ว ดผาซ อนแก ว ม ใครเคยขอส าเร จ

“วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” อลังการงามวิจิตร พิชิต “ลำน้ำเข็ก” สุดมัน ชวนฝันบนเส้นทางโรแมนติก...“ภูหินร่องกล้า-ทับเบิก-เขาค้อ”

เผยแพร่: 7 ก.ย. 2558 15:05 ปรับปรุง: 27 ก.ย. 2558 04:17 โดย: ผู้จัดการออนไลน์

“ภูดอกไม้สายหมอก”

นี่คือสโลแกนชวนเที่ยวของจังหวัด“เพชรบูรณ์” จากโครงการ “เมืองต้องห้าม...พลาด” แคมเปญท่องเที่ยวสำคัญจาก “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนเกิดการต่อยอดเป็นโครงการ “12 เมืองต้องห้าม...พลาด PLUS” ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวใน 12 เมืองรองจากโครงการเมืองต้องห้าม...พลาด สู่จังหวัดใกล้เคียงเพื่อให้เกิดการเดินทางและการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ในส่วนของจังหวัดเพชรบูรณ์ 1 ใน 12 เมืองต้องห้าม...พลาด ได้ทำการต่อยอดขยายสู่จังหวัด“พิษณุโลก” 1 ใน 12 เมืองต้องห้าม...พลาด PLUS เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวระหว่างจังหวัดทั้งสอง โดยหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงสำคัญอันสุดโดดเด่นของทั้งสองจังหวัดก็คือ“ทางหลวงหมายเลข 12” (พิษณุโลก-หล่มสัก) จากพิษณุโลกสู่เพชรบูรณ์ ซึ่งในระหว่างรายทางอวลไปด้วยมนต์เสน่ห์ของธรรมชาติและสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “ถนนสายโรแมนติก” ของเมืองไทย สำหรับในช่วงฤดูฝนที่ถือเป็น “กรีนซีซัน” ทางการท่องเที่ยว ธรรมชาติต่างๆ ในเส้นทางหมายเลข 12 จะพากันเปล่งศักยภาพความงามออกมาอย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะ “ลำน้ำเข็ก” ที่ถือเป็นหนึ่งในจุดล่องแก่งแหล่งเหนือสุดมันได้กลายเป็นสายน้ำแห่งความท้าทาย ให้ผู้ชื่นชอบความตื่นเต้นท้าทายได้ออกไปผจญภัย อันนำมาสู่ทริปพิชิตลำน้ำเข็ก สัมผัสมนต์เสน่ห์ของภูดอกไม้สายหมอก เขาสูงวิวสวย บนถนนหมายเลข 12 พิษณุโลก-เขาค้อ เพชรบูรณ์ ของ “ตะลอนเที่ยว” ในทริปนี้ ที่มีหลากหลายอารมณ์ชวนให้ประทับใจ ซึ่งต้องออกไปสัมผัสด้วยตัวเอง ...ถึงจะรับรู้ได้ในอรรถรส

น้ำเข็ก

เมื่อเข้าฤดูฝน สายฝนโปรยสาย สายน้ำไหลหลาก

“ลำน้ำเข็ก” ใน อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ที่ไหลเคียงคู่ไปกับถนนหมายเลข 12 จากที่เคยเป็นสีขาวใสไหลไปตามปกติในช่วงหน้าแล้ง จะเปลี่ยนเป็นสายน้ำสีน้ำตาลแดงไหลเชี่ยวกรากมากไปด้วยแก่งต่างๆ พร้อมกับมีปริมาณสายน้ำที่เหมาะสม เหมาะสำหรับกิจกรรม “ล่องแก่ง” พิชิตสายน้ำเป็นอย่างยิ่ง ทำให้มีการจัดงานเทศกาล “ชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งลำน้ำเข็ก” ขึ้นเป็นประจำทุกปี ปกติเทศกาลล่องแก่งลำน้ำเข็กจะอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม แต่เนื่องจากฤดูฝนปีนี้ฝนตกล่าช้ากว่าปกติ เทศกาลล่องแก่งลำน้ำเข็กจึงเลื่อนมาอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน โดยมีการจัดพิธีเปิดเทศกาล “ชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งลำน้ำเข็ก” ประจำปี 2558 ไปเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา ณ โรงแรมทรัพย์ไพรวัลย์ แกรนด์ โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท (ต.แก่งโสภา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก) สำหรับจุดเด่นของการล่องแก่งน้ำเข็กคือ อยู่ริมถนน เข้าถึงสะดวก ไม่ต้องเดินเท้าเข้าป่า ไม่ต้องแบกเรือยาง สองฟากฝั่งน่ายลไปด้วยทัศนียภาพของธรรมชาติที่สวยงาม

ที่สำคัญคือมีความปลอดภัยสูง โดยฝีพาย นายหัว นายท้าย ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการล่องแก่งที่ได้มาตรฐานสากล Best Practice จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มาเป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนักท่องเที่ยวที่มาล่องแก่งก็ต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันภัย เสื้อชูชีพ หมวกนิรภัย เพื่อช่วยลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ และต้องรับฟังคำสั่งของฝีพาย นายหัว นายท้าย อย่างเคร่งครัด (ส่วนเหล่าสตาฟฟ์ฝีพายเองก็จำเป็นต้องมีมารยาทในการออกคำสั่ง พูดคุย และให้ข้อมูลกับลูกเรือ เพื่อให้กิจกรรมดำเนินไปอย่างมีอรรถรส สนุกสนานประทับใจ) ลำน้ำเข็กมีเส้นทางล่องเรือยางพิชิตแก่งราว 8 กิโลเมตร ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับกระแสน้ำ) โดยเรือจะล่องไปยังบริเวณตอนบนของน้ำตกแก่งซอง ผจญฝ่าแก่งต่างๆ จำนวน 15 แก่ง (เดิมเคยฝ่า 17 แก่งแต่ปัจจุบันตัด 2 แก่งสุดท้ายออก) ซึ่งมีความแรงของกระแสน้ำครบสูตรในการล่องแก่ง ตั้งแต่ระดับ 1-5 จากน้ำนิ่งไปจนถึงน้ำไหลเชี่ยวกราก ระยะความห่างของแต่ละแก่งอยู่ไม่ไกลกันมีระยะให้พัก ให้ชมวิว และให้ลุยแบบไม่ทิ้งช่วงนานเกินไปจนรู้สึกเบื่อ อีกทั้งยังมีสภาพแก่งที่หลากหลายครบเครื่อง ทั้งแก่งต่างระดับ แก่งคดเคี้ยวหักเลี้ยวเป็นตัว S แก่งไล่ระดับเป็นชั้นๆ ดังขั้นบันได เป็นต้น

นั่นจึงทำให้น้ำเข็กได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสายน้ำที่ขึ้นชื่อในเรื่องกิจกรรมล่องแก่ง ติดอันดับ 1 ใน 5 ของเมืองไทย อย่างไรก็ดี สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าสัมผัสด้วยตัวเอง ดังนั้น “ตะลอนเที่ยว” จึงขอเปิดประเดิมทริปด้วยความตื่นเต้นท้าทายกับกิจกรรมล่องแก่งพิชิตลำน้ำเข็กกันอีกครั้ง โดยหลังจากสวมใส่อุปกรณ์พร้อม เรือพร้อม คนพร้อม พวกเราคณะล่องเรือก็ค่อยๆ พายเรือยางออกจากจุดเริ่มต้นที่ท่าน้ำบ้านท่าข้าม ล่องไปยังบริเวณตอนบนของน้ำตกแก่งซอง ก่อนที่จะทักทายเราด้วย “แก่งท่าข้าม” (ระดับ 1-2) ให้พวกเราได้อุ่นเครื่องสร้างความคุ้นกับสายน้ำ

จากนั้นต่อกันด้วย “แก่งไทร” (ระดับ 3-4) ที่เพิ่มความยากและความตื่นเต้นขึ้นมาอีก แล้วต่อด้วย “แก่งเวฟยาว” (ระดับ 1-2) และ “แก่งพนาวัลย์” (ระดับ 1-2) ก่อนที่เราจะเผชิญกับแก่งที่เพิ่มความยากมากขึ้น เริ่มจาก “แก่งมรดกป่า” (ระดับ 3) “แก่งปากยาง” (ระดับ 3) “แก่งหินลาด”(ระดับ 2-3) และ “แก่งวังตะเคียน”(ระดับ 1-2) ที่สายน้ำลดระดับความแรงลงมา ช่วยให้ผ่อนคลายเพื่อเตรียมตัวลุยพิชิตแก่งในช่วงที่สองที่สายน้ำยิ่งทวีความเข้มข้นดุดันมากยิ่งขึ้น สำหรับในเส้นทางช่วงสองของการล่องน้ำเข็กนั้นมี 4 แก่งไฮไลต์ให้พิชิตฟันฝ่า โดยช่วงแรกเราถูกทักทายด้วย “แก่งสบยาง” (ระดับ 2-3) ก่อนจะเพิ่มดีกรีขึ้นใน “แก่งรัชมังคลา” (ระดับ 3-4) ที่ในช่วงน้ำมากๆ จะชวนให้ตื่นเต้นไปกับยอดที่สูงเกิน 1 เมตรเลยทีเดียว

พ้นจากแก่งรัชมังคลามา นายท้ายบอกให้ทุกคนในเรือเตรียมตัวให้พร้อม เพราะต่อไปนี้เป็น “ของจริง” โดยแก่งถัดไปเป็นแก่งไฮไลต์จุดแรกกับ “แก่งซาง” (ระดับ 4-5) ที่น่าตื่นเต้นสะเทือนซางไปกับลักษณะของแก่งเป็นลานหินกว้าง และมีความยาวของแก่งไม่ต่ำกว่า 10 เมตร สายน้ำมีการลดระดับลงในแต่ละช่วง โดยมีจุดพีคเป็นลำน้ำหักศอกให้จ้ำพายกันเต็มที่ พร้อมกับซาวนด์ประกอบเป็นเสียงกรีดร้องของสาวๆ บางคน หลังถูกทักทายจากแก่งไฮไลต์แก่งแรก เราก็มาเจอแก่งไฮไลต์ลำดับที่สองให้ตื่นเต้นต่อเนื่องกันกับ “แก่งโสภาราม” (ระดับ 4-5) ที่เป็นแก่งคดเคี้ยวรูปตัว S ให้เหล่าฝีพายต้องออกแรงบังคับเรือกันให้ดี ก่อนจะมาถึงแก่งต่อไปคือ “แก่งดงสัก” (ระดับ 3-4) ให้พอได้ผ่อน เพลาความตื่นเต้นลงมาหน่อย

จากนั้นก็มาถึง “แก่งนางคอย” (ระดับ 4-5) ซึ่งเป็นแก่งไฮไลต์สำคัญที่ยากที่สุด ตื่นเต้นที่สุด และหวาดเสียวที่สุด กับลักษณะของแก่งที่ค่อยๆ ลดระดับมาเป็นชั้นๆ โดยจุดสำคัญคือชั้นแก่งที่มีความสูงถึงเกือบ 2 เมตร ที่ทุกคนในเรือยางต้องช่วยกันบังคับฟันฝ่ามันไปให้ได้ ซึ่งงานนี้พวกเราทำได้ ผ่านไปได้ แต่ว่าก็ทุลักทุเลเต็มที นับเป็นดีกรีความมันในระดับเกินร้อยที่ผู้ชื่นชอบในความมันสะใจต้องไปลอง ผ่านพ้นไปแล้ว 14 แก่ง กับ 3 แก่งไฮไลต์ แล้วเรือก็พามาถึงยังแก่งสุดท้ายซึ่งเป็นไฮไลต์ลำดับที่ 4 กับ “แก่งยาว”(ระดับ 3-5) ที่ชวนตื่นเต้นไปด้วยลักษณะของแก่งที่มีความยาวร่วม 100 เมตร สมชื่อแก่งยาวให้พวกเราร่วมกันจ้ำพายพิชิตแก่งเป็นช่วงสุดท้าย ก่อนจะไปขึ้นฝั่งกันที่ “วนธารา เฮลท์ รีสอร์ท แอนด์ สปา” สิ้นสุดกิจกรรมแห่งความตื่นเต้นท้าทาย

นอกจากกิจกรรมล่องแก่งลำน้ำเข็กที่สนุกสนานแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นดาวเด่นเคียงคู่เทศกาลนี้ก็คือกาแฟสด “แก่งซอง” กาแฟท้องถิ่นพันธุ์อาราบิก้า ตระกูลบลูเมาน์เท่น ที่ จ.ส.อ.ทวี ประวิทย์ชาติ นำพันธุ์จากต่างประเทศ (เชื่อกันว่าเป็นกาแฟชั้นหนึ่งของโลกจากจาเมกา) มาปลูกที่ไร่กาแฟ (บ้านแก่งซอง ต.แก่งโสภา อ.วังทอง) พร้อมทั้งมีการคิดค้นผสมสูตรจนเกิดเป็นต้นตำรับ “กาแฟแก่งซอง” อันเลื่องชื่อของที่นี่ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถลองลิ้มชิมรสความอร่อยเข้มข้นของกาแฟแก่งซองได้ตามร้านกาแฟต่างๆ ที่จำหน่ายอยู่ตามเส้นทางล่องแก่งลำน้ำเข็ก เรน ฟอเรสท์

หลังเหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมล่องแก่ง “ตะลอนเที่ยว” กับคณะ ได้เลือกมาเข้าพักผ่อนคลายที่ “เรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท” (ต.แก่งโสภา อ.วังทอง) ที่เราได้จองไว้ล่วงหน้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดขึ้นเรือหลังล่องแก่งเท่าใดนัก

เรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท (Rain Forest Resort) เป็นที่พักราคาสมเหตุสมผล (เริ่มต้นที่ 800 บาท) ตั้งอยู่ริมลำน้ำเข็กท่ามกลางบรรยากาศของต้นไม้น้อย-ใหญ่ โขดหินและธรรมชาติอันร่มรื่น โดยรีสอร์ทแห่งนี้เน้นในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จึงยังคงรักษาต้นไม้ใหญ่ทุกต้น ก้อนหินใหญ่ทุกก้อน ไว้ในสภาพดังเดิมให้เป็นพระเอกของพื้นที่ ช่วยสร้างเสน่ห์และสีสันให้กับผู้เข้าพักได้เป็นอย่างดี ขณะที่อีกหนึ่งจุดเด่นของเรน ฟอเรสท์ฯ ก็คือเรื่องของ “สุขภาพ” ที่มีทั้งคอร์สเพื่อสุขภาพและอาหารเพื่อสุขภาพ พืชผักสมุนไพรปลอดสารเคมีและวัตถุดิบที่ปลอดภัยในการปรุง โดยวัตถุดิบส่วนหนึ่งนำมาจาก “เรน ฟอเรสท์ ฟาร์ม”(Rain Forest Farm) แหล่งผลิตอาหารคุณภาพที่อยู่ในเครือ เรน ฟอเรสท์ ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับเรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท คนละฟากถนน เพียงแค่ประมาณ 200 เมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถติดต่อขอเช้าชม เข้าไปเรียนรู้ ศึกษาดูงานได้ เรน ฟอเรสท์ ฟาร์ม เป็นการนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาประยุกต์ให้เข้ากับสภาพพื้นที่และวิถีปฏิบัติ ภายในฟาร์มที่มีเนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ มีการแบ่งพื้นที่เป็นส่วนต่างๆ อาทิ แปลงเกษตรอินทรีย์ผสมผสานที่เน้นเรื่องของพืชผักสวนครัว โดยปลูกไว้ใช้เองกินเองในส่วนร้านอาหาร เมื่อเหลือจึงส่งขาย ทำเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจำหน่าย และยังมีแปลงป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่างที่มีการปลูกไม้ยืนต้นน้อย-ใหญ่ กล้วย พืชล้มลุก สมุนไพรกันแบบผสมผสาน มีส่วนเลี้ยงปลาดุก หมูหลุม ไส้เดือนดิน เตาเผาถ่าน โรงเพาะเห็ด ส่วนทำปุ๋ยหมักชีวภาพ เป็นต้น อีกทั้งยังมีโรงเลี้ยงเป็ด ไก่ กับวิธีการเลี้ยงแบบปล่อยให้เป็นอิสระในพื้นที่ ไม่แออัด สามารถเดินวิ่งได้อย่างอิสระในฟาร์ม เพื่อให้สัตว์ไม่เครียด และไม่ใช้สารเร่งไข่ โดยเฉพาะแม่ไก่ไข่พันธุ์ต่างๆที่เลี้ยงแบบให้กินอาหารจากธรรมชาติ มีอิสระเริงร่า ไม่เครียด มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย โดยทางฟาร์มได้ให้ฉายากับแม่ไก่เหล่านี้อย่างกิ๊บเก๋ว่า“แม่ไก่ร่าเริง” ซึ่งเมื่อไข่ออกมาก็จะได้ “ไข่ไก่ร่าเริง” เป็นไข่ไก่คุณภาพ ปลอดสารเคมี สารเร่ง และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าไข่ไก่ส่วนใหญ่ที่บริโภคอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ เรน ฟอเรสท์ ฟาร์ม ยังมีอีกหนึ่งวัตถุประสงค์สำคัญในการจัดตั้งนั่นก็คือ เพื่อศูนย์เรียนรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นตัวอย่างให้กับผู้สนใจ ทั้งด้านการทำเกษตรอินทรีย์ การปลูกป่าแบบผสมผสาน งานปศุสัตว์ การทำปุ๋ยหมักชีวภาพ การใช้พลังงานทดแทน และการคัดแยกขยะ เป็นต้น

และด้วยลักษณะพิเศษต่างๆตามที่กล่าวมาข้างต้นทำให้ทั้ง เรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท และเรน ฟอเรสท์ ฟาร์ม ได้รับรางวัลเป็นจำนวนมาก เป็นดังการการันตีในคุณภาพของสถานที่แห่งนี้ ภูหินร่องกล้า

หลังนอนพักผ่อนเอาแรงอย่างเต็มอิ่มที่ เรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท เช้าวันรุ่งขึ้น “ตะลอนเที่ยว” ออกเดินทางต่อไปตามทางหลวงหมายเลข 12 ก่อนจะไปแยกเข้าถนนหมายเลข 2013 แล้วเลี้ยวสู่ถนนสาย 2331 เข้าสู่ “อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า” (อ.นครไทย จ.พิษณุโลก) อีกหนึ่งจุดหมายหลักของเราในทริปนี้

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ในอดีตเคยถูกใช้เป็นฐานที่มั่นสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ช่วงที่มีการสู้รบจากความคิดต่างทางการเมืองเมื่อราว 40 ปีที่แล้ว ซึ่งวันนี้รอยอดีตจากการสู้รบได้เปลี่ยนแปรเป็นสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจของอุทยานฯ อาทิ “พิพิธภัณฑ์การสู้รบ”, “สำนักอำนาจรัฐ” และ “โรงเรียนการเมืองการทหาร” นอกจากแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์แล้ว ภูหินร่องกล้ายังโดดเด่นไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันสวยงามหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “ลานหินแตก” กับลักษณะของธรรมชาติอันแปลกตาของลานหินกว้างมีรอยแตกคล้ายแผ่นดินแยก, จุดชมวิวตามหน้าผาต่างๆ บริเวณ “โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า”, “น้ำตกหมันแดง” น้ำตกงาม 13 ชั้น ที่ในช่วงกลางฤดูฝนราวเดือนสิงหาคมจะสวยงามไปด้วย “ดอกลิ้นมังกร” ที่ออกดอกบานสีชมพูสะพรั่งขึ้นกระจายอยู่ตามโขดหินบริเวณธารน้ำตก โดยเฉพาะที่บริเวณโขดหินด้านหน้าของน้ำตกชั้นที่ 5 จะเป็นจุดที่พบดอกลิ้นมังกรบานหนาแน่นมากที่สุด ขณะที่ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ “ลานหินปุ่ม-ผาชูธง-ซันแครก” (ระยะทางประมาณ 2,460 เมตร) ซึ่งถือเป็นหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวไฮไลต์นั้น มีความสวยงามแปลกตาของธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนที่ไหนให้สัมผัสเที่ยวชมไล่เรียงกันไป ได้แก่

“ผาหินกบ” กับก้อนหินใหญ่วางเทินกันอยู่ซึ่งเมื่อมองถูกมุมจะดูคล้ายกบเกาะอยู่บนหิน

“ผาหัวใจหิน” กับก้อนหินใหญ่รูปร่างคล้ายหัวใจให้นักท่องเที่ยวไปโพสท่าหัวใจถ่ายรูป เซลฟี่กันเป็นที่เพลิดเพลิน “ลานหินปุ่ม” จุดไฮไลต์สำคัญที่เป็นดังสัญลักษณ์ของภูหินร่องกล้า กับลานหินขนาดย่อมริมหน้าผาที่มีรูปร่างลักษณะอันแปลกประหลาด เป็นลานกว้างแล้วมีหินเป็นลูกกลมมนผุดขึ้นมาเป็นลูกๆปุ่มๆ ละลานเต็มไปหมด สันนิษฐานว่าลานหินปุ่มเกิดจากการโก่งตัวของเปลือกโลก แล้วเกิดการสึกกร่อนพร้อมถูกลมฝนกระทำขัดเกลา จนเกิดเป็นลานหินปุ่มขึ้นมา

นอกจากนี้ลานหินปุ่มยังเป็นจุดชมวิวชั้นดี กับทิวทัศน์เบื้องล่างอันสวยงามกว้างไกล นับเป็นอีกจุดถ่ายรูปอันโดดเด่นกับเอกลักษณ์เฉพาะตัวของปุ่มหินประหลาดที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน “ผาชูธง” หน้าผาสูงที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงามกว้างไกล โดยเฉพาะจุดชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่สวยงามไม่เป็นรองใคร ผาชูธงในอดีตเคยเป็นจุดที่ พคท. เมื่อรบชนะทหารไทยจะขึ้นไปชูธงแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ส่วนปัจจุบันบนผามีธงชาติไทยปักอยู่

“ซันแครก” หินตามธรรมชาติมีลักษณะเป็นชั้นๆ ริ้วๆ ดูคล้ายมีคนนำมาก่อเป็นกำแพง ซึ่งนักธรณีวิทยาระบุว่า ปกติหินลักษณะแบบนี้จะพบเฉพาะที่ใต้ทะเลเท่านั้น แต่ที่มาโผล่อวดความสวยงามอยู่บนภูหินได้อย่างน่าอัศจรรย์นั้น น่าจะเป็นเพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงของผิวโลกทำให้หินเหล่านี้ยกตัวขึ้นมาจากใต้ทะเล หรือไม่ก็เป็นลักษณะเฉพาะของหินแถบนี้ที่ไม่เหมือนใครนั่นเอง นอกจากจะมากไปด้วยหินรูปร่างแปลกตาแล้ว ในช่วงหน้าฝนเช่นนี้เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ “ลานหินปุ่ม-ผาชูธง-ซันแครก” ยังมีความพิเศษสุดๆ จากมวลหมู่ดอกไม้ป่านานาพันธุ์ที่พากันออกดอกชูช่อสวยงามรับวสันตฤดูอยู่ทั่วไป โดยบริเวณใกล้ๆกับลานหินปุ่มจะมีดอกไม้หลากหลายชนิดให้ชมกันอย่างเพลินตาเพลินใจ อาทิ “กุหลาบขาว” ที่ออกดอกประปรายสีขาวนวลเด่น,“ลิ้นมังกร” สีส้มสดเด่นอยู่ตามพื้นดิน, “เอนอ้า” สีชมพูอมม่วงสดใสที่นอกจากแถวลานหินปุ่มแล้วยังมีให้เห็นกันเกือบตลอดเส้นทาง ส่วนที่ 2 ดาวเด่นประจำเส้นทางศึกษาธรรมชาติสายนี้ก็คือ “เอื้องตาเหินไหว” ที่ออกดอกสีขาวชูช่อเป็นริ้วพลิ้วไหวอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ใน 3-4 จุดด้วยกัน และ “ดอกเปราะภู” ดอกสีขาวราวสำลีอยู่ทั่วไปตามพื้นดินริมบริเวณลานหิน โดยจุดที่หนาแน่นที่สุดอยู่บริเวณใกล้ๆ กับลานหินปุ่ม และด้วยมนต์เสน่ห์เฉพาะตัวของดอกเปราะภูขาวที่นี่ (ปกติดอกเปราะภูส่วนใหญ่จะเป็นดอกสีชมพูอมขาว) ทำให้ทาง ททท.ยกให้เป็น 1 ใน 22 เส้นทางดูดอกไม้ทั่วไทย จากโครงการ “กาลครั้งนั้น..ความฝันผลิบาน” หรือ “Dream Destination 2” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสีสันแห่งกรีนซีซันของเมืองสองแควที่น่าสนใจไม่น้อยเลย ภูทับเบิก

จากภูหินร่องกล้าเราเดินทางต่อไปบนถนน 2331 สู่ “ภูทับเบิก”(บ้านทับเบิก ต.วังบาดาล อ.หล่มเก่า) ใน จ.เพชรบูรณ์ อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวสำคัญในเส้นทางท่องเที่ยวทางหลวงหมายเลข 12

ภูทับเบิกเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน บนภูทับเบิกงดงามไปด้วยทัศนียภาพอันสวยงามกว้างไกล โดยเฉพาะจุดชมวิวภูเขาไร่กะหล่ำที่มีให้ชมกันในหลายจุดด้วยกัน นอกจากนี้ภูทับเบิกยังขึ้นชื่อในเรื่องความงามของทะเลหมอกอันสวยงามโรแมนติกชวนให้ประทับใจไม่น้อย สำหรับจุดชมวิวสำคัญของภูทับเบิกอยู่ที่ “อาคารหอดูดาวและที่วัดอุณหภูมิ” หรือ “จุดชมวิวภูทับเบิก” (จุดชมวิวปรอทยักษ์) ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของจังหวัดเพชรบูรณ์ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,768 เมตร

บนนี้ในวันที่สภาพอากาศเป็นใจ วิวทะเลหมอกที่นี่นับว่าสวยงามมากอีกแห่งหนึ่ง ส่วนในวันที่ฟ้าเปิดโล่งเราก็สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงามกว้างไกล มองเห็นแนวถนนอันลดเลี้ยวเคี้ยวโค้ง ทุ่งนา บ้านเรือน แนวสันเขา รวมถึงมองเห็นองค์ “พระมหาธาตุเจดีย์โพธิปักขิยธรรม” ที่กำลังก่อสร้างตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ลิบๆ พระมหาธาตุเจดีย์โพธิปักขิยธรรมเป็นเจดีย์ที่ตั้งอยู่ที่ “วัดป่าภูทับเบิก” (ต.วังบาดาล อ.หล่มเก่า) อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวน่าสนใจในพื้นที่ภูทับเบิกแห่งนี้

วัดป่าภูทับเบิกเริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. 2534 ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดรับน้ำฟ้ากลางหาว เพื่อนำไปรวมทำเป็นน้ำเพชร น้อมเกล้าถวายเป็นน้ำพระพุทธมนต์ ในพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ธันวาคม พ.ศ. 2542 วัดป่าภูทับเบิก ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่สูงที่สุดในเมืองไทย ภายในวัดมีบรรยากาศร่มรื่น บ่อยครั้งจะถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอกขาวโพลน ภายในโบสถ์งดงามไปด้วยพระประธานศิลปะอินเดีย โดยมีบุษบกบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่เบื้องหน้า

นอกจากนี้ภายในบริเวณวัดวันนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์โพธิปักขิยธรรม (เจดีย์เพชร 37 ยอด) ที่มีความสูงถึง 80.90 เมตร โดยเปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาได้ทำบุญบริจาคกันตามกำลัง ซึ่งถ้าเจดีย์องค์นี้สร้างเสร็จก็จะกลายเป็นจุดสนใจ จุดดึงดูดแห่งใหม่ของภูทับเบิกที่น่าสนใจยิ่ง เขาค้อ

หลังสัมผัสบรรยากาศเขาสูง วิวสวย ทะเลหมอกสุดฟินที่ภูทับเบิกกันไปแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นเราไปสัมผัสกับบรรยากาศแห่งทะเลหมอกที่ “เขาค้อ” (อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์) เป็นแหล่งพักผ่อนตากอากาศเลื่องชื่อ ที่มีสโลแกนชวนเที่ยวแสนเก๋ “นอนเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี” สำหรับจุดชมทะเลหมอกยามเช้าแห่งเขาค้อในทริปนี้ เราเลือกเฝ้าชม ณ จุดชมวิวนิรนาม ซึ่งเป็นลานโล่งๆเล็กไม่มีชื่อ อยู่ในเส้นทางไปวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ใกล้ๆ กับร้านกาแฟ “พิโน ลาเต้” โดยจุดชมวิวจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า เป็นลานดินลูกรัง บริเวณรอบข้างมีการปลูกข้าว กระเทียม และกะหล่ำ ซึ่งใครที่ไม่เคยมาเมื่อเห็นภาพแนวขุนเขากับวิวแปลงกะหล่ำ อาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นภูทับเบิกก็เป็นได้ ที่จุดชมวิวนิรนาม(ไร้ชื่อ)แห่งนี้ โดดเด่นไปด้วยวิวทิวทัศน์ของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วที่มองเห็น “มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์” กับ “เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต" ตั้งตระหง่านสวยงาม วันที่อากาศเป็นใจจะมีสายหมอกลอยอ้อยอิ่งประกอบฉาก ที่ดูแล้วช่างน่าประทับใจกระไรปานนั้น หลังเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ในหลายมุมมองที่จุดชมวิวนิรนาม เราไปเติมพลังจิบกาแฟยามสายกันที่ร้านกาแฟ “พิโน ลาเต้” (Pino Latte) และไม่พลาดที่จะบันทึกภาพวิวทิวทัศน์และแปลงปลูกดอกไม้เล็กๆของที่นี่ ที่ชวนเพลิดเพลินไปกับวิวของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วในมุมใกล้เคียงกับจุดชมวิวนิรนาม แต่ต่างกันที่องค์ประกอบของร้านกาแฟและสวนประดับ แมนเมด (Man Made) ที่ให้บรรยากาศสวยงามแตกต่างกันไป

นับเป็น 2 จุดชมวิวใกล้เคียงในเส้นทางเดียวกันที่สุดฟินไม่น้อยเลย วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว

จากนั้น “ตะลอนเที่ยว” ไปต่อกันที่“วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว”(บ้านทางแดง ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ) เพื่อชมสิ่งสวยๆงามๆ ปานเนรมิตพร้อมไหว้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคล “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” หรือชื่อเดิมคือ “วัดพระธาตุผาแก้ว” เป็น 1 ใน 10 สถานที่ท่องเที่ยวในโครงการ “Dream Destination 1” กาลครั้งหนึ่ง...ต้องไป ที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้คัดสรรแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ 10 แห่ง อันงดงามชวนให้ไปสัมผัส

สำหรับที่มาของชื่อวัด มีเรื่องเล่าขานกันว่า ท่ามกลางขุนเขาที่สลับซับซ้อนแห่งนี้มีถ้ำอยู่ที่ส่วนบนของยอดเขา ชาวบ้านในแถบนี้หลายคนเคยเห็นลูกแก้วลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าและหายเข้าไปในถ้ำอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา จึงเรียกขานที่นี่ว่า “ผาซ่อนแก้ว” อันเป็นที่มาของชื่อวัด วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ประกอบไปด้วยงานพุทธศิลป์สำคัญใน 2 ส่วนด้วยกัน คือ “มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์” และ “เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต”

มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ สร้างขึ้นเพื่อร่วมน้อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองพระชนมพรรษา 85 พรรษาขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจและเป็นที่พักของผู้เข้าปฏิบัติธรรม กับงานสถาปัตยกรรมพระพุทธรูปซ้อนองค์ไล่เรียงจากองค์เล็กขึ้นไปสู่ใหญ่สีขาวเด่น ดูโดดเด่นงดงามนัก ส่วน “เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต” นั้น สร้างด้วยรูปทรงดอกบัวซ้อน 7 ชั้น ภายในเจดีย์แบ่งเป็นชั้นต่างๆ มีพระพุทธรูปประดิษฐานให้สักการะ มีบันไดเวียนเดินชมโมบายลูกแก้วอันสวยงาม อีกทั้งยังเป็นส่วนนิทรรศการหมุนเวียนจัดแสดงนิทรรศการธรรมมะให้ผู้เข้ามาเยี่ยมเยือนได้รับรู้ซึมซับ

ขณะที่องค์เจดีย์ด้านนอกมีเส้นทางเดินสู่ชั้นบน ซึ่งเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ชั้นเยี่ยมของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว สามารถมองเห็นมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ และซุ้มองค์พระต่างๆ ได้อย่างสวยงาม นอกจากนี้ที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วยังโดดเด่นไปด้วยการประดับตกแต่งอันงดงามวิจิตร จากเครื่องถ้วยเบญจรงค์ อัญมณี แก้ว แหวน เงินทองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตามผนัง เสา หรือแม้กระทั่งพื้นก็ยังมีการตกแต่งเป็นลวดลายทางเดินอย่างสวยงาม

สำหรับวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วถือเป็นดินแดนแห่งธรรมอันงดงามวิจิตรที่ “พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส” ทิ้งปริศนาธรรมไว้มากมายให้บรรดาผู้มาเยือนได้นำไปขบคิดและประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี สวนผักครูเฒ่า

ก่อนกลับบ้านเรามาปิดท้ายทริปท่องเที่ยวพิษณุโลก-เพชรบูรณ์กันที่ “สวนผักครูเฒ่า” ใน ต.เขาค้อ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่เต็มไปด้วยผักไฮโดรโพนิกส์หลากชนิด ดูสดใหม่ สะอาด น่ารับประทาน

สวนผักครูเฒ่าแห่งนี้ดูแลโดย อ.วิรัช พละเดช อดีตอาจารย์ที่ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรปลูกพืชแบบไร้ดิน โดยมีผักไฮโดรโพนิกส์อยู่ 6 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ บัตเตอร์เฮด ฟิลเลซ์ คอส กรีนโอ๊ก เรดโอ๊ก และเรดคอรัล นอกจากจะขายให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวแล้ว ยังปลูกส่งไปยังห้างสรรพสินค้าชั้นนำในกรุงเทพฯ อีกด้วย นอกจากผักไฮโดรโพนิกส์แล้ว ที่สวนครูเฒ่ายังมีสตรอเบอร์รีไฮโดรโพนิกส์ที่ปลูกแบบไร้ดินเช่นกัน โดยที่นี่เป็นสวนสตรอเบอร์รีไฮโดรโพนิกส์แห่งแรกในเมืองไทย มีข้อดีกว่าการปลูกบนดินหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการควบคุมอุณหภูมิได้ดีกว่า ให้ผลผลิตที่ดีกว่า แม้จะมีต้นทุนสูงกว่าการปลูกบนดินแต่ก็คุ้มค่า

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสวนผักครูเฒ่าสามารถลงมาเที่ยวชมและแวะถ่ายรูปแปลงปลูกผักไฮโดรโพนิกส์อันสวยงามละลานตา และในฤดูหนาวราวช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไปก็จะมีสตรอเบอร์รี ผักสดๆ และสินค้าเกษตรอีกหลายอย่างมาวางขายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อเป็นของฝากคนทางบ้านกันได้ด้วย นอกจากนั้นคนที่สนใจอยากจะไปลองปลูกผักไร้ดินที่บ้านเองบ้าง ก็สามารถมาพูดคุยสอบถามความรู้เกี่ยวกับการปลูกผักไฮโดรโพนิกส์กันที่นี่ได้ เพราะ อ.วิรัช ตั้งใจจะให้ “สวนผักครูเฒ่า” แห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับการปลูกผักไฮโดรโพนิกส์ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีเด็กนักเรียนและผู้ที่สนใจมาเรียนรู้อยู่เสมอๆ หากใครผ่านมาเขาค้อแล้วก็ไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ

นับเป็นการปิดทริปอย่างประทับใจ อำลาทางหลวงหมายเลข 12 ถนนสายโรแมนติกที่เชื่อมโยงระหว่างจังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ ซึ่งนอกจากเราจะได้สัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยวอันหลากหลายสวยงามเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ชวนประทับใจแล้ว

การเดินทางท่องเที่ยวยังเป็นยาวิเศษที่ช่วยเติมพลังให้กับชีวิตได้เป็นอย่างดียิ่ง

*****************************************

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในจังหวัดเพชรบูรณ์-พิษณุโลกเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพิษณุโลก (พื้นที่รับผิดชอบ พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, พิจิตร) โทร.0-5525-2742-3, 0-5525-9907

*****************************************

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล [email protected]