Show เมื่อช่างติดตั้งสายใยแก้วนำแสงในงานนั้นๆ เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการทดสอบการใช้งานว่าสามารถใช้งานได้จริง และมีประสิทธิภาพหรือไม่ บริษัท VTi ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟเบอร์ออฟติก มีข้อมูลเกี่ยวกับหลักการทดสอบสายไฟเบอร์ออฟติกภายหลังการติดตั้ง ในการทดสอบสายไฟเบอร์ออฟติกภายหลังการติดตั้งนั้น จะต้องทำการทดสอบในหลายๆ ด้าน เช่น การทดสอบด้านเมคานิค การทดสอบด้านกายภาพ การทดสอบเกี่ยวกับคุณสมบัติของสาย หรือการทดสอบเกี่ยวกับการรับส่งสัญญาณ ในการทดสอบ 3 ข้อแรกที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้นจะทำการทดสอบเพียงแค่ครั้งเดียว เพราะค่าจะเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ซึ่งการทดสอบที่สำคัญจะเน้นไปที่การรับส่งสัญญาณเพื่อให้มั่นใจว่าสายไฟเบอร์ที่ติดตั้งไปสามารถรับส่งข้อมูลได้มีประสิทธิภาพตามต้องการ โดยการทดสอบหลักๆ มีดังนี้ -การทดสอบการสูญเสียของสัญญาณของลิงก์ (End-To-End Optical Link Loss) -อัตราการสูญเสียต่อหน่วยความยาว (Attenuation) -การสูญเสียเนื่องจากการเชื่อมต่อแบบต่างๆ -ความยาวของสายไฟเบอร์ ค่าการสูญเสียของสัญญาณแสงที่นิยมใช้ ค่าการสูญเสียของสัญญาณแสงจะมีข้อจำกัด เนื่องจากเพื่อให้การรับส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างถูกต้อง ซึ่งค่านี้จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ตัวอย่างเช่น การเชื่อมต่อสายสัญญาณ เพื่อให้สามารถคำนวณค่าสูญเสียของสายสัญญาณได้ ซึ่งค่าการสูญเสียที่นิยมใช้ในการคำนวณมีดังต่อไปนี้ 0.2 dB/km สำหรับสาย Single Mode ที่ความยาวคลื่น 1,550 nm 0.35 dB/km สำหรับสายSingle Mode ที่ความยาวคลื่น 1,310 nm 1.0 dB/km สำหรับสายMultiMode ที่ความยาวคลื่น 1,300 nm 3.0 dB/km สำหรับสายMultiMode ที่ความยาวคลื่น 850 nm 0.05 dB สำหรับการสไปลซ์แบบหลอมละลาย (Fusion Splice) 0.1 dB สำหรับการสไปลซ์เชิงกล (Mechanical Splice) 0.2-0.5 dB สำหรับการเชื่อมต่อโดยใช้หัวเชื่อมต่อ (Connector) 3.5 dB สำหรับการใช้ตัวแยกสัญญาณจาก 1 ไป 2 (Splitter) สนใจสายไฟเบอร์ออฟติกราคาถูก สเปก true หรือเครื่องมือสำหรับใช้งานเกี่ยวกับสายไฟเบอร์ออฟติก สอบถามได้ที่ บริษัท วี-เทคโนโลยี อินฟินิท จำกัด (VTi) สอบถามรายละเอียดได้ที่ เว็บไซต์ https://www.vti-technology.com โทร : 096-6526495 (คุณเทอดศักดิ์) หรือคลิกไลน์ @ : line.me/R/ti/p/%40prj9736c อีเมล : คุณอาจจะเคยได้ยินผู้บริหารพูดเกี่ยวกับ Budget หรืองบประมาณในแง่ของการเงิน ในหน่วยเงินสกุลต่างๆ ย่อมทำให้คุณแปลกใจเวลาได้ยินถึงสิ่งที่เรียกว่า Loss Budget ครั้งแรก ที่เกี่ยวกับเรื่องของสายไฟเบอร์ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่มีผลกระทบอย่างมากต่อประสิทธิภาพการทำงานบนเครือข่ายของคุณ เป็นตัวชี้เป็นชี้ตายที่กำหนดว่าจะเกิดดาวน์ไทม์หรือไม่ได้เลยทีเดียว แล้วคุณทราบหรือไม่ว่า Loss Budget จริงๆ แล้วคืออะไร นิยามอย่างไร และควรจัดการแบบไหนถึงมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดการสูญเสียเกินค่าขีดจำกัดดังกล่าว? Loss Budget คืออะไร?เป็นค่าการสูญเสียสัญญาณที่ระบุในหน่วยเดซิเบล (dB) ซึ่งเกิดขึ้นตลอดสายเคเบิลใดๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบนการส่งสัญญาณทั้งทางไฟฟ้าหรือข้อมูลทุกรูปแบบ ยิ่งสายเคเบิลยาวเท่าไร ก็ยิ่งเกิดการสูญเสียมากเท่านั้น นอกจากนี้ยังรวมถึงการสูญเสียที่เกิดบนจุดเชื่อมต่อต่างๆ ระหว่างเส้นทางส่งสัญญาณ เช่นบริเวณหัวต่อ หรือจุดเชื่อมสายไฟเบอร์ (Splice) ถ้าพิจารณาที่นิยามตรงตัวแล้วมักค่อนข้างสับสนเวลาพูดถึงการสูญเสียหรือ “Loss” ในคำว่า Loss Budget ซึ่งจริงๆ แล้วชื่อเต็มของพารามิเตอร์นี้คือ “Insertion Loss” และที่สับสนยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หลายครั้งที่มีพูดถึง Insertion Loss ในรูปของค่า Attenuation แทน เนื่องจากตามมาตรฐานเดิมนั้นเคยนิยามด้วยคำว่า “Attenuation” หรือการลดทอนสัญญาณ แต่ต่อมาเรามองค่าการสูญเสียที่ยอมรับได้ให้ครอบคลุมถึงการลดความแรงของสัญญาณ “ทุกรูปแบบ” ด้วย จึงทำให้มีการเปลี่ยนนิยามมาเป็นค่าการสูญเสียจากสัญญาณที่วิ่งเข้ามาในสื่อหรือ Insertion Loss แทน ระบบสายไฟเบอร์แบบต่างๆ ล้วนมีข้อกำหนดด้านค่าการสูญเสียมากที่สุดจากการปล่อยสัญญาณนี้แตกต่างกันไป เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้เกิดการสูญเสียมากเกินจนทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณไปถึงปลายสายอีกด้านหนึ่งได้ ซึ่งเราควรหาค่าขีดจำกัดการสูญเสียหรือ Loss Budget นี้ตั้งแต่ช่วงแรกของการออกแบบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าระบบสายเคเบิลของคุณจะทำงานอยู่ในมาตรฐานที่เหมาะกับวัตถุประสงค์การใช้งาน แล้วมีวิธีคำนวณอย่างไร?ค่า Loss Budget ของคุณเป็นค่าที่พิจารณารวมจากทุกอองค์ประกอบของช่องทางส่งสัญญาณ ไม่ว่าจะเป็นตัวสายไฟเบอร์ หัวต่อ จุดเชื่อมสาย ตัวแยกสัญญาณ และตัวเชื่อมสาย นอกจากนี้ยังต้องดูถึงอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ตามสเปกของผู้ผลิตอุปกรณ์นั้นๆ ที่มักขึ้นกับความแตกต่างระหว่างตัวส่งและรับสัญญาณด้วย เช่นเดียวกับการพิจารณาไปถึงพลังงานที่สูญเสียไปตามเวลาที่อาจเกิดขึ้นจากอายุการใช้งานของตัวส่งสัญญาณ เป็นต้น เนื่องจากค่าการสูญเสียจากการส่งสัญญาณนั้นแปรผันตามความยาวโดยตรง (ซึ่งเป็นตัวอธิบายได้ว่าทำไมถึงมีมาตรฐานขีดจำกัดอิงตามระยะทางในแต่ละรูปแบบการใช้งาน) คุณจำเป็นต้องระบุความยาวของสายเคเบิลไม่ว่าแบบไหนก็ตามเวลากล่าวถึงค่าขีดจำกัดนี้ด้วย สายเคเบิลที่สั้นกว่า ค่าการสูญเสียก็ย่อมน้อยกว่า ยกตัวอย่างเช่น ค่าการสูญเสียโดยทั่วไปของสายไฟเบอร์มัลติโหมดแบบ OM4 จะอยู่ที่ประมาณ 3dB ต่อกิโลเมตรสำหรับการส่งสัญญาณแสงที่ความยาวคลื่น 850nm ซึ่งแปลงค่าได้เป็น 0.003dB ต่อเมตร ดังนั้น ถ้าสายเคเบิลของคุณยาว 50 เมตร ค่าการสูญเสียก็ควรอยู่ที่ประมาณ 0.15dB ขณะที่ที่ความยาว 100 เมตร ค่าการสูญเสียก็ไม่ควรเกิน 0.3dB คุณยังจำเป็นต้องรวมค่าการสูญเสียของการเชื่อมต่อทุกตำแหน่งบนระบบสายเคเบิลด้วย โดยผู้ผลิตทั้งหลายจะให้สเปกของหัวต่อมาให้ ระลึกไว้ว่าค่าเหล่านี้อ้างอิงมาจากการทดสอบของโรงงานผู้ผลิตเองที่มักเชื่อมต่อกับหัวต่ออ้างอิงคุณภาพสูง ดังนั้นเราก็ควรต่อหัวต่อของเราเข้ากับหัวต่อที่มีคุณภาพระดับเดียวกันด้วย และแม้มาตรฐาน TIA จะกำหนดค่าการสูญเสียจากการใส่สัญญาณในสายสำหรับหัวต่อมากที่สุดอยู่ที่ 0.75dB นั้น แต่หัวต่อจากผู้ผลิตส่วนใหญ่ก็มักทำให้ค่าการสูญเสียของการส่งสัญญาณดังกล่าวจำกัดอยู่ที่ประมาณ 0.2 – 0.5dB แม้แต่จุดการเชื่อมสายไฟเบอร์หรือ Splice ทุกจุดก็ยังต้องนำมาใช้คำนวณในฐานะส่วนหนึ่งของค่าขีดจำกัดการสูญเสีย อย่าง Splice แบบมัลติโหมดอาจทำการสูญเสียให้น้อยได้ถึง 0.1dB แต่มาตรฐาน TIA ก็เปิดให้สูญเสียได้สูงสุดที่ 0.3dB ค่าตรงนี้มีประโยชน์อย่างมากเวลาใช้คำนวณค่าบัดเจ็ตการสูญเสียรวมเนื่องจากคุณภาพของการสไปลซ์สายมักแตกต่างตามความเชี่ยวชาญและฝีมือของช่างเทคนิค เราจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้มีการสูญเสียเกินขีดจำกัด?อย่างแรกเลย เราต้องรู้ค่าการสูญเสียจากการส่งสัญญาณที่มากที่สุดที่รับไหวสำหรับรูปแบบการใช้งานที่ต้องการ ซึ่งควรพิจารณารวมไปถึงการใช้งานในอนาคตที่เป็นไปได้ ที่อาจนำมาใช้ร่วมกับระบบสายเคเบิลปัจจุบันด้วย รูปแบบการใช้งานที่ต้องการแบนด์วิธสูงก็ย่อมมีความเข้มงวดด้านค่าการสูญเสียตามไปด้วย ตัวอย่างเช่น ในการใช้งานแบบมัลติโหมด 10 Gb/s (10GBASE-SR) จะต้องการขีดจำกัดของการสูญเสียสัญญาณในการส่งไม่เกิน 2.9dB บนสายมัลติโหมด OM4 ความยาว 400 เมตร หรือในการใช้งานแบบมัลติโหมดที่ 40 Gb/s (40GBASE-SR4) ก็จะต้องมีการสูญเสียรวมมากที่สุดในการส่งสัญญาณไม่เกิน .5dB บนสาย OM4 ความยาวแค่ 150 เมตร จากมาตรฐานที่เข้มงวดมากเหล่านี้ ย่อมทำให้การควบคุมค่าการสูญเสียรวมให้อยู่ภายใต้ขีดจำกัดมีความสำคัญมากขึ้นไปอีก ลองมาพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้: สำหรับที่ค่าการสูญเสียบนสายไฟเบอร์ 3.0dB ต่อกิโลเมตรนั้น ทำให้ค่าการสูญเสียบนสายไฟเบอร์ OM4 ความยาว 150 เมตรย่อมเท่ากับ 0.45dB ซึ่งถ้านำมาใช้งานแบบ 10GBASE-SR แล้วก็จะเหลือบัดเจ็ดหรือค่าการสูญเสียที่สามารถเกิดเพิ่มได้อีกจากทั้งหัวต่อ จุดเชื่อมสาย หรือองค์ประกอบอื่นๆ มากที่สุดอยู่ที่ 2.45dB (มาจากขีดจำกัดมาตรฐาน 2.9dB ลบด้วย 0.45dB) แต่ถ้าเอามาใช้งานแบบ 40GBASE-SR4 แล้ว ก็จะเหลือบัดเจ็ตให้เพียง 1.05dB (1.5dB – 0.45dB) เท่านั้น กลับมาที่กรณีใช้งานแบบ 10GBASE-SR ถ้าเราใส่หัวต่อที่มีสเปกค่าการสูญเสียที่ 0.3dB จำนวน 4 ตัวในลิงค์เดียวกันนี้ ก็จะทำให้ค่าบัดเจ็ตทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็น 1.65dB (มาจาก 0.45dB + 1.2dB) ซึ่งถือว่ามีบัดเจ็ตเหลือพอสมควรให้ใส่องค์ประกอบเพิ่มได้อีกประมาณ 1.25dB แต่ถ้าในกรณีนำมาใช้แบบ 40GBASE-SR4 แล้ว ค่าการสูญเสียทั้งจากสายและหัวต่อทั้งหมดรวม 1.65dB ย่อมเกินขีดจำกัดการสูญเสียที่มีได้หรือเกิดบัดเจ็ตไป 0.15dB ดังนั้นในกรณีหลังนี้ คุณอาจจะต้องพิจารณาที่จะลดจำนวนหัวต่อบนลิงค์ หรือเลือกหัวต่อที่มีค่าการสูญเสียน้อยลงกว่าเดิม เช่น 0.2dB ต่อจุด เป็นต้น นอกจากนี้ ค่า Loss Budget ที่กำหนดก็ควรมีช่องว่างไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด จึงควรพยายามประหยัดการใช้โควต้าการสูญเสียเพื่อให้ยังมีที่ว่างเหลือสักหน่อย โดยเฉพาะถ้ามีการเชื่อมต่อหรือเชื่อมสายหน้างานด้วย เพราะอาจจะเกิดการสูญเสียจากตัวแปนมากมายไม่ว่าจะเป็นช่องอากาศ หรือการจัดเรียงตำแหน่งสายไฟเบอร์ตอนเชื่อมไม่ดีเท่าที่ควร รวมทั้งยังควรเผื่อบัดเจ็ตไว้สำหรับเวลาปรับแก้การเชื่อมต่อ การบำรุงรักษา หรือการเสื่อมคุณภาพของจุดเชื่อมสายบนลิงค์ด้วย ที่สำคัญอย่าลืมนำหัวต่อตรงปลายสายทั้งสองข้างมารวมอยู่ใน Loss Budget ซึ่งเวลาทดสอบลิงค์นั้น การใช้สายทดสอบอ้างอิงมาเชื่อมต่อกับหัวต่อลิงค์หลักเหล่านี้ก็จะทำให้คิดรวมค่าการสูญเสียพวกนี้ได้ มาตรฐานในการใช้งานสายไฟเบอร์แต่ละแบบยังมีการกำหนดขีดจำกัดระยะทางของสายไฟเบอร์แต่ละประเภทไว้ด้วย ดังนั้น ไม่เพียงแค่เราจะต้องทำให้ค่าการสูญเสียรวมทั้งหมดยังอยู่ภายใต้ขีดจำกัดเท่านั้น แต่ยังต้องควบคุมให้ระยะทางของสายอยู่ภายใต้มาตรฐานด้วย โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก https://live-fluke-networks.pantheonsite.io/knowledge-base/copper-testing/om1-om2-om3-om4-om5-and-os1-os2-fiber ไม่ว่าคุณจะวางแผนคำนวณค่า Loss Budget ไว้รอบคอบหรือดีแค่ไหน แต่วิธีเดียวที่จะพิสูจน์ได้ว่าเรายังรักษาค่าการสูญเสียรวมไม่เกินบัดเจ็ตได้หรือเปล่าก็คือการทดสอบหาค่าการสูญเสียรวมในการส่งสัญญาณตลอดลิงค์หลังจากติดตั้งเสร็จเรียบร้อย ด้วยการทดสอบแบบ Tier 1 ที่ใช้ชุดทดสอบค่าการสูญเสียบนสายไฟเบอร์อย่าง Fluke Networks’ CertiFiber® Pro และแนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุดในการยกระดับการควบคุม Loss Budget ก็คือการคอยเทียบค่าที่คำนวณได้ระหว่างขั้นตอนการออกแบบกับผลการทดสอบจริงอยู่เสมอ ที่มา : Fluke การสูญเสียในเส้นใยแสงแบ่งได้กี่ประเภทSplice Loss สามารถเกิดขึ้น ณ ที่ใดก็ได้ที่มีการตัดต่อและเชื่อมสายเข้าด้วยกัน การสูญเสียอันเนื่องมาจากการ ทำ Splice ที่ไม่สมบูรณ์ โดยประกอบด้วย การ Loss 2 แบบ ได้แก่ Mechanical Loss และ Fusion Splicing Loss.
การสูญเสียของสัญญาณแสงในเส้นใยแก้วทางแสงเรียกว่าอะไรการส่งผ่านแสงระหว่าง ferrule สองด้าน ทำให้แสงบางส่วนหายไป เราเรียกการสูญเสียนั้นว่า Insertion Loss (IL) และมีแสงบางส่วนสะท้อนกลับเข้าไปลดทอนลำแสงหลัก ทำให้เกิดการสูญเสียอีกตัวหนึ่ง เรียกว่า Optical Return Loss (ORL)
ความยาวคลื่นแสงใดมีค่าการลดทอนสัญญาณต่ําที่สุดความสูญเสียพลังงาน (Power) ของ Fiber Optic นั้นขึ้นอยู่กับ ความยาวคลื่นที่ใช้ ความยาวคลื่นยิ่งมากเท่าใด อัตราการสูญเสียของแสง จะน้อยลง เช่น การสูญเสียกำลังแสง บนความยาวคลื่น 1300 nm ได้แก่ <0.5 dB/กิโลเมตร สำหรับ Silica Glass นั้น ความยาวคลื่นสั้นที่สุด จะมีอัตราการสูญเสียมากที่สุด
อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบสายไฟเบอร์ออฟติกเรียกว่าอะไรOTDR เป็นอุปกรณ์ที่คิดค้นขึ้นมา เพื่อใช้ตรวจสอบวัดค่าพารามิเตอร์ ภายในโครงข่ายสายใย แก้วน าแสงหรือสาย Fiber Optic นั้นเอง
|