มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายใจ เป็นการส่งเสริมด้านการดูแลสุขภาพร่างกาย ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้พนักงานมีร่างกายที่แข็งแรง จิตใจแจ่มใส เบิกบาน ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ Show Happy Heart มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน เป็นการส่งเสริมความมีน้ำใจไมตรี เอื้ออาทรต่อกันในที่ทำงาน เพื่อให้พนักงานเกิดความรักใคร่ปรองดองสามัคคีกัน Happy Relax รู้จักผ่อนคลายต่อสิ่งต่างๆ เป็นการสร้างความสนุกสนาน ผ่อนคลายความเมื่อยล้า ความเครียดจากการทำงาน ช่วยให้พนักงานมีขวัญและกำลังใจที่ดี และทำให้พนักงานมีโอกาสสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน Happy Brain ใฝ่รู้มีการส่งเสริมการศึกษาหาความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ ให้พนักงานมีการพัฒนาตนเองตลอดเวลาจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ โอกาสต่างๆ เพื่อนำไปสู่การเป็นมืออาชีพและความมั่นคงก้าวหน้าในการงาน Happy Money มีเงินเก็บ รู้จักใช้ ไม่เป็นหนี้สิน เป็นการส่งเสริมให้พนักงานใช้จ่ายอย่างประหยัด มีเงินเก็บออมไว้ใช้ในยามจำเป็น Happy Soul มีความศรัทธาในศาสนา และมีศีลธรรมในการดำเนินชีวิต เป็นการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานมีความสุขสงบทางจิตใจ อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข Happy Family มีครอบครัวที่อบอุ่น และมั่นคง เป็นการส่งเสริมการสร้างความรักความผูกพันในครอบครัวและสัมพันธภาพที่ดี ระหว่างครอบครัวของพนักงานกับองค์กร Happy Society สังคมดี เป็นการส่งเสริมความรัก สามัคคี เอื้อเฟื้อต่อชุมชนที่ทำงาน ชุมชนที่พักอาศัย ช่วยเหลือสังคมรอบข้าง ซึ่งหากสังคมรอบข้างดี องค์กรที่อยู่ในสังคมนั้นย่อมมีความสุขไปด้วย โครงการศูนย์บริการวิชาการองค์กรสุขภาวะภาคเหนือตอนล่าง โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2560). กล่องแห่งความสุข 8 ประการ - ( Happy 8 Menu). สืบค้น 3 มกราคม 2567, จาก https://huso.kpru.ac.th/HappyWorkPlace/?page_id=121
https://huso.kpru.ac.th/HappyWorkPlace/?page_id=121&lang=TH ช่วงนี้หันไปทางไหนก็ต้องได้ยินใคร ๆ พูดว่ากำลังเบิร์นเอาต์ให้ได้ยินกันบ่อย ๆ แม้แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ได้ประกาศให้ “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” (Burnout Syndrome) เป็นความผิดปกติชนิดหนึ่ง เพื่อสร้างความตระหนักให้คนทั่วไปเห็นความสำคัญมากขึ้น โดยเพิ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา จากสถานการณ์นี้ภาวะเบิร์นเอาต์จึงไม่ได้เป็นเรื่องเล่น ๆ หรือเป็นเรื่องที่ต้องแก้ที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับสังคมและสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะในสถานที่ทำงาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำให้เกิดภาวะเบิร์นเอาต์ได้มากที่สุด หลายออฟฟิศจึงเริ่มมองหาแนวทางปรับเปลี่ยนเพื่อดูแลใจคนทำงานกันมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือการสร้าง “องค์กรแห่งความสุข” (Happy Workplace) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ริเริ่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2513 จากองค์กรสุขภาพของประเทศแคนาดา โดยองค์กรแห่งความสุขยึดมั่นในแนวคิดการพัฒนาคนในองค์กรให้มีความสุขผ่านกระบวนการคิด การมอบหมายงาน หรือการร่วมกันออกแบบองค์กรที่ทุกคนมีส่วนร่วม นำไปสู่ความสุขในการทำงาน และก่อให้เกิดศักยภาพในการทำงานตามไปด้วย องค์กรแห่งความสุขนี้จึงอาจเป็นสิ่งที่มาช่วยตอบโจทย์ให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น และทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยไม่รู้สึกเบิร์นเอาต์ไปเสียก่อน ความสุขในการทำงานคืออะไรแต่ก่อนจะไปทำความรู้จักวิธีการสร้างองค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace) เราอาจจะต้องมาคุยเรื่องความสุขในการทำงานกันเสียก่อน ความสุขในการทำงาน คือ การที่พนักงานมีความรับรู้ทางอารมณ์ในทางบวกต่อการทำงานที่ตนได้รับมอบหมาย โดยสามารถเกิดขึ้นได้จากสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม การได้รับคำชม หรือความรู้สึกปลอดภัยทั้งทางกายและทางใจในการทำงาน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่ความมั่นคง ความก้าวหน้าในการงานของตนเอง โดยความสุขในการทำงาน จะเกิดขึ้นผ่าน 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ความสนุกในการทำงาน (Arousal) หมายถึงการทำงานด้วยความรู้สึกสนุก ไม่กดดันหรือวิตกกังวลใด ๆ เกิดความเต็มใจที่จะทำงาน และมีความคิดด้านบวกกับงานที่ได้รับมอบหมาย 2. ความพอใจในงาน (Pleasure) หมายถึงการทำงานด้วยความรู้สึกสบายใจ ไม่เกิดความทุกข์ หรือไม่ชอบในงานที่ทำ 3. ความอยากในการทำงาน (Self-validation) หมายถึงการทำงานด้วยความกระตือรือร้น เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอยากทำงานให้ดีและลุล่วง ทำไมต้องสร้าง Happy Workplace หรือ องค์กรแห่งความสุขอย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าภาวะเบิร์นเอาต์กลายเป็นปัญหาสำคัญของคนทำงานในยุคปัจจุบัน ซึ่งภาวะเบิร์นเอาต์นำไปสู่ปัญหาอีกหลากหลายอย่าง ในทางปัจเจกเอง คนทำงานย่อมรู้สึกไม่มีความสุข วิตกกังวล เครียด หรือแม้แต่นำไปสู่ภาวะซึมเศร้า ในทางองค์กรเองก็จะส่งผลให้ศักยภาพของพนักงานลดลง อาจเกิดการขาด ลา มาสายมากยิ่งขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพของที่ทำงานถดถอย การมีส่วนร่วมของคนในองค์กรก็ลดลง ซึ่งนำไปสู่ผลกระทบอีกหลากหลายอย่าง ดังนั้น ภาวะเบิร์นเอาต์จึงไม่สามารถแก้ปัญหาได้จากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นการร่วมมือกันสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ส่งเสริมให้คนทำงานได้รับความสุข โดยอาจลองปรับใช้แนวคิด Happy Workplace หรือ องค์กรแห่งความสุข ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานรู้สึกดีกับสถานที่ทำงาน ลดการทำงานผิดพลาด หรือการไม่มีส่วนร่วมในการทำงาน และส่งผลให้ทำงานได้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นด้วยความรู้สึกพึงพอใจ ไม่กดดัน ความสุขพื้นฐานแปดประการ (Happy 8)การสร้าง Happy Workplace หรือองค์กรแห่งความสุข อาจลองสำรวจความสุขพื้นฐานแปดประการที่คนทำงานต้องการ เพื่อทำความเข้าใจและปรับเปลี่ยนนโยบายหรือสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับองค์กรต่อไป ความสุขพื้นฐานแปดประการ ได้แก่ 1. Happy Body (สุขภาพดี) การมีสุขภาพดีทั้งทางกายและทางใจจะช่วยลดความกังวล และทำให้คนทำงานมีประสิทธิภาพในการทำงานอย่างเต็ม 2. Happy Heart (น้ำใจงาม) ความมีน้ำใจหรือการใจดีต่อคนรอบข้างจะช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน และได้รับความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ 3. Happy Relax (ผ่อนคลาย) เพราะการทำงานหนักเกินไปทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้าได้ง่าย เกิดความเครียดสะสม ความผ่อนคลายจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทำให้เราได้ลองใช้ชีวิตในแง่มุมอื่น ๆ และเติมเต็มความสุข 4. Happy Brain (หาความรู้) ทุกการเรียนรู้ใหม่ ๆ นำไปสู่การเติบโตและภาคภูมิใจ การหาความรู้จึงช่วยเติมเต็มความสุขได้ และยังส่งผลให้การงานก้าวหน้า เสริมความมั่นคงให้ชีวิตไปพร้อม ๆ กัน 5. Happy Soul (ทางสงบ) การสร้างพื้นที่สงบนิ่งในใจช่วยทำให้ความรู้สึกของเรามั่นคงยิ่งขึ้น รับมือกับปัญหาได้ดี และไม่สั่นไหวกับเรื่องร้าย ๆ หรือความกังวล ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้ทำงานได้อย่างเป็นสุข 6. Happy Family (ครอบครัวดี) การมีครอบครัวที่ดีส่งผลให้เราได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นกำลังใจให้กัน ส่งต่อความสุขให้กันและกัน และยังทำให้รู้สึกสบายใจกับการมีคนคอยซัพพอร์ต ไม่โดดเดี่ยว นำไปสู่ความมั่นคงทางจิตใจและเป็นสุขในใจ 7. Happy Money (ปลอดหนี้) เพราะเรื่องเงินเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนทำงานมากที่สุด การมีเงิน รู้จักเก็บ รู้จักใช้ ไม่มีหนี้ ก็จะทำให้ไม่มีความกังวล และทำให้เกิดความสบายใจ 8. Happy Society (สังคมดี) เพราะสภาพแวดล้อมส่งผลต่อจิตใจของมนุษย์ การมีสังคมแวดล้อมที่ดี เข้าใจกันและกัน และพร้อมช่วยเหลือกันด้วยความจริงใจ ไม่ตัดสิน จะช่วยให้คนในสังคมรู้สึกเป็นสุขไปพร้อมกัน สัญญาณบ่งบอกว่าองค์กรเป็น Happy Workplace– คนทำงานมีส่วนร่วมกับองค์กรมากขึ้น คอยให้ความเห็น หรือแสดงไอเดียในการพัฒนาองค์กรให้เติบโต – ทุกคนทำงานเพื่อเป้าหมายร่วมกัน มีความตั้งใจและมุ่งมั่นในการทำงานและคาดหวังผลลัพธ์ที่จะทำให้องค์กรได้เติบโตไปพร้อมกับคนทำงานหรือทีม – งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากมีกำลังใจและมีความรู้สึกสนุกกับการทำงาน – คนทำงานอยู่กับบริษัทยาวนานขึ้น เพราะมองเห็นความสำคัญขององค์กร และเกิดความรักในองค์กรที่ทำงานอยู่ ปัจจัยที่ทำให้เกิด Happy Workplace– งานที่ให้ Work-life Balance – งานที่มีคุณค่าและมีความหมายต่อชีวิต – การทำให้คนทำงานมีตัวตนในออฟฟิศ – บรรยากาศการทำงานในทีมที่ดี – การแสดงความชื่นชมกันและกันอย่างจริงใจ – การสร้างเส้นทางการเติบโตในองค์กรอย่างชัดเจน – สวัสดิการที่เหมาะสมกับการทำงาน 10 เทคนิคสร้าง Happy Workplace ให้เป็นจริง1. ให้รางวัลกับพนักงานที่ทำงานหนัก 2. จัดโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพกายและใจ เช่น SAKID 3. ส่งเสริมวัฒนธรรมการชื่นชมผลงานและการทำงาน 4. จัดเวิร์กชอป Team Building 5. เปิดให้มีการสื่อสารแลกเปลี่ยนความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีลำดับขั้นเจ้านายหรือลูกน้อง 6. มีระบบการทำงานที่ยืดหยุ่น กำหนดช่วงเวลาทำงานให้มีการพักเบรกที่เหมาะสม 7. ชวนกันทำปฏิทินความสุข 8. เปิดเพลงคลอเบา ๆ เหมือนนั่งทำงานในคาเฟ่ 9. เปิดโอกาสให้พนักงานได้เข้าเวิร์กช็อปหรือเรียนรู้ตามความสนใจ 10. ออกแบบสวัสดิการที่ดีให้กับพนักงาน สรุปเพราะการทำงานอย่างไม่มีความสุขย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งต่อคนทำงานเอง และต่อองค์กร การสร้างองค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace) จึงเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่เป็นเทรนด์สำคัญในยุคสมัยนี้ โดยความสุขในการทำงานสามารถแบ่งได้เป็นหลากหลายด้าน ซึ่งองค์สามารถชักชวนคนในองค์กรให้มาร่วมออกแบบองค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace) ของตัวเองได้ มากไปกว่านั้นปัจจุบันยังมีตัวช่วยให้คนทำงานเข้าถึงความสุขได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เช่นหากต้องการเข้าถึง Happy Body ตามความสุขพื้นฐาน 8 ประการ ก็มีแพลตฟอร์มจาก SAKID ที่ช่วยออกแบบโปรแกรมดูแลสุขภาพทั้งองค์กรได้ ตัวอย่างฟีเจอร์น่าสนใจเช่น การบันทึกกิจกรรมประจำวันบนปฎิทินความสุข การรายงานผลสุขภาพรายบุคคล นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์สุขภาพ การกินอาหาร การออกกำลังกายและความสุขส่วนบุคคล พร้อมโค้ชในการดูแล ซึ่งจะทำให้คนทำงานมีความสุขกับสุขภาพกายและใจที่ดีได้เช่นกัน |