ซ มเมอร ส ม.ร งส ตจำเป นต องเร ยยนม ย

เผยแพร่: 8 ม.ค. 2556 17:30 โดย: MGR Online

แอนดี หรีด อดีตหัวหน้าโค้ช ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ ได้รับการตั้งแต่งจาก คลาร์ก ฮันท์ เจ้าของทีม แคนซัส ซิตี ชีฟส์ เป็นนายใหญ่คนใหม่ หลังถูกปลดออกจากตำแหน่ง เมื่อสิ้นสุดศึกอมริกันฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) ฤดูกาลปกติที่ผ่านมา

เฮดโค้ชจอมเก๋าวัย 54 ปี ปิดฉาก 14 ฤดูกาลกับ "อินทรีมรกต" หลังพาทีมจบอันดับสุดท้ายของกลุ่ม เอ็นเอฟซี (NFC) ตะวันออก ด้วยสถิติชนะ 4 แพ้ 12 ทำให้ตกเป็นเป้าหมายของ อริโซนา คาร์ดินัลส์ ซึ่งเพิ่งปลด เคน วีเซนฮันท์ โค้ชดีกรีรองแชมป์ ซูเปอร์ โบว์ล ครั้งที่ 43

ขณะเดียวกัน บอสใหญ่ถิ่น แอร์โรว์เฮด สเตเดียม ติดต่อ อดีตโค้ชควอเตอร์แบ็ก กรีนเบย์ แพ็คเกอร์ส เพื่อติดต่อ กุนซือประสบการณ์สูง มารับช่วงต่อจาก โรมีโอ เครนเนล หัวหน้าโค้ชที่ถูกตะเพิดพ้นเก้าอี้ เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว พร้อมเปิดโต๊ะเจรจากับ บ็อบ ลามอนเต เอเยนต์ส่วนตัวของ หรีด ก่อนเซ็นสัญญา 5 ปีกุมบังเหียน "หัวหน้าเผ่า" ซึ่งไม่เคยสัมผัสรอบเพลย์ออฟ นับตั้งแต่ปี 1993

โค้ชดีกรีแชมป์สาย NFC ปี 2004 กล่าว "พวกเขาเป็นครอบครัวที่ยอดเยี่ยม และตระกูล ฮันท์ เป็นระดับแนวหน้า พวกเขาสุดยอดมากๆ แน่นอนมันมีแรงกระตุ้นที่จะเริ่มงานกับ คลาร์ก และมันแผ่ออกมาจากคนอื่นๆ ที่ผมเคยพบ และมันน่าทึ่งมาก คุณได้รับความรู้สึกว่าที่นี่เป็นที่ที่เหมาะสำหรับคุณ มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะทำ มันทำให้ผมตัดสินใจ่ายมาก ผมภาวนาว่า ผมจะได้รับข้อเสนอ"

แบบจำ� ลองรอยเล่ือนบริเวณแหลมโพธิ์ คดั ลอก และดัดแปลงจาก กรมทรพั ยากรธรณี, 2ส5สุ 3า8นหอยยุคเทอร์เชียร่ี จากแหลมโพธิ์ 1 ทางตะวันตก ถึง แหลมโพธิ์ 3 ทางตะวันออก

แนวชายฝง่ั ทะเลแหลมโพธิ์ทปี่ รากฎ ก ารวา งตวั ขอบงรละ็อนการบอรยอเลยเือ่ ลนื่อนรดอา้ (ยนfเaบลuอ่ืนlนtเลวpอ่ืาlงนaตลnัวeงอไ)ยป่ใูเทอนายี แงงนทลวิศงตทเหะาวงนนัทือตศิ ตก4เะฉ5วยีนั งออใงอตศก้ดาเว้ฉยตยี มะงวมุในัตเอ้อียปองกรปเะฉรมียะามงณา(ณN640255Eํ อ)งอศงาศา

มุม และทิศทางของการเลือ่ น บนระนาบรอยเลือ่ น

16 17

แอง่ กระบสี่ มยั Eocene - Oligocene แ น ว ร อ ย เ ล่ื อ น ร ะ น อ ง ชุ ม พ ร ยอดเขาสงู ในสมยั นัน้ ปกคลุมดว้ ยป่าสนเขา ¶ดั ลงไปเปน็ ปา่ เขตรอ้ นชน้ื ทพี่ บหลกั ฐาน ที่เกิดบนที่มีระดบั สูงกว่า 2,000 เมตร เปน็ เรณขู องตน้ ตะแบก ไมฝ้ าง ฯลฯ

ปลายแหลมไทยในชว่ งปลายสมยั อีโอซีน-โอลโิ กซนี มีสภาพเปน็ พนื้ ทร่ี าบสลับทวิ แ น ว ร อ ย เ ล่ื อ น ค ล อ ง ม ะ รุ ่ ย สว่ นทรี่ าบ และแอง่ นา้� เปน็ ทอ่ี าศยั ของพชื ขนาดเลก็ เขาสงู ที่ขนาบด้วยพน้ื ท่ีลมุ่ ต�่าทางด้านตะวันตก และตะวนั ออก ทิวเทือกเขาสงู ชนั ขนาดใหญ่ และพชื นา�้ เชน่ กก เตย กดู นา้� และสาหรา่ ย ทวี่ างตัวในแนวเหนือ-ใต้ เหมาะส�าหรบั การเจริญเตมิ โตของป่าสนเขา สุ ร า ษ ® ร ์ ธ า นี หลกั ฐานบรรพเรณขู องสนสปรซู และตน้ ออลเดอร์ (Alder) ชนั้ ดินคลุม บ่งชี้ว่าเทอื กเขาเหล่านีม้ คี วามสูงกว่า 2,000 เมตร ชน้ั น้า� จืด เนือ่ งจากไมใ้ หญ่เหลา่ นไี้ มส่ ามาร¶เตบิ โตได้ในบรเิ วณที่ต่า� กว่าระดบั ดังกล่าว ชนั้ หนิ โคลนสีเหลืองเทา มีเปลือกหอย เบื้องล่างเปน็ ป่าไม้เขตรอ้ นช้ืน เช่น ตะแบก ไม้ฝาง ชมพู่ ชบา ฯลฯ ช้นั เปลอื กหอยขม และหอยคนั อดั แนน่ หนา 50 ซม. ปกคลมุ เร่อื ยไปจน¶งึ เขตท่ีล่มุ รอบแอ่งจึงเปล่ียน เปน็ พชื เลก็ จา� พวก กก เตย และจิงจอ้ ขน ชน้ั ดนิ เหนียวสเี ทาด�า มลี กิ ไนตอ์ ยู่ด้านบนสดุ 10 ซม.

แ อ ่ ง เ คี ย น ซ า

นอกจากน้ีแลว้ ยังพบบรรพเรณูของ น ค ร ศ รี ธ ร ร ม ร า ช พชื จา� พวกล�าพู และโกงกาง ทา� ใหส้ ันนษิ ฐานได้วา่ พั ง ง า แ อ ่ ง สิ น ปุ น มที ะเลอยหู่ ่างไป ไมไ่ กลนัก แหลมโพธ์ิในสมยั น้นั เป็นสว่ นหน่งึ ของแอ่งกระบี่ โดย มแี อง่ สนิ ปนุ และแอ่งเคียนซาอยเู่ ลยขึน้ ไปทางเหนือ ท้ังสามลว้ น แ ห ล ม โ พ ธิ์ เปน็ แอ่งเทอร์เชยี รี่ ซ่ึงรองรับตะกอนท่¶ี กู พัดพาลงมาจากแนว ภู เ ก็ ต เ ก า ะ ย า ว ใ ห ญ ่ แ อ ่ ง ก ร ะ บ่ี เทือกเขาที่ขนาบอยู่ทง้ั สองดา้ น ตลอดช่วงสมัยโอลโิ กซนี นอกจากหอยทัง้ หลายทเี่ ป็นตวั เอกในที่น้ีแล้ว ยงั มกี ารสา� รวจพบหลักฐานสัตว์ เล้ือยคลานพวก งู เตา่ จระเข้ และสตั ว์เลี้ยงลกู ดว้ ยน�า้ นมอกี รว่ ม 30 ชนิดในแอ่งกระบี่ หลักฐานบรรพเรณยู นื ยันวา่ พชื น�า้ ในแอ่งกระบอี่ ยา่ งนอ้ ย ประกอบดว้ ย กูดเขากวาง (กูดน้า� ) และสาหร่ายสเี ขยี วจุลภาค เชน่ บ่าง ลิง หนู แมว รวม¶งึ ไพรเมทช้ันสูง สยามโมพิเทคัส อโี อซนี ัส ทค่ี อ่ นข้างสมบรู ณ์

ท่¶ี ูกทับ¶ม และเปลย่ี นสภาพเป็น¶่านหนิ ลกิ ไนต์ และน�าไปสกู่ ารเปล่ียนแนวคิดเร่อื งการกระจายของไพรเมทช้ันสูงท่ีเดิมเช่อื ว่าเรม่ิ จากอฟั ริกา

เ ก า ะ พี พี เ ก า ะ ลั น ต า 19 ต รั ง

18 20

45 ป หลงั กปาจรจุบพันชิ อติ ินยเดอียดยเขังคาเเทงอเคือเวลกออ่ื เรนขเทราสช่ี หนเกมิทับอืายกลูเเรขยั เซาหยี มิ ทาลวยั ปี ถยกู ูเดรันเซใหยี ส งู ขึ้นประมาณ 2 เมตร แองเทอรเชยี ร่ี กลุมรอยเลื่อน ุอตร ิดตถ

ท ีวป ิอนเ ีดยเคล่ือนท่ี ดวยความเ ็รว 5-16 ซม. ตอป เกาะสุมาตราปลายสมัยไมโอซนี ผลกระทบทไี่ ทยไดร บั จากการชนกนั ของทวปี อนิ เดยี กับยเู รเซยี กลมุ รอยเลอ่ื นเจดียสามองค กลุมรอยเลื่อนแมปง แอง กระบี่ เปน หนงึ่ ในแองเทอรเชียร่ี ตน สมยั โฮโลซนี กลุม รอยเลอื่ นระนอง เสนศูนยส ตู ร เกาะบอรเ นยี ว

ปลายสมยั พาลีโอซนี ก ุลมรอยเล่ือนคลองมะ ุรย แอง เทอรเชียร่ี

ในประเทศไทย แรงจากการชนกันของทวีปอินเดยี และยูเรเซยี ท�าให้เกดิ รอยเล่อื น

ในแนวนอน 2 กล่มุ วางตัวเกอื บตั้งฉากกัน ไดแ้ ก่ กลมุ่ รอยเล่ือนแม่ปิง และเจดีย์สามองค์ แองกระบี่ ทวี่ างตวั ในแนวทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื กบั กลมุ่ รอยเล่อื นอุตรดิตถ์ ระนอง และคลองมะรุย่ ที่วางตัว

ในแนวทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนอื แองเมอรก ยุ

ตำแหนง ของ การเคลื่อนท่ขี องรอยเล่ือนทั้ง 2 กลุ่มนี้ สง่ ผลทา� ให้เกิดรอยเล่อื นในแนวดง่ิ ทว่ี างตัว สมัยไมโอซนี ตอนตน น้ำทะเลเรมิ่ เออเขา ทวมอา วไทย ทวปี อนิ เดีย ในแนวทิศเหนือ-ใต้ ซ่ึงตอ่ มาในยุคเทอร์เชียรี*่ มกี ารทรดุ ตัวลงเป็นแอง่ มากมาย กระจายตวั ต้งั แตเ่ หนือจรดใต้ รวมถึงในอา่ วไทย ซ่ึงในเวลานน้ั มสี ภาพเป็นทีล่ มุ่ ตา�่ ต่อเน่อื ง ชวงปลายยุคครีเทเชยี ส

ไปจนถึงเกาะบอร์เนยี ว และเกาะสุมาตรา ของประเทศอินโดนเี ซีย จนกระท่งั เริ่มมี สมยั ไมโอซนี ตอนตน น�้าทะเลรกุ เข้ามาในชว่ งตน้ สมยั ไมโอซีนเป็นตน้ มา ไมโอซนี

* ในอดีต นกั ธรณวี ทิ ยาเรียก ยคุ พาลีโอจีน และนีโอจีน รวมกันวา ยคุ เทอรเ ชียรี่ ชว งเวลาการเกดิ สุสานหอยแหลมโพธ์ิ โอลโิ กซีน (หมายเหตุ ความยาวของแทง อายุ ในแตละชว งธรณีกาล มีอตั ราไมค งท)ี่ พาลโี อซีน อีโอซีน

ครเี ทเชียส พาลโี อจนี มโี ซโซอกิ 66.0 56.0 33.9 23.03

ในสมัยโอลิโกซนี แหลมโพธ์เิ ป็นสว่ นหนึ่งของ แอง่ กระบี่ ที่ ปาสนเขา การสะสมตะกอนชว่ งสดุ ทา้ ยเกดิ ตอนตน้ สมยั ไมโอซนี โดยการ เปน็ แหล่งสะสมตัวของตะกอนดินทราย พรอ้ มกับซากสงิ่ มี รกุ ทว่ มของนา�้ ทะเล ซง่ึ ตลอดชว่ งเวลาของการ สะสมตะกอน ชีวติ ตา่ งๆ ทเ่ี กดิ อยใู่ นแอง่ และบรเิ วณโดยรอบ เชน่ หอย ปา เขตรอ นชน้ื แอง่ มกี ารทรดุ ตวั ลงดว้ ยนา้� หนกั ของตะกอน รว่ มกบั การชว่ ย ขม และหอยมวนพลู รวมถึงละอองเรณูของพืช ทุงหญา ต่างๆ ทีเ่ กดิ อยใู่ นแอง่ ทุ่งหญ้า ปา่ เขตรอ้ น ยดึ ประสานของสารละลายนา้� ปนู ทา� ใหช้ น้ั ตะกอน และ และบนเขาสงู ตลอดถงึ ละอองเรณขู องพชื เปลอื กหอยแขง็ ตวั เปน็ หนิ จากป่าชายเลน ทีอ่ ยไู่ มไ่ กลจากแอ่งมากนัก แองเทอรเ ชียรี่ จนกระท่งั เข้าสู่ ยคุ น�า้ แข็งครั้งสดุ ท้าย ในสมยั แองกระบ่ี ไพลสโตซนี ทม่ี กี ารเกดิ ขน้ึ และละลายลงของธารนา้� แขง็ หลายรอบ และกนิ เวลาตอ่ เนอ่ื งมาจนถงึ ทกุ วนั นี้ จำนวนมากมายทเี่ กดิ จากการชนกนั ของสองทวปี สดุ ทา้ ยเมอ่ื ประมาณ 2.7-2.1 หมน่ื ปกี อ่ น มกี ารเกดิ ธารนา้� แขง็ มากทสี่ ดุ (Last Glacial Maximum) จากนนั้ จงึ คอ่ ยๆ ลดลง และเรม่ิ ละลายจนทา� ใหร้ ะดบั นา�้ ทะเลทว่ั โลก สงู ขนึ้ 120 เมตร ถงึ ระดบั ปจั จบุ นั โดยเมอ่ื ประมาณ 5,700 ปกี อ่ น นา้� ทะเลขนึ้ สงู จนเลยระดบั ทะเลปานกลางไปถงึ 3-4 เมตร กอ่ นทจี่ ะ ลดลงมาทร่ี ะดบั ปจั จบุ นั

ปา ชายเลน ชน้ั ตะกอนทปี่ ด ทบั ดานบน ระดับทะเลปานกลาง ปจ จบุ นั ระดบั ทะเลสงู กวาปจจุบนั ประมาณ 3-4 เมตร เมือ่ 5,700 ปกอน ดำบรรพสัตวทะเล ใน ประมาณ 120 เมตร นำ้ ทะเลเออทว มแอง กระบ่ี พบหลักฐานซากดกึ ระดับทะเลเพ่ิมขึ้นอยางตอ เนอ่ื ง เร่มิ เกดิ น้ำแข็งทขี่ ว้ั โลกใต หลงั ธารน้ำแข็งมากทสี่ ดุ ครั้งสดุ ทายเร่มิ ละลาย

ชว งเกิดธารนำ้ แขง็ ระดบั ทะเล เมื่อธารน้ำแข็งครง้ั สุดทายเรมิ่ ละลาย (Glacial period) ชว งธารนำ้ แขง็ ละลาย

เรมิ่ เกดิ นำ้ แขง็ ที่ข้วั โลกเหนอื ธารนำ้ แข็งเกดิ ข้ึน และละลายสลับกันหลายรอบ เกดิ ธารนำ้ แขง็ มากที่สุดครัง้ สุดทาย (Interglacial period) (Last Glacial Maximum) เรมิ่ ยุคน้ำแข็ง ครั้งสดุ ทา ย 800 115 27-21 11.7 5.7 ยคุ น้ำแข็ง ยังไมสิ้นสุด (พันป) ปจจุบนั นีโอจีน ไพลโอซนี ไพลสโตซีน ควอเทอรนารี โฮโลซีน (ลานป) สมยั ซโี นโซอิก 2.588 1.8 0.0117 ยุค 14 5.333 มหายคุ

เทอื กเขำทงั้ หมดมีระดบั ลดต�่ำลงเพรำะถูกกดั เซำะทำ� ลำยกลำยเปน็ ตะกอน ในสมยั ไมโอซีนพืน้ ทีโ่ ดยรอบถกู น�ำ้ ทะเลท่วมถึง แ น ว ร อ ย เ ลื่ อ น ร ะ น อ ง ชุมพร แอ่งกระบ่ีในสมัย Miocene ถูกพดั พำไปสะสมในแอง่ นำ� ้จดื และทีร่ ำบเบือ้ งลำ่ ง ท�ำใหแ้ อง่ กระบกี่ ลำยเป็นแอ่งน�้ำเคม็ แ น ว ร อ ย เ ลื่ อ น ค ล อ ง ม ะ รุ ่ ย ปัจจบุ นั ไมพ่ บปำ่ สนในภำคใต้ของไทยเลย สุ ร า ษ ® ร ์ ธ า นี จากซากดึกด�าบรรพท์ ่ีพบในแอง่ กระบ่ที า� ให้ทราบวา่ ช่วงบนของตะกอน ซงึ่ สำมำรถยืนยนั ได้จำกซำกเปลอื กหอยมวนพลู ในแอ่งซ่งึ สะสมตวั ภายหลังเกิดขึ้นในน�้าเคม็ ท่มี าจากการเพมิ่ ระดับของน�า้ ทะเลข้นึ ชน้ั ดินคลุม ซ่งึ เป็นหอยที่อำศยั อยูใ่ นน�ำ้ เค็ม แ อ ่ ง เ คี ย น ซ า ชั้นนำ้� ทะเลท่วม จนท่วมเข้ามาในแผ่นดนิ ชนั้ หนิ โคลนสลับชน้ั เปลอื กหอยมวนพลู เ ก า ะ ส มุ ย ชัน้ เปลือกหอยมวนพลู อัดแนน่ หนำ 80 ซม. ช้นั ดินเหนียวสเี ทำดำ� มีเปลอื กหอยมวนพลู น ค ร ศ รี ธ ร ร ม ร า ช

พั ง ง า แ อ ่ ง สิ น ปุ น

วงจรชีวติ พืช และสตั ว์ มวี ิว²ั นาการตามธรรมชาติ สดุ ทา้ ยกล็ ม้ ตาย เนา่ เปื่อย สว่ นที่ยงั หลงเหลอื กส็ ะสม¶มทับกันในแอ่ง และ¶กู แ ห ล ม โ พ ธ์ิ ตะกอนปดิ ทบั ไปพรอ้ มกนั ขณะเดยี วกนั แอง่ กม็ กี ารทรดุ ตวั ดว้ ย เปลอื กโลก และสภาพอากาศมกี ารเปลย่ี นแปลงผา่ นชว่ งธรณกี าล เมอื่ สน้ิ สดุ ยคุ นโี อจนี น้�าหนกั ของตะกอน เกิดการบีบอดั ด้วยแรงมหาศาล รว่ มกบั กา้ วเขา้ สยู่ คุ ควอเทอรน์ ารี สภาพแวดลอ้ มมกี ารเปลยี่ นแปลง ทา� ใหพ้ น้ื ทบี่ รเิ วณบา้ นแหลมโพธ์ิ ภู เ ก็ ต เกาะยาวใหญ่ สารละลายนา�้ ปนู ที่เป็นตัวเชื่อมประสาน อกี นบั ล้านปตี ่อมา ¶ูกยกตวั สงู ข้นึ เปน็ ทีด่ อน จนเมอ่ื 10,000-6,000 ปที ี่ผ่านมา เกดิ ปรากฏการณ์ระดบั น�า้ กเ็ กดิ เป็นช้นั หนิ แข็งตามกระบวนการทางธรณีวิทยา ซากหอย ทะเลสูงข้นึ ทัว่ โลก จนทา� ใหบ้ รเิ วณสุสานหอยกลายเป็นพนื้ ที่ชายฝ่งั ทะเลดังเช่นปัจจุบนั กลายเปน็ ฟอสซลิ หรอื ซากดกึ ดา� บรรพ์ สว่ นซากพชื กลายเปน็ ¶่านหนิ ลิกไนต์ซ่ึงอย่ชู ัน้ ลา่ งซากหอยอกี ที

เ ก า ะ พี พี ต รั ง

21 22 เ ก า ะ ลั น ต า 23

สสุ านหอยแหลมโพธิเ์ คยเป็นส่วนหนึง่ ของแอ่งกระบใ่ี นชว่ งยุคเทอร์เชียรี่ โดยยนื ยัน สมาชิกในสุสานดึกด�ำบรรพ์ ไดจ้ ากหลักฐานทางธรณวี ิทยาต่างๆ ท้งั การล�ำดบั ช้ันหิน และซากดึกด�ำบรรพ์ ทร่ี ะบอุ ายุ และ ชื่อสามัญ สภาพแวดลอ้ มที่สอดคล้องตรงกัน Class (ชนั้ ) ซากดกึ ดำ� บรรพท์ โี่ ดดเดน่ ในกลมุ่ หนิ กระบท่ี พี่ บบรเิ วณแหลมโพธคิ์ อื ซากดกึ ดำ� บรรพ์ Order (อนั ดบั ) เปลือกหอยฝาเดียว 3 ชนดิ และซากเปลือกหอยสองฝา 1 ชนิด ห อยส อ งBฝiาva l v ia ย(งัสไ อม ง่ทฝราา)บFam ily (G่วงeศn์)us ชน้ั หนิ เหนอื รอยตอ่ ทอ่ี ยรู่ ะหวา่ งแหลมโพธิ์ 3 กบั แหลมโพธ์ิ 1-2 เกดิ อยใู่ นสภาวะ (สกุล) (ชนดิ ) แวดล้อมใต้ผวิ นำ�้ ทะเล ทร่ี ุกทว่ มเขา้ มาในชว่ งต้นสมยั ไมโอซนี Species หอยมวนพลู และหอยสองฝาอาศัยอยู่ในน้ำ� กรอ่ ย และนำ้� เคม็ อย่สู ลบั กบั ช้ันหิน โคลน อยเู่ หนือชัน้ เปลอื กหอยมวนพลูท่อี ดั กนั แนน่ เปน็ แผน่ หนา 80 ซม. ห อยม ว น พล ู ยงั ไ มท่ ราบยงั ไมท่ ราบsp. (ยังไม่ทราบ) Gastropoda (ฝาเดยี ว) ช้ันหอยมวนพลู และชั้นหอยสองฝา สลับหนิ โคลน Cerithioidea (Superfamily เหนือวงศ์) ชัน้ หอยมวนพลู T u rritelliTduaerritellasp. (ยงั ไมท่ ราบ)

ชนั้ หอยขมและหอยคัน หอยคนั รอยกตับอ่ แรหะหลวมา่ โงพธแิ์ห1ลแมลโะพธ2์ิ 3

ชั้นล่างบรเิ วณเกอื บถงึ กน้ แอง่ เป็นช้นั เปลือกหอยขม และหอยคัน ทอ่ี ดั กนั แนน่ เป็น Gastropoda (ฝาเดียว) ชน้ั ๆ รวมกนั เปน็ แผน่ หนาประมาณ 50 ซม. อยูเ่ หนอื ช้นั ถ่านหินหนาประมาณ 10 ซม. Mesogastropoda ท่ีถกู รองรับด้วยชัน้ ดินเหนียวสีเทาด�ำทก่ี ้นแอ่ง ซ่ึงชน้ั หินส่วนใตร้ อยต่อน้สี ะสมตัวในแอ่งนำ้� T hiaridaeMelanoides จืดในชว่ งปลายสมยั อโี อซนี ถงึ สมยั โอรโิ กซีน tuberculata 24 หอยขม มีแนวสนั คู่ ขนานไปกับแนวการขดมว้ นของเปลอื กหอย 25

Gastropoda (ฝาเดียว) Viviparoidea (Superfamily เหนือวงศ)์

Viv iparidMaeargarysap. (ยงั ไม่ทราบ)

ท่ีสุสานหอยแหลมโพธิ์ ซากดึกด�ำบรรพ์ท่ีเด่นที่สุดคือ หอยฝาเดียว ซ่ึงเป็นจุดเริ่ม สมาชิกในแอ่งกระบี่ ต้นท่ีท�ำใหม้ กี ารศึกษารายละเอียดดา้ นธรณวี ิทยาของแอ่งกระบี่เพิ่มเตมิ ประจวบกบั การผลิต ถ่านหินเพื่อป้อนโรงไฟฟ้ากระบี่ในเวลาน้ัน ท�ำให้นักวิชาการได้รับข้อมูลเพิ่มเติมอีกมากมาย ลงิ หวายเลก็ หวายเลก็ เกยี โอเรียนตาเล จนสามารถสรุปสภาพสิ่งแวดล้อม และภูมิอากาศในอดีตได้ว่าเป็นแบบร้อนชื้นคล้ายกับบ้าน Wailekia orientale Ducrocq et al., 1995 เราในปจั จุบันน้ี ส�ำหรบั ซากของส่งิ มีชวี ิต ทงั้ พชื และสัตว์มากมายหลายชนดิ ท่ีส�ำรวจพบ เชน่ พชื ใบ เป็นไพรเมตชนั้ ต่�ำ ขนาดเล็ก เลยี้ งเด่ียว-ใบเลี้ยงคู่ รวมทัง้ สัตวม์ ีกระดูกสนั หลงั จ�ำพวกสตั วเ์ ล้อื ยคลาน 6 ชนิด และสัตว์ หนกั ประมาณ 1.5 กก. เล้ียงลกู ดว้ ยน�้ำนมอีกเกอื บ 30 ชนดิ นนั้ ปรากฎวา่ เปน็ สายพนั ธ์ใุ หมข่ องโลกหลายชนดิ เชน่ บา่ งกระบ่ี เดอร์โมเทอเรยี ม เมเจอร์ คลา้ ยบา่ งปัจจุบนั ภาพจำ� ลองเสมอื นจรงิ ดว้ ยคอมพวิ เตอรส์ ามมติ ขิ อง Dermotherium majot Ducrocq et al., 1992 กรามลงิ กระบี่ ทเ่ี กดิ จากการประกอบกนั ของภาพ ทส่ี แกนจากชนิ้ ตวั อยา่ งทแี่ ตกออกเปน็ ชนิ้ เลก็ ชน้ิ นอ้ ย สัตว์กีบคู่ แอนทาโคเทอเรยี ม ชยั มณอี ิ

ลงิ กระบ่ี สยามโมพเิ ทคสั อีโอซีนสั มีลกั ษณะพเิ ศษคือ กรามค่อนขา้ งใหญ่ และหนา เปน็ สตั ว์กีบคขู่ นาดใหญ่ เทา่ ฮปิ โปเตมสั ในปจั จบุ นั Siamopithecus eocaenus Chaimanee et al., 1997 Anthracotherium chaimanei Ducrocq, 1999 มขี นาดใกลเ้ คียงกับชะนใี ปจจุบัน จดั เป็นไพรเมตชน้ั สูง ชนดิ ใหมข่ องโลก เกิดในสมยั อโี อซนี แมวป่า ไมอาซิส ไทแลนดิคัส ถอื ว่าเปน็ กลุ่มทวี่ วิ ัฒนาการมาเป็นแมวปัจจบุ นั เป็นหลกั ฐานบ่งช้วี า่ ทวปี เอเชียเคยเป็นศูนยก์ ลางววิ ัฒนาการของไพรเมตชั้นสงู ของโลก Miacis thailandicus Ducrocq et al., 1992 26 รูปจาก https://www.britannica.com/media/full/topic/379658/126789

หนกู ระบี่ บาลูชีมิส กระบเ่ี อนซี 27 Baluchimys krabiense Marivaux et al., 2000

ในชว่ งยคุ เทอร์เชียรี่ แหลมโพธ์ิเปน็ หน่ึงในจำ� นวนแอ่งเล็กหลายแอ่งทีต่ อ่ เช่อื มกัน หลักฐานแวดล้อมระบุ อายุหอยแหลมโพธ์ิ เปน็ แอ่งกระบ่ี ทกุ แอ่งลว้ นมกี ารสะสมตัวของตะกอน และซากพชื -สตั ว์ ท่ภี ายหลงั เปลีย่ น สภาพเปน็ ถา่ นหนิ ลกิ ไนต์ ซง่ึ ไดม้ กี ารทำ� เหมอื งถา่ นหนิ เพอ่ื ปอ้ นโรงไฟฟา้ กระบี่ จากบอ่ เหมอื ง การศกึ ษาซากดึกด�ำบรรพใ์ นวงการบรรพชีวนิ วิทยา นอกจากจะมีการศึกษาจำ� แนก บางปูดำ� บ่อบางหมาก และบ่อหวายเล็ก (ปจั จบุ นั ผลิตถ่านหนิ จนหมดทั้ง 3 บอ่ แล้ว) ตามระบบอนกุ รมวิธานแลว้ ยังมีการศึกษาชว่ งเวลาการด�ำรงชีวติ ของสงิ่ มชี ีวติ แตล่ ะชนดิ การเปิดหนา้ ดนิ เพอ่ื การผลิตถา่ นหนิ เป็นการเปิดโอกาสใหน้ ักธรณีวิทยาไดศ้ ึกษา ตามภูมภิ าคของโลกในแตล่ ะยคุ สมยั ตามธรณกี าลอกี ด้วย ทง้ั นี้เพ่อื เป็นขอ้ มูลเพือ่ การอ้างองิ สภาพธรณวี ทิ ยาของแอง่ เทอรเ์ ชยี รท่ี ง้ั 3 อยา่ งละเอยี ด และทำ� ใหส้ ามารถคน้ พบซากดกึ ดำ� บรรพ์ และเปรยี บเทียบ กับผลศกึ ษาด้านบรรพชีวินทพ่ี บในภายหลงั ซงึ่ ท�ำให้โยงยึดถึงกนั ไดท้ ัว่ โลก ของพชื และสตั ว์ รวมถงึ มกี ารตรวจความเปน็ แมเ่ หลก็ ของชน้ั หนิ เพอื่ ศกึ ษาชว่ งเวลาการสะสมตวั นอกจากซากดึกด�ำบรรพ์สิง่ มชี ีวติ แลว้ ซากดกึ ดำ� บรรพข์ องส่งิ ไม่มีชีวติ บางชนดิ ก็ ตลอดจนสภาวะแวดล้อมบรรพกาลของแอ่งกระบีไ่ ด้อย่างสมบูรณี สามารถเป็นตัวช่วยในการศึกษาหาอายขุ องซากดกึ ดำ� บรรพต์ า่ งๆ ได้ เช่น การหาซากของ การคน้ พบ และศึกษาซากดกึ ด�ำบรรพ์สตั วม์ ีกระดูกสนั หลังกวา่ 30 ชนิด จากแอ่ง ธาตุท่เี กิดจากการสลายตวั ของสารกัมมันตรังสี หรอื การวัดค่าของซากความเปน็ แมเ่ หล็ก เทอเชยี รกี่ ระบี่ ตง้ั แต่ พ.ศ. 2531-2535 ทงั้ จากนกั บรรพชวี นิ ชาวไทย และตา่ งชาติ โดยการ บรรพกาล เปรียบเทยี บช่วงเวลาการด�ำรงชีวติ ของสัตวเ์ หล่าน้นั ท�ำให้สามารถสรุปอายุของแอ่งกระบีไ่ ด้ เม่ือนำ� ข้อมูลวทิ ยาศาสตรห์ ลายๆ สาขาเหลา่ นี้มาประมวลผลร่วมกนั หากไดผ้ ลท่ี วา่ อยใู่ นสมัยอีโอซีนตอนปลาย (37-34 ลา้ นปี หรอื ประมาณ 35 ล้านป)ี สอดคล้องกัน ย่อมท�ำให้ไดผ้ ลลพั ธ์ท่ีน่าเชื่อมากยิ่งข้ึน และสามารถอธิบายความเป็นมาของ ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 มีการศึกษาบรรพเรณวู ิทยาทงั้ จากชัน้ หินในสุสานหอย ธรณปี ระวัตไิ ดอ้ ยา่ งลงตวั แหลมโพธ์ิ และจากชัน้ หินในเหมอื งลกิ ไนตก์ ระบ่ี ให้อายุเป็นสมยั ไมโอซนี ตอนตน้ (23-16 ล้านปี หรือประมาณ 20 ลา้ นปี) ภาพบนแสดงทศิ ทางของเส้นแรงสนาม หกปตี อ่ มามกี ารศึกษาสนามแม่เหลก็ บรรพกาลจากช้นั หินในแอง่ กระบี่ ไดอ้ ายุอยู่ แม่เหล็กโลกในสภาวะปัจจบุ นั ซึ่งเรียกวา่ สภาวะ ในช่วง 34-31 ล้านปี หรือประมาณ 33 ล้านปี ปกติ (normal) กบั สภาวะกลับขั้ว (reverse) จากผลการศกึ ษาหาอายุของแอง่ กระบ่ดี ้วยวธิ กี ารทั้งสาม ดร. วฆิ เนศ ทรงธรรม ภาพด้านขา้ งเปน็ ข้อมูลท่ีได้จากการตรวจวดั ความเปน็ ผูท้ ำ� การสำ� รวจตรวจสอบสุสานหอยแหลมโพธ์ิในปี พ.ศ. 2554 จงึ เห็นควรก�ำหนดอายแุ อ่ง แมเ่ หลก็ บรรพกาลในหนิ ทเี่ กดิ ตงั้ แตย่ คุ จแู รสซกิ กระบี่ใหอ้ ยู่ในช่วง 35-20 ลา้ นปี ต่อเนื่องถงึ ปจั จุบัน ซ่ึงแสดงสภาวะปกติเปน็ แถบสดี �ำ 28 และสถาวะกลบั ขั้วเปน็ แถบสีขาว แปรผันกลบั ไป-กลบั มาหลายครง้ั ตามธรณีกาล

29รปู จาก http://roma2.rm.ingv.it/en/themes/5/internal_origin_time_variations/20/geomagnetic_polarity_reversals