ฉสากหล งศ กอ มทรช ตตอนนาคบาศเเบบไม ม ต วละคร

เผยแพร่: 29 ก.ย. 2558 16:05 ปรับปรุง: 29 ก.ย. 2558 23:11 โดย: MGR Online

เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สื่อนอกทั่วโลกรายงานการแถลงปิดคดีของตำรวจไทย สามารถปิดคดีระเบิดราชประสงค์วันนี้(29) ถึงแม้ว่าจะมีข้อสงสัยอย่างหนักมากขึ้นถึงกระบวนการสอบสวน รวมไปถึง “อาเดม คาราดัก” คนร้ายที่ทุกวันนี้สัญชาติที่ยังคงไม่แน่ชัด และล่าสุดทางไทยอ้างว่าเป็น ”ชายเสื้อเหลืองในกล้องวงจรปิด” ผู้ลงมือก่อเหตุ รวมไปถึงเหตุจูงใจในการก่อเหตุที่ยังคลุมเครือ ด้านสินบนเงินนำจับ 3 ล้านบาท ผบ.ตร. ประกาศมอบให้กับ “เจ้าหน้าที่สอบสวนคดี”

ดิอินดีเพนเดนต์ สื่ออังกฤษรายงานวันนี้(29)ว่า ถือเป็นเรื่องมึนงงกันไปกับคดีระเบิดราชประสงค์ที่นอกจากจะมีหลายประเด็นที่ยังต้องสงสัยถึงแม้ว่าจะมีการแถลงการประกาศปิดคดีในวันนี้แล้วก็ตาม โดยสื่ออังกฤษระบุว่า สิ่งที่น่าฉงนสำหรับคดีนี้คือ เงินรางวัลนำจับร่วม 83,000 ดอลลาร์ หรือ 3 ล้านบาท ที่ไทยประกาศให้กับผู้ที่สามารถให้เบาะแสจนนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้ในที่สุด

แต่กลับกลายว่าในวันนี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ประกาศมอบให้กับ “เจ้าหน้าที่สอบสวนคดี” โดยอ้างว่า ทางตำรวจสามารถหาเบาะแสได้เองจนนำไปสู่การจับกุม เพราะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสาธารณะแต่อย่างใด

“เงินจำนวนนี้สมควรที่จะมอบให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งปฎิบัติหน้าที่” พล.ต.อ.สมยศ แถลงในการแถลงข่าววันนี้(29) ซึ่งมีกองธนบัตรมัดวางอยู่ข้างๆ และผบตร.ยังกล่าวยืนยันด้วยสีหน้าภาคภูมิใจว่า “ขอยืนยันว่า การปิดคดีครั้งนี้เป็นเพราะความสามารถของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น”

แต่อย่างไรก็ตาม สื่ออังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า มีการจัดแบ่งเงินมูลค่า 3 ล้านไปให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทำคดีเหล่านั้นอย่างไร

และ CNBC สื่อสหรัฐฯรายงานเพิ่มเติมว่า ในการแถลงข่าวปิดคดีระเบิดราชประสงค์ของไทย ตำรวจไทยแถลงว่า ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุ 2 คนที่อยู่ในการควบคุมตัวได้ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุวางระเบิดบริเวณศาลพระพรหมเอราวัณ ย่านแยกราชประสงค์ ในวันที่ 17 สิงหาคม 2015 เพื่อต้องการแก้แค้นการที่ฝ่ายไทยกวาดล้างกระบวนการลักลอบค้ามนุษย์

ซึ่งการออกแถลงข่าวล่าสุดนี้ของไทยมีขึ้นหลังจากเกิดเหตุระเบิดที่มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 20 คน โดยมากกว่า 2 ใน 3 ของผู้เสียชีวิตเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ และรัฐบาลไทยพยายามเรื่อยมาที่จะไม่ยอมให้คดีระเบิดแยกราชประสงค์ครั้งนี้เป็นเรื่องของการก่อการร้าย

ในขณะที่ อาเดม คาราดัก ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในเดือนสิ่งหาคมที่ผ่านมา และล่าสุดเขาถูกตำรวจอ้างว่า เป็น “ชายเสื้อเหลือ” ที่ปรากฏภาพในกล้องทีวีวงจรปิดในบริเวณที่เกิดเหตุ ในขณะที่ชายผู้นี้กำลังทิ้งเป้สะพายไว้ที่ศาลพระพรหมเอราวัณก่อนที่จะมีระเบิดเกิดขึ้น ซึ่งทาง CNBC ชี้ว่า คาราดักในแรกเริ่มถูกต้องสงสัยว่า “เป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิด ไม่ใช่มือวางระเบิด”

ทั้งนี้ตำรวจไทยชี้ว่า เหตุระเบิดราชประสงค์เกี่ยวข้องกับเครือข่ายที่มีผู้ร่วมขบวนการไม่ต่ำกว่า 17 คนสมรู้ร่วมคิดก่อเหตุในการวางแผน เตรียมการ และวางระเบิดที่จุดเกิดเหตุซึ่งถือเป็นย่านธุรกิจและท่องเที่ยวสำคัญในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วเอเชีย

และนอกจากนี้รัฐบาลไทยที่มาจากการทำรัฐประหารยังอ้างว่า ตำรวจไทยสามารถปิดคดีนี้สำเร็จแล้ว พร้อมกับขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือทำให้สามารถทำให้นำตัวการมาลงโทษ และปิดคดีได้

อย่างไรก็ตาม CNBC ชี้ว่า ไทยพยายามเบี่ยงเบนจากแนวคิดการก่อเหตุเชื่อมโยงไปถึงอุยกูร์ ถึงแม้จะมีนักวิเคราะห์อิสระจำนวนหนึ่งออกมาให้ความเห็นสนับสนุนทฤษฎีนี้ก็ตาม ซึ่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นเชื่อว่า การก่อเหตุเกิดมาจาก การแก้เหตุจากเหตุที่รัฐบาลรัฐประหารไทยได้ส่งตัวผู้อพยพอุยกูร์จำนวนไม่ต่ำกว่า 100 คนกลับจีน และทางกลุ่มอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับอ้างว่า พวกเขาโดนปักกิ่งสอบสวนลงโทษในขณะที่ทางการจีนปฎิเสธ

อย่างไรก็ตาม สื่อสหรัฐฯชี้ว่า เมื่อพิจารณาถึงผู้เสียชีวิตที่พบว่ามากกว่า 1 ใน 3 เป็นนักท่องเที่ยวมาจากจีนและฮ่องกง และจากตัวเลขนี้ได้ทำลายความพยายามทางฝ่ายรัฐบาลรัฐประหารไทยที่ต้องการหาทางกลบเกลื่อนเงื่อนงำที่จะนำไปสู่จีน และรวมไปถึงไม่ต้องการให้กระทบกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่นับวันตัวเลขนักท่องเที่ยวจากจีนมีเพิ่มมากขึ้น

ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.แถลงว่า แท้จริงแล้วมูลเหตุจูงใจก่อเหตุของคนร้าย เพื่อต้องการแก้แค้นที่ทางเจ้าหน้าที่ไทยปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์อย่างหนัก แต่อย่างก็ตามผบตร.ชี้ว่า ทางตำรวจไทยยังไม่ตัดประเด็น ความเป็นไปได้ที่จะมีการเชื่อมโยงไปถึง “เหตุป่วนทางการเมืองที่ทำให้ไทยต้องเผชิญในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา” และส่งผลทำให้กองทัพสามารถยกเป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2014

พล.ต.อ.สมยศ ซึ่งกำลังลงจากอำนาจในฐานะผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายในสัปดาห์นี้ ปรากฏตัวผ่านหน้าจอโทรทัศน์ในการแถลงข่าวพร้อมกับกองเงินธนบัตรไทยมูลค่าร่วม 83,000 ดอลลาร์ หรือ 3 ล้านบาทซึ่งเป็นรางวัลนำจับที่พล.ต.อ.สมยศแถลงว่า “เงินจำนวนนี้จะมอบให้กับเจ้าหน้าที่สอบสวน”

โดย CNBC ตั้งสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.สมยศ ผบตร.ไทย เคยชูกองธนบัตรสินบนนำจับในงานแถลงข่าวก่อนหน้านี้เช่นกัน เกิดขึ้นไม่นานหลังจากมีการรวบตัวคาราดักได้จากอพาทเมนต์ย่านมีนบุรีในปลายเดือนสิงหาคมไว้ได้

และสื่อสหรัฐฯรายงานต่อว่า เจ้าหน้าที่ไทยเผยว่า ระเบิด 2 แห่งที่รวมไปถึงระเบิดบริเวณสะพานสาธร 1 วันหลังเกิดเหตุระเบิดราชประสงค์นั้นเป็นฝีมือของอาเดม คาราดัก และไมไรลี ยูซุฟ ลักลอบเข้าไทยมาจากเขตปกครองตนเอง อุยกูร์ซินเจียง ของจีน โดยในการให้ข้อมูลฝ่ายไทยพบว่า ยูซุฟถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้กดระเบิด” หลังจากระเบิดได้ถูกนำไปติดตั้งแล้วโดยคาราดัก

ซึ่ง CNBC สื่อสหรัฐฯชี้ว่า คนทั้งคู่รับสารภาพก็ต่อเมื่อถูกสอบปากคำหลังควบคุมตัวแล้ว

นอกจากนี้สำหรับตัวคาราดักเอง สื่อสหรัฐฯชี้ว่า มาจนถึงวินาทีนี้ ยังเป็นที่ไม่แน่ชัดในสัญชาติของเขา ถึงแม้ว่าในการจับกุมตัวจะพบกองหนังสือพาสปอร์ตปลอมของตุรกี และมีชื่อของชายผู้นี้อยู่ในหนังสือเดินทางปลอมจำนวนหนึ่งก็ตาม

คาราดัก ที่รู้จักในอีกชื่อ บิลาล โมฮัมเหม็ด (Bilal Mohammed) ถูกตำรวจไทยนำตัวลงพื้นที่จำลองเหตุการณ์ลงมือก่อเหตุในสัปดาห์นี้ที่ศาลพระพรหมเอราวัณ และย่านอื่นๆในใจกลางกรุงเทพฯ โดยในการจำลองเหตุการณ์ CNBC บรรยายว่า ตำรวจไทยให้ “คาราดักสวมเสื้อสีเหลือง” คล้ายกับชายเสื้อเหลืองผู้ต้องสงสัยที่ถูกพบในภาพทีวีวงจรปิด