การบำรุงรักษาจิตให้เข้มแข็งผ่องใสบริสุทธิ์ ซึ่งต่างกับการบริหารกาย เพราะการบริหารกายต้องทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่เสมอแต่การบริหารจิต จะต้องฝึกฝนให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งการฝึกจิตให้สงบ คือการทำสมาธินั่นเอง สมาธิ หมายถึง ภาวะของจิตที่ตั้งมั่น กำหนดแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ เรื่องใดเรื่องหนึ่งติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ไม่ฟุ้งซ่านไปหาสิ่งอื่นหรือเรื่องอื่นจากสิ่งที่กำหนด ภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งหรืออารมณ์เดียวและจิตตั้งมั่นนั้นจะต้องเป็น กุศล ลักษณะของสมาธิ คือ จิตจะเกิดความสงบ เยือกเย็น สบายใจ มีความผ่อนคลาย เอิบอิ่มใจ ปลอดโปร่ง และมีความสุข ในวันหนึ่ง ๆ จิตของเราคิดเรื่องต่าง ๆ มากมาย จิตย่อมจะเหนื่อยล้า หากไม่ได้มีการบำรุงรักษาหรือบริหารจิตของเราให้เข้มแข็งผ่องใสบริสุทธิ์ จิตจะอ่อนแอ หวั่นไหวต่อเหตุการณ์รอบตัวได้ง่าย เช่น บางคนจะแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมาจนเกินเหตุ เมื่ออยู่ในอาการตกใจ เสียใจ โกรธ ดีใจ หรือเกิดความอยากได้ เพราะจิตใจอ่อนแอ ขุ่นมัว การทำจิตใจให้ผ่องใสหรือการฝึกจิต คือ การฝึกจิตให้มีสติสามารถควบคุมจิตใจให้จดจ่อกับสิ่งที่เรากระทำ โดยระลึกอยู่เสมอว่า ตนกำลังทำอะไรอยู่ ต้องทำอย่างไร พร้อมกับระมัดระวังไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรือมีสมาธินั่นเอง เป็นการควบคุมจิตใจให้จดจ่อแน่วแน่อยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง โดยไม่เปลี่ยนแปลงจนกว่าจะหยุดทำสมาธิ Show 1.1วิธีปฏิบัติการบริหารจิต 1.เลือกสถานที่ที่เหมาะสม เช่น สถานที่ปลอดโปร่งไม่มีเสียงรบกวน ขั้นตอนปฏิบัติ 1.2ประโยชน์ของการบริหารจิต การบริหารจิตอยู่เป็นประจำย่อมได้รับประโยชน์ในด้านต่างๆ ดังนี้ 1. ด้านการดำรงชีวิตประจำวัน ได้แก่ การทำจิตใจสบาย ไม่มีความวิตกกังวล ความเครียด มีความจำดีขึ้น แม่นยำขึ้น ทำสิ่งต่างๆ ไม่ผิดพลาดหรือผิดพลาดน้อย เพราะมีสติสมบูรณ์ขึ้น การศึกษาเล่าเรียนและการทำงาน เกิดผลดีและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การมีจิตเป็นสมาธิ ยังทำให้นอนหลับง่ายและหลับสนิทรวมทั้งมีผลเกื้อกูลต่อสุขภาพร่างกาย เช่น ชะลอความแก่ ทำให้ดูอ่อนกว่าวัยและรักษาโรคบางอย่างได้ เช่น โรคความดัน โรคกระเพาะอาหาร เป็นต้น 2.ด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ ได้แก่ ทำให้บุคลิกภาพเข็มแข็งหนักแน่นมั่นคง สงบเยือกเย็น ไม่ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด มีความสุภาพอ่อนโยนดูสง่ามีราศี องอาจน่าเกรงขาม มีอารมณ์เบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส กระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่า ไม่เซื่องซึม สามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมในสถานการณ์ต่างๆ ได้ 3.ด้านประโยชน์สูงสุด ได้แก่ การบรรลุมรรคและนิพพาน ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ผู้ที่จะบรรลุถึงประโยชน์ระดับนี้ได้นั้นต้องมีจิตที่สงบแน่วแน่มาก คือ ต้องได้สมาธิระดับสูง 1.3การบริหารจิตตามหลักสติปัฏฐาน สติปัฏฐาน4 หรือ ฝึกสมาธิโดยใช้สติเป็นตัวนำ เรียกกันโดยทั่วไปว่าสติปัฏฐาน เป็นวิธีปฏิบัติธรรมที่นิยมกันมาก และยกย่องนับถืออย่างสูง ถือว่ามีพร้อมทั้งสมถะและวิปัสสนาในตัว สติปัฏฐาน4ประกอบด้วย 1.กายานุปัสสนาการพิจารณากายหรือตามดูรู้ทันกาย การตั้งสติอยู่ที่กิริยาของกายมีอยู่หลายจุดได้แก่ 2.เวทนานุปัสสนาเป็นการตั้งสติตามดูรู้ทันเวทนา คือเมื่อเกิดความรู้สึกสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉยๆก็ดีก็ให้รู้ชัดตามที่เป็นอยู่ขณะนั้น 4.ธัมมานุปัสสนาเ ป็นการตั้งสติ การตามดูรู้ทันธรรม ได้แก่ 1)นิวรณ์ 5 คือ รู้ชัดในกามฉันท์ พยาบาท เฉื่อยชา ฟุ้งซ่าน ลังเล ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ละเสียได้อย่างไร ให้รู้ชัดตามที่เป็นไปในขณะนั้น 1.ร่างกายและพฤติกรรมของมัน (กายานุปัสสนา) การนำวิธีการบริหารจิตและเจริญปัญญาไปใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้คุณภาพชีวิต และสังคม ผู้ที่ผ่านการบริหารจิตและเจริญปัญญามาเป็นอย่างดีจะสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้ดีงามขึ้นได้หลายด้าน คือ
2.คุณภาพชีวิต 3.สังคม 1.เป็นคนมีศีล ทำให้ไม่เป็นอันตรายต่อใครๆ ในสังคมสามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้อย่างมีความสุข 2.การเจริญปัญญาตามหลักโยนิโสมนสิการ พระพุทธเจ้า ตรัสสอนให้เรารู้จักคิด การรู้จักคิด วิเคราะห์ วิจารณ์อย่างรอบด้าน ทำให้เกิดปัญญา จนแตกฉาน เรียกว่า "โยนิโสมนสิการ" โยนิโส แปลว่า ถูกต้องแยบคาย มนสิการ (มะนะสิกาน) การกําหนดไว้ในใจ แปลว่า ทำไว้ในใจ
1.อุบายมนสิการ เป็น การคิดหรือพิจารณาโดยอุบาย คือ การคิดอย่างมีวิธีหรือถูกวิธี ซึ่งหมายถึง การเข้าถึงความจริง สอดคล้องกับแนวสัจจะ ซึ่งทำให้รู้สภาวลักษณะและสามัญลักษณะของสิ่งทั้งหลาย 2.ปถมนสิการ เป็น การคิดถูกทาง ต่อเนื่องเป็นลำดับ หมายถึง ความคิดที่เป็นระเบียบตามหลักเหตุผล ไม่ยุ่งเหยิงสับสน จิตไม่แว็บติดพันในเรื่องนี้ แต่เดี๋ยวกลับเตลิดไปคิดอีกเรื่องหนึ่ง จิตยุ่งเหยิงนี้กระโดดไปมา ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่รวมทั้งความสามารถในการชักความนึกคิดไปสู้แนวทางที่ถูกต้อง โยนิโสมนสิการ การรู้จักคิดหรือคิดเป็นจึงเป็นทางเกิดปัญญา พระพุทธเจ้าได้แสดงโยนิโสมนสิการไว้10วิธีด้วยกัน ในที่นี้ขอนำมากล่าวเพียง2วิธี คือ การคิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ และการคิดแบบวิภัชชวาท 2.1การคิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ การคิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ คือ แยกพิจารณาเป็นส่วนๆ เพื่อหาความสอดคล้องสัมพันธ์กันเป็นองค์รวมหรือระบบ หรือ ผล หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หรือ ปัญหาที่พบ ว่าองค์ประกอบใดเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลหรือปัญหาการคิดแบบแยกแยะองค์ประกอบนี้มีความสำคัญมากเพราะถ้าฝึกคิดอยู่เป็นประจำ จะช่วยให้เกิดความชำนาญ ความเข้าใจและสามารถแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี สามรถนำมาประยุกต์ในการแก้ปัญหาชีวิตได้ 2.2 การคิดแบบวิภัชชวาท การคิดแบบนี้ประโยชน์มากในการที่จะตัดสินปัญหาอะไร มองปัญหารอบด้าน เป็นสามัญจักษุ ไม่มองปัญหาด้านเดียว พอมีปัญหาอะไรก็จะแยกแยะประเด็นออกไปแล้วค่อยวิเคราะห์ไปทีละประเด็น แล้วก็หาคำตอบให้ได้ว่าประเด็นนั้นควรจะเป็นอย่างไร ประเด็นนี้ควรจะเป็นอย่างไร คือว่าไม่ตัดสินเด็ดขาดลงไป คือปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น มันจะมีที่มา สะสมมา ก่อตัวมาเป็นลำดับๆ
การมองปัญหาโดยเฉพาะในสังคม แยกแยะให้ถูกต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คือที่สังคมของเราขาดมากที่จะต้องเพิ่มเติม คือวิธีคิดนะครับ เราสอนให้คนคิดก็จริง แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เราขาดมากๆก็คือวิธีคิด ว่าคิดอย่างไร ควรคิดอย่างไรเหมือนกับเราบอกให้เด็กกินนม ถ้ามองให้รอบด้านเด็กไม่สามารถกินนมได้ทุกคน เพราะว่ามันไม่มีจะกิน เราสอนได้ เราพูดได้ในโรงเรียน ครูทุกคนก็สอนว่าให้เด็กกินนม แต่ว่าบางโรงไม่มีนมให้กิน แล้วแกจะกินได้อย่างไร เราต้องคิดสาวไปหาต้นเหตุว่า ทำไมเด็กไม่กินนม เพราะฉะนั้น เรื่องวิธีคิดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก อย่างกับสังคมทุกวัน แถวบ้านนอกทำไมถึงจน จนเพราะหนึ่งเล่นการพนัน สองดื่มเหล้า สามไม่ได้ทำงาน สี่ก็ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม จนก็จริงแต่ว่าเห็นใครมีอะไร ก็อยากจะมีกับเขาด้วย เห็นบ้านโน้นมีจักรยานยนต์ก็กลัวลูกตัวเองจะน้อยหน้า ซื้อรถจักรยานยนต์มาให้ลูก เขามีทีวีสีก็ไปซื้อกับเขา เขามีตู้เย็นก็ซื้อ เขามีอะไรก็ซื้อหมด อันนี้คือสาเหตุของความจน ความไม่รู้จักประมาณ มองในแง่ของการคิดแบบวิภัชวาทก็คือ ต้องมองไปที่ต้นเหตุของความจน ถ้าจะเอาเงินไปกองให้เท่าไรมันคงจะไม่พอ เหมือนเอาปลาไปแจกมีเท่าไรก็ไม่พอ สู้ให้เขาหาปลากินเองไม่ได้ให้เขาหาปลาให้เป็น วิธีหาปลาทำอย่างไร แล้วเขาก็ช่วยตัวเองได้ เราสอนให้เขาคิดเป็น แต่เราต้องสอนวิธีคิดกับเขาด้วยว่าเรื่องนี้ๆ ควรจะคิดอย่างไร ถ้าคิดอย่างนี้แล้วผลอะไรมันจะเกิดขึ้น โยนิโสมนสิการนี้ไม่ใช่ตัวปัญญาโดยตรงนะครับ แต่ว่าเป็นอุปกรณ์ให้เกิดปัญญา เป็นเหตุให้เกิดปัญญา แล้วทำให้ปัญญาใช้งานได้ดี อย่างในมิลินทปัญหา ท่านเปรียบโยนิโสมนสิการเหมือนกับเอามือรวบกอข้าว แล้วปัญญาเป็นเคียวที่ไปตัดกอข้าวให้ขาด เพราะฉะนั้น โยนิโสมนสิการนี่มีลักษณะรวมเอาข้อมูลต่างๆมา แล้วปัญญาจะเป็นผู้ตัดสินว่าควรจะเอาอย่างไร เพราะฉะนั้นโยนิโสมนสิการไม่ใช่ตัวปัญญาโดยตรง แต่ว่าเป็นตัวเหตุให้เกิดปัญญา ให้ปัญญาทำงาน ธรรมจากท่านพุทธทาสที่ท่านสรุปเอาไว้ว่า ธรรมะที่ใช้มากที่สุดในชีวิตการปฏิบัติธรรมของท่าน “ถ้าคะเนเหมากันก็ไม่พ้นเรื่องที่เป็นธรรมะอยู่แล้ว สติสัมปชัญญะ ใคร่ครวญโดยโยนิโสมนสิการ ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด การเพิ่มพูนความรู้ หรือปัญญาลึกซึ้งมันก็มาจากโยนิโสมนสิการ ไม่ว่าเรื่องบ้าน เรื่องโลก เรื่องธรรมะการรับเข้ามาด้วยวิธีใดก็ตาม ได้ฟังจากผู้อื่น อ่านจากหนังสือหรือจากอะไรก็ตาม ที่เรียกว่า นอกตัวเรามา พอถึงแล้วก็โยนิโสมนสิการว่าให้เป็นความรู้ เป็นสมบัติ พอจะลงมือทำอะไรก็โยนิโสมนสิการในสิ่งที่จะทำให้ดีที่สุด มันก็ผิดพลาดน้อยที่สุด เรียกว่าไม่ค่อยจะผิดพลาดเลย เท่าที่จำได้ในความรู้สึกอะไรที่ควรทำ จะได้ จะมี มันไม่เคยพลาด เพราะเราเป็นคนโยนิโสมนสิการตลอดเวลา
|