เราเชื่อว่าถ้าเลือกได้ หลายคนคงไม่มีใครอยากจะมี"หนี้"ติดตัว ที่ต้องจ่ายกันทุกสิ้นเดือนหรอก แต่ถ้าไม่มีเงินกู้ ชีวิตมันก็อาจจะไปต่อไม่ได้ เช่น คนประกอบอาชีพค้าขาย ถ้าเงินทุนตัวเองไม่พอ ก็ต้องกู้ยืมมาขยายกิจการ หรือบางคนที่อยากจะซื้อบ้าน ก็จำเป็นต้องกู้เงินเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าเราจำเป็นต้องสร้างหนี้ สิ่งสำคัญที่พี่ ป้า น้า อา ควรต้องรู้ก่อนเป็นหนี้ 2 อย่างก็คือ
สุดท้าย และท้ายสุดอยากฝากไว้ว่าถ้าพี่ ป้า น้า อา ทั้งหลาย จำเป็นจะต้องใช้เงินก้อน ต้องกู้ขอสินเชื่อ จนทำให้เกิดการสร้างหนี้เพื่อให้ชีวิตหมุนต่อได้ แต่ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมว่าหนี้ของเรานั้นควรจะผ่อนสั้นหรือยาว ควรเลือกผ่อนในแบบที่เราสามารถจ่ายไหว ไม่เกินกำลังของตัวเอง แต่หากคิดไม่เผื่ออนาคต กลัวเสียดอกเบี้ยเยอะเลยเลือกผ่อนสั้น แต่พอถึงคราวผ่อนจริงๆ ดันผ่อนไม่ไหว อันนี้จะกลายเป็นปัญหาในอนาคตให้ต้องนอนเอาขาก่ายหน้าผากวันละ 8 ตลบได้ หากไม่อยากเป็นหนี้เกินตัว ก็ต้องวางแผนการเงินอย่างฉลาดและรู้ทันตัวเอง ไม่ว่าเราจะเลือกผ่านแบบไหน ควรสอบถามเงื่อนไขของการชำระและการปิดหนี้ให้แน่ใจก่อนการตัดสินใจ “ดอกเบี้ยบัตรเครดิต” เป็นอะไรที่มนุษย์เงินเดือนบางคนอาจจะคุ้นเคยเพราะจ่ายค่าบัตรเครดิตไม่ตรงเวลา (แต่หลายๆคนก็จ่ายตรงเวลา ซึ่งพี่ทุยสนับสนุนแบบนี้นะ) พี่ทุยเชื่อว่ามนุษย์เงินเดือนเกิน 80% ต้องมีบัตรเครดิตพกติดกระเป๋าไว้อย่างน้อย 1-2 ใบแน่นอน เพราะเดี๋ยวนี้บัตรเครดิตแข่งกันออกโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้าตามร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ กันเต็มไปหมด ทั้งส่วนลด สะสมแต้ม หรือผ่อน 0% พอเห็นโปรโมชั่นบัตรเครดิตมาล่อตาล่อใจซะขนาดนี้ ก็อดใจไม่ได้ที่จะสมัครเอาไว้ซักใบสองใบ เท่านั้นยังไม่พอ บัตรเครดิตเองก็มีทั้งของแถมของรางวัล มีให้แลกแต้มเยอะแยะลายตายั่วกิเลสไปหมด แล้วใครจะไม่อยากมีบัตรเครดิตถือไว้ซักใบจริงมั้ย แต่การใช้บัตรเครดิตก็ต้องมาพร้อมกับความมีวินัยเสมอ เราจำเป็นที่จะต้องจ่ายบัตรเครดิตให้ตรงเวลา ถ้าเราเผลอใช้เงินเกินตัว พอถึงรอบวันชำระยอดหนี้บัตรเครดิต แต่ดันมีเงินสดในกระเป๋าไม่พอจ่าย เราก็ต้องกลายเป็น “หนี้” และสิ่งที่ตามมาก็คือ “ดอกเบี้ยบัตรเครดิต” ที่จะต้องจ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แทนที่บัตรเครดิตจะช่วยให้เราได้ส่วนลด ประหยัดรายจ่ายลง กลับกลายเป็นต้องมีรายจ่ายดอกเบี้ยบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น แทนที่จะประโยชน์กลับกลายเป็นโทษ แล้วที่น่าตกใจกว่านั้น มีหลายคนมากกกกก ที่ไม่รู้หรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับการคำนวณ “ดอกเบี้ยบัตรเครดิต” เลยทำให้เกิดปัญหาหนี้สะสมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามมา มาถึงตรงนี้หลายคนคงคิดในใจ เข้าเรื่องซะทีเถอะพี่ทุย “ดอกเบี้ยบัตรเครดิต เค้าคิดกันยังไง ?” “ดอกเบี้ยบัตรเครดิต” จะเกิดขึ้นเมื่อเราชำระค่าสินค้าและบริการไม่เต็มจำนวน ! ไม่ว่าจะเป็นการชำระขั้นต่ำหรือขาดไปแค่ 1 บาทก็ตาม ซึ่งการคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะแยกคำนวณเป็น 2 ส่วน คือ
สมมติ พี่ทุยรูดบัตรเครดิตซื้อหญ้าพรีเมี่ยมเมื่อวันที่ 1 มี.ค. จำนวน 10,000 บาท ธนาคารสรุปยอดค่าใช้จ่ายทุกวันที่ 25 ของเดือน และกำหนดชำระเงินทุกวันที่ 10 ของเดือนถัดไป ซึ่งธนาคารคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม 20% ต่อปี ต่อมาในวันที่ 10 เม.ย. พี่ทุยนำเงินไปจ่ายขั้นต่ำ 10% คือ 1,000 บาท ในรอบบิลถัดไป 25 เม.ย. พี่ทุยจะถูกคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม ดังนี้
ดังนั้น ยอดเงินที่พี่ทุยถูกเรียกเก็บคือ 9,000 + 136.99 + 78.90 = 9,215.89 บาท สมมติ ต่อมาวันครบกำหนดชำระ 10 พ.ค. พี่ทุยไถนาได้มีเงินมาจ่ายเต็มจำนวนยอดเรียกเก็บของ 25 เม.ย. คือ 9,215.89 บาท ในวันครบรอบบิล 25 พ.ค. พี่ทุยยังมียอดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมค้างอีก 9,000 บาท x 20% x 14 วัน / 365 = 69.04 บาท (26 เม.ย. – 10 พ.ค.) ซึ่งรวมๆแล้วพี่ทุยต้องจ่ายดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมทั้งหมด 284.93 บาท เลยจะเห็นได้ว่าการคิดดอกเบี้ยของบัตรเครดิตเรียกได้ว่าเอาทุกเม็ดเลยทีเดียว แล้วถ้าพี่ทุยยังคงจ่ายบัตรเครดิตยอดขั้นต่ำไปเรื่อยๆ พี่ทุยก็จะต้องเสียดอกเบี้ยของดอกเบี้ยวนไปเรื่อยๆ พอเห็นวิธีการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตแบบนี้แล้ว คงไม่อยากเป็นหนี้บัตรเครดิตกันเลยใช่มั้ยล่ะ พี่ทุยบอกเสมอว่า ทุกครั้งที่รูดบัตรเครดิต เราต้องมีสติ มั่นใจว่าเงินในกระเป๋าเรามีพอจ่ายตอนนั้นเดี๋ยวนั้น ห้ามไปหวังว่าจะมีเงินก้อนตรงนู้นตรงนี้มา บัตรเครดิตเป็นเพียงเครื่องอำนวยความสะดวกให้เราไม่ต้องพกเงินสดเท่านั้น ไม่ใช่ที่กู้เงิน ! ห้ามเอาเงินในอนาคตมาใช้ถ้าไม่จำเป็น พี่ทุยมีทิปส์ง่ายๆให้ไม่รูดบัตรเครดิตเกินตัว คือ ถ้าเรารูดบัตร 1,000 บาท ก็ให้หักเงินสด 1,000 บาทไปใส่ไว้ในบัญชีที่ไม่มี ATM และเอาไว้สำหรับจ่ายยอดบัตรเครดิตอย่างเดียว แต่ถ้ารู้ตัวเองว่าไม่มีวินัย เผลอไม่ได้เป็นรูดปรื๊ดๆ ก็เลิกใช้บัตรเครดิตไปเลยจะดีที่สุด รูปบน ของ desktop |