม■การขัดเกลาทางสังคม■การเปลี่ยนแปลงทางสังคม■การแก้ไขปัญหาและแนวทางการพั นาทางสังคม ñ. ความหมาย การอยู่ร่วมกัน และองค์ประกอบของสังคม๑.๑ ความหมายของสังคมสังคมเกิดจากการที่คนสองคนขึ้นไปมาอยู่รวมกันในบริเวณหนึ่ง และมีการปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ แม่ ลูกก็ถือเป็นสังคมได้เช่นกันสังคม คือ กลุ่มคนอย่างน้อยสองคนขึ้นไปมาอาศัยอยู่รวมกันในบริเวณหนึ่ง ซึ่งคนเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์ หรือการกระท�าตอบโต้กันและกันทั้งทางตรงและทางอ้อม ความสัมพันธ์ทางตรง เช่นการพูดจาทักทาย การท�างานร่วมกัน การซื้อของขายของ และให้ความเอื้ออาทรต่อกัน เป็นต้น ส�าหรับความสัมพันธ์ทางอ้อม ได้แก่ การเดินผ่านผู้คนที่เราไม่รู้จัก แต่เขาก็เป็นคนจังหวัดเดียวกัน หรือชาติเดียวกัน การใช้สิ่งของที่ผลิตขึ้นโดยคนที่ไม่เคยพบปะเห็นหน้ากันมาก่อน คนเหล่านี้จะเป็นกลุ่มที่เราสัมพันธ์กับพวกเขาโดยผ่านบุคคลอื่น ผ่านเอกสารหนังสือที่เขาเขียน หรือผ่านทางวิทยุและโทรทัศน์ที่พวกเขาจัดและออกรายการ ๑.๒ การอยู่ร่วมกันเ นสังคมอริสโตเติล ( ) นักปราชญ์ชาวกรีกได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ( ) ซึ่งหมายความว่า มนุษย์จะมีชีวิตโดยอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เหล่า มีความเกี่ยวข้องกันและกันและมีความสัมพันธ์กันในหมู่มวลสมาชิก โดยสาเหตุที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เพราะมีความจ�าเป็นด้านต่างๆ ดังนี้๑. มนุษย์มีระยะเวลาของการเป็นทารกยาวนานและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในระยะเริ่มต้นของชีวิต ท�าให้มนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์อื่น และด้วยความจ�าเป็นที่จะต้องมีการเลี้ยงดูทารกเป็นระยะเวลานานนี้เอง ท�าให้มนุษย์จ�าเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน สร้างแบบแผนความสัมพันธ์กันเป็นครอบครัว เป็นเพื่อนบ้าน และมีความสัมพันธ์กับคนในสังคมอื่นๆมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เพราะมนุษย์ต่างต้องเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กัน เพื่อตอบสนองความต้องการที่เป็นพื้นฐานของชีวิต2 ๒. มนุษย์มีความสามารถทางสมอง เพราะสามารถคิดค้นวิธีการในการควบคุมธรรมชาติ เพื่อน�ามาใช้ในการตอบสนองความต้องการ ท�าให้ชีวิตด�าเนินไปอย่างมีความสุขมนุษย์คิดค้นและสร้างประดิษฐกรรมที่ทันสมัยขึ้นมา เพื่ออำานวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการ เช่น รถไ ้า เป็นต้นซึ่งการควบคุมธรรมชาติจ�าเป็นต้องอาศัยการแบ่งงาน และความร่วมมือจากบุคคลอื่น เพื่อให้งานบรรลุผลส�าเร็จ จึงมีความจ�าเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมกันกับคนหลายๆ คน เช่น การแสวงหาอาหาร ผลิตสิ่งของ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค การสร้างที่อยู่อาศัย เป็นต้น ๓. มนุษย์มีความสามารถในการที่จะสร้างวัฒนธรรมและส่งผ่านวัฒนธรรมไปสู่คนรุ่นหลัง ให้ได้รับรู้ เพื่อน�าไปใช้ในชีวิตประจ�าวัน วัฒนธรรมเหล่านี้มีทั้งที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการด�าเนินชีวิตและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับความต้องการอื่นๆเช่น ต้องการความรัก ความอบอุ่น การจัดระเบียบทางสังคม ความเชื่อ ศาสนา ศิลปะ ขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นต้น และด้วยเหตุนี้การถ่ายทอดวัฒนธรรมจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่งจึงเป็นกระบวนการที่จะต้องกระท�าต่อเนื่องกันไป อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าการมีวัฒนธรรม ท�าให้มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลาย ถึงแม้ว่าจะอยู่รวมกลุ่มคล้ายคลึงกับการเป็นสังคมก็ตาม ทั้งนี้เพราะมนุษย์จ�าเป็นต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางชีวภาพและความต้องการทางวัฒนธรรม นอกจากนี้ มนุษย์ยังมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ และแบบแผนของสังคมขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่มนุษย์เกิดขึ้นบนโลกเป็นครั้งแรกจนกระทั่งปัจจุบัน ได้สร้างประดิษฐกรรมและวัฒนธรรมไว้มากมาย จึงท�าให้ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์อื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ๑.๓ องค ระกอบของสังคมสังคมมนุษย์มีองค์ประกอบที่ส�าคัญ ดังนี้๑) ประชากร จะต้องมีจ�านวนตั้งแต่สองคนขึ้นไป สังคมที่มีขนาดเล็กที่สุดก็คือ ครอบครัวที่มีพ่อ-แม่ หรือ พ่อ-แม่-ลูก ในขณะที่ชุมชนหรือหมู่บ้านจะมีสมาชิกเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นอ�าเภอ จังหวัด ภาค ประเทศ ตลอดจนสังคมโลก ที่มีประชากรอาศัยอยู่รวมกันกว่า ๗ ๐๐๐ ล้านคน3 ๒) ความสัมพันธ์ ประชากรหรือสมาชิกในสังคมนั้น จะต้องมีความสัมพันธ์และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน๓) พื้นที่หรืออาณาเขต คนในสังคมจะอาศัยอยู่ในบริเวณแห่งใดแห่งหนึ่ง พื้นที่อาจมีขนาดจ�ากัด เช่น บริเวณบ้านของครอบครัวหนึ่งหรือบริเวณกว้างขวางเป็นอ�าเภอหรือจังหวัดในปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีท�าให้มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่ถูกจ�ากัดพื้นที่ เช่น การสื่อสารกันระหว่างบุคคลทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ๔) การจัดระเบียบทางสังคม การอยู่ร่วมกันเป็นสังคมนั้น สมาชิกจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ หรือบรรทัดฐานทางสังคม ( ) ที่ควบคุมตามสถานภาพ สิทธิและหน้าที่ของสมาชิกแต่ละคน บรรทัดฐานทางสังคมจะมีระบบเป็นแบบแผน เป็นที่ยอมรับและเข้าใจร่วมกันของคนในสังคม เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นปกติสุขหากสังคมไม่มีกฎเกณฑ์ หรือคนในสังคมไม่ปฏิบัติตามระเบียบของสังคมที่วางไว้ ก็อาจน�าไปสู่ความขัดแย้ง การแย่งชิง รวมทั้งการประหัตประหารกัน ก่อให้เกิดความระส�่าระสาย และล่มสลายของสังคมได้๕) การมีวั นธรรมของตนเอง เมื่อมนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นเหล่าภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกันทั้งทางด้านกายภาพและประวัติศาสตร์ พวกเขาก็สร้างวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการ ก่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมเฉพาะของกลุ่มตนเองที่แตกต่างจากวัฒนธรรมของชนกลุ่มอื่น๑. หน้าที ของสังคม คนเราไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเองเท่านั้น จ�าเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นสังคมและมีความผูกพันต่อกันภายใต้กฎและวัฒนธรรมของสังคมเดียวกัน ดังนั้น หน้าที่ส�าคัญของสังคม ก็คือ การดูแลสมาชิกให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สร้างความเป็นธรรมด้วยการประสานประโยชน์ให้สมาชิกท�าหน้าที่ของตนเองได้อย่างลงตัว ผลักดันให้เกิดการคิดอย่างสร้างสรรค์และประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของสังคม รวมทั้งสร้างส�านึกให้คนในสังคมร่วมกันอนุรักษ์รักษาวัฒนธรรมของตนเองและถ่ายทอดให้กับอนุชนรุ่นหลังได้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นสมบัติของสังคม4 ๒. โครงสร้างทางสังคมพจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้ให้ความหมายของโครงสร้างทางสังคมว่า หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ค่อนข้างมั่นคงหรือการจัดระเบียบของกลุ่ม หรือสถานภาพของกลุ่ม เมื่อพฤติกรรมของสมาชิกในสังคมโยงใยและเชื่อมต่อกันเป็นตาข่ายจึงมีการจ�าแนกออกเป็นหมวดหมู่ตามสถาบันทางสังคมแต่ละประเภท ซึ่งสถาบันทางสังคมเหล่านี้ ก็จะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันจนกลายเป็นโครงสร้างทางสังคมโครงสร้างทางสังคมสามารถแบ่งได้เป็น ๒ ระดับ ได้แก่ กลุ่มสังคมและสถาบันทางสังคม๒.๑ ความสัมพันธ ในระดับกล ่มสังคมพจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้ให้ความหมายว่า กลุ่มสังคม คือ กลุ่มบุคคลที่สมาชิกติดต่อสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบแบบแผนและเป็นที่ยอมรับ กลุ่มสังคมจะมีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความสนใจคล้ายกัน ซึ่งท�าให้กลุ่มมีเอกลักษณ์แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆกลุ่มสังคมสามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ กลุ่มปฐมภูมิและกลุ่มทุติยภูมิ โดยการมองสังคมในระดับกลุ่มสังคม เป็นการมองในแง่ตัวคนที่มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีความสัมพันธ์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ หากเป็นคนกลุ่มเล็กที่มีความสัมพันธ์แบบใกล้ชิด เช่น ครอบครัว กลุ่มเพื่อนสนิท เราจะเรียกว่า กลุ่มปฐมภูมิ ส่วนคนกลุ่มใหญ่ที่รวมตัวกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น โรงเรียน สมาคม องค์การ พวกเขาจะมีความสัมพันธ์กันแบบทุติยภูมิ เราจะเรียกว่า กลุ่มทุติยภูมิ๒.๒ ความสัมพันธ ในระดับส าบันทางสังคมการมองสังคมในระดับสถาบันทางสังคม เป็นการมองในแง่กลุ่มความสัมพันธ์ นักสังคมวิทยาเชื่อว่า มนุษย์ต่างมีความสัมพันธ์กับผู้คนในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ด้านครอบครัว เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา ศาสนา นันทนาการ ดังนั้น จึงต้องจ�าแนกกลุ่มความสัมพันธ์ของคนในสังคมเป็นสถาบันทางสังคมประเภทต่างๆ เพื่อความสะดวกในการมองภาพของสังคมในแต่ละส่วนได้อย่างชัดเจนมากขึ้น (ซึ่งรายละเอียดของสถาบันทางสังคมแต่ละสถาบันจะได้กล่าวถึงในหัวข้อต่อไป)อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เราจะสามารถจ�าแนกกลุ่มความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคม เป็นสถาบันทางสังคมประเภทต่างๆ แต่ตามสถานการณ์เป็นจริงนั้น ลักษณะความสัมพันธ์ของผู้คน มิใช่มีเพียงด้านใดด้านหนึ่ง แต่จะเชื่อมโยงกันเสมือนเป็นตาข่าย โดยความสัมพันธ์ที่เป็นตาข่ายนี้จะอยู่ภายใต้การจัดระเบียบทางสังคม เพื่อให้คนในสังคมปฏิบัติตามและน�าไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างมีระเบียบ5 โครงสร้างทางสังคมอาจเปรียบเสมือนโครงสร้างของตึก ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ได้แก่ ฐานราก พื้น เสา ฝาผนัง และหลังคา แต่ละส่วนจะได้รับการจัดให้อยู่ในต�าแหน่งและหน้าที่ตามประโยชน์ของแต่ละประเภท ส่วนประกอบทุกๆ ส่วนจะมีความสัมพันธ์เกื้อหนุนและโยงใยกันดังนั้น หากขาดเสาหรือหลังคา ตึกก็จะเป็นตึกที่สมบูรณ์ไม่ได้ เช่นเดียวกับสังคมมนุษย์ หากขาดโครงสร้างที่ส�าคัญ ได้แก่ สถาบันทางสังคม และบรรทัดฐานทางสังคมแล้ว สังคมก็จะด�ารงอยู่อย่างมั่นคงและยั่งยืนไม่ได้กล่าวคือ สังคมด�ารงอยู่ได้เพราะมีสถาบันต่างๆ คอยท�าหน้าที่ขัดเกลาสมาชิกในสังคมให้เป็นคนดีมีความสามารถ มีกฎระเบียบ กฎหมาย และขนบธรรมเนียมประเพณี คอยควบคุมสมาชิกในสังคมให้อยู่ในระเบียบวินัย ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ประกอบกันเป็นโครงสร้างที่ยึดโยงให้สังคมด�ารงอยู่ได้อย่างมั่นคงโครงสร้างสังคม หมายถึง การจัดระเบียบในสังคมทั้งหมดรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและกลุ่มคนในสังคม ซึ่งอาจเป็นไปทั้งในทางความร่วมมือสนับสนุนซึ่งกันและกัน การแข่งขันการขัดแย้ง การประนีประนอม หรือการเอารัดเอาเปรียบกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและกลุ่มต่างๆ นั้น จะต้องเป็นไปตามแบบแผน หรืออยู่ในกรอบแห่งโครงสร้างสังคมนั่นเองจะเห็นได้ว่า โครงสร้างทางสังคมท�าให้เรามองเห็นว่าสังคมมีลักษณะเป็นเช่นไร และระบุได้ว่านี่คือโครงสร้างสังคมไทย โครงสร้างสังคมจีน โครงสร้างสังคมอังกฤษ ที่มีความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ ในอดีตราวปี ค.ศ. ๑๔๙๐ (พ.ศ. ๒๐๓๓) จอร์น เอมบรี นักวิชาการชาวอเมริกัน ได้กล่าวว่า ประเทศไทยมีโครงสร้างทางสังคมแบบหลวมๆ ทั้งนี้เขาได้สังเกตจากการที่คนไทยมักปฏิบัติตนตามอ�าเภอใจมากกว่ากระท�าตามกฎเกณฑ์ของสังคม ซึ่งได้รับการคัดค้านจากนักวิชาการของไทยว่าไม่เป็นความจริง เพราะกฎระเบียบทางสังคมได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และผู้คนต่างมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างแน่นเหนียว ยิ่งในปัจจุบันที่กฎหมายได้เข้ามามีบทบาทส�าคัญต่อการด�ารงชีวิต ยิ่งท�าให้โครงสร้างสังคมต้องมีความเข้มงวดมากขึ้น เพราะสมาชิกต่างต้องปฏิบัติตามกฎหมายและกฎศีลธรรมอย่างเคร่งครัดกล่าวโดยสรุป การศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างทางสังคมท�าให้เรามองเห็นภาพรวมของสังคมได้แจ่มชัด และสามารถระบุได้ว่าสังคมนั้นๆ จะมีความมั่นคงแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน โดยดูได้จากการท�าหน้าที่ของสถาบันทางสังคมต่างๆ ว่ามีความสอดคล้อง สมดุล สนับสนุน หรือแข่งขันตามกฎกติกาหรือไม่เพียงใด ในทางตรงกันข้ามโครงสร้างสังคมจะอ่อนแอไม่มั่นคง หากว่าความสัมพันธ์และสถาบันทางสังคมมีแต่ความขัดแย้ง คนในสังคมไม่ท�าตามบรรทัดฐานทางสังคมที่วางไว้ ปัญหาสังคมก็จะปรากฏขึ้น ในที่สุดสังคมก็จะวุ่นวาย ไร้ระเบียบ6 ๓. ส าบันทางสังคมเมื่อคนมาอาศัยอยู่ร่วมกันและสร้างความสัมพันธ์ขึ้นระหว่างกัน ความสัมพันธ์เหล่านั้นจะเชื่อมโยงกันไปมาเสมือนเป็นแบบแผนที่มั่นคง หากจัดแบ่งความสัมพันธ์เหล่านี้ออกเป็นเรื่องๆ เราก็จะเห็นกลุ่มความสัมพันธ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เราเรียกกลุ่มความสัมพันธ์ในเรื่องหนึ่งๆ ว่า “สถาบันทางสังคม ( )” ซึ่งจะท�าหน้าที่ตอบสนองความต้องการของสมาชิกในสังคมพจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๒๔ ได้ให้ความหมายของสถาบันทางสังคมว่า หมายถึง ยอดรวมของรูปแบบความสัมพันธ์ กระบวนการ และวัสดุอุปกรณ์ที่สร้างขึ้น เพื่อสนองประโยชน์ส�าคัญๆ ทางสังคมในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทุกสถาบันจึงมีจารีตประเพณี กฎเกณฑ์ ธรรมเนียมปฏิบัติ และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ของตนเอง เช่น อาคารสถานที่ เครื่องจักรกลอุปกรณ์สื่อสาร เป็นต้นสถาบันทางสังคมตามนัยแห่งสังคมวิทยานั้น มิใช่จะปรากฏออกมาในรูปที่เป็นทางการ เช่น การอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวในบ้านแห่งหนึ่ง (สถาบันครอบครัว) ธนาคาร ส�านักงาน ตลาดสด (สถาบันทางเศรษฐกิจ) โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย (สถาบันการศึกษา) เท่านั้น แต่รวมไปถึงรูปแบบที่ไม่เป็นทางการด้วย ซึ่งในแต่ละสังคม จะมีสถาบันทางสังคมที่เป็นพื้นฐาน ดังนี้๓.๑ ส าบันครอบครัวสถาบันครอบครัว คือ แบบแผนพฤติกรรมของคนที่มาติดต่อเกี่ยวข้องกันในเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวและเครือญาติ นั่นคือคนที่เป็นญาติกันโดยสายเลือด เช่น พ่อแม่ พี่น้อง และเป็นญาติกันทางการแต่งงาน เช่น สามีภรรยา เขยสะใภ้ หรือการรับไว้เป็นญาติ เช่น บุตรบุญธรรม เป็นต้น คนเหล่านี้จะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์แบบแผนที่สังคมเป็นผู้ก�าหนดขึ้น รวมเรียกว่า “สถาบันครอบครัว”บทบาทและหน้าที่ของสถาบันครอบครัว คือการให้สมาชิกใหม่กับสังคม ดูแลและท�านุบ�ารุง รวมทั้งถ่ายทอดวัฒนธรรมให้แก่สมาชิกใหม่ที่ก�าเนิดขึ้นมาในสังคม ตลอดจนก�าหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว เช่น การเลือกคู่ การหมั้น การแต่งงาน เป็นต้นสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐานแรกสุดที่มีความส�าคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของสถาบันอื่นๆ ในสังคม และท�าหน้าที่อบรมขัดเกลาให้สมาชิกในครอบครัวเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐานแรกสุดของสังคม ซึ่งมีหน้าที่สำาคัญในการอบรมและขัดเกลาให้สมาชิกในครอบครัวเป็นคนดี7 ๓.๒ ส าบันเศร ฐก จสถาบันเศรษฐกิจ คือ แบบแผนการคิดการกระท�าเกี่ยวกับเรื่องของการผลิตสินค้าและบริการ การจ�าหน่ายแจกจ่ายสินค้าและการให้บริการต่างๆ รวมทั้งการบริโภคของสมาชิกในสังคม สถาบันเศรษฐกิจเป็นกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่ลูกจ้าง นายจ้าง เจ้าของโรงงาน ธนาคาร และผู้ผลิตสินค้าและบริการจะต้องปฏิบัติตาม แม้แต่ผู้ประกอบการอิสระและเกษตรกร ก็จะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของการประกอบอาชีพที่ดีเช่นเดียวกันสถาบันเศรษฐกิจเป็นความสัมพันธ์ในแง่ของการผลิต การแลกเปลี่ยน และการบริโภคซึ่งการมีปฏิสัมพันธ์กันทางสังคมในแง่นี้ อาจเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวและญาติ หรือกับบุคคลอื่น ทั้งที่อาศัยอยู่ในสังคมเดียวกัน หรือต่างสังคมกันก็ได้บทบาทและหน้าที่ของสถาบันเศรษฐกิจ คือ สร้างแบบแผนและเกณฑ์ในการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน ก�าหนดกลไกราคาที่เหมาะสม รวมทั้งผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคและเทคโนโลยี ซึ่งคนๆ เดียวไม่สามารถที่จะกระท�าหรือผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการได้ทั้งหมด จึงต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นให้ช่วยท�าให้ได้ผลผลิตที่เป็นอาหารและของใช้ ส่งผลให้คนเราต้องมีความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และภายหลังที่ผลิตขึ้นมาได้แล้วก็จ�าเป็นต้องน�าไปแลกเปลี่ยนกับของชนิดอื่นที่เราไม่ได้ท�าขึ้นเอง กล่าวได้ว่ากระบวนการแลกเปลี่ยนจึงเป็นหัวใจส�าคัญของความสัมพันธ์ของคนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีการผลิตสินค้าและบริการจ�านวนมาก๓.๓ ส าบันการเมืองการ กครองสถาบันการเมืองการปกครอง คือ แบบแผนการคิดการกระท�าที่จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละสังคมโดยขึ้นอยู่กับปรัชญาความเชื่อพื้นฐานของคนในสังคมว่าต้องการจะให้เป็นแบบเสรีประชาธิปไตย หรือแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือแบบคอมมิวนิสต์ เมื่อได้เลือกรูปแบบการปกครองแล้วก็ต้องจัดการบริหารการปกครองให้เป็นไปตามปรัชญาการเมืองแบบนั้นๆ ตามแนวทางที่เห็นว่าถูกต้องเหมาะสมบทบาทและหน้าที่ของสถาบันการเมืองการปกครองที่ส�าคัญ คือ การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของชาติ บ�าบัดทุกข์บ�ารุงสุขให้ราษฎร สร้างความมั่นคงและรักษาสิทธิประโยชน์ของประเทศชาติ รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยจะครอบคลุมทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ซึ่งบางส่วนจะท�าหน้าที่ในการตรากฎหมายและกฎระเบียบข้อบังคับ และบางส่วนจะท�าหน้าที่บริหารงาน เพื่อให้สังคมด�ารงอยู่และพัฒนาต่อไปได้ โดยในระดับชาติ เช่น 8 นักการเมือง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้พิพากษา เป็นต้น และในระดับท้องถิ่น เช่น ผู้ใหญ่บ้าน ก�านัน สมาชิกองค์การบริหารส่วนต�าบล เทศบาล เป็นต้น ๓. ส าบันการศ ก าเป็นต้น ส่งเสริมให้บุคคลเป็นคนดี มีศีลธรรม มีค่านิยมที่ดีงาม รู้จักสิทธิหน้าที่ที่ตนพึงปฏิบัติต่อสังคมและประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปสังคม เบื้องต้นการอบรมขัดเกลาสมาชิกของสังคมเป็นหน้าที่ของครอบครัว ส่วนการจัดการศึกษาเพื่อให้เยาวชนมีความรู้ มีคุณธรรม และวิชาชีพต่างๆเพื่อจะได้น�าไปใช้ในการด�าเนินชีวิตในสังคมต่อไปนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของรัฐและเอกชนในการจัดให้ โดยจะจัดเป็นโรงเรียนที่มีครูอาจารย์และเจ้าหน้าที่ร่วมมือในการจัดการศึกษาให้กับเยาวชน แต่อย่างไรก็ตาม การจัดการศึกษาในระบบที่ไม่เป็นทางการก็มีปรากฏอยู่ทั่วไปในสังคมและถือว่าเป็นสถาบันทางการศึกษาได้เช่นกัน เช่น พ่อแม่สอนหนังสือและอบรมสั่งสอนลูกที่บ้าน พ่อสอนลูกท�านาท�าสวน พระเทศนาธรรมให้พุทธศาสนิกชนฟังการรับฟังข่าวสารจากสื่อมวลชนแขนงต่างๆ เป็นต้น ๓.๕ ส าบันศาสนาสถาบันศาสนา คือ แบบแผนการคิดและการกระท�าของสถาบันที่เกี่ยวพันระหว่างสมาชิกของสังคมกับนักบวช ค�าสอน ความเชื่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อ�านาจที่นอกเหนือธรรมชาติ และกฎเกณฑ์ทางศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมของสังคม การนับถือศาสนาจะเกี่ยวพันกับการด�าเนินชีวิตของคนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาสส�าคัญต่างๆ ของชีวิต หรือในช่วงเวลาที่ผ่านพ้นจากสถานภาพหนึ่งไปสู่อีกสถานภาพหนึ่ง เช่น ตอนเกิด ตอนเข้าสู่วัยรุ่น ตอนแต่งงาน เป็นต้นสถาบันการศึกษา คือ แบบแผนของการคิดและการกระท�าที่เกี่ยวข้องกับการอบรมให้การศึกษาแก่สมาชิกใหม่ของสังคม รวมทั้งถ่ายทอดวัฒนธรรมจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งด้วย สถาบันทางการศึกษาเป็นสถาบันที่ครอบคลุมในเรื่องที่เกี่ยวกับหลักสูตร การสอบเข้า การเรียนการสอน การฝ กอบรมในด้านต่างๆ เป็นต้นบทบาทและหน้าที่ของสถาบันการศึกษา คือ ส่งเสริมให้สมาชิกในสังคมเกิดความเจริญงอกงามในด้านต่างๆ เช่น ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านการวิจัย สถาบันการศึกษาทำาหน้าที่ให้ความรู้ในหลายๆ ด้านกับสมาชิกในสังคม เช่น ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านการวิจัย เป็นต้น9 บทบาทและหน้าที่ของสถาบันศาสนา คือ เป็นศูนย์รวมความศรัทธา สร้างแบบแผนแนวทางการด�าเนินชีวิตของสมาชิกในสังคม วางกรอบความประพฤติดีประพฤติชอบให้สมาชิกในสังคม รวมทั้งควบคุมสมาชิกในสังคม โดยจะสอนให้บุคคลที่นับถือสร้างแต่ความดีและละเว้นการเล่นดนตรีเป็นการพักผ่อนหย่อนใจเพื่อความบันเทิงและสามารถสร้างเป็นอาชีพได้ หากได้มีการฝ กฝนจนชำานาญสร้างสรรค์ต่างๆ รวมทั้งสนองความต้องการทางสังคม ในรูปแบบความบันเทิงต่างๆ เช่น ศิลปะ การละเล่น กี า เป็นต้น โดยผลที่ตามมานอกจากความผ่อนคลาย ความเพลิดเพลินใจแล้ว ก็คือท�าให้มีละคร ภาพยนตร์ งานบันเทิง มหรสพ ดนตรี ฟ้อนร�า ขึ้นมาในสังคมสถาบันนันทนาการจ�าเป็นที่จะต้องมีบุคคลวิธีการส�าหรับด�าเนินการ และการฝ กฝนเป็นระยะเวลานานจนเกิดความช�านาญ จนท�าให้การแสดงสมจริง สามารถสร้างความเพลิดเพลินบันเทิงใจแก่คนทั่วไปได้ ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปิน ผู้จัดการ และคนดูทั่วไป จึงเกิดขึ้นและสอดคล้องกันและกัน โดยเฉพาะในปัจจุบันความสัมพันธ์ดังกล่าวได้มีความส�าคัญและสลับซับซ้อนมากขึ้น ท�าให้ธุรกิจด้านบันเทิงทั้งหลายกลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีผู้คนท�างานในกิจการประเภทนี้เป็นจ�านวนมาก อีกทั้งยังเป็นอาชีพที่ท�ารายได้สูง จึงเป็นที่ใฝ่ฝันของผู้คนทั่วไปที่ต้องการเข้าวงการบันเทิง๓.๗ ส าบันสื อสารมวลชน สถาบันสื่อสารมวลชน คือ แบบแผนการสื่อสารระหว่างบุคคลในสังคมที่มีการขยายตัวกว้างใหญ่ขึ้น ครอบคลุมอ�าเภอ จังหวัด ประเทศ และโลก โดยแบบแผนดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อลดข้อจ�ากัดในแง่ของระยะทางและเวลา ในรูปของหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และอินเทอร์เน็ตบทบาทและหน้าที่ของสถาบันสื่อสารมวลชน คือ การส่งข่าวสาร น�าเสนอความคิดเห็นของประชาชนออกไปสู่สาธารณชนเพื่อให้รับรู้ข่าวสารทันกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมการท�าความชั่ว ตลอดจนเป็นหลักในการสร้างและรักษาสังคมให้มีความมั่นคงเข้มแข็ง๓.๖ ส าบันนันทนาการสถาบันนันทนาการ คือ แบบแผนการคิดและการกระท�าที่เกี่ยวข้องกับการพักผ่อนหย่อนใจหลังจากการท�างานที่เหน็ดเหนื่อยของคนในสังคมเพื่อให้การด�ารงชีวิตมีความสุขสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น บทบาทและหน้าที่ของสถาบันนันทนาการ คือ การท�าให้คนในสังคมผ่อนคลายความตึงเครียดเพิ่มพูนอนามัยที่ดี ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในทาง10 ส า บ ัน à È ร É ° ก Ô¨สา บ ัน ค ร อ บ ค ร ัวสา บ ัน È า ส น าส า บ ัน ส ×èอ ส า ร ม ว ล ª นสา บ ัน น ัน ท น า ก า รส า บ ัน ก า ร È Öก É าส า บ ัน ก า ร à ม ×อ ง ก า ร ป ก ค ร อ งส าบันทางสังคมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตรวจสอบการท�างานของบุคคลและกลุ่มคนที่ท�างานเพื่อส่วนรวม เช่น นักการเมือง ข้าราชการ ให้มีความโปร่งใส ยุติธรรม และเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองมากที่สุด นอกจากนี้ สื่อมวลชนยังมีหน้าที่ถ่ายทอดวัฒนธรรม ให้ความบันเทิงและช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่ผู้รับสารในปัจจุบันด้วยนอกจากนี้ สถาบันสื่อสารมวลชนยังท�าหน้าที่ให้ความรู้แก่ประชาชนทุกเพศทุกวัยในแขนงต่างๆ โดยปัจจุบันสื่อมวลชนได้ผลิตสื่อออกมาหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น รูปแบบของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่บรรจุเนื้อหาสาระของความรู้ทุกแขนงสู่ประชาชนโดยไม่จ�ากัดเวลา สถานที่ เพศ และวัยเป็นต้น ท�าให้สังคมปัจจุบันกลายเป็นสังคมแห่งความรู้ ( - )อาจกล่าวได้ว่า การจัดแบ่งกลุ่มความสัมพันธ์ของคนในสังคมออกเป็นสถาบันทางสังคม เพื่อให้สามารถมองเห็นภาพความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะการมองสังคมในระดับนี้ จะท�าให้เห็นว่าสถาบันทางสังคมทุกสถาบันล้วนผูกพันกันเป็นองค์รวม และเชื่อมโยงกันเป็นโครงสร้างของสังคมô. การจัดระเบียบทางสังคมการอาศัยอยู่ในสังคมย่อมต้องสัมพันธ์กับบุคคลหลายประเภท และสถาบันทางสังคมหลายสถาบัน ซึ่งรูปแบบความสัมพันธ์และหลักการปฏิบัติต่อบุคคลหรือสถาบันทางสังคมนั้นๆà¡Ãç´¹‹ÒÃÙŒการถ่ายทอดวั นธรรมจากรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง คือ การนำาวั นธรรมที่ผ่านการเลือกสรรกลั่นกรองแล้วไปใช้ในกระบวนการให้การศึกษา อันจะยังผลให้สมาชิกในสังคมเกิดความเข้าใจ ตระหนักในคุณค่า และนำาไปปฏิบัติอย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับยุคสมัยจะแตกต่างกันไปตามกฎระเบียบที่สังคมแต่ละแห่งก�าหนดขึ้น จึงท�าให้ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันมีระเบียบแบบแผน สามารถคาดหวังได้ว่าแต่ละบุคคลจะแสดงพฤติกรรมต่อกันอย่างไร เพื่อจุดประสงค์หรือเป้าหมายใด ซึ่งนักสังคมวิทยาเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “การจัดระเบียบทางสังคม ( )”แผนผังแสดงสถาบันทางสังคม11 .๑ ความหมายการจัดระเบียบทางสังคม หมายถึง วิธีการต่างๆ ที่คนในสังคมก�าหนดขึ้น เพื่อใช้เป็นกฎจราจรเป็นตัวอย่างหนึ่งของการจัดระเบียบทางสังคม เพื่อควบคุมการจราจรให้มีความคล่องตัวและปลอดภัยระเบียบกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกัน กฎเกณฑ์เหล่านี้ได้รับการจัดให้เป็นแบบแผน ท�าให้สังคมรับรู้ว่าควรจะปฏิบัติตนและกระท�าอย่างไร ในแต่ละโอกาส เวลา สถานการณ์ และสถานภาพ เรียกแบบแผนและกฎเกณฑ์ทางสังคมเช่นนี้ว่า “ระเบียบทางสังคม”กฎระเบียบทางสังคมได้รับการสร้างขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางให้คนในสังคมถือปฏิบัติต่อกันตามฐานะ สถานการณ์ และโอกาส กฎระเบียบจึงเป็นที่รู้จัก และเข้าใจกันในหมู่ของคนในสังคมเดียวกัน ท�าให้เกิดความรู้สึกเป็นหมู่พวกและสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นๆ ได้อย่างเป็นปกติสุข การจัดระเบียบทางสังคมจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละสังคม ทั้งนี้เป็นผลมาจากความคิด ความเชื่อ ประวัติศาสตร์ สภาพภูมิศาสตร์ และบรรทัดฐานของสังคมนั้นๆ ที่มีอิทธิพลต่อการสร้างและการส่งผ่านกฎเกณฑ์ทางสังคมให้แก่ผู้ที่เป็นสมาชิก ดังจะเห็นได้ว่าสังคมไทยจะแตกต่างจากสังคมจีน สังคมญี่ปุ่น สังคมอังกฤษ หรือแม้แต่ในสังคมเดียวกันความแตกต่างก็อาจเกิดขึ้นได้ตามภูมิภาค จังหวัด เพราะอาจมีการสืบเชื้อสายมาจากต่างชาติพันธุ์แล้วมาอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันก็เป็นได้อย่างไรก็ตามในปัจจุบันแม้ว่าความแตกต่างของการจัดระเบียบทางสังคมจะมีขึ้นระหว่างกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย แต่ก็จะมีกฎเกณฑ์ของสังคมในระดับประเทศครอบคลุมและก�าหนดให้พลเมืองของประเทศนั้นๆ ปฏิบัติตาม จึงเป็นผลให้ทุกกลุ่มชาติพันธุ์อยู่ร่วมกันเป็นป กแผ่น .๒ องค ระกอบของการจัดระเบียบทางสังคมองค์ประกอบของการจัดระเบียบทางสังคมเป็นสิ่งที่คนในสังคมสร้างขึ้นและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม คนในสังคมสามารถน�ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมองค์ประกอบของการจัดระเบียบทางสังคมที่ส�าคัญ ได้แก่๑) ระบบคุณค่าของสังคม ) ถือเป็นหัวใจหรือเป้าหมายสูงสุดที่สังคมปรารถนาจะให้บังเกิดขึ้น คุณค่านี้เป็นสิ่งที่สมาชิกของสังคมยอมรับ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม 12 น่ายกย่อง และสมควรกระท�าให้บรรลุผล เพราะจะก่อให้เกิดความร่มเย็นและความพึงพอใจของสังคมทั้งมวล อาจมีการเรียกระบบคุณค่าของสังคมว่าเป็น “ข้อตกลงของสังคม” ที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานและการสังเคราะห์ระหว่างความเชื่อปรัชญา ศาสนา อุดมการณ์ และภูมิปัญญาของสังคมที่หล่อหลอมจนเกิดเป็นคุณค่าหรือค่านิยมที่พึงยกย่อง เช่น เสรีภาพ ความรักชาติ ความดี มีคุณธรรม ความเสมอภาค ความยุติธรรม และความสุขที่เป็นผลมาจากความส�าเร็จ อันเกิดจากความขยันหมั่นเพียรในการท�างาน เป็นต้นระบบคุณค่าของสังคมท�าหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นสมองของมนุษย์ ที่เป็นศูนย์รวมก�าหนดให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายด�าเนินงานไปตามกลไกให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด เป้าหมายของสังคมก็เป็นบรรทัดฐานทางสังคมไทย กำาหนดให้ลูกศิษย์ที่ดีต้องเคารพเชื่อ ังครูอาจารย์และตอบแทนบุญคุณเท่าที่กระทำาได้เช่นเดียวกันเพราะเป็นเป้าหมายที่สมาชิกของสังคมนั้นประสงค์ที่จะก้าวไปให้ถึง๒) บรรทัดฐานหรือปทัสถานทางสังคม ) หมายถึง มาตรฐานการปฏิบัติตามบทบาทและสถานภาพของแต่ละบุคคล บรรทัดฐานทางสังคมเป็นระเบียบแบบแผนที่ก�าหนดว่า การกระท�าใดถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควรยอมรับ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามทิศทางของระบบคุณค่าทางสังคมนั่นเองกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ระบบคุณค่าเป็นเป้าหมายของสังคม บรรทัดฐานเป็นมาตรฐานหรือแนวทางการกระท�าตอบโต้กัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของสังคมนั้นๆตัวอย่างของบรรทัดฐานทางสังคม เช่น เมื่อสังคมต้องการจะให้สมาชิกของสังคมเป็นคนดีมีศีลธรรม สังคมก็จะก�าหนดมาตรฐานของความเป็นคนดีมีศีลธรรมว่าควรเป็นเช่นไร ผู้ที่เป็นพ่อ นักเรียน ครูอาจารย์ หรือประชาชน ก็จะรับรู้ถึงมาตรฐานนั้น และกระท�าตนเป็นคนดีตามมาตรฐานนั้น โดยละเว้นจากการกระท�าชั่ว หรือไม่กระท�าในสิ่งที่สังคมไม่พึงปรารถนาบรรทัดฐานจึงเป็นเหมือนกลไกทางสังคมที่คอยควบคุมความประพฤติของสมาชิกในสังคม ถ้าสังคมใดขาดบรรทัดฐานก็จะท�าให้สังคมนั้นเกิดความวุ่นวาย บรรทัดฐานจึงมีประโยชน์มากในสังคม เพราะหากมีผู้ฝ่าฝืนบรรทัดฐานย่อมได้รับการตอบโต้จากสมาชิกคนอื่นในสังคมซึ่งการตอบโต้ดังกล่าวเป็นกลไกทางสังคมอย่างหนึ่งที่ท�าให้บุคคลปฏิบัติตามกรอบหรือกฎเกณฑ์ทางสังคม13 ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าปฏิกิริยาตอบโต้ท�าให้เราสามารถรับรู้ได้ว่าบรรทัดฐานมีปรากฏในสังคม เช่น ถ้าพูดจาไม่สุภาพในที่สาธารณะหรือต่อคนอื่น คนทั่วไปก็จะมองหน้าหรืออาจถูกว่ากล่าวตักเตือนจากผู้ใหญ่ที่รู้จักมักคุ้น หากประพฤติผิดดื่มสุราอาละวาด เจ้าพนักงานของรัฐมีอ�านาจควบคุมตัวไปที่สถานีต�ารวจ หรือหากฆ่าคนตายก็จะถูกจ�าคุก เป็นต้นตัวอย่างดังที่ได้กล่าวมานี้แสดงให้เห็นว่าระดับของความผิดที่แตกต่างกันก็จะได้รับการตอบโต้จากสังคมหนักเบาแตกต่างกันไปตามความผิดที่ได้กระท�า ในทางตรงกันข้ามหากยึดถือและกระท�าตามกฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานทางสังคม ก็จะได้รับค�าชมเชยหรือรางวัลจากสังคม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับของการกระท�านั้นๆ ว่าสังคมให้คุณค่าในระดับใดการกระท�าทางสังคมอาจจ�าแนกออกเป็นระดับต่างๆ ซึ่งแต่ละระดับอาจเรียกว่า “ประเภทของบรรทัดฐาน” ประกอบด้วย ๒.๑) วิถีประชา ) หรือธรรมเนียมชาวบ้าน เป็นระเบียบแบบแผนที่สมาชิกในสังคมควรปฏิบัติตาม ถ้าหากไม่ปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืนจะถูกสังคมต�าหนิติเตียนหรือมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่ไม่รุนแรง แต่หากว่าท�าความดีตามมาตรฐานที่สังคมก�าหนดจะได้รับค�าชมเชยเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ก�าลังใจ เช่น หากนักเรียนแต่งกายไม่เรียบร้อยหรือพูดจาไม่สุภาพจะได้รับการต�าหนิจากพ่อแม่หรือครูอาจารย์ หากนักเรียนเก็บของได้แล้วน�าไปคืนแก่เจ้าของก็จะได้รับค�าขอบคุณและค�าชมเชย เป็นต้น¹Ò¹ÒÊÒÃÐแนวทางการอยูรวมกันอยางสันติสุขในสังคมไทย1. ตระหนักว่าเราอยู่ร่วมกันในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน ภายใต้หลังคาเดียวกัน ทุกคนต้องรับผิดชอบสังคมร่วมกัน 2. แลกเปลี่ยนสิ่งของที่จำาเป็นอย่างเท่าเทียมกัน ในการดำารงชีวิตอยู่ เราจำาเป็นต้องมีปัจจัยสี่ ในขณะที่มีความ แตกต่างทางฐานะกันอยู่มาก เราจึงไม่ควรแบ่งแยกคนรวยและคนจน แต่ให้มองดูว่าทุกคนเป็นสมาชิกของสังคมดังนั้น ทุกคนควรได้รับปัจจัยพื้นฐานที่ทำาให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างเท่าเทียมกัน3. เคารพกฎเกณ ์ในการอยู่ร่วมกัน 4. การใช้วาจาแห่งความรัก ความเมตตา5. แลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีต่อกันและกัน6. ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่บังคับข่มขู่ให้ผู้อื่นคิดตามเรา และร่วมกันตัดสินใจ หากคนในสังคมสามารถกระทำาได้ตามแนวทางที่ได้กล่าวมานี้ จะส่งผลให้การอยู่ร่วมกันในสังคมมีแต่ความสุข และสังคมจะเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นที่มา // . . . / / มส ส ส 14 ๒.๒) จารีต ) หรืออาจเรียกว่ากฎศีลธรรม หรือจารีตประเพณีเป็นมาตรฐานการกระท�าที่ส�าคัญมากขึ้น ผู้ที่ท�าผิดจารีตจะถูกนินทาว่าร้าย ถูกต�าหนิอย่างรุนแรง และเป็นที่รังเกียจของสังคมทั่วไป โดยเฉพาะในสังคมที่ยังไม่มีภาษาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร จารีตจะเป็นเสมือนกฎสังคมที่รุนแรงที่สุด เช่น หากใครท�าผิดเรื่องชู้สาวจะถูกขับออกจากสังคม หรือต้องโทษประหารชีวิต เป็นต้นจารีตเป็นเรื่องเกี่ยวกับค่านิยม ปรัชญา และอุดมการณ์ของสังคมที่เป็นกฎเกณฑ์หลักของสังคม เช่น พระพุทธรูปเป็นสิ่งที่ชาวพุทธให้ความเคารพนับถือ พุทธศาสนิกชนจะโกรธแค้นหากมีผู้แสดงอาการไม่เคารพ โดยผู้กระท�าจะได้รับโทษอย่างรุนแรง หรือการอกตัญ ูต่อพ่อแม่และครูอาจารย์ถือว่าเป็นการผิดจารีตอย่างรุนแรง เป็นต้นในทางตรงกันข้าม สังคมจะให้รางวัลสูงสุดและยกย่องหรือเลื่อนชั้นทางสังคมให้บุคคลที่กระท�าความดีอันมีคุณค่ายิ่งแก่สังคม เช่น นักพัฒนาดีเด่น พ่อตัวอย่าง เป็นต้น ๒.๓) กฎหมาย ) เป็นข้อบังคับที่รัฐจัดท�าขึ้น หรือมาตรฐานของสังคม หรือจารีตประเพณีที่ได้รับการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยก�าหนดบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนตามระดับความรุนแรงของการกระท�าไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น ความแตกต่างระหว่างวิถีประชา จารีต และกฎหมาย ก็คือ กฎหมายได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อบังคับใช้กับทุกคนในสังคม หรือในระดับโลกก็จะมีกฎหมายสากลเขียนไว้ ในขณะที่วิถีประชาและจารีตมักไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ทุกคนในสังคมจะรับรู้ว่ามีปรากฏอยู่และใช้เป็นมาตรฐานการด�ารงชีวิตในสังคมอย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันมีการบันทึกวิถีประชาและจารีตเป็นลายลักษณ์อักษรไว้บ้างแล้ว เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และสามารถใช้เปรียบเทียบกับวิถีประชาและจารีตของสังคมอื่นๆ ได้จะเห็นได้ว่าบรรทัดฐานทางสังคมเป็นกลไกที่ควบคุมความประพฤติของคนในสังคมให้เป็นไปตามทิศทาง เป้าหมาย และกฎระเบียบที่สังคมวางไว้ บรรทัดฐานจึงมีได้ทั้งสองนัย คือ มีการลงโทษต่อผู้ฝ่าฝืน หรือให้รางวัลแก่ผู้ที่กระท�าตามบรรทัดฐาน๓) สถานภาพและบทบาท ในสังคมต่างๆ ที่เราพบเห็นนั้น เมื่อดูผิวเผินก็จะพบคนและกลุ่มคนมากมาย บ้างก็ทักทายปราศรัยกันหรือท�างานร่วมกัน บ้างก็เดินผ่านกันไปมา โดยไม่ได้สนใจกัน ซึ่งปรากฏการณ์ดังนี้สามารถพบเห็นได้ในทุกสังคม แต่หากมองลึกลงไป คนในสังคมต่างมีการกระท�าโต้ตอบกัน ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ตามต�าแหน่งและหน้าที่ในสังคมเราเรียกต�าแหน่งทางสังคมว่า “สถานภาพ” และหน้าที่ที่กระท�าตามต�าแหน่งว่า “บทบาท”15 สถานภาพทางสังคม ( ) หมายถึง ต�าแหน่งที่บุคคลครอบครองอยู่ซึ่งบุคคลจะมีสิทธิและหน้าที่ตามบทบาทของต�าแหน่งนั้นๆ บทบาททางสังคม ( ) หมายถึง หน้าที่หรือพฤติกรรมที่แต่ละสังคมก�าหนดให้ผู้ที่ด�ารงต�าแหน่งต่างๆ ในสังคมกระท�าสถานภาพและบทบาทจะมีความเกี่ยวข้องกัน เมื่อพูดถึงสถานภาพก็ต้องพูดถึงบทบาทด้วย ยกตัวอย่างเช่น นายสมชายมีสถานภาพเป็นพ่อ ต้องท�าหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัว เป็นเสาหลักของครอบครัว ท�าหน้าที่อบรมสั่งสอนลูก ห่วงใยและเอื้ออาทรต่อสมาชิกครอบครัวทุกคน นอกจากนี้ ยังต้องท�าหน้าที่เป็นผู้น�า สร้างฐานะครอบครัวให้เป็นป กแผ่น ในขณะเดียวกันนายสมชายก็มีสถานภาพเป็นผู้ประกอบการ จึงมีหน้าที่สร้างและขยายธุรกิจให้เจริญก้าวหน้ามุ่งแสวงหาก�าไร และด�าเนินการให้ธุรกิจอุตสาหกรรมที่ท�าอยู่มีความเข้มแข็งสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ เป็นต้นจะเห็นได้ว่าบุคคลคนหนึ่งมีสถานภาพที่ต่างกันตามสถานการณ์ เมื่อสมชายอยู่ในครอบครัวจะมีสถานภาพเป็นพ่อ แต่ในที่ท�างานก็จะมีสถานภาพเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจอุตสาหกรรม ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าเมื่อสมาชิกในสังคมครอบครองสถานภาพใดแล้วก็จะต้องกระท�าหน้าที่ตามสถานการณ์นั้นๆ ตามที่สังคมก�าหนดหรือคาดหวังว่าควรจะแสดงพฤติกรรมเช่นไรจึงจะเหมาะสมกับต�าแหน่งโดยสถานภาพสามารถจ�าแนกออกได้เป็น ๒ ประเภท ดังนี้ ๓.๑) สถานภาพที่ติดตัวมาแต่ก�าเนิด ) เป็นสถานภาพที่สังคมก�าหนดให้โดยที่บุคคลไม่มีทางเลือก เช่น เพศ อายุ สีผิว การเป็นพ่อแม่ลูก เป็นญาติพี่น้องตามสายเลือด เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วสถานภาพประเภทนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และสังคมจะก�าหนดว่าสถานภาพในต�าแหน่งนั้นๆ ควรมีบทบาทหน้าที่เช่นไร เช่น หากเกิดเป็นผู้ชายควรมีสิทธิท�าสิ่งใดได้หรือท�าสิ่งใดไม่ได้ ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับการเกิดเป็นผู้หญิงก็จะมีสิทธิหน้าที่แตกต่างกันออกไป ๓.๒) สถานภาพสัม ทธิ์ ) เป็นสถานภาพที่ได้มาด้วยการใช้ความรู้ความสามารถของบุคคล ตัวอย่างสถานภาพประเภทนี้ เช่น ต�าแหน่งหน้าที่การงาน ระดับการศึกษา รายได้การได้รับตำาแหน่งต่างๆ ที่สูงขึ้น นับเป็นสถานภาพสัมฤทธิ ซึ่งเป็นสถานภาพที่ได้มาด้วยความรู้ความสามารถของบุคคล16 เป็นต้น หมายความว่าต�าแหน่งที่ได้มานั้นต้องใช้ความสามารถของตนกระท�าจึงจะได้มา เช่น สถานภาพเป็นนักเรียน เมื่อเรียนจบได้ท�างาน สถานภาพก็เปลี่ยนแปลงจากนักเรียนเป็นพนักงานบริษัทหรือพนักงานของรัฐ และเมื่อประสบความส�าเร็จในหน้าที่การงาน สถานภาพก็เปลี่ยนเป็นผู้จัดการบริษัทหรือได้เลื่อนต�าแหน่ง เป็นต้นอย่างไรก็ตามการอยู่ร่วมกันในสังคมทุกคนจะต้องปฏิบัติงานตามสถานภาพและบทบาทของตน เช่น เมื่อเป็นนักเรียนการปฏิบัติตามบทบาทก็จะต้องตั้งใจเรียน สถานภาพเป็นลูกก็จะต้องเชื่อฟังค�าสั่งสอนของพ่อแม่ เมื่อสถานภาพเป็นสามีหรือภรรยาก็ต้องมีหน้าที่ในการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูกให้เป็นคนดี ให้การศึกษาแก่ลูก เป็นต้นจึงกล่าวได้ว่า การอยู่ร่วมกันในสังคมแต่ละคนก็จะมีสถานภาพและบทบาทที่สังคมก�าหนด และมีการกระท�าต่อกันตามบรรทัดฐานและระบบคุณค่าที่มีอยู่ในสังคมนั้นแต่อย่างไรก็ตามหลายครั้งที่คนมีสถานภาพขัดกัน เช่น เมื่อเป็นนักเรียนจะต้องเป็นเด็กดีและขยันเรียนหนังสือ แต่หากอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เกเร ไม่สนใจเล่าเรียน มั่วสุม และสร้างพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับคนทั่วไป ก็จะท�าให้เราซึ่งมีสถานภาพเป็นนักเรียนและเป็นเพื่อนในเวลาเดียวกัน กระท�าตัวไม่ถูกว่าจะตั้งใจเรียนหรือหนีเรียนไปกับเพื่อนในกลุ่ม เพราะไม่ต้องการเสียทั้งการเรียนและเพื่อน เราเรียกว่า “สถานภาพที่ขัดแย้งกัน” ซึ่งก่อให้เกิดบทบาทที่ขัดแย้งกันตามไปด้วย โดยการแก้ไขก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่น ปรึกษาหารือกับครูอาจารย์หรือผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ หรือการเกลี้ยกล่อมให้เพื่อนกลุ่มดังกล่าวหันมาตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และหาเวลาพากันไปท�ากิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นต้น๕. การขัดเกลาทางสังคมพจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๔๙ ได้ให้ความหมายของการขัดเกลาทางสังคมว่า หมายถึง กระบวนการที่คนเรียนรู้การเป็นสมาชิกของกลุ่มหรือของสังคม โดยการซึมซับเอาบรรทัดฐานและค่านิยมทางสังคมมาเป็นของตนและเรียนรู้ในการปฏิบัติตนตามบทบาทและภาระหน้าที่ทางสังคม เช่น ลูก เพื่อน นักศึกษา ผู้สูงอายุดังนั้น การขัดเกลาทางสังคมจึงเป็นทั้งกระบวนการทางสังคมและจิตวิทยา ซึ่งมีผลท�าให้บุคคลมีบุคลิกภาพตามแนวทางที่สังคมต้องการ โดยเด็กที่เกิดมาจะต้องได้รับการอบรมสั่งสอนให้มีความเป็นคนโดยแท้จริง สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นและมีความสัมพันธ์กับคนอื่นได้อย่างราบรื่นกระบวนการขัดเกลาทางสังคมจะเริ่มต้นตั้งแต่บุคคลถือก�าเนิดขึ้นมาในโลก ตัวแทนส�าคัญที่ท�าหน้าที่ในเรื่องนี้ ได้แก่ ครอบครัว กลุ่มเพื่อน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ศาสนา ตลอดจน17 สื่อมวลชนต่างๆ โดยตัวแทนเหล่านี้จะท�าให้บุคคลได้ตระหนักถึงคุณธรรม คุณค่า และอุดมคติที่สังคมยึดมั่น ได้เรียนรู้บรรทัดฐาน และขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ใช้อยู่ในสังคม๕.๑ ระเภทของการขัดเกลาทางสังคมการขัดเกลาทางสังคมอาจจ�าแนกออกได้เป็น ๒ ประเภท ดังนี้๑) การขัดเกลาทางสังคมโดยทางตรง เช่น การอบรมขัดเกลาที่พ่อแม่ให้กับลูก ไม่ว่าจะเป็นการสอนพูด สอนมารยาทในการรับประทานอาหาร สอนให้เรียกพี่น้อง ปู่ย่า หรือครูอาจารย์จะสอนความรู้และวิทยาการให้แก่นักเรียนในชั้นเรียน เป็นต้น ในกรณีนี้ผู้สอนและผู้รับจะรู้สึกตัวในกระบวนการขัดเกลา เพราะเป็นการอบรมกล่อมเกลากันโดยทางตรง๒) การขัดเกลาทางสังคมโดยทางอ้อม เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ การฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ดูภาพยนตร์ เป็นต้น ผู้รับจะเรียนรู้โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสิ่งที่เรียนรู้จะค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในจิตใต้ส�านึกว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ และจะไม่ยอมรับหากกระท�าในสิ่งที่แปลกแยกออกไป การขัดเกลาทางสังคมโดยทางอ้อมจะครอบคลุมไปถึงการอ่านนวนิยายและหนังสือต่างๆ การเข้าร่วมในกลุ่มเพื่อนฝูงและเพื่อนร่วมงาน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการปรับตัวและพัฒนาบุคลิกภาพ๕.๒ องค กรที ทำาหน้าที ในการขัดเกลาทางสังคมกระบวนการขัดเกลาทางสังคมนี้เกิดขึ้นในทุกองค์กรทางสังคม โดยการอบรมกล่อมเกลาให้สมาชิกใหม่ได้รับรู้และกระท�าตามกฎเกณฑ์ที่สังคมวางไว้ ในที่นี้ได้จ�าแนกองค์กรที่ท�าหน้าที่ในการขัดเกลาทางสังคมไว้ ดังนี้๑) ครอบครัว เป็นองค์กรที่มีบทบาทส�าคัญในกระบวนการขัดเกลาทางสังคมโดยเริ่มตั้งแต่วัยทารก ซึ่งครอบครัวจะท�าหน้าที่อบรมสั่งสอนสมาชิกให้เป็นพลเมืองดี ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และแบบแผนที่สังคมก�าหนด๒) โรงเรียน เป็นองค์กรที่มีภาระหน้าที่ในการขัดเกลาทางสังคมต่อจากครอบครัว เพื่อสั่งสอนความรู้ วิทยาการ และศีลธรรมจรรยา ตลอดจนการปรับตัวของเด็กในสังคมที่กว้างออกไปจากครอบครัว๓) สถาบันศาสนา ดังที่กล่าวในเรื่องสถาบันศาสนาไว้ข้างต้นแล้วว่า ศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของสมาชิกในสังคม ศาสนาทุกศาสนามีข้อก�าหนดให้คนในสังคมเป็นคนดีมีศีลธรรม และให้อยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างเป็นสุข ดังนั้น สถาบันศาสนาจึงมีบทบาทส�าคัญที่ท�าให้ศาสนิกชนของแต่ละศาสนาประพฤติตนเป็นคนดีในกรอบของสังคมนั้น สถาบันศาสนาถือเป็นองค์กรหลักที่ท�าหน้าที่ถ่ายทอดแนวทางการด�าเนินชีวิตให้แก่สมาชิกในสังคม18 ๔) กลุ่มเพื่อน เมื่อเราเติบโตขึ้นและเข้าสังคมกับเพื่อนๆ ก็จะได้รับการขัดเกลาทางสังคมในหมู่เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันมาจากต่างครอบครัว กฎระเบียบของการอยู่ร่วมกันของแต่ละกลุ่ม ย่อมแตกต่างกันไป โดยทั่วไปกลุ่มเพื่อนมักมีบุคลิกบางประการคล้ายคลึงกัน เช่น รสนิยม ความคิดเห็น ฐานะทางเศรษฐกิจ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามสมาชิกบางคนของกลุ่มอาจมีความแตกต่างกัน แต่ก็จะสามารถปรับตัวเข้าหากันและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้กลุ่มเพื่อนจะมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นมาก เพราะวัยรุ่นมักมีพฤติกรรมการรับแบบอย่าง เช่นถ้ากลุ่มเพื่อนเป็นกลุ่มที่ขยันเรียนหนังสือก็จะชักชวนการเลือกคบเพื่อนที่ดีเป็นสิ่งสำาคัญ เพราะในปัจจุบันกลุ่มเพื่อนมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นมากกันศึกษาหาความรู้ ช่วยส่งเสริมเรื่องการเรียน แต่ถ้าหากกลุ่มเพื่อนเกเรมีนิสัยก้าวร้าวก็อาจชวนกันไปท�าในสิ่งที่ไม่ดี เช่น ยกพวกตีกัน เสพยาเสพติด เป็นต้น ดังนั้น การเลือกคบเพื่อนในช่วงวัยรุ่นจึงเป็นสิ่งที่ส�าคัญมาก ๕) สื่อมวลชน ในปัจจุบันสื่อมวลชนเข้ามามีอิทธิพลต่อการด�าเนินชีวิตของคนในสังคมเป็นอย่างมาก เพราะการถ่ายทอดข่าวสาร ความรู้ ศิลปะ ขนบธรรมเนียมประเพณีและกฎระเบียบทางสังคมไปยังสมาชิกของสังคมทุกหมู่เหล่า สามารถกระท�าได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วโดยผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น นอกจากองค์กรที่กล่าวมา ยังมีองค์กรอื่นๆอีกมากมายที่ท�าหน้าที่ขัดเกลาทางสังคมให้กับสมาชิกของสังคม เช่น กลุ่มเพื่อนร่วมงาน กลุ่มสตรี กลุ่มสหภาพแรงงาน กลุ่มองค์กรทางอาชีพ เป็นต้น องค์กรเหล่านี้ต่างมีกฎระเบียบของตนเองที่ก�าหนดให้บุคคลที่อยู่ในสังกัดปฏิบัติตาม ท�าให้สมาชิกได้เรียนรู้ถึงการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม อันจะน�ามาซึ่งการพัฒนาบุคลิกภาพและการเป็นสมาชิกที่ดีของกลุ่มหรือองค์กรนั้นๆ ได้ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันนำามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยเฉพาะในด้านการแพทย์19 ๖. การเปลี่ยนแปลงในสังคมการเปลี่ยนแปลงในสังคมเป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะหนึ่งที่มีอยู่ในทุกสังคม แม้แต่สังคมไทยก็เช่นเดียวกัน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในแต่ละยุคสมัย ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา (การเปลี่ยนแปลงอีกลักษณะหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคม คือ การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ซึ่งจะกล่าวถึงอย่างละเอียดในเนื้อหาหน่วยที่ ๒)๖.๑ ความหมายการเปลี่ยนแปลงในสังคม ( ) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงระเบียบของสังคมในการกระท�าเรื่องต่างๆ เช่น การเปลี่ยนวัตถุสิ่งของที่ใช้ การปรับเปลี่ยนวิธีการหรือเทคโนโลยีในการผลิตและการบริโภค การเปลี่ยนแบบแผนการอยู่ร่วมกันในครอบครัว ความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ระเบียบกฎเกณฑ์ทางสังคม หรือกฎหมาย เป็นต้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์และแบบแผนความประพฤติของคนในสังคมที่แตกต่างไปจากเดิม แต่ถ้าหากเป็นการเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคล เช่น เปลี่ยนสถานภาพจากเด็กเป็นผู้ใหญ่หรือการสลับปรับเปลี่ยนตัวบุคคลแต่ละต�าแหน่งภายในองค์กร การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนโครงสร้างและสถาบันทางสังคม เพียงแต่เป็นการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนคนซึ่งเป็นวงจรภายใต้ระบบสังคมเดิม จึงไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในสังคม๖.๒ ระเภทของการเ ลี ยนแ ลงในสังคมการเปลี่ยนแปลงในสังคม สามารถจ�าแนกประเภทได้ ดังนี้๑) การเปลี่ยนแปลงระดับจุลภาค เป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับบุคคลที่สร้างความสัมพันธ์ที่แปลกใหม่ต่อกัน และเป็นการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม เช่น การผลิตสินค้าเพื่อจ�าหน่ายด้วยการน�าภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ส่งออกขายในนามของชุมชนหรือต�าบล แทนการผลิตสินค้าด้วยวิธีการผลิตตามประเพณี หรือการเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอน ที่ให้ครูถ่ายทอดความรู้ให้นักเรียนฝ่ายเดียวเป็นการให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ เป็นต้น๒) การเปลี่ยนแปลงระดับมหภาค เป็นการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบถอนรากถอนโคนทั้งระบบสังคม เช่น การเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ ๕ การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ ๗ หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ใน พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงทางสังคมทั้งระดับจุลภาคและระดับมหภาค ล้วนมีผลกระทบต่อชีวิตของคนในสังคมในด้านต่างๆ เช่น ระเบียบแบบแผนในการด�าเนินชีวิตของผู้คน เป็นต้น20 ๖.๓ จจัยที ก่อให้เก ดการเ ลี ยนแ ลงในสังคมมูลเหตุที่ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมสามารถจ�าแนกออกเป็น ๒ ปัจจัยใหญ่ๆ ดังนี้๑) ปัจจัยภายใน เช่น การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งของใหม่ๆ การเปลี่ยนแปลงสภาพ-แวดล้อมทางธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายในจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมาก เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายขึ้น สามารถติดต่อสื่อสารได้รวดเร็วขึ้น สามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณที่มากขึ้นเพราะใช้เครื่องจักรผลิตแทนก�าลังคน ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรและอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัวและสังคมได้ในล�าดับต่อไป๒) ปัจจัยภายนอก มีบทบาทส�าคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ ปัจจุบันมีการแพร่กระจายและการรับวัฒนธรรมของสังคมอื่นมาใช้กันมาก ตัวอย่างเช่น การน�าระบบโรงเรียนมาใช้แทนการเรียนรู้จากครอบครัวหรือวัดเช่นในอดีต หรือการรับวัฒนธรรมด้านเครื่องแต่งกาย อาหาร ยารักษาโรค และเครื่องมือสื่อสารจากสังคมอื่นมาใช้จนท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมขึ้นมากมายในปัจจุบันนอกจากนี้ การที่ครอบครัวหรือชุมชนมิได้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวต้องเกี่ยวข้องกับสังคมอื่น ที่ตั้งอยู่รอบข้างและที่อยู่ห่างออกไปทั้งในและต่างประเทศ จนเกิดเป็นความเกี่ยวพันระหว่างสังคมแต่ละสังคม ซึ่งความเกี่ยวพันกันนี้มีขึ้นนับแต่อดีตกาลเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศ โดยชุมชนจะเชื่อมโยงต่อกันตามรูปแบบของการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา จนก่อให้เกิดเป็นสังคมท้องถิ่นและสังคมของประเทศชาติส�าหรับระดับนานาชาตินั้นในอดีตมักเป็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐเป็นส�าคัญแต่ในยุคปัจจุบันแม้ขอบเขตของความเป็นรัฐยังปรากฏอยู่ตามกฎหมาย แต่ความเกี่ยวข้องระหว่างสมาชิกกลับก้าวล�้าไปมาก ดังที่กล่าวกันว่าเป็น “โลกไร้พรมแดน” เป็นผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านการสื่อสารหรือไอที ( ) โดยโลกก้าวไปสู่ยุคของการใช้คอมพิวเตอร์ การสื่อสารผ่านดาวเทียม โทรศัพท์มือถือ และในขณะเดียวกันการคมนาคมระหว่างกันก็เป็นไปอย่างสะดวกทั้งทางรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน มีการค้าและการลงทุนระหว่างกันด้วยปริมาณและมูลค่าจ�านวนมหาศาล และได้มีการพึ่งพาและพึ่งพิงกันทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม21 ความเกี่ยวพันกันนี้เองได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมขึ้นอย่างรวดเร็วในสังคมทุกระดับ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก่อให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียขึ้นผลดี ได้แก่ การมีชีวิตที่สะดวกสบาย มีความรอบรู้ทันคนทันโลก และน�าความรู้มาพัฒนาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ผลเสีย ได้แก่ การหลงลืมและรังเกียจค่านิยมและวัฒนธรรมของตนเอง การชื่นชอบและรับเอาวัฒนธรรมต่างชาติมาใช้โดยปราศจากการไตร่ตรอง ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคมร้าวฉาน และการขาดความสามัคคี เป็นต้น อย่างไรก็ตามความเกี่ยวพันระหว่างสังคมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากจึงเป็นเรื่องที่เราควรใคร่ครวญและไตร่ตรองอย่างละเอียดในการที่จะเลือกรับวัฒนธรรมภายนอกเข้ามาใช้ในสังคม๗. ป ญหาสังคมไทยและแนวทางการแก้ไขป ญหาแม้ว่าสังคมจะมีความร่วมมือปรับเปลี่ยนและแก้ไข เพื่อที่จะให้กลไกทางสังคมด�าเนินไปอย่างราบรื่น แต่บางครั้งบางกรณีอาจเกิดมีปัญหาหรือข้อขัดแย้งขึ้นทั้งที่เป็นผลมาจากปัจจัยภายในและจากปัจจัยภายนอกของสังคม ซึ่งส่งผลให้การท�างานของกลไกทางสังคมไม่เป็นปกติ และกลายเป็นปัญหาสังคมขึ้นมาพจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๒๔ ได้ให้ความหมายของปัญหาสังคมว่า หมายถึง ภาวะใดๆ ในสังคมที่คนจ�านวนมากถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ และไม่พึงปรารถนา รู้สึกไม่สบายใจ และต้องการให้มีการแก้ไขให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการทุจริตในวงราชการ ปัญหายาเสพติด เป็นต้น ปัญหาสังคมเป็นผลมาจากกระบวนการทางสังคม รวมถึงการประเมินพฤติกรรมของคนในสังคมด้วยมาตรฐานศีลธรรมในขณะนั้นจากค�าจ�ากัดความดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ปัญหาหรือข้อขัดแย้งที่กระทบคนส่วนใหญ่ในสังคมเท่านั้นจึงจะถือว่าเป็นปัญหาสังคม แต่หากเป็นปัญหาของตัวบุคคลเพียงคนเดียว เช่น พี่ทะเลาะกับน้อง เพราะน้องไม่ยอมท�าการบ้าน ครูลงโทษนักเรียน เพราะท�าผิดกฎของโรงเรียน จะไม่ถือว่าเป็นปัญหาสังคมสังคมไทยก็เป็นเช่นเดียวกับสังคมอื่นๆ ทั่วโลกที่มีปัญหา เพราะทุกสังคมมีการเปลี่ยนแปลง มีคนกระท�าพฤติกรรมเบี่ยงเบนความสัมพันธ์ และสถาบันทางสังคมท�าหน้าที่ไม่ครบสมบูรณ์ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานท�าให้เกิดปัญหาสังคมได้ ปัญหาสังคมอาจมีความรุนแรงและ22 ส่งผลกระทบต่อสังคมในระดับและขอบเขตที่ต่างกัน เช่น ระดับชุมชน ระดับประเทศ และระดับโลก เป็นต้น อย่างไรก็ตามไม่ว่าปัญหาจะมีความรุนแรงและมีขอบเขตมากขนาดใด คนในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงจะต้องพยายามหาทางควบคุม เพื่อให้ความเป็นระเบียบเรียบร้อยกลับคืนมา ในที่นี้จะหยิบยกปัญหาสังคมบางประการมากล่าวถึงและเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขเพื่อเป็นตัวอย่างการศึกษากรณีปัญหาตัวอย่างดังนี้จะท�าให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงความรุนแรงและผลกระทบของปัญหาสังคม เพื่อจะได้ร่วมกันหาหนทางป้องกันมิให้เกิดขึ้นอีก หรือหากเกิดขึ้นแล้วจะร่วมกันแก้ไขได้อย่างไร๗.๑ ญหายาเสพต ดยาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติที่มีมาอย่างยาวนาน และนับวันจะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากข่าวการจับกุมคดียาเสพติดที่น�าเสนอผ่านสื่อต่างๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และมักจะมีเยาวชนเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่เป็นจ�านวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดในสังคมไทยที่ควรเร่งด�าเนินการแก้ไขให้หมดสิ้นไป เพราะนอกจากยาเสพติดจะน�าผลเสียมาสู่ร่างกายของผู้เสพ หรือผู้ค้าแล้ว ยังน�าไปสู่ปัญหาสังคมอื่นๆ เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการปล้นทรัพย์ ปัญหาโรคเอดส์ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองตามกฎหมายได้ให้ความหมายของยาเสพติดว่า หมายถึง ยา สารเคมี หรือวัตถุชนิดใดๆ ที่เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะโดยการรับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือวิธีการใดก็ตามท�าให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจ สาเหตุของปัญหายาเสพติดมาจากความอยากรู้อยากลองของเด็กเอง และไม่ได้รับค�าแนะน�าที่ถูกต้องจากผู้ใหญ่ จึงหลงผิดไม่รู้ถึงโทษหรือผลลัพธ์ที่จะเกิดตามมา และสาเหตุส�าคัญอีกประการหนึ่งมาจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่ผลักดันให้คนหันไปหายาเสพติดเช่น ครอบครัวแตกแยก ความทุกข์ที่เกิดจากความยากไร้ การไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ได้ ท�าให้จิตใจอ่อนแอ เมื่อได้รับการชักจูงให้เสพยาเพื่อคลายความทุกข์ก็หันเข้าหายาเสพติดการออกกำาลังกายอย่างสม่ำาเสมอ นอกจากจะทำาให้ร่างกายแข็งแรง ยังทำาให้ห่างไกลจากยาเสพติดอีกด้วย23 ในขณะเดียวกันเหล่ามิจฉาชีพที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวก็พยายามผลิตและจ�าหน่ายยาเสพติดด้วยกลวิธีหลอกล่อให้คนเสพยาโดยไม่ค�านึงถึงโทษที่จะเกิดขึ้นกับคนในสังคมแนวทางการแก้ไขและปราบปรามปัญหายาเสพติดที่ส�าคัญ มีดังนี้๑) นโยบายของรัฐบาล ด้านการปราบปรามปัญหายาเสพติด โดยการจับกุม ท�าลายแหล่งผลิตยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง และออกกฎหมายเพิ่มโทษผู้ผลิตและผู้ขายอย่างรุนแรง๒) สถานบ�าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ด�าเนินการเพื่อให้เลิกใช้สารเสพติดอนึ่งการบ�าบัดรักษาต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถาบันการศึกษา สถาบันทางศาสนา และสถาบันนันทนาการ ในการให้ความช่วยเหลือผู้ติดยาด้านเงินบริจาคกับสถานบ�าบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดให้สามารถออกเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อให้ก�าลังใจแก่ผู้ติดยาได้อย่างสม�่าเสมอ๓) ความช่วยเหลือจากองค์กรเอกชน ปัจจุบันมีองค์กรเอกชนมากมายที่ให้ความช่วยเหลือผู้ติดยาให้สามารถ ลด ละ เลิกการใช้สารเสพติด เช่น ส�านักงานสร้างเสริมสุขภาวะ (สสส.) เป็นต้น ในขณะเดียวกันได้มีการสนับสนุนให้สถาบันครอบครัว สถาบันศาสนา สร้างภูมิคุ้มกันให้คนในครอบครัวและสังคม เป็นคนดีและเป็นที่รักของคนรอบข้าง รู้ผิดรู้ชอบ และสามารถช่วยแบ่งเบาความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับคนอื่นได้หากเกิดปัญหาในชีวิต ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะท�าให้คนหลีกหนียาเสพติดได้เยาวชนถือเป็นหนึ่งในกลุ่มคนส�าคัญที่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนค่านิยมหรือทัศนคติของตนเอง ด้วยการมองว่ายาเสพติดเป็นภัยร้ายของชีวิตและสังคม จึงควรหลีกเลี่ยงและไม่ชักชวนผู้อื่นให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว นอกจากนั้นยังสามารถเข้าร่วมในกิจกรรมหรือโครงการที่จัดขึ้นเพื่อต่อต้านยาเสพติด เช่น การเข้าร่วมจัดนิทรรศการหรือเดินรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดในวันต่อต้านยาเสพติดโลก การเข้าเป็นสมาชิกในโครงการทู บี นัมเบอร์วัน เป็นต้น๗.๒ ญหาส งแวดล้อมประเทศไทยและทั่วโลกก�าลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในขั้นรุนแรง และส่งผลกระทบต่อการด�ารงชีวิตของประชาชนทุกคน สิ่งแวดล้อมในที่นี้ หมายถึง สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เช่น ดิน น�้า อากาศ ภูเขา และสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ เช่น ป่าไม้ พืชพันธุ์ทางธรรมชาติ สัตว์ป่า และสัตว์น�้า เป็นต้นสาเหตุที่ท�าให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมมีอยู่ด้วยกันหลายประการแต่ที่ส�าคัญ คือ เกิดจากกระบวนการผลิตโดยเฉพาะจากโรงงานอุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่งที่ก่อให้เกิดมลพิษการพัฒนาประเทศที่ก่อให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทั้งทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และ24 ภัยธรรมชาติ แต่ก็นับว่าน้อยมากถ้าเปรียบเทียบกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการกระท�าของมนุษย์ เช่น การถางป่าเพื่อใช้ที่ดินในการเพาะปลูก การตัดต้นไม้ท�าฟืนและถ่าน เพื่อใช้เป็นพลังงานการช่วยกันปลูกต้นไม้ นับเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยรักษาและส่งเสริมสิ่งแวดล้อมของชุมชนและสังคมให้ดีขึ้นในการหุงต้ม เป็นต้นส�าหรับแนวทางการป้องกันและแก้ไขควรเริ่มที่ระดับบุคคลและครอบครัวซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่ส�าคัญที่สุดของสังคม โดยการปลูกฝังความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้อง เกี่ยวกับการสงวนรักษาสภาพแวดล้อม การใช้พลังงานทดแทน และการปลูกต้นไม้เพื่อทดแทน เป็นต้น รวมทั้งการหาแนวทางรณรงค์การรักษาสิ่งแวดล้อมต่อไปในระดับชุมชนและระดับประเทศ เพราะการให้ความรู้ความเข้าใจถือว่าเป็นแนวทางแรกที่จะแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุได้ดีที่สุด๗.๓ ญหาการท จร ตปัญหาการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือคอร์รัปชันถือเป็นปัญหาที่ส�าคัญระดับชาติ จะเห็นได้ว่า การทุจริตมีตั้งแต่ในระดับชาติจนถึงระดับท้องถิ่น แม้ว่าจะมีการปราบปรามและรณรงค์ต่อต้านอยู่เนืองๆ แล้วก็ตามสาเหตุส�าคัญของการเกิดปัญหาทุจริตมาจากความต้องการบริโภคเกินความพอดี คือมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย จึงหาช่องทางทุจริตน�าเอาทรัพย์สินของคนอื่นและของทางราชการมาเป็นของตนเอง รวมทั้งกฎเกณฑ์และกฎศีลธรรมของคนในเสื่อมลง จึงท�าผิดได้โดยไม่มีความละอายและเกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมืองแนวทางการแก้ไขปัญหาจึงเริ่มจากการปลูกฝังค่านิยมที่ดี โดยเฉพาะการปลูกฝังให้เห็นว่าประโยชน์ส่วนรวมเป็นสิ่งที่ส�าคัญที่สุด รวมทั้งต้องมีการรณรงค์ให้คนในสังคมรังเกียจการทุจริต เน้นความซื่อสัตย์ ภูมิใจในศักดิ์ศรีของตนเอง โดยต้องปลูกฝังตั้งแต่ในวัยเด็ก ผ่านทางการอบรมสั่งสอนของบิดามารดา และการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบ เพื่อให้ค่านิยมเหล่านี้ซึมลึกอยู่ในจิตใจของคนไทยทุกคน นอกจากนี้ บทลงโทษทางสังคมก็จะต้องเข้มแข็งไม่ให้มีช่องว่างทางกฎหมายในการช่วยเหลือพวกพ้องให้พ้นผิด คนจะได้ไม่กล้าทุจริต และสังคมต้องให้การสนับสนุนด้วยการชี้เบาะแสผู้กระท�าผิดให้กับองค์กร ก็จะเป็นการช่วยแก้ไขปัญหานี้ให้ลดน้อยลงได้25 ๗. ญหาความร นแรงในครอบครัวและสังคมปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคมก�าลังเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมาก เพราะปัญหาดังกล่าวน�าไปสู่ปัญหาสังคมต่างๆ เช่น ปัญหาการหย่าร้าง ปัญหาการทารุณกรรมในครอบครัว ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ ปัญหาสิทธิเด็กและสตรี ปัญหาวัยรุ่น เป็นต้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจเป็นแนวทางน�าไปสู่ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด และการพนัน ต่อไปได้สาเหตุหลักๆ ของปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคมนั้นมาจากการที่สังคมมีจ�านวนสมาชิกหรือจ�านวนประชากรเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ท�าให้คนในสังคมต้องแข่งขันกันในด้านต่างๆ จนเกิดความเครียด หรือสภาพสังคมที่เน้นวัตถุนิยม รวมทั้งการยับยั้งชั่งใจและการควบคุมอารมณ์ให้มีสติของคนในสังคมมีน้อยลง จึงท�าให้หลายคนหันไปใช้ก�าลังและความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ตนเองก�าลังเผชิญอยู่แนวทางการแก้ไขปัญหาควรเริ่มจากการสร้างค่านิยมการให้เกียรติกันและกันในครอบครัว หันหน้าปรึกษาหารือกันทั้งทางด้านการเงิน การเรียน การด�าเนินชีวิต และทางด้านจิตใจ สิ่งเหล่านี้จะช่วยท�าให้ครอบครัวมีความเอื้ออาทร ลดความรุนแรงอย่างยั่งยืนได้ และต้องอาศัยความร่วมมือจากองค์กรช่วยเหลือต่างๆ เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการเข้าไปรณรงค์และดูแลท�าให้ปัญหาต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดี เช่น ส่งเสริมการสร้างครอบครัวใหม่ที่มีความเข้าใจกัน ส่งเสริมสิทธิสตรี ส่งเสริมการคุ้มครองเด็กและเยาวชน เป็นต้นอนึ่ง การสร้างความสมานฉันท์ในสังคมจะเป็นทางออกที่ดีให้กับสังคมที่มีการแตกแยกด้านความคิดและใช้ความรุนแรงเข้าประหัตประหารกัน โดยเน้นการติดต่อสื่อสารระหว่างกันผ่านทางการประชุม สัมมนา และการท�ากิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกัน รวมทั้งร่วมกันสร้างค่านิยมการยอมรับความแตกต่างในด้านความคิดเห็นของบุคคลอื่น เพราะถ้าหากสังคมไร้ค่านิยมดังกล่าว สังคมก็จะมีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง ปราศจากความสงบสุข และไม่อาจพัฒนาต่อไปได้นอกจากปัญหาสังคมที่ได้ยกตัวอย่างมาข้างต้น สังคมไทยยังมีปัญหาสังคมอีกมากมายที่มีความรุนแรงสูง เช่น ปัญหาโรคเอดส์ ปัญหาสุขภาพอนามัย ปัญหาคนว่างงาน ปัญหาคนชรา เป็นต้น ซึ่งทุกปัญหาต้องได้รับความร่วมมือจากสมาชิกของสังคมในการพิจารณาถึงสาเหตุของแต่ละปัญหา แนวทางป้องกัน และร่วมกันแก้ไขปัญหาก่อนที่จะลุกลามไปมากกว่าเดิม ทั้งนี้หากทุกคนท�าหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์โดยอยู่ในกรอบของกฎหมายและกฎเกณฑ์ทางสังคม ก็ย่อมจะท�าให้สังคมเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้อย่างแน่นอน26 . แนวทางการพัฒนาทางสังคมภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่ส�าคัญทั้งภายนอกและภายในประเทศ อันจะส่งผลกระทบต่อทิศทางการพัฒนาของประเทศไทยในอนาคต ประกอบกับการพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมา ยังก่อให้เกิดปัญหาทางโครงสร้างในหลายๆ ด้าน เช่น ระบบเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการประเทศที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน น�ามาสู่ความเสี่ยงที่จะท�าให้เกิดปัญหาต่างๆ รุนแรงมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงจ�าเป็นต้องก�าหนดแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสม โดยเน้นการเตรียมพร้อมและสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้สามารถปรับตัวรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมั่นคงการพัฒนาประเทศในระยะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ยึดหลักการปฏิบัติตาม “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และขับเคลื่อนให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ยึดแนวคิดการพัฒนาแบบบูรณาการเป็นองค์รวมที่มี “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา”มีการเชื่อมโยงทุกมิติของการพัฒนาอย่างบูรณาการ ทั้งด้านตัวคน สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเมือง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้พร้อมเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ขณะเดียวกันก็ให้ความส�าคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในกระบวนการพัฒนาประเทศ โดยได้ก�าหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาไว้ ดังนี้ยุทธศาสตรการพั นาสังคมในแ นพั นาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ บับที่ . สรางความเป นธรรมในสังคมปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีฐานการพั นาที่ทั่วถึงและยั่งยืนส่งเสริมการจัดการทรัพยากรที่เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชนทุกคนพั นาบริการสาธารณะและระบบสวัสดิการทางสังคมให้มีคุณภาพและมีช่องทางการเข้าถึงอย่างเท่าเทียมกันเพิ่มศักยภาพของชุมชนในการจัดการปัญหาของชุมชนด้วยตนเองเสริมสร้างการบริหารราชการแผ่นดินให้มีความโปร่งใส ยุติธรรม๒. พั นาคนสูสังคมแหงการเรียนรูตลอดชีวิตอยางยั่งยืนส่งเสริมการเพิ่มจำานวนประชากร และการกระจายตัวในการตั้งถิ่นฐานในอัตราที่เหมาะสมกับทรัพยากรพั นาคุณภาพคนทุกช่วงวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิตส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ความมีระเบียบวินัย แก่คนในประเทศส่งเสริมการยอมรับความแตกต่างทางวั นธรรมในสังคม เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน27 . สรางความเขมแข ง าคการเกษตร และความมั่นคงของอาหารและพลังงาน สนับสนุนให้เกษตรกรมีที่ดินทำากินเป็นของตนเอง สนับสนุนการวิจัยและพั นานวัตกรรมเพื่อใช้ในการผลิต ด้านการเกษตร พั นาระบบการสร้างหลักประกันรายได้ของเกษตรกรให้มีความมั่นคง และครอบคลุมอย่างทั่วถึง สนับสนุนให้ทำาการเกษตรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงานจากพืช และส่งเสริมการใช้พลังงานชีวภาพ . ปรับโครงสรางเศรษฐกิจสูการเติบโตอยางมีคุณ าพและยังยืน สร้างความเข้มแข็งให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ( )ส่งเสริมการนำาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาต่อยอดในเชิงพาณิชย์พั นาเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พั นาระบบขนส่งสินค้าทั้งในประเทศและระหว่างประเทศให้ได้มาตรฐานสากลเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงบประมาณ เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการคลัง๕. สรางความเชื่อมโยงกับประเทศใน ูมิ าคเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมพั นาความเชื่อมโยงด้านการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ภายใต้กรอบความร่วมมือในอนุภูมิภาคต่างๆ เตรียมความพร้อมในทุกด้านเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนเข้าร่วมเป็นภาคีความร่วมมือระหว่างประเทศ และภูมิภาคภายใต้บทบาทที่สร้างสรรค์ พั นาทรัพยากรมนุษย์ และส่งเสริมแรงงานไทยในต่างประเทศมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมนานาชาติที่มุ่งเน้นการมีคุณภาพชีวิต ที่ดี๖. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมอยางยั่งยืนอนุรักษ์ น ู และสร้างความมั่นคงของทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม พั นาระบบการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพปรับปรุงโครงสร้างการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมพั นาระบบเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติส่งเสริมการเพิ่มบทบาทในเวทีโลกที่เกี่ยวข้องกับพันธกรณีด้าน สิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ28 กลาวโดยสรุป การศึกษาสังคมมนุษยนั้น จําเปนตองเรียนรูถึงโครงสรางทางสังคม เพื่อใหสามารถมองเห็นลักษณะของระบบและสถาบันทางสังคมอยางชัดเจน สามารถเขาใจกลไกการจัดระเบียบทางสังคมที่ยึดโยงสังคมใหธํารงอยูและมีเอกลักษณเฉพาะของแตละสังคม โดยความสัมพันธของสมาชิกในสังคมจะอยูภายใตโครงสรางสังคมที่อาจเปนไปไดทั้งในทางความรวมมือสนับสนุนกันและกัน การแขงขัน การขัดแยง การประนีประนอมหรือการเอาเปรียบกัน แตทั้งหมดก็จะตองเปนไปตามระเบียบแบบแผนหรืออยูในกรอบของสังคมนั้นๆเมื่อสังคมมีสมาชิกใหม กระบวนการขัดเกลาทางสังคมก็จะบังเกิดขึ้น เพื่อใหสมาชิกใหมไดเรียนรูคุณธรรม คุณคา และอุดมคติที่สังคมยึดมั่น และไดเรียนรูบรรทัดฐานและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ใชในสังคม ึ่งจะทําใหผูนั้นเปนสมาชิกของสังคมไดอยางสมบูรณ การขัดเกลาทางสังคมอาจเปนไปในทางตรง เชน สอนพูด สอนมารยาท และทางออม เชน ผานสื่อตางๆ ผานอินเทอรเน็ต และการอยูรวมกับคนอื่นในสังคมนอกจากนี้ สังคมทั้งหลายมิไดหยุดนิ่งอยูกับที่ แตเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและตามแรงกระตุนตางๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทําใหโครงสรางและการจัดระเบียบทางสังคมตองปรับเปลี่ยนไปตามกระแส ทั้งทางบวกและทางลบ ึ่งผลกระทบในทางลบที่เกิดขึ้นอาจกอใหเกิดป ญหาสังคมตามมา ดังนั้น ประชาชนทุกคนตองรวมกันแกไขและสรางแนวทางในการพั นาสังคม เพื่อใหโครงสรางและการจัดระเบียบทางสังคมปรับเปลี่ยนตามบริบทที่อยูบนรากฐานของความเปนไทยอยางแทจริง29 ๑. โครงสร้างทางสังคมมีความส�าคัญอย่างไรต่อสังคม๒. การจัดระเบียบทางสังคม มีองค์ประกอบอะไรบ้าง จงอธิบาย๓. เพราะเหตุใด เราจึงจ�าเป็นต้องเรียนรู้สังคมของตนเองและสังคมอื่นๆ๔. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ส่งผลอย่างไรต่อท้องถิ่นของนักเรียน๕. จงเสนอแนะแนวทางที่จะช่วยบรรเทาหรือขจัดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคม ที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย มาพอสังเขปคÒ¶ÒÁประจÓหน่วยการเรียนรู้¡Ô¨¡ÃÃÁสร้างสรรค์พัฒนาการเรียนรู้กิจกรรมที่๑ให้นักเรียนเสนอแนะวิธีการจัดระเบียบสังคม เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน มา ๑ วิธีการ พร้อมเสนอแนะแนวทางการน�ามาปฏิบัติ พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลที่คาดว่าจะได้รับกิจกรรมที่๒ให้นักเรียนสืบค้นข่าว กรณีศึกษา หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสังคมที่ส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาส่งผลกระทบด้านลบ ให้นักเรียนวิเคราะห์ในประเด็นต่อไปนี้• เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบด้านบวก - ชื่อเหตุการณ์ - ผลดีต่อการอยู่ร่วมกันหรือการพัฒนาสังคมให้เจริญก้าวหน้า - สถานการณ์ที่เกิดขึ้น• เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบด้านลบ - ชื่อเหตุการณ์ ปัญหา - สถานการณ์ - สาเหตุของปัญหา - ผลกระทบ - แนวทางการป้องกันแก้ไขและพัฒนากิจกรรมที่๓ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม จัดนิทรรศการเกี่ยวกับบุคคลตัวอย่างที่ท�าประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติ กลุ่มละ ๑ ท่าน เกี่ยวกับประวัติ ผลงาน คุณความดี ที่เป็นแบบอย่าง30 ตัวชี้วัด˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·ÕèÇѲ¹¸ÃÃÁä·Â๒àÁ×è;ٴ¶ §Êѧ¤ÁËÃ×ͤ¹·ÕèÁÒÍÂًËÇÁ¡Ñ¹áÅÐÁÕ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸µ‹Í¡Ñ¹ àÃÒµŒÍ§¹ ¡¶ §ÇÑ ¹¸ÃÃÁ·Õè໚¹¼Å¼ÅÔµÍѹà¡Ô´¨Ò¡¡ÒáÃзíÒÃÐËÇ‹Ò§¡Ñ¹¢Í§ÊÁÒªÔ¡ã¹Êѧ¤Á à¾ÃÒÐÇÑ ¹¸ÃÃÁ໚¹ÊÔ觷ÕèÁ¹ØɏÊÌҧ¢ é¹ â´ÂÊÁÒªÔ¡¢Í§Êѧ¤ÁãËŒ¡ÒÃÂÍÁÃѺáÅйíÒä»à»š¹ÇÔ¶Õ»¯ÔºÑµÔ㹡ÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµ ´Ñ§¹Ñé¹ ÇÑ ¹¸ÃÃÁ¨ §à»š¹·Ñé§¤Ø ¤‹Ò¢Í§Êѧ¤Á ºÃ÷Ѵ°Ò¹·Ò§Êѧ¤Á áÅТ¹º¸ÃÃÁà¹ÕÂÁ»ÃÐà¾ Õ µÅÍ´¨¹¼Å¼ÅÔµ ¼Å§Ò¹ ÀÙÁÔ» ÞÞÒµ‹Ò§ ·ÕèÁ¹ØɏÊÌҧ¢ é¹ÇÑ ¹¸ÃÃÁä·Â໚¹áººá¼¹¢Í§¡ÒôíÒà¹Ô¹ªÕÇÔµ¢Í§¤¹ä·Â ÁÕ¤ÇÒÁ໚¹àÍ¡ÅÑ¡É áµ‹¡ ÁÕ¤ÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ¢ͧᵋÅзŒÍ§¶Ôè¹ è§áµ¡µ‹Ò§¡Ñ¹Í͡仵ÒÁÊÀÒ¾ÀÙÁÔÈÒʵÏáÅСÅØ‹ÁªÒµÔ¾Ñ¹¸Ø·ÕèÁÒÍÒÈÑÂÍÂÙ‹ÃÇÁ¡Ñ¹à»š¹ª¹ªÒµÔä·Âสาระการเรียนรู้แกนกลาง■ความหมาย ความสำาคัญ และประเภทของวั นธรรม■ลักษณะและความสำาคัญของวั นธรรมไทย■การปรับปรุงเปลี่ยนแปลง และอนุรักษ์วั นธรรมไทย■ความแตกต่างระหว่างวั นธรรมไทยกับวั นธรรมสากล■แนวทางการอนุรักษ์วั นธรรมไทยที่ดีงาม■วิธีการเลือกรับวั นธรรมสากล■ วิเคราะห์ความจำาเป็นที่จะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง อนุรักษ์วั นธรรมไทย และเลือกรับวั นธรรมสากล (ส ๒. ม.๔-๖/ ) ñ. ความหมาย ความสÓคัญ และประเภทของวัฒนธรรม๑.๑ ความหมายของวั นธรรมโดยปกติ ค�าว่า “วัฒนธรรม” มีความหมายสองทางคือ วัฒนธรรมหมายถึง ธรรมที่เป็นเหตุให้เจริญเป็นความหมายที่มาจากค�าสองค�า คือ “วัฒน” กับ “ธรรม” ค�าว่าวัฒน หรือ พัฒน หมายถึง ความเจริญ ส่วนค�าว่า ธรรม หมายถึง คุณความดี ความชอบ ดังนั้น วัฒนธรรมจึงหมายถึงธรรมแห่งความเจริญ อีกความหมายคือ วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งที่ไม่มีอยู่เองตามธรรมชาติแต่เป็นสิ่งที่สังคมหรือคนส่วนรวมมีความต้องการและจ�าเป็นที่ต้องผลิตหรือสร้างให้เกิดขึ้น แล้วถ่ายทอดให้อนุชนรุ่นหลังด้วยการสั่งสอนและเรียนรู้สืบๆ ต่อกันมาจนกลายเป็นประเพณีวัฒนธรรมในความหมายแรกเป็นความหมายสามัญที่คนทั่วไปใช้กันในความหมายของพฤติกรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม เป็นสิ่งที่ได้รับการปรุงแต่งให้ดีหรือสิ่งที่ได้รับการยกย่องมาเป็นเวลานานแล้ว เพราะได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นรูปลักษณะที่สูงเด่น เช่น ขนบธรรมเนียม ประเพณีที่ส�าคัญ ภูมิปัญญา ค่านิยมที่ผู้คนยกย่อง กิริยามารยาทในสังคม สถาปัตยกรรม ภาษา และวรรณคดี เป็นต้น โดยวัฒนธรรมดังกล่าวจ�าเป็นต้องร่วมกันอนุรักษ์และสงวนรักษาไว้ เพื่อให้เป็นมรดกของสังคมสืบไปวัฒนธรรมในความหมายที่สองเป็นความหมายที่นักสังคมวิทยาและนักสังคมศาสตร์ได้ให้ไว้โดยก�าหนดให้ความหมายครอบคลุมกิจกรรมที่กว้างขวางกว่า กล่าวคือ วัฒนธรรมเป็นทุกสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เช่น ภาษา ศิลปะ กฎหมาย ศาสนา การปกครอง อุปกรณ์ที่เป็นวัตถุหรือสิ่งประดิษฐ์ เป็นต้น ซึ่งแสดงรูปแบบแห่งสัมฤทธิผลทางวัฒนธรรมและท�าให้เป็นลักษณะวัฒนธรรมทางปัญญา สามารถใช้สอยได้ เช่น เครื่องจักรกล เครื่องมือสื่อสาร ศิลปวัตถุ เป็นต้นดังนั้น วัฒนธรรมจึงเป็นทุกสิ่งที่เรียนรู้และรับการถ่ายทอดมาจากการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นแบบอย่างของพฤติกรรมทั้งหลายที่ได้มาทางสังคมและถ่ายทอดกันไปทางสังคม โดยอาศัยสัญลักษณ์ วัฒนธรรมจึงเป็นลักษณะเด่นและเป็นสากลส�าหรับสังคมมนุษย์ ที่ไม่มีในสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากมนุษย์วัดอรุณราชวราราม เป็นสถาปัตยกรรมที่บ่งบอกถึงวั นธรรมไทย และเป็นโบราณสถานที่อยู่คู่ประเทศไทยมาช้านาน32 ๑.๒ ความสำาคัญของวั นธรรมดังที่ได้กล่าวในตอนต้นแล้วว่า วัฒนธรรม คือ ทุกสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อใช้ตอบสนอง ความต้องการ ค�ากล่าวนี้เป็นค�ากล่าวที่ครอบคลุมลักษณะ ประเภท และความส�าคัญของวัฒนธรรมไปพร้อมๆ กัน จึงอาจจะเป็นการยากในการมองภาพวัฒนธรรมในแง่คุณประโยชน์ อย่างเป็นรูปธรรม ความส�าคัญของวัฒนธรรม มีดังนี้๑) เพื่อใช้ประโยชน์ต่อการด�ารงชีวิต กล่าวคือ๑.๑) เป็นเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในการด�ารงชีวิต ในแง่นี้วัฒนธรรมเป็น อุดมการณ์ ค่านิยม ทัศนคติ และจุดหมายปลายทางของชีวิต ที่คนในสังคมประสงค์ที่จะด�าเนินชีวิตให้บรรลุผลที่ตั้งไว้ เพราะวัฒนธรรมจะเป็นตัวแบบที่ก�าหนดว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีงามเหมาะสม เป็นสิ่งที่ปรารถนาจะให้บังเกิดขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นจุดหมายที่บุคคลพึงบรรลุถึง และยังเป็นสิ่งดีงามเหมาะสมในการใช้น�าทางในการด�าเนินชีวิต๑.๒) เป็นตัวก�าหนดความสัมพันธ์หรือพ ติกรรมของมนุษย์ โดยผ่านทางกระบวนการขัดเกลาทางสังคม เพื่อให้เรียนรู้ระเบียบทางสังคม สถานภาพและบทบาท สถาบันและโครงสร้างทางสังคม๑.๓) เป็นตัวควบคุมสังคม การควบคุมทางสังคมเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นตัวก�าหนดเฉพาะเจาะจงถึงการแสดงออกของบุคคลในสังคม หรือที่เรียกว่า “บรรทัดฐานทางสังคม” ซึ่งก�าหนดแนวทางความประพฤติของคนในสังคมไว้ ๑.๔) เป็นสิ่งของเครื่องใช้ทุกประเภท ในแง่นี้เป็นวัฒนธรรมที่เป็นวัตถุ เพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายและจิตใจ เช่น อาหาร เสื้อผ้า บ้านเรือน ยารักษาโรค ศิลปกรรม ภาพวาด เครื่องจักร คอมพิวเตอร์ เป็นต้น๒) วั นธรรมท�าหน้าที่หล่อหลอมบุคลิกภาพให้กับสมาชิกของสังคม ให้มีลักษณะเป็นแบบใดแบบหนึ่ง แม้ว่าบุคลิกภาพจะเป็นผลมาจากปัจจัยทางชีวภาพบางส่วนก็ตาม แต่การอาศัยอยู่ร่วมกับคนอื่นภายใต้กฎระเบียบสังคมเดียวกัน ท�าให้คนมีบุคลิกภาพโน้มเอียงไปกับกลุ่มที่อาศัยอยู่ร่วมกันได้ เช่น เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่เป็นโจรจะมีบุคลิกภาพแตกต่างจากเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ประกอบอาชีพสุจริต บุคลิกภาพดังกล่าวจะแสดงออกในรูปของนามธรรม เช่น ความเชื่อ ความสนใจ ทัศนคติ ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และสิ่งที่มองเห็น เช่น การแต่งกาย กิริยาท่าทาง เป็นต้น33 ๓) วั นธรรมก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก่อให้เกิดความเป็นป กแผ่น ถ้าหากสมาชิกของสังคมมีลักษณะคล้ายคลึงกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็จะก่อให้เกิดความผูกพัน สามารถพึ่งพาอาศัยกันและกัน มีจิตส�านึกรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน ตลอดจนร่วมกันอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมของตนให้อยู่รอดและพัฒนาก้าวหน้าต่อไปได้ดังนั้น จะเห็นได้ว่ามนุษย์กับวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะต้องอยู่ควบคู่กันไป วัฒนธรรมจะเป็นสิ่งที่ตอบสนองและสร้างเสริมให้มนุษย์อยู่ในสังคมอย่างเป็นปกติสุข๑.๓ ระเภทของวั นธรรมวัฒนธรรมแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามเป้าหมายและลักษณะ ดังนี้๑) การจัดประเภทตามลักษณะที่มองเห็นหรือสัมผัสได้ แบ่งตามความเห็นของนักสังคมวิทยาได้ ดังนี้๑.๑) วั นธรรมทางวัตถุ เป็นวัฒนธรรมที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ เช่น หนังสือ แว่นตา รถยนต์ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น๑.๒) วั นธรรมทางอวัตถุ เป็นวัฒนธรรมที่มองไม่เห็น หรือเป็นมโนภาพ เช่น ค่านิยม มารยาท ปรัชญา บรรทัดฐาน สถาบันทางสังคม ความเชื่อ เป็นต้น๒) การจัดประเภทตามเนื้อหา แบ่งตามความหมายของวัฒนธรรมที่ปรากฏในพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้ดังนี้๒.๑) คติธรรม ได้แก่ วัฒนธรรมทางศีลธรรมและทางจิตใจ อันเป็นคติหรือหลักการด�าเนินชีวิต เช่น ความเมตตากรุณา ความกตัญ ูกตเวที เป็นต้น๒.๒) วัตถุธรรม ได้แก่ วัฒนธรรมทางวัตถุ หมายถึง วัตถุทางศิลปกรรม เช่น เจดีย์ บ้านเรือน เครื่องแต่งกาย ถนนหนทาง และสิ่งประกอบความเป็นอยู่ทุกชนิด รวมถึงเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลาย ซึ่งถือว่าเป็นวัฒนธรรมทางวัตถุทั้งสิ้น๒.๓) เนติธรรม ได้แก่ วัฒนธรรมทางกฎหมาย หรือกฎศีลธรรมต่างๆ ตามขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีที่มีความส�าคัญเสมอด้วยกฎหมาย กล่าวคือ บางอย่างแม้ไม่มีกฎหมายห้าม แต่ถ้าใครปฏิบัติก็เป็นที่รังเกียจ เป็นที่อับอายขายหน้า เพราะถือกันว่าไม่ดีไม่เหมาะสม หรือที่เราเรียกว่า “จารีต” นั่นเอง๒.๔) สหธรรม ได้แก่ วัฒนธรรมทางสังคม เป็นวัฒนธรรมในการติดต่อเกี่ยวข้องกับคนอื่นในสังคม เช่น มารยาทในการเข้าหาผู้ใหญ่ มารยาทในโต ะอาหาร มารยาทในการเข้าสังคม เป็นต้น34 อย่างไรก็ตามไม่ว่าวัฒนธรรมจะจ�าแนกออกเป็นประเภทต่างๆ ตามแนวทางของการจัดแบ่ง แต่สิ่งส�าคัญ คือ วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยผ่านทางสัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งมีทั้งวัฒนธรรมที่เรามองเห็นหรือสัมผัสได้ และวัฒนธรรมที่เรามองไม่เห็นแต่ได้รับการสร้างขึ้นเพื่อใช้ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ๒. ลัก ณะและความสÓคัญของวัฒนธรรมไทย ประเทศไทยเป็นถิ่นที่อยู่ของชนหลายชาติพันธุ์ โดยจากฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ได้แบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยออกเป็น ๓ กลุ่มตามตระกูลภาษาที่ใช้ ได้แก่กลุ่มตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก เช่น ลัวะ ปะหล่อง มลาบรี มอญ ซาไก เป็นต้นกลุ่มตระกูลภาษาไท-กะได เช่น ไทย ไทใหญ่ ไทลื้อ พวน ลาว เป็นต้นกลุ่มตระกูลภาษาจีน-ทิเบต เช่น กะเหรี่ยง จีน ่อม้ง มูเซอ อาข่า เป็นต้นสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงจัดการปกครองแบบรวมอ�านาจเข้าสู่ส่วนกลาง โดยก�าหนดให้ภาษาไทยเป็นภาษากลาง และเผยแพร่ขนบธรรมเนียมประเพณีของพระนครออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ท�าให้เกิดมีวัฒนธรรมหลักของไทยขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ยกย่องและอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นเช่นกันแผนผังการจัดประเภทของวั นธรรมแบ่งตามเนื้อหาคติธรรม วัตถุธรรม เนติธรรม สหธรรมแบ่งตามลักษณะที่มองเห็นหรือสัมผัสได้วัฒนธรรมทางวัตถุวัฒนธรรมทางอวัตถุวั นธรรมการแต่งกายของชาวไทยภูเขา จัดเป็นวั นธรรมของชนแต่ละกลุ่ม แต่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของวั นธรรมไทยประเภทของวั นธรรม35 นับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน สังคมไทยมีความเป็นป กแผ่นและมีวัฒนธรรมหลักที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศที่เด่นชัด ท�าให้สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมพม่า วัฒนธรรมลาว วัฒนธรรมเขมร และวัฒนธรรมของชนในภูมิภาคอื่นของเอเชียและของโลกได้อย่างชัดเจน เราจึงเรียกกันว่า “วัฒนธรรมไทย” อย่างไรก็ตามเนื่องจากสังคมไทยเป็นที่รวมของชนหลายเผ่าพันธุ์ และมีการยกย่องวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มแต่ละท้องถิ่นอย่างจริงจังตลอดมา ท�าให้วัฒนธรรมท้องถิ่นหรือวัฒนธรรมในภูมิภาคมีปรากฏอย่างเด่นชัด และได้รับการอนุรักษ์ ส่งเสริม สืบสาน และถ่ายทอดมาตราบเท่าทุกวันนี้๒.๑ ลัก ณะของวั นธรรมไทยประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตสุวรรณภูมิหรือที่เรียกว่าอินโดจีน เป็นบริเวณที่รวมวัฒนธรรมอินเดียและวัฒนธรรมจีนที่เข้ามาผสมกลมกลืนกับวัฒนธรรมท้องถิ่นดั้งเดิมของคนที่อาศัยอยู่ในแหลมทองของไทยนับแต่อดีตกาล ท�าให้วัฒนธรรมไทยมีลักษณะเด่นที่น�าเอาข้อดีของวัฒนธรรมอินเดีย และของจีนมาใช้ โดยปรับให้เข้ากับขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นเดิม ภายใต้บริบทหรือสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ กลายเป็นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ วัฒนธรรมไทยเป็นวัฒนธรรมที่ได้หล่อหลอมให้คนไทยทุกหมู่เหล่าทุกภูมิภาคเป็นหนึ่งเดียวและน�ามาปฏิบัติใช้เป็นวิถีชีวิตที่คนทั้งชาติต่างภูมิใจ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้เกิดความสมานฉันท์ของพลเมือง โดยพื้นฐานวัฒนธรรมไทยมาจากสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้๑) การมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สถาบันพระมหากษัตริย์ได้เกิดขึ้นและอยู่ควบคู่กับสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านาน นับตั้งแต่เริ่มต้นเป็นชาติไทย พระมหากษัตริย์ได้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ ที่พสกนิกรทุกหมู่เหล่าแซ่ซ้องให้ความเคารพนับถือ และยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวของคนทั้งประเทศ ชนทุกเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยให้อยู่ร่วมกันและสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็เพราะมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ๒) พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ โดยรัฐให้การอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนาเป็นบ่อเกิดของค่านิยม ความเชื่อ แนวความคิด และบรรทัดฐานทางสังคมของชนชาติไทย ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาจะได้รับการยกย่องและปฏิบัติตาม ท�าให้วิถีชีวิตของคนไทยผูกพันกับพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น36 อย่างไรก็ตามรัฐได้ส่งเสริมความเข้าใจอันดีกับศาสนิกชนคนไทยที่นับถือศาสนาอื่น เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาอื่นๆ เช่นกัน อีกทั้งได้สนับสนุนให้น�าหลักธรรมของทุกศาสนามาใช้ เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต๓) ภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาประจ�าชาติที่คนไทยทั่วประเทศสามารถพูดเข้าใจและเขียนอ่านได้ ภาษาไทยจึงเชื่อมโยงให้ทุกคนในชาติติดต่อสื่อสารและสร้างความผูกพันต่อกัน และท�าให้คนไทยสามารถท�าความเข้าใจวัฒนธรรมหลักและวัฒนธรรมของภูมิภาคต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น๔) สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ประเทศไทยมีลักษณะภูมิประเทศเป็นแบบที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ด้วยแม่น�้าล�าคลองเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และใช้ในการเกษตร ท�านา ท�าไร่ ท�าสวน ท�าให้เกิดประเพณีวัฒนธรรมหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับแม่น�้าล�าคลอง เช่น ประเพณีแข่งเรือ ประเพณีลอยกระทง เป็นต้น๕) อาชีพเกษตรกรรม ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดประเทศหนึ่งของภูมิภาคมาช้านานแล้ว ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชนบทและมีวิถีีชีวิตความเป็นอยู่ผูกพันกับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ประเพณีและวัฒนธรรมส่วนใหญ่จึงมีพื้นฐานมาจากการเกษตรและการมีชีวิตอยู่ในชนบท อันเป็นรากฐานแห่งภูมิปัญญาทุกด้านของวิถีชีวิต แม้ในปัจจุบันประชากรบางส่วนจะอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในเมือง และหันไปประกอบอาชีพทางด้านอุตสาหกรรมและการบริการ แต่ความผูกพันกับชนบทและอาชีพเกษตรกรรมรวมไปถึงการประมงและการเลี้ยงสัตว์ยังมีอยู่อย่างแน่นแฟ้น๖) วิถีการด�าเนินชีวิตและบุคลิกภาพ คนไทยจะมีบุคลิกอ่อนน้อมถ่อมตน และให้ความเคารพผู้ใหญ่ที่มีคุณวุฒิและวัยวุฒิสูงกว่าตน เป็นคนเอื้อเฟื อเผื่อแผ่ มีเมตตากรุณา และผูกพันกับครอบครัว นอกจากนี้ คนไทยยังให้ความส�าคัญกับการคบเพื่อนและเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือที่เรียกว่าความเกรงใจ บุคลิกภาพดังกล่าวได้รับการหล่อหลอมจากกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ทั้งโดยทางตรง เช่น ครอบครัว กลุ่มเพื่อน โรงเรียน เป็นต้น และโดยทางอ้อม เช่นสุภาษิตสอนใจ ค�าพังเพย ปริศนาค�าทาย การละเล่นพื้นบ้าน เป็นต้นพระพุทธศาสนาเป็นแนวทางในการดำาเนินชีวิตของ คนไทย ดังนั้น ในฐานะพุทธศาสนิกชนที่ดีจึงควร ปฏิบัติตามแนวทางพระพุทธศาสนาอย่างครบถ้วน37 ) อาหารไทยเป็นที่รู้จักและนิยมกันทั่วโลก เพราะมีลักษณะพิเศษ คือ มีรสจัดและมีคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแกงและต้มย�าที่มีสมุนไพรมากมายเป็นเครื่องปรุง ซึ่งแสดงถึงภูมิปัญญาของคนไทยในการปรุงอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน แสดงออกถึงคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรม ความประณีตในการตกแต่งอาหารอย่างสวยงาม อาหารไทยจึงเป็นวัฒนธรรมหลักอย่างหนึ่งของชาติไทย ) วันส�าคัญและเทศกาล วันส�าคัญ และเทศกาลของชาติไทยมีตลอดทั้งปี ซึ่งวันส�าคัญและเทศกาลที่ถือว่าเป็นวัฒนธรรมหลักของชาติ มีดังนี้ .๑) วันส�าคัญที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์เช่น วันจักรี วันปิยมหาราชวันฉัตรมงคล วันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น .๒) วันที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ซึ่งประชาชนจะร่วมปฏิบัติบูชา เช่น วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันเข้าพรรษา วันอาสา หบูชา วันออกพรรษา วันธรรมสวนะ (วันพระ) เป็นต้น .๓) วันนักขัต กษ์และประเพณีที่แสดงถึงความรัก ความเคารพ และความผูกพันของคนในชาติ เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันครอบครัว วันสารทไทย วันสงกรานต์ วันลอยกระทง วันศิลปินแห่งชาติ วันเด็กแห่งชาติ วันพืชมงคล วันครู เป็นต้นอาหารไทยเป็นที่รู้จักและนิยมกันทั่วโลก ส่วนใหญ่จะมีรสจัดจากพริกและสมุนไพรต่างๆ และมีคุณค่าทางโภชนาการวันเข้าพรรษาถือเป็นวันสำาคัญทางศาสนาที่คนไทยทั่วทุกภาคจะไปทำาบุญร่วมกัน และในบางจังหวัดจะมีการจัดงานแห่เทียนพรรษากันอย่างยิ่งใหญ่ เช่นที่จังหวัดอุบลราชธานี38 ๒.๒ ความสำาคัญของวั นธรรมไทยสังคมทุกสังคมจะสร้างวัฒนธรรมเพื่อใช้ตอบสนองความต้องการของมวลสมาชิก และดังนั้น คนไทยทุกคนจึงต้องได้รับการอบรมสั่งสอนให้เรียนรู้วัฒนธรรมไทย เพื่อน�าไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจ�าวัน หากบุคคลใดไม่ได้อาศัยอยู่ในสังคมไทย และไม่ได้รับการขัดเกลาทางสังคมให้เรียนรู้วัฒนธรรมไทย บุคคลนั้นก็จะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนไทยประเทศไทยมีลักษณะเป็น “สังคมพหุวัฒนธรรม” คือ มีการอยู่ร่วมกันของสมาชิกที่มีความแตกต่างกันในหลายด้าน เช่น ชาติพันธุ์ ภาษา ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นต้น จากความหลากหลายดังกล่าว น�าไปสู่การแลกเปลี่ยนและการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างวัฒนธรรมชาติ วัฒนธรรมท้องถิ่น วัฒนธรรมชนเผ่า วัฒนธรรมต่างชาติ และวัฒนธรรมเกี่ยวกับศาสนาความเชื่อ กลายเป็นวัฒนธรรมไทยที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และมีคุณค่าต่อชาวไทยและประเทศชาติทั้งด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม แม้ว่าจะมีวัฒนธรรมอื่นๆ ในภาคต่างๆ ที่แตกต่างกันบ้างแต่ก็อยู่บนพื้นฐานของวัฒนธรรมเดียวกัน โดยเฉพาะสถาบันพระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยทุกคนอาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศร�่ารวยด้วยทุนทางวัฒนธรรม เพราะเป็นประเทศเก่าแก่ มีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มีแหล่งโบราณสถานโบราณวัตถุ ตลอดจนมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติมากมาย จนกลายเป็น “มรดกทางวัฒนธรรม” ให้แก่ชนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์สืบไป เพื่อใช้เป็นแนวทางและวิถีปฏิบัติต่อกันในสังคม โดยได้สั่งสม หล่อหลอม สืบสาน และพัฒนาจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละสังคม ท�าให้เราสามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมไทยที่แตกต่างจากวัฒนธรรมจีนวัฒนธรรมญี่ปุ่น วัฒนธรรมอังกฤษ เป็นต้นวัฒนธรรมได้รับการสร้างขึ้นและสั่งสมกันมามากมายจนครอบคลุมวิถีการด�ารงชีวิตในทุกแขนงหรือที่เรียกว่า “มนุษย์เป็นผู้สร้างทางวัฒนธรรม” ต่อมาภายหลังที่มีสมาชิกใหม่เกิดขึ้น คนเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางวัฒนธรรมที่มีอยู่ ท�าให้มีการกล่าวกันว่า “วัฒนธรรมสร้างมนุษย์” พระพุทธศาสนามีส่วนสำาคัญในการหล่อหลอมให้เกิดวั นธรรมไทย และเอกลักษณ์เฉพาะของคนไทย39 ๓. วัฒนธรรมในภูมิภาคต่าง ของไทยจากที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่าประเทศไทยมีขนาดใหญ่ มีสภาพภูมิศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันไปตามภูมิภาค จังหวัด และอ�าเภอ คนในแต่ละพื้นที่ได้สร้างวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับท้องถิ่นที่อาศัยอยู่และได้ประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมานับเป็นระยะเวลานาน จนกลายเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือวัฒนธรรมพื้นบ้านขึ้นมาวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นมีมากมายและครอบคลุมการด�าเนินชีวิตทุกด้านของผู้คนที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นแห่งนั้นๆ ทั้งทางด้านอาหาร เครื่องแต่งกาย ที่อยู่อาศัย ศิลปะ ศาสนา และลัทธิความเชื่อ ยาและการรักษาโรค ประดิษฐกรรมและหัตถกรรม และการด�ารงชีวิตตามสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เป็นต้น ในที่นี้จะกล่าวไว้เพียงตัวอย่างบางด้าน เพื่อให้นักเรียนได้ใช้เป็นแนวทางในการสืบค้นหาความรู้ด้านวัฒนธรรมในท้องถิ่นของตนต่อไป๓.๑ วั นธรรมท้อง นภาคเหนือ เป็นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะวัฒนธรรมของชาวล้านนาที่ยังคงยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีของพระพุทธศาสนา ที่แสดงออกถึงมิตรไมตรีและความเอื้อเฟื อเผื่อแผ่ต่อกัน มีการสืบทอดมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จึงถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ส�าคัญยิ่งที่คนในท้องถิ่นภาคเหนือยังรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน ในที่นี้จะกล่าวถึงตัวอย่างวัฒนธรรมที่ส�าคัญของภาคเหนือ ดังนี้๑) ด้านอาหารโดยตัวอย่างของวัฒนธรรมในด้านนี้ ได้แก่ ประเพณีเลี้ยงข้าวแลงขันโตกหรือกิ นข้าวแลงขันโตก เป็นประเพณีของชาวล้านนา ผู้ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดทางภาคเหนือตอนบนและใช้ภาษาไทยเหนือเป็นภาษาพูด มีการตกแต่งสถานที่อย่างสวยงาม มีอาหารภาคเหนือหลากหลายชนิด เจ้าภาพและแขกเหรื่อจะแต่งกายแบบพื้นเมืองทั้งชายและหญิง งานเลี้ยงขันโตกจะเริ่มด้วยขบวนแห่น�าขบวนขันโตกด้วยสาวงามช่างฟ้อน ตามมาด้วยคนหาบกระติบหลวง ขบวนแห่นี้จะผสมกับเสียงดนตรีโห่ร้องแสดงความชื่นชมยินดี เมื่อมาถึงงานเลี้ยงแล้วก็จะน�ากระติบหลวงไปวางไว้กลางงานแล้วน�าข้าวนึ่งในกระติบหลวงแบ่งใส่กระติบเล็กๆ แจกจ่ายไปตามโตกต่างๆ จนทั่วบริเวณงาน ซึ่งมีโตกใส่ส�ารับกับข้าวเตรียมไว้ก่อนแล้ว อาหารที่เลี้ยงกันนั้นนอกจากจะมีข้าวนึ่งเป็นหลักแล้ว ก็จะมีกับข้าวแบบของชาวเหนือ คือ แกง ังเล แกงอ่อม แกงแค ไส้อั่ว น�้าพริกอ่อง น�้าพริกหนุ่ม แคบหมู ผักสด และของหวาน เช่น ขนมปาด ข้าวแต น เป็นต้น40 ๒) ด้านศาสนาและลัทธิความเชื่อตัวอย่างวัฒนธรรมในด้านนี้ ได้แก่ งานท�าบุญทอดผ้าป่าแถว งานท�าบุญตานก วยสลากหรือการท�าบุญสลากภัต (ทานสลาก)ประเพณีการสืบชะตา เป็นต้น ๑. การท�าบุญทอดผ้าป่าแถวจะกระท�ากันในเขตตัวอ�าเภอและอ�าเภอรอบนอกของจังหวัดก�าแพงเพชร โดยกระท�าพร้อมกันทุกวัดในคืนวันลอยกระทงหรือวันขึ้น ๑๕ ค�่า เดือน ๑๒ โดยชาวบ้านแต่ละครัวเรือนจะจัดหากิ่งไม้ เทียนไข ผ้า ข้าวสาร อาหารแห้ง ผลไม้ และบริขารของใช้ต่างๆ พอตกกลางคืนเวลาราว ๑๙.๐๐ น. ชาวบ้านจะน�าองค์ผ้าป่าไปไว้ในลานวัด จัดให้เป็นแนวเป็นระเบียบแล้วน�าผ้าพาดบนกิ่งไม้ น�าเครื่องไทยธรรมที่เตรียมไว้มาวางใต้กิ่งไม้ พอถึงเวลามรรคนายกวัดจะป่าวร้องให้เจ้าของผ้าป่าไปจับสลากรายนามพระภิกษุ เมื่อได้นามพระภิกษุแล้วเจ้าของผ้าป่าจะเอามากลัดติดไว้กับผ้าที่ห้อยอยู่บนกิ่งไม้ของตน และพากันหลบไปแอบอยู่ในเงามืดเฝ้ารอดูด้วยความสงบว่าพระภิกษุรูปใดจะมาชักผ้าป่าของตน เมื่อพระภิกษุชักผ้าป่าเรียบร้อยแล้ว พระภิกษุทุกรูปจะไปนั่งรวมกันแล้วให้ศีลเจริญพระพุทธมนต์ อวยชัยให้พร เมื่อสิ้นเสียงพระสงฆ์ มหรสพต่างๆ จะท�าการแสดงทันที ๒. งานท�าบุญตานก วยสลากหรือการท�าบุญสลากภัต (ทานสลาก) จะท�าในช่วงวันเพ็ญเดือน ๑๒ (วันขึ้น ๑๕ ค�่า เดือน ๑๒) ถึงเดือนเกี ยงดับ (วันแรม ๑๕ ค�่า เดือน ๑๒) หรือราวเดือนตุลาคม - พฤศจิกายนของทุกปี ชาวเหนือหรือชาวล้านนาไทยจะท�าบุญตานก วยสลากหรือกิ นก วยสลาก โดยวันแรกแต่ละครอบครัวหรือคณะศรัทธาจะเตรียมงานต่างๆ หรือเรียกว่า“วันดา” ผู้หญิงจะไปจ่ายตลาดหาซื้อของ ส่วนผู้ชายจะเหลาตอกสานก วยไว้หลายๆ ใบ จากนั้นน�ามากรุด้วยใบตองหรือกระดาษสีต่างๆ เพื่อบรรจุของกินและของใช้ เสร็จแล้วน�าใบตองหรือกระดาษปิดมัดก วยรวมกันเป็นมัดๆ ส�าหรับเป็นที่จับ ตรงส่วนที่รวบไว้นี้ชาวบ้านจะเสียบไม้ไผ่และสอดเงินไว้เป็นเสมือนยอด ก วยสลากมี ๒ ชนิด คือ ก วยเล็กจะมียอดเงินไม่มากนักใช้เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ผีปู่ย่าตายายที่ล่วงลับหรืออุทิศส่วนกุศลเพื่อตนเองในภายภาคหน้า ส่วนอีกชนิดหนึ่งเป็นก วยใหญ่ เรียกว่า สลากโจ้ก (สลากโชค) ส่วนมากจะจัดท�าขึ้น เพื่อให้อานิสงส์เกิดแก่ตนเอง ในภพหน้าจะได้มีกินมีใช้ เกิดความมั่งมีศรีสุขเหมือนในชาตินี้ การทำาบุญตานก วยสลากหรือการทำาบุญสลากภัต (ทานสลาก) เป็นประเพณีของภาคเหนือ ที่มี คติสอนใจให้คนเรารู้จักสามัคคีกัน41 งานท�าบุญตานก วยสลากหรืองานบุญสลากภัตมีคติสอนใจให้คนเรารู้จักรักใคร่สามัคคีกัน เกิดความปรองดองในหมู่ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันในทางคติธรรมจะมีคติสอนใจพระสงฆ์และสามเณรมิให้ยึดติดในลาภสักการะทั้งหลาย โดยเฉพาะก วยสลากที่ญาติโยมน�ามาถวายนั้นอาจมีเล็กบ้างใหญ่บ้าง มีเงินมากน้อยต่างกัน การจับสลากจึงยังผลให้พระสงฆ์รู้จักตัดกิเสส การท�าบุญโดยไม่เจาะจงพระผู้รับสิ่งบริจาคนี้ ถือเป็นการท�าความดีเพื่อความดีจริงๆ ตามอุดมการณ์ เพื่อความสุขของจิตใจโดยแท้ ๓. งานประเพณีการสืบชะตาหรือการต่ออายุได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนา กระท�าขึ้นเพื่อยืดชีวิตด้วยการท�าพิธีเพื่อให้เกิดพลังรอดพ้นความตายได้ เป็นประเพณีที่คนล้านนานิยมกระท�าจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ ประเพณีการสืบชะตาคน ประเพณีการสืบชะตาบ้าน และสืบชะตาเมือง การสืบชะตาคนจะกระท�าขึ้นเมื่อเกิดการเจ็บป่วย หรือหมอดูทายทักว่าชะตาไม่ดี ชะตาขาด ควรจะท�าพิธีสะเดาะเคราะห์และสืบชะตาต่ออายุเสีย จะท�าให้แคล้วคลาดจากโรคภัยและอยู่ด้วยความสวัสดีต่อไป ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับการสืบชะตาบ้านและการสืบชะตาเมืองอันเป็นอุบายให้ญาติพี่น้องและผู้เกี่ยวข้องมารวมกัน เพื่อให้ก�าลังใจและปรึกษาหารือในการแก้ปัญหาบ้านปัญหาเมืองให้ส�าเร็จลุล่วงไปตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นเป็นวัฒนธรรมที่ผู้คนทางภาคเหนือของไทย ได้กระท�าสืบทอดกันมานาน นอกจากนี้ ยังมีอีกมากมาย เช่น ปอยส่างลองหรืองานบวชลูกแก้วเป็นสามเณรในพุทธศาสนาของชาวไทยใหญ่ในจังหวัดแม่ ่องสอน ปอยหลวงหรืองานมหกรรมการท�าบุญของล้านนา งานสมโภชพระพุทธชินราชจังหวัดพิษณุโลกงานท�าขวัญผึ้งของชาวอ�าเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัยงานแข่งเรือที่เป็นต�านานกี าของชาวบ้านลุ่มน�้าในจังหวัดพิจิตร พิษณุโลก และน่าน งานอุ้มพระด�าน�้าเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ งานสู่ขวัญเพื่อสร้างพลังใจของชาวบ้าน ซึ่งเป็นประเพณีธรรมเนียมไทยทั่วทุกภูมิภาค การตีเหล็กน�้าพี้ของต�าบลน�้าพี้ อ�าเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ประเพณีสงเคราะห์ของชาวล้านนา พิธีเลี้ยงผีปู่ย่าซึ่งเป็นผีผู้คุ้มครองจริยธรรมของสตรีล้านนา เป็นต้นงานบวชลูกแก้วหรือปอยส่างลอง เป็นการบวชสามเณรของชาวไทยใหญ่ จังหวัดแม่ ่องสอน42 ๓.๒ วั นธรรมท้อง นภาคกลาง วัฒนธรรมท้องถิ่น ภาคกลางส่วนใหญ่เป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคเหนือ แต่มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปบ้าง เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ สภาพสังคม และค่านิยมในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน ลักษณะวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีโดยรวมมีความเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมในพระพุทธศาสนา และพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อในการด�าเนินชีวิต ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่ส�าคัญของวัฒนธรรมไทย ตัวอย่างของวัฒนธรรมทางภาคกลางที่ส�าคัญ มีดังนี้๑) ด้านศาสนาและลัทธิความเชื่อเช่น ประเพณีการรับบัวโยนบัว การบูชารอยพระพุทธบาทเป็นต้น ๑. ประเพณีรับบัวโยนบัวมีขึ้นที่อ�าเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมากว่า ๘๐ ปี โดยชาวบ้านเชื่อตามต�านานว่า หลวงพ่อโตลอยตามแม่น�้าเจ้าพระยามาหยุดที่ปากคลองส�าโรงเป็นการแสดงเจตจ�านงอันแน่วแน่ว่าจะจ�าพรรษาอยู่ในละแวกนั้นอย่างแน่นอน ชาวบ้านจึงช่วยกันรั้งนิมนต์เข้ามาจนถึงวัดบางพลีใหญ่ใน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานในปัจจุบัน แล้วอัญเชิญขึ้นไว้ในโบสถ์ หลวงพ่อโตจึงเป็นหลวงพ่อของชาวบางพลีตั้งแต่นั้นมาหลังจากนั้นในวันขึ้น ๑๔ ค�่าเดือน ๑๑ ของทุกปี ชาวบางพลีจะนิมนต์หลวงพ่อขึ้นเรือแล่นไปให้ชาวบ้านได้นมัสการ ชาวบ้านจะพากันมาคอยนมัสการหลวงพ่ออยู่ริมคลองและเด็ดดอกบัวริมน�้าโยนเบาๆ ขึ้นไปบนเรือของหลวงพ่อ ต่อมางานรับบัวและโยนบัวจึงกลายเป็นประเพณีสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน๒. การบูชารอยพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี โดยรอยพระพุทธบาทเป็นปูชนียสถานที่ส�าคัญยิ่งแห่งหนึ่ง เพราะเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติและศาสนา เป็นที่รู้จักแพร่หลายของประชาชน และเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทศกาลบูชาพระพุทธบาท คือ ช่วงวันขึ้น ๑ ค�่า เดือน ๓ ถึงวันแรม ๑ ค�่า เดือน ๓ กับช่วงวันขึ้น ๑ ค�่าเดือน ๔ ถึงวันแรม ๑ ค�่า เดือน ๔ ประชาชนทั่วทุกสารทิศทั้งในเพศบรรพชิตและคฤหัสถ์ต่างหลั่งไหลมานมัสการรอยพระพุทธบาทในพระมณฑป อันเป็นการเชื่อมโยงความรู้สึกนึกคิดของพุทธบริษัททั้งหลายให้รู้สึกผูกพันต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดาอย่างเหนียวแน่นตลอดมาประเพณีรับบัว โยนบัว เป็นประเพณีของชาวจังหวัดสมุทรปราการที่ปฏิบัติสืบทอดกันมากว่า 80 ป ซึ่ง จัดขึ้นเพื่อนมัสการหลวงพ่อโต43 ๒) ด้านที่เกี่ยวกับการด�ารงชีวิตทางการเกษตร ได้แก่ การท�าขวัญข้าวเป็นประเพณีที่ยังคงท�ากันอย่างกว้างขวางในหมู่ของคนไทยภาคกลาง ไทยพวน และไทยอีสานทั่วไป โดยจะนิยมท�ากันเป็นระยะ คือ ก่อนข้าวออกรวง หลังจากนวดข้าวและขนข้าวขึ้นยุ้ง ส�าหรับการเรียกขวัญก่อนข้าวออกรวงจะนิยมท�ากันตั้งแต่วันแรม ๑ ค�่า เดือน ๑๑ เป็นต้นไป ผู้ที่จะเรียกขวัญจะเป็นผู้หญิง ซึ่งจะแต่งกายให้สวยงามกว่าธรรมดา พอถึงที่นาของตนก็จะปักเรือนขวัญข้าวลงในนา จากนั้นก็น�าผ้าซิ่นไปพาดกับต้นข้าว เอาขนมนมเนย ของเปรี้ยว ของเค็ม เครื่องประดับ ของหอมต่างๆ หมาก พลู และบุหรี่ ใส่ลงไปในเรือนขวัญข้าว จากนั้นก็จุดธูป ๘ ดอก เทียน ๑ เล่ม และนั่งพนมมือเรียกขวัญข้าว พอเสร็จพิธีเรียกขวัญแล้วผู้ท�าพิธีเรียกขวัญก็จะเก็บข้าวของที่มีค่าบางส่วนกลับบ้าน ส่วนเครื่องสังเวยอื่นๆ ก็จะทิ้งไว้ในเรือนขวัญข้าวนั้นต่อไป การท�าขวัญข้าวเป็นความเชื่อของชาวนาว่าจะท�าให้ข้าวออกรวงมาก ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ท�ากันมาแต่ดั้งเดิม๓) ด้านยาและการรักษาพื้นบ้าน จากการศึกษาค้นคว้าและรวบรวมต�ารายาพื้นบ้านในจังหวัดชลบุรี โดยได้มีการสัมภาษณ์แพทย์แผนโบราณ และค้นคว้าจากต�าราที่บันทึกอยู่ในใบลาน สมุดข่อยขาว สมุดข่อยด�า พบว่ามีต�ารายาไทยแผนโบราณทั้งหมด ๓๑๘ ขนาน ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันมี ๑๓๘ ขนาน จ�าแนกตามคุณสมบัติ เช่น ยาแก้ไข้ ๑๒ ขนาน ยาแก้ท้องเสีย ๖ ขนาน ยาขับโลหิต ๒๙ ขนาน ยาแก้ไอ ๑ ขนาน ยาแก้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ ๒ ขนาน ยาแก้ลม ๑๑ ขนาน เป็นต้น ยาส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร และแร่ธาตุนอกจากนี้ ยังมีประเพณีวัฒนธรรมของภาคกลางอีกจ�านวนมาก ที่่ถือปฏิบัติกันมาช้านานเช่น งานพิธีการทิ้งกระจาดของจังหวัดสุพรรณบุรี งานประเพณีแห่เจ้าพ่อเจ้าแม่ปากน�้าโพ จังหวัดนครสวรรค์งานประเพณีตักบาตรเทโวของจังหวัดอุทัยธานี การทำาขวัญข้าว เป็นความเชื่อของชาวนาว่าจะทำาให้ข้าวออกรวงมาก ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำากันมาแต่ดั้งเดิมประเพณีแห่เจ้าพ่อเจ้าแม่ปากน้ำาโพจะจัดขึ้นทุกป ในช่วงตรุษจีน ถือเป็นงานยิ่งใหญ่ประจำาจังหวัดนครสวรรค์44


Author

เฉลย แบบวัดและบันทึกผลการเรียน รู้ หน้าที่พลเมือง ม. 4--6

Top Search