แจกฟรีเฉพาะครูผสู้ อน คมู่ อื ครู อจท. ใช้ประกอบการสอนคกู่ บั หนงั สอื เรียน เพ่ิม วิธีการสอนเพ่ือยกผลสมั ฤทธิ์ ผ่านกระบวนการเรียนรู้ 5Es เพ่ิม ข้อสอบเน้นการคิดเพือ่ พัฒนา การเรยี นร้อู ย่างมีประสิทธิภาพ เพิม่ กิจกรรมสร้างเสรมิ ทกั ษะ การเรียนร้ตู ามศกั ยภาพผูเ้ รียน ใหม่ กิจกรรมบรู ณาการทักษะชวี ิต และการทำงานตามแนวคิด เศรษฐกจิ พอเพียง พร้อม กิจกรรมเสริมสรา้ งประสบการณ์ การเรยี นรู้สอู่ าเซยี น ภาพปกนม้ี ขี นาดเทา่ กบั หนงั สอื เรยี นฉบบั จรงิ ของนกั เรยี น Show กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 3 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ในปจั จบุ นั เรมิ่ มกี ารนา� โนต้ เขา้ มาใชใ้ นการฝกึ หดั ดนตรไี ทย บางวงใชโ้ นต้ ขณะบรรเลง หรอื ขบั รอ้ ง เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั การประเมนิ ความสามารถทางดนตรี ถา้ จะพิจารณาการบรรเลง หรอื ขบั ร้องในด้านความแมน่ ย�าในการอ่านเคร่อื งหมายและสญั ลักษณ์ สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรใู นหัวขอ สามารถพิจารณาได้จากการบรรเลง หรือขับร้องว่าตรงตามจังหวะหรือไม่ การบรรเลงซ�้าหรือ การควบคุมคุณภาพเสียงในการขับรองและการ การนบั เท่ยี วท�านองถกู ตอ้ งหรอื ไมเ่ พยี งใด บางชว่ งของบทเพลงอาจมีการบรรเลง หรือขบั รอ้ งซา�้ บรรเลงตามทไ่ี ดศ กึ ษามาหนา ชน้ั เรยี น จากนนั้ ครถู าม ทา� นองบางตอนของบทเพลง ผบู้ รรเลงสามารถดแู ละเขา้ ใจเครอื่ งหมาย หรอื สญั ลกั ษณน์ น้ั ไดอ้ ยา่ ง นักเรียนวา คล่องแคล่วถกู ต้องมากน้อยเพียงใด ทนั จังหวะเพลงหรอื ไม่ • ถา นกั เรยี นไดร บั มอบหมายใหป ระเมนิ คณุ ภาพ ๓) การควบคมุ คณุ ภาพเสยี งในการขบั รอ้ งและการบรรเลง สามารถจา� แนกเปน็ ดา นเสยี งของผูขบั รอ งและเสยี งของ เครือ่ งดนตรี นักเรยี นจะประเมินในเร่ืองใด ๒ กล่มุ คอื การควบคุมคณุ ภาพเสียงในการขับรอ้ งและการควบคมุ คณุ ภาพเสียงในการบรรเลง เปนหลัก ๑. การควบคมุ คณุ ภาพเสยี งในการขบั รอ้ ง หลกั ในการพจิ ารณาจะประกอบไปดว้ ย (แนวตอบ การประเมินดา นเสียงของผูขับรอ ง จะตองประเมนิ โดยใชหลกั เกณฑ ดังตอไปนี้ คุณภาพเสียงและเทคนิคในการขับรอ้ ง ดังนี้ 1. มนี า้ํ เสยี งทส่ี ดใส ดงั กงั วาน นา ฟง ไมเ พยี้ น 2. ความดังของเสียงมคี วามสมํา่ เสมอ คุณภาพเสยี ง เทคนคิ ในการขบั รอ้ ง สามารถออกเสยี งไดถกู ตอง ชัดเจน ทุกพยางค ไมม เี สยี งบอด • มีน�า้ เสียงสดใส กงั วาน นา่ ฟัง ไม่เพย้ี น • การเออ้ื น การออกเสยี งคา� ตามวรรณยกุ ต์ไดไ้ พเราะ 3. ความถกู ตองดา นอักขรวิธี การออกเสยี ง • ความดงั ของเสียงสม่า� เสมอ สามารถออกเสยี งได้ ถูกต้อง เหมาะสม คาํ ควบกลํา้ ร, ล, ว หรอื คําควบกลํา้ อื่นๆ ชัดเจนทกุ พยางค์ ไมม่ เี สยี งบอด • การใช้เสียงในการถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้อย่าง 4. ความหมายของคาํ ถูกตอ งไมผิดเพย้ี น • ความถูกตอ้ งด้านอกั ขรวธิ ี การออกเสียง “ร” “ล” เหมาะสม 5. การขึ้น การลงของเสียงมีความกลมกลืน หรือคา� ควบกล�้าอ่ืนๆ • ความกล้าแสดงออก ไมโหนเสียง สว นการประเมนิ ดา นเสยี งของเครอ่ื งดนตรี • ความหมายของค�าถูกตอ้ ง ไมผ่ ิดเพี้ยน • การผ่อนลมหายใจได้เหมาะสม เสียงดังชัดเจน จะตอ งประเมนิ โดยใชห ลกั เกณฑ ดงั ตอ ไปนี้ • การขึน้ - ลงเสียงเหมาะสม กลมกลืน ไมโ่ หนเสยี ง ทกุ ค�า 1. เสยี งของเครือ่ งดนตรีทุกชิ้นจะตองดงั มรี ะดับเสียงท่ีถูกตอ ง ไมเ พี้ยน ๒. การควบคมุ คณุ ภาพเสยี งในการบรรเลง หลกั ในการพจิ ารณาจะประกอบไปดว้ ย 2. มีความกลมกลืนของเสยี งเครื่องดนตรี คุณภาพเสยี งและเทคนิคในการบรรเลง ดังนี้ ทุกช้ินในวง) คุณภาพเสียง เทคนิคในการบรรเลง • เสียงเครื่องดนตรีทุกชิ้นดัง มีระดับเสียงที่ถูกต้อง • ความสามารถในการบรรเลงใหเ้ กดิ เสยี งทถ่ี า่ ยทอด ไมเ่ พ้ยี น อารมณค์ วามรสู้ ึกได้อยา่ งเหมาะสมกบั บทเพลง • ความสมดุลของเสียงเคร่ืองดนตรีทุกชิ้นในวง • ความกล้าแสดงออก มีความกลมกลืน เหมาะสม • ความสามัคคี • การบรรเลงเสียงหนัก - เบา, ยาว - สั้น มีความ พร้อมเพรียง • การขึน้ - ลง, รบั - สง่ ร้อง หรือเปลี่ยนเพลงราบรืน่ ไมท่ า� ให้อารมณ์เพลงสะดุด 64 เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครูควรเนน ใหน ักเรียนเหน็ ถึงประโยชนของการประเมินผลงานทางดนตรี ใหน กั เรยี นเลอื กฟงเพลงตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง วา มีประโยชน ดังตอไปนี้ จากนัน้ ประเมินผลงานทางดนตรี ในหัวขอความถกู ตอ งในการบรรเลง และขับรอง ความแมน ยําในการอานความหมายและสัญลกั ษณ 1. เพ่อื ใหค าํ ตดั สินเร่ืองดนตรแี ละการแสดงดนตรีวามีความงาม ความไพเราะ การควบคุมคณุ ภาพเสยี งในการขบั รอ งและการบรรเลง หรอื สุนทรียะอยางไร มีขอบกพรอ งใดบา ง ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผสู อน 2. เพื่อใหผทู ไ่ี ดอ า นคาํ ประเมนิ ใชเ ปนแนวทางในการฝก ทักษะทางการฟง กจิ กรรมทาทาย และการแสดงดนตรี อนั จะทําใหเขา ถึงความงาม ความไพเราะของดนตรี ใหน ักเรยี นออกแบบเกณฑการประเมินผลงานทางดนตรี 10 - 15 ขอ 3. เพ่อื ใหน ักดนตรีใชค าํ ประเมนิ เปนแนวทางในการปรับปรุงตนเอง ปรับปรงุ จากนั้นออกมานาํ เสนอผลงานใหเ พื่อนชมหนา ช้ันเรยี น โดยมคี รูเปน ผู การบรรเลง และการขับรอ งใหดียิ่งขน้ึ คอยชแี้ นะความถกู ตอ ง 4. เพื่อใหนกั วิจัย นักวเิ คราะห นกั วจิ ารณ นกั ประเมนิ คนอืน่ ๆ ใชเอกสาร การประเมนิ เพ่อื เปน แนวทางในการศึกษา เปรยี บเทยี บ และอางอิง 64 คูมือครู กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขาใา จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู เสริมสาระ ใหนกั เรียนศกึ ษาเรอ่ื งสสี นั ของเสยี ง (Tone Color) จากในหนังสือเรยี น หนา 65 สีสันของเสยี ง (Tone Color) จากน้นั ครถู ามนักเรยี นวา สีสันของเสียง หมายถึง คุณลักษณะของเสียงท่ีก�าเนิดจากแหล่งเสียงที่แตกต่างกัน แหลง่ กา� เนดิ เสยี งดงั กลา่ ว เปน็ ไดท้ งั้ ทเ่ี ปน็ เสยี งรอ้ งของมนษุ ยแ์ ละเครอ่ื งดนตรชี นดิ ตา่ งๆ ความแตกตา่ ง • จากการศึกษาในเรอ่ื งสีสันของเสยี ง ของเสียงร้องมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเพศชายกับเพศหญิง หรือเพศเดียวกัน ต่างมีพื้นฐาน นกั เรยี นไดรบั ความรูอยา งไร ความแตกต่างกันทางด้านสรีระ เช่น หลอดเสียง กล่องเสียง เป็นต้น ส�าหรับเคร่ืองดนตรีน้ัน (แนวตอบ สสี นั ของเสยี ง คือ คุณลกั ษณะของ ความหลากหลายดา้ นสีสันของเสยี ง จะประกอบไปด้วยปจั จัยทแี่ ตกต่างกันหลายประการ ดังนี้ เสยี งทกี่ าํ เนดิ จากแหลงเสยี งทีแ่ ตกตา งกนั แหลงกําเนดิ เสียงดงั กลาว เปน ไดท ้งั ทเ่ี ปน ๑. วิธกี ารบรรเลง เปน็ วธิ กี ารผลิตเสียงของเครือ่ งดนตรไี ทย โดยอาศยั วิธีดดี สี ตี และเป่า เสยี งรอ งของมนษุ ยแ ละเครอ่ื งดนตรชี นดิ ตา งๆ วธิ กี ารผลติ เสยี งดงั กลา่ วลว้ นเปน็ ปจั จยั ใหเ้ ครอื่ งดนตรมี คี ณุ ลกั ษณะของเสยี งทต่ี า่ งกนั เชน่ กลมุ่ ทมี่ ี ซงึ่ แบงออกเปน 3 วธิ ี คือ วธิ ีการบรรเลง เสยี งราบเรยี บ ไดแ้ ก่ เครอื่ งเปา่ และเครอ่ื งสี เชน่ ปี ขลยุ่ ซอ เปน็ ตน้ หรอื กลมุ่ ทมี่ เี สยี งไมร่ าบเรยี บ จะอาศัยวิธดี ีด สี ตี และเปา วิธกี ารผลิต ฆเคอ้รงอ่ื วงงดเนลต็กรใีฆนอ้กงลวมุ่ งนใหจ้ี ะญป่ รจะะกเอขบ1้ เไปป็นดตว้ ย้นเครอื่ งดนตรตี ระกลู เครอื่ งตแี ละดดี เชน่ ระนาดเอก ระนาดทมุ้ เสียงดงั กลาว ลวนเปนปจจยั ใหเคร่อื งดนตรี มีคุณลกั ษณะของเสียงที่ตางกัน วสั ดุทใี่ ช ๒. วสั ดทุ ี่ใชท้ า� เครอื่ งดนตรี วสั ดทุ น่ี า� มาใชท้ า� เครอ่ื งดนตรขี องแตล่ ะวฒั นธรรมจะแตกตา่ ง ทาํ เครื่องดนตรีของแตละวัฒนธรรม กนั ไปตามสภาพแวดลอ้ มของสงั คมและยคุ สมยั ซง่ึ สง่ ผลใหเ้ กดิ ความแตกตา่ งในดา้ นสสี นั ของเสยี ง จะแตกตางกนั ไปตามสภาพแวดลอม สา� หรบั เครอ่ื งดนตรไี ทยนน้ั วสั ดสุ ว่ นมากเปน็ วสั ดทุ เ่ี ปน็ ผลติ ผลจากธรรมชาติ เชน่ ไมไ้ ผ่ กะลามะพรา้ ว ของสังคมและยุคสมัย ลักษณะของ เป็นต้น ดงั นั้น กระแสเสยี งทผ่ี ลติ จากเครือ่ งดนตรีไทย จงึ มีเสยี งที่นุ่มนวล ประสานกลมกลนื กับ เครอ่ื งดนตรที ม่ี รี ปู ทรงและขนาดทแ่ี ตกตา งกนั สภาพวถิ ีชวี ิตของคนในสงั คมไทยได้อยา่ งดยี ง่ิ จะเปน ปจ จยั ทสี่ ง ผลใหเ กดิ ความแตกตา งกนั ในดานสสี นั ของเสยี งในลักษณะทีม่ ี ๓. ขนาดและรูปทรง ลักษณะของเคร่อื งดนตรีทมี่ รี ูปทรงและขนาดทีแ่ ตกตา่ งกนั จะเป็น ความสัมพนั ธก ัน) ปจั จัยทส่ี ง่ ผลใหเ้ กดิ ความแตกตา่ งกนั ในดา้ นสีสนั ของเสียง ขยายความเขา ใจ E×pand ใหน กั เรียนรว มกันสรุปสาระสาํ คัญเกี่ยวกับ การประเมนิ ความสามารถทางดนตรี ลงกระดาษ รายงาน นาํ สงครผู ูสอน 2 65 วงป่ีพาทย์ดึกด�าบรรพ์ ถกู ปรับปรุงวงข้นึ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั (รัชกาลที่ ๕) ภาพจากสารานกุ รมศัพทด์ นตรีไทยภาคคตี ะ - ดรุ ิยางค์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ นกั เรยี นควรรู ขอ ใดตอบถูกตองเกยี่ วกบั คุณภาพของเสียง 1 จะเข เปน เครอ่ื งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งดดี มี 3 สาย ไดร บั ววิ ฒั นาการมาจาก 1. ความสูง - ตํา่ ของเสยี ง เกดิ การจาํ นวนความถี่ของการสั่นสะเทอื น พณิ คือ กระจับปท ี่นํามาวางดีดกบั พ้นื เพือ่ ความสะดวก จะเขนยิ มนาํ มาบรรเลง 2. ความหนัก - เบาของเสียงชว ยสนับสนนุ เสียงใหมจี งั หวะท่ีสมบูรณ ในวงมโหรคี กู ับกระจบั ป ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา นภาลยั 3. ความยาว - ส้นั ของเสยี งเปนส่ิงทข่ี าดไมไ ดใ นการกําหนดจังหวะเพลง (รัชกาลที่ 2) แหง กรงุ รัตนโกสินทร มผี นู ยิ มเลนจะเขกันมาก จงึ ทาํ ใหก ระจบั ป 4. คณุ ภาพของแหลง กาํ เนดิ เสยี งทแ่ี ตกตา งกนั จะทาํ ใหผ ฟู ง สามารถแยกแยะ คอยๆ เลือนหายไป 2 วงปพาทยด กึ ดําบรรพ เกิดขน้ึ ในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา สสี ันของเสยี งไดอ ยา งชดั เจน เจาอยูหวั (รชั กาลที่ 5) ไดร บั อทิ ธิพลมาจากการแสดงละครโอเปราของยโุ รป เจา พระยาเทเวศรว งววิ ฒั น (ม.ร.ว. หลาน กุญชร) และสมเดจ็ พระเจาบรมวงศเ ธอ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะเสียงท่เี กิดขนึ้ จากแหลง กาํ เนิดเสียง เจา ฟาจติ รเจรญิ กรมพระยานริศรานวุ ัดตวิ งศ รวมกนั ปรับปรงุ ขึน้ โดยนาํ มาบรรเลง ประกอบการแสดงละครดึกดาํ บรรพ ซ่ึงจะประกอบไปดวยเครื่องดนตรที ี่มีเสียงทุม ท่แี ตกตางกนั ซ่ึงเปน ทัง้ เสยี งท่เี กิดขนึ้ จากมนุษย หรือเสียงเคร่อื งดนตรี นุมนวล คือ ระนาดเอก (ใชไ มนวม) 1 ราง ตะโพน 1 ใบ ระนาดทมุ 1 ราง ชนิดตา งๆ จะทาํ ใหผูฟงสามารถแยกแยะสีสนั ของเสียงไดอ ยางชดั เจน ตะโพน 1 คู ระนาดทมุ เหล็ก 1 ราง ฉ่งิ 1 คู ฆอ งวงใหญ 1 วง ซออู 1 คัน ซ่ึงแสดงใหเห็นคณุ ภาพของเสยี งทมี่ คี วามหลากหลาย ฆองหุย 7 ใบ ขลยุ อู 1 เลา และขลยุ เพียงออ 1 เลา คูมือครู 65 กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครูพจิ ารณาจากการสรปุ สาระสาํ คญั เกีย่ วกับ กจิ กรรม ศิลป์ปฏิบตั ิ ๓.๒ การประเมินความสามารถทางดนตรขี องนกั เรยี น หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรมท ่ี ๑ ให้ครูผสู้ อนเปด ซีดี (CD) เกี่ยวกับหลกั การบรรเลงดนตรไี ทยใหน้ กั เรียนชม จากนน้ั กจิ กรรมท ่ี ๒ ใหน้ ักเรยี นฝกึ หัดเคาะจงั หวะตาม 1. ผลการสรุปสาระสําคัญเกีย่ วกบั ให้นกั เรียนแบ่งกลมุ่ กล่มุ ละ ๕ คน เลือกเคร่อื งดนตรที ช่ี ืน่ ชอบมากลุม่ ละ ๑ ชิ้น การขบั รองเพลงไทย กจิ กรรมท่ ี ๓ แล้วฝึกปฏิบัติจนคล่อง โดยมีครูผู้สอนคอยก�ากับดูแล จากน้ันให้แต่ละกลุ่มออกมา บรรเลงดนตรีไทยหน้าช้นั เรียน โดยมคี รผู สู้ อนและเพื่อนๆ คอยให้คะแนน 2. ผลการสรปุ สาระสําคัญเกีย่ วกบั ให้นกั เรียนตอบค�าถามต่อไปน้� การบรรเลงดนตรไี ทย ๑. หลักการขับรอ้ งและบรรเลงดนตรไี ทยทส่ี �าคัญมอี ะไรบ้าง ๒. เทคนิคในการขับร้องและบรรเลงดนตรีไทย มีความส�าคัญต่อผู้เรียนดนตรีไทย 3. ผลการสรุปสาระสําคัญเก่ยี วกบั หลกั การบรรเลงเคร่อื งดนตรไี ทย : ซออู อย่างไร ๓. การประเมนิ ความสามารถทางดนตรี หลงั จากการฝกึ ปฏบิ ตั ิ ควรประเมนิ ในดา้ นใดบา้ ง 4. ผลการฝก ปฏิบตั ิซออู 5. ผลการปฏบิ ัตกิ ารขบั รองประกอบการเลน ดนตรี การขบั รอ งและบรรเลงดนตรไี ทย มหี ลกั การปฏบิ ตั ทิ น่ี าํ ไปสคู วามเขา ใจและรบั รู (ซอดว ง หรอื ขลยุ เพยี งออ) ในเพลงลาวคาํ หอม คุณคาของดนตรีไทยไดอยางซาบซ้ึง ซ่ึงการเรียนรูเก่ียวกับหลักการปฏิบัติที่ถูกตอง หรือเพลงลาวสวยรวยสองช้ัน รจู กั เทคนคิ ตา งๆ ทจี่ ะนาํ ไปปรบั ใชก บั การปฏบิ ตั ดิ นตรไี ทย ทงั้ การขบั รอ งและการบรรเลง 6. ผลการสรปุ สาระสําคญั เก่ยี วกับ ตลอดจนมีการฝก ฝนปฏบิ ัตอิ ยา งตอ เนอ่ื ง ก็จะทําใหผ เู รียนสามารถขบั รอ งและบรรเลง การประเมนิ ความสามารถทางดนตรี ดนตรไี ทยไดอยางมีประสิทธภิ าพมากขึน้ ทั้งน้ี ในการฝกปฏิบัติดนตรีไทย ท้ังการขับรองและการบรรเลง จําเปนตองมี การประเมินความสามารถทางดนตรีของผูเรียนอยางสม่ําเสมอดวย เพ่ือจะไดนําผล การประเมินไปใชปรบั ปรงุ ตนเองในการฝกปฏิบัติดนตรไี ทยตอ ไป 66 แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปปฏบิ ัติ 3.2 กจิ กรรมท่ี 3 1. การขบั รองนอกจากจะตองรอ งใหถกู ตองตามทํานอง จงั หวะ และเน้ือรองของเพลงแตละเพลงแลว ผูขบั รองจําเปน ตอ งใสเ ทคนิคตางๆ ในการขับรองเพลงไทยลงไป ดวย เพอื่ เพม่ิ เสนห ค วามนาสนใจใหก ับเพลงและการบรรเลงดนตรใี หผูฟงไดร ับอรรถรสนัน้ ผบู รรเลงตอ งใชเ ทคนิคในการบรรเลงท่ีแตกตา งกันออกไปตามอารมณเ พลง 2. นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอิสระ โดยขึ้นอยูกบั ดลุ ยพนิ จิ ของครูผสู อน 3. ควรประเมนิ ใน 3 ดา น คอื 1) ความถูกตอ งในการบรรเลงและขบั รอง การประเมนิ ความถูกตองในการบรรเลงและขบั รอ งเพลงไทย สามารถแบงการพจิ ารณาประเมนิ ได 3 ประการ ไดแ ก ทาํ นอง จังหวะ และบทรอง 2) ความแมน ยาํ ในการอา นความหมายและสญั ลกั ษณ สามารถพจิ ารณาและประเมนิ ไดจ ากการบรรเลง หรอื ขบั รอ งวา ตรงตามจงั หวะหรอื ไม การบรรเลงซาํ้ หรอื การนบั เที่ยวทาํ นองถกู ตองหรือไม เพียงใด บางชว งของบทเพลงอาจมกี ารบรรเลง หรอื ขับรองซ้าํ ทํานองบางตอนของบทเพลง ผบู รรเลงสามารถดูและเขาใจเคร่อื งหมาย หรือสัญลกั ษณน ้นั ไดค ลอ งแคลว ถูกตอ งมากนอยเพยี งใด ทนั จงั หวะเพลงหรือไม 3) การควบคมุ คณุ ภาพเสยี งในการขบั รอ งและการบรรเลง สามารถจาํ แนกเปน 2 กลมุ คอื การควบคมุ คณุ ภาพเสยี งในการขบั รอ งและการควบคมุ คณุ ภาพในการบรรเลง 66 คูมอื ครู กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู 1. อาน เขียน รอ งโนตไทยและโนตสากลท่มี ี เครอื่ งหมายแปลงเสียง 2. ระบปุ จ จัยสาํ คัญทมี่ ีอิทธิพลตอ การสรา งสรรค งานดนตรี สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค 1. มีวินัย 2. ใฝเรยี นรู 3. มงุ มนั่ ในการทํางาน ๔หน่วยท่ี กระตนุ ความสนใจ Engage ความรทู้ ว่ั ไปเกี่ยวกบั ดนตรสี ากล ครเู ปด ซีดี หรอื ดวี ีดกี ารแสดงดนตรสี ากล ในรปู แบบตา งๆ ใหน กั เรยี นชม จากนน้ั ครถู าม ตัวชว้ี ดั การศึกษาวิชาดนตรีสากลให้ได้ นกั เรียนวา ■ อ่าน เขียน ร้องโน้ตไทย และโน้ตสากลท่ีมีเคร่ืองหมายแปลงเสียง • นักเรยี นเคยชมการแสดงดนตรสี ากล (ศ ๒.๑ ม.๒/๒) บางหรอื ไม ■ ระบุปัจจัยสำาคญั ทีม่ ีอิทธพิ ลตอ่ การสร้างสรรค์งานดนตรี มีประสิทธิภาพน้ัน ควรมีความรู้พื้นฐาน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ เก่ยี วกับโนต้ สากล เพอ่ื ทีจ่ ะไดส้ ามารถอ่าน ไดอ ยา งอิสระ) (ศ ๒.๑ ม.๒/๓) เขยี น รอ้ ง และบรรเลงตามโนต้ สากลไดอ้ ยา่ ง • การทีจ่ ะเลน ดนตรีสากลใหด ี หรอื ฟง สาระการเรียนรู้แกนกลาง ถกู ตอ้ ง นอกจากนี้ ยงั ควรศกึ ษาเกยี่ วกบั ปจั จยั ดนตรสี ากลใหเ ขา ใจ นกั เรยี นตอ งมีทักษะ ส�าคัญท่ีมีอิทธิพลต่อการสรา้ งสรรคง์ านดนตรี และความเขา ใจในเรื่องใดบา ง ■ เครอื่ งหมายและสัญลกั ษณ์ทางดนตรี (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอิสระ) - โน้ตสากล (เครือ่ งหมายแปลงเสียง) เทคนคิ และการแสดงออกด้านจินตนาการในการ ■ เทคนิคและการแสดงออกในการ สร้างสรรค์บทเพลงและการถ่ายทอดเรื่องราว - จินตนาการในการสร้างสรรคบ์ ทเพลง ความคิดในบทเพลงด้วย เพ่ือจะช่วยให้สามารถ - การถา่ ยทอดเรื่องราวความคิดในบทเพลง ปฏิบัติดนตรีสากลได้อย่างมีคุณภาพ เข้าใจอารมณ์ ของแต่ละบทเพลงได้อย่างลึกซ้ึงมากข้ึน อันจะเป็น พ้ืนฐานส�าคัญที่จะท�าให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาความ สามารถทางด้านดนตรีใหก้ า้ วหน้าต่อไปได้ เกรด็ แนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรียนรูน ้ี ครูควรอธิบายความรูเพ่มิ เตมิ ใหกบั นกั เรียนวา “ดนตรีสากล” เปน ดนตรที ีช่ าวตะวันตกไดค ิดคน และสรา งสรรคข ้ึน จดั เปน มรดกทางวัฒนธรรมของชาวตะวนั ตกอยางหน่งึ ซง่ึ มกี ารบนั ทกึ ทํานองเพลง ทเี่ ปน แบบแผน ดว ยสญั ลกั ษณเ ฉพาะทเี่ รยี กวา “โนต สากล” และใชเ ครอ่ื งดนตรสี ากล ในการบรรเลง ซ่ึงไดร บั การพัฒนารูปแบบมาอยางตอเน่ืองจนเปน ทีน่ ยิ มกันทั่วโลก ในปจ จบุ นั ดนตรสี ากลมมี ากมายหลายประเภท มกี ารบกุ เบกิ ทางดนตรี คดิ คน จงั หวะ ทแ่ี ปลกใหม ตลอดจนนําเทคโนโลยที ีท่ นั สมยั มาใชในการพัฒนางานดนตรี ดงั นนั้ ในการเรียนรูเรื่องดนตรีสากล นักเรียนจึงตองศึกษาเกี่ยวกับการอาน เขียน รอง โนต สากลที่มเี คร่อื งหมายแปลงเสียง เทคนคิ ในการแสดง การถา ยทอดเรอื่ งราว ความคดิ ลงในบทเพลง จนิ ตนาการในการสรา งสรรคบ ทเพลง และสามารถระบปุ จ จยั สาํ คญั ทม่ี ีอิทธิพลตอ การสรา งสรรคง านดนตรีได คูมือครู 67 กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูนําภาพเคร่ืองหมายและสญั ลกั ษณทางดนตรี ๑. เครอ่ื งหมายและสญั ลักษณ์ทางดนตรี มาใหน กั เรยี นดู จากนนั้ ครูถามนักเรียนวา โนต้ สากล คอื เครอื่ งหมายสญั ลกั ษณช์ นดิ หนงึ่ ทป่ี ราชญท์ างดนตรไี ดป้ ระดษิ ฐข์ น้ึ เพอ่ื ใชบ้ นั ทกึ บทเพลงตา่ งๆ มใิ หส้ ญู หาย และเพอ่ื เผยแพรใ่ หก้ วา้ งขวางออกไป โนต้ สากลจงึ เปรยี บเสมอื น “อกั ขระ” • นกั เรยี นสามารถนาํ เครอื่ งหมายและสญั ลกั ษณ ของภาษาดนตรี ผู้เริ่มเล่นดนตรีสากลจึงต้องท�าความรู้จักกับเคร่ืองหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ ทางดนตรีมาใชประโยชนไดอยา งไร ในบทเพลงเสียก่อน และต้องทบทวนให้แม่นย�า ฝกซ้อมเป็นประจ�าอย่างสม�่าเสมอจึงจะเกิดผล (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ ซึง่ ในระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๒ น้ี ส่งิ ทผ่ี ู้เรียนตอ้ งท�าความเข้าใจ คอื เคร่อื งหมายแปลงเสยี ง ไดอ ยา งอสิ ระ) ๑.๑ เคร่อื งหมายแปลงเสียง สาํ รวจคน หา Explore เครือ่ งหมายแปลงเสยี ง คอื เคร่ืองหมายที่ใชแ้ ปลงเสยี งตัวโนต้ ให้สูงขนึ้ หรอื ต่�าลงกว่าปกติ ครง่ึ เสยี ง ตามปกติใชเ้ ขยี นไวห้ นา้ ตวั โนต้ ทตี่ อ้ งการแปลงเสยี ง ซง่ึ นอกจากเสยี งปกตทิ เี่ รารจู้ กั กนั ดี ใหนกั เรยี นแบงกลมุ ออกเปน 2 กลุม ใหน ักเรียน ทง้ั ๗ เสียงบนลิ่มนิ้วสีขาวของเครอื่ งคีย์บอร์ดแล้ว ยงั มลี ่มิ นิ้วสดี า� บนคียบ์ อรด์ อกี ๕ เสยี งที่ควร ศกึ ษา คน ควา หาความรเู พม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั เครอื่ งหมาย และสัญลกั ษณทางดนตรี จากแหลงการเรียนรตู า งๆ รู้จกั ชือ่ ซงึ่ เม๑่อื) จเะคเขรอ่ืยี นงหตัวมโานย้ตชแาทรนป จ1(ะSใชh้เaคrรpือ่ ,ง#ห)มเปายน็ แเคปรลอ่ื งงเหสียมงาย๒แปชลนงดิ เสนยีีเ้ ขงทา้ ชท่ี ว่ า� ยใหคต้ อืวั โนต้ มรี ะดบั เชน หอ งสมดุ โรงเรียน หองสมดุ ชุมชน อินเทอรเ น็ต เปนตน ในหวั ขอที่ครกู ําหนดให ดังตอ ไปนี้ เสียงสงู ขนึ้ ก๒วา่)ปเกคตริคอื่ รงึ่งหเสมียางยแฟลต2(Flat,í) เปน็ เครอ่ื งหมายแปลงเสยี งทที่ า� ใหต้ วั โนต้ มรี ะดบั เสยี ง กลุม ท่ี 1 เคร่ืองหมายแปลงเสียง ต่า� ลงกว่าปกตคิ รึง่ เสยี ง กลมุ ท่ี 2 การฝกอาน เขยี น และรองโนต สากล ทมี่ ีเคร่ืองหมายแปลงเสียง อธบิ ายความรู Explain ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 1 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู C# D# F# G# A# เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั เครอื่ งหมายและสญั ลกั ษณท างดนตรี Dí Eí Gí Aí Bí สง ตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรูในหวั ขอ เครื่องหมายแปลงเสียง ตามที่ไดศึกษามา CD E FGAB C หนา ชน้ั เรยี น จากน้นั ครูถามนักเรยี นวา • เครื่องหมายแปลงเสียงมีความสาํ คัญ ตอ ดนตรีสากลอยา งไร (แนวตอบ เปนสัญลักษณท างดนตรที ใ่ี ชบ นั ทกึ เพ่อื ใหร ะดบั เสียงของโนต ตัวนั้นเปลย่ี นแปลง ไปจากระดบั เสียงเดิม) ขอ้ สงั เกต : ลม่ิ นว้ิ สขี าวทมี่ รี ะยะเสยี งหา่ งกนั ครง่ึ เสยี งอยแู่ ลว้ โดยธรรมชาติ คอื E กบั F และ B กบั C 68 นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดอธบิ ายความหมายของเคร่อื งหมายแปลงเสียงไดอ ยา งถูกตอง ปแลก1ะตอิ ชCยาู รวป21างถเคาใรสื่อหงหนมาโานยตชตารวั ปใดจจะะททําใําหใหไดโ นโนต ตตัวนF#น้ั มแีเสลยีะงสCูง#ขน้ึ ม12ีคเาสเสียยีงงเสชูงน กวโานโต นตF 1. เครอ่ื งหมายที่ใชแ ปลงเสยี งตัวโนต ใหเสยี งคงที่อยูเสมอ 2. เครอ่ื งหมายที่ใชแ ปลงเสียงตวั โนตใหต ํ่ากวา ปกตคิ รง่ึ เสียง FC FC 3. เครอ่ื งหมายท่ีใชแปลงเสียงตัวโนตใหสงู กวา ปกติครง่ึ เสียง 4. เครื่องหมายทใ่ี ชแ ปลงเสยี งตัวโนต ใหส งู หรอื ต่ําลงกวาปกตคิ รง่ึ เสียง 2 12Dแฟเวสาลยีงตงเคถรา ่ือใงสหห มนาา ยโนแฟต ตลตวั ใจดะจทะําทใาํหใไ หดโ โนนต ตตGวั นนั้แมลเีะสDยี งตมาํ่ คี ลา งเส12ียเงสตยี ่ํางกเวชาน โนโตนปต กGติ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะเปน สัญลักษณท างดนตรีทใ่ี ชเขียน และ กํากบั หนา ตวั โนต หรือหลังกญุ แจประจําหลกั เม่ือตองการแปลงเสยี ง อยู ใหส ูงขึน้ หรอื ตํ่าลง หรือกลบั มาเปนเสียงปกตเิ หมือนเดมิ GD GD 68 คมู ือครู กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู เคร่ืองหมายแปลงเสียงมีประโยชน์ ๒ ประการ คือ 1. ครสู มุ นักเรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ๑. เครอื่ งหมายแปลงเสยี งทที่ า� หนา้ ทเี่ ฉพาะกจิ เรยี กวา่ “เครอ่ื งหมำยจร” ใชส้ า� หรบั ดังตอ ไปน้ี • ภาพนี้คอื เครื่องหมายชนิดใด แต่งท�านองเพลงทต่ี ้องการความแปลกใหม่ หรือความละเอยี ดของเสียงในบางชว่ ง ตวั อย่าง บางชว่ งของเพลงสายทิพย 3 พรา�่ เพ้อ หวั ใจ ละ เมอ รา� พนั (แนวตอบ เคร่ืองหมายประจาํ หลัก นิยมใชกัน เปน อยางมากสําหรับการบนั ทกึ ระดบั เสยี ง ๒. เครอื่ งหมายแปลงเสยี งทที่ า� หนา้ ทถ่ี าวร จะอยดู่ า้ นหลงั เครอื่ งหมายกญุ แจเสยี ง ของเครอ่ื งดนตรี หรอื เสยี งรอ งทมี่ รี ะดบั กลาง หรอื เคลฟในรปู ของเครอ่ื งหมายประจา� กญุ แจเสยี ง ซง่ึ เครอ่ื งหมายแปลงเสยี งถาวรนี้ใชบ้ งั คบั เฉพาะ หรอื ระดบั สงู โดยทวั่ ไปจะเรียกวา เสยี งที่กา� หนด เพ่ือใหท้ ราบว่าเพลงดงั กลา่ วอยู่ในบันไดเสียงใดและเสยี งใดถูกแปลงเสียงบา้ ง “กุญแจซอล” ในการเขยี นกญุ แจซอล หัวกญุ แจจะวางคาบเสน ท่ี 2 ของบรรทดั ตัวอยา่ ง บางช่วงของเพลงค่านํา้ นมในบนั ไดเสียงเอฟ เมเจอร (F Major) 5 เสน โนต ทกุ ตัวที่คาบอยบู นเสน ท่ี 2 ของบรรทัด 5 เสน จะมเี สยี งเดียวกบั แม่ น้ี มี บุญคณุ อันใหญ่ หลวง แม่เฝา้ หวง ชื่อกญุ แจ คือ “ซอล”) • เพลงท่ีอยใู นบนั ไดเสียงซเี มเจอร (C Major) ตวั อย่างนี้ใช้เสียงต่อไปน้ีในการแตง่ เพลง จะใชเ ครอื่ งหมายแปลงเสยี งไดห รอื ไม ถา ได ควรจะเปนเคร่อื งหมายแปลงเสยี งชนิดใด F GA B C DE F (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ 1 23 45 67 8 ไดอยางอสิ ระ) 2. ใหน กั เรยี นศกึ ษาเรอื่ งประโยชนข องเครอื่ งหมาย ตัวอย่าง บางชว่ งของเพลงค่านาํ้ นมในบันไดเสยี งจี เมเจอร (G Major) แปลงเสียง จากในหนงั สอื เรียน หนา 69 จากนั้นครูถามนักเรียนวา แม่ นี้ มี บุญคณุ อนั ใหญ่ หลวง แมเ่ ฝา้ หวง 69 • เคร่ืองหมายแปลงเสยี งมีประโยชนใ นดานใด (แนวตอบ ทาํ หนา ทเ่ี ฉพาะกจิ ทเ่ี รียกวา ตวั อยา่ งนี้ใชเ้ สยี งต่อไปนี้ในการแตง่ เพลง “เครอื่ งหมายจร” ใชส าํ หรบั แตง ทาํ นองเพลง ทต่ี อ งการใหเ กิดความแปลกใหม หรือสรา ง G AB CD EF G ความละเอียดลออของเสยี งในบางชวง 1 23 45 67 8 และทาํ หนาทีถ่ าวร ซ่งึ จะอยูดานหลังของ กญุ แจเสียง หรอื เคลฟในรปู เครือ่ งหมาย ประจํากุญแจเสียง จะใชบังคับเฉพาะเสียง ที่กําหนด เพอื่ ใหท ราบวาเพลงดงั กลาวอยูใน บันไดเสยี งใดและเสียงใดทถ่ี กู แปลงเสยี ง) แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู จากภาพหมายถงึ เคร่ืองหมายใด ครคู วรอธบิ ายความรเู พิม่ เติมเกี่ยวกับเครอ่ื งหมายแปลงเสียง คือ เนเจอรร ัล 1. เครือ่ งหมายชารป ถา ใสหนา โนต ใดจะทําใหโนตตัวนน้ั กลับคืนเปน เสียงเดิม 2. เครื่องหมายแฟลต 3. เครอ่ื งหมายเนเจอรรลั GG GG 4. เคร่อื งหมายดบั เบิลชารป วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะเปนเครือ่ งหมายดบั เบิลชารป ดบั เบลิ ชารป ถาใสห นาโนต ใดจะใหโนตน้ันมเี สียงสงู ขึน้ 1 เสียง เชน โนต F วางเคร่ืองหมายดบั เบลิ ชารป จะทําใหไดโ นต G (Double Sharp) จะมรี ะดบั เสียงสูงขนึ้ 2 คร่ึงเสยี ง ซงึ่ เทียบเทา กบั การยกข้นึ หนึง่ ขัน้ เสียง เขียนแทนดวยสญั ลกั ษณ พบไดใ นโนตเพลง F /G C /D F /G C /D ทม่ี ีการปรับคยี ด นตรี ดับเบิลแฟลต ถา ใสห นาโนต ใดจะทาํ ใหโนตนัน้ มเี สยี งลดลง 1 เสยี ง เชน โนต A วางเครอ่ื งหมายดบั เบลิ แฟลตจะทาํ ใหไดโนต G G /F D /C G /F D /C 69 คูมอื ครู กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 2 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ๑.๒ การฝก อ่าน เขียน และรองโนตสากลท่ีมเี ครือ่ งหมายแปลงเสียง เพ่ิมเตมิ เกีย่ วกับเครื่องหมายและสัญลักษณ การฝกอ่าน เขียน และร้องโน้ตสากลท่ีมีเครื่องหมายแปลงเสียงที่ผู้เรียนควรศึกษาไว้เป็น ทางดนตรี สง ตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย ความรูในหัวขอการฝก อาน เขยี น และรองโนต พื้นฐาน จะประกอบไปด้วยเรื่องต่างๆ ดงั นี้ สากลที่มีเครอื่ งหมายแปลงเสียง ตามท่ีได ศกึ ษามาหนา ชน้ั เรยี น จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา ๑) เสียงปกติ • เพราะเหตุใดดนตรสี ากลทั่วโลกจึงสามารถ บรรเลงทาํ นองดนตรเี พลงเดยี วกนั ไดเ หมอื นกนั CDE F GABC ทง้ั ๆ ท่พี ดู กันคนละภาษา (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ การอ่าน CD E F G A B C ไดอยางอสิ ระ) การเขยี น (ซ)ี 2. ใหนักเรยี นศกึ ษาแผนผงั โนตสากลที่มี การร้อง โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด เครอื่ งหมายแปลงเสยี ง จากในหนังสือเรยี น หนา 70 - 71 จากนัน้ ครูถามนักเรียนวา ๒) เครอ่ื งหมายแปลงเสียงชารป (#) • จากภาพทน่ี ักเรียนไดศ ึกษาน้ันมีความ แตกตางกนั อยางไร การอ่าน (ซีชาร์ป) F# G# A# (แนวตอบ มีความแตกตางกัน คอื C# D# ถา มตี ดิ เครอื่ งหมายชารป จะเปลยี่ นระดบั เสยี ง F# G# A# ของตัวโนต ใหส งู ข้นึ กวา ปกตอิ ีกคร่ึงเสยี ง C# D# และถา มตี ดิ เครอ่ื งหมายแฟลตจะเปลยี่ นระดบั เสยี งของตัวโนตใหต ่าํ กวาปกตอิ ีกครึ่งเสียง) CDE F GABC การเขียน การรอ้ ง โด เร ฟา ซอล ลา ใหร้ ้องเปน็ เสยี งท่ีสูงกว่าปกติครึ่งเสยี ง 70 เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ถา ตองการเปลีย่ นระดับเสยี งของตัวโนต ใหต่ําลง 1 เสยี ง ควรใชเ คร่ืองหมาย ครคู วรเชิญวิทยากรท่มี คี วามเชย่ี วชาญในเรอ่ื งดนตรีสากล มาอธิบายเพม่ิ เติม ประเภทใด เกย่ี วกบั เครอ่ื งหมายและสญั ลกั ษณท างดนตรี ในหวั ขอ การฝก อา น เขยี น และรอ งโนต - 1. แฟลต สากลท่มี ีเครือ่ งหมายแปลงเสยี ง พรอ มทั้งสาธิตการอา น เขียน และรอ งโนตสากลทีม่ ี 2. ชารป เครอ่ื งหมายแปลงเสยี งใหน กั เรยี นดู จากนน้ั ครเู ปด โอกาสใหน กั เรยี นไดซ กั ถามในสงิ่ ท่ี 3. ดบั เบิลแฟลต สงสัยและแสดงความคิดเห็น ซงึ่ จะทําใหน ักเรียนมีความรู ความเขาใจในเรื่อง 4. ดับเบิลชารป เครือ่ งหมายและสัญลักษณทางดนตรี ในหัวขอ การฝกอา น เขียน และรอ งโนตสากล วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะเครอื่ งหมายแปลงเสยี งที่เรียกวา ทมี่ ีเคร่ืองหมายแปลงเสยี งไดด ียง่ิ ขึน้ ดับเบิลแฟลตเมื่อนํามาวางหนาตัวโนตจะทาํ ใหร ะดับเสียงของตัวโนตตํา่ ลง 1 เสียง มมุ IT นกั เรยี นสามารถศึกษา คนควา เพิม่ เติมเก่ยี วกับเครื่องหมายแปลงเสยี ง ไดจาก http://www.vichakarn.triamudom.ac.th 70 คูมือครู กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓) เครอ่ื งหมายแปลงเสยี งแฟลต (í) 1. ใหนกั เรียนศึกษาเนื้อเพลงและแผนผังโนต (ดีแฟลต) เพลงชะตาชวี ติ จากในหนังสือเรยี น การอาน Dí Eí Gí Aí Bí หนา 71 - 72 Dí Eí Gí Aí Bí 2. ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี เี พลงชะตาชวี ติ ใหน กั เรยี นฟง และสาธติ วธิ กี ารขับรองเพลงชะตาชีวติ CDE F GABC เพลงไทยสากลทีม่ เี ครื่องหมายแปลงเสียง ท่ถี กู ตองใหนกั เรยี นฟง พรอ มทงั้ ใหนกั เรียน การเขยี น ฝกปฏิบตั ติ าม จากนนั้ ครสู มุ นักเรียน 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ ีการขับรองเพลงชะตาชวี ิต การรอง เร มี ซอล ลา ที ทถ่ี กู ตองใหเ พ่ือนชมหนา ชัน้ เรยี น โดยมีครู เปน ผูคอยช้ีแนะความถกู ตอง ใหร อ งเปน เสยี งทต่ี ่าํ กวา ปกติคร่ึงเสยี ง 3. ใหน กั เรยี นแบง กลุม กลุมละ 5 - 6 คน ๔) ตัวอยางเพลงไทยสากลเพทลี่มงเีชคะรตือ่าชงหวี ติม1ายแปลงเสยี ง ไดแ ก ครสู าธติ วธิ กี ารอา นโนต เพลงชะตาชวี ติ ทถี่ กู ตอ ง ใหน ักเรียนดู จากนนั้ ใหน กั เรียนฝก ปฏิบัติตาม ทาํ นอง : พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช แลวใหนักเรียนแตล ะกลมุ ผลัดกันออกมาสาธิต คํารอง : พระเจาวรวงศเธอ พระองคเจา จักรพนั ธเ พญ็ ศิริ และ ศ.ดร. ประเสริฐ ณ นคร วธิ กี ารอา นโนต เพลงชะตาชวี ติ ทมี่ เี ครอื่ งหมาย- แปลงเสยี งท่ีถกู ตอ งใหเพือ่ นชมหนาช้ันเรยี น โดยมคี รเู ปน ผูค อยชแี้ นะความถูกตอ ง นก นอยคลอยบนิ มา เดยี ว ดาย คิด คดิ มิ วาย กงั วล ให หมน ฤ ทัย หมอง ขาดมวลมิตร ไร คน ส นทิ คู เคียง ครอง หลง ใหล หมายปอง คน ปรา นี ขาด เรอื น แหลง พกั พาํ นกั นอน ขาด ญาติ บิ ดร และนอ งพ่ี บาปกรรม คง มี จาํ ทน ระ ทม ๗๑ กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู ใหน ักเรยี นวเิ คราะหความหมายของเนอ้ื เพลงชะตาชวี ิตและเขยี น 1 เพลงชะตาชวี ิต หรอื H.M. Blues บทเพลงพระราชนพิ นธลําดับที่ 5 ของ บรรยายความรสู ึกท่ีไดรบั จากการฟง เพลง ลงกระดาษรายงาน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ให นาํ สงครผู สู อน พระเจาวรวงศเธอ พระองคเ จา จกั รพันธเ พญ็ ศริ ิ ทรงพระนพิ นธค าํ รอ งภาษาองั กฤษ สว นคาํ รองภาษาไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกลา ฯ ใหศาสตราจารย ดร.ประเสริฐ กจิ กรรมทาทาย ณ นคร เปน ผูประพนั ธ เพลงชะตาชีวิตเปน เพลงเดียวทที่ รงพระราชนพิ นธในแบบ บลสู แ ทๆ โดยไมม สี เกลอ่นื มาปะปน แตเมื่อนาํ มาบรรเลงในวงบกิ แบนด (Big Band) ใหนกั เรยี นท่มี ีความสนใจในการขับรอ งเพลง ออกมาสาธติ จะบรรเลงใหเ รว็ และกระชับข้นึ โดยบรรเลงแบบบลสู ส วงิ คอื นาํ เอาจงั หวะสวิงของ วิธกี ารขบั รอ งเพลงชะตาชวี ิตใหเ พ่ือนชมหนาชน้ั เรียน แจสมาผสมกบั บลูส โดยมคี รเู ปน ผคู อยชีแ้ นะความถกู ตอ ง มมุ IT นกั เรยี นสามารถฟง เพลงชะตาชวี ติ ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา เพลงชะตาชีวิต คูม อื ครู 71 กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา าใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Engage E×pand Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ 1. ใหนกั เรียนรว มกนั สรุปสาระสําคัญเกยี่ วกบั ทอ งฟา สายนั ห ตะวนั เลอื น_____________________________แสงลับ นับวัน จะเตอื น ให เครอื่ งหมายและสญั ลกั ษณท างดนตรี ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครูผสู อน ใจ ตอ ง ขื่น ขม____________หาก เยน็ ลง ฟา คง ยิง่ มดื ย่ิง ตรอม ตรม ชี วิต ระทม เพราะรอมา_______________________________จวบจนั ทรแ จมฟา น ภาผอ ง 2. ใหนกั เรียนฝกขบั รองเพลงชะตาชวี ติ ฝก ปฏบิ ัติ จนเกดิ ความชาํ นาญ จากน้นั ออกมาสาธิตวธิ ี การขบั รองเพลงชะตาชวี ิตที่มเี ครือ่ งหมาย- แปลงเสียงใหเพ่ือนชมหนา ชัน้ เรียน โดยมีครู เปน ผูค อยช้แี นะความถกู ตอ ง ตรวจสอบผล Evaluate 1. ครพู จิ ารณาจากการสรุปสาระสําคัญเกยี่ วกับ เฝามอง ใหเ ดอื น ชุบวญิ ญาณ สกั วันบุญมา ชะ ตา คง ดี เครอื่ งหมายและสญั ลักษณท างดนตรี ของนักเรียน กิจกรรม ศิลปปฏิบัติ ๔.๑ 2. ครูพจิ ารณาจากการขับรอ งเพลงชะตาชีวิต ของนกั เรยี น กจิ กรรมท่ี ๑ ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ ๕ คน ลองฝกหัดบันทึกโนตเพลงและเน้�อรอง กิจกรรมท่ี ๒ เพลงทม่ี เี ครอ่ื งหมายแปลงเสยี งลงในกระดาษรายงาน สง ครผู สู อน จากกจิ กรรมท่ี ๑ ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ รอ งเพลงตามทบ่ี นั ทกึ พรอ มกนั หลายๆ รอบ จนคลอ ง จากนน้ั ออกมารอ งใหเ พอ่ื นๆ ฟง หนา ชน้ั เรยี น เกรด็ ศลิ ปเกรด็ ศลิ ป การแสดงเพลงพระราชนพิ นธ “H.M.Blues ชะตาชวี ิต” ครัง้ แรก วันคลายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครบ ๒๐ พรรษา เมื่อป พ.ศ. ๒๔๙๐ ขาราชการ นักเรียน และคนไทยในประเทศสวิตเซอรแลนด รวมกันจัดงานเฉลิมฉลองติดตอกัน หลายวนั ซ่งึ ในวนั เสารท่ี ๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ ไดมกี ารตงั้ วงเลนดนตรที ่พี ระตําหนักวิลลาวัฒนา พระองค ทรงรวมทรงดนตรีดวย โดยทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหพระเจาวรวงศเธอ พระองคเจาจักรพันธเพ็ญศิริ ขบั รอ งเพลงพระราชนพิ นธเ พลงใหม H.M.Blues เนอ้ื เพลงมใี จความวา “คนอน่ื ๆ ทไี่ มไ ดเ ลน ดนตรตี า งกอ็ มิ่ หนาํ สําราญกนั แตพวกเราทกี่ าํ ลงั เลน ดนตรีตางก็หิวโหย และไมมแี รงจะเลนตอไปอกี แลว” และใหผ ฟู ง ทายช่ือเพลง พระราชนพิ นธ H.M.Blues วา H.M. แปลวา อะไร ซงึ่ ผทู จี่ ะทายตอ งซอื้ กระดาษสาํ หรบั เขยี นคาํ ทายใบละครงึ่ ฟรงั ซ วงดนตรกี บ็ รรเลงเพลงใหผ รู ว มงานเตน ราํ ตลอดเวลา โดยไมห ยดุ พกั ระหวา งเลย้ี งอาหารวา งตอนดกึ สรปุ วา ในงาน ไมม ีผใู ดทายช่ือถกู เลยสกั คนเดียว ถอื ไดว าในครัง้ นั้นเปนการแสดงเพลงพระราชนพิ นธ H.M.Blues ชะตาชีวิต ๗๒ เปน คร้งั แรก เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET บทเพลงในขอ ใด ไม จดั เปนเพลงพระราชนพิ นธใ นพระบาทสมเดจ็ ครคู วรอธิบายความรูเพมิ่ เติมเกีย่ วกับเพลงพระราชนิพนธวา เปน เพลงที่ พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช พระมหากษตั ริยท รงพระราชนพิ นธขึน้ มที ้ังเพลงบรรเลงและเพลงทม่ี เี นือ้ รอ ง 1. เพลงคํา่ แลว เชน เพลงไทยรวมกาํ ลงั เปน ตน ซ่งึ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลาเจาอยหู วั 2. เพลงภริ มยร กั (รชั กาลที่ 6) ทรงพระราชนพิ นธทํานอง ทรงพระกรุณาโปรดเกลา ฯ ให 3. เพลงเกาะในฝน นายนารถ ถาวรบตุ ร เปน ผูแ ตงเนอ้ื รอ ง สว นเพลงที่พระมหากษตั ริยทรง 4. เพลงฟลอรเฟอ งฟา พระราชนพิ นธทัง้ เนอื้ รอ งและทาํ นอง เชน เพลงพรปใหม เพลงเราสู เปน ตน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะเพลงฟลอรเฟอ งฟา จัดเปน เพลง เปน เพลงทพ่ี ระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช ประเภทสุนทราภรณ ซงึ่ เปน เพลงทีน่ ิยมนํามาใชในการเตน ลีลาศ ทรงพระราชนิพนธข้ึน เพลงพระราชนิพนธส ว นใหญจะเปน เพลงปลกุ ใจ เพลงสุนทราภรณ เปน เพลงทีเ่ กดิ ขึ้นจากการประพันธเ พลงของวงดนตรี เพลงชมธรรมชาตแิ ละเพลงเตอื นสติ ทีม่ ีชอ่ื วา “วงสนุ ทราภรณ” 72 คมู ือครู กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. ปจ จยั สาํ คญั ทีม่ ีอทิ ธพิ ลตอการสร้างสรรค์ผลงานดนตรี ครชู กั ชวนนักเรียนสนทนาเกีย่ วกบั ปจจัย การสรา้ งสรรคผ์ ลงานดนตรี เปน็ งานทเ่ี กดิ ขนึ้ จากวตั ถปุ ระสงคต์ า่ งๆ กนั ไป เชน่ เพอื่ ใชใ้ นพธิ กี รรม ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอการสรางสรรคผ ลงานดนตรี ตามความเชอ่ื และศาสนา เพ่ือใช้ในกจิ กรรมทางสงั คม เพือ่ การแสดงละคร ภาพยนตร์ หรือเพ่ือ จากนน้ั ครถู ามนักเรยี นวา ธรุ กจิ การพาณชิ ย์ นอกจากนี้ ยงั มกี ารสรา้ งสรรค์ ผลงานดนตรีที่เกิดข้ึนจากการจินตนาการของ • เพราะเหตใุ ดดนตรจี งึ ตอ งมกี ารเปลยี่ นแปลง ศลิ ปิน หรอื ผ้ปู ระพนั ธเ์ พลงเอง โดยมิไดม้ วี ตั ถ-ุ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ประสงค์ใดๆ เพยี งดา� เนนิ ไปตามอารมณท์ เี่ กดิ ขน้ึ ไดอยา งอสิ ระ) เชน่ บทเพลงทีส่ ะทอ้ นความรกั ความงามของ ธรรมชาติ ความเศร้าโศก เป็นตน้ ท้งั นี้ ผลงาน • นักเรียนคิดวา บทเพลงทีเ่ กิดขนึ้ ในอดีต และในปจจุบนั มีความแตกตางกนั อยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอสิ ระ) การสร้างสรรค์ดงั กลา่ ว เมื่อน�าออกมาเสนอต่อ สาํ รวจคน หา Explore นักฟังเพลงแล้ว ช้ินงานเหล่านั้นอาจได้รับการ ยอมรับและพัฒนาไปสู่ความเป็นสมบัติร่วมกัน ใหนักเรียนศึกษา คน ควา หาความรูเพมิ่ เติม ของผู้คนในสังคมต่อไปได้ ปัจจัยส�าคัญที่มี เก่ยี วกับปจจยั ท่มี ีอทิ ธิพลตอ การสรา งสรรค อทิ ธพิ ลตอ่ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานดนตรแี บง่ ออก การร้องเพลงในโบสถ์ เปนพัฒนาการเริ่มแรกของดนตรี ผลงานดนตรี จากแหลงการเรียนรูตา งๆ เชน เป็น ๒ ลกั ษณะ ดงั นี้ สากลท่ีทั่วโลกรู้จักและยอมรับ หองสมุด โรงเรยี น หอ งสมดุ ชุมชน อินเทอรเ นต็ เปนตน ในหวั ขอ ท่คี รกู ําหนดให ดงั ตอไปน้ี ๑) ปจ จยั ภายใน หมายถึง อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และจินตนาการที่สง่ ผลต่อการ สร้างสรรค์ผลงานดนตรี เช่น ความรู้สกึ รัก ชอบ โกรธ เกลียด เศร้าโศก เคารพบชู า ความเชื่อ 1. จนิ ตนาการในการสรางสรรคบทเพลง และความศรทั ธา เปน็ ตน้ ซง่ึ นกั ดนตรี หรอื ผปู้ ระพนั ธเ์ พลงเปน็ ผรู้ วบรวม “ควำมรสู้ กึ นกึ คดิ ” ของตน 2. การถายทอดเร่ืองราวความคดิ ในบทเพลง ที่มีต่อส่ิงต่างๆ มาเป็นต้นทุนทางการปรุงแต่งดนตรีให้เป็นไปตามน้ัน และเม่ือความรู้สึกนึกคิด อธบิ ายความรู Explain ซงึ่ มคี วามส�าคัญต่อการสร้างจนิ ตนาการมาผสมกบั อารมณ์และประสบการณ์ของศลิ ปินแลว้ ย่อม จะกอ่ ใหเ้ กิดผลงานดนตรที ่ีมคี วามไพเราะและมีคณุ ค่า งานประพนั ธเ พลง คอื งานสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะของเสยี งและถอ้ ยคา� ภาษาใหป้ รากฏออกมา ครูสุม นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม อย่างงดงาม น่าพึงชม และเกิดอารมณ์สะเทือนใจ อารมณ์สะเทือนใจถือเป็น “หัวใจ” ของการ ดังตอ ไปนี้ สรา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปะ เพราะบทเพลงใดๆ แมจ้ ะแตง่ ไดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั ไวยากรณเ์ พลงแลว้ กต็ าม แตถ่ ้าขาดอารมณส์ ะเทือนใจในบทรอ้ ง ก็เรียกได้วา่ เพลงบทน้นั ยังขาดวรรณศลิ ป์ • ถานักเรียนตอ งการแตง เพลงทมี่ เี นอื้ หา ๒) ปจจยั ภายนอก ได้แก่ สงั คมและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี พธิ กี รรม เกยี่ วขอ งกับความรัก นักเรยี นควรเลือกใช สภาพทางภูมิศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ ค่านิยม การเมือง การปกครอง การศกึ ษา เศรษฐกจิ และ ปจจัยใดมาเปนแนวทางในการสรา งสรรค ภยั ธรรมชาติ เนอ่ื งจากสงั คมจะประกอบไปดว้ ยผคู้ นทอี่ ยรู่ ว่ มกนั มคี วามสมั พนั ธก์ นั ภายใตก้ ฎเกณฑ์ ผลงาน ระเบียบแบบแผนร่วมกัน แต่ละสังคมจึงมีลักษณะเฉพาะท่ีบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ วิถีของการ (แนวตอบ ปจจยั ภายใน เพราะเปน การ สรางสรรคบ ทเพลงทแี่ สดงใหถงึ อารมณ 7๓ ความรูสกึ นกึ คดิ และจินตนาการท่ีสงผล ตอ การสรางสรรคงานดนตรี เชน ความรกั ความชอบ โกรธ เกลียด เปนตน) แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู ขอใดเปน การประพันธเ พลงขึ้นจากปจ จัยภายนอก ครูควรแนะนํานักเรยี นเกีย่ วกับวิธกี ารสรางสรรคผลงานดนตรอี ยา งงายๆ วา 1. นกั ประพันธเพลงแตง เพลงทแ่ี สดงออกถึงความจงรกั ภักดี การสรางสรรคผลงานดนตรีมีวธิ ปี ฏิบัตไิ ดห ลากหลายวิธี ขึ้นอยูก บั ความรพู ้นื ฐาน ดานดนตรแี ละการนาํ มาประยกุ ตใ ชใหเกิดประโยชน ซง่ึ นักเรยี นสามารถสรางสรรค ตอ พระมหากษตั รยิ ผลงานทางดนตรีไดโ ดยใชวิธกี ารงา ยๆ ไมซับซอ น เชน 2. นักประพนั ธเ พลงไมส มหวังในความรกั จึงแตงเพลงเกี่ยวกบั ความรัก 1. ขีด เขยี น ระบายสีตามจังหวะของดนตรี ซ่งึ จะทาํ ใหไดภาพเขียนทแี่ ปลกตา ทผี่ ิดหวัง ตามลลี าของจังหวะดนตรี 3. นกั ประพันธเ พลงรสู กึ มคี วามทกุ ขใจ เพราะชีวิตไมม คี วามสขุ 2. ประดิษฐเ ครือ่ งดนตรีจากวัสดุทอ งถิ่น ซ่งึ จะไดเคร่ืองดนตรที ีใ่ หเสยี งแปลกๆ จึงแตงเพลงเศรา ขึน้ เชน การนําเอาฝานํา้ อดั ลมมาทําเปน เครอื่ งเคาะจงั หวะ เปนตน 4. นกั ประพันธเพลงรสู ึกโกรธแคนบคุ คล จงึ แตง เพลงลอเลยี นบุคคล 3. ประดิษฐทาทางประกอบเพลง โดยอาจประดษิ ฐใชก ับหลายๆ เพลง ในทางทีไ่ มด ี ซึง่ นอกจากจะไดค วามสนุกสนานแลว ยังฝก กระบวนการคิดสรา งสรรคอ กี ดวย วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะเปน การแตงเพลงทน่ี าํ ปจจยั ภายนอก 4. แตง เพลงอยา งงายๆ โดยนําเอาทาํ นองเพลงสัน้ ๆ มาใสเ นื้อเพลงใหม หรือนาํ เน้อื เพลงมาใสทาํ นองเพลงใหมใหสัมพนั ธกนั เปนตน เชน สภาพสังคม การเมือง การปกครอง เศรษฐกจิ ขนบธรรมเนียม ประเพณี พธิ ีกรรม ความเช่ือ เปนตน มาสรางสรรคเ ปน บทเพลง คมู อื ครู 73 กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหนกั เรียนรวมกนั อภปิ รายเกี่ยวกบั ปจ จัย ด�ารงชีวิต มีความเป็นพวกพ้องเดียวกัน เช่น การใช้ภาษาส่ือสารอย่างเป็นทางการร่วมกัน ท่มี อี ิทธพิ ลตอ การสรา งสรรคผลงานดนตรใี นหวั ขอ มสี ญั ลกั ษณท์ สี่ อื่ ถงึ ความเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั มรี ะบอบการเมอื ง การปกครอง และกฎหมายทเี่ ปน็ จินตนาการในการสรางสรรคบทเพลง ตามท่ีได ขอ้ บังคับเดียวกัน เป็นต้น ศกึ ษามา จากนน้ั ครถู ามนกั เรียนวา ตัวอย่างบทเพลงท่ีได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น เพลงชาติ • จนิ ตนาการมคี วามสาํ คัญอยา งไร เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงเกียรติยศต่างๆ เป็นต้น และเน่ืองจากประเทศไทยปกครองด้วย ตอการสรางสรรคผลงานทางดา นดนตรี รจเพะงบรลักองภภบมูักปดแิระีขผชอน่ างดธปนิ ิปรนไะวตชมยานิอชันทนมรทม์พีม่ี หรตี าะ่อรมพาหชรา2ะากมเษหพัตาลรกงยิ ษต์ทน้ัตรไรงมิยเข้ป์แอลน็ งะปพพรอ่ระ3ะมเบพุขรลมจงวกงึ งกลั ศอ่ยาใานหณุวเ้ กซงี ศดิมิ ์เโเพฟชลนน่ งี ทเเปพีแ่ น็ สลตดงน้สงดอแอุดลกีมะถตหงึวัาคอรวายาชา่ มงา1 (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น บทเพลงที่ไดร้ ับอิทธิพลจากภยั ธรรมชาติ เชน่ บทเพลงท่ีถกู แต่งขึน้ เพื่อรา� ลึกถงึ เหตกุ ารณ์สึนามิ ไดอยางอิสระ) เม่ือวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ท่ีท�าให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศเสียชีวิตไป เปน็ จา� นวนมาก จากเหตกุ ารณภ์ ัยพบิ ัติในครัง้ น้นั มีศิลปนิ บุคคล และหนว่ ยงานต่างๆ ของรฐั และ • ส่ิงใดท่ีสามารถนํามาใชเปน เกณฑในการ- เอกชน ร่วมกนั สรา้ งสรรคบ์ ทเพลงขน้ึ มา เชน่ เพลงซับน�า้ ตาอันดามนั เพลงรวมใจไทยสภู้ ยั สนึ ามิ สรางสรรคผ ลงานดนตรีจากจินตนาการ เพลงสนึ ามิ เพลงขอบคณุ น�้าใจ เปน็ ตน้ (แนวตอบ ความงามของธรรมชาติ ความรกั ชาติ ๒.๑ จินตนาการในการสรางสรรคบทเพลง รกั แผนดิน ศาสนาและความเช่อื ความรัก และความเศรา) ในการสร้างสรรค์บทเพลง นักดนตรี หรือนักประพันธ์เพลงจะรวบรวม “ควำมรู้สึกนึกคิด” ของตนที่มีตอ่ สงิ่ ตา่ งๆ มาเปน็ ตน้ ทนุ ในการปรงุ แต่งงานดนตรีให้เป็นไปตามนนั้ ซึ่งประสบการณ์ • นกั เรยี นสามารถนาํ เรอ่ื งราวในชวี ติ ของตนเอง จะมสี ่วนช่วยให้จินตนาการในการสร้างสรรคง์ านดนตรเี กดิ ขน้ึ ได้ง่ายและมปี ระสิทธภิ าพ มาแตงเปนเพลงไดหรอื ไม ถาได จะเปน เพลง ทีม่ ีแนวดนตรีแบบใด สง่ิ กระทบ หรอื ประสบการณต์ า่ งๆ ทเ่ี ขา้ มา (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น มีส่วนช่วยให้เกิดจินตนาการและน�าไปสู่การ ไดอ ยา งอสิ ระ) สรา้ งสรรค์ผลงานดนตรีทม่ี ีประสิทธภิ าพ ไดแ้ ก่ • จากเนอื้ รอ งขางตนนส้ี ะทอ นใหเหน็ ถึงส่งิ ใด ๑) ความงามของธรรมชาติ เชน่ “มวลเถาวลั ยปาใบเขยี ว คดลดเลี้ยวพันเก่ียวคบไมใ หญ เมื่อศิลปินเกิดความรู้สึกหลงใหลในความงาม ฝงู มจั ฉาวา ยแหวกน้ําใส ของพืชพรรณในปา ก็จะสร้างรูปในใจให้เป็น เวยี นวนไปภายในสายวารี ปาเขาล�าเนาไพร มีธารน�้าไหล สายลมอ่อนๆ มวลบปุ ผชาตดิ าษเนนิ เขางาม พลว้ิ ใบไม้ ปลายยอดไมไ้ หวตามสายลม พรอ้ มกบั แลสะพร่งั แทรกตามหนิ ทุกกอ นมี เหล่านกสวยงามนานาชนิดบินว่อน เม่ือรู้สึก สาวแมว แฉลม แกม สดสี เช่นนี้ศิลปินก็จะคิด หรือจินตนาการว่าตนน้ัน กายใจพลใี หช ายเชื้อชาตไิ ทย” ชีวิตของสัตว์ตามธรรมชาติ เปนแรงบันดาลใจอย่างหน่ึง นงั่ อย่ใู นบรรยากาศเชน่ นน้ั หรอื อาจคดิ ไกลไปวา่ (แนวตอบ ความงามของธรรมชาติที่มกี าร ทที่ าำ ใหน้ กั ประพนั ธเ์ พลงนาำ ไปใชส้ รา้ งสรรคผ์ ลงานดนตรี ตนเองคือนกตัวหนึ่งท่ีบินถลาไปมาร่วมกับ พรรณนาถึงตนไม ดอกไม สตั ว แมน าํ้ ภเู ขา ถูกถายทอดออกมาเปน บทเพลงทมี่ ชี ่ือวา “เทพธิดาดอย”) 7๔ นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET “จะขอตามรอยของพอ ทอ งคําวา เพยี งและพอจากหวั ใจ เปนลูกท่ีดีของพอ 1 เพลงสดุดมี หาราชา เปน เพลงทใี่ ชข บั รอ งหลังการขับรอ งเพลงสรรเสรญิ - ดว ยความรัก ดว ยภกั ดตี ลอดไป” จากเน้อื รอ งขางตน เกดิ จากจนิ ตนาการ พระบารมแี ละมีการจดุ เทียนชยั ถวายพระพรพระมหากษัตริย เนื่องในวโรกาส ในการสรางสรรคบทเพลงจากสง่ิ ใด วันเฉลมิ พระชนมพรรษา 1. ความรักชาติ 2 เพลงภูมิแผนดินนวมินทรมหาราชา เปนเพลงเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จ 2. ศาสนาและความเชื่อ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช เนอื่ งในพระราชพธิ มี หามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา 3 ความสุขและความทกุ ข 6 รอบ ในป พ.ศ. 2542 คํารองโดย ชาลี อนิ ทรวจิ ติ ร, อาจินต ปญ จพรรค, 4. ความจงรักภักดีตอพระมหากษัตรยิ สรุ พล โทณะวณกิ , เนาวรตั น พงษไ พบูลย และคุณหญิงกลุ ทรัพย เกษแมนกจิ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะจากขอ ความที่ไดอา นน้ี เปน เนื้อเพลง ทํานองโดยสงา อารัมภรี , นคร ถนอมทรพั ย เรืออากาศตรี ศ. พเิ ศษ ดร. แมนรัตน เฉลมิ พระเกยี รติ เนอื่ งในวโรกาสทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ศรีกรานนท, ประสิทธ์ิ พะยอมยงค ขับรอ งโดยศิลปนจาํ นวน 72 คน ทรงเจรญิ พระชนมพรรษา 80 พรรษา ในป พ.ศ. 2550 ซงึ่ เปน การแสดงความ 3 เพลงตน ไมข องพอ เปน เพลงทข่ี บั รอ งเพอ่ื รว มเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ - จงรักภักดีตอสถาบันพระมหากษัตริยผานบทเพลงท่ีมีชื่อวา “เพลงรูปที่มี พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช เนื่องในวโรกาสงานฉลองสริ ริ าชสมบตั คิ รบ 50 ป ทกุ บาน” คาํ รอ งโดยนิตพิ งษ หอ นาค ทํานองโดยอภิไชย เยน็ พูนสุข และขบั ในป พ.ศ. 2539 คาํ รอ งและทาํ นองโดยนติ พิ งษ หอ นาค ขบั รอ งโดยธงไชย แมคอนิ ไตย รองโดย ธงไชย แมคอินไตย 74 คมู ือครู กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู หม่นู กตวั อ่ืนๆ ในอ้อมโอบของธรรมชาติ สง่ เสียงร้องเรียกกันในหม่นู กอยา่ งมคี วามสขุ ซง่ึ ความ 1. ครูสมุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหต อบคําถาม คิดและจินตนาการเช่นน้ีเอง จึงเกิดการสร้างสรรค์ท�านองเลียนเสียงธรรมชาติ ใช้เครื่องดนตรี ดงั ตอไปน้ี แทนเสียงนกร้อง ใช้จังหวะท่ีสอดคล้องกับบรรยากาศ โดยอาจมีบทร้องเพ่ือพรรณนาเน้ือหา • นกั เรยี นรจู กั บทเพลงทเี่ กย่ี วขอ งกบั ธรรมชาติ แล้วบทเพลงท่ีเกิดจากจินตนาการก็ส�าเร็จสมบูรณ์ เช่น เพลงนกเขาคูรัก เพลงอุทยานดอกไม้ บา งหรอื ไม ถา รูจกั นักเรยี นรูจ กั เพลงใด เปน็ ต้น ตวั อย่างบทเพลงที่เกย่ี วขอ้ งกับความงามของธรรมชาติ เช่น และสามารถขับรอ งเพลงนั้นไดหรือไม (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ เพลงอุทยานดอกไม้ ไดอ ยางอสิ ระ) • เมอื่ ไดฟ ง บทเพลงทเี่ กยี่ วขอ งกบั ธรรมชาตแิ ลว ค�ำร้อง : สกนธ์ มิตรำนนท์ นกั เรยี นเกิดความรูสกึ อยางไร ทำ� นอง : เพลงแขกหนัง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอสิ ระ) ชมผกาจ�าปาจา� ปี กหุ ลาบราตรีพะยอมองั กาบทง้ั กรรณิการ์ 2. ใหนกั เรยี นศึกษาเน้อื เพลงอุทยานดอกไม ลา� ดวนนมแมวซ่อนกลนิ่ ย่ีโถชงโคมณฑา สายหยดุ เฟอ่ื งฟ้าชบาและสรอ้ ยทอง จากในหนังสือเรียน หนา 75 บานบรุ ียีส่ นุ่ ขจร ประดพู่ ดุ ซอ้ นพลบั พลงึ หงอนไกพ่ กิ ลุ ควรปอง 3. ครูเปดซดี ี หรือดีวีดีเพลงอทุ ยานดอกไม ใหน ักเรยี นฟง และสาธติ วธิ ีการขบั รอ งเพลง งามทานตะวันรักเร่กาหลงประยงคพ์ วงทอง บานช่ืนสขุ สองพทุ ธชาดสะอาดแซม อุทยานดอกไมท ถี่ ูกตองใหน กั เรียนฟง จากนนั้ ใหน กั เรยี นฝก ปฏบิ ตั ติ าม จากนนั้ ครสู มุ นกั เรยี น พศิ พวงชมพูกระดงั งาเล้อื ยเคียงคูด่ ูสดสวยแฉล้ม รสสคุ นธบ์ ุญนาคนางแย้มสารภีทถ่ี กู ใจ 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ ีการขบั รอ งเพลง อทุ ยานดอกไมท ถี่ กู ตอ งใหเ พอ่ื นชมหนา ชน้ั เรยี น งามอบุ ลปนจนั ทนก์ ะพอ้ ผเี สอ้ื แตกกอพรอ้ มเลบ็ มอื นางพดุ ตานกลว้ ยไม้ โดยมคี รูเปน ผูคอยชีแ้ นะความถูกตอง จากน้ันครูถามนักเรยี นวา ดาวเรอื งอัญชันย่หี ุบมะลิวลั ย์แลวไิ ล ชชู อ่ ไสวเร้าใจในอทุ ยาน • เพลงอทุ ยานดอกไมเ ปน เพลงทม่ี ลี กั ษณะเดน อยางไร นอกจากเพลงอุทยานดอกไมแ ลว ๒) ความรกั ชาติ รกั แผน่ ดนิ การสรา้ งสรรคบ์ ทเพลงในแนวทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความรกั ชาติ นกั เรยี นคดิ วา ยงั มเี พลงใดอกี บา ง ทมี่ เี นอื้ เพลง พรรณนาถงึ ความงามของดอกไม รกั แผน่ ดนิ จะขน้ึ อยกู่ บั ปจั จยั ทว่ี า่ ศลิ ปนิ ไดร้ บั มอบหมาย หรอื มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ปลกุ ใจ เสรมิ พลงั (แนวตอบ อทุ ยานดอกไม เปน เพลงลกู กรุงทมี่ ี ความฮึกเหมิ เรา้ อารมณ์ใหเ้ กิดความรกั ต่อชาติ รกั ท้องถิ่น รกั สถาบัน รักเผา่ พนั ธุ์ สรา้ งความ เนอื้ หากลา วถงึ พรรณไมด อกมากถงึ 49 ชนดิ สามัคคี หรือปลุกเร้าอารมณ์ให้เป็นหนง่ึ เดียวกัน คาํ รอ งโดยสกนธ มิตรานนท ทาํ นองโดย ชศู ักดิ์ รศั มโี รจน และขับรอ งโดย ผลงานการสร้างสรรค์บทเพลงลักษณะน้ี ต้องใช้ทฤษฎีดนตรีและเทคนิคหลายอย่าง วงจนั ทร ไพโรจน นอกจากน้ี ยังมเี พลงที่ ประกอบเขา้ ดว้ ยกนั เชน่ ใชแ้ นวเพลงทกี่ ระชบั จงั หวะทร่ี กุ เรา้ กระฉบั กระเฉง ใชเ้ นอ้ื เพลงทบี่ ง่ บอก พรรณนาถึงพรรณไมด อกอีก คอื ไปตามสาระทต่ี อ้ งการ สอ่ื สารใหผ้ ฟู้ งั อยา่ งรวดเรว็ และตรงไปตรงมา เพลงประเภทนสี้ ว่ นใหญจ่ งึ เปน็ มาลีแดนสรวง แตกลา วถงึ พรรณดอกไม เพลงปลกุ ใจ หรอื เพลงมารช์ เพอื่ การเดนิ สวนสนาม หรอื โนม้ นา้ วอารมณแ์ ละความรสู้ กึ ฮกึ เหมิ เชน่ เพยี ง 32 ชนดิ เทา นัน้ ) เพลงมารช์ ทหารเรอื เพลงมาร์ชราชวัลลภ เปน็ ต้น นอกจากนี้ ยงั มีบทเพลงทีศ่ ลิ ปนิ ประพันธ์ข้นึ เพื่อต้องการเตือนให้รู้สึกถึงความเจ็บช้�าท่ีเกิดจากสงครามในอดีต หรือเป็นข้อคิดเตือนใจ เช่น เพลงหนักแผน่ ดิน เพลงเราสู้ เพลงตน้ ตระกลู ไทย เปน็ ต้น ตัวอย่างบทเพลงที่เกีย่ วขอ้ งกบั ความ รกั ชาติ รักแผ่นดิน เช่น 75 บูรณาการเชื่อมสาระ เกร็ดแนะครู จากการศึกษาเก่ียวกบั ความรูพ้ืนฐานเกย่ี วกบั ปจ จัยท่มี ีอทิ ธพิ ลตอ การ สรางสรรคผ ลงานดนตรี ในหัวขอจินตนาการในการสรางสรรคบ ทเพลง ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี เี พลงนกเขาครู กั ใหน กั เรยี นฟง จากนนั้ ใหน กั เรยี นวเิ คราะห สามารถเช่อื มโยงกบั การเรยี นการสอนในกลุมสาระการเรยี นรูส ขุ ศกึ ษา ความไพเราะของบทเพลงน้ี ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา เพลงนกเขาครู กั เปน เพลงทม่ี ี และพลศกึ ษา ในเรอื่ งกิจกรรมนันทนาการ เพราะกิจกรรมนนั ทนาการ ลักษณะเพลงเปน “สังคตี ประยกุ ต” คอื เปน การนําดนตรีไทยมาบรรเลงผสมผสาน เปน กิจกรรมทีน่ ิยมทําในยามวาง เพ่อื ใหเกิดความเพลดิ เพลนิ ผอนคลาย กับดนตรีสากล ประพนั ธค ํารองโดยสมาน กาญจนะผลนิ จากนัน้ ครูยกตัวอยา ง ความตงึ เครยี ด ทั้งรางกายและจติ ใจ ซงึ่ มกั จะเกดิ ขึ้นในชว งสดุ สปั ดาห เน้ือรองประกอบ คอื ช.โนนแนะ นกเขาคู จุก จุก กรูนกมันเฝา คูหาชมู ัน ญ.โถโกงคอ และวนั หยุด ประกอบดว ยดนตรี การเตน รํา กฬี า งานอดเิ รก การทอ งเทยี่ ว ทาํ เสียงหวานชา งนา สงสารนะกระไรใจขา การดูโทรทัศน และฟงเพลง เอกลกั ษณข องกิจกรรมนันทนาการ คือ ไมเ ปน งานอาชีพ ไมเปนอบายมุข ไมม ีผลตอบแทน ไมม ีใครบงั คับใหรว มกจิ กรรม มมุ IT ซงึ่ จะชว ยใหน กั เรยี นเกดิ การเรยี นรใู นเรอื่ งปจ จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ การสรา งสรรค ผลงานดนตรี ในหัวขอจนิ ตนาการในการสรางสรรคบทเพลงไดดียง่ิ ข้ึน นกั เรยี นสามารถฟง เพลงนกเขาคูรกั ไดจาก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา เพลงนกเขาคูรกั คูม อื ครู 75 กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครสู มุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหต อบคําถาม เพลงต้นตระกลู ไทย ดังตอไปน้ี • นกั เรยี นรจู กั บทเพลงทเี่ กี่ยวขอ งกับความรัก ค�ำร้อง : หลวงวจิ ติ รวำทกำร ชาติ รกั แผนดินบางหรือไม ถารูจัก นกั เรียน ทำ� นอง : หลวงวจิ ติ รวำทกำร ดดั แปลงจำกท�ำนองเพลงเกำ่ รูจักเพลงใดและสามารถขบั รอ งเพลงน้นั ไดห รอื ไม ตน้ ตระกูลไทยใจทา่ นเห้ยี มหาญ รกั ษาดนิ แดนไทยไว้ใหล้ ูกหลาน (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น สูจ้ นสญู เสยี แม้ชวี ิตของท่าน เพื่อถนอมบา้ นเมืองไว้ให้เรา ไดอยา งอิสระ) ลุกข้ึนเถิดพี่นอ้ งไทย อย่าให้ชีวติ สูญเปล่า • เม่ือไดฟงบทเพลงท่ีเก่ียวของกับความรักชาติ รักชาติยิง่ ชพี ของเรา เหมือนดังพงศเ์ ผา่ ต้นตระกูลไทย รกั แผน ดนิ แลวนักเรยี นเกดิ ความรูสึกอยา งไร ท่านพระยารามผู้มีความแข็งขนั สูร้ บปอ้ งกนั มไิ ด้ยอมแพพ้ า่ ย (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น พระราชมนทู หารสมัยก้ชู าติ แสดงความสามารถ ได้ชยั ชนะมากหลาย ไดอ ยางอสิ ระ) เจา้ พระยาโกษาเหลก็ ทา่ นเปน็ แมท่ ัพช้นั เอก ของสมเดจ็ พระนารายณ์ สหี ราชเดโช ผจญสงครามใหญโ่ ต ตอ่ ตีศตั รแู พพ้ ่าย 2. ใหนักเรยี นศกึ ษาเน้อื เพลงตนตระกลู ไทย เจา้ คณุ พิชัยดาบหกั ผกู้ ล้าหาญยิ่งนัก ลว้ นเปน็ ต้นตระกลู ไทย จากในหนงั สอื เรียน หนา 76 หมบู่ ุคคลสา� คัญ หวั หนา้ ชาวบางระจัน ทเ่ี ราหาชือ่ ได้ นายแทน่ นายดอก นายอิน นายเมือง ขนุ สรรค์ พนั เรือง นายทองแสงใหญ่ 3. ครเู ปดซีดี หรอื ดวี ดี เี พลงตนตระกูลไทย นายโชติ นายทองเหมน็ ท่านเหลา่ นลี้ ว้ นเปน็ ผู้กล้าหาญชาญชยั ใหนักเรียนฟง และสาธิตวธิ ีการขับรองเพลง นายจันหนวดเขย้ี วกับนายทองแก้ว ท�าชอื่ เสยี งเพริดแพรว้ ไว้ลายเลอื ดไทย ตน ตระกลู ไทยทถี่ ูกตองใหนกั เรียนฟง จากน้นั ชาวบางระจนั ส�าคญั ยิ่งใหญ่ เป็นตน้ ตระกลู ของไทย ท่ีควรระลกึ ตลอดกาล ใหน ักเรยี นฝก ปฏบิ ตั ติ าม จากน้ันครูสุมนกั เรียน องค์พระสุรโิ ยทยั ยอดย่ิงหญงิ ไทย สละพระองคเ์ พื่อชาติ 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ กี ารขับรอ งเพลง- ท้าวเทพกระษัตรี ทา้ วศรสี นุ ทร ปอ้ งกันถลางนคร ไวด้ ว้ ยความสามารถ ตน ตระกลู ไทยที่ถูกตอ งใหเ พือ่ นฟงหนา ชัน้ เรยี น ทา้ วสรุ นารี ผเู้ ปน็ นกั รบสตรี กล้าหาญองอาจ โดยมคี รูเปนผูคอยชี้แนะความถูกตอง ป้องกนั อสี านตา้ นศตั รูของชาติ ลว้ นเป็นสตรีสามารถ ต้นตระกลู ของไทย จากนัน้ ครถู ามนักเรียนวา • เพราะเหตใุ ดจงึ ตอ งมีการแตง เพลงทม่ี เี นื้อหา ๓) ความเช่ือและศาสนา ประเทศไทยเป็นประเทศท่ีให้สิทธิประชาชนในการ เก่ียวของกบั ความรักชาติ รกั แผน ดนิ (แนวตอบ เพือ่ ปลุกจิตสํานึกของคนไทย นับถือศาสนาได้อย่างเสรี โดยศาสนาท่ีมีประชาชนในประเทศนับถืออยู่เป็นจ�านวนมาก เช่น ใหเ กิดความรกั ชาติบา นเมอื ง มีความสามัคคี ศาสนาพทุ ธ ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ศาสนาสิข เป็นตน้ ในหมูคณะ และเสยี สละเพ่ือชาติบานเมอื ง) • เมือ่ นักเรียนไดฟ งเพลงประเภทปลกุ ใจ ดงั นัน้ จงึ มีศลิ ปินหลายทา่ นทถี่ า่ ยทอดความเชอ่ื ความศรัทธา หลักธรรม ค�าสอนของ ทาํ ใหนกั เรียนเกดิ ความรสู ึกอยางไร ศาสนาทต่ี นเองนบั ถอื ออกมาเปน็ บทเพลงทห่ี ลากหลาย โดยเฉพาะศาสนาครสิ ตท์ ต่ี อ้ งมกี ารรอ้ งเพลง (แนวตอบ เนื่องจากเนอื้ รองและทํานองเพลง ในโบสถ์ จงึ มบี ทเพลงทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ศาสนาครสิ ตจ์ า� นวนมาก ตวั อยา่ งบทเพลงทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ความ ปลุกใจ เปนเพลงทม่ี จี งั หวะและลลี าคึกคัก เชอ่ื และศาสนา เชน่ เราใจ จึงทาํ ใหผฟู งเกิดอารมณฮกึ เหิม และคึกคกั คลอยตามเนื้อรอ ง) 76 เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครคู วรยกตวั อยา งเพลงท่ีมเี นือ้ หาเกี่ยวกับความรกั ชาติ รกั แผน ดนิ เชน ใหนกั เรยี นคิดประดษิ ฐทา ทางประกอบเพลงตน ตระกลู ไทย เพลงกรุงศรอี ยุธยา จดั เปนเพลงปลกุ ใจท่มี ีความหมายมุง ปลกุ จติ สํานึกของคนไทย ตามจินตนาการ จากนั้นออกมานําเสนอผลงานใหเพอ่ื นชมหนา ช้นั เรยี น ใหเ กดิ ความรักชาติบานเมอื ง ดังคาํ รอ งทีว่ า “กรงุ ศรีอยธุ ยาราชธานไี ทย ถงึ เคย โดยมคี รเู ปน ผคู อยชแ้ี นะความถูกตอ ง แตกแหลกไปกไ็ มส ้ินคนดี เราจะรบศตั รตู อสไู พรี เราจะกูเกยี รตศิ รีอยธุ ยาไวเ อยฯ อยธุ ยารงุ เรอื งกระเดอื่ งนาม เมอื งงามธรรมชาตชิ ว ยสนอง บรบิ รู ณล มุ นา้ํ และลาํ คลอง กจิ กรรมทาทาย ทาวอูทองทรงสรา งใหช าวไทย คร้งั โบราณแพพมา เปน ขาเขา พระนเรศวรเจา ทรงกไู ด ไลศัตรูไปพน แผน ดนิ ไทยศรีอยุธยาไมสน้ิ คนดี ชาวศรอี ยุธยามาดว ยกัน ใหน ักเรียนฟงเพลงทม่ี เี นือ้ หาเก่ยี วกบั ความรกั ชาติ รักแผนดนิ เลือดไทยใจมนั่ ไมพ รน่ั หนี ชวี ติ เราขอนอ มและยอมพลี ไวเ กยี รตศิ รอี ยธุ ยาคฟู า ดนิ ฯ” ตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง จากนน้ั ใหน ักเรียนวเิ คราะห ความไพเราะของบทเพลงและบรรยายความรสู ึกที่ไดรบั ลงกระดาษรายงาน นําสง ครผู สู อน 76 คมู ือครู กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู เพลงพระรัตนตรยั อนิ ทรวจิ ิตร1และสมำน กำญจนะผลนิ 2 1. ครูสมุ นักเรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม ดงั ตอ ไปนี้ ค�ำร้องและทำ� นอง : ชำลี • จดุ ประสงคหลกั ของการสรา งเพลงทมี่ คี วาม เก่ยี วของกับศาสนาและความเช่อื คอื ส่ิงใด องค์ใด พระสัมพุทธ ธ วิสทุ ธิ์ ผดุ ผอ่ งใส (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ตดั มูล กิเลสไกล หลีกละใน สงิ่ รน่ื รมย์ ไดอยางอิสระ) คา� ใด ท่านตรัสแล้ว เหมอื นดวงแก้ว น่าชื่นชม สัตว์โลก ท่ีโศกซม ดบั ระทม ดว้ ยพระธรรม 2. ใหน กั เรยี นศึกษาเนือ้ เพลงพระรตั นตรัย ธรรมน้นั พวกท่านทง้ั หลาย จงเปล่งวาจา วา่ สาธุสะ (สาธุ) จากในหนังสอื เรียน หนา 77 ภาวนาดุจสรณะ คอื พระ รตั นตรยั 3. ครูเปดซีดี หรือดวี ดี เี พลงพระรัตนตรัย ๔) ความรักและความเศร้า จิตใจของศิลปินมีความสัมพันธ์ต่อการสร้างสรรค์ ใหน กั เรยี นฟง ครูสาธติ วิธีการขับรอง เพลงพระรัตนตรัยท่ีถูกตองใหนักเรยี นฟง งานดนตรี จิตใจท่ีสัมผัสกับแรงสะเทือนใจ ไม่ว่าจะเป็นความรักท่ีล้มเหลว ความรักท่ีหวานชื่น พรอ มท้งั ใหนกั เรยี นฝกปฏิบัติตาม ความเศรา้ สรอ้ ยอนั เกดิ จากการสญู เสยี คนรกั หรอื จากสงิ่ ทห่ี วงแหน การตดั พอ้ ตอ่ วา่ หรอื โชคชะตา จากนั้นครสู ุมนกั เรยี น 2 - 3 คน ออกมา มนษุ ย์ ลว้ นเปน็ ตน้ ทนุ นา� ไปสจู่ นิ ตนาการในการแตง่ เพลงของบรรดาผปู้ ระพนั ธเ์ พลงไดท้ งั้ สน้ิ จงึ ทา� ให้ สาธติ วิธีการขบั รองเพลงพระรตั นตรยั ทีถ่ กู ตอ ง มบี ทเพลงประเภทนเี้ กิดข้ึนมากมาย ใหเพือ่ นชมหนาช้นั เรยี น โดยมคี รเู ปน ผคู อย ช้แี นะความถกู ตอง ตวั อย่างบทเพลงทเี่ กี่ยวขอ้ งกับความรักและความเศรา้ เช่น 4. ครูสุมนักเรียน 2 - 3 คน ใหต อบคําถาม เพลงรักเอย ดังตอ ไปนี้ • เมือ่ นักเรยี นไดฟ ง เพลงท่มี ีเนอ้ื หาเกีย่ วขอ ง คำ� รอ้ ง : เกษม ชน่ื ประดษิ ฐ์ 3 กบั ความรกั และความเศรา นกั เรยี นจะรูสึก ท�ำนอง : แมนรตั น์ ศรกี รำนนท์ อยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ รกั เอย จรงิ หรอื ทีว่ า่ หวาน หรือทรมานใจคน ไดอ ยางอสิ ระ) ความรักร้อยเลห่ ก์ ล รักเอยลวงลอ่ ใจคน หลอกจนตายใจ รักนม่ี สี ขุ ทุกขเ์ คล้าไป ใครหยงั่ ถงึ เจ้าได้ คงไมช่ �า้ ฤดี 5. ใหน ักเรียนศกึ ษาเนื้อเพลงรักเอย จากในหนงั สอื เรยี น หนา 77 รกั เอย รกั ทีป่ รารถนา รักมาประดับชวี ี หวัน่ ในฤทยั เหลอื ที่ เกรงรักลวงฤดี รกั แลว้ ขย้ีใจ 6. ครเู ปดซดี ี หรือดีวดี ีเพลงรักเอยใหน กั เรียนฟง ขนื ห้ามความรกั คงไม่ได้ กลวั หมองไหม้ ใจส้นิ สุขเอย พรอ มทงั้ สาธติ วธิ กี ารขบั รอ งเพลงรกั เอยทถ่ี กู ตอ ง ใหน กั เรยี นฟง พรอ มทง้ั ใหน กั เรยี นฝก ปฏบิ ตั ติ าม จากนนั้ ครสู มุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ออกมาสาธติ วิธีการขบั รองเพลงรักเอยทีถ่ ูกตอ งใหเพือ่ นชม หนา ชั้นเรยี น โดยมคี รูเปน ผูคอยชแี้ นะ ความถูกตอง 77 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรียนควรรู ใหน กั เรียนเลอื กฟง เพลงท่มี ีเนื้อหาเกยี่ วกบั ความงามของธรรมชาติ 1 ชาลี อนิ ทรวิจิตร ผูประพันธค าํ รองและผูก าํ กบั ภาพยนตรท ี่มีชื่อเสียงทานหนง่ึ ความรักชาติ รกั แผน ดนิ ศาสนาและความเชื่อ ความรักและความเศรา ผลงานการประพันธคํารอ งที่มีชื่อเสยี ง เชน เพลงสดุดมี หาราชา เพลงแสนแสบ เพยี ง 1 หวั ขอ จากนัน้ วเิ คราะหค วามไพเราะของบทเพลงและเขยี น เพลงทา ฉลอม เพลงสาวนครชยั ศรี เพลงทงุ รวงทอง เปนตน และยังไดร ับยกยอง บรรยายความรสู ึกทีไ่ ดร บั ลงกระดาษรายงาน นําสงครผู สู อน เปนศลิ ปนแหงชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง (ผปู ระพนั ธค ํารอ ง - ผกู ํากบั ภาพยนตร) ประจําป พ.ศ. 2536 กจิ กรรมทาทาย 2 สมาน กาญจนะผลนิ นักดนตรแี ละนกั แตง เพลง ผลงานทีม่ ชี อ่ื เสียง เชน เพลงรกั คณุ เขาแลว เพลงรกั แท เปนตน และไดร บั การยกยอ งเปน ศิลปน ใหนกั เรยี นฝก แตงเพลงโดยเลือกหวั ขอท่ีครูกาํ หนดให คือ ความงาม แหง ชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล) ประจาํ ป พ.ศ. 2531 ของธรรมชาติ ความรกั ชาติ รกั แผน ดนิ ศาสนาและความเชอื่ ความรัก 3 แมนรตั น ศรีกรานนท นักดนตรีลกู ครง่ึ ชาวไทย - โปรตเุ กส หนงึ่ ในสมาชกิ และความเศรา เพยี ง 1 หวั ขอ พรอมตงั้ ชือ่ เพลง จากนัน้ ออกมานาํ เสนอ วงดนตรี อ.ส. วันศกุ ร เปนผูกอ ตัง้ คณะดรุ ิยางคศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร ผลงานใหเพอ่ื นชมหนา ชั้นเรียน โดยมีครเู ปนผูช ี้แนะความถูกตอง และไดร ับการยกยองเปน ศิลปน แหง ชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล) ประจําป พ.ศ. 2535 คมู อื ครู 77 กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาาใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู ใหนักเรียนรว มกนั อภปิ รายเกีย่ วกบั ปจจยั ทีม่ ี ๒.๒ การถา่ ยทอดเรอื่ งราวความคิดในบทเพลง เพราะมขี อ้ จา� กดั อิทธพิ ลตอการสรางสรรคง านดนตรใี นหวั ขอ ลกั ษณกะาเรดปยี รวะกพนั นั คธอื บ์ เทรรอื่ อ้ งงขขอองคงเวพามลงยเาทวยี กบาไรดวก้างบั โกคารรงแเรตอ่ื ง่ งน1แวลนะยิ กาายรปถาร่ ยะเทภอทดเอราอื่ รงมสณนั้ ์ ความรสู้ กึ ออกมา การถายทอดเรอื่ งราวความคดิ ในบทเพลง ตามท่ี ซึ่งท่วงท่าที่แสดงออก หรือกระบวนแบบที่ผู้ประพันธ์เพลงแต่ละคนใช้ถ่ายทอดเร่ืองราวความคิด ไดศกึ ษามา จากน้ันครูถามนกั เรยี นวา ในบทเพลงอาจมีแตกตา่ งกันออกไป การทศ่ี ลิ ปนิ จะสามารถสรา้ งสรรคผ์ ลงานดนตรที ม่ี ที ว่ งทา่ ทแี่ สดงออกจนเปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะ • นักเรียนคดิ วา เทคนคิ การแสดงออกเฉพาะตน ของตนเองได้นั้น อาจเกิดจาก “พรสวรรค์” (Gifted) หรือเกิดจากการคิดค้น ทดลอง บ่มเพาะ ในการถายทอดเรอื่ งราวความคิดทด่ี ีควรมี เป็นประสบการณ์อันยาวนาน ทง้ั นี้ โดยปกตผิ ปู้ ระพันธเ์ พลงมกั จะประพันธ์ทา� นอง (Melody) กอ่ น ลักษณะอยา งไร แล้วจึงประพันธ์ค�าร้อง (Lyric) บรรจุเข้าไปให้ครบทุกตัวโน้ต และจัดวรรคตอนของค�าประพันธ์ (แนวตอบ ตอ งดาํ เนินไปอยา งเปน เอกภาพ คือ ให้สอดคลอ้ งกับวรรคตอนของท�านอง แตก่ ็มีเพลงจ�านวนไมน่ อ้ ยที่แตง่ ค�ารอ้ งมาก่อนทา� นอง มีความกระชบั รดั กมุ และเขมขน แตต อ ง มีวรรณศลิ ป คือ ใชค าํ ท่กี ินใจ คําท่ีมีเสยี ง ไพเราะ และสํานวนโวหารทดี่ )ี ขยายความเขา ใจ E×pand ศิลปะชั้นสูงต้องเป็นศิลปะท่ีศิลปินแสดงออกด้วยการสร้างสรรค์และปรุงแต่งอย่างสุขุม ใหป้ ระณตี งดงามเกนิ ความเปน็ จริง เมอ่ื ไดฟ้ ังแลว้ เกิดความไพเราะจับใจ รู้สกึ คึกคัก ร่าเริง หรอื 1. ใหน กั เรยี นรวมกันสรุปสาระสาํ คญั เกย่ี วกับ โศกเศร้าวังเวง จนใจล่องลอยคล้อยตามอารมณ์ของเสียงเพลงน้ัน ซ่ึงผู้ประพันธ์เพลงแต่ละคน ปจ จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ การสรา งสรรคผ ลงานดนตรี จะมเี ทคนคิ การแสดงออกเฉพาะตนในการถา่ ยทอดเรอื่ งราวความคดิ หรอื ความสะเทอื นใจออกมา ลงกระดาษรายงาน นําสงครผู ูสอน ให้ผฟู้ งั รับรู้ได้ดีหรอื ไมด่ ีเพียงใดนั้น ขึน้ อยู่กบั ปจั จยั ต่างๆ หลายประการดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ ๑. ความร้พู ้นื ฐานเก่ยี วกบั ทฤษฎีดนตรแี ละการปฏบิ ัติเคร่อื งดนตรี 2. ใหน กั เรียนฝกขับรองเพลงอุทยานดอกไม ๒. พ้นื ฐานความสามารถดา้ นการขบั ร้อง หรืออา่ นทา� นอง ซงึ่ จะชว่ ยให้รจู้ ักเลอื กค�า เพลงตน ตระกลู ไทย เพลงพระรตั นตรัย ที่มีเสยี งไพเราะมาใชแ้ ตง่ ค�ารอ้ ง และเพลงรักเอย ฝกปฏิบตั ิจนเกิดความชาํ นาญ ๓. ความรู้พื้นฐานด้านวรรณคดี ซึ่งจะท�าให้รู้จักแต่งกลอนเพลงได้ถูกต้องตามหลัก จากน้นั ออกมาสาธติ วธิ กี ารขับรองเพลงอุทยาน ฉนั ทลักษณแ์ ละมคี วามไพเราะน่าฟัง ดอกไม เพลงตน ตระกูลไทย เพลงพระรัตนตรยั ๔. ผปู้ ระพนั ธเ์ พลงตอ้ งเปน็ ผอู้ า่ นมาก ฟงั มาก เพราะจะชว่ ยใหร้ จู้ กั วธิ แี ตง่ สา� นวนโวหาร และเพลงรกั เอย ใหเ พ่อื นฟงหนาชน้ั เรยี น หรือคดั สรรส�านวนโวหารท่ีไพเราะกนิ ใจมาใช้เป็นคา� รอ้ ง โดยมคี รูเปนผูคอยช้ีแนะความถกู ตอ ง ตรวจสอบผล Evaluate ๕. ผปู้ ระพนั ธเ์ พลงตอ้ งเปน็ คนชอบสงั เกต วเิ คราะห์ และวจิ ารณส์ ง่ิ ตา่ งๆ หรอื บคุ คลตา่ งๆ ทีอ่ ยู่รอบตวั อยา่ งสมา่� เสมอ เพราะจะชว่ ยใหส้ ร้างโครงเร่ืองของบทเพลงได้หลากหลาย ๖. ผู้ประพันธ์เพลงต้องเป็นผู้ชอบขีดเขียนด้วยส�านวนโวหารของตนเอง เช่น 1. ครพู จิ ารณาจากการสรปุ สาระสําคญั เกย่ี วกับ จดหมาย อนทุ นิ บนั ทกึ เหตกุ ารณ์ เรอื่ งเลา่ บทกวี เปน็ ตน้ หรอื แมแ้ ตก่ ารแตง่ เพลง จะชว่ ยใหส้ ามารถ ปจ จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ การสรา งสรรคผ ลงานดนตรี แต่งค�ารอ้ งได้อย่างฉับไวและมสี �านวนทีฟ่ งั ร่นื หูโดนใจผ้ฟู ัง ของนกั เรยี น ทั้งน้ี การน�าเอาความรูส้ ึกนึกคิดและความสะเทอื นใจมาประพนั ธ์เปน็ เพลง ท้งั ท�านอง และเน้อื ร้อง ซง่ึ สามารถท�าได้ ๒ ลักษณะ คือ 2. ครูพิจารณาจากการขบั รอ งเพลงอุทยานดอกไม เพลงตน ตระกลู ไทย เพลงพระรตั นตรัย และเพลงรกั เอยของนักเรยี น 78 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET “เปรียบเธอเพชรงามนาํ้ หนง่ึ หวานปานนา้ํ ผง้ึ เดอื นหา หยาดเพชร ครูควรเชญิ วิทยากรทีม่ ีความเชย่ี วชาญในเรือ่ งดนตรีสากล มาอธิบายเพิม่ เติม เกลด็ แกว แววฟารวงมาจากฟาหรอื ไร” จากเนื้อเพลงขางตน ผูฟ ง เพลง เกย่ี วกบั ปจ จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ การสรา งสรรคผ ลงานดนตรี ในหวั ขอ การถา ยทอดเรอื่ งราว จะไดร ับรสทางวรรณศิลปท่ีทาํ ใหเ กดิ อารมณและความรูสึกใด ความคดิ ในบทเพลง พรอมทั้งเปด เพลงทีแ่ สดงความรสู กึ ท่ีแตกตา งกันใหน กั เรียนฟง 1. รสแหงความรัก จากนน้ั ครูเปด โอกาสใหน กั เรยี นไดซกั ถามในสิง่ ที่สงสยั และแสดงความคิดเหน็ 2. รสแหง ความสงบ ซึ่งจะทําใหนักเรียนมีความรู ความเขาใจในเร่ืองปจจัยท่ีมีอิทธิพลตอการสรางสรรค 3. รสแหงความโกรธ งานดนตรใี นหัวขอ การถา ยทอดเรอื่ งราวความคดิ ในบทเพลงไดด ียงิ่ ข้นึ 4. รสแหงความขบขนั วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. เพราะจากเนือ้ เพลงเปน การกลาวถงึ นกั เรยี นควรรู หญิงอนั เปน ทรี่ กั โดยเปรียบเทยี บความงามของผูห ญงิ วาเปน “เพชร” ดังนัน้ ผฟู งเพลงจะไดรับรสทางวรรณศิลปทําใหเ กิดความรูสึกรัก 1 การวางโครงเรอื่ ง จะตองมีตวั ละครปรากฏอยูใ นบทเพลง เชน เธอกบั ฉัน เธอกบั เขา เขากบั ฉนั เธอ ฉันและเขา ฉันกับธรรมชาติ เปนตน เพอ่ื ใหเรื่องราว จบลงตามความยาวของบทเพลงที่กําหนดไว 78 คูมือครู กกรระตะตนุ Eุน nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Evaluate Engage Explore Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๑) ลกั ษณะเหมอื นจรงิ ทกุ ประการ หรอื เรยี กวา่ “เรยี ลลสิ ตกิ ” (Realistic) คอื ตาเหน็ ครูนําเน้อื เพลงยอยศพระลอมาใหนักเรยี นดู พรอ มเปด ซีดี หรือดวี ดี เี พลงยอยศพระลอ อยา่ งไร หูไดย้ นิ อยา่ งไร ลน้ิ ไดร้ สอยา่ งไร กายสมั ผสั เยน็ - รอ้ น ออ่ น - แขง็ อยา่ งไร หรอื ใจคดิ อะไรอยู่ ใหนักเรยี นฟง ก็จะแต่งถ้อยค�าบอกออกมาอย่างนั้น เช่น นักประพันธ์เห็นวิถีชีวิตชาวนาท่ีต้องตรากตร�าล�าบาก ทา� นาอยา่ งทมุ่ เท แตก่ ย็ งั หนไี มพ่ น้ ความยากจน กจ็ ะแตง่ เพลงพรรณนาความจรงิ ไปตามนนั้ เปน็ ตน้ “รปู ดง่ั องคอนิ ทรหยาดฟามาสดู ิน โสภณิ ดงั เดือนดวง ๒) ลกั ษณะปรงุ แตง่ ใหเ้ กนิ จรงิ หรอื เรยี กวา่ “ไอเดยี ลสิ ตกิ ” (Idealistic) คอื แตง่ โดย เหนือแผนดินแดนสรวงเหนือปวงหนุม ใด เหลา อนงคห ลงสวาทยอมเปนทาสรกั บําเรอ ใชส้ า� นวนโวหารทางภาษา พรรณนารปู รส กลิน่ เสยี ง กายสมั ผัส และอารมณ์ ใหง้ ดงามเกิน นามขนุ ลอทาวเธอทรงสถิต ณ ทรวงใจ ความเป็นจริง เช่น แต่งเพลงเกี่ยวกับชีวิตชาวนา ก็ปรุงแต่งให้ชีวิตชาวนาเป็นชีวิตที่น่าอภิรมย์ ลมุ แมกาหลงเจา หรือจะเทาถงึ ครงึ่ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม มวี ถิ ชี ีวติ ทสี่ งบเย็นผาสุก เปน็ ตน้ แมน อยหนึ่งนา้ํ หทัย เมอ่ื ทรงคชสาร ธ ย่ิงหาญยง่ิ กลา ๓. การบรรยายอารมณแ์ ละความรสู้ กึ ในบทเพลง ดัง่ พญาสีหราชผเู ปน ใหญ ผปู้ ระพนั ธเ์ พลงทมี่ ที กั ษะอยใู่ นระดบั ศลิ ปนิ จะสามารถประพนั ธ์ไดท้ งั้ ทา� นองและคา� รอ้ งของเพลง ใชเ พียงศกึ รบสยบพระทรงชยั ทา� ใหผ้ ฟู้ งั เกดิ อารมณแ์ ละรสู้ กึ คลอ้ ยตามอยา่ งมคี วามสขุ โดยทที่ ง้ั ทา� นองและคา� รอ้ งตอ้ งใหอ้ ารมณ์ แมในศกึ รกั พระยงั ยิ่งใหญ และความรูส้ ึกทส่ี อดคล้องสัมพันธ์กนั นาถอนงคป ลงใจใครองิ อนุ นบั ลา นโลกาลว นบค วรคบู ญุ การประพนั ธค์ า� รอ้ งของบทเพลงเปรยี บเสมอื นกบั การปรงุ อาหาร คอื ตอ้ งปรงุ ใหม้ รี สชาตติ า่ งๆ ด่งั พอ ขนุ แมนสรวงเอย” ถา้ ผปู้ รงุ อาหารปรงุ ไดถ้ งึ รส ผรู้ บั ประทานอาหารกจ็ ะไดร้ สอรอ่ ยถงึ ใจ ทงั้ เปรยี้ ว หวาน มนั เคม็ เผด็ จากนัน้ ครถู ามนกั เรยี นวา คล้ายกับการประพันธ์เพลง ถ้าผูป้ ระพนั ธ์ค�าร้องของเพลงได้ดีเดน่ ถึงขนั้ วรรณศิลป์ ผู้ฟงั เพลงกจ็ ะ • บทเพลงนีต้ องการสื่อใหเ หน็ ถงึ สิ่งใด ได้รบั รสทางวรรณศิลปท์ ี่ทา� ให้เกดิ อารมณแ์ ละความรสู้ ึกต่างๆ เช่น (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ๑) รสแหง่ ความรัก เป็นรสที่ให้อารมณ์และควา1มรู้สึกอ่อนหวานในจิตใจของผู้ฟัง เช่น เพลง ไดอ ยา งอิสระ) รักคณุ เขา้ แล้ว คา� รอ้ งโดยสนุ ทรียา ณ เวียงกาญจน์ ท�านองโดยสมาน กาญจนะผลิน เปน็ ตน้ “รักคณุ เข้าแลว้ เป็นไร รกั จนคลงั่ ไคลจ้ ริงจงั สาํ รวจคน หา Explore คณุ รกั ใครหรอื ยงั ฉันใด หวัน่ ใจวา่ คงไมแ่ คลว้ เลยรกั เข้าแลว้ จนได้ ใหน ักเรียนศึกษา คน ควา หาความรเู พ่ิมเตมิ บอกแล้วไม่วนั ไหน ตอ้ งเผลอใจเข้าสักวนั เก่ยี วกับการบรรยายอารมณแ ละความรสู ึก แล้วคุณอย่าหวงสัมพนั ธ์ ในบทเพลง จากแหลงการเรียนรตู า งๆ เชน รักคุณเข้าแลว้ เตม็ ทรวง ดีไหม หองสมดุ โรงเรยี น หองสมดุ ชุมชน อนิ เทอรเ นต็ เราคดิ มารกั กนั กค็ ณุ รักบ้างเป็นไร เปนตน ในหวั ขอท่คี รูกําหนดให ดังตอ ไปน้ี ก็ทผี มยังรักคณุ อย่าคดิ อะไรเลยคณุ ...” ของรกั กันได้ 1. รสแหง ความรกั 2. รสแหงความขบขัน 79 3. รสแหง ความโกรธ 4. รสแหง ความกลา 5. รสแหง ความสงบ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นกั เรยี นควรรู เพราะเหตุใดการประพันธเพลงจึงเปรยี บเสมอื นการปรุงรสอาหาร 1 สนุ ทรียา ณ เวยี งกาญจน หรอื เกียรติพงศ กาญจนภี ผปู ระพนั ธคํารอ งเพลงไทย แนวตอบ เพราะตอ งปรงุ ใหมีรสชาติตา งๆ ถา ผูป รงุ อาหารสามารถ ทีม่ ีชื่อเสยี ง ผลงานชน้ิ แรก คือ “เพลงดอกโศก” ทํานองโดยสมาน กาญจนะผลิน ปรงุ อาหารไดอ ยา งถึงรส ผูร บั ประทานอาหารกจ็ ะไดรสอรอยถึงใจ สนุ ทรียา ณ เวยี งกาญจน มีผลงานประพันธป ระมาณ 1,000 เพลง และผลงานเพลง ทงั้ รสเปร้ียว หวาน มัน เคม็ เผ็ด ซึ่งมีลกั ษณะคลา ยกับการประพันธเพลง ทมี่ ชี ่อื เสยี ง ไดแก “วหิ คเหนิ ลม” ทาํ นองโดยสมาน กาญจนะผลิน ขบั รอง ถา ผปู ระพันธสามารถประพันธค ํารอ งไดดคี รบถงึ หลักวรรณศิลป ผฟู งเพลง โดยเพญ็ ศรี พมุ ชศู รี “รักคุณเขาแลว ” ทาํ นองโดยสมาน กาญจนะผลนิ ขับรอ ง ก็จะไดรบั รสทางวรรณศิลปท ่ีทาํ ใหเกดิ อารมณตา งๆ เชน รสแหงความรัก โดยสเุ ทพ วงศก าํ แหง นอกจากน้ี ยังไดรับการเชดิ ชเู กียรตเิ ปน ศิลปน แหงชาติ รสแหงความขบขัน รสแหง ความโกรธ รสแหง ความกลา รสแหง ความสงบ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล) ประจาํ ป พ.ศ. 2549 และไดร บั เลอื กจาก เปนตน คณะอนุกรรมการจดั ทาํ เพลงเฉลมิ พระเกยี รติ เนอื่ งในโอกาสเฉลมิ พระชนมพรรษา ครบรอบ 80 พรรษา พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช เปน หน่ึงใน 4 นกั ประพันธเพลงศลิ ปนแหงชาติ รวมกบั อาจินต ปญ จพรรค, ชาลี อินทรวจิ ิตร และสุรพล โทณะวณิก ทปี่ ระพันธค าํ รอ ง “เพลงพอ แหง แผน ดิน” เพอ่ื จดั ทาํ เปนซีดี เผยแพรไ ปสูประชาชน คูมือครู 79 กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหนกั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกี่ยวกับการบรรยาย ๒) รสแหง่ ความขบขนั เปน็ รสทใ่ี หอ้ ารมณแ์ ละความรสู้ กึ ตลกขบขนั และสนกุ สนาน เชน่ เพลง อารมณและความรสู ึกในบทเพลง ตามท่ีไดศกึ ษามา ไม่อว้ นเอาเท่าไร เป็นต้น จากนนั้ ครูถามนกั เรียนวา “บอกซิเออ เธอจะเอาเท่าไร เอาเทา่ ไร ไมอ่ ว้ นเอาเท่าไร • เนอื้ เพลงนแี้ สดงใหเ ห็นถึงส่ิงใด บอกซเิ ออ เธอจะเอาเทา่ ไร เอาเทา่ ไร ไม่อ้วนเอาเท่าไร “พรหมลขิ ติ บนั ดาลชักพา มองอยู่นานกด็ ูเขา้ ที พอเห็นความหลอ่ เหมอื นกัน ดลใหมาพบกนั ทนั ใด แตม่ องนานนาน แล้วกช็ กั จะหว่ัน ก็เรมิ่ จะเหน็ ไขมนั กอนนอ้ี ยกู นั แสนไกล ดอู ีกที เท่ดีไมเ่ บา กระเปา๋ คงหนักเหมือนกัน พรหมลขิ ติ ดลจติ ใจ แต่ตอนท�าตาซงึ้ เหมือนหมูชวนฝัน ยงิ่ ดยู ่ิงข�ากลิ้งเลย…” ฉนั จงึ ไดมาใกลกับเธอ” (แนวตอบ เน้อื เพลงสะทอนใหเห็นถงึ รส เช่น๓)เ พรสลแงหผง่ชู้ คนวะาสมบิ โกทรศิ ธค�าร้อเปงแ็นลระสททา� ี่ในหอ้องาโรดมยณไส์แลลไะกครวเลามิศ1รเู้สปึก็นโตก้นรธแค้น ชิงชัง หรือตัดพ้อต่อว่า แหงความรัก แมจะอยูห า งกนั ไกลแคไหน พรหมลขิ ติ ก็จะนําพามาใหร กั กัน) “เจบ็ ใจคนรักโดนรังแก ขา้ จะเผาเมืองแปรใหม้ ันวอดวาย จะตายให้เขาลือชาย จะใหเ้ ขาลอื ชายวา่ นามชอ่ื กู • เนือ้ เพลงนแ้ี สดงใหเห็นถงึ สง่ิ ใด ผู้ชนะสบิ ทศิ ผู้ชนะสิบทศิ ผชู้ นะสิบทิศ ผชู้ นะสบิ ทศิ ผชู้ นะสิบทิศ...” “บางระจนั เขารวมกันเปนหน่ึง มตี นเปน ทพ่ี ่งึ ยอดนกั สเู มืองสงิ ห เพ๔ล)ง เรจสา้ แตหาง่กคควา�ารม้อกงลแา้ ละท�าเนปอ็นงรโสดทยย่ีใหืน้อยางรโมอณภา์แกลุละค(แวอาด๊ มรคู้สาึกรากบลา้าว2)หเป้าว็นหตาน้ ญ และฮึกเหิม เช่น ทั้งเจด็ ครัง้ รบพมา จนลมกลิ้ง บางระจันเกงจริงจงึ ตองยิงดวยปน “ยทุ ธศาสตร์ยิง่ ใหญ่ ความต้งั ใจเดด็ เด่ยี ว มอื้ น้เี ราจะเค้ียวขา้ ว และทบุ หมอ้ ขา้ ว เอาปนใหญยิงใสก ันตูมตาม ตแี หกฝา่ วงล้อม ลยุ พมา่ ข้าศึก นึกถงึ ความเป็นไทย ดีกวา่ ไปเป็นทาส ปนไทยแตกเหลอื แตด าม สองมอื ถือดาบอยา่ งมน่ั ใจ นักรบไทยของพระเจ้าตาก เพราะเพ่ิงหลอเมอื่ วานซืน ฝากฝงั กรุงอยธุ ยา วนั ข้างหนา้ ขา้ จะมาทวงคืน…” กก็ รงุ ศรีมใิ หเ ขาหยิบยมื ปน จงึ มิอาจหยัดยืนรักษาคา ยบางระจนั ” (แนวตอบ เน้ือเพลงสะทอ นใหเหน็ ถึง รสแหง ความโกรธ ซง่ึ จะอยูในทอ นเพลง ทวี่ า “เอาปนใหญย งิ ใสกนั ตมู ตาม ปนไทย แตกเหลือแตดาม เพราะเพ่ิงหลอเมอื่ วานซนื กก็ รงุ ศรมี ิใหเขาหยิบยืมปนจึงมิอาจหยัดยืน รกั ษาคายบางระจัน” และรสแหง ความกลา ซง่ึ จะอยใู นทอนเพลงทวี่ า “บางระจนั เขารวมกันเปน หน่ึง มีตนเปน ที่พง่ึ ยอดนกั สู เมอื งสิงห ทั้งเจ็ดครงั้ รบพมา จนลมกลง้ิ บางระจนั เกง จริงจึงตอ งยิงดวยปน”) 80 นกั เรียนควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 ไสล ไกรเลิศ นักไวโอลนิ และนกั แตง เพลงของไทย ผลงานทมี่ ีช่ือเสยี ง เชน ใหน กั เรียนเลือกฟงเพลงท่มี เี น้ือหาแสดงถึงรสแหง ความรกั รสแหง เพลงบุเรงนองราํ ลึก (ผูชนะสิบทศิ ) เพลงบเุ รงนองล่ันกลองรบ เพลงกลอมอิระวดี ความขบขัน ความโกรธ ความกลา และความสงบ ตามความสนใจ เพลงกสุ มุ ายอดรกั เพลงจอมใจจะเด็ด เพลงยอดพธูเมืองแปร เพลงดวงใจในฝน ของตนเอง 1 หัวขอ จากนั้นวเิ คราะหค วามไพเราะและความงาม เพลงเสียงสะอ้ืนจากสายลม เพลงสายลมเหนอื เพลงมา นไทรยอ ย เพลงกากีเหมอื น ทเ่ี กดิ ขึน้ ในบทเพลง และเขยี นบรรยายความรสู ึกทีไ่ ดร ับ ดอกไม เพลงอเิ หนารําพนั เพลงหัวหินส้ินมนตรัก เพลงมา นประเพณี เปน ตน ลงกระดาษรายงาน นําสง ครผู สู อน 2 ยืนยง โอภากลุ (แอด คาราบาว) เปนศลิ ปนผมู ชี ื่อเสยี งในการขับรองแนวเพลง เพ่อื ชีวิต เกดิ เม่อื วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 ทอี่ าํ เภอเมอื ง จังหวดั สพุ รรณบรุ ี กจิ กรรมทาทาย ทา นไดส รา งสรรคบ ทเพลงเพอ่ื ชวี ติ ทม่ี ชี อ่ิื เสยี งโดง ดงั ไวม ากมาย และในป พ.ศ. 2556 ทา นไดร ับการยกยองเชดิ ชูเกยี รตใิ หเปนศลิ ปน แหงชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง ใหนักเรยี นฝกแตง เพลงโดยเลือกหัวขอท่คี รูกาํ หนดให คอื รสแหง (นักรอง - นักประพนั ธเ พลงไทยสากล) ความรกั ความขบขัน ความโกรธ ความกลา และความสงบ เพยี ง 1 หวั ขอ พรอ มต้ังช่ือเพลง จากนนั้ ออกมานาํ เสนอผลงานใหเ พอ่ื นชมหนา ชัน้ เรยี น 80 คมู อื ครู โดยมคี รูเปน ผคู อยช้แี นะความถกู ตอ ง กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา ใา จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand E×pand ขยายความเขา ใจ ๕) รสแหง่ ความสงบ เป็นรสที่ให้อารมณ์และความรู้สึกสงบ สันติ ร่มเย็น และส้ินสุด ใหน กั เรยี นนาํ ขอ มลู เกย่ี วกบั การบรรยายอารมณ ความเดือดร้อนวุ่นวายทั้งปวง เช่น เพลงโลกแสนสวย ค�าร้องและท�านองโดยส�าเร็จ ค�าโมง และความรูสกึ ในบทเพลง มารว มกนั จัดนิทรรศการ และชรมั ภ์ เทพชยั เรยี บเรยี งเสยี งประสานโดยสมาน กาญจนะผลิน เร่อื ง “รสเพลงบรรเลงเสนาะ” พรอมยกตวั อยาง บทเพลงมาประกอบ เพอ่ื สรางความเขา ใจมากข้นึ “เอ่อื ยลมโชยฟา โรยปยุ เมฆ เขาสีครามงามเฉกปอ มเมืองฟา ปา่ ตระการสายธารเจ่งิ นา กอขา้ วเขียวหม่ปู ปู ลาววั ควายร่ายล�าพอง หบั หอ้ งหอลอ้ มกออ้อกก ไมส้ วนยนื ด่ืนดกนกเริงรอ้ ง แดดทอสายแสงปรายราวม่านกรอง ฉ�่าช่นื ฝนหลน่ ล�ายองรุง้ ทองเติมแตง่ ฟา…” เกร็ดศิลปเกร็ดศลิ ป การรบั รูค วามงามของดนตรี การรับรถู้ ึงความงาม ความไพเราะ หรอื อารมณเ์ พลงของแตล่ ะบุคคลจะมคี วามแตกต่างกนั ออกไป การรับรู้ ความงามของดนตรีจงึ เปนการยากท่ีจะเขา้ ถงึ ได ้ หากผู้ใดทต่ี ้องการจะเขา้ ถงึ จำาเปนตอ้ งอาศัยหลักการ ดังนี้ ๑. ควรศึกษาและทำาความเข้าใจเก่ียวกับพื้นฐานของบทเพลงที่ฟังว่า ผู้ประพันธ์ต้องการถ่ายทอดอารมณ์ ความรสู้ ึกใด เปนเพลงลักษณะใด มโี ครงสร้างอย่างไร ๒. ศึกษาและเรยี นรู้เกีย่ วกบั เสยี งของเคร่ืองดนตรชี นดิ ตา่ งๆ เพอ่ื สามารถจาำ แนกและรบั รูไ้ ด้ดีขนึ้ ๓. ทาำ ตนใหเ้ ปน อสิ ระ หมายถงึ ทาำ ตนเองใหว้ า่ งจากภาระงานทกุ สงิ่ ขณะฟงั เพลง เพราะการฟงั เพอื่ ใหเ้ กดิ การรบั รู้ถงึ ความงามของดนตรีจำาเปน ตอ้ งใชส้ มาธิเปนอยา่ งมาก ๔. ควรจดั ลาำ ดบั การฟงั เพราะการรบั รแู้ ละความ พึงพอใจจะเกิดขึ้นเม่ือได้ยิน ได้เห็น และได้ทำาสิ่งท่ี ใจปรารถนา ๕. โนม้ ใจเพอ่ื รองรบั สมั ผสั อารมณข์ องบทเพลง การฟังให้เกิดการรับรู้ ผู้ฟังต้องมีอารมณ์ร่วมกับเสียง เพลงทฟี่ ัง จึงจะชว่ ยให้เกดิ การรบั รไู้ ดเ้ รว็ และชดั เจน ๖. ควรฟังซ้าำ หลายๆ ครง้ั เพราะจะช่วยให้ผูฟ้ ัง เกดิ การรบั รไู้ ดด้ ี และควรศกึ ษาเนอื้ หาสาระของบทเพลง ตามทผี่ ้ปู ระพนั ธ์ได้ถา่ ยทอดไว้ในบทเพลงดว้ ย บูรณาการเชื่อมสาระ 8๑ จากการศึกษาเกยี่ วกบั ความรูพืน้ ฐานเกย่ี วกับปจจยั สาํ คญั ทม่ี ีอทิ ธพิ ล ตอการสรางสรรคผ ลงานดนตรี ในหัวขอการบรรยายอารมณแ ละความรสู กึ เกร็ดแนะครู ในบทเพลงสามารถเชอื่ มโยงกบั การเรียนการสอนในกลุมสาระการเรยี นรู ภาษาไทย ในเร่ืองหลกั โวหาร เพราะบทเพลงแตล ะเพลงกจ็ ะบรรยายถึง ครคู วรเนน ใหเ หน็ วา เสยี งขบั รอ งมพี ฒั นาการมาพรอ มกบั การใชภ าษาไทยในการ ความรูสกึ ทแี่ ตกตา งกัน เชน รสแหง ความสงบ รสแหง ความขบขัน สอ่ื สารของสงั คมมนษุ ย เสยี งขบั รอ งจงึ นบั เปน เสยี งดนตรชี นดิ แรกทม่ี นษุ ยส รา งสรรค รสแหงความโกรธ รสแหงความกลา รสแหงความสงบ เปน ตน แตในวิชา ขนึ้ เพอ่ื ใชใ นพธิ กี รรมทางสงั คม ศาสนา และเพอ่ื ความสนกุ สนาน ตอ มาในการขบั รอ ง ภาษาไทยจะใชการเรียกทีต่ า งกัน เชน บรรยายโวหาร หมายถงึ โวหารทใี่ ช เพลงมีการใชส ญั ลักษณ หรือโนต ในการบนั ทึกบทเพลง ทําใหผูประพันธ นกั รอ ง ในการอธบิ าย เลาเรอ่ื งราวเหตกุ ารณ เพือ่ ใหผ อู านไดรับความรู ความเขาใจ นกั ดนตรี สามารถที่จะสื่อความรูส กึ เรอื่ งราว ประสบการณ ความประทบั ใจ ในเร่ืองนั้นๆ อยางละเอยี ด พรรณนาโวหาร หมายถึง โวหารทก่ี ลาวถงึ และความทรงจําตา งๆ ไปยงั ผฟู งไดอ ยางมีประสิทธภิ าพ ความงามของธรรมชาติ สถานที่ หรือความรูส ึกนกึ คดิ อยา งละเอียด เพ่อื ให ผอู า นเกิดความซาบซ้งึ และเกิดอารมณค วามรสู ึกคลอ ยตาม โดยใชถ อ ยคาํ มมุ IT ทม่ี คี วามไพเราะและมคี วามหมายทลี่ กึ ซง้ึ กนิ ใจ ทาํ ใหผ อู า นประทบั ใจ เปน ตน นักเรียนสามารถศึกษา คนควาเพ่ิมเติมความรูทั่วไปเกยี่ วกบั ดนตรสี ากล ไดจ าก http://www.vichakarn.triamudom.ac.th คมู อื ครู 81 กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครพู จิ ารณาจากการจดั นทิ รรศการเรอื่ ง “รสเพลง กิจกรรม ศลิ ปป ฏบิ ัต ิ ๔.๒ บรรเลง” ของนักเรยี น โดยพจิ ารณาในดานความถูก กจิ กรรมท่ี ๑ ตอ งของเนอื้ หา การนาํ เสนอขอ มลู ความสวยงาม และ กจิ กรรมที่ ๒ ใหน้ กั เรยี นฟงั ดนตรที กุ ประเภทท่ไี ดฟ้ งั ผา่ นหู ทง้ั ทม่ี โี อกาสตง้ั ใจฟงั และฟงั เสยี งผา่ นหู ความคดิ รเิ ริ่มสรางสรรค แลว้ พจิ ารณาวา่ ดนตรี หรอื เพลงท่ไี ดฟ้ งั นน้ั ใหอ้ ารมณแ์ ละความรสู้ กึ อยา่ งไร ใหน้ กั เรยี นตอบคา� ถามตอ่ ไปน้� หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู ๑. เคร่อื งหมายแปลงเสยี งมคี วามสา� คญั ตอ่ การบรรเลงดนตรีสากลอย่างไร ๒. ปัจจัยส�าคัญที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์งานดนตรีมีส�ิงใดบ้าง ให้อธิบายมาพอ 1. ผลการสรุปสาระสาํ คัญเกย่ี วกับเครือ่ งหมาย และสญั ลกั ษณท างดนตรี สงั เขป ๓. ปัจจัยส�าคัญที่ส่งผลต่อการถ่ายทอดเรื่องราวความคิดในบทเพลงมีส�ิงใดบ้าง 2. ผลการขบั รองเพลงชะตาชวี ิต 3. ผลการสรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกับปจจยั ที่มี ยกตวั อยา่ งประกอบคา� อธบิ าย อิทธิพลตอการสรา งสรรคผ ลงานดนตรี การศกึ ษาเรยี นรเู กย่ี วกบั โนต สากลและเครอ่ื งหมายแปลงเสยี ง เปน เครอื่ งหมาย 4. ผลการขับรองเพลงอทุ ยานดอกไม เพลงตน- ท่ีใชแปลงเสียงตวั โนตใหส งู ขึ้น หรอื ตา่ํ ลงกวา เสียงปกติ มีความสําคัญตอการเรียนและ ตระกูลไทย เพลงพระรตั นตรยั และเพลงรกั เอย ปฏบิ ตั ดิ นตรสี ากล เพราะโนต สากลและเครอื่ งหมายแปลงเสยี งจะเปน ตวั กลางถา ยทอด 5. ผลการจดั นทิ รรศการเรอื่ ง “รสเพลงบรรเลงเสนาะ” ความคิด ความรูสึกของผูประพันธไปสูผูปฏิบัติดนตรี ท้ังในฐานะนักรองและนักดนตรี หากผปู ฏบิ ตั ดิ นตรมี คี วามเขา ใจเกย่ี วกบั การบนั ทกึ โนต สากลและเครอื่ งหมายแปลงเสยี ง ก็จะสามารถปฏิบตั ิดนตรีไดตามประสงคข องผูประพนั ธเ พลง นอกจากน้ี ดนตรีจะมีความสมบูรณข้ึนมาได ก็จะตองมีผูประพันธบทเพลง ซึ่ง จะประกอบไปดวยคํารองและทํานอง สําหรับนําไปขับรองและบรรเลง โดยผูประพันธ เพลงจะตองมีเทคนิคและการแสดงออกในการถายทอดจินตนาการ เรื่องราวความคิด ออกมาในผลงานเพลง เพอ่ื ใหผ ฟู ง เพลงเกดิ อารมณ ความรสู กึ และมสี นุ ทรยี ภาพไปตาม บทเพลงนัน้ ๆ 8๒ แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปป ฏบิ ัติ 4.2 กจิ กรรมที่ 2 1. เปน สัญลักษณท างดนตรที ีใ่ ชบนั ทึกเพ่อื ใหร ะดับเสียงของโนตตวั น้นั เปลยี่ นแปลงไปจากระดับเสียงเดมิ 2. แบง ออกเปน 2 ลักษณะ คือ ปจจัยภายใน คือ อารมณ ความรสู ึกนกึ คดิ และจินตนาการ ปจจัยภายนอก คอื สังคมและวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี พิธกี รรม สภาพทางภูมศิ าสตร ประวตั ศิ าสตร คา นิยม การเมอื ง การปกครอง การศึกษา เศรษฐกิจ และภยั ธรรมชาติ 3. มี 6 ลกั ษณะ คอื 1) ความรพู ื้นฐานเก่ยี วกับทฤฎีดนตรแี ละการปฏบิ ตั ิเครือ่ งดนตรี 2) พืน้ ฐานความสามารถดา นการขบั รอ ง หรอื อา นทาํ นองเสนาะ ซ่งึ จะชวยใหเ ลือกคาํ ที่มเี สียงไพเราะมาใชแตง คาํ รอ ง 3) ความรูพ ื้นฐานดานวรรณคดี ซ่ึงจะทาํ ใหรูจ ักแตง กลอนเพลงใหถูกตองตามหลักฉันทลกั ษณแ ละมีความไพเราะนา ฟง 4) นักประพนั ธเ พลงตองเปน ผอู า นมาก ฟง มาก เพราะจะทาํ ใหร จู ักวธิ กี ารแตงสํานวนโวหาร หรือคดั สรรสาํ นวนโวหารทไ่ี พเราะกนิ ใจมาใชเ ปนคํารอ ง 5) นักประพนั ธเ พลงตอ งเปน คนชอบสงั เกต วิเคราะห และวจิ ารณส งิ่ ตางๆ หรอื บคุ คลตา งๆ ทีอ่ ยรู อบตวั อยางสมา่ํ เสมอ เพราะจะชว ยใหคิดโครงสรา งเรอ่ื งราว ของบทเพลงไดอยา งหลากหลาย 6) นกั ประพันธเ พลงตองเปน ผูชอบขดี เขียนดว ยสาํ นวนโวหารของตนเอง เชน จดหมาย อนุทนิ บันทกึ เหตุการณ เร่อื งเลา บทกวี เปน ตน หรอื แมแ ตการแตงเพลง จะชวยใหแ ตงคาํ รองไดอยา งฉบั ไว และมีสํานวนท่ฟี ง รื่นหู โดนใจผูฟ ง 82 คมู ือครู กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู 1. รอ งเพลงและเลนดนตรเี ดีย่ วและรวมวง 2. ประเมนิ พฒั นาการทักษะทางดนตรีของ ตนเองหลงั จากการฝกปฏบิ ตั ิ สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คุณลักษณะอันพงึ ประสงค 1. มีวนิ ัย 2. ใฝเรยี นรู 3. มงุ ม่นั ในการทํางาน ๕หนว่ ยที่ กระตนุ ความสนใจ Engage ทกั ษะดนตรสี ากล ครเู ปด ซีดี หรือดีวีดกี ารแสดงคอนเสิรต ของ เหลาบรรดาศิลปนสากลท่ีมีชอื่ เสียงใหนักเรยี นชม ตัวชี้วดั ก ารศึกษาวิชาดนตรีสากลให้มี จากนน้ั ครถู ามนกั เรยี นวา ■ ร้องเพลงและเลน่ ดนตรีเด่ยี วและรวมวง (ศ ๒.๑ ม.๒/๔) • นักเรยี นเคยชมการแสดงคอนเสริ ต ■ ประเมินพัฒนาการทักษะทางดนตรีของตนเองหลังจากการฝึกปฏิบัติ บางหรอื ไม ถาเคย นักเรยี นเคยชมการแสดง (ศ ๒.๑ ม.๒/๖) ประสทิ ธภิ าพ จะเนน้ การฝกึ ทกั ษะดว้ ยการ คอนเสริ ต ของใคร ลงมือปฏิบัติจริงอย่างสม่�าเสมอ โดยเน้น (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ทางด้านการร้องและบรรเลงทั้งแบบเดี่ยว ไดอยางอสิ ระ) และแบบเป็นวง ซ่ึงหลักการฝึกทักษะดนตรี ■ เทคนิคการร้องและบรรเลงดนตรี • นักเรียนคดิ วา ศิลปนคนใดทเี่ ปน ตนแบบ - การรอ้ งและบรรเลงเด่ยี ว สากล ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๒ จะมุ่งเน้น ในการขับรองเพลงท่ดี ี เพราะเหตุใด - การรอ้ งและบรรเลงเป็นวง การฝกึ เพอื่ พฒั นาทกั ษะใหส้ งู ขนึ้ มขี น้ั ตอนทสี่ ลบั จงึ เปนเชนนัน้ ■ การประเมินความสามารถทางดนตรี (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ - ความถกู ตอ้ งในการบรรเลง ไดอยา งอสิ ระ) - ความแมน่ ยาำ ในการอ่านเครอื่ งหมายและสัญลักษณ์ ซบั ซอ้ นมากขนึ้ เพอื่ จะไดเ้ ปน็ พนื้ ฐานในการศกึ ษา - การควบคุมคุณภาพเสียงในการรอ้ งและบรรเลง ดนตรีสากลในระดับต่อไป นอกจากน้ี ผู้เรียน จะต้องมีความเข้าใจในวิธีการประเมินพัฒนาการ ดา้ นทกั ษะทางดนตรขี องตนเอง เพอ่ื จะไดท้ ราบถงึ สงิ่ ที่ ตอ้ งปรบั ปรงุ แกไ้ ข เพอ่ื ใหก้ ารศกึ ษาดนตรสี ากลของตน มีความก้าวหน้าตอ่ ไป เกรด็ แนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรียนรูนี้ ครูควรนาํ ซดี ี หรอื ดีวีดีท่นี าสนใจมาเปด ใหน ักเรยี นชม เชน การรอ งเพลง การบรรเลงดนตรีแบบเดย่ี ว การบรรเลงดนตรี แบบรวมวงของศลิ ปน สากล เปนตน เพ่อื เปนการเปดโลกทัศนใหแกน กั เรียน ครูอาจอธบิ ายเพม่ิ เติมวา การขบั รองเพลงสากล นับเปน เอกลกั ษณอยา งหน่งึ ทเี่ ปน ภูมปิ ญ ญาและเปน มรดกทางวฒั นธรรมของสากล ทง้ั น้ี การขบั รองเพลงสากล เพอื่ ใหเกิดความไพเราะ ทําใหผ ฟู ง เกดิ ความประทบั ใจน้ัน ผูท่ขี ับรอ งเพลงสากล จะตองมคี วามรู ความเขา ใจเก่ียวกบั การออกเสยี ง ทาทาง การหายใจ การดแู ลรักษา อวัยวะทใ่ี ชในการเปลงเสยี ง การทําใหเสยี งกอ งกงั วาน และตองเขาใจประเภทของ การขบั รองเพลงสากลดวย พรอ มท้งั ตองฝกปฏิบัติอยา งสมาํ่ เสมอ เพื่อจะไดขบั รอง เพลงสากลออกมาไดอยา งถูกตอ งเหมาะสม รวมถึงตอ งรูจ กั ประเมนิ พัฒนาการ ทกั ษะทางดนตรขี องตนเองหลังจากการฝกปฏิบตั ิ เพอ่ื นําสงิ่ ทบี่ กพรองมาแกไข และพัฒนาการขับรอ งตอ ไป คมู ือครู 83 กกรระตะตนุ Eุน nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครเู ปดซดี ี หรอื ดวี ีดกี ารขบั รองเพลงสากล ๑. การขบั รองเพลงสากล ใหนักเรยี นชม จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา การขบั รอ้ งเพลงสากล คอื การใชร้ า่ งกายของเราเองเปน็ เครอ่ื งดนตรสี า� หรบั บรรเลงบทเพลง ที่เรียบเรียงขึ้น โดยใช้หลักการของดนตรีสากล แนวท�านองสากล ซ่ึงจะต่างไปจากแนวท�านอง • เพลงสากลกับเพลงไทยมคี วามเหมือน โเดพยลทงัว่ไทไปยจ ะปเรัจยี จกุบเพันลบงทไเทพยลทง่เี ไรทียบยทเร่ีเยี รงียตบาเมรแียนงวขสึ้นาตกาลมนแ้วี นา่ ว“สเพากลลงไมทีมยาสกามกลา1ย” หลากหลายบทเพลง หรอื แตกตางกนั อยางไร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น ๑.๑ ประเภทของการขบั รอ้ ง ไดอ ยางอสิ ระ) การขบั รอ้ งเพลงสากล สามารถจดั แบง่ ไดห้ ลายประเภทแตกตา่ งกนั ออกไป ทงั้ น ี้ จะขน้ึ อยกู่ บั หลักเกณฑ์ท่ีใช้ในการแบ่ง ส�าหรับในท่นี ี้จะจัดแบง่ ประเภทการขบั ร้องออกเปน็ ๓ ประเภท คอื • ระหวางเพลงสากลกบั เพลงไทย นักเรียนชอบฟง เพลงประเภทใดมากกวากัน ๑) การขับร้องเดยี่ ว เป็นการร้องคนเดียว แสดงถึงความสามารถของผู้ขบั ร้อง ไมม่ ี เพราะเหตใุ ดจงึ เปนเชนนัน้ ดนตรปี ระกอบ ผู้ขบั ร้องจะตอ้ งแม่นย�าในเรือ่ งของจงั หวะและท�านองเพลง นอกจากน ้ี ผขู้ บั ร้อง (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเหน็ ไดอยางอสิ ระ) สาํ รวจคน หา Explore จะต้องมีเสียงท่ีไพเราะและมีน้�าเสียงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ลอกเลียนแบบน้�าเสียงของผู้อื่น โดยจุดประสงค์หลักของการขับร้องเด่ียว คือ การให้ผู้ขับร้องได้แสดงออกถึงอัตลักษณ์ของตน ใหนกั เรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรเู พ่มิ เตมิ ด้านทักษะการร้องเพลงและคณุ ภาพเสยี ง เกยี่ วกับการขบั รอ งเพลงสากล จากแหลง การเรยี นรู ตางๆ เชน หองสมดุ โรงเรยี น หองสมดุ ชุมชน ขบั รอ้ งทเ่ี ปล๒ง่ อ)อกกามราขจบัะมรเีอ้ นงอื้ หผมวิ ู่ หเปรน็อื กพานื้ รผขวิบั เรปอ้ น็ งแทบา� บนโอมงโเนดโยี ฟวนทกิ ี่ใ2ช (Mค้ นonหoลpาhยoคnนicร)ว่ ทมมี่กเีนั พขยี บั งรแอ้ นงว เเดสยียี วง อนิ เทอรเ นต็ เปนตน ในหัวขอ ทคี่ รกู ําหนดให ๓) การขบั รอ้ งกบั วงดนตรี เปน็ การขบั รอ้ งเดย่ี ว หรอื การขบั รอ้ งหมทู่ มี่ เี ครอื่ งดนตรี ดังตอ ไปนี้ หรือวงดนตรีบรรเลงประกอบ (Back - up) การขับร้องเพลงวิธีนี้ผู้ขับร้องจะได้อารมณ์ของเพลง ในขณะขบั รอ้ งดกี วา่ การขบั รอ้ งเดย่ี ว การขบั รอ้ ง 1. ประเภทของการขับรอ ง กับวงดนตรี ผู้ขับร้องจะต้องเข้าใจและมีทักษะ 2. หลักการปฏิบตั ิในการขบั รอง อธบิ ายความรู Explain ในการปฏิบัติจังหวะได้เป็นอย่างดี โดยนับ จังหวะรอในท่อนน�า (Intro) ได้อย่างถูกต้อง ใหนักเรียนรว มกนั อภปิ รายเก่ยี วกบั การขบั รอ ง ก่อนการร้องเนื้อเพลงจริง ในขณะร้องก็ต้อง เพลงสากล ในหวั ขอ ประเภทของการขบั รอ ง ตามทไ่ี ด รักษาความเร็วของจังหวะเพลงอย่างสม่�าเสมอ ศึกษามา จากนนั้ ครูถามนักเรยี นวา มีทักษะในการฟัง จับเสียงดนตรีของท่อนน�า ถเพูกื่อตก้อางรตเปรงลก่งับเสบียันงไรด้อเงสทีย่อง3นขอแงรเกพขลองงทเพ่ีจละรง้อไดง ้ • บุคคลท่ีจะสามารถฝกปฏิบัติการขับรองเดี่ยว หากผขู้ บั รอ้ งขาดประสบการณ์ในเรอ่ื งทกี่ ลา่ วมา ไดด ีนัน้ ตอ งมีคณุ สมบตั ิอยา งไร การขับร้องกับวงดนตรี ผู้ขับร้องต้องอาศัยทักษะและ ขา้ งตน้ กจ็ ะเปน็ การสรา้ งความรา� คาญใหก้ บั ผฟู้ งั (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ประสบการณ์อย่างมากในการขับร้อง เพ่ือสร้างความ มากกวา่ การสร้างความบนั เทงิ ไดอยางอสิ ระ) บนั เทงิ ให้กบั ผู้ฟง 84 นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอใดกลา วถงึ เพลงไทยสากลไดถูกตอ ง 1 เพลงไทยสากล เพลงทีข่ ับรอ งในภาษาไทย โดยเรม่ิ จากการนาํ ทํานอง 1. เพลงที่เรียบเรียงข้ึนโดยใชห ลักการของดนตรไี ทย แนวทํานองสากล เพลงไทยเดมิ มาใสเนอื้ รอ ง บรรเลง และขบั รอง โดยใชม าตรฐานของโนต เพลง 2. เพลงทเี่ รยี บเรียงขน้ึ โดยใชหลักการของดนตรีสากล แนวทํานองสากล แบบสากล จนกลายเปน เพลงไทยแนวใหม ตง้ั แตป พ.ศ. 2476 เกิดละครเวที 3. เพลงท่ีเรียบเรียงข้ึนโดยใชหลักการของดนตรไี ทยแนวทาํ นอง ละครวทิ ยุ และภาพยนตร ซงึ่ มบี ทบาทสําคญั ทีท่ ําใหเพลงไทยสากลไดร บั เพลงไทยเดิม ความนยิ ม จนในปจ จบุ ันสามารถแตกสาขาไปอีกหลายแนวเพลง 4. เพลงที่เรียบเรียงขน้ึ โดยใชห ลักการของดนตรีสากลแนวทํานอง 2 โมโนโฟนิก (Monophonic) เปน พ้นื ผิวของดนตรที ํานองเดียว ไมม ีดนตรี เพลงไทยเดิม ประกอบ เชน การขับรอ งเดยี่ ว การขับรองหมู การบรรเลงดนตรคี นเดยี ว วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะเพลงไทยสากล เปน เพลงที่ขบั รอง หรอื หลายคน แตมที ํานองเดียว เปน ตน ในภาษาไทย โดยเริ่มจากการนาํ ทาํ นองเพลงไทยเดมิ มาใสเ น้อื รอง บรรเลง 3 บนั ไดเสียง ตวั โนต 5 - 12 ตวั ที่เรียงกันตามลาํ ดบั จากเสยี งตา่ํ ไปหาเสียงสงู และขบั รองโดยใชห ลักการของดนตรสี ากล แนวทาํ นองสากล จนกลายเปน และจากเสยี งสงู ลงมาเสียงตา่ํ มโี ครงสรางทมี่ กี ารกําหนดชวงหางของเสยี งจาก เพลงไทยแนวใหม ตัวโนต หนึง่ ไปอกี ตวั โนต หน่งึ อยางเปน ระบบ บันไดเสียงจะเปนตัวกําหนดแนวทาง การเคลอ่ื นทขี่ องตวั โนต ในเพลงและสรา งความเปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ใหก บั บทเพลง 84 คมู ือครู กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑.๒ หลักปฏิบตั ิในการขับร้อง ใหน ักเรียนรว มกนั อภิปรายเกย่ี วกับการขับรอง หลักปฏบิ ัติในการขบั รอ้ งใหด้ า� เนนิ ตามระบบการฝึก Systematic Training ๔ ข้ันตอน ดังนี้ เพลงสากล ในหวั ขอหลักการปฏบิ ัติในการขับรอ ง ตามทไี่ ดศกึ ษามา จากนนั้ ครถู ามนักเรียนวา ๑) ฝกึ ความพรอ้ ม คอื การอบอนุ่ อวยั วะและกลา้ มเนอ้ื ตา่ งๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การขบั รอ้ ง • เพราะเหตใุ ดกอ นการรอ งเพลง กอ่ นท่จี ะเขา้ สู่ระบบการฝกึ ขบั รอ้ ง ซ่ึงมีวธิ กี ารฝึกปฏิบัต ิ ดังนี้ จึงตองมกี ารอบอนุ รา งกาย ๑.๑) วธิ ีอบอ่นุ อวัยวะและกลา้ มเนอ้ื ใหฝ้ กึ คราวละ ๒ - ๓ นาที ปฏบิ ตั ไิ ด้ ดงั นี้ (แนวตอบ เพอื่ เปนการเตรยี มความพรอ ม ใหแ กรางกายกอนการรองเพลง) ๑. ฝึกกล้ามเน้ือศีรษะด้วยการก้ม - เงย เอียงศีรษะไปทางซ้าย - ทางขวา และหมุนศีรษะเป็นแนววงกลม สลับกันไปมา ขณะปฏิบัติให้อ้าปากและหย่อนขากรรไกรล่างลง • นักเรยี นจะสามารถฝก ปฏบิ ัติตามหลัก ให้ปลายคางชีเ้ ข้าหาทรวงอก Systematic Training ไดอ ยา งไร ๒. ฝึกผอ่ นคลายกล้ามเนอ้ื คอดว้ ยการเอยี งศรี ษะไปทางซา้ ย - ทางขวา ให้ (แนวตอบ สามารถเตรยี มการฝก ได 4 วธิ ี ใบหจู รดไหล่โดยไมต่ ้องยกไหล่ขนึ้ รบั แล้วยกแขนขวาข้ามศรี ษะเอาฝา่ มอื ขวาไปปิดหซู ้ายสลับกบั คอื ฝก ความพรอ ม ฝก ขบั รอ งเลยี นเสยี งตน แบบ การยกแขนซ้ายข้ามศีรษะไปปิดหูขวา ขณะปฏิบัติให้ยืดล�าคอตั้งตรงและอย่าให้ล�าแขนแตะส่วน ฝก ความจาํ ฝก ขบั รอ งทาํ นองและเนื้อรอง) ใดๆ ของศรี ษะ ๓. ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนอ้ื หลงั และไหลด่ ว้ ยการยกไหล่ทัง้ ๒ ขา้ งขน้ึ จรด • อวัยวะทเ่ี ก่ียวขอ งกบั การเปลง เสยี ง ตง่ิ หูแล้วท้งิ ไหลล่ ง ดึงไหลท่ ง้ั ๒ เข้าหากนั ทางด้านหน้าสลบั กับทางด้านหลงั คืออวัยวะใด ๔. ฝึกขยายกลอ่ งซ่ีโครงดว้ ยการยนื ตรง เท้าทง้ั ๒ ข้างห่างจากกนั ในระยะ (แนวตอบ เรยี งลําดบั จากสวนหนาทองขน้ึ ไป เทา่ กบั ความกวา้ งของไหล ่ ยกแขนข้างขวาขึ้นข้างบนศรี ษะ ฝ่ามอื แบพยายามใหป้ ลายมือจรดฝ้า คอื ปอด หลอดลม กลองเสียง ชอ งคอ ล้ิน เพดาน สลับใช้แขนซา้ ยท�าอาการเดยี วกนั เพดานออน เพดานแขง็ ปุมเหงือก ฟน ๕. ฝกึ คลายกล้ามเนอ้ื หน้าท้องด้วยการยนื ตรง ให้เทา้ ทงั้ ๒ ข้างหา่ งกันใน ริมฝปาก ชอ งจมูก และโพรงตา งๆ ระยะเทา่ กบั ความกวา้ งของสะโพก ใหค้ างชเี้ ขา้ หาหนา้ อก แลว้ มว้ นลา� ตวั เอาศรี ษะชล้ี งสพู่ นื้ คอ่ ยๆ ในกะโหลกศีรษะ) ตา�่ ลงๆ จนยอดศรี ษะตรงกบั ระดบั เอว หายใจเขา้ ใหเ้ กอื บเตม็ ปอดแลว้ คอ่ ยๆ ระบายออก เสรจ็ แลว้ คอ่ ยๆ ยกระดับศรี ษะทา� ลา� ตัวใหต้ งั้ ตรง ทา� ซ�้าอกี หลายๆ รอบ • นักเรียนมวี ิธกี ารในการดแู ลรักษาเสียง อยางไรใหมีคุณภาพ ๑.๒) วธิ อี บอนุ่ อวยั วะทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเปลง่ เสยี ง ใหฝ้ กึ คราวละ ๓ - ๕ นาท ี ดงั นี้ (แนวตอบ การดแู ลรักษาเสยี งสามารถทําได ๑. ฝกึ เปลง่ เสยี งไตร่ ะดบั ขน้ึ - ลง ดว้ ยการตง้ั ตน้ ระดบั เสยี งทสี่ งู ทส่ี ดุ เทา่ ทเ่ี รา ดงั ตอไปนี้ คือ พักผอ นใหเ พียงพอ ควรนอน จะเปลง่ เสยี งไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ แลว้ คอ่ ยๆ ไต่ระดับเสียงลงสรู่ ะดบั ตา�่ ทีละขัน้ เสยี ง โดยที่ยังไม่ต้อง อยางนอย 6 - 8 ช่ัวโมง รบั ประทานอาหารให ค�านึงถึงความเท่ียงตรงของระดับเสียง ให้เสียงทุกข้ันไหลรวมเป็นกระแสเสียงเดียวกัน โดยไม่มี ครบ 5 หมู ในปรมิ าณทเี่ หมาะสม งดอาหาร การหยุดระหว่างขนั้ เสยี ง เสรจ็ แลว้ ให้ไต่ระดับยอ้ นขึ้นในลกั ษณะเดยี วกนั รสจัด มนั จัด ออกกาํ ลังกายอยางสมาํ่ เสมอ ๒. ฝกึ ทา� รมิ ฝปี ากสนั่ สะเทอื น ดว้ ยการพยายามทา� เสยี งเลยี นเสยี งเครอ่ื งยนต์ ด่มื น้าํ สะอาดมากๆ ควรงดดืม่ เคร่ืองดื่ม ของเรอื หางยาว หรอื รถจกั รยานยนต์ โดยเอาปลายนวิ้ ชข้ี า้ งใดขา้ งหนงึ่ แตะทมี่ มุ ปาก เพอ่ื ชว่ ยทา� ให้ ทีม่ แี กส ผสม เครอ่ื งดื่มแอลกอฮอล เสยี งสน่ั ถยี่ ง่ิ ขนึ้ แลว้ ลองเปลย่ี นระดบั เสยี งและไลเ่ สยี งไปสรู่ ะดบั ตา่ งๆ ในกระแสเสยี งเดยี วกนั ทา� ซา้� งดใชเ สยี งเมอ่ื เปน หวัด ไอ หรอื เสยี งผดิ ปกติ หลายๆ รอบ และควรพบแพทยเ พือ่ ทาํ การรักษาใหถ กู วิธี และหา มใชเ สยี งดงั เชน การตะโกน จนทาํ ให 85 เสนเสยี งอกั เสบ เปน ตน) แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู การขบั รองเดีย่ วและการขับรอ งหมมู คี วามเหมอื น หรอื แตกตางกันอยา งไร ครคู วรอธบิ ายความรเู พม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั การขบั รอ งเพลงสากล ถงึ เรอื่ งแหลง กาํ เนดิ แนวตอบ การขับรอ งเด่ียว คอื การขับรอ งเพลงคนเดยี ว มีดนตรปี ระกอบ เสยี งของมนษุ ยว า เสยี งตา งๆ ของมนษุ ย ไมว า จะเปน เสยี งพดู เสยี งรอ ง เสยี งหวั เราะ หรอื ไมมีกไ็ ด ผูทส่ี ามารถทาํ การขบั รอ งเดีย่ วไดจะตอ งมคี วามสามารถ เกดิ ข้นึ จากการสั่นของเสน เสียง ซง่ึ อยภู ายในลําคอ เสนเสยี งจะส่ันไดต องมลี ม ในการขบั รอ งมาก คอื มเี สียงที่ไพเราะ มีความแมน ยาํ ในเรอ่ื งจงั หวะ ภายในปอดผา นออกมากระทบกับเสน เสยี ง เกดิ เปนเสยี งตางๆ ขึน้ การออกเสยี ง และทํานองเพลง การขับรองหมู คอื การขับรองเพลงต้งั แต 2 คน ขน้ึ ไป ขับรอ งเพอ่ื ใหเกดิ ความไพเราะ เกิดความกงั วานของเสียง จะตอ งใชอวัยวะ มดี นตรีประกอบ หรอื ไมม กี ็ได สามารถแบง ออกเปน 2 ลักษณะ คือ และกลามเนอื้ หลายสว นในรางกาย ทํางานประสานกันเปนอยางดี อวยั วะทใ่ี ช การขบั รอ งหมูแบบธรรมดา คอื การขับรองเพลงดวยคนหลายคน ดว ยเสียง ในการออกเสียงสําหรับการขับรอง แบงออกเปน 3 ประเภท คือ อวัยวะท่ีใชใน ระดบั เดยี วกนั หรอื แนวเสยี งเดยี วกนั ตลอดทง้ั เพลง ตง้ั แตเ รม่ิ ตน จนจบเพลง การหายใจ เชน ปอด กะบังลม หลอดลม กลามเน้ือบริเวณหนา ทอ ง กระดูกซโี่ ครง และการขับรอ งหมแู บบประสานเสียง หรือ “การขบั รองประสานเสียง” เปนตน อวัยวะทีใ่ ชในการเปลงเสียง เชน เสน เสยี ง กลองเสียง ชองคอ ชองปาก หรอื “คอรสั ” (Chorus) หรือ “ไควร” (Choir) คือ การขบั รอ งเพลง ลกู กระเดอื ก เปน ตน และอวยั วะท่ใี ชใ นการสรา งเสียงสะทอ น เชน โพรงหนา อก ดว ยคนหลายคน ขบั รอ งไปพรอ มๆ กนั โดยมกี ารกาํ หนดแนวเสยี งใหข บั รอ ง โพรงจมกู โพรงกะโหลก โพรงชอ งปาก เปนตน ทีแ่ ตกตางกนั ดวยระดบั เสยี งสูง กลาง ตํ่า ระดบั เสียงตางๆ ทีน่ ํามาใช ในการขบั รอง ตอ งมีการเรยี บเรียงเสยี งตามหลกั การประสานเสียง คูมือครู 85 กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา าใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู ครสู มุ นกั เรียน 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม ๓. ฝึกเปลง่ เสียง “ฮัม” ด้วยการปดิ รมิ ฝีปากบน - ล่างอยา่ งหลวมๆ หายใจ ดังตอ ไปนี้ เขา้ ลกึ ๆ เกอื บเตม็ ปอด แล้วเปล่งเสียงฮัมออกมาช้าๆ ใหเ้ สียงออกผ่านทั้งทางชอ่ งจมกู และผ่าน รมิ ฝีปาก ท�าให้รมิ ฝีปากสนั่ ด้วย • นกั เรยี นคดิ วา ปจ จยั ใดทที่ าํ ใหเ กดิ เสยี งรอ งทดี่ ี (แนวตอบ ๒) ฝึกขับรอ้ งเลียนเสียงตน้ แบบ สามารถฝึกปฏิบัติได ้ ดงั น้ี 1. อวยั วะในระบบตางๆ ของรา งกาย มีการทาํ งานทป่ี ระสานและสมดุลกนั ๑. ฟงั เสยี งขบั รอ้ งตน้ แบบหลายๆ รอบ ตามแบบวธิ ฟี งั ทผ่ี ฟู้ งั เปน็ ฝา่ ยรกุ (Perceptive) 2. ระบบประสาทตางๆ ทาํ งานสัมพนั ธก นั ทั้งนี ้ เพ่ือทา� ความคุ้นเคยกบั บทเพลงที่จะใชฝ้ กึ ร้อง 3. ตอ มไรทอ และฮอรโ มนมีความสมดุล ๒. ให้ฮัมท�านองตามเสียงขับร้องต้นแบบ การฮัมที่ถูกต้องผู้ขับร้องต้องปิดปาก 4. สขุ ภาพรางกายสมบรู ณ รวมถงึ กลอ งเสียง คอ่ นขา้ งสนิท ใหเ้ สยี งฮัมเพลงออกมาจากชอ่ งคอ ผ่านขน้ึ ไปขยายเสยี งในชอ่ งจมกู และเสนเสียง ๓. ใหข้ บั รอ้ งทง้ั ทา� นองและบทรอ้ งเลยี นเสยี งตน้ แบบใหใ้ กลเ้ คยี งทสี่ ดุ โดยควบคมุ 5. ภาวะอารมณและจิตใจเปน ปกติ ฐานกรณ์ในการเปลง่ เสียงถอ้ ยคา� ภาษาให้ถูกต้องตามหลักสัทศาสตร์ 6. มพี ฤตกิ รรมการใชเสียงที่ถูกตอ ง ถา้ เราสามารถฮมั ทา� นองและเปลง่ เสยี งถอ้ ยคา� ในบทรอ้ งไดเ้ ทย่ี งตรงตามเสยี งตน้ ฉบบั 7. มสี ภาพแวดลอ มท่ีเหมาะสม) แลว้ แสดงวา่ การฝึกขับร้องน้นั ประสบผลสา� เร็จเกือบสมบูรณ์ ขยายความเขา ใจ E×pand ๓) ฝกึ ความจา� การฝกึ ความจ�าขณะขับรอ้ งสามารถปฏบิ ตั ิได้ ดังนี้ 1. ใหนกั เรียนรว มกนั สรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกบั ๑. จ�าแนกวรรคตอนของบทเพลง ท้ังทา� นองและบทร้องออกเป็นวลี หรอื ประโยค การขับรองเพลงสากล ลงกระดาษรายงาน เพ่ือให้วิเคราะห์ได้ว่าประโยคใดเหมือนหรือต่างกันบ้าง ผู้แต่งน�าความเหมือนและความแตกต่าง นําสงครูผูสอน เหลา่ นัน้ มาเรยี บเรยี งเปน็ ท่อน หรือเป็นสงั คีตลกั ษณ์แบบใด ๒. แบง่ กลมุ่ ผฝู้ กึ ขบั รอ้ งออกเปน็ กลมุ่ แลว้ นา� วรรคตอนของวล ี หรอื ประโยคมาฝกึ 2. ใหน กั เรยี นฝกการขับรอ งเพลงสากล ขับร้องสลับกันเปน็ กลมุ่ เพอื่ กระตุ้นความจา� ตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง ฝก ปฏบิ ัติ ๓. เมื่อฝึกร้องในแต่ละกลุ่มเสร็จแล้ว ให้รวมกลุ่มขับร้องแบบใช้เนื้อผิวแนวเดียว จนเกดิ ความชาํ นาญ จากนั้นออกมาสาธิตวธิ ี กนั ท้งั บท เพื่อสนับสนุนความจา� โดยรวม การขับรอ งเพลงสากลใหเพือ่ นชมหนาช้นั เรียน โดยมคี รเู ปน ผคู อยช้ีแนะความถูกตอง ๔) ฝึกขับร้องท�านองและเนอ้ื ร้อง การฝึกขับร้องท�านองและเนื้อร้องทั้งบทด้วย ตรวจสอบผล Evaluate ตนเอง สามารถปฏิบตั ิได้ ดังนี้ ๑. ฮัมทา� นองทัง้ บทดว้ ยตนเองโดยไมม่ ีเสียงตน้ แบบเปน็ สอื่ นา� ทาง 1. ครูพิจารณาจากการสรุปสาระสาํ คญั เก่ยี วกบั ๒. ขับรอ้ งทา� นองและบทร้องดว้ ยตนเองโดยไมม่ ีเสียงตน้ แบบเปน็ สือ่ นา� ทาง การขับรอ งเพลงสากลของนักเรียน ๓. ขับรอ้ งโน้ตทา� นองดว้ ยตนเองโดยไมม่ เี สยี งตน้ แบบเป็นสอ่ื น�าทาง ๔. ใหใ้ ชเ้ สยี งจรงิ และกระบวนแบบจรงิ ของตนเองขบั รอ้ งทง้ั บท โดยไมเ่ กาะตดิ อยกู่ บั 2. ครูพจิ ารณาจากการฝก ปฏิบัตกิ ารขบั รอ ง เสยี งและกระบวนแบบของนักร้องต้นแบบ เพลงสากลของนักเรยี น ๕. ปรบั ปรงุ และพฒั นาเสยี งขบั รอ้ งของตนใหไ้ พเราะนา่ ฟงั ขนึ้ เรอื่ ยๆ ดว้ ยการซอ้ ม ขับรอ้ งซ�้าๆ และค้นหากระบวนแบบของตนด้วยตนเอง 86 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เบศรู ณรากษารฐกิจพอเพียง ใหนักเรยี นฝก รองเพลงสากลตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง จากนัน้ ออกมาขับรองใหเ พอ่ื นชมหนา ช้นั เรยี น พรอมอธิบายเหตุผล การขับรองเดยี่ ว เปนการขบั รองคนเดียว ไมม ดี นตรีบรรเลงประกอบการขบั รอง ท่ชี ื่นชอบบทเพลงน้ี โดยมคี รเู ปนผูคอยชี้แนะความถูกตอง ซ่งึ ผรู อ งจะตอ งมีความแมน ยําในเรอื่ งของจงั หวะและทํานองเพลง ทั้งยงั ตองมี ทักษะในการขับรองทด่ี อี ีกดว ย และเพอ่ื ใหส ามารถขับรอ งเดี่ยวไดอ ยางไพเราะข้นึ กจิ กรรมทาทาย ครูใหน ักเรยี นฝก ปฏิบัตขิ ับรอ งเดีย่ ว โดยใหหยิบยกบทเพลงทส่ี ามารถสะทอ นใหเหน็ ถงึ ขนบธรรมเนียม ประเพณภี ายในทองถนิ่ การดํารงชีวิตอยางพอเพยี ง สอดแทรก คณุ ธรรม จรยิ ธรรมในบทเพลง ฝกซอ มจนชํานาญ จากนั้นใหน กั เรยี นออกมาสาธิต การขับรอ งเดีย่ วใหเพื่อนชมหนาชนั้ เรียน โดยมีครเู ปน ผูค อยช้ีแนะความถกู ตอ ง ใหนกั เรียนฝก รอ งเพลงสากลตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง พรอมคิดทา ทางประกอบเพลง จากนั้นออกมานําเสนอผลงานใหเ พ่อื นชม หนาชนั้ เรียน พรอ มอธบิ ายถึงแรงบนั ดาลใจในการสรางสรรคผลงาน โดยมคี รูเปนผคู อยชี้แนะความถูกตอ ง 86 คมู อื ครู กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ เกรด็ ศลิ ปเกรด็ ศิลป สถานที่และอปุ กรณส ําหรับฝกขบั รอ้ ง ครใู หน กั เรียนดภู าพเคร่ืองดนตรปี ระเภท คยี บ อรด จากนน้ั ครถู ามนักเรียนวา สถานทแ่ี ละอปุ กรณส์ าำ หรับฝกึ ขับรอ้ งทีต่ ้องเตรียมและจดั หา มีดังนี้ ๑. สถานที่ท่ีจะใช้ฝึกขับร้องต้องโปร่งสบาย ไม่มีเสียงรบกวนจากภายนอกและเสียงขับร้องของตนต้อง • นักเรียนรูจ กั เคร่ืองดนตรีในภาพหรือไม ไมร่ บกวนผอู้ ่ืน ถารจู ัก นกั เรยี นรจู กั เครื่องดนตรีชนิดใดบาง ๒. ควรมีกระจกเงาสำาหรับสอ่ งใหเ้ หน็ เงาทา่ ทางขบั ร้องของตนเอง เพอื่ ง่ายตอ่ การปรับปรงุ แกไ้ ขบคุ ลิกภาพ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ของตนเอง ไดอยา งอิสระ) ๓. มีเคร่ืองบันทึกเสยี งสำาหรบั บันทึกเสียงขบั ร้องของตนเอง เพือ่ การประเมนิ คณุ ภาพเสียง ๔. มนี ากิ าจบั จงั หวะทเ่ี รยี กวา่ “เมโทรนอม” (Metronome) ใชค้ วบคมุ ความเทย่ี งตรงของจงั หวะขณะขบั รอ้ ง • เครื่องดนตรีเหลานส้ี ามารถบรรเลง ใหเ ปนเพลงดวยวิธีการแบบใด ๒. การบรรเลงเครือ่ งดนตรีสากล (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอสิ ระ) การบรรเลงเคร่อื งดนตรสี ากล ตอ้ งอาศยั ทกั ษะจากระดบั งา่ ยไปหาทักษะท่ยี ากขึ้น กล่าวคอื จะตอ้ งผ่านทกั ษะการฟงั ดว้ ยการฟังเพลงท่จี ะเลน่ หลายๆ คร้ัง จนจา� ท�านองได้อยา่ งติดหูและแมน่ สาํ รวจคน หา Explore ในจงั หวะและทา� นอง จากนนั้ ฝกึ รอ้ งทา� นองเพลงเปน็ เสยี งในระบบทอนกิ ซอล - ฟา (โด เร ม ี ฟา …) ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งทัง้ จังหวะและท�านอง แล้วจงึ ฝกึ ไล่บันไดเสยี งท่ีใช้ในเพลงใหค้ ลอ่ งแคล่ว ใหนักเรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรู ลกั ษณะของการบรรเลงดนตรสี ากล สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ การบรรเลงเดย่ี ว คอื การบรรเลง เพ่ิมเติมเก่ยี วกับการบรรเลงเดย่ี วเครือ่ งดนตรี เครอื่ งดนตรชี นดิ ใดชนดิ หนง่ึ โดยผบู้ รรเลงคนเดยี ว ซงึ่ วธิ กี ารบรรเลงเครอ่ื งดนตรจี ะมคี วามแตกตา่ ง ประเภทคียบ อรด จากแหลง การเรยี นรตู า งๆ เชน กนั ไป และการบรรเลงรวมวง คือ การทก่ี ลุ่มของนักดนตรี หรือนกั ร้องร่วมกนั บรรเลงเป็นวง ปกติ หอ งสมุดโรงเรียน หองสมุดชมุ ชน อนิ เทอรเน็ต แตล่ ะบุคคลจะเลน่ หรือขบั รอ้ งแตล่ ะแนวตามโน้ตทีน่ กั เรียบเรยี งเสยี งประสานก�าหนดให้ เปนตน ในหัวขอทค่ี รูกําหนดให ดงั ตอไปนี้ ๒.๑ การบรรเลงเดย่ี วเครอ่ื งดนตรปี ระเภท “คียบ อรด” เครอื่ งดนตรปี ระเภทคยี บ์ อรด์ (Keyboard Instrument) มหี ลายชนดิ ในเรอื่ งนจ้ี ะเนน้ การฝกึ หดั 1. ลักษณะของเปยโน เปยี โนกอ่ น สว่ นเครอื่ งดนตรที อ่ี ยู่ในตระกลู คยี บ์ อรด์ ชนดิ อนื่ ๆ สามารถฝกึ ปฏบิ ตั ไิ ดใ้ นแนวเดยี วกนั 2. วิธปี ฏบิ ตั ิเปยโน ซ่ึงหลกั การฝึกปฏิบตั ินี้สามารถน�าไปฝกึ เล่นกับเมโลเดยี น (Melodion) เมโลดิกา (Melodica) และ 3. แบบฝก ปฏิบัติสาํ หรบั การไลน ิ้วบนเปยโน แอคคอร์เดียน (Accordion) ก็ได้ การเล่นเครื่องคีย์บอร์ดนั้น โดยท่ัวไปจะเน้นการเล่นในแนวด�าเนินคอร์ด ซ่ึงการฝึกปฏิบัติ อธบิ ายความรู Explain เครือ่ งคีย์บอรด์ ในบทเรียนน้เี ปน็ เพียงขน้ั พนื้ ฐานเทา่ น้ัน ใหนกั เรยี นรวมกนั อภิปรายเกย่ี วกับการ- ๑) ลกั ษณะของเปยี โน(Piano) เปยี โนนบั เปน็ เครอื่ งกระทบอกี ชนดิ หนง่ึ ที่ใชบ้ รรเลง บรรเลงเดย่ี วเครื่องดนตรปี ระเภทคียบอรดในหัวขอ ลกั ษณะของเปย โน ตามทีไ่ ดศ ึกษามา จากน้นั ท�านองเพลงในกลุ่มเคร่ืองคยี บ์ อรด์ เรียกชื่อเตม็ ว่า “ปอ าโนฟอรเต” (Pianoforte) เพราะท�าไดท้ งั้ ครถู ามนักเรียนวา เสียงเบาและเสียงดังในเครื่องเดียวกัน เปียโนพัฒนาข้ึนมาจากฮาร์ปซิคอร์ด (Harpsichord) สร้างข้ึนคร้ังแรกในเมอื งฟลอเรนซ์ ประเทศอติ าลี เมื่อปี ค.ศ. ๑๗๐๙ แล้วไดพ้ ัฒนารูปร่างมาเปน็ • เปย โนคือเครื่องดนตรที ี่มลี กั ษณะอยา งไร ระยะโดยหลายบุคคล (แนวตอบ เปย โนเปน เคร่ืองดนตรปี ระเภท คียบอรด ใหเสียงท่เี ปนมาตรฐานจาํ นวน 8๗ 88 เสียง สามารถผลติ เสยี งที่มรี ะดับสงู มาก และตํ่ามาก ซ่ึงเครอ่ื งดนตรชี นิดอื่น ไมสามารถทําได) แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด บรู ณาการอาเซียน เปย โนถกู พัฒนามาจากเครื่องดนตรชี นดิ ใดและใชร ะบบเคาะตีแบบใด จากการศกึ ษาเกี่ยวกบั ความรูพน้ื ฐานเรอ่ื งการบรรเลงเครือ่ งดนตรสี ากล 1. พฒั นามาจากกลองและใชระบบเคาะตีแบบกลอง ประเภทล่ิมน้ิว ทใ่ี ชระบบเคาะตีแบบดัลซิเมอร หรือขมิ ฝรั่ง ซ่งึ สามารถเชือ่ มโยง 2. พัฒนามาจากปอ าโนฟอรเ ตและใชระบบเคาะตีแบบกลอง กบั ประเทศสมาชกิ อาเซียน คือ ประเทศไทยและประเทศสงิ คโปรท ่มี ีลกั ษณะของ 3. พฒั นามาจากกลองและใชระบบเคาะตแี บบระนาดของไทย เครอื่ งดนตรแี ละวธิ ีการเลนคลายกนั แตมชี อื่ เรยี กที่ตางกนั ดงั ตัวอยาง 4. พัฒนามาจากฮารปซคิ อรดและใชระบบเคาะตีแบบดัลซิเมอร ดลั ซิเมอร หรือขิมฝรั่ง ขมิ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะเปยโนเปนเคร่ืองตีกระทบชนดิ หน่ึง (เครื่องดนตรีสากล) (เครื่องดนตรีไทย) ท่ใี ชบรรเลงทํานองเพลงในกลมุ เครอื่ งคยี บอรด (ล่มิ นว้ิ ) เพราะทําไดทั้ง เสียงเบาและเสียงดังในเครือ่ งเดยี วกัน เปย โนถูกพฒั นามาจากฮารป ซิคอรด และใชระบบเคาะตีแบบดลั ซเิ มอร หรือขมิ ฝรั่ง หยางฉ่ิน (เครื่องดนตรีสิงคโปร) คมู อื ครู 87 กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหน กั เรียนรว มกันอภิปรายเกีย่ วกับการบรรเลง- เปยี โน นบั วา่ เปน็ เครอ่ื งดนตรแี มบ่ ทของการฝกึ ฝนเลน่ เครอ่ื งดนตรสี ากล เพราะถา้ ฝกึ ฝนเลน่ เดี่ยวเครอื่ งดนตรีประเภทคยี บ อรด ในหัวขอ วิธฝี ก เรปจู้ ยีกั โในชก้นอ่ิ้วนทก้ัง จ็ ๑ะ๐ส านมว้ิ า รเสถยีเลงน่เปเคียรโนอื่ มงดสี นีสตนั รหชี ลนาดิกอหน่ื ลๆา ยไขดน้ึง้ า่อยยขู่กนึ้ ับ เเทนอค่ื งนจคิ ากกาไรดเเ้ครายี ะนลริม่ เู้ รนอื่ ว้ิ 1ง อระาบจบทเ�าสใยีหงเ้ สแยีลงะ ปฏิบัตเิ ปย โน ตามทีไ่ ดศกึ ษามา จากน้ันครูถาม แผ่ว อกึ ทกึ เรา้ ใจ ดงั กึกกอ้ ง ฯลฯ ได ้ เพราะเปยี โนสามารถทา� ไดนามกิ (Dynamic) เสียงได้ต้ังแต่ นกั เรยี นวา เบามากท่สี ดุ ไปจนถงึ ดงั มากทส่ี ดุ เสียงบนล่มิ น้วิ ของเปียโนตามปกตแิ ลว้ จะมีช่วงทบคแู่ ปด (Octave) จ�านวนล่มิ นว้ิ สขี าวเป็น • ทา น่งั ในการเลน เปย โนท่ถี ูกตอง ชว่ งทบเสยี งปกต ิ สว่ นลมิ่ นวิ้ สดี า� เปน็ เสยี งแฟลต (Flat) หรอื ชารป์ (Sharp) ทถี่ กู แปลงเสยี งใหต้ า่� ลง ควรมลี กั ษณะอยางไร หรอื สูงขนึ้ กวา่ เสยี งปกติทอี่ ยขู่ ้างเคยี ง ๑ คร่งึ เสียง (แนวตอบ การนงั่ ในการเลนเปยโนท่ถี ูกตอง จะตองใหอวัยวะตางๆ ของรางกายวางอยู ๒) วิธฝี ึกปฏบิ ัติเปียโน สามารถปฏบิ ตั ไิ ด ้ ดงั นี้ ในตาํ แหนงท่ีถูกตอ ง ดงั ตอ ไปนี้ เทา ทงั้ 2 ขา ง วางราบกบั พ้นื แยกปลายเทาออกจากกนั ๑. ลกั ษณะทา่ ทางการนง่ั เลน่ เปยี โน โดยปกตติ อ้ งนง่ั ตวั ตรงในทา่ สบาย ไมเ่ กรง็ ตวั เล็กนอย เขา วางอยูลึกเขา ไปใตคยี บอรด ใหต้ ามองเห็นแผน่ โนต้ ทจี่ ะเล่น เปยโน กน นัง่ แบบครึง่ เกาอี้ โดยใหทง้ิ ๒. ลักษณะการวางมือ ย่ืนข้อมือเหยียดตรงอย่าให้งอ ช่วงแขนจากไหล่ถึงศอก นํ้าหนกั ตวั ลงทกี่ นและเทา ทง้ั 2 ขาง ทา� มมุ ใหอ้ ยู่ในลกั ษณะทเ่ี คลอื่ นไหวไดอ้ ยา่ งสะดวก อยา่ แนบลา� ตวั คอื อยู่ในวงมากกวา่ ๙๐ - ๑๒๐ หลัง ยดื ตรงในขณะเลน อาจจะโนม ตวั องศาโดยประมาณ นิ้วงองุ้มลงคล้ายจะใช้ปลายนว้ิ เป็นคอ้ นเคาะลงนว้ิ เปยี โน แต่อยา่ กางนิ้ว ไปดานหนา หรอื ดา นขางไดเพียงเล็กนอ ย การฝึกหัดเล่นเปียโนนั้น เบื้องต้นต้องรู้ว่าควรจะวางนิ้วใดท่ีต�าแหน่งใด และมือ ไหล ปลอ ยไหลแบบสบายๆ ไมเ กร็ง หรือ ข้างใดอยู่ในช่วงทบเสียงใด โดยใช ้ “C” กลาง (Middle C) เป็นทห่ี มาย การเลน่ เปียโนต้องใช้นิว้ ยกไหลข นึ้ ขอ ศอก วางอยสู งู กวา คยี บ อรด เปย โน ทกุ นิ้วของมือทั้ง ๒ ข้าง ไม่ใช่ใช้นิว้ เดียวกบั หลายเสยี ง ขอ มือ วางอยสู งู กวาคียบ อรด เปยโน การวางน้ิวในเบื้องต้นให้ปฏิบตั ดิ ังน้ ี มอื ขวา (R.H.) วางนิว้ หวั แมม่ ือท ่ี “C” กลาง และนิ้ว วางอยูบนคยี บอรด ) วางนว้ิ ช้ที ี ่ “D” (ถดั “C” กลาง ขึ้นไป) วางน้วิ กลางที ่ “E” วางนิ้วนางท่ ี “F” และวางน้วิ กอ้ ยท ี่ “G” สว่ นมอื ซ้าย (L.H.) วางน้วิ ก้อยที่ “C” (นับจาก “C” กลาง มาลงต�าแหนง่ ท่ ี ๘) วางนว้ิ นางท่ี “D” • จากภาพ หมายถงึ ส่ิงใด วางน้ิวกลางท ่ี “E” วางนวิ้ ชีท้ ่ ี “F” วางนวิ้ หวั แมม่ ือท่ ี “G” (๑ = น้ิวหวั แม่มอื ๒ = นว้ิ ช ี้ ๓ = น้ิวกลาง ๔ = นว้ิ นาง และ ๕ = นวิ้ ก้อย) ดังแผนภมู ิดา้ นลา่ งนี้ มอื ซา ย มอื ขวา 54321 12345 Middle c (ซกี ลาง) (แนวตอบ สญั ลกั ษณแ ทนตวั เลขในการ 54 3 3 45 วางน้วิ มือบนเปย โน คอื นิ้วมือซา ย 2 2 นว้ิ มอื ขวา นวิ้ หัวแมม อื แทนดวยเลข 1 1 1 นวิ้ ชี้ แทนดว ยเลข 2 นิว้ กลาง แทนดวยเลข 3 88 นวิ้ นาง แทนดว ยเลข 4 นวิ้ กอย แทนดวยเลข 5) นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ลม่ิ นิ้วสีดําท่ีอยูบ นเปย โนหมายถงึ สง่ิ ใด 1 ลม่ิ นิว้ หรอื คียบ อรด คือ ชุดของกานเสยี ง หรือคยี ท ่ีอยตู ดิ กัน สามารถ 1. ชว งทบเสียงปกติ กดดว ยนิว้ ได ล่ิมนิว้ โดยปกติจะมีคียในการเลนชุดละ 12 กานเสยี ง ลม่ิ นวิ้ อันยาว 2. เสียงทไ่ี พเราะที่สดุ ของเปยโน จะเปน สขี าว มี 7 อัน ในหนึ่งออ็ กเทฟ ไลเ รยี งไปตามบนั ไดเสียง ซี เมเจอร 3. เสยี งท่แี ผว เบาวเิ วกสนั โดษของเปย โน (C Major) (C D E F G A B) สว นลมิ่ นว้ิ อนั สั้นเปน สดี าํ มี 5 อนั ในหน่ึงออ็ กเทฟ 4. เสียงแฟลต หรอื ชารปทถ่ี กู แปลงเสยี งใหตา่ํ ลง หรอื สงู ขนึ้ กวา เสียงปกติ จะอยรู ะหวา งลมิ่ นวิ้ สขี าว เปน ครงึ่ ขน้ั เสยี งของ ซี เมเจอร (C Major) ในเครอื่ งดนตรี ท่อี ยูขางเคยี ง 1 ครงึ่ เสยี ง บางชนดิ เชน ฮารปซิคอรด เปนตน อาจใชสสี ลับกนั จากสีขาวเปน สีดํา และจาก วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. เพราะเสียงบนลมิ่ น้วิ ของเปย โนตามปกติ สดี าํ เปนสีขาวแตจ ะมีผังลม่ิ น้ิวทีเ่ หมอื นกนั จะมชี วงทบคแู ปด จาํ นวนล่มิ นวิ้ สขี าวจะเปน ชว งทบเสยี งปกติและลิ่มนิว้ สีดําจะเปนเสียงแฟลต หรือชารปท่ถี ูกแปลงเสยี งใหต า่ํ ลง หรอื สงู ขึน้ กวา มมุ IT เสียงปกตทิ ่อี ยูขา งเคียง 1 คร่ึงเสียง นกั เรยี นสามารถศึกษา คน ควาเพ่ิมเตมิ เกี่ยวกบั เคร่ืองดนตรสี ากล ประเภทคยี บ อรด (ลิ่มน้ิว) ไดจาก http://www.vichakarn.triamudom.ac.th 88 คมู อื ครู กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู จากตา� แหนง่ ของนว้ิ ในแผนภมู นิ จ้ี ะเหน็ วา่ ผเู้ ลน่ ตอ้ งกด หรอื เคาะหลายนวิ้ ทก่ี า� หนดลงบนลมิ่ ใหนกั เรยี นศึกษาแผนผงั การใชลิ่มน้ิวเปยโน นวิ้ ทลี ะนิ้ว พยายามไลล่ �าดับเสียงในอนุกรมเสยี งขน้ึ - ลงพร้อมกันทั้ง ๒ มือ ในระยะฝกึ หัดแรกๆ จากในหนังสือเรยี น หนา 89 จากนัน้ ครูถาม ควรปฏิบัติอย่างช้าๆ ตามองโน้ตอย่ามองที่ลิ่มนิ้ว ผู้ฝึกต้องใช้โสตประสาทจ�าเสียงให้ได้ว่าเสียง นักเรยี นวา โด เร ม ี ฯลฯ มีระดับเสยี งอยา่ งไร ถ้าเราจะเขียนแผนภูมิการใช้นิว้ บนลมิ่ น้ิวเปยี โนกบั ตวั โน้ตบน สตาฟลายน์สก็จะได้ ดังนี้ (ต้องปฏิบัตพิ ร้อมกันทง้ั ๒ มอื ) • จากภาพหมายถงึ ส่งิ ใด เม่ือมีความช�านาญขึ้นจึงหัดไล่ล�าดับเสียงขึ้นและลงอย่างรวดเร็ว ฝึกหัดต�าแหน่งข้างบนนี้ (แนวตอบ กุญแจซอล หมายถึง เสียงสูง คลอ่ งแลว้ จงึ ใหห้ ัดเปลยี่ นต�าแหนง่ การวางน้ิวทีช่ ่วงทบอยู่สงู ข้ึนไป หรือต่า� ลงมา หรอื เสยี งแหลม สาํ หรบั เปย โนจะหมายถงึ โนต ตัวอย่างเช่นน้ีใหเ้ ล่อื นตา� แหนง่ นิว้ ไปยงั ต�าแหน่งใหม ่ โดยใช้เสียง “G” เปน็ เสยี งชน้ั ท ่ี ๑ ตาม ทใี่ ชม ือขวาเลน เน่อื งจากเปน กุญแจท่ีใช แผนภมู ดิ ้านล่างน้ี บันทึกโนตทมี่ ีเสียงสูง และเมอ่ื วางมือขวาลง ถ้าเขยี นเปน็ โน้ตบนเสน้ บนั ทึกโน้ต (Stave) จะมีลกั ษณะ ดังนี้ บนคียบอรด ของเปยโน ตําแหนงของมอื ขวา จะอยใู นแถบเสยี งสงู ของเปย โน โดยกุญแจ- ซอลจะวางคาบอยูบนเสน ท่ี 2 ของบรรทดั 5 เสน ดงั น้นั โนต ท่วี างคาบอยูบนเสน ท่ี 2 จะมีคา เปนซอลตามช่อื ของกุญแจ) • จากภาพหมายถงึ สิง่ ใด (แนวตอบ กญุ แจฟา หมายถึง เสียงทมุ หรอื เสยี งตาํ่ สาํ หรบั เปย โนจะหมายถงึ โนต ทใี่ ชม อื - ซา ยเลน เนอ่ื งจากเปน กญุ แจทใ่ี ชบ นั ทกึ โนต ทมี่ เี สยี งตาํ่ และเมอื่ วางลงบนคยี บ อรด ของเปย โน ตาํ แหนง ของมอื ซา ยจะอยใู นแถบเสยี งตาํ่ ของ เปย โน โดยกุญแจฟาจะวางคาบเสนที่ 4 ของ บรรทดั 5 เสน ดงั น้ัน โนตที่วางคาบอยูบ น เสนท่ี 4 จะมีคา เปน ฟาตามชอ่ื ของกญุ แจ) • การเขียนโนต เปยโนทถี่ ูกตอ งลงบนบรรทดั 5 เสน ควรเขียนอยางไร (แนวตอบ สามารถเขยี นไดดังภาพ 89 ซง่ึ จะมีตวั เลข 1, 2, 3 อยูใตตัวโนต ตวั เลขนใี้ ชบ ง บอกวา โนต ตวั นคี้ วรใชน ว้ิ ใดเลน ) แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู เครือ่ งดนตรสี ากลชนดิ ใดมวี ธิ ีการบรรเลงเหมือนเปย โน ครูควรเชิญวิทยากรท่ีมีความเช่ียวชาญในดานการบรรเลงเคร่ืองดนตรีสากล 1. ไวบราโฟน : เปย โน มาอธบิ ายความรเู พมิ่ เตมิ เกี่ยวกับวิธีการฝก ปฏบิ ตั เิ ปย โนใหน กั เรยี นฟง 2. แอคคอรเ ดยี น ครอู าจอธิบายเพิ่มเติมเกยี่ วกับเปย โนวา สามารถแบง ออกเปน 2 ประเภท คอื 3. แมนโดลิน 4. ยโู ฟเนยี ม 1. แกรนดเปย โน เปนเปยโนท่มี สี ายและโครงวางในแนวนอน สายเสียงจะถูกขงึ ออกจากคยี บอรด ทาํ ใหม เี สยี งและลกั ษณะท่ตี างออกไปจากเปยโนตงั้ ตรง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะแอคคอรเดียนจดั เปนเครื่องดนตรี 2. อัพไรทเ ปยโน เปนเปยโนท่มี ีสายและโครงวางในแนวตง้ั ขงึ สายเปย โนตงั้ แต ประเภทคียบอรด (ลิม่ นิว้ ) เชน เดยี วกับเปย โน ลม่ิ นิ้วจะเรียงกนั เปน แผง ดา นลา งจนถงึ ดา นบนของเปย โน แตเ ปย โนประเภทนไี้ มส ามารถควบคมุ การสรา งเสยี ง การเลนจะใชม ือกดลงบนลิม่ น้วิ ของเครอ่ื งดนตรี การเกิดเสียงนน้ั จะขน้ึ อยู ไดนุมนวลเทาแกรนดเปย โน กับกรรมวธิ ีภายใน ซึง่ มลี ักษณะเปน ทอ ลมทีม่ ที ีป่ ด - เปด ทําใหเกิดเสยี ง ระดบั ตา งๆ มมุ IT นกั เรียนสามารถชมวิธีการฝก ปฏบิ ัตเิ ปย โน ไดจาก http://www.youtube.com โดยคน หาจากคาํ วา วธิ ีการฝก เปย โนเบ้อื งตน คมู ือครู 89 กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ใหนักเรียนศกึ ษาแผนผงั แบบฝก การไลน ว้ิ เมื่อฝึกหัดคล่องแล้วจะท�าให้น้ิวต่างๆ เปล่ียนต�าแหน่งได้โดยอัตโนมัติตามที่ใจประสงค์ พรอ มกนั ทง้ั 2 มอื ในกญุ แจเสียงซี เมเจอร หลักเกณฑ์ที่กลา่ วมานี้เปน็ เพียงพน้ื ฐาน ยังมเี ทคนคิ ในการเล่นเปยี โนอยู่อีกมากทีส่ ามารถศกึ ษา (C Major) และเอ ไมเนอร (A Minor) ได้อย่างไม่จบสิน้ จากหนังสอื เรียน หนา 90 พรอ้ มกันทัง้ ๓ ๒) มแือบใบนฝกกึญุ ปแฏจเบิ สตั ียสิงซา� หี เรมบั เจกอารร์ (ไCล น่Mว้ิ aบjoนr1)เ ปแยีลโะนกญุ ในแทจน่ีเสจี้ ียะงยเกอต ไวั มอเยนา่ องรแ ์บ(Aบ ฝMกึ inกoาrร)ไ ดลน่ังนวิ้ ้ี 2. ครูสาธติ วธิ ีการฝก ไลนิว้ พรอมกนั ทั้ง 2 มือ ในกญุ แจเสยี งซี เมเจอร (C Major) และเอ ไมเนอร ๑. แบบฝึกการไล่นิว้ พรอ้ มกันท้ัง ๒ มอื ในกญุ แจเสยี งซ ี เมเจอร ์ (C Major) (A Minor) ที่ถูกตองใหนักเรียนดู พรอมท้ัง ใหนกั เรียนฝกปฏบิ ัติตาม จากนน้ั ครูสมุ นักเรียน 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ กี ารฝก ไลน้วิ พรอมกันทัง้ 2 มอื ในกุญแจเสียงซี เมเจอร (C Major) และเอ ไมเนอร (A Minor) ทถี่ ูกตองใหเพือ่ นชมหนาชั้นเรียน โดยมีครูเปน ผคู อยชแ้ี นะความถกู ตอง ๒. แบบฝึกไล่นิว้ พร้อมกนั ทงั้ ๒ มือในกญุ แจเสยี งเอ ไมเนอร์ (A Minor) 90 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ใหนกั เรยี นหาภาพเปยโนคนละ 1 ภาพ จากนัน้ เขยี นอธิบาย สว นประกอบของเปย โน ลงกระดาษรายงาน ตกแตงใหส วยงาม ครคู วรเนน ใหเ หน็ วา บนั ไดเสยี งเมเจอร (Major) เปน บนั ไดเสยี งทใ่ี ชใ นบทเพลงทใี่ ห นําสง ครผู สู อน ความรูสกึ สวา ง สดใส ราเริง คึกคัก เขม แขง็ ในขณะทีบ่ ันไดเสยี งไมเนอร (Minor) นน้ั จะใชใ นบทเพลงทใี่ หค วามรสู กึ ทเ่ี ศรา และหมน หมอง หรอื ออ นหวานกวา ซง่ึ จะทาํ ให กจิ กรรมทา ทาย นกั เรยี นมคี วามรู ความเขา ใจเกยี่ วกบั บนั ไดเสยี งเมเจอรแ ละบนั ไดเสยี งไมเนอรไ ดด ยี ง่ิ ขน้ึ ใหนักเรียนท่มี คี วามสามารถดา นการเลนเปยโน ออกมาสาธติ วธิ ี นักเรยี นควรรู การฝก ไลนิ้วพรอมกันทง้ั 2 มอื ในกุญแจเสยี งซี เมเจอร (C Major) และเอ ไมเนอร (A Minor) ทีถ่ ูกตอ งใหเ พื่อนชมหนา ชั้นเรียน โดยมคี รู 1 ซี เมเจอร (C Major) ชนดิ ของการไลเ สียงตัวโนต หรือสเกลซี เมเจอร เปน ผูคอยช้ีแนะความถูกตอ ง (C Major) นนั่ เอง ในซี เมเจอร (C Major) ก็จะประกอบไปดว ยโนต โด (C) เร (D) มี (E) ฟา (F) ซอล (G) ลา (A) ที (B) ดงั ภาพ C D E F G A BC 90 คมู อื ครู กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒.๒ การบรรเลงรวมวง ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารบรรเลงดนตรแี บบรวมวง การรวมวง หรอื การประสมวง (Ensemble) หมายถงึ การจดั วงดนตรเี พอื่ การบรรเลงอยา่ งใด ใหน ักเรียนชม จากน้นั ครถู ามนกั เรยี นวา อยา่ งหน่ึง โดยน�าเอาเคร่อื งดนตรมี ารวมวงเพือ่ บรรเลงรว่ มกัน การบรรเลงรวมวงมที ัง้ การรวมวง ท่ีเป็นแบบแผนมาตรฐานและการรวมวงเครื่องดนตรีตามท่ีผู้จัดการแสดงดนตรีต้องการด้วยการ • นกั เรียนเคยชมการบรรเลงดนตรีแบบรวมวง รวมวงดว้ ยเครื่องดนตรชี นดิ ใดๆ ก็ได ้ หรอื ไม ถาเคย การบรรเลงดนตรีแบบรวมวง การบรรเลงรวมวงที่เป็นแบบมาตรฐาน เชน่ วงขนาดเลก็ เรียกกันทั่วไปว่า “วงแชมเบอร1” มีลกั ษณะเดน อยา งไร (Chamber Music) ซ่ึงเป็นการรวมวงของเคร่ืองดนตรีตั้งแต่ ๒ ถึง ๙ ช้ิน ส่วนใหญ่นิยมใช้ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ เคร่อื งดนตรีประเภทเครื่องสายเป็นส�าคญั เป็นตน้ ไดอยางอสิ ระ) ในชน้ั เรยี นน ี้ อาจมกี ารนา� เครอ่ื งดนตรมี าบรรเลงรวมวงในแบบตา่ งๆ ได ้ โดยไมจ่ า� กดั จา� นวน ของเครื่องดนตรี โดยให้ยึดหลักว่า ตอ้ งจดั ให้มอี งคป์ ระกอบของดนตรที ี่ส�าคัญประกอบกนั ขน้ึ มา • การบรรเลงดนตรีแบบรวมวง นิยมนาํ มา แสดงประกอบกิจกรรมใด (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอิสระ) ไดแ้ ก ่ ทา� นอง การประสานเสยี งลกั ษณะตา่ งๆ ของเนอื้ ดนตรแี ละองคป์ ระกอบดนตรอี น่ื ๆ ทเ่ี หมาะสม สาํ รวจคน หา Explore โดยมีเทคนิคการสร้าง การตัดกันระหว่างหน่วยท่อนของดนตรี ด้านท�านองอาจใช้เครื่องดนตรี ที่ทา� ท�านองได้อย่างใดอยา่ งหน่ึง หรอื อาจเปน็ เสยี งขบั รอ้ งก็ได ้ ใหน กั เรยี นศกึ ษา คนควา หาความรเู พมิ่ เตมิ ทงั้ น้ ี สามารถเปน็ ได้ทงั้ ท�านองเดยี่ ว หรอื ทา� นองกลมุ่ ในสว่ นของการประสานเสียง อาจใช้ เกยี่ วกับการบรรเลงรวมวง จากแหลง การเรียนรู เครอ่ื งดนตรที สี่ ามารถทา� คอรด์ ได ้ หรอื ไมก่ น็ า� เอาเครอื่ งดนตรที ท่ี า� ทา� นองได ้ ๓ - ๔ ชน้ิ มาบรรเลง ตา งๆ เชน หอ งสมุดโรงเรยี น หอ งสมุดชุมชน เป็นคอร์ดออกมา อนิ เทอรเ นต็ เปน ตน ในหัวขอ ทีค่ รูกําหนดให ดงั ตอไปน้ี 1. ลักษณะของโนตเพลง 2. วิธกี ารบรรเลงรวมวง อธบิ ายความรู Explain การบรรเลงรวมวง โดยวงซมิ โฟนีออร์เคสตรา (Symphony Orchestra) ใหนกั เรยี นรวมกันอภปิ รายเกย่ี วกับการบรรเลง ทม่ี าของภาพ http://www.cisymphony.org รวมวง ในหัวขอลักษณะของโนต เพลง ตามท่ไี ด ศึกษามา จากนนั้ ครถู ามนกั เรียนวา 9๑ • ตวั โนตมคี วามสาํ คัญอยา งไร (แนวตอบ ตวั โนต คือ สญั ลกั ษณทีใ่ ชใ นการ นําเสนอระดับเสยี งและความยาวของเสยี ง ในทางดนตรี ตัวโนตแตล ะเสยี งจะมชี อ่ื เรยี ก ประจาํ ของมันเองในแตล ะภาษา เชน โด เร มี ฟา ซอล ลา ที บางครง้ั อาจเขยี นเปน อกั ษร ละติน A ถึง G แทนโนตดนตรี เปนตน) แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด นักเรยี นควรรู การบรรเลงเพ้ียน หรอื รองเพี้ยนเกดิ จากสาเหตใุ ด 1 วงแชมเบอร นยิ มใชเครอ่ื งดนตรปี ระเภทเคร่ืองสายเปน สาํ คัญ และมชี ่อื เรียก 1. ผิดทํานอง ตา งกนั ออกไปตามจาํ นวนผบู รรเลง ดงั ตอ ไปน้ี ดโู อ (Duo) มผี บู รรเลง 2 คน ทรโี อ (Trio) 2. ผิดเนื้อรอ ง มผี บู รรเลง 3 คน ควอเตต็ (Quartet) มผี บู รรเลง 4 คน ควนิ เตต็ (Quintet) มผี บู รรเลง 3. ผดิ ความเรว็ จังหวะ 5 คน เซก็ ซเ ตต็ (Sextet) มผี บู รรเลง 6 คน เซฟเ ตต็ (Septet) มผี บู รรเลง 7 คน 4. ผิดลักษณะจังหวะ ออคเตต็ (Octet) มผี แู สดงจาํ นวน 8 คน และโนเนต็ (Nonet) มผี แู สดงจาํ นวน 9 คน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. เพราะเพย้ี น คอื เสยี งทไ่ี มตรงกบั ระดบั มุม IT ทถี่ กู ตอ ง เพยี้ นก็คือผดิ แตเปน การผดิ เพยี งเลก็ นอย ไมวาเสยี งรอง นกั เรยี นสามารถศกึ ษา คน ควา เพมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั วงแชมเบอร (Chamber Music) หรอื เสยี งดนตรี ถาหากวา ไมต รงกบั ระดับเสียงทถี่ ูกตอ ง แมแ ตเ พียง ไดจ าก http://www.culture.go.th เล็กนอ ยกเ็ รยี กวา “เพย้ี น” ทง้ั สน้ิ คมู อื ครู 91 กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ใหนักเรียนรวมกันอภปิ รายเกย่ี วกับการบรรเลง ๒) วธิ ีการบรรเลงรวมวง สามารถปฏิบตั ไิ ด้ ๕ วธิ ี ซ่งึ แตล่ ะวธิ ีใหใ้ ชเ้ พลงทกี่ �าหนด รวมวง ในหวั ขอ วธิ ีการบรรเลงรวมวง ตามที่ได ศึกษามา ให้บรรเลง ดังน้ี ๑. การเลน่ รวมวงวธิ ที ่ี ๑ คอื การใชเ้ ครอ่ื งดนตรที ต่ี นถนดั เลน่ ทา� นอง หรอื ขบั รอ้ ง 2. ครเู ปดซีดี หรือดีวดี ี หรอื สอ่ื อินเทอรเนต็ เพลง Lula Lula ใหนักเรียนฟง พรอ มทั้งให ประสานเสยี งแบบ ๒ แนวอยา่ งง่าย ไปตามโน้ต ใชเ้ บส กลอง และกีตารด์ �าเนินคอร์ดเปน็ เครอื่ ง- นกั เรียนศึกษาแผนผังโนต เพลง Lula Lula ประกอบจังหวะ จากในหนงั สือเรียนหนา 92 ตัวอยา่ ง เพลง Lula Lula 3. ครสู าธติ วธิ กี ารขบั รอ งเพลง Lula Lula ทถ่ี กู ตอ ง ใหนกั เรียนฟง จากนัน้ ใหนักเรียนฝก ปฏิบตั ติ าม เพลงประสานเสยี ง ๒ แนว Dm เพลงพน้ื เมอื งอเมรกิ นั และปรบมอื ประกอบตามจงั หวะเพลงจากนน้ั ครูสุม นกั เรียน 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ กี าร 1 24 C lu la le lu la lu la le lu la ขับรองเพลง Lula Lula ทถี่ กู ตอ งใหเ พอ่ื นชม Lu la le หนา ชนั้ เรยี น โดยมคี รเู ปนผคู อยชแ้ี นะ lu la le lu la lu la le lu la ความถกู ตอง จากน้ันครถู ามนักเรยี นวา 2 42 • เน้ือเพลง Lula Lula สะทอ นใหเ หน็ ถึงสิง่ ใด lu la le C (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ G7 ไดอ ยางอสิ ระ) 1 lu la lu la lu la lu la le lu la le 2 lu la lu la lu la Dlu m la le G7 lu la le 1 lu la le lu la lu la le lu la lu la lu la 2 lu la lu la le lu la lu la lu la lu la le C 1 le 2 le 9๒ มมุ IT กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรยี นสามารถฟง เพลง Lula Lula ไดจาก http://www.youtube.com ใหนักเรยี นศึกษาหาความรเู พิม่ เตมิ เกี่ยวกับประวตั เิ พลง Lula Lula โดยคนหาจากคําวา เพลง Lula Lula เขยี นสรปุ สาระสําคญั ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผสู อน กิจกรรมทา ทาย ใหนักเรียนฝกแตง เพลงโดยนาํ ทํานองเพลง Lula Lula มาใช พรอ มกบั ต้งั ช่อื เพลง จากนน้ั นาํ เสนอผลงานใหเพื่อนชมหนา ช้นั เรยี น โดยมีครูเปน ผูชี้แนะความถูกตอ ง 92 คูมือครู กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู 1. ครสู มุ นักเรียน 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม ดังตอไปนี้ ไปตามโน้ตโดย๒ใช.้เกบาส1ร เกลล่นอรงว มแวลงะวกธิ ีตีทา่ี ร๒2ด์ า�คเอื น นิกาครอใรช์ดเ้ คเปรน็อ่ื เงคดรน่อื ตงรปที รตี่ะกนอถบนจดั งั เหลวน่ ะท�านอง หรือขับร้อง • การบรรเลงรวมวงสามารถทําไดก ่วี ธิ ี ตัวอย่าง เพลง She’ll be Coming Round the Montain อะไรบาง (แนวตอบ สามารถทาํ ได 5 วธิ ี คอื 1. การใชเ คร่ืองดนตรีท่ีตนถนดั เลน ทาํ นอง เพลงพนื้ เมืองอเมรกิ ัน หรือขับรองประสานเสยี งแบบ 2 แนว อยา งงายไปตามโนต โดยใชเบส กลอง 1. She’ll be com -ing round the moun -tain when she comes. และกีตารด าํ เนินคอรด ประกอบจงั หวะ 2. การใชเครื่องดนตรีที่ตนถนัดเลนทาํ นอง และขบั รอ งไปตามโนต โดยใชเ บส กลอง She’ll be com -ing round the moun -tain when she และกีตารด ําเนินคอรด ประกอบจังหวะ 3. การใชเคร่ืองดนตรที ่ีตนถนัดเลน ทํานอง come she’ll be steam -ing and a และขับรอ งแบบซอนทาํ นองไปตามโนต ใชเ บส กลอง และกีตารดําเนินคอรด ประกอบจังหวะ puff -ing Oh Lord She won’t stop for no- thing she’ll be 4. การใชเ ครือ่ งดนตรที ตี่ นถนดั เลนทาํ นอง และขบั รองตามโนต เพลงทผี่ เู ขยี นไดแ ยก com -ing round the moun -tain when she comes. โนต ไวเ ปน กลางๆ โดยใชเบส กลอง และ ๓. การเลน่ รวมวงวธิ ที ี่ ๓ คอื การใชเ้ ครอื่ งดนตรที ตี่ นถนดั เลน่ ทา� นองและขบั รอ้ งแบบ กีตารด าํ เนินคอรด ประกอบจงั หวะ) ซอ้ นทา� นอง (Counter Melody) ไปตามโนต้ ใชเ้ บส กลอง และกตี ารค์ อรด์ เปน็ เครอื่ งประกอบจงั หวะ 5. การใชเ ครอื่ งดนตรที ต่ี นถนดั เลน ทาํ นองและ ขบั รอ งแบบวนไปตามโนต โดยใชเ บส กลอง และกตี ารด าํ เนนิ คอรด ประกอบจงั หวะ ตัวอย่าง เพลง Planting Rice 2. ครูเปด ซดี ี หรือดวี ีดี หรอื ส่ืออนิ เทอรเ นต็ เพลง 42 C ne -ver เพลงพนื้ เมอื งฟลิ ิปปินส์ She'll be Coming Round the Montain riceG 7is fun Bent from morn’ til set of ใหน กั เรยี นฟง พรอ มทงั้ ใหน กั เรยี นศกึ ษาแผนผงั GPlant -ing โนต เพลง She'll be Coming Round the Montain จากในหนังสอื เรยี น หนา 93 3. ครสู าธติ วธิ กี ารขบั รอ งเพลง She'll be Coming sunC can -not stand and can -not sit, Can -not rest for a lit -tle Round the Montain ทถ่ี กู ตอ งใหน กั เรยี นฟง พรอ ม ทง้ั ใหน กั เรยี นฝก ปฏบิ ตั ติ ามและปรบมอื ประกอบ ตามจงั หวะเพลง จากนนั้ ครสู มุ นกั เรยี น 2-3 คน bit ออกมาสาธติ วธิ กี ารขบั รอ งเพลง She'l be Coming 93 Round the Montain ทถ่ี กู ตอ งใหเ พอื่ นฟง หนา ชนั้ - แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด เรยี น โดยมคี รเู ปน ผคู อยชแี้ นะความถกู ตอ ง นกั เรยี นควรรู “การขบั รองท่มี ผี ขู ับรอ งต้ังแต 2 คน ขึ้นไป รองเพลงแนวทํานองเดยี วกนั 1 เบส (Bass) เปน เครื่องดนตรปี ระเภทเครอ่ื งสาย ลกั ษณะของเบสจะมีรูปรา ง แตเ รม่ิ ตน และจบไมพ รอ มกนั ” ขอ ความนบี้ ง บอกลกั ษณะการขบั รอ งในรปู แบบใด ใหญก วา กตี าร มโี ครงสรา งของคอทใี่ หญแ ละยาวกวา มหี นา ทหี่ ลกั ในการใหจ งั หวะ คอื คุมจงั หวะตาม Rhythm, Line, Pattern และ Groove ของดนตรี 1. การขบั รองแบบเดยี่ ว 2 กตี าร (Guitar) เปน เคร่ืองดนตรีประเภทเครอ่ื งสาย มกั จะเลน ดว ยนวิ้ มือซาย 2. การขบั รองแบบหมู และดีดดว ยน้ิวมือขวา หรอื ใชป ก ดดี กตี าร นบั เปนเคร่อื งดนตรีทีน่ ยิ มนํามาใชใ นการ 3. การขับรอ งแบบประสานเสียง บรรเลงเดยี่ ว และยงั เปนเครอื่ งดนตรีหลกั ในวงดนตรีตา งๆ อกี ดว ย 4. การขับรอ งแบบราวด วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะการขบั รอ งแบบราวนด หรอื ทเี่ รยี กกนั ทัว่ ไปวา “แบบวน” หรอื “เพลงวน” เปนการขับรอ งท่มี ีผูขับรองต้งั แต 2 คน หรอื 2 กลุม ขึ้นไป รอ งเพลงแนวทาํ นองเดยี วกนั แตเ รม่ิ ตน และจบ มุม IT ไมพ รอ มกัน สว นจะรอ งกีเ่ ทย่ี วน้นั ขึน้ อยูกับการตกลงของผขู ับรอง หรอื ผคู วบคมุ นักเรยี นสามารถฟงเพลง She'll be Coming Round the Montain ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคําวา She'll be Coming Round the Montain คมู อื ครู 93 กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครเู ปดซีดี หรอื ดีวดี ี หรือสือ่ อนิ เทอรเนต็ เพลง- 24 C fun Bent from morn’ til set of Planting Rice และเพลง Turkey in the Straw riceG7is ne -ver ใหน ักเรยี นฟง พรอมใหน ักเรียนศึกษาแผนผงั GPlant -ing โนต เพลง Planting Rice และเพลง Turkey in the Straw จากในหนังสือเรียน หนา 93 - 94 sunC can -not stand and can -not sit, Can -not rest for a lit -tle 2. ครูสาธิตวิธีการขบั รองเพลง Planting Rice bit และเพลง Turkey in the Straw ทถี่ ูกตอง ใหน กั เรยี นฟง พรอ มทง้ั ใหน กั เรยี นฝก ปฏบิ ตั ติ าม ๔. การเลน่ รวมวงวธิ ที ่ี ๔ คอื การเลน่ ดนตรี หรอื ขบั รอ้ งตามโนต้ เพลงใดเพลงหนงึ่ และปรบมือประกอบตามจังหวะเพลง จากนน้ั เซคึ่งรผ่อื ู้เงขปียรนะไกดอ้แบยจกังโหนว้ตะไไวด้ก้แลกา่งเๆบสสก�าหตี ารรับค์ เคอรรด์่ืองแดลนะตกรลีหอลงักใหขแ้อตง่ลวงะวงคสือร้าเงคกรร่ือะสงวCนจ, งั Bหbว,ะ1ขEนึ้ bมาสเ่วอนง ครูสุมนกั เรยี น 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ ีการขบั รองเพลง Planting Rice และเพลง Turkey in the Straw ทถ่ี ูกตองใหเพื่อนชมหนาชนั้ เรียน โดยมีครูเปนผคู อยช้แี นะความถูกตอง ตวั อย่าง เพลง Turkey in the Straw เพลงพน้ื เมอื ง2อเมริกนั D7 Gto the left. And we charge 24 G Oh we charge to the right. And we walk and we walk. Am D7 G And we walk all night On the heel D7 and the toe. And a half way round. G D7 G On the heel and the toe. And the new boy found. 94 นกั เรยี นควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 กระสวนจงั หวะ รปู แบบจังหวะทีใ่ ชในการประพนั ธเ พลงแตล ะเพลง ใหนกั เรียนเลอื กบทเพลงท่ีสนใจ 1 เพลง คือ เพลง Planting Rice 2 เพลงพน้ื เมอื ง เพลงท่ถี กู แตงข้ึนโดยสว นมากจะรองตอๆ กันมา หรอื Turkey in the Straw จากนน้ั คดิ ทา ทางประกอบเพลง ออกมานาํ เสนอ โดยไมท ราบผแู ตงท่แี ทจ ริง และใชรองราํ ทําเพลงเพ่ือสรางความสนกุ สนาน ผลงานใหเพอ่ื นชมหนา ชน้ั เรียน โดยมีครเู ปนผคู อยชแี้ นะความถกู ตอ ง สว นมากรายละเอียดของเพลงทองถิ่นนี้จะเกิดข้นึ จากวฒั นธรรม ประเพณี กิจวตั รประจาํ วัน และการประกอบอาชพี กจิ กรรมทา ทาย มุม IT ใหน กั เรยี นฝก แตง เพลงไทยสากล 1 เพลง โดยใชท าํ นองของเพลง Planting Rice หรือ Turkey in the Straw จากนั้นออกมานาํ เสนอ นกั เรียนสามารถฟง เพลง Planting Rice ไดจาก http://www.youtube.com ผลงานใหเ พ่อื นชมหนา ชั้นเรยี น โดยมีครูเปนผูค อยชแ้ี นะความถูกตอง โดยคนหาจากคําวา Planting Rice 94 คูมือครู กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขาใา จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain 1. ครูเปดซดี ี หรือดวี ดี ี หรือสื่ออินเทอรเนต็ เพลง I love the Compfifi re ใหน กั เรียนฟง พรอ มให ๕. การเลน่ รวมวงวธิ ที ่ี ๕ คอื การใชเ้ ครอ่ื งดนตรที ตี่ นถนดั เลน่ ทา� นอง หรอื ขบั รอ้ ง นักเรียนศึกษาแผนผังโนต เพลง I love the แบบวน (Round) ไปตามโน้ต ใช้เบส กลอง และกีตารค์ อรด์ เป็นเคร่ืองประกอบจงั หวะ Compfifire จากหนังสอื เรยี นหนา 95 ตวั อย่าง เพลง I Love the Campfire 2. ครสู าธติ วธิ กี ารขบั รอ งเพลง I love the Compfifire ทถ่ี กู ตอ งใหนกั เรียนฟง จากน้นั ใหน ักเรียน เพลง round เพลงพืน้ เมอื งอเมริกัน ฝกปฏบิ ตั ิตามพรอมปรบมอื ประกอบตาม 1. F Dm Gm C7 จงั หวะเพลง แลวออกมาสาธติ วธิ กี ารขับรอ ง เพลง I love the Compfifi re ท่ีถูกตองใหเ พ่อื น ฟง หนาช้ันเรยี น โดยมคี รเู ปน ผคู อยชแี้ นะ I love the moun -tains I love the rolling hills. ความถูกตอง 2. ขยายความเขา ใจ I love the flowers. I love the daffo- dils. E×pand 1. ใหน กั เรียนรวมกันสรปุ สาระสาํ คัญเกย่ี วกบั 3. การบรรเลงเคร่อื งดนตรสี ากล ลงกระดาษ รายงาน นาํ สง ครผู สู อน 2. ใหน ักเรียนฝกการขับรองเพลงสากล I love the camp -fire when the light are low ตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง โดยเลอื ก 4. จากเพลง Lula Lula เพลง She'll be Coming Round the Montain เพลง Planting Rice boom -di -a -la boom -di -a boom -di -a -la- ha -ha เพลง Turkey in the Straw และเพลง I Love the Compfifi re ฝกปฏบิ ตั ิจนเกิดความชํานาญ จากน้ันออกมาขับรอ งเพลงสากลใหเ พือ่ นฟง หนาช้ันเรยี นโดยมคี รูเปนผูคอยช้แี นะ การฝึกปฏิบตั ิ หรอื การเล่นดนตรี ควรเรมิ่ ต้นดว้ ยการรจู้ กั ใชเ้ ครื่องกระทบบรรเลงส่วนจังหวะ ความถกู ตอ ง ใหแ้ ม่นย�าและเทย่ี งตรงกอ่ น เพราะจงั หวะ คือ ชีพจร หรือชวี ติ ของดนตรี ตอ่ จากนนั้ จงึ ฝึกเล่น เดี่ยวเคร่อื งดนตรีที่ใช้บรรเลงท�านองได้ตามโน้ตเพลงทกี่ �าหนด ฝกึ จนกระทง่ั สามารถบรรเลงโนต้ แรกทเ่ี หน็ ไดอ้ ยา่ งทนั ทว่ งท ี แลว้ จงึ นา� เครอื่ งดนตรขี องตนไปบรรเลงประสมวงกบั เครอ่ื งดนตรขี อง ตรวจสอบผล Evaluate นักดนตรีคนอื่นๆ ตามลักษณะของการรวมวง การปฏิบัติเช่นนี้จะท�าให้เราสามารถควบคุม 1. ครูพิจารณาจากการสรุปสาระสาํ คญั เกย่ี วกับ เครือ่ งดนตรีของตนไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ การบรรเลงเครือ่ งดนตรสี ากลของนกั เรยี น 2. ครพู ิจารณาจากการฝก ปฏบิ ตั ิการขับรอ ง เพลง Lula Lula เพลง She'll be Coming Round the Montain เพลง Planting Rice 95 เพลง Turkey in the Straw และเพลง I love ขอสอบ O-NET the Campfiire ของนักเรียน ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั คา ของตวั โนต เกรด็ แนะครู จาํ นวน 20 ตัว มีคาเทา กับ จาํ นวนก่ตี วั ครูควรอธิบายความรเู พมิ่ เติมเกย่ี วกบั การแบง ระดบั เสียงในการขับรอง 1. 100 ประสานเสียงวา สามารถแบงระดับเสียงของผูขบั รองเปน ก่ีกลุม หรือกแ่ี นวก็ได 2. 90 แตท ถ่ี อื เปน มาตรฐานและเปนท่ีนยิ มกันทั่วไป คอื แบง เปน 4 แนว ดังตอไปน้ี 3. 80 1. แนวโซปราโน (Soprano) เปนระดับเสยี งสงู สดุ ของผูห ญงิ 4. 60 2. แนวอัลโต (Alto) เปนระดับเสียงตา่ํ ของผูหญงิ 3. แนวเทเนอร (Tenor) เปน ระดับเสียงสูงสดุ ของผชู าย วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะโนต ตัวกลม 1 ตัว จะไดโนตตัวขาว 4. แนวเบส (Bass) เปน ระดบั เสยี งตํ่าของผูช าย ซง่ึ จะทําใหน กั เรยี นมีความรู ความเขา ใจเกย่ี วกบั การแบง ระดับเสียง 2 ตัว โนตตวั ขาว 2 ตวั จะไดโ นตตัวดาํ 4 ตวั เมอื่ มีโนต ตวั กลม 20 ตัว ในการขับรอ งประสานเสยี งไดดยี ง่ิ ข้ึน ก็จะเทา กบั โนตตัวดาํ 80 ตวั คมู อื ครู 95 กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูชักชวนนักเรียนสนทนาเกย่ี วกบั การประเมนิ ó. ¡ÒûÃÐàÁ¹Ô ¤ÇÒÁÊÒÁÒö·Ò§´¹µÃÕ ความสามารถทางดนตรี จากนั้นครถู ามนกั เรียนวา เมอ่ื ผเู้ รยี นไดฝ้ กึ ขบั รอ้ งและบรรเลงดนตรสี ากลแลว้ หลงั จากการฝกึ ปฏบิ ตั กิ จ็ ะตอ้ งรจู้ กั วธิ กี าร ประเมนิ ตนเองดว้ ยวา่ ความสามารถในการขบั รอ้ ง หรอื เลน่ เครอ่ื งดนตรสี ากลของตนอยู่ในระดบั ใด • เพราะเหตุใดจงึ ตองมีการประเมนิ มขี อ้ ดที ่ีควรสานต่อ หรอื มีข้อบกพร่องใดบ้าง จะไดด้ า� เนนิ การแกไ้ ข ความสามารถทางดนตรี การประเมนิ ความสามารถทางการปฏบิ ตั ดิ นตรสี ากล หมายถงึ การประเมนิ วา่ ผเู้ รยี นสามารถ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ ไดอยา งอสิ ระ) สาํ รวจคน หา Explore ขับร้อง หรือบรรเลงเครื่องดนตรีที่ครูฝึกให้ได้ถูกต้อง ครบถ้วน และเหมาะสมกับระดับชั้นเรียน ตามทค่ี รผู สู้ อนตง้ั เปา้ หมายไว ้ สง่ิ สา� คญั ทตี่ อ้ งประเมนิ มอี ย ู่ ๓ ประการ คอื ความถกู ตอ้ งของจงั หวะ ใหนักเรยี นศึกษา คน ควา หาความรูเพมิ่ เติม ทง้ั จงั หวะหลกั และลกั ษณะจงั หวะ ความแมน่ ยา� ในการปฏบิ ตั ติ ามเครอ่ื งหมายและสญั ลกั ษณต์ า่ งๆ เกีย่ วกับการประเมนิ ความสามารถทางดนตรี รวมทัง้ การควบคุมคุณภาพเสยี งในการขบั ร้องและการบรรเลง โดยสามารถประเมนิ ได้ ดงั นี้ จากแหลงการเรยี นรูตางๆ เชน หองสมดุ โรงเรยี น ๑) ความถกู ตอ้ งในการขบั รอ้ งและบรรเลง การประเมนิ ความถกู ตอ้ งในการขบั รอ้ ง หอ งสมดุ ชมุ ชน อินเทอรเ นต็ เปน ตน และบรรเลง ทง้ั เดยี่ วและรวมวง ต้องประเมนิ ใน ๓ องค์ประกอบ ดงั นี้ ในหัวขอ ทค่ี รกู าํ หนดให ดังตอไปนี้ ๑.๑) การควบคุมการดา� เนนิ จงั หวะ คือ ประเมนิ วา่ นักรอ้ งและนกั ดนตรีสามารถ ควบคุมการด�าเนินจังหวะได้ดีมากน้อยเพียงใด สามารถประเมินได้จากการขับร้องและบรรเลงว่า 1. ความถกู ตองในการขบั รอ งและบรรเลง มีความสม�่าเสมอ ถูกต้อง และเท่ียงตรงกับจังหวะหลักท่ีเครื่องหมายก�าหนดจังหวะ (Meter) 2. ความแมนยาํ ในการอานเครอ่ื งหมาย อกาา� หจปนรดะจเดุมเินนไน้ ดจ้จงั าหกวกะแารลใะชจ้เา� คนรวื่อนงเจคับาะจจังงัหหววะ1ะ ต(Mอ่ หeอ้trงoไnวoไ้ ดmห้ eร)อื ไเมป ่็นแเลคะรดื่อมี งาชก่วนยอ้ ตยรเวพจยี สงอใดบ กน็ไอดก้ จทาก้ังนนี้ ี้ นกั ดนตรีทุกคนจะต้องฝึกการอ่านโนต้ ให้ถกู ต้องเสียก่อน จึงจะสามารถเขา้ จงั หวะแรกได้ และสญั ลักษณ ๑.๒) การสวมจังหวะหน้าทับ (Rhythms) หรือเรียกตามแบบดนตรีสากลว่า 3. การควบคมุ คณุ ภาพเสียงในการขับรอง และบรรเลง อธบิ ายความรู Explain “ลักษณะจงั หวะ” คือ การประเมินวา่ นักร้อง หรือนักดนตรสี ามารถขบั รอ้ ง หรือบรรเลงสวมจงั หวะ ใหนักเรยี นรว มกันอภปิ รายเก่ยี วกบั การประเมิน หนา้ ทบั ไดถ้ กู ตอ้ งและทนั ทว่ งทมี ากนอ้ ยเพยี งใด กลา่ วคอื นกั ดนตรตี อ้ งสามารถควบคมุ การขบั รอ้ ง ความสามารถทางดนตรี ในหัวขอความถกู ตอง หรอื บรรเลงให้ไดจ้ งั หวะคงทต่ี ามจังหวะหลกั และต้องจบั ทางใหไ้ ดว้ า่ จังหวะหน้าทบั หรอื ลักษณะ ในการขบั รองและบรรเลงตามท่ีไดศ กึ ษามา จงั หวะนนั้ ๆ ยดื หรอื ซอยออกมาจากจงั หวะหลกั อยา่ งไร จากนน้ั ครถู ามนักเรียนวา ๑.๓) ในการขบั รอ้ ง หรอื บรรเลงไดท้ นั กบั อตั ราความเรว็ (Tempo2) ของการดา� เนนิ จังหวะ ทัง้ จังหวะหลกั และจงั หวะหนา้ ทับ โดยพิจารณาวา่ นกั รอ้ งและนักดนตรสี ามารถปฏบิ ตั ไิ ด้ดี • การประเมนิ ความถกู ตองในการขบั รอง มากน้อยเพียงใด และบรรเลงจะตอ งประเมนิ จากองคป ระกอบใด ๒) ความแม่นย�าในการอ่านเครื่องหมายและสัญลักษณ คือ การประเมินความ (แนวตอบ ประเมินจากการควบคุมการดําเนิน แม่นย�าในการอ่านเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ ท่ีบันทึกไว้ในแผ่นโน้ตเพลง เครื่องหมาย จังหวะ การสวมจงั หวะหนาทบั และในการ และสัญลกั ษณ์สา� คญั ของดนตรีสากล นอกจากบรรทัด ๕ เสน้ โน้ตสากล เคร่ืองหมายพักเสยี ง ขบั รอ ง หรอื บรรเลงไดทันกบั อตั ราความเร็ว) เครื่องหมายก�ากับจังหวะ และเคร่ืองหมายแปลงเสียงท่ีผู้เรียนควรทราบ เพราะเป็นพ้ืนฐานของ 96 ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การประเมนิ ความถูกตองในการขับรอ งและบรรเลงตองประเมินในหลาย นักเรยี นควรรู องคประกอบ ยกเวน ขอใด 1. การสวมจังหวะหนาทับ 1 เครือ่ งจับจงั หวะ เครื่องมอื ท่ีมกี ลไกในการใหเสยี งบอกจังหวะทเี่ ท่ยี งตรง 2. การควบคมุ การดําเนินจังหวะ สามารถปรับระดับความเร็วไดตามตองการ ประดษิ ฐข ้ึนโดยชาวเยอรมนั 3. การขับรอง หรือบรรเลงไดอ ยางไพเราะ ช่ือจอหน แมลเซล (John Maelzel) ซงึ่ เครอื่ งจับจังหวะที่พบเหน็ กนั บอ ยคร้งั 4. การขับรอ ง หรอื บรรเลงไดท นั กับอัตราความเรว็ ของการดาํ เนนิ จงั หวะ คือ แบบเขม็ สามารถปรับความเร็วในการนบั ไดโดยการเลือ่ นหลักที่ติดอยกู ับเขม็ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะการประเมนิ ความถูกตอ ง 2 Tempo (เทมโป) หมายถึง ความเรว็ ในการเลน เครอื่ งดนตรี เปนองคประกอบ ในการขับรองและบรรเลง จะประเมนิ จากการควบคุมการดาํ เนินจงั หวะ สําคัญของการประพันธง านดนตรี ซง่ึ มีผลตอ อารมณแ ละความยากงายในการเลน การสวมจังหวะหนาทบั และการขับรอ ง หรือบรรเลงไดท ันกับอัตราความเรว็ ผลงานช้ินนน้ั ๆ งานประพันธดนตรแี ตละชนิ้ จะระบุเทมโปไวท่ตี อนตน ในปจ จุบัน ไมไ ดป ระเมินจากการขบั รอ ง หรือบรรเลงไดอยา งไพเราะเพียงอยางเดยี ว จะระบุเปน (คร้ังตอ วนิ าที) หมายความวา โนต แตล ะตัวจะตองถกู เลนดวย จาํ นวนกค่ี รง้ั ตอ นาที หากงานประพันธช น้ิ ใดมีคา เทมโปสงู โนตตัวนัน้ กจ็ ะตองเลน ดว ยความเรว็ สูงขน้ึ จาํ นวนคร้งั มากข้ึนในหนึ่งนาที 96 คูมอื ครู กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขาใา จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู การเรียนดนตรีสากลแล้ว ยังมีเคร่ืองหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ต้องเรียนรู้และฝึกปฏิบัติตาม ใหนกั เรยี นรวมกนั อภิปรายเก่ยี วกบั การ อกี มากมาย เชน่ เคร่ืองหมายประจา� กญุ แจเสียงท่ีมีอย ู่ ๒ ชนิด คอื เครื่องหมายจีเคลฟ (G Clef) ประเมนิ ความสามารถทางดนตรี ในหวั ขอ ความ แสดงให้รู้ว่าโน้ตแผ่นน้ันเป็นโน้ตส�าหรับเคร่ืองดนตรีเสียงแหลม เช่น ไวโอลิน (Violin) กีตาร ์ แมนยาํ ในการอา นเครื่องหมายและสัญลักษณ และ (Guitar) หรอื นกั ร้องเสยี งแหลม เปน็ ตน้ เครื่องหมายเอฟเคลฟ (F Clef) ทีแ่ สดงให้รวู้ า่ เป็นโนต้ การควบคมุ คณุ ภาพเสียงในการขับรองและบรรเลง นสา�ักหรอ้รับงเเสคียรง่ือทงดุ้มนตตา�่ รเเี ปสน็ยี งตเน้ บ สเค เรชื่อน่งห กมีตาายรปเ์ รบะสจ า� (จBังaหsวsะ 1 G(Tuiimtaer) Sดigบั nเaบtลิurเeบ)ส เช(Dน่ o 42u b, le43 ,B44a sเsป)็น ตห้นรือ ตามทีไ่ ดศ กึ ษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา ท้ังน้ี ก่อนการประเมินผู้ประเมินควรอ่านเครื่องหมายและสัญลักษณ์ให้ได้เสียก่อน และต้องปฏบิ ตั ิตามเครอ่ื งหมายและสัญลกั ษณ์อยา่ งเคร่งครดั ขณะฝกึ ด้วย • การประเมินความสามารถทางดนตรี มคี วามสําคญั อยางไร ๓) การควบคมุ คุณภาพเสียงในการขับรอ้ งและบรรเลง สามารถประเมินได้จาก (แนวตอบ การประเมินความสามารถทาง ดนตรี เปน เครอ่ื งมือที่ชว ยทาํ ใหผูป ระเมิน การขบั รอ้ งและบรรเลงของนกั รอ้ งและนกั ดนตรวี า่ สามารถรกั ษาลกั ษณะเสยี งขบั รอ้ ง หรอื บรรเลง รจู กั คุนเคย เขาใจ และเขา ถงึ ความงาม ให้สม�่าเสมอตลอดบทเพลงได้ดีมากน้อยเพียงใด มีส�าเนียงเพลงเหมาะสมกับสาระและอารมณ์ หรือสุนทรียะของผลงานทางดนตรไี ดอ ยาง ที่ควรจะเป็นของบทเพลงหรือไม่ มีเสียงเพี้ยนปรากฏสอดแทรกออกมาหรือไม่ ซึ่งการท่ีนักร้อง ถูกตอ ง จนสามารถตัดสนิ หรอื ประเมินคา และนกั ดนตรจี ะขบั รอ้ ง หรอื บรรเลงใหไ้ ดเ้ สยี งทมี่ คี ณุ ภาพนนั้ ยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั การฝกึ ฝนอยา่ งถกู วธิ ี ความงามของผลงานทางดนตรีไดอ ยาง และความขยันหมนั่ เพียร ฝกึ ซอ้ มปฏบิ ัติอยเู่ ป็นประจา� ดังท่ีไดอ้ ธิบายไว้แลว้ ในขา้ งต้น เทยี่ งตรง) • การประเมนิ ความสามารถทางดนตรี ในดานการแสดงออกนกั เรยี นจะตอง ยึดหลกั การใดมาใชใ นการประเมิน (แนวตอบ ในการประเมินดานการแสดงออก ใหป ระเมนิ โดยถามความคดิ เหน็ ของตนเอง ตอบตนเอง และใหร ะดับคะแนนดวย คําถาม ดงั ตอไปน้ี 1. ผขู ับรอ งสามารถใชคุณภาพเสยี งเปลง ถอ ยคําภาษาของบทรองดว ยลลี าทา ทาง ที่เหมาะสมกบั อารมณของบทเพลงไดดี มากนอยเพยี งใด 2. ผูขับรองสามารถขับรองไดผสมกลมกลืน กบั วงดนตรี (ถา ม)ี ไดด มี ากนอ ยเพยี งใด) ขยายความเขา ใจ E×pand 9๗ ใหนักเรยี นรวมกันสรปุ สาระสําคญั เกยี่ วกบั การประเมินความสามารถทางดนตรี ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครผู ูสอน กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรียนควรรู ใหน กั เรยี นสัมภาษณเพ่ือนรว มชน้ั เรียนเก่ยี วกบั การประเมิน 1 เคร่อื งหมายประจาํ จังหวะ เครื่องหมายท่ีใชส าํ หรับกําหนดอตั ราจงั หวะ ความสามารถทางดนตรี เขยี นสรปุ สาระสําคญั ลงกระดาษรายงาน ของเพลง โดยใชตัวเลขเปน เคร่อื งหมายเพื่อบอกคา ของจังหวะตา งๆ จะบันทกึ ไว นําสงครผู ูส อน ตอนหนาของบทเพลง เปน เลข 2 ตวั คือ มีตวั บนและตวั ลาง เลขตวั บน หมายถึง อัตราจังหวะใน 1 หอ งดนตรี วาจะมีทงั้ ตวั โนต หรือตวั หยดุ เมอ่ื รวมกันแลวจะเทา กบั กจิ กรรมทา ทาย ตัวเลขตัวนพ้ี อดตี อ 1 หอ ง สว นเลขตวั ลา ง หมายถึง คาของตวั โนต ทก่ี าํ หนดวา ตัวโนตตวั ใดจะมีคา เทา กบั 1 จงั หวะ คอื นับเปน 1 จงั หวะ รวมทัง้ ตัวหยดุ ประจํา ใหน ักเรียนเลือกฟง เพลงตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง ตัวโนตตวั นั้นดว ย จากน้ันนําเกณฑการประเมินความสามารถทางดนตรีมาใชในการประเมิน วาบทเพลงนม้ี ีความเหมาะสมหรือไม อยา งไร ลงกระดาษรายงาน โดยมีการกําหนดดงั ตอ ไปน้ี โนต ตวั กลม แทนดวยตวั เลข 1 โนตตวั ขาว นําสงครผู ูส อน แทนดวยตวั เลข 2 โนต ตวั ดํา แทนดว ยตวั เลข 4 โนต ตวั เขบต็ 1 ช้ัน แทนดว ย ตัวเลข 8 โนต ตัวเขบ็ต 2 ชนั้ แทนดว ยตวั เลข 16 โนต ตวั เขบต็ 3 ช้นั แทนดว ย ตวั เลข 32 โนตตัวเขบต็ 4 ช้ัน แทนดวยตวั เลข 64 ตัวโนต อ่ืนๆ กจ็ ะมกี ารบวกตัวเลข ข้ึนไปทลี ะเทาตวั ตามลําดบั คูม อื ครู 97 กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครพู ิจารณาจากการสรุปสาระสําคัญเกย่ี วกับ กิจกรรม ศิลปปฏบิ ตั ิ ๕.๑ การประเมินความสามารถทางดนตรีของนักเรยี น หลักฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรมท่ี ๑ ให้นักเรียนเลือกเพลงไทยสากลท่ีเป็นเพลงร้องท่ีนักเรียนส่วนใหญ่ชอบมา ๑ เพลง กจิ กรรมท่ี ๒ และฝึกขับร้องตามตน้ แบบจนคล่อง จากนัน้ จงึ ไปทดสอบกบั ครูผสู้ อนเพือ่ ให้คะแนน 1. ผลการสรปุ สาระสาํ คัญเกย่ี วกบั ใหน้ กั เรยี นจบั คกู่ นั เลอื กเครอ่ื งดนตรตี ามความถนดั มาคลู่ ะ ๑ ประเภท พรอ้ มทง้ั เลอื ก การขบั รองเพลงสากล กจิ กรรมท่ี ๓ เพลง เพอื่ ทา� การซ้อมเลน่ ดนตรี ฝึกซ้อมเป็นคู่จนช�านาญ จากนัน้ จึงไปทดสอบกบั ครูผสู้ อน 2. ผลการปฏิบตั ิการขับรองเพลงสากล ให้นักเรยี นตอบค�าถามตอ่ ไปน�้ 3. ผลการสรุปสาระสาํ คัญเกีย่ วกับการบรรเลง ๑. การฝึกขับรอ้ งเพลงสากล หรือเพลงไทยสากลมแี นวทางการฝกึ อยา่ งไร ๒. การเรยี นรเู้ กย่ี วกบั จงั หวะและทา� นองเพลงมคี วามสา� คญั อยา่ งไรตอ่ การขบั รอ้ งเพลง เคร่ืองดนตรสี ากล ๓. ก ารเล่นรวมวงของดนตรีสากล แบ่งออกเป็นก่ีวิธีและแต่ละวิธีมีความแตกต่าง 4. ผลการฝกปฏบิ ัติการขบั รองเพลง Lula Lula หรือเหมือนกันอยา่ งไร จงเปรียบเทยี บใหช้ ัดเจน เพลง She'll be Coming Round the Montain เพลง Planting Rice เพลง Turkey in the Straw การฝกทักษะทางดานดนตรีสากลที่พัฒนาตอเนื่องมาจากความรูพ้ืนฐานเดิม และเพลง I Love the Compfififi re 5. ผลการสรปุ สาระสาํ คญั เก่ยี วกับการประเมนิ จะประกอบไปดว ยการเรยี นรเู กย่ี วกบั เทคนคิ การรอ งและบรรเลงเดยี่ ว และเทคนคิ การ- ความสามารถทางดนตรี รอ งและบรรเลงเปน วง ซงึ่ ในการศกึ ษาจะตอ งเรยี นรทู ง้ั ภาคทฤษฎแี ละเนน การฝก ปฏบิ ตั ิ ท่ีตองดําเนินการอยางสม่ําเสมอ ตามประเภทของการรองและเลนเคร่ืองดนตรีท่ีเรา มีความถนัด มีความสนใจ ขณะเดียวกันเม่ือฝกปฏิบัติแลวก็ตองสามารถท่ีจะประเมิน พัฒนาการของทักษะทางดานดนตรีของตัวเราเองไดดวย โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับ ความถูกตองในการบรรเลงเคร่ืองดนตรี ท้ังบรรเลงเดี่ยวและบรรเลงรวมวงกับผูอ่ืน ความแมน ยาํ ในการอา นเครอื่ งหมายและสญั ลกั ษณโ นต สากลไดถ กู ตอ ง การบรรเลงจะได ไมผ ดิ เพยี้ น รวมทงั้ ตอ งรจู กั ควบคมุ คณุ ภาพของเสยี ง ไมว า จะเปน การรอ ง หรอื บรรเลง ก็ตาม อันเปนแนวทางท่ีจะทําใหการศึกษาดนตรีสากลของผูเรียนเกิดประสิทธิภาพ มากท่สี ดุ 98 แนวตอบ กจิ กรรมศลิ ปปฏบิ ัติ 5.1 กิจกรรมท่ี 3 1. มีหลกั ในการฝก 4 วิธี คอื ฝกความพรอ ม ฝก ขบั รองเลยี นเสียงตนแบบ ฝกความจาํ ฝก ขับรองทาํ นองและเนอ้ื รอ ง 2. ทําใหส ามารถขบั รองเพลงไดตรงตามจงั หวะเพลง ซ่งึ จะทําใหบ ทเพลงมีความไพเราะมากยิง่ ข้นึ 3. มอี ยู 4 วิธี ซงึ่ มีความแตกตา งกนั ดังตอไปน้ี 1) การเลนรวมวงวิธที ี่ 1 คอื การใชเ คร่อื งดนตรที ่ตี นถนดั เลนทํานอง หรอื ขบั รองประสานเสียงแบบ 2 แนว อยางงายไปตามโนต โดยใชเ บส กลอง และกตี ารด ําเนิน คอรด ประกอบจงั หวะ 2) การเลน รวมวงวิธที ี่ 2 คือ การใชเครื่องดนตรีทีต่ นถนัดเลนทาํ นองและขบั รองไปตามโนต โดยใชเ บส กลอง และกตี ารด ําเนินคอรด ประกอบจงั หวะ 3) การเลนรวมวงวธิ ีที่ 3 คือ การใชเ ครอ่ื งดนตรที ตี่ นถนดั เลน ทาํ นองและขบั รอ งแบบซอ นทาํ นองไปตามตวั โนต โดยใชเ บส กลอง และกตี ารด าํ เนนิ คอรด ประกอบจงั หวะ 5) การเลน รวมวงวธิ ีที่ 4 คอื การใชเครอ่ื งดนตรที ่ตี นถนัดเลนทาํ นอง หรอื ขบั รอ งแบบวนไปตามโนต โดยใชเบส กลอง และกตี ารดําเนนิ คอรด ประกอบจงั หวะ 4) การเลนรวมวงวธิ ีท่ี 5 คือ การใชเครือ่ งเลน ดนตรีที่ตนถนัดเลน ทํานองและขับรองตามโนต เพลงทีผ่ ูเ ขยี นไดแ ยกโนตไวเ ปน กลางๆ โดยใชเ บส กลอง กีตาร ดําเนินคอรด ประกอบจังหวะ 98 คูมอื ครู กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู ระบุงานอาชพี ตางๆ ท่เี ก่ียวของกบั ดนตรี และบทบาทของดนตรใี นธรุ กิจบันเทิง สมรรถนะของผูเรยี น 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค 1. มีวนิ ยั 2. ใฝเ รียนรู 3. มงุ ม่ันในการทํางาน öหนวยท่ี กระตนุ ความสนใจ Engage ดนตรีกบั อาชีพทางดานดนตรี ครูนําภาพนกั ดนตรี นักรอ ง นกั เรยี บเรียงเพลง นักเรยี บเรยี งเสียงประสาน นกั ประพันธเพลง ตัวชว้ี ดั ปจจบุ นั มอี าชพี ทส่ี งั คมใหค วามสนใจ นักอาํ นวยเพลง ครดู นตรี นกั วิชาการดนตรี มาใหนักเรยี นดู จากนั้นครถู ามนักเรยี นวา ■ ระบงุ านอาชพี ต่างๆ ที่เกย่ี วขอ้ งกบั ดนตรแี ละบทบาทของดนตรใี น ธรุ กิจบันเทงิ (ศ ๒.๑ ม.๒/๗) และใหก ารยอมรับมากมาย หนง่ึ ในน้นั คือ • นักเรยี นรูจ กั บคุ คลในภาพเหลา น้ีบา งหรอื ไม ถา รจู กั นกั เรยี นรจู ักใคร สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง อาชีพที่เกี่ยวของกับดนตรี ซึ่งเปนอาชีพที่ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ สรา งความสขุ ใหก บั สงั คม เปน อาชพี ทมี่ เี กยี รติ ไดอยางอสิ ระ) ■ อาชีพทางดา้ นดนตรี และผูคนใหการยอมรับ รวมท้ังมีเด็กรุนใหม ■ บทบาทของดนตรีในธรุ กจิ บันเทงิ ใฝฝ น ทจี่ ะมาทาํ อาชพี นเี้ ปน จาํ นวนมาก ในปจ จบุ นั • บุคคลเหลา นม้ี คี วามสาํ คญั ตอ วงการดนตรี อยางไร มีผูท่ีตองการบริโภคผลงานดนตรีที่มีคุณภาพ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ และมคี วามไพเราะเปน จาํ นวนมาก จงึ ทาํ ใหด นตรี ไดอยา งอิสระ) เขา ไปมบี ทบาทสาํ คญั อยา งมากในธรุ กจิ บนั เทงิ ตา งๆ หากนักดนตรีท่ีศึกษาและฝกฝมือจนมีความรู • ถาในวงการดนตรขี าดบคุ คลเหลา น้ไี ป ความสามารถดานดนตรีเปนอยางดี ก็จะมีโอกาสใน จะกอใหเกิดส่ิงใด การเลือกประกอบอาชีพทางดานดนตรีท่ีสรางรายได (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไมนอยไปกวาอาชีพอ่ืนๆ ในสงั คมได ไดอ ยางอสิ ระ) เกร็ดแนะครู การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรูนี้ ครูควรนําซีดี หรือดีวีดีการขับรองเพลง ของศลิ ปน ในปจ จบุ นั ทไ่ี ดร บั ความนยิ มมาเปด ใหน กั เรยี นชม พรอ มทง้ั อธบิ ายเพมิ่ เตมิ วาในปจจบุ นั บทเพลงเขา มามีสวนเกีย่ วขอ งในการดําเนนิ ชีวิตประจาํ วนั ของมนษุ ย เปน อยา งมาก มนษุ ยฟง เพลงเพอื่ สรางความสขุ สนกุ สนาน เพลิดเพลินใจ ลดความเจ็บปวด ผอนคลายความตงึ เครียด และลดความกงั วล ดงั นน้ั เราจึงเห็นวา มบี รรดาเหลาศิลปนเกดิ ขึ้นอยา งมากมายในปจจุบนั รวมถงึ อาชพี ทีเ่ กย่ี วของกับ ดนตรี เชน นกั ดนตรี นกั รอง นกั เรียบเรียงเพลง นกั เรียบเรยี งเสียงประสาน นกั อํานวยเพลง ครูดนตรี นกั วิชาการดนตรี เปนตน เพราะไดร ับการยอมรบั จากสังคมวา เปน อาชีพท่มี ีเกยี รตอิ าชีพหนงึ่ ทมี่ บี คุ คลสนใจและใฝฝนท่ีจะประกอบ อาชพี เหลาน้ี และเมือ่ มคี นเสพงานดนตรีมากขน้ึ จงึ ทําใหเกดิ ธรุ กจิ บันเทิงทางดนตรี มากมาย เพอื่ ตอบสนองความตอ งการของผบู รโิ ภคใหไ ดม ากยงิ่ ขน้ึ และเปน การรองรบั โอกาสในการสรางงานทางดานดนตรีใหก ับบุคคลท่สี นใจอีกดว ย คมู ือครู 99 กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครนู าํ ภาพศลิ ปน ทไ่ี ดร บั ความนยิ มในปจ จบุ นั มา ๑. อาชีพดนตรี ใหน ักเรียนดู เชน แสตมป อภวิ ชั ร สงิ โต นาํ โชค พฒั นาการของดนตรเี รมิ่ ตน้ จากดนตรีในชมุ ชน หรอื วฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ กา้ วไปสดู่ นตรที ผ่ี คู้ นใน ฟล ม บงกช เปน ตน จากนัน้ ครถู ามนักเรยี นวา สงั คมสนใจเสพผลงานดนตรกี นั เพอ่ื ความสขุ เพอื่ ความบนั เทงิ ใจ จนเกดิ เปน็ อาชพี ทางดา้ นดนตรขี นึ้ และมีความหลากหลายตามลักษณะของการประกอบกจิ กรรมในอาชพี น้ันๆ ซึ่งถือไดว้ า่ อาชีพทาง • นกั เรียนรจู กั ศิลปนในภาพเหลาน้หี รอื ไม ด้านดนตรีเปน็ อาชพี ทส่ี ร้างความสุขให้กบั สังคมและเป็นทยี่ อมรับของผคู้ นอีกอาชพี หนึ่ง ถา รูจกั ศิลปนเหลา นีไ้ ดส รางสรรคผ ลงาน เพลงใดบาง ในทน่ี ้ี จะยกตวั อยา่ งอาชพี ทางดา้ นดนตรที ม่ี บี ทบาทในสงั คมไทยและเปน็ ทรี่ จู้ กั โดยทว่ั ไปมา (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ อธิบายให้ผู้เรียนเขา้ ใจพอสงั เขป ดงั นี้ ไดอยางอิสระ) สาํ รวจคน หา Explore ๑.๑ นักดนตรี นักดนตรี เป็นอาชีพที่แสดงความสามารถทางด้านทักษะท่ีดีเย่ียมของศิลปิน ซึ่งผู้ท่ีจะก้าว ใหนักเรยี นแบง กลุมออกเปน 7 กลมุ ใหนกั เรียน เขา้ สวู่ งการนกั ดนตรอี าชพี ตอ้ งผา่ นการฝก ฝนตนเองอยา่ งหนกั และตอ่ เนอ่ื ง เพอื่ พฒั นาเทคนคิ วธิ ี ศกึ ษา คน ควา หาความรเู พมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั อาชพี ดนตรี บรรเลงของตนใหม้ คี วามช�านาญ สามารถอ่านโน้ตเพลงได้อย่างคลอ่ งแคลว่ เพ่อื ส่ือความไพเราะ จากแหลงการเรียนรูตางๆ เชน หองสมุดโรงเรียน ของบทเพลงตามทีผ่ ปู้ ระพันธเ์ พลงไดส้ ร้างสรรค์ไว้ ซ่ึงนักดนตรีแตล่ ะคนอาจตอ้ งผา่ นการฝกฝนท่ี หองสมุดชมุ ชน อินเทอรเน็ต เปนตน ในหวั ขอที่ครู แตกต่างกัน โดยบางรายฝกจากครู หรอื นักดนตรที มี่ ีประสบการณ์ บางรายเรียนดนตรีจากสถาบนั กําหนดให ดังตอ ไปนี้ กลุม ที่ 1 นักดนตรี กลุม ท่ี 2 การศึกษาดนตรีเอกชนท่ีเปิดสอนทั่วไป บางรายเรียนดนตรีตามระบบในสถาบันการศึกษา ซึ่งมี นักรอ ง กลุมที่ 3 นักเรียบเรียงเพลงและเรียบเรียง ต้ังแต่ระดับมัธยมศึกษาจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เช่น โรงเรียนมัธยมสังคีต วิทยาลัยนาฏศิลป เสยี งประสาน กลุมท่ี 4 นักประพนั ธเพลง มหาวิทยาลัยทเี่ ปิดสอนหลักสตู รวิชาเอกดนตรี เชน่ คณะดุรยิ างคศาสตร์ วทิ ยาลัยดุริยางคศิลป กลมุ ท่ี 5 นักอาํ นวยเพลง กลมุ ท่ี 6 ครูดนตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ เป็นตน้ กลุมท่ี 7 นักวชิ าการดนตรี นักดนตรีอาชีพจ�านวนมากประสบความ- อธบิ ายความรู Explain ส�าเร็จและมีรายได้ค่าตอบแทนค่อนข้างสูง ซ่ึงนักดนตรีอาชีพท่ีประสบความส�าเร็จหลาย ต่อหลายท่าน ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 1 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ให้เป็นนักวัฒนธรรมดีเด่น บางท่านได้รับการ เพมิ่ เติมเกีย่ วกับอาชพี ดนตรี สง ตวั แทน 2 - 3 คน ยกยอ่ งใหเ้ ปน็ ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ เพราะทา่ นเหลา่ น้ี ออกมาอธิบายความรใู นหัวขอ นักดนตรี ตามทไ่ี ด ไดส้ รา้ งสรรคผ์ ลงานทเ่ี กย่ี วกบั ดนตรไี วม้ ากมาย ศึกษามาหนาชัน้ เรยี น จากนนั้ ครถู ามนักเรยี นวา ลม้นวนตรแี ลต้รวาแโตม่ททรแงจคง้ ุณคคล่า้ายดส้วที ยอก1งันสทง้ัง่าสอิ้นารัมเชภ่นีร2 3 รวงทอง ทองล่นั ทม สมเศยี ร พานทอง (ชาย • บุคคลท่ปี ระกอบอาชีพนักดนตรีจะตอง เมืองสิงห)์ เป็นต้น ปฏบิ ัตงิ านทมี่ ลี กั ษณะอยา งไร ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ เวชสภุ าพร (โต) นกั ดนตรอี าชพี ทม่ี คี วามสามารถ (แนวตอบ เปน ผปู ฏบิ ตั เิ ครอ่ื งดนตรตี ง้ั แต 1 เครอื่ ง ทางดา้ นการเลน่ เปยี โน ปจั จบุ นั เปน็ นกั รอ้ งและนกั ดนตรี ข้นึ ไป โดยไมค าํ นงึ วา เปนผูแ สดงเดยี่ ว ผเู ลน ทม่ี ชี อ่ื เสียงมากคนหนึง่ ของประเทศไทย แนวคลอ หรอื เปน นกั ดนตรปี ระจาํ วงดนตรใี ดๆ ฝก ฝนและหมนั่ ซอมตามบทเพลง รวู ธิ กี าร ๑00 เทยี บเสยี งใหถ กู ตอ งตามระดบั เสยี งของเครอ่ื ง- ดนตรีและเลนดนตรดี วยการอา นโนต เพลง) นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใด ไมใ ช คุณสมบตั ขิ องผปู ระกอบอาชพี ดนตรที ดี่ ี 1 แจง คลา ยสที อง ศลิ ปนผูมีความเช่ียวชาญในการขับรอ งเพลงไทย 1. มีความคิดริเริม่ สรา งสรรค และการขับเสภา จนไดรบั สมญาวา “ชางขับคาํ หอม” ไดรับการเชดิ ชเู กยี รตใิ หเ ปน 2. มีความขยันหมัน่ เพียร อดทน ศิลปน แหงชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง (คตี ศิลป) ประจําป พ.ศ. 2538 3. กลาแสดงออก มัน่ ใจในตัวเองสูง 2 สงา อารัมภรี นกั เขยี นและนักแตง ทํานองเพลงอมตะหลายเพลง ผลงาน 4. มมี นษุ ยสัมพนั ธดี คลอ งแคลว ทนั สมัย ทีม่ ีชอ่ื เสยี งท่ีสุดคือ “นาํ้ ตาแสงไต” และ “เรอื นแพ” ไดร ับการยกยอ งเชิดชเู กียรติ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะผูท่ีจะประกอบอาชีพดนตรีท่ีดีไดนน้ั ใหเ ปนศลิ ปน แหง ชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล) ประจําป พ.ศ 2531 จะตองเปนบุคคลท่ียอมรับความคิดเห็นของผูอื่นในการนํามาใชเพ่ือปรับปรุง 3 ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ เวชสภุ าพร (โต) เกดิ เมอื่ วนั ที่ 20 มกราคม ป พ.ศ. 2527 เปน บตุ รชาย ผลงานใหม ีคุณภาพทีด่ ที ี่สุด ไมค วรมีความมัน่ ใจในตนเองมากเกินไป คนโตของนคร เวชสุภาพร หัวหนาวงดนตรแี กรนดเอ็กซ เปนผูทีม่ ีความสามารถ เพราะอาจทาํ ใหการพัฒนาผลงานของตนเองทาํ ไดยาก หรอื ตองใชเวลานาน ในการเลนเปยโนเปนอยางมาก ผลงานเพลงชิน้ แรก คือ อลั บัมเพลงบรรเลง “Tor Saksit Vejsupaporn Play Boyd Kosiyabong's Song Book” ผลงานเพลง ประกอบละคร เชน ดาวหลงฟา ภผู าสีเงิน ใยเสนหา พระจันทรแสนกล พอตัวจริงของแท เปน ตน ผลงานดานโปรดิวซเพลง “บทเพลงในสายลม” และ “เสยี งในใจ” อัลบมั Dangerous Tata ของ อมิตา ทาทา ยัง เปน ตน 100 คูมือครู กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑.๒ นักร้อง ใหนักเรยี นกลมุ ท่ี 2 - 3 ทไ่ี ดศึกษา คน ควา นกั รอ้ ง เปน็ อาชพี ทางดา้ นดนตรที สี่ รา้ งชอ่ื เสยี งใหแ้ กศ่ ลิ ปนิ อยา่ งมาก ในบางรายเมอื่ มชี อ่ื เสยี ง หาความรูเพ่ิมเติมเกยี่ วกบั อาชีพดนตรี สง ตวั แทน ทางด้านการขบั ร้องแลว้ ยงั มโี อกาสเข้าสูว่ งการละครและภาพยนตร์อกี ดว้ ย ซงึ่ ช่วยเสริมใหศ้ ิลปิน กลุมละ 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรูในหวั ขอ เหล่าน้ีมีรายได้จากการน�าเสนอผลงานการ นกั รอ ง นักเรยี บเรียงเพลงและนักเรียบเรียงเสยี ง- ขบั รอ้ งมากยง่ิ ขน้ึ บางรายกลายเปน็ ขวญั ใจของ ประสาน ตามที่ไดศ กึ ษามาหนา ชนั้ เรียน จากนั้น ประชาชน มีผู้คนติดตามผลงานเพลงมากมาย ครูถามนกั เรยี นวา นกั รอ้ งอาชพี ทม่ี ชี อื่ เสยี ง เชน่ ธงไชย แมคอนิ ไตย์ (เบิร์ด) สุกฤษฎ์ิ ว(เิเบศนษ)แกพ้วรพ(บรี้ รณเดอชะุนสตหาชร1ัย์) • คําวา “นักรอ ง” มคี วามหมายวา อยา งไร ชลาทิศ ตันติวุฒิ (แนวตอบ นักรอง คอื บคุ คลท่ีรอ งเพลง (เจนนิเฟอร์ ค้ิม) เป็นต้น และนักร้องอาชีพ เปน อาชพี นกั รอ งท่ีดีจะมนี ้ําเสยี งที่ไพเราะ หลายท่านมีผลงานการขับร้องเป็นท่ีประจักษ์ อนั จะสรา งความประทบั ใจใหผ ฟู ง เพลง จนไดร้ บั การยกย่องใหเ้ ปน็ ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ เชน่ เกิดความสขุ และความเพลดิ เพลิน) ชนิ กรไกรลาศศลิ ปนิ แหง่ ชาติสาขาศลิ ปะการแสดง (นกั รอ้ งเพลงลกู ทงุ่ ) ประจา� ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ชรนิ ทร์ พรพรรณ ชุนหชยั (เจนนเิ ฟอร์ ค้ิม) เป็นนกั ร้องอาชพี ที่มี • ถานักเรียนไดเปนนักรอง นกั เรยี นจะมวี ธิ ี นันทนาคร ศิลปินเห่งชาติ สาขาการแสดง นา�้ เสยี งโดดเดน่ และขบั รอ้ งเพลงไดห้ ลายแนว ปฏิบตั ติ นใหเ ปน นักรองทดี่ ีไดอ ยางไร (แนวตอบ ออกเสยี งใหเ ตม็ เสยี งตรงตามจงั หวะ (เพลงไทยสากล - ขบั ร้อง) ประจา� ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ เปน็ ต้น และทํานองของเพลง ซงึ่ จะตอ งมคี วาม ๑.๓ นักเรยี บเรยี งเพลงและนักเรียบเรยี งเสียงประสาน ตอ เนื่องสมาํ่ เสมอ ไมข าดชวง เปลง เสียง นกั เรยี บเรยี งเพลงและนกั เรยี บเรยี งเสยี งประสาน เปน็ อาชพี หนง่ึ ทม่ี คี วามสา� คญั ในวงการดนตรี ใหถ ูกตองตามอกั ขรวธิ ี โดยออกเสยี ง โดยเฉพาะทางด้านดนตรีแนวตะวันตก ผู้ประกอบอาชีพน้ีนอกจากจะต้องเป็นนักดนตรีที่มีทักษะ พยญั ชนะ วรรณยุกตใ หชดั เจนตามหลัก ดา้ นการปฏบิ ตั ดิ นตรอี ย่างดแี ลว้ ยงั ต้องมคี วาม การออกเสียง โดยเฉพาะคาํ ควบกล้าํ รอบรู้ทางด้านทฤษฎีดนตรีด้วย โดยจะต้อง ทา ทางในการรอ งเพลงมีความเหมาะสม มีความสามารถในการแยกแยะแนวดนตรี และใสอารมณกบั เพลง) แต่ละประเภท และทา� สกอร์ (Score) เพลงได้ อยา่ งชา� นาญ หนา้ ทหี่ ลกั ของนกั เรยี บเรยี งเพลง • การเรียบเรยี งเสียงประสานทด่ี ีจะประกอบ และนกั เรยี บเรยี งเสยี งประสาน คอื การนา� เพลง ไปดวยสง่ิ ใดบาง มาเรียบเรียงตามองค์ประกอบของดนตรี (แนวตอบ จะประกอบไปดวยทํานอง ใหเ้ หมาะสมกบั การบรรเลงของวงดนตรลี กั ษณะ ความไพเราะ ความกลมกลนื ของเสยี งดนตรี ต่างๆ เช่น วงซมิ โฟนอี อรเ์ คสตรา (Symphony ประสิทธิ์ พยอมยงค์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการ- และทาํ นองทเ่ี ขยี นขน้ึ มาใหม ที่เขา ได Orchestra) วงโยธวาทติ (MilitaryBand) เปน็ ตน้ แสดง (เพลงไทยสากล - เรยี บเรยี งเสยี งประสาน) ประจา� ปี กับคอรดและทาํ นองเดิมของเพลงนน้ั ) พ.ศ. ๒๕๓๒ เป็นเจ้าของบทเพลงท่ีโด่งดังหลายเพลง เช่น เพลงข้าวนอกนา เพลงฆา่ ฉนั ใหต้ ายดีกว่า เป็นต้น • นกั เรียนทราบหรือไมวา ใครเปน บุคคลแรก ทีบ่ กุ เบกิ วิชาการเรยี บเรยี งเสยี งประสาน ๑0๑ แบบ Big Band Jazz ในประเทศไทย (แนวตอบ ศาสตราจารย ดร. แมนรัตน ศรีกรานนท ศิลปนแหงชาติ สาขาศิลปะ การแสดง (ดนตรีสากล) ประจําป พ.ศ. 2535) กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ใหน กั เรยี นหาภาพศิลปนทนี่ ักเรยี นชน่ื ชอบ 1 ทาน พรอมบทเพลงท่ี ครูควรเนนใหเ หน็ วา การเรยี บเรียงเสียงประสาน สามารถเรยี กไดอีกอยา งหนงึ่ สรางความประทับใจใหแ กน ักเรียน 1 เพลง เขียนบรรยายความประทบั ใจ วา “การแยกและเรยี บเรยี งเสยี งประสาน” ซงึ่ จะแบง เปน “การแยก” คอื การนาํ ตวั โนต ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครผู ูสอน จากคอรด ที่ใสล งในทํานองไปใหเ ครื่องดนตรแี ตล ะเครือ่ ง และ “การเรียบเรียงเสยี ง ประสาน” คอื การจดั ใหต วั โนต ทมี่ รี ะดบั เสยี งตา งกนั มาบรรเลงรว มกนั ไดอ ยา งไพเราะ กจิ กรรมทา ทาย กลมกลืน ใหน กั เรยี นรองเพลงของศลิ ปนทน่ี กั เรยี นชืน่ ชอบ 1 ทาน พรอมคดิ นักเรียนควรรู ทา ทางประกอบเพลง จากนั้นออกมานําเสนอผลงานใหเ พือ่ นชม หนาชั้นเรยี น พรอ มกับอธิบายความรูสกึ ประทับใจในตัวศิลปน 1 พรพรรณ ชนุ หชยั หรอื (เจนนิเฟอร คม้ิ ) เปนนักรองชาวไทย เร่ิมเปนทร่ี จู ัก และผลงานเพลง โดยมคี รเู ปนผคู อยชแี้ นะความถูกตอ ง ในวงการเพลง เมือ่ ป พ.ศ. 2545 ในเพลง “คิดถงึ เธอทุกที (ที่อยูค นเดยี ว)” ในอัลบมั ของเศกพล อนุ สาํ ราญ แตง ขนึ้ โดยนมิ่ สฟี า ปจ จบุ นั มผี ลงานทเี่ ปน อลั บมั และผลงานเพลง ประกอบละครอยูห ลายเร่ือง คมู อื ครู 101 กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 4 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู นอกจากนี้ หากจะต้องท�างานด้านการแยกเสียงเพื่อใช้ขับร้องประสานเสียง ก็ต้องมีความ เพ่ิมเตมิ เกี่ยวกบั อาชพี ดนตรี สงตวั แทน 2 - 3 คน รเู้ รอ่ื งการจ�าแนกเพื่อเรียบเรียงเสยี งประสานตามแนว ๒ แนว ๓ แนว และ ๔ แนว หรอื ตาม ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอนักประพันธเพลง แนวโครงสร้างเสียงโซปราโน (Soprano) อัลโต (Alto) เทเนอร์ (Tenor) และเบส (Bass) ที่ใช้ ตามทไี่ ดศึกษามาหนา ช้นั เรียน จากนั้นครถู าม ส�าหรับการขับร้องประสานเสียง ซึ่งนักเรียบเรียงเพลงและนักเรียบเรียงเสียงประสานท่ีมีชื่อเสียง นกั เรียนวา เช่น ประยงค์ ช่นื เยน็ ประสทิ ธิ์ พยอมยงค์ เปน็ ตน้ ๑.๔ นักประพันธเพลง • บทเพลงที่มีความไพเราะน้ันถูกสรางสรรคขึ้น จากบคุ คลใดเปน สําคญั เพราะเหตุใด นักประพันธ์เพลง เป็นอาชีพของนักดนตรีที่ต้องใช้จินตนาการและการสร้างสรรค์ จงึ เปนเชนนั้น นักประพันธ์เพลงหลายทา่ นมไิ ดป้ ระกอบอาชีพนักดนตรี หรือนักประพันธ์ แต่มคี วามสามารถใน (แนวตอบ นักประพันธเพลง เพราะเปนผูท ี่ การประพันธ์เพลง ในสังคมไทยยังมีนักประพันธ์เพลงท่ีอยู่ในบริษัท หรืองานผลิตส่ือบันเทิงที่จะ ประพนั ธท าํ นอง หรอื คาํ รอ ง นกั ประพนั ธเ พลง ท�าหนา้ ที่ประพันธเ์ พลงประกอบละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ หรอื สอ่ื บันเทงิ อื่นๆ อีกเป็นจ�านวนมาก จะสรา งสรรคผ ลงานเพลงโดยใชความคิด ซึ่งนักประพันธ์เพลงท่ีมีผลงานเพลงเป็นที่รู้จักกันดี เช่น เอ้ือ สุนทรสนาน นารถ ถาวรบุตร และจนิ ตนาการถายทอดออกมาเปนเพลงทีม่ ี พยงค์ มกุ ดา สลา คณุ วฒุ ิ นติ พิ งษ์ หอ่ นาค เปน็ ตน้ ทงั้ นี้ ยงั มนี กั ประพนั ธเ์ พลงทมี่ ผี ลงานไดร้ บั เนอ้ื หากนิ ใจ และสรา งความสขุ ความประทบั ใจ ประกาศยกยอ่ งใหเ้ ปน็ ศลิ ปินแห่งชาติ เชน่ ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ สาขาการแสดง ใหแกผ ฟู ง) (ดนตรสี ากล) ประจ�าปี พ.ศ. ๒๕๔๑ สมาน กาญจนะผลนิ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล) ประจา� ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ เป็นต้น • จากเนื้อเพลงนี้ผูประพันธเพลงตองการส่ือ ใหเหน็ ถึงเร่ืองใด คุณสมบัติของบุคคลท่ีจะเป็นนักประพันธ์เพลงท่ีดี ต้องมีความสามารถในการเล่นดนตรี “เราก็รู พอตองเหน่อื ยสักเพยี งไหน เปน็ อย่างดี มีความรอบรูใ้ นทฤษฎดี นตรี รู้ และชา� นาญโครงสรา้ งทางดนตรี สามารถบันทึกโน้ต ตอ งลําบากใจกายไมเคยส้นิ และอ่านโน้ตเพลงได้อย่างคล่องแคล่ว นอกจากความรู้ด้านการปฏิบัติดนตรีและการประพันธ์ เพราะพอ รู พอ คือพลงั แหง แผน ดิน ทา� นองเพลงแลว้ ตอ้ งมคี วามสามารถในการประพนั ธค์ า� รอ้ งดว้ ย เพราะคา� รอ้ งเปน็ สงิ่ ทส่ี อ่ื ความหมาย ใหเราพออยพู อกนิ กันตอไป อารมณ์ หรือพรรณนาเรื่องราวในบทเพลงได้เป็นอย่างดี ผู้ที่ใช้ภาษาได้ดี มีความสามารถทาง หากจะหาของขวัญใหพ อสกั กลอ ง วรรณศลิ ปจ ึงได้เปรยี บในเรื่องนี้ เราทั้งผองจะพรอ มกนั ไดไหม บวกกนั เปนดินเดยี วใหพอ ไดสขุ ใจ 1 1 ไมตอ งเหนอ่ื ยเกนิ ไปอยา งทีเ่ ปนมา” (แนวตอบ ผปู ระพนั ธเ พลงตอ งการสอื่ ใหเ หน็ ถงึ สลา คุณวุฒิ ครูเพลงท่ีมีความสามารถในการรังสรรค์ นิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงมืออาชีพที่มีพรสวรรค์ใน พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเดจ็ ถอ้ ยค�าทต่ี รงใจผ้ฟู ังเพลงลูกทุ่งรุ่นใหม่ การแตง่ เพลงไทยสากลให้ตรงใจวยั รนุ่ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทพ่ี ระองคท รง เหน็ดเหนื่อยตรากตรําพระวรกายทํางานหนัก ๑0๒ เพ่ือใหราษฎรมีความกินดีอยูดี เพลงนี้จึงถูก สรา งขน้ึ จากแรงบนั ดาลใจจากพระนาม “ภมู พิ ล” ซึ่งแปลวา “พลงั แหงแผน ดนิ ” เน้ือหาในเพลง จงึ สอ่ื ถงึ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ล อดลุ ยเดช วา ทรงเปน กาํ ลังของแผนดนิ ไทย และเปนศูนยร วมใจของคนไทยทงั้ ชาติ) นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET บทเพลงพระราชนิพนธเ พลงใดท่สี ามารถนํามาใชในกจิ กรรมวนั ส้ินป 1 สลา คณุ วฒุ ิ เกิดเมือ่ วนั ท่ี 2 เมษายน พ.ศ. 2505 ทจ่ี งั หวดั อบุ ลราชธานี 1. เพลงเมนไู ข เปน นักประพันธเพลงแนวลกู ทุง อสี าน อกี ทัง้ ยังเปนนักรอ ง นกั ดนตรี และ 2. เพลงพรปใ หม โปรดิวเซอร ของคายแกรมมี่โกลด (Grammy Gold) หนึง่ ในบริษทั ในเครือจีเอม็ 3. เพลงลมหนาว เอม็ แกรมม่ี (GMM Grammy) บทเพลงแรกทถ่ี ือเปนผลงานแจงเกดิ ในฐานะ 4. เพลงแสงเทยี น นักแตง เพลงมือทอง คือ เพลงชาวหอ (พ.ศ. 2526) ขบั รอ งโดยรงุ เพชร แหลมสงิ ห วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะเพลงพรปใหม เปนเพลงทพ่ี ระบาท ทา นมีลูกศษิ ยม ากมายท่มี ชี อื่ เสยี งโดงดัง เชน ไมค ภริ มยพร, ตาย อรทยั , ศริ ิพร สมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช มพี ระราชประสงคท จี่ ะพระราชทานพร อําไพพงษ, ไผ พงศธร, จนิ ตรา พูลลาภ, ตัก๊ แตน ชลดา เปนตน ปใ หมแ กบ รรดาพสกนกิ รไทย โดยในเนอื้ เพลงจะเปน คาํ กลา วอวยพรใหท กุ คน 2 นติ ิพงษ หอ นาค นักแตงเพลงชาวไทยที่มชี อ่ื เสยี ง เคยดาํ รงตาํ แหนง มคี วามสขุ ในวนั ขนึ้ ปใ หม เชน ในเนอ้ื เพลงทว่ี า “สวสั ดวี นั ปใ หมพ า ใหบ รรดา รองกรรมการผอู ํานวยการ สายงานธุรกิจดนตรี ของบริษทั จเี อ็มเอ็ม แกรมมี่ เราทา นรน่ื รมย ฤกษย ามดเี ปรมปรดี ช์ิ นื่ ชม ตา งสขุ สมนยิ มยนิ ดี ขา วงิ วอนขอพร (GMM Grammy) ในปจ จุบันเปน ผูบรหิ ารคายสหภาพดนตรี ผลงานการประพนั ธ จากฟา ใหบรรดาปวงทานสุขศรี โปรดประทานพรโดยปรานี ใหชาวไทยลวน ทมี่ ีช่อื เสียง เชน กอ นหนิ กอ นน้ัน (โรส ศิรนิ ทิพย) สายนํ้าไมไ หลกลับ (มาชา มโี ชคชัย” วัฒนพานชิ ) รกั แท. ..ยงั ไง (ชรี ณฐั ยูสานนท) สดุ ทาย (พซี เมกเกอร) เปนตน 102 คมู อื ครู กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑.๕ นกั อํานวยเพลง ใหน กั เรยี นกลุม ที่ 5 - 6 ทไ่ี ดศกึ ษา คนควา นกั อาํ นวยเพลง หรอื วาทยกร(Conductor) เปน็ อาชพี ทางดา้ นดนตรอี กี อาชพี หนงึ่ ทเี่ ปน็ ทร่ี จู้ กั หาความรเู พ่มิ เตมิ เกย่ี วกับอาชพี ดนตรี สงตัวแทน และประสบความสา� เรจ็ ทง้ั ในระดบั ประเทศและ กลมุ ละ 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอ ระดับโลก คนไทยทป่ี ระสบความส�าเร็จในฐานะ นกั อํานวยเพลงและครูดนตรี ตามที่ไดศึกษามา นักอ�านวยเพลง หรือวาทยกร เช่น พลเรือตรี หนาช้ันเรียน จากนน้ั ครูถามนกั เรยี นวา วีระพันธ์ วอกลาง บัณฑิต อ้ึงรังษี สมเถา สุจริตกุล เป็นต้น ทั้งน้ี ยังมีคนไทยอีกเป็น • อุปกรณชนดิ ใดท่ีมีความสาํ คญั สาํ หรบั จ�านวนมากท่ีมีความรู้ ความสามารถในการท�า ผทู ท่ี าํ หนา ทเ่ี ปน วาทยกรและอปุ กรณช นดิ นนั้ หนา้ ทีเ่ ป็นนักอา� นวยเพลง มีลักษณะอยางไร บทบาทของนกั อา� นวยเพลง คอื การกา� กบั (แนวตอบ ไมบาตอง (Baton) เปน อุปกรณ และควบคุมวงดนตรีขนาดใหญ่ให้ด�าเนินการ รปู ทรงกระบอก หรอื แบน ทาํ จากวสั ดุ บรรเลงเพลงได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ หลายรปู แบบ เชน ไม เหลก็ เปน ตน ซ่ึงนักอ�านวยเพลงแต่ละคนก่อนท่ีจะก้าวเข้าสู่ เปน อปุ กรณทม่ี นี ้าํ หนกั เบา มไี วส ําหรบั ให อาชีพนี้ได้ต้องผ่านการฝกปฏิบัติเคร่ืองดนตรี บัณฑติ องึ้ รงั ษี วาทยกรชาวไทยทม่ี ชี ่ือเสยี งในระดบั โลก วาทยกรใชใ นการควบคมุ การบรรเลงดนตรี ของวงออรเคสตรา หรอื วงประสานเสยี ง) เรยี นรทู้ า� นองเพลง อารมณเ์ พลง รวมทง้ั ศกึ ษาวตั ถปุ ระสงคข์ องนกั ประพนั ธเ์ พลง เพอื่ นา� สง่ิ ทม่ี อี ยใู่ น บทเพลงมาถา่ ยทอดตามกระบวนการบรรเลง เพอ่ื ใหผ้ ฟู้ งั ไดร้ บั อรรถรสของบทเพลงอยา่ งครบถว้ น • นกั เรียนรูจกั วาทยกรทมี่ ีชอ่ื เสียงของไทย ๑.6 ครูดนตรี บา งหรอื ไม ถารจู ัก นกั เรยี นรจู ักใครบา ง ครูดนตรี เป็นอาชีพที่มีความส�าคัญมาก (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคิด ของวงการดนตรี เพราะครดู นตรเี ปน็ ผทู้ า� หนา้ ที่ เห็นไดอยา งอิสระ ครูยกตัวอยางใหเหน็ วา ถ่ายทอดวิชาความรู้และทักษะกระบวนการ “วาทยกรของไทยท่ีมีชอื่ เสียงท่นี กั เรียน ทางดนตรีให้กับผู้เรียนดนตรีเป็นจ�านวนมาก ควรรูจักเพิม่ เติม เชน ดนู ฮันตระกูล ครูดนตรีจะปฏิบัติหน้าท่ีในสถาบันการศึกษา เดน อยูป ระเสรฐิ ทฤษฎี ณ พทั ลุง ทัง้ ภาครฐั และภาคเอกชน เชน่ โรงเรยี นมัธยม- นรอรรถ จนั ทรก ลํ่า บัณฑิต อึ้งรังษี สังคีต วิทยาลัยดุริยางคศิลป โรงเรียนสอน- ประทกั ษ ประทปี ะเสน ปย ะพนั ธ สนทิ วงศ - ดนตรีมีฟา เป็นต้น ครูดนตรีเป็นผู้มีความรู้ ณ อยุธยา วาณชิ โปตะวณิช และความเข้าใจในเรื่องการปฏิบัติเครื่องดนตรี สมเถา สจุ ริตกุล เปน ตน ”) หลักวิชาดนตรี มีความช�านาญในการสอน สามารถถ่ายทอดความรู้ด้านดนตรีให้แก่ศิษย์ • เพราะเหตใุ ดจงึ มคี าํ กลาววา “ครูดนตรี ไดอ้ ยา่ งถูกต้องครบถ้วน ครูดนตรีผู้ท�าหน้าท่ีถ่ายทอดวิชาความรู้และทักษะ คืออาชพี ท่มี ีความสาํ คัญตอ วงการดนตรี” กระบวนการทางดนตรีให้แกล่ ูกศษิ ย์ (แนวตอบ เพราะบุคคลท่จี ะสามารถประกอบ อาชพี ครดู นตรไี ดน น้ั จะตอ งเปน ผทู มี่ คี วามรู ๑0๓ ความเขา ใจ และความเชย่ี วชาญเกีย่ วกบั ทกั ษะกระบวนการทางดนตรีเปน อยา งมาก เพราะจะตอ งเปน ผทู ีถ่ ายทอดวชิ าความรู ทางดานดนตรีที่ถูกตอ งครบถว นใหแกศษิ ย) แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู “กนกวรรณ เปน ผมู คี วามรู ความเชย่ี วชาญในเรอ่ื งการปฏบิ ตั เิ ครอ่ื งดนตรไี ทย ครคู วรนําภาพครดู นตรที ม่ี ีชื่อเสยี งในอดตี มาใหนักเรยี นดู เชน หลวงประดิษฐ และเครือ่ งดนตรีสากลตามหลกั ทฤษฎีวิชาดนตรีและมีประสบการณในการ ไพเราะ (ศร ศลิ ปบรรเลง) พระยาประสานดรุ ยิ ศพั ท (แปลก ประสานศพั ท) สอนดนตรี” กนกวรรณควรประกอบอาชพี ใดจงึ จะเหมาะสม หลวงไพเราะเสยี งซอ (อนุ ดรู ยชวี นิ ) พระประดษิ ฐไ พเราะ (มี ดรุ ยิ างกรู ) พระยาเสนาะ- ดุรยิ างค (แชม สุนทรวาทนิ ) พระพิณบรรเลงราช (แยม ประสานศัพท) เปนตน 1. ครดู นตรี พรอ มทั้งเลาประวัตแิ ละผลงานทางดา นดนตรีใหน ักเรยี นฟง ซง่ึ จะทาํ ใหนกั เรยี น 2. นักอํานวยเพลง มคี วามรู ความเขาใจเกย่ี วกับประวัติและผลงานทางดานดนตรขี องครดู นตรี 3. นักประพนั ธเ พลง ที่มชี อ่ื เสียงในอดตี ไดด ียิง่ ขึ้น 4. นักวชิ าการดนตรี มมุ IT วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะบุคคลท่จี ะสามารถประกอบอาชีพ นกั เรยี นสามารถศกึ ษา คน ควา เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั ประวตั แิ ละผลงานทางดา นดนตรี ครดู นตรไี ดน นั้ จะตอ งเปน ผูที่มีความรู ความเขา ใจ และความเชยี่ วชาญ ของครดู นตรที ม่ี ีช่อื เสยี งในอดตี ไดจาก http://www.student.nu.ac.th เกย่ี วกบั ทกั ษะกระบวนการทางดนตรี เพราะจะตองเปนผทู ่ีถา ยทอดวิชา ใหแกศษิ ย ดงั นั้น เมื่อกนกวรรณมคี ณุ สมบัติเหมาะสมครบถว น จงึ เหมาะสมแกการประกอบอาชีพเปนครูดนตรี คมู อื ครู 103 กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา าใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 7 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู สา� หรบั ครสู อนวชิ าดนตรีในสถาบนั การศกึ ษาดนตรเี อกชนทอี่ ยนู่ อกระบบการศกึ ษาภาคปกติ เพ่มิ เตมิ เกยี่ วกบั อาชีพดนตรี สงตวั แทน 2 - 3 คน จะมีลักษณะการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถเล่นดนตรีได้ แต่วิธีการสอนและวัตถุประสงค์ของ ออกมาอธบิ ายความรูในหัวขอ นักวชิ าการดนตรี การจัดการเรียนการสอนจะมีความแตกต่างไปจากการเรียนดนตรีในระบบการศึกษาภาคปกติ ตามทีไ่ ดศ กึ ษามาหนาชั้นเรียน จากนัน้ ครถู าม และในปัจจุบันยังมีครูดนตรีท่ีรับสอนดนตรีแบบตัวต่อตัว โดยจะเดินทางไปสอนผู้เรียนตามบ้าน นักเรยี นวา ซึ่งการสอนในลักษณะนี้จัดเป็นการสอนวิชาเฉพาะทาง ครูผู้สอนจ�าเป็นต้องมีความช�านาญและมี ความรอบรู้ด้านเทคนิควธิ ีการบรรเลงดนตรีเป็นอยา่ งดี • นกั วิชาการดนตรีมคี วามสาํ คญั อยางไร ๑.๗ นักวิชาการดนตรี ตอการศกึ ษาหาความรเู กี่ยวกับดนตรี (แนวตอบ เปน ผนู าํ เสนอองคค วามรูทางดาน นกั วชิ าการดนตรี มคี วามหมายครอบคลมุ ถงึ นกั วจิ ยั ดนตรี นกั วชิ าการดนตรมี บี ทบาทอยา่ งมาก ดนตรแี ละระบบการศกึ ษาดา นดนตรี ในการศกึ ษา หาความรูเ้ กย่ี วกบั ดนตรี เพือ่ เสนอองค์ความรู้ ให้ข้อมลู ทางดา้ นดนตรีและสว่ นตา่ งๆ ซึ่งจดั เปน เสมอื นคลงั ความรูด า นดนตรี ทอ่ี ยรู่ ายรอบแกร่ ะบบการศกึ ษาวชิ าดนตรี หรอื หนว่ ยงานทน่ี า� ดนตรไี ปประกอบกจิ การในดา้ นตา่ งๆ ใหแ กห นว ยงานตา งๆ ทป่ี ฏบิ ตั งิ านดา นดนตรี นักวิชาการดนตรีส่วนใหญ่จะอยูภ่ ายในมหาวทิ ยาลยั หรือสถาบันท่ีจดั การเรียนการสอนวชิ าดนตรี เชน สถาบันการศึกษาทางดนตรี เปน ตน บางส่วนเป็นนักวิจัยของส�านักวิจัย สถาบันวิจัย หรือศูนย์วิจัยต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ซงึ่ นักวิชาการดนตรสี ว นใหญจ ะอยภู ายใน บางสว่ นปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ีในหนว่ ยงานทจ่ี ดั รายการทางสอ่ื สารมวลชน เพอื่ ใหข้ อ้ มลู ดนตรีในแงม่ มุ ตา่ งๆ มหาวทิ ยาลัย หรอื สถาบันการศกึ ษาท่ีจัด ซึง่ ถือได้ว่านักวชิ าการดนตรเี ป็นอาชีพหน่ึงทมี่ ีความส�าคญั ตอ้ งผ่านการฝกฝนในการใช้กระบวน- การเรยี นการสอนเกยี่ วกับดนตรี บางสว น การ วธิ แี สวงหาความรู้ เพอ่ื ทา� หนา้ ทเ่ี ปน็ คลงั ความรดู้ า้ นดนตรีใหแ้ กห่ นว่ ยงานอน่ื ๆ ทปี่ ฏบิ ตั หิ นา้ ที่ จะเปน นักวิจยั ของสาํ นกั งานวจิ ยั ตางๆ ดา้ นดนตรี ทัง้ ภาครัฐ และเอกชน) ขยายความเขา ใจ E×pand ใหน กั เรยี นนาํ ขอ มลู เกย่ี วกบั อาชพี ดนตรมี ารว มกนั เกร็ดศลิ ปเกรด็ ศลิ ป คุณลักษณะท่ีดีของนกั ดนตรี จัดนิทรรศการเรื่อง “7 อาชีพ ผสู รา งงานดนตร”ี พรอ มหาภาพประกอบใหสวยงาม การประกอบอาชพี ดนตรใี ห้ไดด้ ีและสามารถน�าความกา้ วหน้ามาสู่นกั ดนตรไี ดน้ น้ั นักดนตรตี อ้ งปฏบิ ัติตน ๙ ข้อ ดงั น้ี ตรวจสอบผล Evaluate ๑. ตอ้ งมคี วามขยนั อดทน มคี วามเพยี รพยายามสม�า่ เสมอ ครพู จิ ารณาจากการจดั นทิ รรศการเรอ่ื ง “7 อาชพี ๒. ต้องมีวนิ ยั ในตนเอง เพื่อวางแผนการฝก ซ้อม ท้งั การซอ้ มส่วนตวั และการเข้ารว่ มฝกซอ้ มเป็นวง ผสู รางงานดนตรี” ของนักเรยี น โดยพิจารณาในดา น ๓. ตอ้ งปฏิบตั ิตามกฎกติกาของระบบการฝกซอ้ มในวงดนตรที ่ตี นสงั กดั ความถกู ตอ งของเนื้อหา การนาํ เสนอขอมลู ๔. ต้องมคี วามเชอื่ มนั่ ในตนเอง เพื่อท่จี ะไดพ้ ัฒนาฝมี อื ด้านดนตรีของตนให้มปี ระสทิ ธภิ าพมากท่สี ุด ความสวยงาม และความคิดริเร่ิมสรา งสรรค ๕. ตอ้ งมมี นุษยสัมพนั ธท์ ีด่ ี ทัง้ กับเพ่อื นร่วมงานและมติ รรกั แฟนเพลง ๖. ตอ้ งมคี วามคิดริเร่ิมสรา้ งสรรค์ อารมณด์ ี และกลา้ แสดงออก ๗. ต้องหมน่ั ศึกษา หาความรเู้ พิ่มเติมทางดา้ นดนตรแี ละสถานการณต์ า่ งๆ รอบด้าน ๘. ตอ้ งซ่ือสัตยต์ ่อตนเองและผู้อ่นื ในการใชด้ นตรสี ร้างความสขุ ถอื เป็นสดุ ยอดของวิชาชีพดนตรี ๙. ตอ้ งประหยดั อดออม อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง ละเวน้ อบายมขุ ทงั้ ปวง เพอ่ื นา� ไปสคู่ วามเจรญิ รงุ่ เรอื งของตนและ วงศต์ ระกูล ๑0๔ เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET คณุ ลกั ษณะทดี่ ีของนักดนตรที ่คี วรนาํ มาเปน แบบอยา งมีลกั ษณะอยา งไร ครคู วรยกตัวอยา งบุคคลซ่งึ ทําหนา ที่เปนนกั วิชาการดนตรีทน่ี กั เรยี นควรรจู ัก 1. ฝกซอมดนตรีอาทิตยละครั้ง เชน ศาสตราจารยเ กียรติคณุ นายแพทยพ นู พิศ อมาตยกุล ทา นเปนบตุ รคนท่ี 4 2. มีมนุษยสมั พนั ธที่ดตี อ แฟนเพลง ของรอ ยโทพิศและนางประเทือง อมาตยกุล เคยดาํ รงตาํ แหนง เปนมหาดเลก็ ของ 3. ทาํ ตนเองโดดเดน ทีส่ ุดในวง พระเจาบรมวงศเธอ พระองคเ จาเหมวดี มาเปนเวลากวา 30 ป ไดเรยี นรูเรื่องราว 4. ไมเลน รวมวงกับนกั ดนตรใี หมๆ เกย่ี วกับพระราชวงศแ ละเร่อื งราวเก่ียวกับดนตรีไทยมาจากในวงั นายแพทยพ ูนพศิ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะการเปน นักดนตรที ีด่ นี ้ัน จะตอ งมีการ เปน นักวชิ าการสาขาดนตรีวิทยา เปน ที่ปรกึ ษาวทิ ยาลัยราชสุดา มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล สรางมนุษยสัมพนั ธท่ดี ีตอ แฟนเพลง เพราะแฟนเพลงจัดเปน ปจจยั หนงึ่ เปน ผูท่มี ีความสามารถในการขบั รองเพลงไทยและประพนั ธบ ทรอ งเพลงไทย ท่สี ามารถแสดงใหเ หน็ วา นักรองทานนี้ไดร บั ความนยิ มมากนอ ยเพียงใด เปนนักจัดรายการเพลงทางวิทยุและโทรทศั น รายการวทิ ยุที่ผลติ แลว ยงั เก็บรกั ษาไว จากบุคคลทัว่ ประเทศ ในหองสมดุ ดนตรี เชน รายการพบครดู นตรีไทย สยามสงั คตี เพลงไทยจาก มหาวิทยาลัยมหิดล สงั คตี ภิรมย เพลงไทยสากลจากอดตี เปน ตน นอกจากนี้ ยงั เปน นกั เขยี นสารคดเี กยี่ วกบั ดนตรี เชน สยามสงั คตี ลาํ นาํ สยาม หนงั สอื รวมประวตั ิ สตรนี ักรอ งเพลงไทย นักระนาดเอกของไทย เปนตน 104 คมู ือครู กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. บทบาทของดนตรใี นธรุ กจิ บันเทิง ครูชักชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับบทบาทของ กภาารพแยสบนดทตงบดรา3์นทตสขรถอีอางานดชเนีพรติงรรลีใมะนคยปร์ตจัโ่าทจงบุรๆทนั ัศไซดน1ึ่งพ้์ ลนฒั ะอคนกราจเกวาา้ ทกว2ีหนา้ เปน็ อยา่ งมาก โดยเฉพาะในธรุ กจิ บนั เทงิ เชน่ ดนตรีในธรุ กิจบนั เทิง จากนัน้ ครถู ามนกั เรยี นวา ธุรกิจบันเทิงโดยตรงแล้ว ดนตรียังมีบทบาท • เพราะเหตุใดงานดนตรีจึงตองมธี รุ กจิ เขามาเก่ยี วขอ ง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอิสระ) ในการขับเคลื่อนให้ธุรกิจต่างๆ ด�าเนินไปใน สาํ รวจคน หา Explore ทิศทางท่ีได้รับความนิยมจากผู้รับบริการด้วย เช่น ธรุ กจิ หอ้ งอาหาร สวนอาหาร สถานบริการ ใหน ักเรียนศึกษา คนควา หาความรูเพิ่มเตมิ ตา่ งๆ เชน่ โรงแรม โรงพยาบาล ศนู ย์ หรอื หนว่ ย เกยี่ วกับบทบาทของดนตรีในธุรกิจบนั เทิง ประชาสัมพันธ์ของสถานประกอบการ เป็นต้น จากแหลง การเรยี นรตู า งๆ เชน หองสมดุ โรงเรียน ปจั จบุ นั ความตอ้ งการดนตรขี องกลมุ่ ประชาชนที่ หองสมดุ ชมุ ชน อนิ เทอรเน็ต เปนตน ตอ้ งการเลอื กสรรไวร้ บั ฟงั เปน็ การเฉพาะสว่ นตวั ในหวั ขอ ที่ครกู ําหนดให ดังตอ ไปน้ี ในรูปแบบต่างๆ เช่น ตลับเทป (Compact ปจั จบุ นั ธรุ กจิ บนั เทงิ ตา่ งๆ ไดน้ า� ดนตรเี ขา้ มาเสรมิ ใหธ้ รุ กจิ Cassette) ซีดี (CD) เป็นต้น จึงท�าให้ดนตรี นา่ สนใจมากยง่ิ ขนึ้ โดยเฉพาะการนา� ดนตรมี าใชป้ ระกอบ 1. ธรุ กิจโรงเรยี นดนตรี การแสดงละครเวที 2. ธุรกิจหองบันทึกเสียง 3. ธรุ กจิ รบั งานดนตรี เขา้ ไปมบี ทบาทอยา่ งมากในธรุ กจิ บนั เทงิ ตา่ งๆ และในทางกลบั กนั กม็ ธี รุ กจิ หลายประเภททเี่ กดิ ขนึ้ 4. ธรุ กจิ ผลิตสื่อทางดนตรี จากความตอ้ งการบรโิ ภคผลงานดนตรขี องผูค้ นในสังคม 5. ธุรกิจผลิตรายการโทรทศั นด านดนตรี จากท่ีกล่าวมาข้างต้นเก่ียวกับความต้องการบริโภคผลงานด้านดนตรีของประชาชนและ ภาคธุรกิจต่างๆ ท�าให้เกิดการประกอบธุรกิจที่ใช้ดนตรีเข้าไปเป็นส่วนส�าคัญของการด�าเนินงาน และสอ่ื การแสดง ทีส่ ามารถพบเห็นในปจั จุบัน ได้แก่ 6. ธรุ กิจอตุ สาหกรรมผลติ เครอ่ื งดนตรี 7. ธรุ กิจจาํ หนา ยผลิตภัณฑด นตรี ๑) ธุรกิจโรงเรียนดนตรี เป็น ธุรกิจบันเทิงประเภทท่ีต้องด�าเนินการตามกฎ- ระเบยี บขอ้ กา� หนดของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร คอื อธบิ ายความรู Explain ต้องมหี ลกั สูตร มคี รูดนตรี มีกระบวนการเรยี น ใหนกั เรยี นรว มกนั อภิปรายเกยี่ วกบั บทบาท การสอน มสี ถานทปี่ ระกอบการ และกระทา� ตามกฎ ของดนตรใี นธุรกจิ บันเทงิ ในหวั ขอ ธรุ กจิ โรงเรียน ข้อก�าหนดอื่นๆ ท่ีกระทรวงศึกษาธิการได้ ดนตรี ตามทีไ่ ดศ ึกษามา จากนั้นครูถามนกั เรยี นวา ก�าหนดไว้ ซึง่ ในปัจจบุ ันมผี ู้เรียนจา� นวนไม่น้อย ที่ใช้เวลาว่างไปเรียนท่ีโรงเรียนดนตรีเอกชน • การเรยี นดนตรใี นสถาบันการศกึ ษา ซง่ึ มอี ยมู่ ากมายหลายแหง่ ทงั้ ในกรงุ เทพมหานคร โรงเรียนดนตรีท่ีมีคุณภาพต้องด�าเนินการตามระเบียบ จะสงผลใหนักเรียนมีความรูดา นดนตรี และตามจงั หวัดตา่ งๆ ข้อบงั คบั ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เพมิ่ ข้นึ หรอื ไม อยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งอสิ ระ) ๑0๕ กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู ใหนักเรยี นศึกษา คนควาเพ่มิ เตมิ เก่ยี วกับบทบาทของดนตรใี นธรุ กจิ 1 ละครโทรทัศน รายการทางโทรทัศนท มี่ บี ทละครและเรอ่ื งราวเขา มาเกย่ี วขอ ง บนั เทิงในดา นตางๆ นอกเหนือจากทีเ่ รยี นมา เขียนสรุปสาระสาํ คญั สวนมากจะมีหลายตอน เนน ความบนั เทิงเปน หลัก เพื่อการรับชมภายในครอบครวั ลงกระดาษรายงาน นําสง ครูผูสอน ละครโทรทัศนเร่ืองแรกของประเทศไทย คือ เรื่อง “สุรยิ านไี มยอมแตง งาน” บทประพนั ธข องประหยดั ศ. นาคะนาท ออกอากาศทางชอง 4 บางขุนพรหม กิจกรรมทาทาย 2 ละครเวที ละครท่เี นน การขับรองมากกวา การพูด เปนการแสดงสดบนเวทีทีม่ ี ฉาก แสง เสียงประกอบการแสดงละคร จุดเดน ของละครเวที คือ การสื่อสารระหวา ง ใหน กั เรียนไปสมั ภาษณผ ทู ่เี กีย่ วของกบั ธุรกจิ ดนตรมี า 1 ทาน ผูชมกบั นักแสดง ซงึ่ การสอื่ สารระหวา งผูชมและนกั แสดงจะเกิดขึ้นพรอมๆ กนั พรอมหาภาพประกอบบทสมั ภาษณ จัดทาํ เปนรปู เลม ใหส วยงาม 3 ภาพยนตร เปน กระบวนการบันทกึ ภาพดว ยฟลมแลว ฉายในลักษณะทีแ่ สดง นําสงครผู สู อน ใหเห็นภาพการเคล่อื นไหว ภาพที่ปรากฏหลังจากผานกระบวนการถายทาํ จะมลี ักษณะเปน ภาพนงิ่ จาํ นวนมากทม่ี อี ริ ิยาบถ หรือแสดงอาการเคลอ่ื นไหว เปลีย่ นแปลงไปทีละนอ ยตอเนือ่ งกนั เปนชว งๆ ตามเรื่องราวทไ่ี ดร บั การถา ยทาํ และตัดตอ มา คมู อื ครู 105 กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาาใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู ใหน กั เรยี นรวมกนั อภปิ รายเกี่ยวกบั บทบาทของ ๒) ธรุ กจิ หอ้ งบนั ทกึ เสยี ง เปน็ สถานประกอบการทม่ี กี ารลงทนุ สงู นกั รอ้ งและนกั ดนตรี ดนตรใี นธรุ กิจบนั เทงิ ในหัวขอ ธุรกิจหอ งบนั ทึกเสียง ส่วนใหญต่ ้องการใช้ห้องบนั ทึกเสียงท่มี ีคุณภาพ เคร่ืองบนั ทกึ เสยี ง และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทันสมยั ธรุ กจิ รบั งานดนตรี ธรุ กจิ ผลติ สอื่ ทางดนตรี ธรุ กจิ ผลติ เพื่อให้ผลงานการบันทึกเสียงของตนเองมี รายการโทรทศั นดานดนตรแี ละส่ือการแสดง ธุรกจิ คณุ ภาพสงู และดีทส่ี ุด ดงั น้ัน ธรุ กิจหอ้ งบันทกึ - อุตสาหกรรมผลิตเครอ่ื งดนตรี และธุรกจิ จาํ หนา ย เสียงจึงจ�าเป็นต้องมีนักดนตรีที่มีความรู้ด้านนี้ ผลิตภณั ฑดนตรี ตามท่ีไดศึกษามา จากน้ันครูถาม มาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์งานในการ นกั เรยี นวา ประกอบธรุ กิจ ๓) ธุรกิจรบั งานดนตรี เปน็ ธรุ กิจ • ถา ในอนาคตนกั เรยี นตอ งการสรา งธรุ กจิ บนั เทงิ ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั การรบั จัดกจิ กรรมดา้ นดนตรแี ละ นกั เรยี นจะเลอื กสรา งธรุ กจิ บนั เทงิ ในรปู แบบใด จัดหานักดนตรี โดยมีเครือข่ายนักดนตรีของ เพราะเหตใุ ดจงึ เปนเชนนนั้ ตนเองในการรับงานบรรเลง หรือแสดงดนตรี (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ในงานลักษณะต่างๆ ตามที่หน่วยงานของ ไดอ ยา งอิสระ) ธรุ กิจห้องบันทึกเสยี ง ถอื เป็นธรุ กิจบนั เทิงที่มีการแขง่ ขนั รฐั บาล หรอื เอกชนจัดขึน้ เชน่ งานเลี้ยงรับรอง กันค่อนข้างสูง จึงต้องพยายามพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆ ให้ งานฉลองมงคลสมรส งานปีใหม่ เป็นต้น • นกั เรียนคิดวา ธุรกิจบนั เทงิ ประเภทใด มคี วามทนั สมยั ตอ่ ความตอ้ งการของนกั รอ้ ง หรอื นกั ดนตรี ทีไ่ ดร บั ความนยิ มเปน อยางมากในปจจุบัน อย่ตู ลอดเวลา ๔) ธรุ กจิ ผลติ สอื่ ทางดนตรี เปน็ เพราะเหตุใดจงึ เปนเชนน้ัน (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ธรุ กจิ ท่ีไดร้ บั ความนยิ มเปน็ อยา่ งมากจากประชาชน เพราะราคาไมส่ งู มากจนเกนิ ไป ตลาดดา้ นนจ้ี งึ ไดอยา งอสิ ระ) ขยายความเขา ใจ E×pand กวา้ งมาก เปน็ หนทางของนกั ดนตรี นกั รอ้ ง นกั แสดงไปรว่ มแสดงประกอบมวิ สกิ วดิ โี อ ซง่ึ สามารถ ใชเ้ ปน็ แหลง่ ประกอบอาชีพไดท้ างหนึง่ ใหนักเรียนรว มกนั สรุปสาระสําคัญเก่ียวกับ ๕) ธรุ กิจผลิตรายการโทรทศั นด์ า้ นดนตรีและสื่อการแสดง ลกั ษณะรายการเป็น บทบาทของดนตรใี นธรุ กจิ บนั เทงิ ลงกระดาษรายงาน ส่ือแสดงสาระทางดนตรีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างสูง ซึ่งในปัจจุบันมีช่องออกอากาศ นาํ สง ครูผูสอน ระบบดาวเทยี ม จงึ มชี อ่ งรายการเพม่ิ จา� นวนมากขน้ึ เปดิ โอกาสใหธ้ รุ กจิ ดา้ นนผ้ี ลติ งานออกรายการ ไดห้ ลากหลายช่อง เป็นหนทางให้นกั ดนตรมี ีปรมิ าณงานเพ่มิ ข้นึ ตามมาด้วย ตรวจสอบผล Evaluate ๖) ธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตเคร่ืองดนตรี เป็นธุรกิจท่ีน่าสนใจส�าหรับนักดนตรี ครพู ิจารณาจากการสรปุ สาระสาํ คญั เกยี่ วกับ และช่างท�าเครื่องดนตรี แม้ว่าอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องดนตรีในประเทศไทยยังมิได้พัฒนาไป บทบาทของดนตรใี นธรุ กจิ บนั เทิงของนกั เรียน สู่การผลิตเครื่องดนตรีสากลขนาดใหญ่ แต่อุตสาหกรรมที่ผลิตเคร่ืองดนตรีและอุปกรณ์ประกอบ เครื่องดนตรีก็ยงั มปี รากฏในหลายพืน้ ที่ บางแหล่งเป็นแหลง่ ผลิตเครือ่ งดนตรีเฉพาะทาง และเป็น ท่ที ราบในวงการดนตรี เชน่ แหล่งผลติ ขิมในจังหวดั ลา� ปาง แหลง่ ผลิตแคนในจังหวัดมหาสารคาม แหล่งผลิตจะเข้ในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แหล่งผลิตระนาดในจังหวัดชลบุรีและ จังหวดั เพชรบูรณ์ แหล่งผลิตกลองชนดิ ตา่ งๆ ในจงั หวัดอ่างทอง เป็นต้น ๑06 เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ดนตรกี บั ธรุ กิจมคี วามสัมพันธกนั อยางไร ครคู วรอธบิ ายความรเู พมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั คาํ วา มวิ สกิ วดิ โี อ หรอื เอม็ วี (MV) วา เปน การ 1. ทําใหธ รุ กิจบันเทิงเขาถงึ งายขน้ึ ถายทอดบทเพลงทมี่ ภี าพประกอบ โดยสมยั กอ นมวิ สกิ วดิ โี อถกู นาํ มาใชในการ 2. ชว ยในการเผยแพรศ ิลปวัฒนธรรมไทย เผยแพรบ ทเพลงทางโทรทัศน ซง่ึ มักเปน รปู แบบการถา ยภาพวงดนตรี หรือนกั รอง 3. ชว ยสรางสมั พันธภาพระหวา งธุรกิจตางๆ ทีร่ องเพลง ตอ มามกี ารนําภาพมาประกอบ และพฒั นามาเปนการนาํ เนอ้ื หาของ 4. ทาํ ใหเกิดการประกอบธุรกิจท่ใี ชด นตรเี ขาไปเปน สว นสาํ คญั บทเพลงมาสรา งเปน เร่ืองราวประกอบเพลง ในปจจบุ นั มวิ สกิ วิดโี อถกู นาํ มาซอ น วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะดนตรที ่เี ขา ไปมีความเกีย่ วพนั กับ กบั เนือ้ เพลงทาํ เปน คาราโอเกะทีค่ นนิยมนาํ มาขับรองกันเปน จํานวนมาก ธุรกจิ นัน้ ถอื เปน หวั ใจสาํ คัญในการดาํ เนินงานทางธรุ กิจ มบี ทบาทในการ ขับเคล่ือนใหธ รุ กจิ ตางๆ ที่เกดิ ขึ้นดําเนินไปในทศิ ทางท่ีไดร บั ความนิยม มมุ IT จากผบู รโิ ภค นักเรียนสามารถเลือกชมมิวสกิ วดิ ีโอของศลิ ปนตา งๆ ไดจาก http://www.youtube.com โดยคน หาจากช่ือเพลงตามดว ยชอ่ื ศลิ ปน เชน เพลง คือเธอ - บอย มารก ้ี (Ost.รอยมาร) เปนตน 106 คูม อื ครู กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๗) ธุรกิจจําหนายผลิตภัณฑดนตรี เปนธุรกิจที่ไดรับความสนใจเปนอยางมาก ครเู ปดสือ่ อินเทอรเ นต็ เกี่ยวกับการแสดงดนตรี และวฒั นธรรม “สายสมั พนั ธสองแผน ดนิ ” คร้ังที่ 5 ในปจจุบัน เพราะเปนแหลงรวมสินคาท่ีลูกคาสามารถเลือกหาผลิตภัณฑดนตรีท่ีตนตองการได ใหนกั เรยี นชม จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา โดยผลติ ภัณฑด นตรที ี่มีการจําหนายอยทู ่ัวไป เชน เคร่อื งดนตรี อปุ กรณที่ใชต กแตงเครอ่ื งดนตรี สอ่ื ทางดนตรี หนงั สอื ดนตรี โนต เพลง ของทร่ี ะลกึ ทเี่ กยี่ วกบั ดนตรี เชน เสอ้ื ทมี่ ตี ราสญั ลกั ษณด นตรี • ดนตรเี ขา มามบี ทบาทตอ สงั คมไทยในดา นใด นาฬกาดนตรี พวงกุญแจ เคร่ืองดนตรีขนาดเล็กท่ีนําไปต้ังโชว เครื่องดนตรีขนาดเล็กที่ใชเปน (แนวตอบ ในดา นการชวยสรางความสมั พันธ เคร่ืองประดับ เปนตน และนอกจากการจําหนายแลวยังมีอาชีพที่เกี่ยวกับการบริการดวย เชน ระหวางประเทศ เศรษฐกิจ การเมอื ง การซอมเครอื่ งดนตรี การปรบั แตงเสียงเครอ่ื งดนตรี การเทยี บเสียงเครอื่ งดนตรี เปนตน การศกึ ษา การสรางสัมพนั ธภาพระหวาง นกั ศึกษา การประชาสมั พันธ การรกั ษา ๓. บทบาทของดนตรที ่ีมีตอ สงั คมและวัฒนธรรมไทย ทางการแพทย และการออกกําลังกาย) นอกจากดนตรีจะเขาไปมีบทบาทอยางมากในธุรกิจบันเทิงดังที่ไดกลาวมาแลวในขางตน สาํ รวจคน หา Explore ดนตรีท่ีผูเรียนไดศึกษายังมีบทบาทตอสังคมไทยอยางกวางขวาง แตเดิมดนตรีมีขอบขายจํากัด ใหน กั เรียนศึกษา คน ควา หาความรเู พ่มิ เติม อยูในความเช่อื พิธกี รรม กิจกรรมทางศาสนา กจิ กรรมบันเทงิ ท่ีประกอบเขากบั รูปแบบการแสดง เกย่ี วกับบทบาทของดนตรที ่มี ีตอสังคมไทย หรือดนตรีบางประเภทก็เปนของชนชั้นสูงเทาน้ัน ซ่ึงในหลายสังคมจํากัดไวเฉพาะสังคมของตน จากแหลง การเรยี นรูต างๆ เชน หอ งสมุดโรงเรียน ดงั พบไดใ นสงั คมกรกี จนี อนิ เดยี เปอรเ ซยี และไทย แตใ นปจ จบุ นั ไดเ ปลย่ี นแปลงไป ดนตรกี ลายเปน หอ งสมดุ ชุมชน อนิ เทอรเ น็ต เปน ตน สง่ิ ทที่ กุ คนสามารถเขา ถงึ ความงาม และความไพเราะ เพอ่ื ความสขุ ของตนเองและบคุ คลรอบขา งได โดยดนตรเี ขา มามีบทบาทตอสงั คมไทยดา นตางๆ ดงั น้ี อธบิ ายความรู Explain ๑. ชวยสรางสัมพันธภาพระหวาง ใหนักเรียนรวมกนั อภปิ รายเกีย่ วกับบทบาท ประเทศ เชน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ของดนตรที ีม่ ตี อสงั คมไทย ตามทไ่ี ดศ ึกษามา สยามบรมราชกุมารีไดทรงดนตรีเมื่อไปเจริญ จากน้นั ครูถามนักเรียนวา สัมพันธไมตรีกับประเทศจีนและประเทศลาว อสมัคเรดรจ็ าพชระกเุจมา าลรกู ีไเธดอทเจรางฟกาูเจจฬุ ิง1าแภลรณะทวลรยังลแกั สษดณง • เพราะเหตใุ ดจึงตองมกี ารแลกเปลีย่ น คอนเสริ ต ในงานสานสมั พนั ธไทย-จนี หนว ยงาน วัฒนธรรมทางดนตรี ของรัฐและองคกรเอกชนตางๆ ไดมีการจัด (แนวตอบ เพ่อื เปนการเชื่อมโยงสายสมั พันธ โครงการแลกเปล่ียนวัฒนธรรมดวยการเชิญ อนั ดงี ามระหวา งประเทศใหม คี วามแนน แฟน วงดนตรีและนักรองจากตางชาติมาแสดงการ- มากยง่ิ ข้ึน ท้ังน้ีการเรยี นรูในเรือ่ งของ รอ งเพลงประสานเสยี ง การแสดงดนตรพี นื้ เมอื ง สมเด็จพระเจาลูกเธอ เจาฟาจุฬาภรณวลัยลักษณ อัคร- วฒั นธรรมดนตรีของประเทศตางๆ ก็ทาํ ให การบรรเลงดนตรคี ลาสสกิ ในประเทศไทย เปน ตน ราชกมุ ารี ทรง “กเู จงิ ” ในงานแสดงดนตรแี ละวฒั นธรรม สามารถคดิ คนและพฒั นาเคร่ืองดนตรี “สายสมั พนั ธส องแผนดนิ ” ใหม ีความหลากหลายมากยง่ิ ข้นึ ) ๑๐๗ แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ นกั เรียนควรรู การแลกเปลยี่ นวัฒนธรรมทางดนตรีถือวา เปนบทบาทของดนตรี 1 กูเจิง เปนเครอื่ งดนตรีแบบด้งั เดมิ ของจีน จดั เปน เคร่อื งดนตรปี ระเภท ทีม่ ีตอสังคมไทยในดานใด เครอ่ื งสาย ใชมือดดี มีสาย 21 สาย ใชว างในแนวนอนเวลาเลน แตล ะสาย จะมีหยองรองรบั หยองของกเู จงิ สามารถเปล่ยี นตําแหนง ไดเ พื่อปรบั ระดบั เสยี ง 1. มีบทบาทตอระบบเศรษฐกจิ หรอื เปล่ียนคีย และมีเสียงแบบเพนตาโทนกิ สเกล โดยมเี สียง โด เร มี ซอล 2. ชวยใหธ รุ กจิ ดนตรีขยายกวา งขนึ้ และลา ตามลาํ ดบั 3. ชวยสรา งสมั พันธภาพระหวา งประเทศ 4. ชว ยในการประชาสมั พันธรูปแบบตา งๆ มุม IT วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะการแลกเปลี่ยนวฒั นธรรมทางดนตรี นกั เรยี นสามารถชมการบรรเลงดนตรีดวยเคร่ืองดนตรกี ูเจงิ ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคําวา กเู จิง ระหวา งประเทศนัน้ จัดเปน การชว ยสรา งสมั พันธภาพระหวา งประเทศ ซงึ่ เปน การแลกเปลย่ี นวฒั นธรรมทางดนตรี เพอ่ื กระชบั สายใยความผูกพนั ระหวาง 2 ประเทศ ใหย ืนนานมากยิง่ ข้นึ คูม อื ครู 107 กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครสู ุมนักเรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ๒. มีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเป็นแหล่งงานท่ีส�าคัญของผู้ประกอบการธุรกิจ ดังตอ ไปนี้ บนั เทงิ เชน่ มสี นิ คา้ ทผ่ี ลติ จากงานดนตรีในประเทศไทย สง่ ออกไปจา� หนา่ ยยงั ตลาดโลก นกั ดนตร-ี ไทย หรือนักร้องไทยได้รับเชิญให้ไปแสดงดนตรีในต่างประเทศ รัฐมีรายได้จากการเก็บภาษีของ • ระบบเศรษฐกิจกับดนตรีมีความเกี่ยวของกัน สถานประกอบการด้านธุรกจิ บนั เทงิ เป็นต้น ในเร่อื งใด ๓. มบี ทบาทในกจิ กรรมทางการเมอื ง ใช้เป็นส่อื ในการปราศรยั หาเสียง หรอื เพื่อการ (แนวตอบ การประกอบธรุ กจิ บนั เทงิ ประชาสัมพันธ์นโยบายของพรรคการเมืองให้มีความน่าสนใจมากข้ึน โดยการใช้ดนตรีประกอบ หรอื การผลิตสินคา ทางดา นดนตรี การหาเสยี ง หรอื แตง่ เพลงประจ�าพรรคการเมือง สงจําหนายไปยังตา งประเทศ) ๔. ช่วยในการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะทางด้านเพลงไทยแบบแผน เพลงไทยสากล เพลงลกู ทงุ่ เพลงพน้ื บา้ น ฯลฯ เพอ่ื ใหค้ นไทยไดช้ นื่ ชมและภาคภมู ิใจในมรดกทาง • เพราะเหตใุ ดนโยบายของพรรครฐั บาล วฒั นธรรมของไทย และเมอื่ เผยแพรไ่ ปยงั ตา่ งประเทศกเ็ หมอื นกบั ชว่ ยประกาศความงดงามทางศลิ ป- จงึ ถกู นํามาแตง เปนเพลงเพือ่ ใชป ระกอบ วัฒนธรรมไทยใหช้ าวตา่ งประเทศได้รบั รดู้ ้วย การหาเสยี ง ๕. ช่วยรักษาองค์ความรู้และภูมิปัญญาไทยทางด้านดนตรีไว้ เพ่ือสืบสานต่อไป (แนวตอบ เพือ่ เปนการประชาสมั พันธน โยบาย ยังอนุชนรุ่นหลงั ช่วยให้เยาวชนไทยเกิดความตระหนักรู้ รวมท้ังเกิดความภาคภูมิใจในมรดกทาง ของพรรคใหป ระชาชนรบั ทราบผานทาง ศิลปวัฒนธรรมไทยด้านดนตรที ถ่ี ่ายทอดออกมาเป็นผลงานศลิ ปะให้เราไดย้ นิ ไดฟ้ งั เสยี งเพลง เพราะนโยบายสว นมากจะมเี นอ้ื หา ๖. มบี ทบาทในดา้ นการศกึ ษา ในการนา� นกั เรยี น นกั ศกึ ษาเขา้ ถงึ ความรทู้ งั้ ในสถาบนั ท่ีคอ นขา งจดจําไดยาก ดงั น้นั เมอ่ื นาํ มาแตง การศกึ ษาและผา่ นสอื่ อนิ เทอรเ์ นต็ โดยใชเ้ ปน็ กจิ กรรมประกอบการเรยี นการสอนและเปน็ วชิ าแขนง เปน เพลงและนํามาเปดประชาสัมพันธ หนึง่ โดยตรง พรรคการเมอื ง กจ็ ะทาํ ใหป ระชาชนจาํ นโยบาย ๗. ช่วยสร้างสัมพันธภาพระหว่าง ของพรรคไดงา ยยงิ่ ข้นึ ) นกั ศกึ ษา ทง้ั นกั ศกึ ษาตา่ งสถาบนั ในประเทศ หรอื เมอื่ ไปศกึ ษาตอ่ ตา่ งประเทศ ดนตรกี จ็ ะมบี ทบาท • เสยี งดนตรไี ดเ ขา มามบี ทบาทในดา นการศกึ ษา ในการเปน็ สอื่ กลางทช่ี ว่ ยเผยแพรว่ ฒั นธรรมไทย อยางไร ใหช้ าวตา่ งชาตไิ ดเ้ รยี นรแู้ ละเขา้ ใจ (แนวตอบ การนําเสยี งดนตรีมาใชประกอบ ๘. ช่วยในการประชาสัมพันธ์ ในการสอนแบบสรางสรรคท างศลิ ปะ ในรปู แบบตา่ งๆ ทั้งการประชาสัมพนั ธ์ทางวิทยุ ผลปรากฏวาเสยี งดนตรสี ามารถชวย กระจายเสียง วิทยุชุมชน แพร่ภาพทางสถานี สงเสริมพัฒนาการทางอารมณ เสริมสรา ง โทรทัศน์ และผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ความคิด จินตนาการ ชว ยกระตุน ใหมกี าร นอกจากนี้ สถานประกอบการและหนว่ ยราชการ แสดงออกอยา งสรา งสรรค สงเสริม ต่างๆ ก็ยังใช้เสียงเพลงเปิดให้ประชาชนฟัง ความสัมพนั ธระหวา งประสาทหู กลา มเนื้อมือ ใหสอดคลอ งกบั การใชความคิด ทําใหห ายเหนือ่ ยและผอ นคลาย ความตึงเครยี ด) ปจั จบุ นั มีการนา� ดนตรมี าใชใ้ นการออกกา� ลงั กาย โดยน�า ขณะรอรบั บรกิ ารด้วย ดนตรมี าใช้ประกอบการเต้นลีลาศ ๑0๘ บูรณาการอาเซียน บรู ณาการเช่ือมสาระ จากการศึกษาเก่ยี วกับบทบาทของดนตรที ี่มตี อสังคมไทยดา น จากการศกึ ษาเกย่ี วกบั ความรูพนื้ ฐานเกย่ี วกับบทบาทของดนตรที ี่มตี อ สงั คมไทย การออกกําลงั กาย สามารถเชอ่ื มโยงกับการเรยี นการสอนในกลมุ สาระ ในการสรางสมั พันธภาพระหวา งประเทศ สามารถเชือ่ มโยงกับประเทศสมาชกิ การเรยี นรูส ุขศึกษาและพลศึกษา ในเรือ่ งกิจกรรมนันทนาการ เชน การนาํ อาเซียน คอื ประเทศไทย ประเทศบรูไน และประเทศกัมพูชา ที่มลี ักษณะของ ดนตรมี าใชในการออกกาํ ลงั กาย การราํ มวย การรํากระบอง การเตนลลี าศ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่มีวิธีการเลนคลา ยกัน แตม ีช่อื เรียกท่ตี างกนั เปนตน ซง่ึ การออกกาํ ลังกายมีประโยชนดังน้ี ทาํ ใหกลา มเน้อื แข็งแรงขึ้น ดงั ตัวอยาง มีพลังทีส่ ามารถทาํ กจิ กรรมตา งๆ ไดด ขี ้ึน การออกกาํ ลังกายอยเู สมอ จะชวยใหท รงตวั ดขี ้ึน มีความกระฉบั กระเฉงวอ งไว ทรวดทรงดีข้นึ สัดสว น กลองสองหนา เกนดงั (Gandang) ซมั โฟ (Sampho) ของรา งกายมคี วามเหมาะสม ปอด หวั ใจ หลอดเลือด ทาํ งานไดดขี ้นึ ชะลอ (ประเทศไทย) (ประเทศบรไู น) (ประเทศกัมพชู า) ความเส่ือมของอวัยวะภายในรางกาย ชว ยใหม ีอายยุ นื ยาว เพราะกลา มเนื้อ แข็งแรง อวยั วะทกุ สว นของรางกายทําหนา ทีไ่ ดดีข้ึน และการออกกาํ ลังกาย เปนปจ จัยสําคญั ที่มีผลตอการเจรญิ เตบิ โต โดยเฉพาะในเด็กทอี่ อกกําลังกาย สม่าํ เสมอ รา งกายจะผลิตฮอรโ มนท่เี กยี่ วกับการเจริญเตบิ โตอยางถกู สว น นอกจากนี้ ดนตรยี งั มีสว นชวยพัฒนาจติ ใจใหมีความออ นโยน สรางความ สนุกสนาน เพลดิ เพลนิ ใจ และชว ยผอนคลายความตงึ เครยี ดไดอ ีกดว ย 108 คูม ือครู กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา ใา จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๙. ช่วยให้ประชาชนชาวไทยมีความสุขในผลงานเพลง โดยการรับผ่านส่ือที่มีการ ครูสุมนกั เรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม ถ่ายทอดออกมาและหากซื้อไปรบั ฟังทบ่ี า้ นกส็ ามารถกระท�าได้ เพราะในปัจจบุ ันธรุ กิจบันเทงิ ผลติ ดงั ตอ ไปนี้ และจา� หนา่ ยผลงานเพลงในราคาที่ไม่แพง ประชาชนสามารถเข้าถึงดนตรีได้อยา่ งสะดวกมากข้ึน • การนําเสียงดนตรีมาใชประกอบการรักษา ๑๐. ชว่ ยใหธ้ รุ กจิ ดนตรขี ยายวงกวา้ งขน้ึ นกั ดนตรี หรอื ผเู้ กย่ี วขอ้ งกบั งานดนตรมี งี านทา� ทางการแพทยมขี อ ดอี ยางไร นกั เรยี นและนกั ศกึ ษาวชิ าดนตรมี โี อกาสในการเขา้ สงู่ านอาชพี ดนตรอี ยา่ งกวา้ งขวาง ขณะเดยี วกนั (แนวตอบ ทาํ ใหสามารถวางแผนในการใช ก็มีการน�าดนตรีไปใช้อย่างกว้างขวางในธุรกิจบันเทิงแขนงต่างๆ ท�าให้งานดนตรีขยายวงกว้าง กิจกรรมทางดนตรคี วบคมุ ในกลุมของคน มากขึ้น จงึ ทา� ใหป้ ระชาชนมีความสขุ กับอรรถรสของดนตรีประเภทตา่ งๆ ตามท่ตี นพงึ พอใจ ทกุ วยั ไมวา จะเปนวยั เด็ก จนถงึ วัยสูงอายุ เพ่อื ใหเ กิดผลบรรลใุ นการรักษาโรคตางๆ ๑๑. ชว่ ยเสรมิ การรกั ษาทางการแพทย์ เพื่อบ�าบดั ผปู้ ่วย หรอื ทเี่ รียกวา่ “ดนตรบี ำ� บัด” ท่เี กดิ มาจากความบกพรอ งตา งๆ เชน ซึ่งในปัจจุบันก�าลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยแพทย์ได้นา� ดนตรีเข้ามาช่วยในการบ�าบัด ความผดิ ปกติทางดา นอารมณ รกั ษาโรคทางจติ ผอ่ นคลายความตงึ เครยี ด และกระตนุ้ การเคลอื่ นไหวรา่ งกายไปตามจงั หวะดนตรกี บั ทางดานรางกาย ทางดานสติปญญา ผปู้ ว่ ยที่ต้องทา� กายภาพบ�าบัด เปนตน นอกจากน้ี เสยี งดนตรียงั สามารถ ชวยปรบั เปล่ียนนสิ ยั กาวรา วของมนษุ ย ๑๒. ใชใ้ นการออกกา� ลงั กาย เชน่ การนา� ดนตรมี าใชป้ ระกอบการเตน้ แอโรบกิ การร�ามวย รกั ษาโรคสมาธิสั้น โดยเฉพาะในเดก็ การร�ากระบี่กระบอง การเต้นลีลาศ หรือใช้จังหวะ หรือท�านองเพลงประกอบการออกก�าลังกาย ซงึ่ จะทาํ ใหม สี มาธยิ าวขนึ้ ออ นโยนขน้ึ ตามปกติ เป็นตน้ โดยใชหลกั ทฤษฎอี ีธอสของดนตรี ซึง่ เช่ือวา ดนตรมี อี าํ นาจในการที่จะเปลยี่ นแปลง ดนตรมี บี ทบาทและความสา� คญั ตอ่ สงั คมและวฒั นธรรมเปน็ อยา่ งมาก ในอดตี มกี ารนา� ดนตรี นิสยั ของมนุษย จนกระท่งั ในบางกรณี มาใช้เพ่ือประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อทางศาสนา ซ่ึงก็ยังคงบทบาทนี้มาจนถึงปัจจุบัน ดังจะ สามารถรกั ษาโรคใหห ายได หรอื ทเี่ รยี กวา พบเห็นได้จากกิจกรรมตามความเช่ือทางศาสนาของผู้คนในประเทศไทยและทุกประเทศท่ัวโลก “ดนตรบี ําบัด”) การพฒั นาดนตรขี องบรรพบรุ ษุ ท่ีไดส้ รา้ งสรรคผ์ ลงานทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ดนตรี ทง้ั การสรา้ งเครอ่ื งดนตรี การประพนั ธเ์ พลง การคดั สรรนา� มาใชเ้ พอ่ื ใหเ้ หมาะสมสอดคลอ้ งกบั กจิ กรรมตา่ งๆ ไดส้ ง่ ผลใหด้ นตรี • นกั เรยี นเคยนาํ เสยี งดนตรมี าใชป ระกอบการ- มคี วามเจรญิ กา้ วหน้ามากกวา่ ในอดตี ออกกาํ ลงั กายหรือไม เพราะเหตุใด (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอสิ ระ) ขยายความเขา ใจ E×pand ใหน ักเรยี นรว มกนั สรุปสาระสําคญั เกยี่ วกบั บทบาทของดนตรีท่ีมีตอ สังคมไทย ลงกระดาษ รายงาน นําสงครผู สู อน ดนตรีชว่ ยรักษาองคค์ วามรแู้ ละภมู ิปญั ญาไทยทางด้านดนตรไี ว้ เพอื่ สืบสานต่อไปยังคนรุ่นหลงั ๑09 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ เกร็ดแนะครู ขอใด ไมใช บทบาทของดนตรีที่มตี อสงั คมและวฒั นธรรมไทย ครคู วรเนน ย้าํ ในเร่อื งอทิ ธิพลของดนตรีกับสงั คมใหนกั เรยี นเขา ใจวา 1. ชว ยใหธรุ กจิ ดนตรขี ยายตัว บคุ คลไมส ามารถแตกแยกออกมาจากสังคมได เพราะโดยธรรมชาติน้ันมนุษย 2. ทําใหค นไทยตนื่ ตัวดานดนตรี จะอยรู วมกนั เปน สงั คม ชอบกระทาํ กจิ กรรมรว มกนั เชน ลา สตั ว ทาํ กจิ กรรมประกอบ 3. ทาํ ใหเ ศรษฐกจิ ไทยเจริญกา วหนา พิธีกรรมตามความเช่อื การเฉลิมฉลองในงานประเพณที างศาสนา เปน ตน 4. ชว ยในการเผยแพรศ ิลปวัฒนธรรมไทย การรวมตัวกนั เชน นี้ ทําใหท ุกคนในกลมุ มโี อกาสแสดงตนตอสังคมและอารมณตา งๆ ออกมา เพื่อใชใ นการส่ือสารความรสู ึกนกึ คดิ กับบคุ คลอนื่ ๆ ทสี่ าํ คัญ ทกุ กจิ กรรม วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะการที่จะทาํ ใหคนไทยใชจ า ยเงนิ จะมกี ารบรรเลงดนตรี หรือการขบั รอ ง เพอ่ื ชว ยสื่อสารความเขา ใจระหวางกัน ของสมาชกิ ในสงั คมดวย อน่ึง ดนตรี คอื ศิลปะทบี่ คุ คลในสังคมสรา งสรรคขึน้ มา ฟุมเฟอ ยข้ึน นา จะมาจากปจ จยั อน่ื ๆ เชน ปจจัยทางดานเศรษฐกจิ ใชร ว มกัน ในบางครง้ั อาจมีผเู ตนราํ เพิ่มเตมิ เขา มาอกี ซ่งึ ทกุ ๆ คนตางลว นมีอารมณ การเมอื ง คานิยมในเรือ่ งการใชเ ทคโนโลยี การแตง กายดวยเส้ือผา รวมกับเสียงดนตรที งั้ สิ้น ดนตรีจงึ กลายเปน วัฒนธรรมอยา งหนึง่ ของสังคมมนุษย แบรนดเนม เปนตน ซึ่งไมไ ดสะทอ นใหเหน็ ในเร่อื งของบทบาทของดนตรี และวัฒนธรรมทางดนตรีของแตล ะสงั คมลวนเปนเครือ่ งชว ยชบ้ี อกลกั ษณะ ทีม่ ตี อ สงั คมและวฒั นธรรมไทย ของขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ภารกิจ กจิ กรรม คานิยมของผคู นในสงั คมนั้นๆ คูมือครู 109 กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครพู ิจารณาจากการสรุปสาระสําคัญเกย่ี วกบั กิจกรรม ศลิ ปปฏบิ ัติ ๖.๑ บทบาทของดนตรีที่มตี อ สังคมไทยของนกั เรียน หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรมท ่ี ๑ ใหน้ กั เรยี นเขยี นบรรยายเกยี่ วกบั อาชพี ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ดนตรที น่ี กั เรยี นสนใจ พรอ้ มทงั้ กจิ กรรมที ่ ๒ ให้เหตุผลทีส่ นใจในอาชพี นม�้ าคนละ ๑ หน้ากระดาษรายงาน สง่ ครผู ู้สอน 1. ผลการจดั นิทรรศการเร่ือง กจิ กรรมท ่ี ๓ ให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเก่ียวกับบทบาทของดนตรีท่ีมีต่อสังคมไทย แล้วสรุปลง “7 อาชีพ ผสู รา งงานดนตร”ี กระดาษรายงาน ส่งครผู ้สู อน ให้นกั เรียนตอบค�าถามต่อไปน้� 2. ผลการสรุปสาระสําคญั เก่ียวกบั บทบาท ๑. ดนตรมี ีบทบาทต่อธุรกิจบนั เทิงอยา่ งไร จงอธิบาย ของดนตรีในธุรกจิ บนั เทิง ๒. อาชพี ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั งานดนตรมี อี าชพี ใดบา้ ง ใหย้ กตวั อยา่ งมา ๑ อาชพี พรอ้ มอธบิ าย 3. ผลการสรุปสาระสาํ คัญเกย่ี วกบั บทบาท พอสงั เขป ของดนตรที ี่มีตอ สงั คมไทย ๓. งานดนตรสี ง่ ผลดีต่อสงั คมและวฒั นธรรมไทยอย่างไร คุณคา ของดนตรไี ดก า วมาสบู ทบาทในการดาํ เนนิ ชวี ติ ของผคู นในทกุ ชว งของการ ดาํ รงชพี ขณะเดียวกันศาสตรด า นดนตรกี ็ไดร ับการปรงุ แตง พฒั นาตามความตอ งการ ที่สอดคลองกับความรูสึกของผูคน ซึ่งสถานการณลักษณะน้ีกําลังพัฒนาตอไปอยาง ไมมีที่ส้ินสุด จนแพรกระจายไปในทุกประเทศ ทุกสังคม ทุกชุมชน อยางรวดเร็วตาม ความเจริญกาวหนาทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ซึ่งเปนปจจัยสําคัญท่ีมีผลตอการ พัฒนาดนตรีเปนอยางมาก เปนส่ิงท่ีเอื้ออํานวยใหดนตรีตองปรับปรุงเคลื่อนไหวให สอดคลองกับสังคม ขณะเดยี วกันก็มกี ารนาํ ดนตรไี ปใชอยางกวางขวางในธุรกิจบนั เทงิ แขนงตางๆ ทําใหงานดนตรีขยายวงกวางมากขน้ึ ๑๑0 แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปปฏิบตั ิ 6.1 กจิ กรรมที่ 3 1. มีบทบาทในการขบั เคลอื่ นใหธุรกิจตางๆ ทเี่ กดิ ข้นึ ดําเนนิ ไปในทิศทางทไี่ ดร บั ความนยิ มจากผบู รโิ ภค 2. นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เห็นไดอยางอสิ ระ โดยข้นึ อยูกับดลุ ยพนิ ิจของครผู สู อน 3. เปนการสบื สานและสรางสรรคผ ลงานทางดนตรีที่มอี ยใู นอดีตมาปรับใชใหม คี วามเหมาะสมในสภาพสังคมปจ จบุ นั ทาํ ใหดนตรมี ีรปู แบบที่หลากหลายมากขึน้ และมีความเจรญิ กาวหนา มากกวา ในอดตี ที่ผา นมา 110 คมู ือครู กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู 1. อธบิ ายการบูรณาการศลิ ปะแขนงอ่นื ๆ กับการแสดง 2. วเิ คราะหก ารแสดงของตนเองและผอู ่นื โดยใชนาฏยศพั ท หรือศัพททางการละคร ทีเ่ หมาะสม 3. เช่อื มโยงการเรียนรรู ะหวา งนาฏศิลป และการละครกบั สาระการเรยี นรอู ืน่ ๆ สมรรถนะของผูเ รียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี ÷หนว ยที่ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค ความรทู้ ว่ั ไปเกีย่ วกบั นาฏศลิ ป์ 1. มีวินยั 2. ใฝเรยี นรู 3. มุงม่ันในการทํางาน 4. รักความเปน ไทย ตัวชว้ี ัด นาฏศลิ ปเปน วชิ าทวี่ า ดว ยการฟอ นราํ กระตนุ ความสนใจ Engage ■ อธิบายการบูรณาการศิลปะแขนงอื่นๆ กบั การแสดง (ศ ๓.๑ ม.๒/๑) ครูเปดซดี ี หรือดีวดี กี ารแสดงนาฏศิลปไ ทย ■ วิเคราะหก ารแสดงของตนเองและผูอนื่ โดยใชน าฏยศพั ท ทีเ่ ปน การแสดงระบาํ มาตรฐานและการแสดง หรอื ศัพทท างการละครทีเ่ หมาะสม (ศ ๓.๑ ม.๒/๓) และการละคร มจี ดุ ประสงคต รงทเี่ นน การ นาฏศิลปพ ืน้ เมือง อยางละ 1 ชุดการแสดง เคลื่อนไหวของรางกาย การใชภาษาทารํา ใหนักเรียนชม จากนัน้ ครถู ามนักเรยี นวา ■ เช่ือมโยงการเรียนรูร ะหวา งนาฏศลิ ปแ ละการละคร การตีบท โดยใชสรีระตางๆ ของรางกาย กับสาระการเรียนรอู ืน่ ๆ (ศ ๓.๑ ม.๒/๕) • เม่ือนักเรียนไดชมการแสดงนาฏศลิ ปแลว เกดิ ความรูสึกอยางไร สาระการเรยี นรแู กนกลาง เคลอื่ นไหวเพอ่ื สอื่ ความหมายแทนคาํ พดู ในรปู - (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ แบบของการแสดงเปน ชดุ ระบาํ ราํ ฟอ น หรอื การ- ไดอยางอิสระ) ■ ศิลปะแขนงอ่นื ๆ กับการแสดง แสดงโขน ละคร ซง่ึ การแสดงนาฏศลิ ปใ นรปู แบบ - แสง สี เสียง ตา งๆ นน้ั มหี ลกั วชิ านาฏศลิ ปท ป่ี รมาจารยไ ดก าํ หนด • นกั เรยี นสามารถปฏิบตั นิ าฏศลิ ปไ ดห รอื ไม - ฉาก (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ - เครื่องแตง กาย ไวอ ยา งชดั เจน โดยเนน ความเปน เอกภาพในลลี าทา ราํ ไดอ ยา งอิสระ) - อปุ กรณ การแตง กาย ลกั ษณะรปู แบบการแสดง แมแ ตก ารบรรจุ ■ หลกั และวิธกี ารวเิ คราะหก ารแสดง ■ ความสัมพันธข องนาฏศลิ ป หรอื การละคร กบั สาระการเรียนรูอ ื่นๆ เพลงทไ่ี ดค ดั สรรดว ยความประณตี ซงึ่ การแสดงระบาํ รํา ฟอน ก็จะมีเอกลักษณเฉพาะอยางที่แตกตางกัน ออกไป เกรด็ แนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรยี นรูน้ี ครูควรอธบิ ายเพมิ่ เตมิ เกยี่ วกับ การแสดงนาฏศลิ ปวา นาฏศิลปเปน วิชาท่ีวา ดว ยการฟอ นราํ ไมว าจะเปน การแสดง ประเภทระบาํ รํา ฟอ น ก็ลว นแตเ ปน การแสดงท่ใี ชล ีลาทา ทางในการฟอนราํ เพ่ือบง บอกความหมายของทาทาง เพื่อสอ่ื ความหมายแทนคาํ พดู ใหผชู มเขา ใจ เรอ่ื งราวของการแสดงบนเวทแี ละเกดิ ความประทบั ใจในการแสดง สามารถนาํ ความรู ไปใชในชีวติ ประจําวนั ได นอกจากนี้ นาฏศลิ ปย ังเปนเสมือนแหลง รวมศิลปะ และการแสดงหลากหลายรปู แบบเขา ไวด วยกนั โดยมีมนษุ ยเ ปน ศนู ยกลาง การมคี วามรู ความเขา ใจเกย่ี วกับพน้ื ฐานของนาฏศลิ ปไ ทยเปน สง่ิ ทีจ่ ะชว ยสงเสรมิ ใหเ ยาวชนไทยเหน็ คณุ คา ของภมู ปิ ญ ญาไทยและเกดิ ความภาคภมู ใิ จในความเปน ไทย รว มกนั สรางสรรค อนุรกั ษ สืบสาน เผยแพร และถายทอดใหกับอนุชนรนุ หลังสบื ไป คมู อื ครู 111 กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงระบาํ กฤดาภนิ หิ าร ๑. หลักการและวธิ กี ารสร้างสรรค์การแสดงนาฏศลิ ป์ ใหนักเรียนชม จากนัน้ ครูถามนกั เรียนวา นาฏศลิ ป์ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของศลิ ปะสาขาวจิ ติ รศลิ ป์ มคี ณุ คา่ ในฐานะเปน็ แหลง่ รวบรวมของศลิ ปะ หลายแขนง ไดแ้ ก่ จติ รกรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม วรรณกรรม ดรุ ยิ างคศลิ ป์ และนาฏศลิ ป์ • นักเรียนเคยชมการแสดงนาฏศิลปชุดน้ี การสร้างสรรค์การแสดงนาฏศิลป์จึงมีความประณีตและละเอียดอ่อน เป็นการสร้างงานท่ีต้อง หรอื ไม ครอบคลุมแนวคิด ก�าหนดรูปแบบ ค�านึงถึงเอกลักษณ์เฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์ไทยแต่ละ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ประเภท เพราะการแสดงระบา� รา� ฟอ น โขน ละคร จะมรี ปู แบบและเอกลกั ษณเ์ ฉพาะทแ่ี ตกตา่ งกนั ไดอยา งอสิ ระ) สา� หรับหลกั การและวธิ ีการสร้างสรรค์การแสดงนาฏศิลป์ท่ผี ู้เรยี นควรทราบ มดี ังน้ี • นกั เรียนคดิ วา การแสดงชุดน้ีมจี ุดมุงหมาย ๑.๑ การกาํ หนดวัตถปุ ระสงค เพ่ือสง่ิ ใด ในการสรา้ งสรรคก์ ารแสดงนาฏศลิ ป์ วตั ถปุ ระสงคเ์ ปน็ เรอ่ื งสา� คญั ทผ่ี สู้ รา้ งงานจะตอ้ งทราบวา่ (แนวตอบ ระบาํ กฤดาภนิ หิ าร เปนระบํา สรา้ งงานเพอื่ เปา หมายใดเปน็ สา� คญั เชน่ หากเปน็ การสรา้ งงานนาฏศลิ ป์ หรอื นา� เสนอการแสดงใน มาตรฐานท่ีมจี ุดมงุ หมายสําคญั ในการ โอกาสตา่ งๆ ผสู้ รา้ งงานตอ้ งศกึ ษาบรบิ ทในชมุ ชน เชน่ การรา� ตอ้ นรบั แขกผมู้ าเยอื น เปน็ ตน้ ถา้ เปน็ อํานวยอวยพร นิยมนาํ มาใชแ สดง ในงานมงคลตางๆ) สาํ รวจคน หา Explore การสร้างงานนาฏศิลป์ หรือน�าเสนอการแสดงเพ่ือความบันเทิง ผู้สร้างงานก็จะต้องสร้างงานให้ สอดคลอ้ งกับรสนิยมและความต้องการของผู้ชม หรือถ้าเป็นการสร้างงานนาฏศลิ ป์ หรือนา� เสนอ ใหน ักเรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรเู พ่มิ เตมิ การเสนอการแ1สดงเพื่อการศึกษา ต้องค�านึงถึงระดับการศึกษาและวุฒิภาวะของผู้แสดงและผู้ชม เกี่ยวกับหลักการและวธิ กี ารสรา งสรรคก ารแสดง- เช่น ระบ�าไก่ ระบ�านก ควรจะอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษา ร�าวงมาตรฐาน ร�าสีนวล ควรอยู่ใน นาฏศลิ ป จากแหลง การเรยี นรูตา งๆ เชน หองสมุด ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษา เป็นต้น โรงเรยี น หอ งสมดุ ชมุ ชน อินเทอรเน็ต เปนตน ในหัวขอท่คี รกู าํ หนดให ดงั ตอไปนี้ ๑.๒ การกําหนดรูปแบบ ผู้สร้างงานนาฏศิลป์ต้องก�าหนดรูปแบบ 1. การกาํ หนดวตั ถปุ ระสงค การแสดงใหต้ รงตามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละบทบญั ญตั ิ 2. การกําหนดรปู แบบ ของการแสดงประเภทนน้ั ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ ระบา� รา� อธบิ ายความรู Explain ฟอน โขน ละคร โดยในท่ีนี้จะยกตัวอย่างการ สร้างงานในรูปแบบของระบา� รา� และฟอน มา ครูสุม นกั เรียน 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม อธบิ ายใหผ้ ูเ้ รยี นเขา้ ใจพอสังเขป ดังนี้ ดังตอ ไปนี้ ๑) การสรางงานในรูปแบบของ • นาฏศิลปไ ทยมคี วามหมายวา อยางไร ระบํา ก�าหนดให้มีผู้แสดงตั้งแต่ ๒ คนข้ึนไป (แนวตอบ ศลิ ปะการแสดงประกอบดนตรี ผู้แสดงต้องมีรูปร่างและฝมือในการร�าใกล้เคียง ของไทย ซึง่ ประกอบไปดวยระบาํ ราํ ฟอ น กัน การบรรจุเพลงร้องและบรรเลงจะมีบทร้อง โขน ละคร และการแสดงนาฏศิลปพนื้ เมอื ง) ระบํากฤดาภินิหาร เปนระบํามาตรฐานชุดหนึ่งท่ีพระ- หรอื ไมม่ กี ็ได้ สา� หรบั ทา่ รา� ไดน้ า� มาจากกระบวน นางจะแตง กายแบบยนื เครื่อง ทา่ รา� ในบทเรยี นเพลงชา้ เพลงเรว็ และเพลงแม-่ ๑๑๒ นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดกลา วถึงนาฏศลิ ปไ ทยไดถ กู ตอง 1 ระบาํ ไก เปน การแสดงนาฏศลิ ปช ดุ หนงึ่ ซง่ึ ปรากฏอยใู นบทละครเรอื่ งพระลอ 1. นาฏศิลปไทยสะทอนการดําเนนิ ชีวติ ของคนไทยได ตอนพระลอตามไก ทา ราํ เปน การเลยี นแบบอากปั กริ ยิ าของไก เนอื้ เรอ่ื งเปน บทประพนั ธ 2. นาฏศลิ ปไทยสามารถส่อื ความหมายใหแ กผ ูชมชาวไทย ของพระเจา บรมวงศเ ธอ พระองคเ จา วรวรรณากร กรมพระนราธปิ ประพนั ธพ งศ รบั รูไดช าตเิ ดยี วเทา นน้ั บรรเลงดว ยวงปพ าทยเ ครอ่ื งหา โดยใชท าํ นองเพลงลาวจอ ย ซง่ึ บทรอ งเพลงลาวจอ ย 3. นาฏศลิ ปไ ทยไดร บั อิทธิพลมาจากอารยธรรมของอินเดีย มดี งั ตอ ไปนี้ เพยี งอารยธรรมเดยี ว “สรอ ยแสงแดงพระพราย ขนเขยี วลายระยบั 4. จากหลักฐานทางประวัติศาสตรพบวา นาฏศิลปไทย ปก สลบั เบญจรงค เลอื่ มลายยงหงสบาท มมี าตั้งแตส มยั อยธุ ยา ขอบตาชาตพะพรง้ิ สงิ คลงิ้ หงอนพรายพรรณ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะการแสดงนาฏศลิ ปไทยจะนยิ ม ขนั ขานเสยี งเอาใจ เดอื ยหงอนใสศรรี ะรอง นําเอาเรอ่ื งราวท่ีสะทอ นใหเ ห็นถึงการดาํ เนนิ ชวี ติ ของคนในทองถ่นิ นนั้ ๆ สองเทา เทยี มนพมาศ เพยี งฉลชุ าดทารง มาใชเปน แนวทางในการประดิษฐทา ทางประกอบการแสดง เชน ปกู ใ็ ชใ หผ ลี ง ผกี ล็ งแกไ ก ระบาํ เก็บใบชา เซิ้งกระตบิ ขา ว เตนกาํ รําเคียว ระบาํ กรีดยาง เปนตน ไกแ กว ไซรบ ม กิ ลวั ขกุ ผกหวั องอาจ ผาดผนั ตปี ก ปอ ง รอ งเรอื่ ยเฉอื่ ยฉาดฉาน” 112 คูมือครู กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู บทใหญ่ โดยการเลอื กทา่ รา� ทป่ี ระณตี งดงามมารอ้ ยเรยี ง ตคี วามหมายตามบทรอ้ ง และทา� นองเพลง ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั การกาํ หนด กระบวนท่าร�าต้องเคล่ือนไหวด้วยความพร้อมเพรียง แปรแถวได้งดงามและมีความแปลกใหม่ วัตถุประสงคข องการแสดงและการกําหนดรปู แบบ มคี วามตระการตาดว้ ยการแตง่ กายและใชอ้ ปุ กรณต์ า่ งๆ ประกอบการแสดง เชน่ พดั รม่ ผา้ คลอ้ งคอ การแสดง ตามทไี่ ดศ ึกษามา จากนัน้ ครูถาม เปน็ ตน้ นกั เรยี นวา ๒) การสรา งงานในรปู แบบการราํ แบ่งออกเปน็ ๓ ประเภท คอื ร�าเดี่ยว รา� คู่ และ • เพราะเหตใุ ดจงึ มคี ํากลาววา รา� หมู่ ซง่ึ รปู แบบของงานจะมคี วามแตกตา่ งกนั “นาฏศลิ ปเ ปน สวนหน่ึงของงานศิลปะ” ในรายละเอียดบางประการ ดังนี้ (แนวตอบ นาฏศลิ ปเปนสว นหน่งึ ของงาน ๒.๑ ราํ เดยี่ ว กา� หนดใหม้ ผี แู้ สดง ศิลปะสาขาวิจติ รศิลป อนั ประกอบไปดวย เพยี งคนเดยี ว โดยผแู้ สดงจะตอ้ งมคี วามสามารถ จิตรกรรม สถาปตยกรรม วรรณกรรม และ ในการรา� เพราะตอ้ งอวดฝม อื มเี ทคนคิ ในการรา� ดรุ ิยางคศิลป ดังนน้ั การศกึ ษาในเร่ืองของ ทเี่ ปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ทา่ รา� ตอ้ งวจิ ติ ร พสิ ดาร นาฏศลิ ปจ ึงเปนการศึกษาศลิ ปวัฒนธรรม มีจุดเด่นเป็นพิเศษ การแต่งกายต้องถูกต้อง แขนงหน่งึ ) ตามแบบแผน ราํ เมขลา - รามสรู1เปน การราํ คทู จ่ี ะเนน การอวดฝม อื และ • ระบาํ และรํามคี วามแตกตางกนั อยางไร ๒.๒ รําคู ก�าหนดให้มีผู้แสดง ความสัมพนั ธของผแู สดง (แนวตอบ ระบาํ จะใชผ ูแสดงตงั้ แต 2 คน ขึ้นไป ไมม กี ารดําเนนิ เรือ่ ง ใชเ พลงบรรเลง ๒ คน ผสู้ รา้ งงานตอ้ งก�าหนดรูปแบบการร�าคู่ให้ชดั เจน เชน่ ชาย - หญิง พระ - นาง พระคู่ นางคู่ ประกอบ จะมีบทรอ ง หรอื ไมมีก็ได เปน็ ต้น การประดษิ ฐท์ า่ รา� ที่เปน็ คู่ ท่าร�าตอ้ งสมั พันธก์ ับค่รู า� ไมค่ วรเป็นทา่ รา� ทตี่ ่างคนตา่ งรา� และ มกี ารแปรแถวอยางพรอมเพรียง ต้องสอดคล้องกลมกลืนกับจังหวะ ท�านองเพลง และบทรอ้ ง ส่วนการแตง่ กายใหย้ ดึ รูปแบบของ เชน ระบําไก ระบาํ โบราณคดี เปน ตน การแสดงเป็นหลกั สวนการราํ เปนการแสดงทาทาง ๒.๓ ราํ หมู กา� หนดใหม้ ผี แู้ สดง การเคล่ือนไหวรางกายประกอบ มากกวา่ ๒ คน ข้นึ ไป หลักการสา� คัญของการ จังหวะเพลง เนนทว งทา การรา ยราํ ร�าหมู่ คอื ต้องคา� นงึ ถึงความพร้อมเพรียงของ ท่อี อนชอ ยงดงาม เชน รําฉุยฉายพราหมณ กระบวนทา่ รา� ความงดงามจะอยู่ท่ีการแปรแถว เปน ตน ) และการจดั ซมุ้ ในรปู แบบตา่ งๆ ทา่ รา� ตอ้ งสมั พนั ธ์ กับท�านองเพลง เช่น ท่ารา� ท่ีมีแตท่ า� นองเพลง • การฟอ นมจี ดุ มงุ หมายเพื่อสง่ิ ใดเปน สําคญั ต้องยึดอารมณ์เพลงเป็นหลักในการประดิษฐ์ (แนวตอบ เพอ่ื ใชประกอบพธิ ีกรรมตาม ท่าร�า เช่น เพลงปลุกใจท่ีมีท�านองคึกคกั เรา้ ใจ ความเชื่อและความศรัทธาตอ ส่งิ ศักด์ิสิทธิ์ ทา่ รา� กจ็ ะตอ้ งมคี วามทะมดั ทะแมง แสดงอารมณ์ เชน ฟอนแหค รวั ทาน ฟอนทานขาวใหม คกึ คกั กล้าหาญ ฮกึ เหิม เป็นต้น ระบําพิมายปุระ เปนการจําลองทารําจากภาพแกะสลัก เปน ตน และเพ่ือความสนุกสนาน ในปราสาทหนิ พิมาย จงั หวดั นครราชสีมา ความบันเทงิ ในกลมุ คน เชน งานปใหม งานขึ้นบา นใหม งานบวชลูกแกว เปน ตน) ๑๑๓ แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด นกั เรียนควรรู การแสดงนาฏศลิ ปไทยประเภทใดทีน่ ยิ มนํามาแสดงสลับฉาก 1 ราํ เมขลา - รามสรู นางเมขลา เทพธิดารกั ษามหาสมุทร มแี กวมณปี ระจาํ กาย 1. รําเดยี่ ว ครั้นถึงวสนั ตฤดกู ็ออกจากวิมาน ไปรวมรองราํ อยา งสาํ ราญกับเทพบุตร เทพธดิ า 2. รําคู ฝายรามสูร ซึ่งเปน อสูรเทพบตุ รเหาะผานมาเหน็ นางเมขลาโยนแกว มีแสงสวยงาม 3. รําหมู ก็อยากไดด วงแกวน้ัน จงึ ขอดวงแกว แตน างเมขลาไมย อมให และโยนดวงแกว 4. ฟอน ลอ อยไู ปมา รามสูรโกรธจึงขวางขวานเพชรไปยงั นางเมขลา ทําใหเกิดเสยี งกัมปนาท หวาดไหว จึงเกดิ เปน ตาํ นานฟา แลบฟา รองขึ้น วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เพราะเปน การราํ ทมี่ ีผแู สดงเพยี งคนเดียว มมุ IT มีจุดมงุ หมายเพยี งอวดฝม ือในการรา ยรํา หรอื เปนการแสดงสลับฉาก เพอื่ รอจัดฉาก หรือรอตัวละครอนื่ ๆ ทยี่ งั แตงกายไมเ รียบรอ ย การรําเดีย่ ว นกั เรียนสามารถชมการแสดงชดุ เมขลา - รามสูร ไดจ าก บางครั้งก็นํามาใชใ นการแสดง “เบิกโรง” ดวย http://www.youtube.com โดยคน หาจากคาํ วา เมขลา - รามสรู คมู อื ครู 113 กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงโขน เรอื่ งรามเกยี รติ์ ๓) การสรางงานในรูปแบบการฟอน ก�าหนดให้มีผู้แสดงต้ังแต่ ๒ คนขึ้นไป ใหน กั เรยี นชม โดยใหนักเรยี นสงั เกตวาในการแสดง ดงั กลา วนอกจากการแสดงลลี าการรา ยราํ ของผแู สดง การฟอนเป็นนาฏศิลป์เฉพาะถ่ินของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการประดิษฐ์ แลว ยังมีศลิ ปะแขนงใดอกี บา งทีน่ กั เรยี นสามารถ ทา่ ฟอ นไมค่ วรนา� ทา่ รา� หรอื ทา่ ฟอ นของแตล่ ะทอ้ งถนิ่ มาปะปนกนั เพราะจะทา� ใหก้ ารแสดงนาฏศลิ ป์ พบเห็นไดจากการแสดงโขน ชุดน้ันขาดความมีเอกภาพ ดนตรีประกอบการแสดงต้องเป็นวงดนตรีพ้ืนเมือง การแต่งกายควร ถกู ตอ้ งตามวฒั นธรรมการแต่งกายของภาคเหนอื หรอื ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ สาํ รวจคน หา Explore ใหนกั เรยี นแบงกลุม ออกเปน 5 กลมุ ใหนักเรียนศกึ ษา คน ควา หาความรเู พ่ิมเตมิ เกยี่ วกบั ศิลปะแขนงอ่นื ๆ กบั การแสดงนาฏศลิ ป จากแหลง การเรยี นรูตางๆ เชน หองสมดุ โรงเรยี น หองสมดุ ชมุ ชน อินเทอรเน็ต เปนตน ในหวั ขอทีค่ รูกําหนดให ดงั ตอ ไปนี้ กลมุ ท่ี 1 บทประพันธ กลมุ ที่ 2 ดนตรี กลมุ ที่ 3 เครือ่ งแตงกาย กลมุ ที่ 4 ฉาก แสง สี เสียง กลุม ท่ี 5 อุปกรณป ระกอบการแสดง อธบิ ายความรู Explain 1 ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 1 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ฟอนภูไท เปนการแสดงทมี่ ีลีลาการแปรแถวคลา ยกบั ระบาํ เพมิ่ เตมิ เก่ียวกบั ศลิ ปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง นาฏศิลป สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู ๒. ศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง ในหวั ขอ บทประพนั ธ ตามทไี่ ดศ กึ ษามาหนา ชนั้ เรยี น นาฏศลิ ป์ไทย มคี วามสมั พันธ์กับศิลปะแขนงอนื่ ๆ ดังจะอธบิ ายพอสังเขปดงั น้ี จากน้ันครถู ามนกั เรยี นวา ๑) บทประพันธ เน่ืองจากการแสดงนาฏศิลป์ไทยมีอยู่ด้วยกันหลากหลายประเภท ทง้ั ระบา� รา� ฟอ น โขน ละคร การแสดงพนื้ เมอื ง การแสดงบางประเภทมเี นอ้ื เรอื่ ง ซง่ึ เปน็ สาระสา� คญั • “อนจิ จาเจาเพ่อื นไร มาบรรลยั อยเู อองค ขขอองงเกราอ่ื รงแทสใี่ ชดใ้งนกเชาร่นแสกดางรเแพสอ่ื ดสงอื่ โถขงึนคโวรางมในคดิ เรอ่ือางรมราณม์ เจกติ ียใจรตร์ิวตมอไปนถพงึ รเะรรอ่ื างมร2าขวา้ ทมเ่ี สปมน็ ุทปรระหซนงึ่ งึ่ผโปู้ครระงพเรนัอื่ ธง์ พ่ีจะไดสิ่งใดปอง พระศพนองในหมิ วา” แไดต้ถเ่ นออ่ืดงคจวาากมผมแู้ าสจดางกโรขานมตเอ้กงียสรวตม์ิคห�าวัพโาขกนย3ไ์ มแส่ ลา้วมมาารรถ้อพยดู เปได็น้ จคงึวใาชมว้ เธิรตีียบีงทใตชา้เมปบ็นทบโทขเนจแรลจะานแา�ทบนทตพัวาโขกนย์ จากบทประพนั ธนีใ้ หความรูสึกอยา งไร มาปรับปรงุ เป็นคา� ประพันธป์ ระเภทกลอนบทละคร แลว้ บรรจุทา� นองเพลงทีเ่ หมาะสม สา� หรับใช้ (แนวตอบ แสดงใหเหน็ ถึงความโศกเศรา ประกอบการแสดงในโอกาสตา่ งๆ เสียใจของตวั ละคร) ๑๑๔ • “กลอนบทละคร” หมายถงึ สิง่ ใด (แนวตอบ คาํ กลอนทแี่ ตง ขึน้ เพื่อนํามาใช ประกอบการแสดงละครราํ เชน เรอ่ื งรามเกยี รต์ิ อเิ หนา อณุ รุท เปน ตน ) นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET 1 ฟอ นภไู ท เปน การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (อสี าน) “เคาโมงจบั โมงมองเมียง คูเคาโมงเคียง เปน ลกั ษณะการเซงิ้ การฟอ นแบบดงั้ เดมิ ไมม กี ารจบี มอื การฟอ นภไู ทนเ้ี ปน การละเลน เคียงคูอยปู ลายไมโ มง คอ ยยดุ ฉดุ โชลง พ้นื เมอื งของชาวภูไท เดมิ ทกี ารแสดงชนิดนจี้ ะใชแ สดงเพ่ือถวายพระธาตเุ ชิงชมุ เพียงอยางเดียว ตอมาจงึ นาํ มาใชแสดงในงานรนื่ เริงตา งๆ ดวย ลางลงิ ลิงเหนย่ี วลดาโยง 2 พระราม เปนตวั ละครเอกในเรือ่ งรามเกียรต์ิ ทรงมีพระวรกายเปนสเี ขยี ว โลดไลในกลางลางลงิ ” ทรงธนเู ปน อาวธุ มศี รวเิ ศษ 3 เลม คอื ศรพรหมาสตร ศรอคั นวิ าต และศรพลายวาต 3 หัวโขน หรอื หนา โขน ถูกสรา งข้นึ ดวยศลิ ปะชั้นสูง วงการนาฏศิลปไทยถอื วา บทประพันธนเ้ี ปนการพากยลกั ษณะใด หวั โขนเปน ครู การแสดงโขนเปนนาฏกรรมทีผ่ แู สดงตองสวมหวั โขน ซง่ึ มลี กั ษณะ 1. พากยเมือง ทแี่ ตกตางกนั ตามเรือ่ งรามเกยี รติ์ หวั โขนแบงออกเปน ประเภทตางๆ ไดแ ก ฤๅษี 2. พากยรถ มนุษย ยกั ษ วานร และสัตวต างๆ 3. พากยโ อ 4. พากยช มดง วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. เพราะในบทประพันธกลาวถงึ ภมู ปิ ระเทศ ปา เขาลาํ เนาไพร สตั วป า ซึ่งการพากยช มดงจะเปนการพากยเ กีย่ วกบั การชมปา เขาลําเนาไพร) 114 คมู อื ครู กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒) ดนตรี เป็นศิลปะที่น�ามาใช้ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ เพ่ือใช้ในการก�าหนด ใหน ักเรยี นกลุม ท่ี 2 - 4 ที่ไดศ ึกษา คน ควา จังหวะ ถ่ายทอดความรู้สึกให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ต่างๆ บ่งบอกถึงวัฒนธรรมของชาติน้ันๆ รวมทั้ง หาความรเู พม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั ศลิ ปะแขนงอนื่ ๆ กบั การ- บ่งบอกฐานันดรศักด์ิของตัวละครและการแสดงกิริยาต่างๆ เช่น การบรรเลงวงปพาทย์ประกอบ แสดงนาฏศลิ ป สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย การแสดงโขน เพลงรวั เพลงเชดิ เพลงเชิดนอก ซ่ึงผบู้ รรเลงจะต้องมปี ระสบการณ์และมีความรู้ ความรูในหวั ขอ ดนตรี เครอ่ื งแตงกาย และฉาก เรอื่ งกระบวนท่าร�า จึงจะสามารถบรรเลงได้สอดคล้องกลมกลืนกันกบั ทา่ รา� เปน็ ต้น แสง สี เสยี ง ตามท่ีไดศ ึกษามาหนาช้นั เรยี น ทั้งนี้ ดนตรีประกอบการแสดงจะต้องสอดคล้องกับประเภทของการแสดง รวมทั้ง จากน้ันครูถามนักเรียนวา สอดคลอ้ งกบั เชอ้ื ชาตแิ ละบง่ บอกถงึ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เชน่ วงดนตรพี นื้ เมอื งภาคเหนอื จะใชบ้ รรเลง ประกอบการฟอ น วงดนตรพี น้ื เมอื งภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื จะใชบ้ รรเลงประกอบการเซงิ้ เปน็ ตน้ • ดนตรที ี่ใชประกอบการแสดงนาฏศิลปไทย ๓) เครอ่ื งแตง กาย ศลิ ปะดา้ นเครอื่ งแตง่ กายจดั เปน็ องคป์ ระกอบทมี่ คี วามสา� คญั มาก สามารถแบง ออกเปนกปี่ ระเภท อะไรบา ง ต่อการแสดงนาฏศลิ ป์ไทย เพราะนอกจากจะใช้สวมใส่เพอ่ื ความวจิ ติ รงดงามแลว้ เครอ่ื งแตง่ กาย (แนวตอบ ดนตรไี ทยทนี่ าํ มาประกอบการแสดง ยงั สามารถบ่งบอกถึงประเภทของการแสดง ประวตั ิ ทีม่ า บุคลกิ ลักษณะ เชอื้ ชาติ และฐานะของ นาฏศลิ ปไทย มีประเภทวงปพ าทยเครอื่ งหา ตวั ละครไดอ้ กี ด้วย เชน่ หนุมานแตง่ กายยืนเครื่องลงิ สีขาว สวมหัวโขนวานรสีขาว หวั โล้น ปากอา้ วงปพ าทยเ ครอื่ งคู และวงปพ าทยเ ครอื่ งใหญ สวมมาลัยทอง มดี าวเดอื นในปาก และมเี ขยี้ วอย่กู ลางเพดานปาก เปน็ ต้น ลกั ษณะของดนตรจี ะเปน ประเภทไมแข็ง ๔) ฉาก แสง ส ี เสียง เป็นศิลปะประกอบการแสดงที่สา� คญั ในการสื่อเรือ่ งราวได้ กับไมน วม สาํ หรับการแสดงท่เี ปนนาฏศิลป เปน็ อย่างดี เนอื่ งจากผ้ชู มจะเขา้ ใจเรือ่ งราวเชิงประจกั ษ์ โดยไม่ต้องจินตนาการและจะได้รบั ความ มาตรฐาน สว นนาฏศลิ ปพ้นื เมืองจะใช ประทับใจในการแสดงจากฉาก แสง สี เสียงประกอบการแสดงที่สมจริง เช่น ในการแสดงโขน วงดนตรีพืน้ เมอื ง) เรอ่ื งรามเกยี รติ์ ตอนพระรามขา้ มสมทุ ร บทโขน ได้อธบิ ายฉากไวช้ ัดเจนว่าต้องแบ่งเปน็ ๒ ส่วน • เพราะเหตใุ ดเครอื่ งแตง กายของตวั ละคร มคือหาสส่วมนทุ ทรีเ่ ปเพน็ รพา้ืนะดตนิามหเนรอ้ือื เบรนอ่ื ฝงงั สุคกรับีพส1่วหนนทุมีเ่ ปา็นน จงึ สามารถบง บอกประเภทและฐานะของ แลลงไะปพใวนกมลิงหาจสะมอุทยู่บรทนี่มฝีังนแาลงะสชุพ่วรยรกณันมขนัจหฉินา2แโยลนะ การแสดงได บริวารปลาอาศัยอยู่ ซึ่งนางสุพรรณมัจฉาและ (แนวตอบ เพราะการแสดงแตละชดุ ผูแสดง บริวารปลาก็จะช่วยกันขนก้อนหินที่พวกลิงโยน จะสวมเครื่องแตงกายท่ีแตกตา งกัน ซ่งึ จะ ลงมาเอาออกไป เปน็ ต้น เหน็ ไดช ดั จากการแสดงโขน เพราะตัวละคร นอกจากนี้ หากต้องการให้การแสดง จะสวมเครื่องแตง กาย หวั โขนท่มี ีสี และ นาฏศลิ ป์ไทยเกิดความงดงามและสรา้ งบรรยา- ลักษณะใบหนาท่ีแตกตา งกัน เชน อนิ ทรชติ กาศให้สมจริงตามจินตนาการ ก็ยังสามารถใช้ กายสเี ขยี ว หน่งึ หนา สองกร ตาโพลง แสง สี เสียงเข้ามาช่วยเพ่ิมบรรยากาศได้ เคร่ืองแตงกายเปนองคประกอบที่มีความสําคัญตอการ- เขย้ี วคดุ (เข้ียวดอกมะลิ) ปากหุบ ไมว่ า่ จะเปน็ การนา� แสง สี มาใชเ้ ปน็ เครอื่ งบง่ บอก แสดงนาฏศิลปไทย เพราะสามารถใชบงบอกฐานะของ ทรงชฎาเดินหน หรอื กาบไผย อดปด ผูแ สดงบทน้นั ๆ ได จอนหูมี 2 แบบ คือ จอนหูแบบมนุษย และจอนหแู บบยกั ษ เปนตน ) ๑๑๕ • การนําความรูเ รือ่ งฉาก แสง สี เสยี งมาใช ประกอบการแสดงนาฏศิลปช วยใหเ กดิ สิง่ ใด (แนวตอบ ทําใหก ารแสดงมคี วามสมจริง มากขน้ึ เน่อื งจากฉาก แสง สี เสยี ง เปน ศลิ ปะประกอบการแสดงทส่ี ําคัญ ในการส่อื สารเร่อื งราว ทําใหผชู ม มีจินตนาการและไดร บั ความประทบั ใจ จากการแสดง) แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด เกรด็ แนะครู การแสดงในขอ ใดทีส่ ีชุดของตวั ละครมสี วนสําคัญในการสื่อความหมาย ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี เี กยี่ วกบั การแสดงนาฏศลิ ปไ ทยทมี่ กี ารใช ฉาก แสง สี เสยี ง 1. ละครพันทาง ประกอบการแสดง เชน โขน เรื่องรามเกียรต์ิ ตอนนางลอย เปนตน หรอื อาจพา 2. อปุ รากรจีน นกั เรียนไปชมการแสดงนาฏศิลปไทยท่ีมกี ารใชฉาก แสง สี เสยี งประกอบการแสดง 3. ละครนอก ทจ่ี ัดขนึ้ ในงานวันสาํ คญั ตา งๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งจะทําใหน กั เรียนมคี วามรู 4. ละครเวที ความเขา ใจเกี่ยวกับการใชฉ าก แสง สี เสยี งประกอบการแสดงนาฏศิลป ไดด ีย่งิ ขนึ้ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะอุปรากรจนี ตัวละครสวมชุดสีขาว นักเรยี นควรรู บงบอกถึงความคดโกงและความโหดเหี้ยมของตัวละครที่แสดงเปน ขุนนาง ทคี่ ดโกง 1 สคุ รพี เปน หนึง่ ในตวั ละครทปี่ รากฏอยใู นเร่อื งรามเกียรต์ิ เปนพญาวานรมกี าย สีแดง เปนลูกของพระอาทิตยกบั นางกาลอัจนา ไดรบั การแตงตง้ั ใหเปน “พญาไวย- วงศามหาสุรเดช” ครองกรงุ ขีดขนิ 2 นางสุพรรณมัจฉา เปนหนงึ่ ในตัวละครทีป่ รากฏอยูในเรื่องรามเกยี รต์ิ เปน บุตร ของทศกัณฐ มีลกั ษณะครง่ึ คนครงึ่ ปลา คูมอื ครู 115 กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาาใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 5 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู เวลาในทอ้ งเรอื่ ง เชน่ แสงอ่อนนวลในตอนเชา้ แสงสีสม้ ในตอนเย็น เปน็ ต้น หรอื การใช้เสยี งสร้าง เพ่มิ เติมเกย่ี วกบั ศิลปะแขนงอ่ืนๆ กบั การแสดง ความสมจริง เช่น เสยี งฟา ผ่า เสียงฟารอ้ ง เสียงระเบดิ เปน็ ตน้ นาฏศลิ ป สงตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู ๕) อุปกรณประกอบการแสดง ในหวั ขอ อปุ กรณป ระกอบการแสดง ตามทไี่ ดศ กึ ษามา ถือเป็นการน�าศิลปะแขนงอ่ืนๆ มาใช้ประกอบ หนา ช้ันเรียน จากนน้ั ครถู ามนกั เรียนวา การแสดงและเป็นส่วนส�าคญั ท่ชี ว่ ยใหก้ ารแสดง สมจรงิ และน่าประทับใจมากยง่ิ ขน้ึ โดยอุปกรณ์ • อุปกรณท ี่ใชในชีวิตประจาํ วนั ใดบา ง ที่น�ามาประกอบในการแสดงนาฏศิลป์ จะแบ่ง ท่นี ํามาใชป ระกอบการแสดงนาฏศลิ ปไ ด ออกไดเ้ ปน็ ๕ ประเภทหลกั ๆ ดังนี้ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น ๑. อาวธุ จะใช้อาวุธทท่ี �าเทียม ไดอ ยา งอสิ ระ ครยู กตัวอยา งเพ่อื ใหน ักเรียน ขปน้ึลอมดาภมัยนี ขา้� อหงนผกั ู้แเสบดางเพเอช่ื คน่ วาทมวสนะ1ดดวากบแคลู่ะคกวราะบม่ี เขา ใจมากขน้ึ คอื อาวธุ เชน ทวน กระบี่ ดาบ กรชิ พลอง ง้าว หอก เปน็ ตน้ เปน ตน เครอ่ื งมือเครอ่ื งใช เชน กระตบิ ขาว ๒. เคร่ืองมือเครื่องใช้ท่ีใช้ เคียวเกย่ี วขาว เทียน เปน ตน เคร่อื งดนตรี อุปกรณประกอบการแสดงเปนสวนสําคัญที่ชวยให ประกอบการแสดง มักเป็นเคร่ืองมือประกอบ เชน ฉิ่ง กรบั กลองยาว เปน ตน พฤกษาชาติ การแสดงสมจรงิ และนาประทบั ใจมากย่งิ ข้นึ อาชีพและเคร่ืองใช้ในชีวิตประจ�าวันที่เป็นของ เชน ดอกไม ใบไม กิ่งไม เปนตน อปุ กรณ- ประกอบฉาก เชน กอ นหิน กอนเมฆทที่ าํ จากโฟม เปนตน) ขยายความเขา ใจ Expand จรงิ หรอื ใกลเ้ คยี งกบั ของจรงิ เชน่ กระตบิ ขา้ วเหนยี ว เคยี วเกย่ี วขา้ ว เปน็ ตน้ ซง่ึ เครอ่ื งมอื เครอ่ื งใช้ เหลา่ น้ีจะใช้ประกอบการแสดงเพือ่ สือ่ ความหมาย ครูเปดซีดี หรือดีวีดีการแสดงนาฏศิลปไทย เช่น ฉง่ิ ใชป้ ระก๓อ.บเกคารร่ือแงสดดนงตรระีบเา� ปฉ็นิ่ง2สก่ิงลทอี่ผงู้แยสาดวงใจชะป้ถรือะปกรอะบกกอาบรใแนสกดางรรแ�าสกดลงอบงายงาปวรเะปเภน็ ทตน้เท่านั้น ใหน กั เรยี นชม จากนน้ั ใหนกั เรยี นรว มกนั วเิ คราะหเ กย่ี วกบั ๔. พฤกษชาติ ในทน่ี ห้ี มายถึง ดอกไม้ ใบไม้ กิง่ ไม้ และตน้ ไม้ ทั้งทเี่ ปน็ ของแท้ ศลิ ปะแขนงอ่นื ๆ ทีป่ รากฏในการแสดง ในหวั ขอบท และของท่ที า� เทียมขน้ึ มา ประพันธด นตรี เคร่อื งแตง กาย ฉาก แสง สี เสยี ง ๕. อุปกรณ์เบ็ดเตล็ด เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการแสดงบางชุดเท่านั้น เช่น และอุปกรณป ระกอบการแสดง เขยี นสรุปผล ก้อนหินทีท่ า� ขนึ้ จากโฟมน�ามาใชป้ ระกอบการแสดงโขน เรอ่ื งรามเกยี รต์ิ ตอนพระรามขา้ มสมุทร การวิเคราะห ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครูผูส อน เปน็ ตน้ ตรวจสอบผล Evaluate จากท่ีกล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า การแสดงนาฏศิลป์ไทยจ�าเป็นต้องใช้ศิลปะหลากหลาย ครพู จิ ารณาจากการวเิ คราะหก ารแสดงนาฏศลิ ป แขนงเข้ามาใช้ประกอบการแสดง เพ่ือความสมจรงิ ตามเนอ้ื เรอ่ื ง เพอื่ ความวิจิตรงดงามและทา� ให้ ไทย เก่ียวกบั ศลิ ปะแขนงอืน่ ๆ ทป่ี รากฏในการแสดง ผู้ชมได้รบั อรรถรสในการชมการแสดงมากยิ่งขึ้น ซง่ึ การน�าศิลปะแขนงต่างๆ มาใช้ประกอบการ- ในหวั ขอ บทประพันธ ดนตรี เครื่องแตงกาย ฉาก แสดง สามารถสะทอ้ นให้เหน็ ถึงความสามารถของผู้จัดการแสดงเกี่ยวกับความร้ใู นเรอื่ งของศลิ ปะ แสง สี เสียง และอุปกรณประกอบการแสดง ไมว่ ่าจะเปน็ งานด้านฝม อื งานดา้ นเทคนคิ และสามารถนา� มาผสมกลมกลนื กนั อย่างลงตัว ของนักเรียน ๑๑๖ นกั เรยี นควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 ทวน อาวธุ ชนดิ หนง่ึ ท่มี ีลักษณะคลายหอก มขี นาดเรียวเล็ก นา้ํ หนกั เบา ใหน ักเรียนสืบคนภาพอุปกรณป ระกอบการแสดงนาฏศิลป พรอ มเขยี น และมดี า มยาว เปนอาวุธท่ีนํามาใชในการแทงและฟน นยิ มนํามาใชประกอบ คําบรรยายใตภาพ จัดทําเปน สมุดภาพ ตกแตง ใหส วยงาม นําสงครูผูสอน การแสดงบนหลังมา เพ่อื ใหเ กดิ ประสิทธภิ าพสูงสุด เพราะความเร็วของมา จะเพิม่ ความแรงในการแทง กจิ กรรมทาทาย 2 ระบําฉิง่ เปน ระบําท่ีมีลลี าการรายรําทีอ่ อ นชอยงดงาม ผูป ระดษิ ฐท า ราํ คือ นางลมลุ ยมะคปุ ต และนางเฉลย ศขุ ะวณชิ ทาํ นอง จังหวะเพลงระบําฉ่ิง ใหน กั เรยี นเขียนแนวทางการจดั การแสดงโขน โดยการนาํ ศิลปะ ประพนั ธโ ดยนายมนตรี ตราโมท ผแู สดงจะตองใชม ือทงั้ 2 ขาง ถอื ฉงิ่ รํา พรอ มกบั แขนงตา งๆ มาประกอบการแสดง ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครูผสู อน ตจี งั หวะเปนบางชว งตามทาํ นองเพลง ท้ังชา และเรว็ มุม IT นกั เรียนสามารถชมการแสดงระบําฉง่ิ ไดจาก http://www.youtube.com โดยคน หาจากคําวา ระบําฉงิ่ 116 คมู อื ครู กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๓. หลกั การวจิ ารณ์การแสดงนาฏศิลปไ์ ทย ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงโขนเรอื่ งรามเกยี รติ์ เนอื่ งจากการแสดงนาฏศลิ ป์ไทยเปน็ ศลิ ปะทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการผสมผสานศลิ ปะหลากหลายแขนง ใหนักเรยี นชม จากนน้ั ครถู ามนกั เรยี นวา เข้าไว้ด้วยกัน ซ่ึงผู้ชมการแสดงจะสัมผัสได้จากการชมและการฟัง ดังนั้น ผู้ชมจ�าเป็นจะต้องมี ความรู้พ้ืนฐานทางด้านนาฏศิลป์ไทย รวมท้ังเข้าใจหลักการวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ไทยด้วย • นกั เรยี นมหี ลักการในการวิจารณการแสดง เพื่อเพิ่มอรรถรสในการชมการแสดงให้มากย่ิงขึ้น ซ่ึงหลักการวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ไทย อยางไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ในดา้ นตา่ งๆ๑ม) ีดดังานนี้ บทประพันธ1การแสดงนาฏศิลป์ไทยส่วนใหญ่ จะเป็นการแสดงท่ีมีบทร้อง ไดอยางอิสระ ครอู ธบิ ายเพมิ่ เติมวา ควร วจิ ารณในเรอื่ งของบทประพันธ ลักษณะ และท�านองเพลงประกอบการแสดง ซึ่งผู้ประพันธ์จะร้อยเรียงถ้อยค�าไว้อย่างสละสลวย ไพเราะ รปู แบบการแสดง ลลี าทา รํา การแตง กาย มีสัมผัสนอก สัมผัสใน และสื่อความหมายของบทร้องด้วยลีลาท่าร�า โดยส่วนใหญ่จะหลกี เลยี่ ง และความเปนเอกภาพในการแสดง) การใชถ้ อ้ ยคา� ทมี่ คี วามหมายซา้� ซอ้ น เพราะจะทา� ให้ยากตอ่ การตบี ท สาํ รวจคน หา Explore ๒) ดา นลกั ษณะและรปู แบบการแสดง การวจิ ารณก์ ารแสดงนาฏศลิ ป์ไทย ผวู้ จิ ารณ์ ใหน กั เรียนศึกษา คน ควา หาความรูเ พิ่มเตมิ ควรเข้าใจลักษณะและรูปแบบของการแสดงให้ถ่องแท้เสียก่อน เช่น ร�าสีนวล เป็นการแสดง เก่ียวกบั หลักการวจิ ารณการแสดงนาฏศลิ ปไทย ประเภทรา� หมทู่ ต่ี อ้ งการอวดอริ ยิ าบถของหญงิ สาวทอี่ อ่ นชอ้ ย งดงาม ซง่ึ รปู แบบการแสดงจะไมเ่ นน้ จากแหลง การเรียนรตู า งๆ เชน หอ งสมุดโรงเรียน การดา� เนนิ เรอ่ื งราวเหมอื นโขน หรอื ละคร แตเ่ นน้ กระบวนทา่ รา� ทม่ี คี วามพรอ้ มเพรยี งและเนน้ การ หองสมุดชมุ ชน อินเทอรเ น็ต เปนตน ในหวั ขอ แปรแถวทสี่ วยงาม ดงั นนั้ หลกั การวจิ ารณก์ ารแสดงรา� สนี วลกจ็ ะตอ้ งพจิ ารณาทค่ี วามพรอ้ มเพรยี ง ทีค่ รูกําหนดให ดงั ตอไปน้ี ในการรา� และการแปรแถวทส่ี วยงาม ตระการตา และหลากหลาย อวดผู้แสดงได้ครบทุกคน 1. ดา นบทประพนั ธ เป็นตน้ 2. ดา นลกั ษณะและรปู แบบการแสดง 3. ดานลีลาทา ราํ ๓) ดา นลลี าทา ราํ พจิ ารณาไดจ้ าก 4. ดา นการแตงกาย 5. ดา นเอกภาพในการแสดง ลีลาท่าร�าที่จะต้องถูกต้องตามแบบแผน เน่ืองจากการแสดงนาฏศิลป์ไทยจะเน้นลีลา อธบิ ายความรู Explain ทา่ รา� ทม่ี ีความออ่ นชอ้ ย งดงาม และสือ่ ความ- หมายไดอ้ ยา่ งชดั เจน นอกจากนี้ ยงั เนน้ ทก่ี ารรา� การแสดงนาฏศลิ ปไ ทย จะเนน ลลี าทา ราํ ทอี่ อ นชอ ย งดงาม ครสู มุ นักเรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ตีบทให้สอดคล้องตามบทร้องและท�านองเพลง ดงั ตอ ไปนี้ เพ่ือสื่อความให้ผู้ชมเข้าใจและเกิดสุนทรียรส ฟแลอะนสส่ือาควไวหามม2หทม่ีมาที ยมี่ ไาดจอากยกางาชรัปดเรจะนกอ(บจอาากชภพี าทพอกผาาร)แสดง ในการชมด้วย ปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทย • นกั เรยี นเคยชมการแสดงนาฏศลิ ปไ ทยหรอื ไม จึงได้ประดิษฐ์ท่าร�าท่ีสื่อความหมายและเป็น ถา เคย หลังจากชมการแสดงเสร็จแลว แบบแผนไว้ ดังน้ัน ผู้แสดงมิควรพลิกแพลง นักเรียนเคยวิจารณการแสดงบา งหรือไม หรอื เปลีย่ นแปลงท่ารา� ดังกล่าว อยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอสิ ระ) ๑๑๗ ขอสอบ O-NET นกั เรยี นควรรู ขอ สอบป ’50 ออกเก่ียวกบั หลักการวเิ คราะหก ารแสดงนาฏศิลปไทย 1 บทประพันธ ทน่ี ยิ มนาํ มาแสดงนาฏศิลปไ ทย คอื กลอนบทละคร ขอ ใด ไมใ ช หลักในการวจิ ารณการแสดงชุดระบําอัศวลลี า หรอื กลอนแปด หากเปน การแสดงโขน เรือ่ งรามเกยี รติ์ จะมบี ทพากย 1. ผแู สดงจะตองราํ ใหออนชอ ยงดงามตามแบบแผนของนาฏศิลปไทย ซงึ่ ประพนั ธดวยกาพยยานี 11 และกาพยฉบัง 16 2. ผูแสดงควรถา ยทอดกริ ยิ าอาการของมา ใหชัดเจน 2 ฟอนสาวไหม เปนการแสดงทีด่ ดั แปลงมาจากวิถชี วี ติ ความเปน อยขู อง 3. คงรักษาไวซึ่งรูปแบบการแสดงและการแปรแถว ชาวบา นภาคเหนือทน่ี ิยมการทอผาฝา ย ทา รําจะแสดงใหเ ห็นถึงลักษณะ 4. ไมม ขี อใดถูก การเล้ยี งไหม สาวไหม กรอไหม และทอผาไหม ผูท่คี ดิ คน การฟอนสาวไหม คือ นายกุย สุภาวสทิ ธิ์ อดีตศลิ ปน ชางฟอน (ปจจบุ นั ไดลว งลบั ไปแลว) วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะการแสดงชุดระบําอัศวลลี า มุม IT จะมีทว งทาํ นองท่ีคึกคกั มีจังหวะท่กี ระตุกเหมือนการเคลอื่ นไหวรางกาย ของสัตว ทาํ นองเพลงเลียนแบบลกั ษณะทา ทางของมา ในยามทีเ่ ย้อื งยาง นกั เรยี นสามารถชมการแสดงฟอ นสาวไหม ไดจ าก http://www.youtube.com อยางสงา งาม โดยคนหาจากคําวา ฟอ นสาวไหม คูมือครู 117 กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาาใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู ใหน กั เรียนรวมกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั หลกั การ ๔) ดา นการแตงกาย แนวทางการวิจารณค์ วรพิจารณาจากการแต่งกายของผแู้ สดง วิจารณการแสดงนาฏศลิ ปไ ทยในดานตางๆ ตามทไี่ ดศกึ ษามา จากน้นั ครถู ามนกั เรยี นวา หากเป็นการแสดงประเภทโขน หรือละครจะแต่งกายตามบทบาทในเนื้อเร่ือง หากเป็นชุดระบ�า มาตรฐานจะแต่งกายยืนเครื่องพระ - นาง หากเป็นการร�าที่มาจากการแสดงโขน หรือละครแล้ว • เพราะเหตุใดจงึ ตอ งมีการวิจารณการแสดง น�ามาแสดงเป็นชุดเอกเทศก็จะแต่งกายตามลักษณะของตัวละครน้ันๆ แต่หากเป็นการแสดง- นาฏศิลปไทย พ้ืนเมืองก็จะแต่งกายตามแบบชาวไทยในภาคต่างๆ เช่น การแสดงนาฏศิลป์ไทย ชุดร�าสีนวล (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เห็น เป็นการแสดงพ้ืนเมืองภาคกลาง ผู้แสดงแต่งกายแบบหญิงไทยพ้ืนเมืองภาคกลาง ห่มสไบ ไดอ ยา งอิสระ) นุ่งโจงกระเบน ปล่อยผมยาว ทดั ดอกไมด้ ้านซ้าย สวมกา� ไลเท้า เป็นตน้ • การแตง กายในการแสดงมาตรฐานแตกตาง ๕) ดา นความเปน เอกภาพในการแสดง ผวู้ จิ ารณค์ วรคา� นงึ ถงึ ความเปน็ เอกลกั ษณ์ จากการแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมืองอยา งไร (แนวตอบ การแสดงนาฏศิลปมาตรฐาน เฉพาะของการแสดง เช่น หากจะวิจารณ์การแสดงละครใน ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ ผูแสดงจะแตงกายยืนเครื่องพระ - นาง ละครใน คือ เน้นความประณีตงดงามในกระบวนท่าร�า เคร่งครัดในจารีตประเพณี การแต่งกาย สว นการแสดงนาฏศลิ ปพ้ืนเมืองสวนใหญ ท่าร�าท่ีถูกต้องตามแบบแผน ไม่เน้นการด�าเนินเร่ือง ดังน้ัน ลีลาท่าร�า การแต่งกาย บทร้อง จะแตงกายดว ยชุดพ้ืนเมอื งของภาคตางๆ) ท�านองเพลง ฉาก แสง สี และเสียงจะต้องมีความประณีต วิจิตรงดงามตามแบบแผนอย่างมี เอกภาพดว้ ย • ถา ตองการวจิ ารณการแสดงละครในดาน ของความเปน เอกภาพ ในการแสดงจะตอ ง การวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ในด้านต่างๆ ท่ีได้กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นสิ่งท่ีผู้ชมและ วิจารณอยางไร ผู้วิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ไทย สามารถน�าไปใช้เป็นหลักในการวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ไทย (แนวตอบ การวจิ ารณการแสดงละคร แตล่ ะประเภทได้ แตเ่ นอื่ งจากการแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทยแตล่ ะประเภทลว้ นมคี วามเปน็ เอกลกั ษณ์ หากจะ ในดา นความเปน เอกภาพตอ งพจิ ารณาจาก วจิ ารณก์ ารแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทยชดุ ใดกค็ วรศกึ ษาถงึ เอกลกั ษณข์ องการแสดงประเภทนนั้ ๆ แลว้ ใชห้ ลกั ความเปน เอกลักษณเ ฉพาะของการแสดง การวจิ ารณข์ า้ งตน้ มาประกอบการพจิ ารณา จงึ จะกลา่ วไดว้ า่ เปน็ การวจิ ารณก์ ารแสดงนาฏศลิ ป์ไทย เชน ละครใน ความเปน เอกลกั ษณเ ฉพาะละคร อยา่ งสรา้ งสรรคแ์ ละสามารถประเมินคา่ การแสดงชดุ นั้นๆ อย่างไมล่ �าเอียง เพ่อื จะไดเ้ ปน็ ข้อมูลท่ี คอื เนน ความประณตี งดงาม เปน ตน ) จะใช้แก้ไขปรบั ปรุงการแสดงในโอกาสต่อไป ขยายความเขา ใจ Expand ใหนกั เรียนรว มกันสรุปสาระสาํ คัญเกีย่ วกับ หลกั การวจิ ารณก ารแสดงนาฏศลิ ปไ ทย ลงกระดาษ รายงาน นาํ สง ครผู สู อน ตรวจสอบผล Evaluate ครูพิจารณาจากการสรุปสาระสาํ คญั เกยี่ วกับ การแสดงทุกประเภทลวนมีเอกลักษณเฉพาะของการแสดง ดังน้ัน ผูชมและผูวิจารณจึงควรศึกษาถึงเอกลักษณของ หลกั การวิจารณก ารแสดงนาฏศลิ ปไ ทยของนักเรียน การแสดงชุดน้นั ๆ กอน เพอื่ เพ่มิ อรรถรสในการชมการแสดง ๑๑๘ บรู ณาการอาเซียน ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การวิจารณการแสดงนาฏศิลปไทยทีด่ มี หี ลักในการปฏิบตั อิ ยางไร จากการศกึ ษาเกย่ี วกบั หลกั การวจิ ารณก ารแสดงนาฏศลิ ปไ ทยสามารถเชอ่ื มโยง แนวตอบ ผวู จิ ารณจ ะตองพฒั นาความคิดเห็นของตนประกอบกับความรู กบั ประเทศสมาชกิ อาเซยี น คอื ประเทศพมา จากการทไี่ ทยไดน าํ รปู แบบการแสดง เรอื่ งหลักเกณฑต า งๆ มารองรับ สนบั สนุนความคดิ เหน็ ของตนในการตีความ นาฏศลิ ปข องพมา มาดดั แปลงใหเ ปน แบบฉบบั ของไทย เชน “ฟอ นมา นมยุ เชยี งตา” โดยผูวจิ ารณตอ งกลาวถึงผลงานนาฏศิลปโ ดยรวมวาผเู สนอผลงานพยายาม ทม่ี ีรปู แบบการแตง กายและการรา ยรําแบบพมา ซง่ึ เราสามารถนาํ มาวิเคราะห จะสอ่ื ความหมาย หรือเสนอแนะเรอื่ งใด ทั้งนี้ ผวู จิ ารณทด่ี ีตอ งตีความ โดยศกึ ษาจากการนาํ รปู แบบการฟอ นราํ ดงั้ เดมิ ของพมา และของไทยมาเปรยี บเทยี บกนั การแสดงผลงานนาฏศิลปนั้นใหเขา ใจอยางถอ งแท โดยการยดึ หลักการวิจารณใ นหัวขอบทประพันธ ลักษณะและรปู แบบการแสดง ลีลาการรายราํ การแตง กาย และความเปนเอกภาพของการแสดง โดยผูท ่วี จิ ารณ จะตอ งมคี วามเขา ใจในรปู แบบของการแสดงอยา งลกึ ซง้ึ และตอ งวางใจใหเ ปน กลาง จึงจะสามารถวจิ ารณการแสดงไดอ ยา งถูกตอ งและเปน ธรรม 118 คูมือครู กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Evaluate Engage Explore Expand Engage กระตนุ ความสนใจ กิจกรรม ศลิ ป์ปฏิบัติ ๗.๑ ใหน ักเรยี นดแู ผนผังตารางความสัมพนั ธ ของนาฏศิลปกับสาระการเรยี นรูอ่นื จากน้นั กจิ กรรมท ่ี ๑ ใหน้ ักเรยี นชมวดี ิทศั น์การแสดงโขน เรอ่ื งรามเกียรต์ิ ตอนพระรามขา้ มสมทุ ร แลว้ ครูถามนักเรยี นวา กจิ กรรมท ี่ ๒ อภิปรายรว่ มกนั เกี่ยวกบั การแสดงในหัวขอ้ ต่างๆ ดงั น้ี ๑. รปู แบบการแสดง • เพราะเหตใุ ดวชิ านาฏศิลปจ ึงสามารถนํามา ๒. การน�าศลิ ปะแขนงอืน่ ๆ มาใชก้ ับการแสดง บูรณาการกับวชิ าอนื่ ได ใหน้ กั เรยี นชมวดี ทิ ศั นก์ ารแสดงนาฏศลิ ป์ไทย ชดุ รา� วงมาตรฐาน แลว้ ใหร้ ว่ มกนั วจิ ารณ์ (แนวตอบ เพราะนาฏศลิ ปเปน วชิ าทมี่ ุงเนน การแสดงดังกล่าว โดยใช้หลักการวิจารณ์การแสดงด้านต่างๆ ตามท่ีได้เรียนมา ใหผ ูเ รยี นมีความคิดริเรม่ิ สรางสรรค ในหน่วยการเรยี นรู้น้ี และจนิ ตนาการ ซง่ึ มีผลตอคณุ ภาพชีวิต มนุษย วชิ านาฏศลิ ปจ งึ สามารถนาํ มา ๔. ความสมั พนั ธข์ องนาฏศลิ ปก์ ับสาระการเรียนรู้อืน่ เชอ่ื มโยงกับวชิ าอื่นได โดยเฉพาะ นาฏศิลป์ เป็นสาระหน่ึงในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความคิดริเร่ิม ในดา นการสง เสรมิ ศักยภาพทางรา งกาย สรา้ งสรรคท์ างศลิ ปะ มีจินตนาการ ชน่ื ชมความงาม ความมคี ณุ คา่ ซึง่ มผี ลตอ่ คุณภาพชีวติ มนษุ ย์ จิตใจ สงั คม และสติปญญา) ดว้ ยเหตนุ ก้ี ิจกรรมทางด้านนาฏศิลป์ สามารถนา� ไปผสมผสานสอดแทรกกับสาระอ่นื ๆ เพือ่ พัฒนา ผูเ้ รียนได้ โดยทางตรงและทางอ้อม ทั้งทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม และสติปัญญา สาํ รวจคน หา Explore หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ได้ก�าหนดกลุ่มสาระท่ีผู้เรียนจะต้องศึกษาไว้รวม ใหนักเรยี นแบงกลมุ ออกเปน 6 กลุม ๘ กลุ่ม คือ กลุ่มสาระภาษาไทย กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระ ใหน กั เรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรเู พมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลมุ่ สาระสขุ ศกึ ษาและพลศึกษา กล่มุ สาระศลิ ปะ กลุ่มสาระ ความสมั พันธข องนาฏศิลปกบั สาระการเรยี นรอู ื่น การงานอาชีพและเทคโนโลยี และกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ ซึ่งในท่ีน้ีจะขอยกตัวอย่างความ จากแหลง การเรียนรตู า งๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรยี น สมั พันธข์ องนาฏศลิ ป์กบั สาระอน่ื ๆ มาอธบิ ายให้เข้าใจพอสังเขป ดงั นี้ หองสมุดชุมชน อนิ เทอรเนต็ เปนตน ในหัวขอ ๔.๑ นาฏศิลป์กบั ภาษาไทย ทค่ี รกู ําหนดให ดงั ตอไปนี้ ความสัมพันธ์ของนาฏศิลป์กับสาระภาษาไทยที่ก�าหนดไว้ในหลักสูตร ส่วนใหญ่จะอยู่ใน กลมุ ที่ 1 นาฏศลิ ปกบั ภาษาไทย หนงั สอื เรยี นทต่ี ดั ตอนมาจากวรรณคดบี ทละครไทย เชน่ เรอื่ งสงั ขท์ อง เรอ่ื งอเิ หนา เรอ่ื งรามเกยี รติ์ กลุมที่ 2 นาฏศลิ ปก ับวิทยาศาสตร เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงครูผู้สอนสามารถนา� กิจกรรมนาฏศิลป์เข้ามาสอดแทรกในการเรียน จกัดารแสสอดนงภละาคษรารไา�ท1ยเไรด่ือ้งเอพเิ หื่อทนาา� ใหหผ้ รู้เือรกยี านรมนีค�าวโคามลงสนฉใจนั ใทน์ บกทาเพรียยน์ กมลาอกนย2ง่ิ ขน้ึนทิ าไนม่รสู้สภุ กึ าเบษ่ือติ หคนา�า่ พยงั เเพช่นย3 และเทคโนโลยี ในบทเรยี นมาจัดแสดงเปน็ ชุดการแสดงตอนสน้ั ๆ เปน็ ตน้ กลมุ ที่ 3 นาฏศิลปกบั สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลมุ ที่ 4 นาฏศิลปก บั ศลิ ปะ กลุมท่ี 5 นาฏศิลปกับสุขศึกษาและพลศึกษา กลุมท่ี 6 นาฏศิลปกบั การงานอาชพี และเทคโนโลยี ๑๑9 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรียนควรรู ในการใหนักเรียนศกึ ษาหาความรูเพมิ่ เตมิ เกี่ยวกบั วรรณคดีไทยทนี่ ยิ ม 1 ละครรํา เปน การใชก ระบวนทาราํ ในการแสดงเปนเรอ่ื งราว โดยใชก ารตีบท นาํ มาใชแสดงนาฏศิลป พรอมเขียนอธบิ ายความสัมพนั ธระหวา ง เพื่อสอื่ ความหมายแทนคําพูด ละครราํ สามารถแบง ออกเปน 2 ประเภท คือ วชิ านาฏศิลปกับวชิ าภาษาไทย ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครูผูสอน ละครรําแบบดงั้ เดิม เชน ละครชาตรี ละครนอก ละครใน เปน ตน และละครราํ ทีป่ รับปรงุ ข้ึนใหม เชน ละครดึกดาํ บรรพ ละครพันทาง ละครเสภา เปน ตน กิจกรรมทา ทาย 2 กลอน บทประพนั ธท แี่ ตงขน้ึ เพอื่ ใชในการแสดงละคร ซึ่งหลกั เกณฑ ในการแตง โดยท่ัวไปจะเหมือนกับการแตง กลอนสภุ าพ แตล ะวรรคมคี าํ ตั้งแต ใหนักเรยี นทาํ ตารางวเิ คราะหความสัมพันธระหวางวชิ านาฏศลิ ป 6 - 9 คาํ การนบั กลอน คือ 2 วรรค เทา กบั 1 คํากลอน การจะใชค ํามาก กับวิชาภาษาไทย ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครูผูส อน หรือนอ ยนนั้ ข้ึนอยกู ับทาํ นองรองและการตบี ทเปนสาํ คญั 3 คาํ พงั เพย ถอ ยคําอุปมาทใ่ี ชก ลา วกระทบกระเทยี บเสยี ดสี ซง่ึ เกดิ ขึ้นมาจาก เหตุการณ เรอื่ งราว หรือความเปน ไปในการดําเนนิ ชวี ิตของผคู นในอดตี เชน ปากปราศรัย (นา้ํ ใจ) เชือดคอ หมายถงึ คําพูดดแี ตใจคดิ ราย ขางนอกสกุ ใส ขางในเปนโพรง หมายถงึ ขางนอกอาจจะดูดมี ีราคา แตใ นความเปนจริงแลว ไมไ ดดูดตี ามท่ีเห็น เปนตน คูมอื ครู 119 กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 1-3 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู นอกจากนี้ ในบทเรียนภาษาไทยและวรรณคดีบางเร่ือง จะมีบทร้องและท�านองเพลงไทย เพ่ิมเตมิ เก่ยี วกับความสัมพนั ธของนาฏศลิ ปกับ เพลงพนื้ เมอื ง การขบั เสภา หรอื การอา่ นทา� นองเสนาะ จงึ ควรนา� นาฏศลิ ปม์ าชว่ ยเสรมิ โดยการให้ สาระการเรยี นรอู น่ื สง ตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ าย ผเู้ รยี นฝก การตคี วามหมายตามบทรอ้ งทอ่ี ย่ใู นบทเรยี นและรา� ใชบ้ ท ซง่ึ จะชว่ ยทา� ใหบ้ ทเรยี นนา่ สนใจ ความรูในหัวขอนาฏศิลปกับภาษาไทย นาฏศิลป ผู้เรยี นจะมีความกระตอื รอื รน้ ทจี่ ะเรยี นมากขนึ้ เพราะตอ้ งการแสดงออกในการรา� และแสดงละคร กับวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี และนาฏศิลปกับ สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามทไี่ ดศึกษา ๔.๒ นาฏศลิ ป์กบั วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี มาหนาชน้ั เรียนจากนั้นครูถามนกั เรียนวา การจัดแสดงนาฏศิลป์บางชุดการแสดงต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ ท่ีช่วยสร้างอารมณ์และ บรรยากาศ เชน่ ฉาก แสง สี เสยี ง เปน็ ตน้ ซึ่งการแสดงในปจั จบุ นั ต้องการความอลังการในเร่ือง • การแสดงนาฏศิลปไ ดน าํ ความรู องคป์ ระกอบตา่ งๆ เหลา่ นี้ จงึ จา� เปน็ ตอ้ งพงึ่ พาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีในการสรา้ งความสมจรงิ ในวชิ าภาษาไทยมาใชใ หเกิดประโยชน เช่น การท�าเสียงพิเศษ เทคนิคการสร้างภาพให้ปรากฏบนเวที เพ่ือประกอบการแสดงนาฏศิลป์ ไดอยา งไร เชน่ ฉากฟา แลบในการแสดงชุดเมขลา - รามสรู ตอ้ งอาศยั ความเขม้ ของแสง ทิศทาง สีของแสง (แนวตอบ นํามาใชป ระโยชนใ นการถอด เขา้ มาชว่ ยสรา้ งอารมณร์ ว่ มใหก้ บั ผชู้ ม เปน็ ตน้ เทคโนโลยเี ปน็ ปจั จยั สา� คญั ทท่ี า� ใหร้ ปู แบบการแสดง คําประพนั ธท ี่นิยมนาํ วรรณคดไี ทยเร่อื งตา งๆ นาฏศิลป์พฒั นาขน้ึ เชน่ น�าคอมพวิ เตอรเ์ ข้ามามีบทบาทในการออกแบบฉาก ให้มีความงดงาม มาใชแ สดงละคร เชน เรอื่ งรามเกยี รติ์ อเิ หนา ตระการตา เช่น ฉากทม่ี นี ้า� ตก นา้� พุ พายุ ระเบดิ ฉากอวกาศ ฉากจ�าลองสถานทต่ี า่ งๆ เปน็ ตน้ สงั ขท อง พระอภยั มณี ขนุ ชา งขนุ แผน เปน ตน นอกจากน้ี ยังน�าเทคโนโลยีมาช่วยในการเผยแพร่นาฏศิลป์ไทยทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สร้าง ซงึ่ จะทาํ ใหม คี วามเขา ใจเกีย่ วกับเรื่อง เปน็ ซดี ี (CD) หรือดวี ดี ี (DVD) จงึ ทา� ให้มีผ้นู ิยมชมการแสดงนาฏศลิ ป์ไทยเพ่มิ มากขนึ้ และการราํ ตีบทไดดยี งิ่ ขนึ้ ) ๔.๓ นาฏศิลปก์ ับสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม • นาฏศลิ ปกบั วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี นาฏศิลป์ไทยจะมีความเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาหนึ่งในสาระการเรียนรู้กลุ่ม มคี วามเกีย่ วขอ งกนั ในดา นใด สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม เพราะนาฏศลิ ปเ์ ขา้ ไปมสี ว่ นสา� คญั ในการเปน็ หลกั ฐานทใ่ี หข้ อ้ มลู (แนวตอบ ในการแสดงนาฏศลิ ปจ ะใช ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา วิทยาศาสตรกับเทคโนโลยีเขามาสรา ง ความเชอื่ วฒั นธรรมวถิ ชี วี ติ และการแตง่ กายของ ความสมจรงิ ใหก บั ฉาก เชน แสง สี เสยี ง ผคู้ นในอดตี ซง่ึ จะศกึ ษาไดจ้ ากชดุ การแสดงตา่ งๆ อปุ กรณประกอบฉาก การทาํ เทคนิคพิเศษ เช่น “ระบําลพบรุ ”ี ท่ีประดษิ ฐ์ขึ้นโดยเลยี นแบบ ตางๆ เปนตน) จากลลี าทา่ ทางของภาพประตมิ ากรรมและภาพ แกะสลกั ทป่ี รากฏอยบู่ นทบั หลงั และหนา้ บนั ของ • เพราะเหตใุ ดนาฏศลิ ปก บั สงั คมศกึ ษา ศาสนา ปราสาทหินพิมายและปราสาทหินพนมรุ้ง อัน และวัฒนธรรมจงึ มคี วามสมั พันธกัน เปน็ ศิลปะขอมในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๗ (แนวตอบ เพราะการแสดงนาฏศลิ ปบางชุด นอกจากน้ี เนือ้ หาสาระท่อี ยู่ในกรอบของ มกี ารนาํ ขอมลู ทางประวัติศาสตรเกยี่ วกับ วชิ าสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม สามารถ ความเปน มา ความเช่ือ วถิ ีชีวติ และการ แตง กายของคนในอดตี มาดัดแปลงเปนทา ราํ ท่สี วยงาม เชน ระบําโบราณคดี เปนตน) ระบําศรีวิชัย เปนระบําท่ีประดิษฐข้ึนโดยเลียนแบบ น�ามาแต่งเป็นบทประพันธ์ประเภทค�ากลอน จากภาพจาํ หลักผสมกับทา ราํ ของนาฏศิลปช วา ให้ผู้เรียนแสดงได้ เช่น ประวัติบุคคลส�าคัญ ๑๒๐ เกรด็ แนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเก่ยี วกบั องคป ระกอบในการแสดง ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงนาฏศลิ ปไ ทยประเภทระบาํ โบราณคดใี หน กั เรยี นชม การผสมผสานองคประกอบในการแสดงตองคํานงึ ถึงอะไรนอ ยท่สี ดุ จากนน้ั ครอู ธิบายเพิ่มเติมวา ระบําโบราณคดี เปนระบําท่ีเกิดข้ึนจากการเลียนแบบ 1. ความสมดุลของสสี ันบนเวที ลกั ษณะทา ทางของเทวรปู ภาพเขยี น ภาพแกะสลกั รปู ปน รปู หลอ โลหะ และภาพศลิ า- 2. ความช่นื ชอบของสมยั นยิ มปจ จบุ ัน จาํ หลกั ตามโบราณสถานทข่ี ดุ พบในสมยั ตา งๆ ซงึ่ มอี ยดู ว ยกนั 5 ชดุ คอื ระบาํ เชยี งแสน 3. แหลง ท่มี าของวสั ดุ อปุ กรณทีจ่ ะใช ระบาํ ทวารวดี ระบาํ ศรวี ชิ ยั ระบาํ สโุ ขทยั และระบาํ ลพบรุ ี ซงึ่ จะทาํ ใหน กั เรยี นมคี วามรู 4. งบประมาณในการจดั การแสดง ความเขาใจเก่ยี วกบั ระบําโบราณคดีไดดียิง่ ขน้ึ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะการรบั รถู งึ แหลง ทมี่ าของวสั ดุ อปุ กรณ ทใ่ี ชใ นการแสดงมีความสําคัญนอ ยมาก มุม IT นกั เรยี นสามารถชมการแสดงระบาํ โบราณคดี ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคน หาจากคําวา ระบําโบราณคดี 120 คูม ือครู กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ในประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี สภาพความเป็นอยู่ เป็นต้น สามารถเรียนรู้ได้ ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 4 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ผ่านทางละครพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาถ่ายทอดสืบต่อกันมา เพื่อให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้ศึกษา เพ่มิ เตมิ เกย่ี วกับความสัมพนั ธของนาฏศลิ ปก บั และท�าความเขา้ ใจได้งา่ ยขึน้ สาระการเรยี นรอู น่ื สง ตวั แทน 2-3 คน ออกมาอธบิ าย ๔.๔ นาฏศิลปก์ ับศลิ ปะ ความรูในหัวขอนาฏศิลปกับศิลปะ ตามที่ไดศึกษา มาหนาช้นั เรียน จากน้นั ครถู ามนักเรียนวา นาฏศลิ ปเ์ ปน็ วชิ าหนง่ึ ในสาระการเรยี นรกู้ ลมุ่ ศลิ ปะ ซงึ่ สาระการเรยี นรกู้ ลมุ่ นจี้ ะประกอบไปดว้ ย วิชาทัศนศิลป์ ดนตรี และนาฏศิลป์ นาฏศิลป์มีความสัมพันธ์กับทัศนศิลป์ในการแสดงนาฏศิลป์ • เพราะเหตุใดนาฏศลิ ปก ับศิลปะ ทุกชุด เพราะทัศนศิลป์เป็นองค์ประกอบที่มีส่วนช่วยสร้างเสริมบรรยากาศให้ผู้ชมมีความรู้สึก จงึ ไมส ามารถแยกออกจากกันได คลอ้ ยตามไปกบั การแสดง เช่น ฉาก เคร่อื งแตง่ กาย การแต่งหนา้ แสง สี เสยี ง เปน็ ต้น นอกจากน้ี (แนวตอบ เพราะศลิ ปะเปน สวนหนง่ึ ของ ในการแสดงก็ต้องอาศัยความรู้เรื่องทัศนธาตุเกี่ยวกับจุด เส้น รูปทรง และสี ขณะเดียวกันการ การสรางบรรยากาศในการแสดงนาฏศลิ ป กา� หนดตา� แหนง่ การยนื ของผแู้ สดงกต็ อ้ งดูใหม้ คี วามสมดลุ มคี วามกลมกลนื ของทา่ รา� เครอ่ื งดนตรี ทําใหผ ูชมเกิดความรูส กึ คลอยตามไปกับ และเพลงรอ้ ง ซึง่ เป็นการนา� เอาหลกั การจัดองค์ประกอบศลิ ป์มาประยุกต์ใช้ได้อยา่ งเหมาะสม การแสดงได เชน ฉาก เคร่ืองแตง กาย การแตง หนา ทรงผม การใชแสง สี เสียง สา� หรบั นาฏศลิ ปแ์ ละดนตรกี ม็ คี วามสมั พนั ธก์ นั ในฐานะทด่ี นตรชี ว่ ยเสรมิ ใหก้ ารแสดงนาฏศลิ ป์ เปน ตน นอกจากน้ี ในการจดั การแสดง ชดุ ตา่ งๆ มคี วามนา่ สนใจมากยง่ิ ขน้ึ เพราะดนตรสี ามารถชว่ ยถา่ ยทอดความร1สู้ กึ ใหผ้ ชู้ มเกดิ อารมณ์ ยังตองมีความรเู ร่อื งทัศนธาตุเพ่ือนํามาใช ตา่ งๆ ตามการแสดงนนั้ ๆ ได้ นอกจากน้ี ดนตรยี งั สามารถบง่ บอกฐานนั ดรศกั ดขิ์ องตวั ละครและแสดง ในการสรา งความกลมกลนื ของการแสดง ใใกนนริ รรยิ ะะายยไะะปไใกมกลาลๆขๆ้ อขงขอตองวัตงลตวั ะลัวคะลคระดรคธว้รรยทรมีเ่เปชด็นน่ายถกักา้าษบรรบ์ หรรเรรลือเงลเเพงปเ็นลพงมลเสางรมเชทอดิ่ีสมูงาจศระ2ักสจดอื่ะสิ์ใเหอื่ ชใเ้ ่นหหเ้น็ หกถน็ุมงึ ถภลงึ กกัลรษกั รษณณณะ3กะทกาศรากเรดเณั ดนิ นิฐท์ทาเาปงงไน็ไปปต-น้-มมาา อกี ดวย) ทัศนศิลปด านฉาก เครอื่ งแตง กาย การแตงหนา แสง สี และเสยี ง เปนองคป ระกอบทีม่ ีสวนชวยสรา งเสริมบรรยากาศ ในการแสดงใหดสู มจริง ๑๒๑ บูรณาการเชอ่ื มสาระ นักเรียนควรรู จากการศกึ ษาเกย่ี วกับความสัมพันธของนาฏศลิ ปกบั ศลิ ปะ สามารถ 1 ฐานนั ดรศักด์ิ ระดับชน้ั หรอื ยศของพระบรมวงศานวุ งศใ นสมัยโบราณ เชอ่ื มโยงกับการเรยี นการสอนในกลมุ สาระการเรยี นรูภาษาตางประเทศ เมอ่ื นาํ มาใชกบั คาํ ภาษาองั กฤษจะใชค ําวา “Royal Title” ในเรอ่ื งของทศั นธาตทุ นี่ าํ มาใชใ นการแสดงนาฏศลิ ป ซง่ึ มกี ารใชค าํ ศพั ทง า ยๆ 2 เสมอมาร เปนเพลงหนา พาทยที่กลา วถงึ การเยอ้ื งกายและการเดิน ประกอบ คอื ทศั นธาตุ หรือ Visual Elements ในทางทัศนศลิ ป หมายถงึ ของตวั ละคร ใชในการเดนิ ทางระยะใกลๆ ของตวั ละครทเี่ ปนยกั ษ หรอื มารช้นั สูง สว นประกอบของศลิ ปะทม่ี องเหน็ ได ซง่ึ ประกอบไปดว ยจดุ (Dot) เสน (Line) นอกจากนี้ ยังนํามาบรรเลงประกอบในพธิ ไี หวครู เพ่ือเชญิ ครูยกั ษข ึน้ สทู ป่ี ระทบั รปู รา ง (Shape) รปู ทรง (Form) นา้ํ หนกั ออ น - แก (Value) พนื้ ทว่ี า ง (Space) 3 กุมภกรรณ เปน โอรสของทาวลัสเตยี นกับนางรัชฎา มศี ักดเ์ิ ปน นอ งแทๆ พื้นผิว (Texture) และสี (Colour) ของทศกณั ฐ มหี นา และกายสเี ขยี ว ชายาชอื่ นางจันทวดี เปนยักษท ม่ี ีฤทธม์ิ ากทีส่ ุด ตนหน่งึ อาวุธประจํากาย คือ หอกโมกขศักด์ิ ท่จี รงิ แลวกุมภกรรณเปน ยักษ ท่ีตั้งม่นั ในธรรม แตต อ งออกรบชวยทศกณั ฐ เพราะเห็นแกค วามเปน พนี่ อง ลักษณะหัวโขนของกมุ ภกรรณ คือ หนา ยกั ษ 4 หนา โดยเปน หนา ปกติ 1 หนา และเปน หนาเลก็ ๆ 3 หนา เรียงกนั อยูบ ริเวณทายทอย ปากแสยะ ตาโพลง หวั โลน สวมกระบังหนา ไมม ีมงกุฎ หนา มีสีเขยี วและสีทอง คมู ือครู 121 กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหนกั เรยี นกลุมที่ 5 - 6 ท่ีไดศึกษา คนควา ๔.๕ นาฏศลิ ปก์ ับสุขศกึ ษาและพลศึกษา หาความรเู พมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั ความสมั พนั ธข องนาฏศลิ ป นาฏศิลป์มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา เพราะการท�ากิจกรรม กบั สาระการเรียนรอู ืน่ สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอ นาฏศลิ ปก ับสุขศึกษา นาฏศิลป์ เป็นการออกก�าลังกายทุกส่วนของร่างกาย เป็นการใช้พลังในร่างกายบังคับกล้ามเน้ือ และพลศึกษา และนาฏศลิ ปก บั การงานอาชพี ให้เคลือ่ นไหวไปในทศิ ทางที่ต้องการ ซ่งึ ถอื เป็นการสรา้ งเสรมิ ให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ และเทคโนโลยี ตามทไี่ ดศ กึ ษามาหนาชนั้ เรียน ผ่อนคลายความตึงเครียด ทา� ใหม้ ีสุขภาพจติ ดตี ามหลกั วชิ าสขุ ศึกษาและพลศกึ ษา จากน้นั ครูถามนกั เรียนวา ๔.๖ นาฏศิลปก์ บั การงานอาชพี และเทคโนโลยี • วชิ าสขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษามสี ว นชว ยผทู เ่ี รยี น ศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ เป็นศูนย์รวมของศิลปะหลายแขนง ซึ่งสามารถน�ามาหลอมรวม นาฏศลิ ปในดา นใด เชือ่ มโยงความสัมพันธ์กบั การงานอาชีพและเทคโนโลยี เพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรยี นรแู้ ละฝกทักษะในการ (แนวตอบ ชวยทําใหม รี า งกายท่ีแข็งแรง เสครรา้ อ่ืงงสแรตรคง่ กช์ าิ้นยงาชนดุ กซา่ึงรสแาสมดางรกถาเรปสน็ รพา้ งนื้ เฐคารนอ่ื ใงนปกราะดรปบั รกะากรอทบา� อหาวั ชโีพขนต่อกไาปรใสนรอา้ นงศาริคาตภไรดณ้ เ1์ชกน่ารสกราา้รงสฉรา้ากง สมบรู ณ ผอนคลายความตงึ เครียด การแตง่ หนา้ ทา� ผม การสรา้ งอปุ กรณป์ ระกอบการแสดง เปน็ ตน้ โดยครผู สู้ อนตอ้ งวางแผนรว่ มกนั และทาํ ใหมีสขุ ภาพจติ ด)ี เพื่อสอนให้ผู้เรียนรู้จักการประดิษฐ์อุปกรณ์ประกอบการแสดง โดยจะต้องยึดหลักความประหยัด และใช้วัสดทุ ่หี าได้ง่ายในท้องถน่ิ เป็นหลัก • จะเกิดสิง่ ใดขนึ้ เม่อื เรานาํ นาฏศลิ ป และการงานอาชีพและเทคโนโลยี มาเช่ือมโยงกนั (แนวตอบ เกดิ การสรา งสรรคเคร่ืองแตง กาย ชดุ การแสดง เครื่องประดับ หวั โขน ศริ าภรณ ทว่ี ิจติ รงดงาม) • จากภาพหมายถึงสิง่ ใด (แนวตอบ ถนิมพมิ พาภรณ คอื เครื่องประดับ รา งกาย เชน ทบั ทรวง สังวาล กาํ ไลขอ มอื เปนตน) • จากภาพหมายถงึ สิ่งใด การแสดงนาฏศลิ ปไ ทยสว นใหญจ ะตอ งมกี ารแตง หนา เพอื่ เนน ผแู สดงใหเ ดน ใหถ กู ตอ งตามบคุ ลกิ ภาพ และกลมกลนื กบั เครื่องแตงกาย (แนวตอบ พสั ตราภรณ คอื เครอื่ งแตงกาย ๑๒๒ ของตวั ละครประกอบดว ยผาปก และผานงุ ) ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET นกั เรยี นควรรู จากภาพจดั เปนศริ าภรณป ระเภทใด 1. เกี้ยว 1 ศริ าภรณ เปนคาํ ทปี่ ระกอบดว ย คาํ วา “ศริ ” แปลวา ศีรษะ และ “อาภรณ” 2. เทรดิ แปลวา เคร่ืองประดบั ดงั นัน้ คาํ วา “ศิราภรณ” จงึ หมายถึง เครื่องประดับศรี ษะ 3. รดั เกลา เชน มงกุฎ ชฎา เก้ียว รดั เกลา ปน จเุ หร็จ กระบงั หนา เปน ตน 4. กรรเจียกจอน ชฎาตวั พระ มงกฎุ ตวั นาง กระบงั หนา ปนจเุ หร็จ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะจัดเปน ศริ าภรณ ประเภทรดั เกลา มุม IT เปน เครอื่ งประดบั ศีรษะของสตรใี นราชสาํ นกั โบราณ และนาํ มาใชประดบั ศีรษะนางละครทีแ่ ตง กายยนื เคร่ือง ซ่ึงใชก ับสตรสี ูงศักดิ์ มีอยู 2 ลักษณะ คอื รดั เกลายอด มปี ลายยอดทรงกรวยแหลม ใชสําหรับนางกษตั รยิ และรดั เกลา เปลว มียอดปกชอกนกเปลว ใชส าํ หรับนางสนม นักเรียนสามารถศกึ ษา คน ควาเพมิ่ เติมเกี่ยวกบั ศิราภรณ ไดจาก http://www.cp.eng.chula.ac.th 122 คูมือครู กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขาใา จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู เสริมสาระ ใหนักเรียนศกึ ษาเร่อื งราวนาฏวรรณกรรม จากในหนงั สือเรยี น หนา 123 จากน้นั ครูถาม นาฏวรรณกรรม นกั เรียนวา นาฏวรรณกรรม หรอื วรรณกรรม หมายถงึ บทประพนั ธเ์ พอื่ การแสดงนาฏศลิ ป์ ซงึ่ แสดง ใหเ้ ห็นถงึ เรือ่ งราว ปรัชญา ความคิด จินตนาการ และตวั ละคร ใหผ้ ูร้ ว่ มแสดงได้ยึดถือไว้ด�าเนิน • จากขอความนีจ้ ดั เปน นาฏวรรณกรรม การรว่ มกนั ทา� ใหไ้ ดก้ ารแสดงมเี อกภาพ นาฏวรรณกรรมสามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๔ ประเภท ไดแ้ ก่ ประเภทใด ๑. เนื้อเร่ือง หมายถึง สาระส�าคัญของเร่ืองท่ีใช้แสดงนาฏศิลป์ แสดงถึงความคิด “ตางจบั ระบําราํ ฟอน อารมณ์ รวมไปถึงเร่ืองราวทีเ่ ป็นประหนึง่ โครงเรอื่ งของละคร ทอดกรกรีดกรายซา ยขวา ๒. บทระบ�า หมายถึง บทประพนั ธ์ท่ีประพนั ธ์ขนึ้ เพอ่ื แสดงระบา� โดยใช้ผแู้ สดงฟอ นรา� รายเรียงเคยี งคมประสมตา ไปตามค�า หรือตามความทปี่ ระพันธ์ไว้ เล้ยี วไลไขวค วาเปน ทาทาง ๓. บทประกอบ หมายถงึ บทประพันธ์ทั้งรอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรอง ท่ีนา� มาใชอ้ า่ น หรอื ใช้ ซอนจังหวะประเทา เคลาคลอ ง ขับร้องเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง โดยที่ผู้แสดงไม่จ�าเป็นต้องออกท่าทางให้สอดคล้องกับบท เลย้ี วลอดสอดคลองไปตามหวา ง ประกอบการแสดง วงเวยี นเหยี นหันกนั้ กาง ๔. บทละคร หมายถึง บทที่ใช้เพ่อื การแสดงละครโดยตรง มีตวั ละครในการด�าเนินเรื่อง เปนคคู อู ยกู ลางอัมพร ฯ” บทละครจะประกอบไปดว้ ยบทเจรจา บทบรรยายฉาก เครอื่ งแตง่ กาย เหตกุ ารณ์ กริ ยิ า และอารมณ์ (แนวตอบ จัดเปนนาฏวรรณกรรมประเภท ของตัวละคร บทละครสามารถแบ่งออกเปน็ ๒ ประเภท ดังนี้ บทระบํา ซึง่ ในทนี่ ี้ คอื การแสดงระบํา ชุดพรหมาสตร เปน ระบาํ ของเหลา เทวดา • บทละครไทย เชน่ บทโขน บทละครรา� บทละครรอ้ ง เปน็ ตน้ ซงึ่ จะประกอบไปดว้ ย นางฟา ใชประกอบการแสดงโขน บทเจรจาและบทบรรยายต่างๆ เรอื่ งรามเกยี รต์ิ ชดุ พรหมาสตร เปน การรา ยราํ ตามรปู แบบของขบวนเกยี รตยิ ศเคร่ืองสูง • บทละครพูด ซึ่งมีก�าเนิดและพัฒนามาจากตะวันตก นิยมแบ่งบทละครเป็นองก์ มกี ารเรียงลาํ ดับเพลง ดนตรี บทรอ ง และ เปน็ ฉาก ซ่งึ จะประกอบไปดว้ ยคา� พดู ของตัวละคร ไมน่ ิยมมบี ทบรรยาย กระบวนทารําเปนข้นั เปน ตอน คือ ขัน้ ที่ 1 ราํ ออกตามทํานองเพลงสรอ ยสน ข้นั ที่ 2 รําตามบทรอ งในเพลงสรอ ยสน ขั้นที่ 3 ราํ ตามทาํ นองเพลงเร็ว - ลา) ขยายความเขา ใจ Expand การแสดงโขน1สว นใหญ บทประพันธจ ะนาํ มาจากวรรณคดีเรือ่ งรามเกียรติ์ 2 ใหน ักเรยี นนาํ ขอมูลเก่ยี วกับความสัมพันธของ นาฏศิลปก บั สาระการเรยี นรอู ืน่ มารวมกนั จดั นทิ รรศการเรื่อง “ความสัมพนั ธข องนาฏศลิ ป กบั สาระการเรียนรูอืน่ ” พรอมจัดหาภาพประกอบ ใหส วยงาม ๑๒๓ แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ นกั เรียนควรรู “นาฏวรรณกรรม” และ “วรรณกรรม” มีความเหมอื น หรือแตกตางกันอยางไร 1 โขน จัดเปนนาฏศิลปช้นั สูงของไทย มมี านานตง้ั แตสมัยอยุธยา แนวตอบ นาฏวรรณกรรม คอื บทประพันธท ่ีสรา งข้ึน เพ่อื ใชในการแสดง ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุของลาลแู บร ที่ไดก ลาวถึงโขนวาเปน การเตน นาฏศิลป ทีส่ ะทอ นใหเหน็ เรอื่ งราว ปรชั ญา ความคิด จินตนาการ ออกทาทางเขา กบั เสียงซอ ผเู ตนสวมหนา กากและถืออาวธุ โขนนําวิธเี ลน มาจาก และตัวละคร ใหผูร วมแสดงไดยึดถอื และปฏิบัตริ วมกนั สวนวรรณกรรม คือ การเลนชักนาคดกึ ดําบรรพ กระบ่ีกระบอง และหนงั ใหญ งานเขียนทีแ่ ตง จากความคิดและจินตนาการ แลวเรียบเรยี งนํามาบอกเลา 2 รามเกียรติ์ วรรณคดที ่มี เี คาโครงมาจากวรรณคดอี นิ เดีย คอื บนั ทกึ ขับรอง หรอื สื่อออกมาดวยกลวธิ ตี างๆ แบง ออกเปน 2 ประเภท เร่อื งรามายณะ ที่ประพนั ธข ้นึ โดยฤๅษวี าลมกิ ิ โดยใชภาษาสนั สกฤต คือ วรรณกรรมลายลกั ษณแ ละวรรณกรรมมุขปาฐะ สาํ หรบั เรอ่ื งรามเกยี รติข์ องไทยนั้นมีมาตัง้ แตส มัยอยุธยา คร้ันพอถึงในสมัย รตั นโกสนิ ทร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา จฬุ าโลกมหาราช (รชั กาลที่ 1) ทรงพระราชนพิ นธเร่ืองรามเกียรต์ใิ หค รบถวน สมบูรณ ต้งั แตต น จนจบ และพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา นภาลยั (รชั กาลที่ 2) ไดนาํ วรรณคดี เร่ืองรามเกียรต์มิ าแตง เปนบทละคร เพ่ือใชใ นการแสดงละครใน คูมอื ครู 123 กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครูพจิ ารณาจากการจดั นิทรรศการเร่ือง กิจกรรม ศลิ ปป์ ฏิบตั ิ ๗.๒ “ความสัมพันธของนาฏศิลปกับสาระการเรียนรูอื่น” ของนกั เรียน โดยพจิ ารณาในดา นความถูกตอง กิจกรรมท ่ี ๑ ใหน้ ักเรยี นสรปุ ความสัมพันธ์ของนาฏศิลป์กับสาระการเรียนรู้อ่นื ๆ มาคนละ ๑ หนา้ ของเนอื้ หา การนาํ เสนอขอ มูล ความสวยงาม กิจกรรมท ่ี ๒ กระดาษรายงาน ส่งครผู สู้ อน และความคิดริเรมิ่ สรา งสรรค ใหน้ ักเรยี นตอบค�าถามตอ่ ไปนี้ ๑. หลกั การสรา้ งสรรคก์ ารแสดงนาฏศลิ ป์มีส�งิ ใดบ้าง อธิบายมาพอสังเขป หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู ๒. เหตใุ ดจึงต้องมีการบูรณาการศิลปะแขนงอื่นๆ เขา้ กับการแสดงนาฏศิลป์ ๓. การวเิ คราะห์ วจิ ารณก์ ารแสดงนาฏศลิ ปม์ คี วามสา� คญั อยา่ งไรตอ่ การแสดงนาฏศลิ ป์ 1. ผลการสรุปสาระสําคัญเกยี่ วกับหลกั การ ๔. นาฏศิลป์มีความเช่ือมโยงกบั สาระการเรียนรอู้ นื่ ๆ อย่างไร และวธิ กี ารสรางสรรคก ารแสดงนาฏศิลป นาฏศลิ ปไ ทย เปน ศาสตรท มี่ รี ะเบยี บแบบแผน มขี น้ั ตอนในการฝก หดั ทตี่ อ งอาศยั 2. ผลการสรปุ ผลการวิเคราะหเกี่ยวกบั ศลิ ปะ แขนงอ่ืนๆ กบั การแสดง ในหัวขอ บทประพนั ธ ความขยนั หมนั่ เพยี รและสมา่ํ เสมอ มรี ะยะเวลาในการฝก ฝนตอ เนอื่ งและยาวนาน เพราะ ดนตรี เครื่องแตง กาย ฉาก แสง สี เสยี ง ในแตละขน้ั ตอนจะมีความละเอียดออ น ประณีต ซับซอ น มีระบบและกฎเกณฑท่ยี ดึ ถอื และอปุ กรณประกอบการแสดง เปน จารตี ซงึ่ ผทู จี่ ะเขา ฝก หดั นาฏศลิ ปต อ งเรยี นรเู กย่ี วกบั หลกั การทวั่ ไปของนาฏศลิ ปไ ทย ไมว า จะเปน หลกั การและวธิ กี ารสรา งสรรคก ารแสดงนาฏศลิ ป องคป ระกอบของนาฏศลิ ป 3. ผลการสรปุ สาระสําคัญเกย่ี วกบั หลักการวจิ ารณ การใชน าฏยศพั ทใ นการวเิ คราะห วจิ ารณน าฏศลิ ปท สี่ าํ คญั กค็ อื ตอ งรจู กั บรู ณาการความรู การแสดงนาฏศิลปไ ทย ศิลปะแขนงอ่ืนๆ ใหเขากบั การแสดงนาฏศิลปไ ด รวมทั้งสามารถจะเชือ่ มโยงการเรียนรู นาฏศิลปและการละครเขากับกลุมสาระการเรียนรูอ่ืน เพ่ือจะทําใหไดรับประโยชนจาก 4. ผลการจดั นิทรรศการเร่อื ง “ความสมั พันธข อง การศกึ ษานาฏศิลปอยางกวา งขวางมากย่ิงขน้ึ นาฏศลิ ปก ับสาระการเรียนรูอ่นื ” ๑๒๔ แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปปฏิบัติ 7.2 กจิ กรรมที่ 2 1. หลักการและวิธกี ารสรางสรรคก ารแสดงนาฏศิลปจะประกอบไปดวย การกําหนดวตั ถุประสงคแ ละการกําหนดรปู แบบ 2. เพราะตองการสรา งบรรยากาศใหสมจรงิ และทําใหผชู มเกดิ อรรถรสและความประทบั ใจเมอื่ ไดชมการแสดง 3. เพราะผูจัดการแสดงและทมี งานทกุ คนจะไดนําคําตชิ มมาใชในการพัฒนาการแสดงนาฏศิลปใ หม ีความสมบรู ณมากยิง่ ขึ้น 4. นาฏศลิ ปส ามารถเชือ่ มโยงกับสาระการเรยี นรอู ื่นๆ ได เชน • สาระการเรียนรภู าษาไทย นํากิจกรรมนาฏศลิ ปม าใชสอดแทรกในการเรียนภาษาไทยได เพราะจะทําใหนักเรยี นมคี วามสนใจบทเรยี นมากขนึ้ • สาระการเรยี นรวู ิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี นําเทคโนโลยมี าใชส รางอารมณแ ละบรรยากาศ เชน ฉาก แสง สี เสียง เปนตน เพ่อื ความสมจรงิ • สาระการเรยี นรสู ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม เขา ใจขอ มลู ทางประวตั ิศาสตรเ กย่ี วกับความเปน มา ความเชื่อ วิถีชีวติ และการแตง กายของคนในอดีต • สาระการเรียนรศู ลิ ปะ เปนสวนหน่งึ ของการสรางบรรยากาศ ทําใหผ ูชมเกดิ ความรูส ึกคลอ ยตามไปกบั การแสดงได เชน ฉาก เคร่อื งแตง กาย การแตงหนา ทรงผม การใชแ สง สี เสียง เปนตน • สาระการเรยี นรสู ุขศกึ ษาและพลศกึ ษา ทาํ ใหมีรา งกายทแ่ี ขง็ แรง สมบรู ณ ผอนคลายความตึงเครียด และทาํ ใหม ีสุขภาพจิตทดี่ ี • สาระการเรยี นรกู ารงานอาชพี และเทคโนโลยี เปนการฝกทกั ษะในการสรา งเครอื่ งแตง กาย ชุดการแสดง เครอื่ งประดบั หัวโขน ศริ าภรณ เปน ตน 124 คมู ือครู กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู 1. สรางสรรคก ารแสดงโดยใชอ งคประกอบ นาฏศิลปแ ละการละคร 2. เสนอขอคดิ เหน็ ในการปรบั ปรุงการแสดง สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค 1. มีวนิ ัย 2. ใฝเรยี นรู 3. มงุ มั่นในการทาํ งาน 4. รักความเปนไทย øหนว่ ยที่ กระตนุ้ ความสนใจ Engage การแสดงนาฏศลิ ป์ไทยมาตรฐาน ครูเปดซีดี หรือดีวดี กี ารแสดงนาฏศลิ ปไ ทย ทงั้ ทีเ่ ปน มาตรฐานและแบบพน้ื เมอื งใหน กั เรียนชม ตวั ชว้ี ดั นาฏศิลปไทยมาตรฐาน เปนการ- จากนนั้ ครูถามนกั เรียนวา ■ สรางสรรคการแสดงโดยใชองคประกอบนาฏศิลปและการละคร • นักเรยี นเคยชมการแสดงนาฏศิลปไทยท้ังที่ (ศ ๓.๑ ม.๒/๒) แสดงนาฏศิลปไทยตามแบบแผนด้ังเดิม เปนมาตรฐานและแบบพื้นเมืองบางหรอื ไม ■ เสนอขอ คิดเห็นในการปรบั ปรงุ การแสดง (ศ ๓.๑ ม.๒/๔) ที่ปรมาจารยทางนาฏศิลปไทยไดกําหนดไว ถาเคย นกั เรยี นเคยชมการแสดงประเภทใด (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ สาระการเรียนรู้แกนกลาง เพอ่ื ใหป ฏบิ ตั สิ บื ทอดตอ กนั มาอยา งเครง ครดั ไดอยางอสิ ระ) ซงึ่ กระบวนทา ราํ ลกั ษณะการแตง กาย รปู แบบ ■ หลักและวิธีการสรางสรรคการแสดงโดยใชองคประกอบ การแสดงจะเปล่ียนแปลงมิได ดังนั้น ผูที่จะ • นกั เรียนทราบหรอื ไมวาการแสดงนาฏศลิ ป นาฏศลิ ปแ ละการละคร ฝกหัดนาฏศิลปทุกคนจึงจําเปนจะตองมีความรู ท่ีไดชมไปน้ัน การแสดงชุดใดเปน แบบ ความเขาใจเก่ียวกับพ้ืนฐานการแสดงและ มาตรฐานและการแสดงชุดใดเปนแบบ ■ วธิ กี ารวิเคราะห วจิ ารณก ารแสดงนาฏศิลปแ ละการละคร พืน้ เมอื ง ■ ราํ วงมาตรฐาน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอิสระ) เอกลักษณของการแสดงในแตละชุด เพ่ือจะได ปฏิบัติไดอยางถูกตอง นอกจากนี้ ผูเรียนควรมี ความรเู กยี่ วกบั หลกั การวเิ คราะห วจิ ารณก ารแสดง นาฏศิลปดวย เพราะหลักการดังกลาวจะชวยสราง ความเขา ใจตรงกันระหวางผูแ สดงและผูช มการแสดง เกร็ดแนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรยี นรูน้ี ครูควรนาํ ภาพการแสดงนาฏศลิ ปไทย มาตรฐานมาใหน ักเรียนดู พรอ มทั้งอธิบายเพมิ่ เตมิ วา นาฏศิลปไทยมลี กั ษณะ ความงามเฉพาะตัวที่แสดงใหเห็นถงึ เอกลักษณของความเปนไทย ถึงแมก ารแสดง บางอยา งจะไดรับอิทธพิ ลมาจากตา งชาติ แตก ็ไดมกี ารนาํ มาดัดแปลงใหเขากบั นาฏศลิ ปไทยไดอยา งกลมกลนื จนกลายเปนลกั ษณะเฉพาะแบบไทย การแสดง นาฏศลิ ปไ ทยมีอยูห ลายประเภท ไดแ ก ระบํา ราํ ฟอน โขน ละคร และการแสดง- พ้นื เมือง ซงึ่ การแสดงแตละประเภทกจ็ ะมีรปู แบบการแสดงท่แี ตกตางกันออกไป โดยอาจใชเร่อื งราวจากวรรณคดี นทิ านพื้นบาน หรือเร่ืองราวในชีวติ ประจําวนั มาประยกุ ตใชในการแสดง การแสดงนาฏศลิ ปไ ทยนับเปนศิลปะการแสดงทีง่ ดงาม ประณตี ซงึ่ เปน เอกลักษณข องความเปน ไทย ดังน้ัน ถาจะชมการแสดงนาฏศิลป ใหไดรบั ท้งั ความรูแ ละความเพลดิ เพลินแลว นกั เรยี นควรมคี วามรพู ้นื ฐานทางดาน นาฏศลิ ปพอสมควร คมู่ ือครู 125 กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงนาฏศลิ ปม าตรฐาน ๑. การแสดงนาฏศลิ ป์ไทยมาตรฐาน ชดุ “ระบาํ กฤดาภนิ หิ าร” ชดุ “ระบํากฤดาภินิหาร” ใหน ักเรียนชม จากนั้น การฝกหัดนาฏศิลป์ไทย ผู้ฝกหัดจะต้องมีความเข้าใจพ้ืนฐานของการร�าและลักษณะของ ครถู ามนกั เรียนวา การแสดงแตล่ ะชดุ เช่น ระบ�ามาตรฐาน จะเน้น ความอ่อนช้อย งดงาม ใช้ภาษานาฏศิลป์ได้ • นักเรยี นคดิ วาการแสดงชุดนมี้ คี วามงดงาม ถูกต้องตามแบบแผน เป็นต้น ซึ่งการฝกหัด อยางไร แนลาะฏรศา� ิลวงปม์ใานตขรั้นฐนาน้ีจเะพฝลกงหคัดืนรเดะบือน�ากหฤงาดยา1ภินิหาร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอิสระ) สา� รวจคน้ หา Explore ระบ�ากฤดาภินิหาร เป็นระบ�ามาตรฐาน ใหน กั เรียนศกึ ษา คน ควา หาความรูเพมิ่ เตมิ ชุดหนึ่งท่ีเป็นการร�าคู่พระ - นาง จะแต่งกาย เกี่ยวกับการแสดงนาฏศิลปไทยมาตรฐาน ชุด ยืนเครื่องพระ - นาง ท่าร�าจะตีบทตามเนื้อร้อง “ระบาํ กฤดาภินิหาร” จากแหลงการเรียนรตู างๆ ดว้ ยทว่ งทลี ลี าทอ่ี อ่ นชอ้ ย งดงาม ความหมายของ เชน หอ งสมุดโรงเรยี น หองสมดุ ชมุ ชน อินเทอรเน็ต บทร้องระบ�ากฤดาภนิ หิ าร คอื การพรรณนาถึง เปนตน ในหวั ขอทค่ี รูกําหนดให ดงั ตอ ไปนี้ เหลา่ เทวดาและนางฟา้ ทม่ี าแซซ่ อ้ งสาธกุ ารดว้ ย ความชนื่ ชมโสมนสั ถงึ กฤดาภนิ หิ ารของชาตไิ ทย 1. ความเปน มาของระบํากฤดาภนิ หิ าร ระบํากฤดาภินิหาร เปนระบํามาตรฐานท่ีเปนการรําคู และรว่ มกนั โปรยดอกไม้ อา� นวยพรให้เกดิ ความ 2. การประยุกตศ ิลปะแขนงอื่นๆ กบั การแสดง พระ - นาง ทาราํ จะตีบทตามเนอ้ื รอ งในเพลงครวญหา เป็นสิรมิ งคลแกผ่ ชู้ ม 3. วธิ ีการฝกหัดทา ราํ ๑.๑ ความเปนมา 4. แนวทางวิเคราะห วิจารณก ารแสดง ระบา� กฤดาภนิ ิหาร เป็นระบ�ามาตรฐานในละครประวตั ิศาสตร์เรื่อง “เกยี รตศิ กั ด์ิไทย2” โดยมี อธบิ ายความรู้ Explain อาจารย์ลมลุ ยมะคุปต ์ ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านการสอนนาฏศิลป์ไทย และหมอ่ มต่วน (ศภุ ลกั ษณ ์ ภัทร- นาวิก) เปน็ ผู้ประดิษฐท์ ่าร�า มอี าจารย์สุดา บษุ ปฤกษ ์ เป็นผู้ประพันธบ์ ทร้อง ใหน กั เรียนรวมกนั อภิปรายเกีย่ วกับการแสดง- นาฏศลิ ปไ ทยมาตรฐาน ชดุ “ระบาํ กฤดาภนิ ิหาร” ๑.2 การประยุกต์ศิลปะแขนงอนื่ ๆ กบั การแสดง ในหัวขอ ความเปน มาของระบํากฤดาภินิหาร ๑) ลกั ษณะวธิ กี ารแสดง ระบา� กฤดาภนิ หิ าร มลี กั ษณะและวธิ กี ารแสดงเปน็ ชดุ ระบา� และการประยุกตศ ลิ ปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง มาตรฐาน มกี ารตบี ทตามเนอื้ รอ้ ง ผแู้ สดงถอื พานทองเปน็ อปุ กรณป์ ระกอบการแสดง มกี ารปรบั เปลยี่ น ตามทีไ่ ดศ ึกษามา จากน้นั ครูถามนักเรียนวา แถวรา� คูพ่ ระ - นาง และร�าเปน็ กลุ่ม ตอนจบผ้แู สดงจะโปรยดอกไม้ในพานเปน็ การอวยพรแก่ผชู้ ม • นกั เรยี นสามารถพบเหน็ การแสดง ๒) เครือ่ งแต่งกาย ผแู้ สดงระบา� กฤดาภินิหารจะแต่งกายยนื เครอื่ งพระ - นาง โดยมี ระบํากฤดาภินหิ ารในกจิ กรรมใดบา ง รายละเอียดของเครื่องแตง่ กายตัวพระและตวั นาง ดังนี้ (แนวตอบ ในงานมงคลตา งๆ หรืองานร่ืนเรงิ การแตง่ กายยนื เครอื่ งพระ จะประกอบไปดว้ ยกา� ไลเทา้ สนบั เพลา ฉลององค ์ พระภษู า ทั่วไป เชน งานวันปใหม งานมงคลสมรส หรือภูษา เข็มขดั หรอื ปัน้ เหนง่ สังวาล กรองคอ ทบั ทรวง อินทรธนู รัดสะเอว ตาบทศิ หอ้ ยหนา้ เปนตน เพือ่ เปน การอวยชัยใหพ ร ห้อยขา้ ง แหวนรอบ ปะวะหล่า� ทองกร ธ�ามรงค ์ ชฎา ดอกไมท้ ดั อุบะ หรอื พวงดอกไม้ แกผูท ่ีมารวมงาน) ๑2๖ นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอใดเปนเอกลักษณใ นการแสดงชุดระบํากฤดาภินหิ ารทีแ่ ตกตาง 1 เพลงคนื เดอื นหงาย จดั เปน การแสดงนาฏศลิ ปท อี่ ยใู นชดุ การแสดงราํ วงมาตรฐาน จากการแสดงชุดอืน่ ๆ ประพันธคํารอ งโดยจม่นื มานติ ยนเรศ (เฉลิม เศวตนนั ทน) ทาํ นองประพันธ 1. การถือเทียน โดยอาจารยม นตรี ตราโมท ซ่งึ เน้ือหาของเพลงจะกลา วถงึ เวลากลางคืน 2. การถือพวงมาลยั เปนคืนเดือนหงาย มีลมพัดมาเยน็ สบายใจ แตกย็ งั ไมส บายใจเทา กับการทีไ่ ด 3. การถอื พดั 2 มือ ผูกมติ รกบั ผูอ นื่ และท่รี ม เย็นไปท่ัวทกุ แหง ย่งิ กวา นา้ํ ฝนทโ่ี ปรยลงมา ก็คอื การที่ 4. การถือพานดอกไม ประเทศไทยเปนประเทศทม่ี ีเอกราช มีธงชาตไิ ทยเปนเอกลักษณ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. เพราะในเนื้อเพลงกลา วถงึ การยอพระเกยี รติ 2 เกยี รตศิ ักด์ไิ ทย เปน บทละครอิงประวัตศิ าสตรท ีถ่ ูกแตง ขน้ึ ในป พ.ศ. 2486 พระมหากษตั ริย ผทู รงพระราชกฤดาภนิ ิหารอนั ย่ิงใหญของไทยทพี่ ระเกยี รติ ประพันธคํารอ งโดยธนิต อยูโพธิ์, มนตรี ตราโมท และสุดา บุษปฤกษ ลอื กระฉอนถึงเทวดาชัน้ ฟา ผแู สดงชาย - หญงิ จะสวมเครอื่ งแตง กายแบบ ดนตรีประกอบโดยพระเจนดุริยางค, มนตรี ตราโมท, โฉลก เนตตะสูต ยืนเครือ่ งพระ - นาง สมมตวิ าเปน เปนเหลา เทวดา นางฟา รายราํ ตามเนื้อรอ ง และวีณพรตั รา หตุ ะโชค เนอ้ื หาของบทละครเรือ่ งน้จี ะเกี่ยวกับปญหาหวั เมือง ในตอนทายจึงถือพานดอกไมออกมาโปรย แสดงถึงการอวยชยั ใหพ ร ทางภาคใต โดยผแู ตง สมมตใิ หเ หตกุ ารณเกิดขนึ้ ในชว งรชั กาลสมเดจ็ พระรามาธิบดี ท่ี 2 ซึ่งอยรู าวป พ.ศ. 2034 - 2072 (ตอจากรชั สมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) 126 คมู่ อื ครู กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ดแห หอรอืกวพนไม รร้ทอะภบัด5ษู ปอกาะุบ าวเระขะ แห็มหตลขรง่ า�่ือัดก พก าหาย�วไรยงลือดืนตปอเะค้ันกขรเไาห่อืมบงน้1 ตก่งัว า� สนไะลาองส ้งิวจ มหะ ปรหรอื ระสอื กรทอ้ออบยงไตกปวัร3ด ธผ้วา�ยา้ มหกรม่�างไนคลา ์เมงท ง้านก วฎุเสม ื้อจนอใานนงน หหา ู งหร ือรผอืก้ากรนอร่งุรง เศหจอยีร ือกจภจนี้ อูษานาง2 4 1. ครูสุมนักเรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ดังตอไปน้ี ๓) อปุ กรณป์ ระกอบการแสดง ฉาก แสง ส ี และเสยี ง ระบา� กฤดาภนิ หิ าร เปน็ การ • คาํ วา “ตวั นาง” หมายถึงสิง่ ใด (แนวตอบ นกั แสดงทีแ่ สดงเปนผหู ญงิ แสดงระบ�า บทจะร้องพรรณนาถึงการชื่นชมโสมนัสต่อกฤดาภินิหารของชาติไทย ซึ่งในตอนจบ ในการแสดงโขน ตวั นางจะแตง กายแบบ ของการแสดง ผูแ้ สดงจะโปรยดอกไม้อ�านวยอวยพร ดังนั้น อปุ กรณ์ที่ใช้ประกอบการแสดงจงึ เปน็ ยืนเคร่ืองนางทั้งหมด จะตา งกนั ตรงที่ พานทองใสด่ อกไมส้ า� หรบั ไวโ้ ปรย ดา้ นฉาก แสง ส ี และเสยี งตอ้ งสอ่ื ใหเ้ หน็ ถงึ ความสวยงามตระการตา เครื่องสวมศรี ษะ คือ พระชนนที ัง้ 3 ของ ของสรวงสวรรค ์ เนื่องจากเปน็ การรา� ของเทวดา นางฟา้ ทา� ให้เกดิ ความประทบั ใจแก่ผู้ชม ส�าหรบั พระราม นางสีดา นางมณโฑ นางเทพอปั สร บทเพลงประกอบการแสดง คอื เพลงครวญหา ซง่ึ มีบทร้อง ดังน้ี นางวานรินทร นางบุษมาลี และนางสพุ รรณ- มัจฉาสวมมงกฎุ กษตั ริย นางสุวรรณกันยมุ า บทรอ้ งเพลงครวญหา นางตรชี ฎาสวมรดั เกลา ยอด นางเบญกาย สวมรัดเกลา เปลว นางกาลอคั คสี วมมงกุฎ ปราโมทย์แสน องคอ์ ัปสรอมรแมนแดนสวรรค์ ยอดนาค และนางกํานลั สวมกระบังหนา) ยนิ กฤดาภนิ หิ ารมหัศจรรย ์ เกยี รติไทยลนั่ ลอื เล่อื งเรืองรูจี • การแสดงระบํากฤดาภนิ หิ ารนยิ มนาํ ตา่ งเต็มตนื้ ชม่ื ชมโสมนัส โอษฐเ์ อ้อื นอรรถอวยพรสุนทรศรี วงดนตรชี นิดใดมาบรรเลง และนิยมบรรเลง แจว้ จ�าเรยี งเสียงเพลงสดุดี ดนตรีรีเร่ือยประโคมประโลมลาน ดว ยเพลงใด แล้วลลี าศเรงิ รา� ระบา� ร่าย กรกรีดกรายโปรยมาลศี รีประสาน (แนวตอบ นยิ มนาํ วงปพ าทยไ มน วมมาบรรเลง พรมน้า� ทพิ ย์ปรุงปนสคุ นธาร จกั รวาลฉา�่ ชื่นรื่นรมย์ครัน ประกอบการแสดง และเพลงทใ่ี ช คือ เพลงรัวดกึ ดําบรรพ เพลงครวญหา ๑.๓ วธิ กี ารฝึกหดั ท่ารำา และเพลงจนี รวั ) ระบา� กฤดาภินิหาร เป็นการรา� คู่พระ - นาง หันหนา้ ตามทิศทงั้ ๔ ทศิ ดังน้ี • ถา นกั เรยี นตอ งการออกแบบฉากประกอบ การแสดงระบาํ กฤดาภินิหาร นักเรยี นจะ ทิศ ๓ ออกแบบเปน รปู ใด เพราะเหตใุ ดจงึ เปน เชน นนั้ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ทิศ ๒ ทศิ ๔ ไดอยา งอสิ ระ) ทศิ ๑ 2. ใหน กั เรียนศกึ ษาเนอ้ื เพลงครวญหา จากในหนังสอื เรียน หนา 127 ๑27 3. ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี เี พลงครวญหาใหน กั เรยี นฟง พรอ มท้งั สาธิตวิธีการขับรอ งเพลงครวญหา ท่ีถกู ตองใหน ักเรียนฟง แลว ใหนักเรียน ฝกปฏบิ ัติตาม จากนั้นครูสุมนักเรียน 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ ีการขบั รองเพลงครวญหา ที่ถูกตองใหเพ่อื นชมหนา ชัน้ เรยี น โดยมคี รเู ปน ผคู อยชี้แนะความถูกตอง กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรียนควรรู ครูสาธติ การขบั รอ งเพลงครวญหาทถี่ กู ตอ งใหน กั เรียนฟง จากนน้ั 1 ยนื เครือ่ ง เคร่ืองแตงกายโขน ละครทีใ่ ชเปน ประจาํ สาํ หรับบอกลักษณะ ใหนักเรียนฝก ปฏบิ ัติตาม โดยมีครูเปนผูคอยชแี้ นะความถกู ตอ ง ตัวละคร แสดงถงึ ยศถาบรรดาศกั ด์ิและตําแหนง โดยเลียนแบบมาจากเคร่อื งทรง ของพระมหากษตั รยิ กจิ กรรมทาทาย 2 จีน้ าง เครอื่ งประดบั อก ทาํ จากโลหะ ประเภทเงนิ ประดบั เพชร มคี วามแตกตา ง กบั ทับทรวงตัวพระ เพราะจ้นี างจะเรยี วแผอ อกดา นขา ง ดานท่มี คี วามยาวเรียวจะอยู ใหนักเรยี นทม่ี ีความสามารถดา นการขบั รอ งเพลงไทย ออกมาสาธติ ดา นลาง การขบั รอ งเพลงครวญหาท่ถี ูกตอ งใหเ พอื่ นฟงหนา ชัน้ เรยี น โดยมคี รู 3 ทองกร กาํ ไลสวมขอ มอื มลี กั ษณะเปน แผงโคง มบี านพบั ตรงกลางทาํ ดว ยโลหะ เปนผคู อยชแี้ นะความถูกตอง ชบุ เงนิ หรอื ทอง ประดบั ดว ยพลอยสขี าว 4 กรรเจียกจอน เคร่อื งประดบั ท่ีตดิ อยูก ับเครื่องสวมศีรษะประเภทชฎา มงกุฎ รดั เกลา กระบงั หนา ปน จุเหรจ็ และศรี ษะโขน นิยมทําจากโลหะประเภทเงนิ 5 ดอกไมท ัด เครอ่ื งประดับทต่ี ิดกบั ชฎาและมงกฎุ เปน ดอกไมสีแดง ตวั พระ ทดั ทางดานขวา ตวั นางทัดทางดา นซา ย คูม่ อื ครู 127 กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ๑2๘ 1. ใหนักเรียนรว มกนั อภิปรายเกี่ยวกับการแสดง ๑ ทาออก นาฏศลิ ปไ ทยมาตรฐาน ชดุ “ระบาํ กฤดาภนิ หิ าร” เทา : กา วหนา เทา ซา ย เปดสน เทาขวา ในหวั ขอวิธีการฝก หัดทา ราํ ตามทไ่ี ดศึกษามา มือ : มือขวาถือพานระดับคิว้ ยน่ื แขนออกไปทางดานขา งของ ลําตัว งอศอกเล็กนอย มือซายจบี หงายระดบั ชายพก 2. ใหนักเรียนศึกษาทารําเพลงระบํากฤดาภินิหาร ศีรษะ : เอยี งศรี ษะซาย จากหนงั สอื เรยี น หนา 128 ในทา ออก ทา ปอ งหนา ในทอ นเพลง “ปราโมทยแ สน องคอ ปั สรอมรแมน ๒ ทา ปอ งหนา แดนสวรรค” เทา : กาวขางเทาขวา กระดกหลงั เทาซาย มือ : มอื ขวาถือพานระดับไหล ย่ืนแขนออกไปทางดานขา ง 3. ใหนกั เรียนแบง กลุม กลมุ ละ 8 คน แลว จบั คู ของลําตัว งอศอกเลก็ นอ ย มอื ซา ยปอ งหนา ยื่นแขนออกไป พระ - นาง ครสู าธติ การรายรําเพลงระบาํ ทางดานหนา ของลาํ ตวั หกั ขอมอื ลง กฤดาภนิ หิ ารในทา ออก ทา ปอ งหนา และในทอ น ศีรษะ : เอยี งศีรษะขวา เพลง “ปราโมทยแสนองคอัปสรอมรแมนแดน สวรรค” ทถี่ กู ตอ งใหน กั เรยี นดู จากนนั้ ใหน กั เรยี น ๓ “ปราโมทยแสน” ฝก ปฏบิ ตั ติ าม แลว ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ผลดั กนั เทา : กา วหนา เทา ซาย เปด สน เทา ขวา (นาง) ออกมาสาธติ การรายรําเพลงระบํากฤดาภินิหาร กาวหนาเทาซาย เทา ขวาวางหลงั (พระ) ในทาออก ทาปองหนา และในทอนเพลง มือ : มอื ขวาถือพานระดบั ชายพก มือซายจบี ระดับปาก “ปราโมทยแ สน องคอ ปั สรอมรแมนแดนสวรรค” ศรี ษะ : เอยี งศรี ษะซาย ทถ่ี ูกตอ งใหเพือ่ นชมหนา ชั้นเรียน โดยมีครูเปน ผู คอยชแี้ นะความถกู ตอ ง จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา ๔ “องคอ ัปสรอมรแมน” • จากบทรอ งทีว่ า “องคอ ปั สรอมรแมน เทา : จรดเทา ขวา เทา ซายวางหลงั แดนสวรรค” คาํ วา “อปั สร” มคี วามหมาย มือ : มือขวาถอื พานระดบั ไหล ย่นื แขนออกไปทางดานขางของ วา อยา งไร ลาํ ตัวแขนตึง มอื ซายตั้งวงบัวบานระดบั แงศีรษะ (แนวตอบ อัปสร หรือนางอปั สร จัดเปน ศีรษะ : เอียงศีรษะซาย ชาวสวรรคจ าํ พวกหนงึ่ เปน เพศหญงิ สามารถ เรยี กไดอ กี อยา งหนง่ึ วา “นางฟา ” เปน อมนษุ ย ๕ “แดนสวรรค” เกิดข้ึนเม่ือคร้ังกวนเกษยี รสมุทร เพือ่ นํา เทา : กา วหนาเทาขวา กระดกหลังเทา ซาย น้ําอมฤตขึน้ มา ซ่ึงปรากฏอยใู นมหากาพย มือ : มอื ขวาถือพานระดบั ไหล ยื่นแขนออกไปทางดา นขา งของ มหาภารตะของอนิ เดยี นอกจากนี้ ยงั มตี าํ นาน ลาํ ตวั แขนตงึ มอื ซายตงั้ วงบวั บานระดบั แงศีรษะ กลา ววา นางอปั สรเปนชายาของคนธรรพ ศีรษะ : เอยี งศรี ษะขวา ซง่ึ เปน นกั ดนตรใี นสวรรค นางอปั สรจะเตน ราํ ทํานองเพลง เน้ือรอง ตามเสียงเพลงทีส่ ามีบรรเลง โดยท่ัวไป มีความเช่ือวานางอัปสรเปน เครอ่ื งหมาย แหงความเจรญิ งอกงาม) เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอ ใดกลา วถูกตองเก่ียวกบั ทารํา “สอดสรอ ยมาลา” ครคู วรอธบิ ายความรเู พม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั เพลงครวญหาใหน กั เรยี นฟง วา เปน เพลงทม่ี ี 1. เปน ทา รําทีป่ ระกอบไปดว ยการตั้งวงหนา และจบี สงหลัง อัตราจงั หวะ 2 ชั้น ทาํ นองเกา สมัยอยธุ ยา มี 3 ทอน เปน เพลงประเภทหนา ทับสองไม 2. เปน ทารําทีป่ ระกอบไปดวยการตง้ั วงบวั บานและจบี สง หลัง ประจําเพลงเรื่องเขมรใหญและบรรเลงรวมอยูในเร่ืองบัวลอย จัดเปนเพลงพวกเดียว 3. เปนทารําที่ประกอบไปดว ยการตง้ั วงบนและจบี หงายชายพก กับเพลงนางโหย นางไห และนางหนาย นอกจากนี้ ยงั มีนกั ดนตรีนําเพลงครวญหา 4. เปนทาราํ ที่ประกอบไปดว ยการตง้ั วงลา งและจีบหงายชายพก 2 ชั้นมาแตงเปนเพลงเถาหลายทางดวยกนั ซง่ึ ทางทนี่ ิยมนาํ มาบรรเลง คือ ทางของ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะทา สอดสรอ ยมาลา คือ ทาราํ หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) โดยแตง ไวเ ปนเพลงเถาเม่อื ป พ.ศ. 2480 ทีป่ ระกอบไปดวยการตั้งวงบน คอื การวางแขนไวท างดานขางของลําตัว นิ้วทงั้ 4 วางเรยี งชิดติดกนั นวิ้ หวั แมมอื งอเขาหักเขาหาฝามอื ความสูง มมุ IT ระดับหางควิ้ หักขอศอกเขาหาลําตัวเลก็ นอ ย และจบี หงายชายพก คอื การหงายฝามอื ขน้ึ นาํ นิ้วหัวแมม อื มาจรดขอ ที่ 2 ของน้ิวชี้ น้วิ ทเี่ หลอื นกั เรยี นสามารถฟง การบรรเลงดนตรไี ทยในเพลงครวญหา ไดจ าก กรีดออกตึง แลววางมอื ที่ระดับชายพก (สะดือ หรอื ใตเ ข็มขดั ) http://www.youtube.com โดยคน หาจากคาํ วา เพลงครวญหา 128 คมู่ อื ครู กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๖ “ยินกฤดาภนิ หิ าร” 1. ใหนกั เรียนศึกษาทารําเพลงระบาํ กฤดาภินิหาร เทา : กา วหนาเทาซา ย เปด สนเทา ขวา (นาง) ในหนังสือเรยี น หนา 129 ในทอ นเพลง หันหลงั กา วหนา เทาซา ย เทาขวาวางหลัง (พระ) “ยนิ กฤดาภนิ ิหารมหศั จรรย เกยี รตไิ ทยลนั่ ลอื เล่อื งเรืองรจู ี ตางเต็มตืน้ ชืน่ ชมโสมนสั ” มือ : ลมาํือตขัววแาขถนอื ตพงึานมรอื ะซดาับยไตห้งั ลวง1ยบ่ืนวั แบขานนอรอะกดไับปแทงาศ งรี ดษา ะนขางของ 2. ครูสาธติ การรา ยราํ เพลงระบาํ กฤดาภินิหาร ศีรษะ : เอียงศีรษะซา ย ในทอนเพลง “ยนิ กฤดาภนิ ิหารมหัศจรรย เกยี รติไทยลนั่ ลอื เลือ่ งเรอื งรูจี ตา งเตม็ ต้ืน ๗ “มหศั จรรย” ชืน่ ชมโสมนัส” ทีถ่ กู ตอ งใหนกั เรียนดู เทา : กาวขา งเทาขวา กระดกหลงั เทา ซาย (นาง) จากนนั้ ใหน กั เรียนฝกปฏบิ ัติตาม แลว ให กาวขา งเทาซาย กระดกหลังเทาขวา (พระ) นกั เรยี นแตล ะกลุม ผลัดกันออกมาสาธิต มือ : มอื ขวาถอื พานระดบั แงศ ีรษะ ย่ืนแขนออกไปทางดานขา ง การรา ยราํ เพลงระบาํ กฤดาภนิ หิ าร ในทอ นเพลง ของลาํ ตัว งอศอกเลก็ นอ ย มอื ซายตั้งวงกลางหงายลาํ แขน “ยินกฤดาภินหิ ารมหัศจรรย เกียรตไิ ทยล่นั ลือ ระดับเอว ย่นื แขนออกไปทางดา นขางของลําตวั งอศอก เลอื่ งเรืองรูจี ตางเต็มตื้นชน่ื ชมโสมนสั ” เล็กนอย (นาง) มือขวาถือพานระดบั เอว ย่ืนแขนออกไป ท่ีถูกตองใหเ พ่ือนชมหนาชน้ั เรียน โดยมคี รู ทางดานขางของลําตวั งอศอกเล็กนอย มือซา ยต้งั วงบน เปน ผคู อยชแี้ นะความถกู ตอง จากนัน้ ครูถาม ระดับแงศรี ษะ (พระ) นักเรยี นวา ศีรษะ : เอยี งศีรษะซาย (นาง) เอียงศีรษะขวา (พระ) • ในการแสดงรําวงมาตรฐาน 10 เพลง ของไทยน้ัน นกั เรียนคดิ วา มีทาราํ ใดบา ง ๘ “เกียรตไิ ทยลั่นลอื เลื่อง” ท่มี คี วามคลา ยคลึงกนั กบั ทา ราํ ในระบํา เทา : หันหนา เขา หากัน จรดเทา ซา ย เทาขวาวางขาง กฤดาภินหิ าร มอื : มือขวาถอื พานระดบั ไหล ยน่ื แขนออกไปทางดา นขา งของ (แนวตอบ ทาสอดสรอยมาลา ในเพลงงาม- ลําตัว งอศอกเล็กนอ ย มือซายจีบระดบั ปาก ยื่นลาํ แขน แสงเดือน ทาสอดสรอยมาลาแปลง ออกมาทางดา นหนาของลําตวั หักขอ มอื ในเพลงคนื เดือนหงาย และทาผาลา- ศีรษะ : เอียงศรี ษะขวา เพียงไหล ในเพลงดวงจันทรว นั เพญ็ ) ๙ “เรอื งรจู ี ตา งเตม็ ตนื้ ชน่ื ชม” เทา : หนั หลงั กา วหนา เทา ขวา เปดสน เทา ซา ย (นาง) หันหนา กาวหนา เทาขวา เปดสน เทาซาย (พระ) มอื : มอื ขวาถือพานระดบั แงศรี ษะ ยน่ื แขนออกไปทางดา นขาง ของลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอ ย ประสานมอื กนั ระหวา งพระ - นาง มอื ซายจีบสงหลงั ศีรษะ : เอยี งศีรษะขวา ๑๐ “โสมนัส” เทา : กาวหนา เทาซาย เปดสนเทา ขวา (นาง) กา วขา งเทา ขวา เทา ซา ยวางขา ง (พระ) มอื : มอื ขวาถอื พานระดบั ชายพก มอื ซา ยจบี ระดบั ปาก ศรี ษะ : เอยี งศีรษะซาย ๑29 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรียนควรรู ใหน ักเรียนทบทวนทา รํา ในทอ นเพลง “ปราโมทยแ สน องคอัปสรอมร 1 ตง้ั วง เปนนาฏยศพั ทท ีม่ คี วามสําคัญอยา งยง่ิ เนอ่ื งจากนาฏศิลปไทยมีทาราํ แมนแดนสวรรค ยินกฤดาภนิ ิหารมหศั จรรย เกียรตไิ ทยล่นั ลือเล่อื งเรอื งรจู ี ทเ่ี ปนหลัก ไดแ ก การตงั้ วง และการจบี ซง่ึ จะนํามาใชใ นการรา ยราํ ทาตางๆ ดงั นนั้ ตางเตม็ ตนื้ ช่ืนชมโสมนัส” โดยมคี รเู ปน ผูคอยชี้แนะความถูกตอ ง การตั้งวงจงึ มีความสําคัญ หากต้ังวงสวยก็จะทําใหทารําตา งๆ มีความสวยงาม การตั้งวง แบงออกไดเปน 3 ระดบั ดงั ตอไปนี้ กจิ กรรมทา ทาย 1. ระดับวงบน ปฏิบัติไดโ ดยน้ิวทงั้ 4 เรยี งชิดตดิ กนั สวนนวิ้ หัวแมม ือหกั ใหน ักเรียนเขยี นชอ่ื ทาราํ ทีพ่ บในทอนเพลง “ปราโมทยแ สน องคอปั สร เขาหาฝา มอื ยกลําแขนขนึ้ ใหเปนวงโคง ยกแขนใดแขนหนึง่ ขน้ึ แลว งอแขนใหไ ด อมรแมนแดนสวรรค ยินกฤดาภินหิ ารมหศั จรรย เกยี รติไทยลั่นลือเล่อื ง สว นโคง สง ลาํ แขนออกไปขา งลําตวั วงบนของพระจะอยูระดับแงศ ีรษะ สวนวงบน เรอื งรูจี ตางเตม็ ต้นื ช่ืนชมโสมนสั ” วามีทาราํ ใดบา งท่นี าํ มาจาก ของนางจะอยูระดบั หางคิว้ วงพระจะกนั วงกวา งกวา วงนางเลก็ นอย การรําแมบ ทเล็ก หรอื การรําแมบทใหญ และทารํานั้นมีลกั ษณะอยา งไร ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผสู อน 2. ระดับวงกลาง ปฏิบัติไดโ ดยใหน ้วิ ท้งั 4 เรียงชิดตดิ กัน สว นน้ิวหัวแมมอื หกั เขา หาฝา มอื ยกลาํ แขนขน้ึ ใหเปน วงโคง ปลายนิว้ อยูร ะดับไหล 3. ระดบั วงลา ง ปฏบิ ตั ไิ ดโ ดยใหน ว้ิ ทงั้ 4 เรยี งชดิ ตดิ กนั สว นนวิ้ หวั แมม อื หกั เขา หา ฝา มอื ใหปลายนว้ิ อยูระดบั เอว หรือชายพก แตว งลา งของพระตอ งกันขอศอกออก ไปดา นขา งสะเอว สว นวงลา งของนางใหห นบี ขอ ศอกเขา หาลาํ ตวั ปลายนว้ิ จะอยรู ะดบั เอว คมู่ อื ครู 129 กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหนกั เรยี นศึกษาทา รําเพลงระบาํ กฤดาภนิ หิ าร ๑๑ “โอษฐเอ้ือนอรรถ” จากในหนังสอื เรียน หนา 130 ในทอนเพลง เทา : กา วหนาเทา ซา ย เปด สน เทาขวา (นาง) “โอษฐเอื้อนอรรถอวยพรสุนทรศรี แจว จําเรยี ง กาวหนา เทา ขวา เทาซายวางหลัง (พระ) เสยี งเพลงสดุดี ดนตรีรีเ่ รอ่ื ยประโคม” มอื : มือขวาถอื พานระดับชายพก ยน่ื แขนออกไปทางดา นหนา ของลาํ ตวั แขนตงึ มอื ซายจีบระดบั ชายพก (นาง) มอื ซา ย 2. ครสู าธิตการรายรําเพลงระบํากฤดาภินหิ าร แตะบริเวณหนา ขาของเทา ทก่ี า วอยูด านหลังแขนตึง (พระ) ในทอ นเพลง “โอษฐเ อื้อนอรรถอวยพรสนุ ทร ศรี ษะ : เอียงศีรษะซาย ศรี แจวจําเรียงเสยี งเพลงสดุดี ดนตรรี ี่เร่ือย ประโคม” ทีถ่ กู ตองใหน กั เรยี นดู จากนั้น ๑๒ “อวยพร” ใหน ักเรยี นฝกปฏบิ ตั ิตาม แลว ใหน ักเรยี น เทา : กา วหนา เทาขวา เปดสน เทา ซา ย (นาง) แตละกลมุ ผลัดกันออกมาสาธติ การรายราํ กาวหนาเทาซาย เทาขวาวางหลงั (พระ) เพลงระบาํ กฤดาภินิหารในทอ นเพลง “โอษฐ มือ : มือขวาถอื พานระดับเอว ยน่ื แขนออกไปทางดานขา ง เอือ้ นอรรถอวยพรสนุ ทรศรี แจวจําเรียงเสยี ง ของลําตัว งอศอกเล็กนอย มือซายตั้งวงบัวบาน เพลงสดดุ ี ดนตรรี ่เี รอื่ ยประโคม” ท่ถี กู ตอง ระดบั เอว ชอนมือทั้ง ๒ ขาง ยกข้ึนพรอ มกัน ใหเ พอ่ื นชมหนา ช้นั เรยี น โดยมีครู เปนผคู อย ศีรษะ : เอียงศรี ษะขวา ชแ้ี นะความถูกตอง จากนนั้ ครถู ามนักเรยี นวา • คําวา “ประโคม” ในทางดนตรีคือสงิ่ ใด ๑๓ “สุนทรศรี” (แนวตอบ ในทางดนตรี หมายถงึ เทา : กา วหนาเทาขวา กระดกหลงั เทาซาย การบรรเลงดนตรดี ว ยวงประโคม ซง่ึ เปน วงดนตรี มือ : มอื ขวาถอื พานระดบั ไหล ยื่นแขนออกไปทางดานขา งของ ท่ใี ชประกอบในงานพระราชพิธแี ละแสดงถงึ ลาํ ตัวแขนตงึ มอื ซายต้ังวงบน พระราชอสิ ริยยศของพระมหากษัตริย ศรี ษะ : เอยี งศีรษะขวา และพระบรมวงศานวุ งศ มอี ยูดวยกนั 3 วง คือ วงสงั ขแตร วงปไ ฉนกลองชนะ และวงกลองสี่ปห น่ึง) ๑๔ “แจว จาํ เรยี งเสยี งเพลงสดดุ ี ดนตรรี เี่ รอื่ ย ประโคม” เทา : รวมเทา มือ : มือขวาถอื พานระดับไหล ยน่ื แขนออกไปทางดา นขางของ ลาํ ตวั งอศอกเล็กนอย มือซา ยจบี ระดบั แงศีรษะ ศีรษะ : เอยี งศีรษะขวา ๑๓0 ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET “มอื ซา ยตัง้ วงบน มือขวาตง้ั วงกลางเหยยี ดแขนตงึ ” เปนการปฏบิ ัติทา รํา เกร็ดแนะครู ท่มี ชี ่ือเรยี กวา อยา งไร 1. ทา พรหมสี่หนา ครคู วรอธบิ ายความรูเพ่มิ เตมิ เกย่ี วกับการจดั แถวในการแสดงระบําวา 2. ทา ชางประสานงา การเคลื่อนตวั แปรแถวระบาํ จะตองยึดหลกั ดังตอไปน้ี 3. ทาจันทรทรงกลด 4. ทาพสิ มัยเรียงหมอน 1. เคล่ือนท่เี พอ่ื ไมใ หปก หลกั อยกู บั ที่นานจนเกินไป วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะเปน การปฏิบัติทาราํ ในทาพสิ มัย 2. กระทาํ แตพอควร ไมวง่ิ วน หรือวิ่งบอยๆ จนดูขวกั ไขว เรยี งหมอน คอื มอื ซา ยตงั้ วงบน ความสงู ระดบั หางควิ้ และมอื ขวาตง้ั วงกลาง 3. คาํ นงึ ถงึ ระยะใกล - ไกล ใหพ อดกี บั คํารอ งและทํานองเพลงในวรรค ความสูงระดับไหล เหยียดแขนออกไปทางดานขา งลําตวั แขนตึง เพอื่ ไมใ หล ุกลน 4. คํานึงถงึ ความสงู - ตํา่ นักแสดง 5. คาํ นงึ ถงึ สขี องเครอื่ งแตง กายทต่ี อ งสลบั สกี นั หรอื ตอ งการรวมกลมุ สเี ดยี วกนั 6. การแปรแถว รูปแถวไมค วรซํา้ รูปเดียวกนั ถงึ 3 ครงั้ ถา ไมซ า้ํ ไดย ิ่งดี 7. การแปรแถวตองแปรใหมีความกลมกลนื ยง่ิ ผชู มไมท ันสงั เกตไดย ่งิ ดี 8. ดกู ารกาวเทาใหเ ปน เทาเดียวกัน คอื เทาซา ย - เทา ขวา 9. ระยะชอ งไฟจากคนหน่งึ ถงึ อกี คนหนงึ่ ตองเทากัน 130 คูม่ ือครู กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๑๕ “ประโลมลาน แลว ลีลาศ เริงรํา” 1. ใหนักเรยี นศกึ ษาทา ราํ เพลงระบาํ กฤดาภินหิ าร เทา : พระซอ นหลังนาง กาวหนาเทาซาย เปด สน เทา ขวา จากในหนงั สือเรยี น หนา 131 ในทอนเพลง มือ : มอื ขวาถอื พานระดบั แงศ รี ษะ ยืน่ แขนออกไปทางดา นขาง “ประโลมลาน แลวลลี าศเรงิ รําระบาํ ราย ของลําตวั งอศอกเลก็ นอ ย มือซา ยต้ังวงกลาง ยื่นแขน กรกรดี กราย โปรยมาลีศรีประสาน” ออกไปทางดา นขางของลาํ ตัวแขนตึง มือของพระจับมือ ของนาง 2. ครสู าธิตการรา ยราํ เพลงระบํากฤดาภนิ หิ าร ศีรษะ : เอยี งศรี ษะซาย ในทอนเพลง “ประโลมลาน แลวลีลาศเริงรํา ระบาํ รา ยกรกรดี กราย โปรยมาลีศรีประสาน” ๑๖ “ระบํารา ย” ท่ถี กู ตอ งใหน กั เรยี นดู จากน้นั ใหน ักเรียน เทา : จรดเทา ขวา เทาซายวางหลงั (นาง) ฝก ปฏบิ ัตติ าม แลวใหน ักเรยี นแตล ะกลุม จรดเทา ซา ย เทา ขวาวางหลงั (พระ) ออกมาสาธติ การรา ยราํ เพลงระบาํ กฤดาภนิ หิ าร มอื : มือขวาถือพานระดับไหล ยนื่ แขนออกไปทางดา นขา งของ ในทอนเพลง “ประโลมลาน แลวลีลาศเริงรํา ลําตวั แขนตึง มอื ซายตง้ั วงบวั บานระดับไหล (นาง) ระบาํ รา ยกรกรดี กราย โปรยมาลีศรีประสาน” มือซายตง้ั วงกลางแขนตงึ ยื่นแขนออกไปทางดานซา ยของ ทถี่ กู ตอ งใหเ พอื่ นชมหนา ชน้ั เรยี น โดยมคี รเู ปน ผู ลาํ ตัว (พระ) คอยชแี้ นะความถกู ตอ งจากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา ศีรษะ : เอียงศีรษะซาย (นาง) เอียงศีรษะขวา (พระ) • ถานักเรยี นตองการปฏบิ ัติทา ประเทา ท่ถี กู ตอ ง นักเรียนควรปฏิบัตอิ ยา งไร ๑๗ “กรกรีดกราย” (แนวตอบ การประเทาจะประเทาใดกอ นกไ็ ด เชน สมมตวิ า จะประเทา ซา ย กอ นอนื่ ใหย อ ตวั เทา : กมาือวขหวนาถาอืเทพาาซนารยะเดปับดแสงนศ เีรทษา ะขวยาืน่ แขน1ออกไปทางดา นขาง ลงเล็กนอย นาํ้ หนักตวั ลงทขี่ าขวา ลงนาํ้ มือ : ของลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอย มอื ซายจีบสงหลัง หนักเทาซายนอยท่ีสุด เมอ่ื จะเริม่ ประเทาให ยืดข้ึน เทา ซา ยเตรยี มประใหปลายนิ้วตงึ ศรี ษะ : เอียงศีรษะขวา และงอนขึน้ ท้ัง 5 นว้ิ สว นของเทา ซาย ทีว่ างบนพนื้ อยขู ณะนี้ คอื สน เทา ๑๘ “โปรยมาลี ศรปี ระสาน” และจมกู เทา เม่อื ยบุ ตวั พรอ มกันนน้ั เทา : กา วหนาเทา ซา ย กระดกหลังเทาขวา ใหใชจ มกู เทา แตะพ้ืนเบาๆ แลว ยกเทา ขนึ้ มอื : มอื ซา ยถอื พานระดบั หนาอก ย่นื แขนออกไปทางดานหนา กิริยาของการใชจ มกู เทา แตะพนื้ น้ี ของลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอ ย มอื ขวากาํ มือ (โปรยดอกไม) เรยี กวา “ประ”) ศรี ษะ : เอียงศีรษะขวา ๑๓๑ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด นักเรียนควรรู การต้งั วงของตัวพระและตวั นางมีความแตกตา งกนั อยางไร 1 จบี เปนการใชน ้ิวหวั แมมอื กับนว้ิ ช้จี รดเขา หากัน ดว ยการใชปลายนิ้วหัวแม 1. การงอขอ ศอก มือจรดกบั ขอแรกของน้วิ ชี้ โดยนบั จากปลายนว้ิ ลงมา สวนน้วิ กลาง นิว้ นาง นิว้ กอย 2. การทอดลาํ แขน กรดี ตงึ ออกไปคลา ยใบพดั นว้ิ หวั แมม อื งอเพยี งเล็กนอย การจบี จะตอ งหักขอ มือ 3. ตําแหนง ของฝามือ เขา หาลาํ แขนเสมอ โดยหกั เขา ดา นฝา มอื การจบี แบง ออกเปน 2 ลกั ษณะ ดงั ตอ ไปนี้ 4. ตาํ แหนงของปลายนวิ้ 1. จบี หงาย ปฏิบตั ิไดโ ดยใหน ว้ิ หวั แมมือหักเขา จรดขอแรกของน้วิ ชี้ จากน้ัน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะในการตง้ั วงของตวั พระและตวั นาง กรดี ทง้ั นว้ิ 3 ใหตงึ ออกเปน รปู พดั หงายขอ มอื ขึ้นแลวหักขอมือเขาหาลําแขนให ปลายจบี ชี้ข้นึ ขา งบน จะมีความแตกตางกนั ในการวางตําแหนง ของปลายน้วิ เชน ในทาตั้งวงบน ตวั พระปลายนว้ิ มอื จะอยรู ะหวา งแงศ รี ษะ สว นตวั นางจะอยตู รงหางคว้ิ เปน ตน 2. จบี ควาํ่ ลกั ษณะการจบี จะปฏบิ ัติคลายกับจีบหงาย เพยี งแตจบี ควาํ่ ใหควา่ํ ตวั จบี ลง ลาํ แขนจะงอ หรอื ตงึ ขึน้ อยูกบั ทา ราํ หักขอมือเขาหาลําแขน คู่มอื ครู 131 กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหนักเรียนศึกษาทา รําเพลงระบาํ กฤดาภนิ ิหาร ๑๙ “พรมนา้ํ ทพิ ยป รงุ ปน สคุ นธาร จกั รวาลฉา่ํ ชน่ื ” จากในหนังสือเรียน หนา 132 ในทอ นเพลง เทา : รวมเทา “พรมนา้ํ ทิพยป รุงปน สุคนธาร จักรวาลฉํ่าชน่ื มือ : มอื ขวาถือพานระดับไหล ย่นื แขนออกไปทางดานขางของ รื่นรมยค รัน” และทา จบ ลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอ ย มือซายจบี ควา่ํ ระดบั แงศ รี ษะ (นาง) มอื ขวาถือพานระดับแงศ ีรษะ ย่ืนแขนออกไปทางดา นขา ง 2. ครสู าธติ การรา ยรําเพลงระบํากฤดาภินิหาร ของลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอ ย มอื ซา ยตงั้ วงกลาง แขนตงึ (พระ) ในทอนเพลง “พรมนา้ํ ทพิ ย ปรงุ ปนสคุ นธาร ศีรษะ : เอยี งศรี ษะขวา (นาง) เอียงศีรษะซาย (พระ) จกั รวาลฉาํ่ ชนื่ รนื่ รมยค รนั ” และทา จบทถี่ กู ตอ งให นกั เรยี นดู ๒๐ “รน่ื รมยค รนั ” จากนน้ั ใหนกั เรยี นฝกปฏิบตั ติ าม แลว ให นกั เรยี นแตละกลุมผลดั กันออกมาสาธติ เทา : กาวหนา เทาซา ย เปดสน เทาขวา (นาง) การรายราํ เพลงระบาํ กฤดาภนิ หิ ารในทอ นเพลง กา วขา งเทา ขวา เทา ซา ยวางขา ง (พระ) “พรมน้ําทพิ ย ปรงุ ปนสุคนธาร จักรวาลฉ่าํ ชื่น ร่นื รมยค รัน” และทา จบ ท่ถี กู ตอ งใหเพ่ือนชม มอื : มือขวาถือพานระดับชายพก มือซายต้งั วงลาง ยน่ื แขนออก หนาชนั้ เรยี น โดยมีครูเปนผูคอยช้ีแนะ ไปทางดานขา งของลําตวั แขนตึง (นาง) มือซา ยตั้งวงลาง ความถูกตอ ง ย่ืนแขนออกไปทางดา นหนาของลาํ ตัว แขนตงึ (พระ) มือของพระจับมือของนาง ศีรษะ : เอียงศีรษะซา ย ทาจบ ๑ทาที่ ทาภมรเคลา เทา : กา วหนา เทาซา ย เปด สนเทาขวา มอื : มอื ขวาถอื พานระดับอก ยน่ื แขนออกไปทางดา นหนา ของ ลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอ ย มอื ซา ยตงั้ วงกลาง ยน่ื แขนออกไป ทางดา นหนา ของลําตัว งอศอกเลก็ นอ ย ศีรษะ : เอียงศรี ษะซาย ๑๓2 ทาที่ ๒ ทามวนจบี สลบั กนั ระดบั วงกลาง เกรด็ แนะครู เทา : กาวหนา เทา ขวา เปดสนเทา ซาย (นาง) กาวหนา เทาขวา เทาซายวางหลงั (พระ) ครคู วรนาํ ภาพรูปแบบการแปรแถวในลักษณะตา งๆ มาใหนกั เรยี นดู เพื่อใหน กั เรียนมีความรู ความเขาใจในรปู แบบการแปรแถวมากย่ิงขึ้น เชน มือ : มือขวาถือพานระดับไหล ยนื่ แขนออกไปทางดานหนาของ ลาํ ตัว งอศอกเล็กนอ ย มือซา ยต้ังวงหนา ยนื่ แขนออกไป ตงั้ 4 แถว แถวหนากระดาน (คูสับหวา ง) ทางดา นขางของลําตวั งอศอกเล็กนอ ย ครึง่ วงกลม ทแยงมุม ศรี ษะ : เอียงศรี ษะซา ย คูม่ อื ครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ใหน กั เรียนทบทวนทารําในทอนเพลง “โอษฐเอ้ือนอรรถอวยพรสนุ ทรศรี แจวจําเรยี งเสียงเพลงสดุดี ดนตรีร่เี ร่อื ยประโคมประโลมลาน แลวลีลาศ เรงิ ราํ ระบาํ รา ย กรกรดี กรายโปรยมาลีสีประสาน พรมนํ้าทิพย ปรุงปนสคุ นธาร จกั รวาลฉ่าํ ชน่ื รนื่ รมยค รัน” โดยมีครูเปนผูค อยช้แี นะ ความถูกตอ ง กิจกรรมทาทาย ใหน ักเรียนท่ีมคี วามสามารถในการแสดงนาฏศิลปไทย ฝกการแสดง ระบําตามความสนใจของตนเอง 1 ชุด จากนั้นออกมานาํ เสนอผลงาน ใหเพ่อื นชมหนาชั้นเรยี น โดยมคี รเู ปน ผูค อยชแ้ี นะความถกู ตอง 132 กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๓ทาที่ ทา สอดสร1อยมาลาแปลง 1. ใหนักเรียนศึกษาทารําเพลงระบํากฤดาภินิหาร จากในหนังสอื เรียน หนา 133 - 134 เทา : กาวหนาเทา ซา ย เปด สน เทา ขวา (นาง) เปลี่ยนทา รําทํานองเพลงจนี รัว หนั หลงั กาวหนา เทา ซาย เปด สนเทา ขวา (พระ) 2. ครูสาธติ การรา ยรําเพลงระบาํ กฤดาภนิ หิ าร มือ : มือขวาถอื พานระดับชายพก มือซายตง้ั วงบน ประสาน ในทา ราํ ทาํ นองเพลงจนี รวั ทถี่ กู ตอ งใหน กั เรยี นดู มอื กนั ระหวา งพระ - นาง จากนน้ั ใหน ักเรียนฝกปฏบิ ัตติ าม แลวให นกั เรยี นแตล ะกลมุ ผลัดกันออกมาสาธติ ศีรษะ : เอยี งศรี ษะซาย การรา ยรําเพลงระบํากฤดาภนิ ิหารในทา รํา ทํานองเพลงจนี รัวที่ถกู ตอ งใหเ พ่ือนชม เทา : กาวหนา เทา ซา ย เปดสนเทา ขวา (นาง) หนา ชนั้ เรียน โดยมคี รเู ปนผูค อยชแ้ี นะ หันหลัง กา วหนา เทาซาย เปดสนเทา ขวา (พระ) ความถูกตอ ง จากนัน้ ครูถามนกั เรียนวา • นกั เรยี นรูสกึ อยา งไรเมื่อไดป ฏิบตั ทิ า รํา มอื : มอื ขวาถอื พานระดบั ไหล ย่นื แขนออกไปทางดานขางของ เพลงระบํากฤดาภนิ ิหาร ลําตัวแขนตึง มือซา ยตงั้ วงบน ประสานมือกันระหวาง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ พระ - นาง ไดอยา งอสิ ระ) • นักเรยี นสามารถนําทา รําในเพลงระบาํ ศีรษะ : เอยี งศีรษะซาย กฤดาภนิ หิ ารไปใชร าํ ในเพลงอนื่ ๆ ไดห รอื ไม อยางไร ๔ทา ที่ ทาพิสมยั เรียงหมอน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอิสระ) เทา : รวมเทา มือ : มอื ขวาถอื พานระดับไหล ยื่นแขนออกไปทางดา นขา งของ ลําตัวแขนตึง มือซา ยต้งั วงบน ศีรษะ : เอียงศีรษะขวา เทา : หนั หนาเขาหากนั รวมเทา มอื : มอื ขวาถือพานระดับชายพก มอื ซา ยตัง้ วงบน ศรี ษะ : เอียงศีรษะขวา ๑๓๓ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรยี นควรรู วิธีฝกปฏิบัติทักษะเบ้ืองตนในการแสดงนาฏศิลปไทยน้ันมีข้ันตอนใน 1 กา ว ในทน่ี คี้ อื การกา วเทา เปน กริ ยิ าของเทา ทตี่ อ จากการยกเทา การกา วเทา จะ การฝกปฏิบัติอยา งไร แบง ออกเปน 2 ลกั ษณะ คอื กา วหนา กบั กา วขา ง ซง่ึ ทง้ั ตวั พระและตวั นางจะมลี กั ษณะ แนวตอบ วธิ ีฝก ปฏิบัตทิ กั ษะเบือ้ งตนในการแสดงนาฏศิลปไทยน้นั การกา วเทา ทแ่ี ตกตา งกนั จะตอ งเร่มิ ตน จากการฝก หัดดดั มอื ดดั แขน การตงั้ วง การจีบ การน่งั การยนื การประเทา การยกเทา ฯลฯ เพราะเปน การฝก ใหร จู กั การเคลอื่ นไหว การกา วเทา แบง ออกไดเ ปน 4 ลกั ษณะ ดงั ตอ ไปนี้ ทกุ สว นของรางกายอยางมแี บบแผนกอ นการปฏบิ ตั ทิ ารํา 1. การกา วเทา แบบพระ ปฏบิ ตั ไิ ดโ ดยวางสน เทา ทก่ี า วใหต รงกบั ปลายเทา หลงั ที่ วางอยใู นลกั ษณะเปด สน เทา แบะเขา ออก ยอ เขา ลง 2. การกา วเทา แบบนาง ปฏบิ ตั ไิ ดโ ดยวางสน เทา ทกี่ า วใหต รงกบั ปลายเทา หลงั ท่ี วางอยใู นลกั ษณะเปด สน เทา แตใ หห นบี เขา เขา หากนั 3. การกา วขา งแบบพระ ปฏบิ ตั ไิ ดโ ดยวางสน เทา ทก่ี า วใหต รงกบั ปลายเทา ทย่ี นื เตม็ เทา ในลกั ษณะเปน เสน ตรงดา นขา ง แลว ยอ เขา ทง้ั 2 ลง ใหน า้ํ หนกั อยกู บั ขาทก่ี า ว 4. การกา วขา งแบบนาง ปฏบิ ตั ไิ ดโ ดยวางสน เทา ทก่ี า วใหต รงกบั ปลายเทา ทยี่ นื อยู แลว พลกิ ขอ เทา หกั ลาํ เขา เขา หานอ งของขาทกี่ า วขา ง ยอ เขา ทง้ั 2 ลง คมู่ ือครู 133 กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นรวมกันอภปิ รายเกีย่ วกับการแสดง- ๕ทาท่ี ทา ไหว ๔ ทศิ นาฏศลิ ปไ ทยมาตรฐาน ชดุ “ระบํากฤดาภินหิ าร” ในหวั ขอ แนวทางวเิ คราะห วจิ ารณก ารแสดง เทา : รวมเทา ตามท่ีไดศึกษามา จากนั้นครถู ามนักเรยี นวา มอื : มอื ขวาถอื พานระดับแงศ รี ษะ ยน่ื แขนออกไปทางดานหนา • ถา นกั เรยี นตอ งการวเิ คราะหอ งคป ระกอบตา งๆ ของลําตัว งอศอกเลก็ นอย มอื ซา ยแตะทพี่ าน (ทาไหว) ในผลงานการแสดงนาฏศลิ ปไ ทย ศีรษะ : ศรี ษะตั้งตรง นกั เรยี นจะตอ งยึดหลักการในขอใด (แนวตอบ การวิเคราะหอ งคป ระกอบตา งๆ ๖ทาท่ี ทากรายมอื ในผลงานการแสดงนาฏศิลปไทย จะตอ งยึดหลกั การ ดังตอ ไปนี้ เทา : กา วหนาเทาซา ย กระดกหลังเทาขวา 1. รปู แบบของนาฏศลิ ปไ ทย เชน ระบํา มือ : มือขวาถอื พานระดบั แงศีรษะ ยนื่ แขนออกไปทางดา นขา ง ราํ ฟอน โขน เปน ตน 2. ความเปนเอกภาพของนาฏศลิ ปไ ทย โดย ของลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอ ย มือซา ยจบี สงหลัง ผแู สดงตองมคี วามเปนอันหนึง่ อนั เดียวกนั ศีรษะ : เอียงศรี ษะขวา 3. ความงดงามของการรา ยราํ และองคป ระกอบ อนื่ ๆ ไดแ ก ความถกู ตอ งตามแบบแผน ๗ทา ท่ี ทาภมรเคลา ความงดงามของลลี าทา รํา ความงดงาม ดา นวรรณกรรม ความงามของตวั ละคร เทา : กา วหนาเทาซา ย เปด สนเทาขวา ลกั ษณะพเิ ศษในทว งทาลีลา เทคนิค มอื : มือขวาถือพานระดับไหล ยืน่ แขนออกไปทางดานขางของ เฉพาะตวั ผแู สดง บทรอ ง และทาํ นองเพลง) ลาํ ตวั งอศอกเล็กนอ ย มือซายจบี ยน่ื แขนออกไปทางดาน • ผูวิจารณก ารแสดงนาฏศิลปทีด่ ี หนาของลําตวั งอศอกเล็กนอ ย หักขอ มือ ควรมคี ุณสมบตั อิ ยางไร ศีรษะ : เอยี งศรี ษะขวา (แนวตอบ 1. ควรมคี วามรเู กยี่ วกบั การแสดงนาฏศลิ ปไ ทย ๑.๔ แนวทางวเิ คราะห์ วจิ ารณ์การแสดง ที่เปนศิลปะประจําชาติ ระบา� กฤดาภินหิ าร ถอื เป็นชดุ นาฏยประดษิ ฐท์ ปี่ รมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทยได้สร้างสรรค์ข้ึน 2. ควรมีความรเู ก่ียวกับประวัติความเปนมา เฉพาะกิจ โดยใช้กระบวนท่าร�าตีบทตามบทร้องที่อาจารย์สุดา บุษปฤกษ์ ได้ประพันธ์เนื้อร้องไว้ ของการแสดงนาฏศิลปไทย ลักษณะกระบวนท่าร�าใช้ภาษานาฏศลิ ป ์ หรอื นาฏยภาษาตบี ทตามบทร้องในบางชว่ ง และบางช่วง 3. ควรมคี วามรูเก่ยี วกับสนุ ทรยี ศาสตร ก็ใช้กระบวนท่าร�าเป็นท่าเชื่อม ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่ได้มีการตีบทท้ังหมด ดังน้ัน หากจะวิเคราะห์ ชวยใหร ูแงมุมของความงาม ระบา� กฤดาภนิ ิหาร จงึ ต้องใชแ้ นวทางในการวเิ คราะห ์ ดงั นี้ 4. ตองมีวิสัยทัศนกวางไกลและไมคลอยตาม คนอนื่ ๑) วิเคราะห์ประเภทของการแสดง ระบา� กฤดาภินิหาร เป็นระบ�ามาตรฐานทเี่ ป็น 5. กลา ท่ีจะแสดงออกทงั้ ทีเ่ ปน ไปตาม หลกั วชิ าการ ตามความรูสึก นาฏกรรมหลวง ดังน้ัน กระบวนท่าร�าจะน�ามาจากเพลงแม่บทใหญ่ ซึ่งเป็นท่าแม่บทพื้นฐาน และประสบการณ) ดังนัน้ ลลี าท่ารา� จะออ่ นชอ้ ย งดงาม มกี ระบวนทา่ ร�าทว่ี จิ ิตรสวยงาม การวเิ คราะห์กระบวนทา่ รา� ๑๓๔ เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การแสดงนาฏศิลปไทยประเภทระบาํ ชุดใดท่ี ไม จัดเปนการแสดงแบบ ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารราํ แมบ ทใหญใ หน กั เรยี นชม พรอ มกบั อธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา ระบาํ แบบมาตรฐาน แมบ ทใหญ คอื เพลงที่มกี ระบวนทา ราํ ท่ีเปนแบบแผน เนอ่ื งจากปรมาจารยดาน 1. ระบําสีบ่ ท นาฏศลิ ปไดกาํ หนดกระบวนทารําและระบุช่อื ทา รําไวเปนทา รําแมบ ททมี่ คี วามหมาย 2. ระบําดาวดงึ ส ของแตละทา ไว เพอ่ื เปนพน้ื ฐานใหเยาวชนไดใชในการฝก หดั ใหถูกตองตรงตาม 3. ระบําพรหมาสตร แบบแผน ทา รําสว นใหญจะเลยี นแบบทา ธรรมชาตขิ องมนษุ ย แตนาํ มาปรบั ปรุง 4. ระบาํ อวยพรออ นหวาน ใหสวยงาม ออ นชอ ย สว นบทขับรอ งน้ันมีท้ังอยางเตม็ และอยางยอ เรียกกนั วา วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะราํ อวยพรออ นหวาน จดั เปน การแสดง “แมบทใหญ” และ “แมบ ทเล็ก” ประเภทระบาํ เบด็ เตลด็ ที่ใชในโอกาสทเ่ี ปนมงคลทวั่ ไป โดยใชท ํานองเพลง สรอ ยสนตัดประกอบบทรองเพลงอวยพรออ นหวาน ซงึ่ เปน การอวยชัยใหพ ร มุม IT ใหมีความสุข ความเจริญกา วหนา นกั เรียนสามารถชมการแสดงนาฏศิลปไ ทยการรําแมบทใหญ ไดจาก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคําวา ราํ แมบทใหญ 134 ค่มู ือครู กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ตอ้ งวเิ คราะหก์ ารตบี ทเปรยี บเทยี บความสอดคลอ้ งกบั ความหมายของทา่ รา� แมบ่ ทเปน็ หลกั ซง่ึ ทา่ รา� ครูสมุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม แมบ่ ทไดก้ า� หนดความหมายของทา่ แตล่ ะท่า และไดก้ �าหนดชอื่ เรยี ก ตลอดจนการน�ามาใชไ้ วเ้ ป็น ดังตอไปน้ี มาตรฐาน ดังน้ัน ผู้ชมการแสดงจะต้องมีความรู้ในเพลงแมบ่ ทดว้ ย จึงจะสามารถแปลความหมาย ของการตีบทไดถ้ กู ตอ้ ง และสามารถวเิ คราะห ์ วจิ ารณก์ ารแสดงน้ีได้ • เพราะเหตใุ ดในการชมการแสดงนาฏศิลป แตล ะชดุ ผชู มจงึ ควรมพี น้ื ฐานและความเขา ใจ ๒) วเิ คราะหร์ ปู แบบการแสดง เนอื่ งจากระบา� กฤดาภนิ หิ ารเปน็ การแสดงชดุ อวยพร ลกั ษณะเฉพาะของการแสดงชดุ นน้ั ๆ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ กระบวนท่าร�าจะว่าด้วยการอ�านวยอวยพร อีกท้ังผู้แสดงจะต้องมีการโปรยดอกไม้อวยพรให้แก่ ไดอ ยา งอสิ ระ) ผู้ชมในตอนท้าย ผู้แสดงจึงร�าได้เพียงมือเดียว ส่วนอีกมือหนึ่งจะต้องถือพานดอกไม้ ดังน้ัน ผแู้ สดงจะต้องมีทักษะและศิลปะในการถอื พาน เนือ่ งจากการถือพานจะต้องไมท่ �าให้กระบวนท่ารา� • เพราะเหตใุ ดการวิจารณแ สดงนาฏศลิ ป และความหมายของท่าเสียไป เช่น หากถือพานมือขวา จีบหงายระดับอก มือซ้ายปล่อยออก จงึ ตองมกี ารตีความและการประเมนิ ผล ไปตั้งวงบน มือขวาถือพานแขนตึง คือ ท่าพิสมัยเรียงหมอน ที่มีความหมายว่าสุขสวัสด ์ิ เขามาเก่ยี วของ ในคา� รอ้ งทวี่ ่า “สนุ ทรศร”ี มือที่ถือพานเปรยี บเสมือนการต้งั ขอ้ มือ เปน็ ตน้ (แนวตอบ เพราะตอ งการใหผจู ดั การแสดง- นอกจากน ี้ ผแู้ สดงยงั ตอ้ งมที กั ษะการบงั คบั ขอ้ มอื ในการถอื พาน โดยตอ้ งตงั้ พานอยู่ใน นาฏศลิ ปน าํ คาํ ตชิ มทไ่ี ดร ับจากผวู ิจารณ แนวต้ัง อย่าใหพ้ านลม้ หรือตะแคง มิฉะนั้นจะท�าใหก้ ลีบดอกไมใ้ นพานหกและไม่สอดคล้องตาม ไปปรับปรงุ แกไขผลงานใหมคี วามสมบรู ณ ความหมายของการรา� ทม่ี งุ่ ใหจ้ บลงในทา่ ทผี่ แู้ สดงทา� ทา่ ภมรเคลา้ และหยบิ กลบี ดอกไมโ้ ปรยอวยพร มากยง่ิ ขน้ึ ) ผชู้ มในทา่ เขา้ ซง่ึ ผชู้ มการแสดงตอ้ งเขา้ ใจลกั ษณะเฉพาะดงั กลา่ วของการแสดงระบา� กฤดาภนิ หิ าร ดว้ ย • การวเิ คราะห วิจารณก ารแสดงนาฏศลิ ป ใหประโยชนอ ยางไร ๓) วเิ คราะหเ์ ครอ่ื งแตง่ กาย ผชู้ มจา� เปน็ ตอ้ งศกึ ษาประเภทของการแสดง เนอ่ื งจาก (แนวตอบ 1. ฝกใหผ ูท ีส่ รา งสรรคผลงานนาฏศลิ ป ระบ�ากฤดาภินหิ ารเป็นระบ�ามาตรฐาน ดงั นน้ั ผแู้ สดงจะแต่งกายยนื เคร่อื งพระ - นางเทา่ นัน้ จึงจะ ยอมรบั คําติชม วพิ ากษ วิจารณ ถือว่าถกู ตอ้ ง 2. เปน การเสนอแนะแนวทางการแกไข ปรับปรุงพัฒนางานนาฏศิลปใหมีคณุ คา ๔) วเิ คราะหล์ ลี าทา่ รา� ดงั ท่ีไดก้ ลา่ วมาแลว้ วา่ ระบา� กฤดาภนิ หิ ารเปน็ นาฏกรรมหลวง สอดคลอ งกับเปาหมาย 3. สงเสรมิ ใหผทู ส่ี รา งสรรคผ ลงาน ท่ีปรมาจารย์ทางด้านนาฏศิลป์ไทยได้สร้างสรรค์เป็นชุดเฉพาะกิจท่ีใช้ภาษานาฏศิลป์ หรือ นาํ ความรทู ไี่ ดม าพฒั นาผลงานใหม ี นระาบฏ�ายกภฤาดษาาภ ินเหิปา็นรกจรงึ ะมบลี วักนษทณ่าะรเ�าปตน็ ีบกทาตราตมีบบท1ทสอ่ืร้อคงวแามลหะบมาางยชต่วางมจบะทใชร้ทอ้ ง่า เแชล่ือะมก าลรักตษบี ณทเะปขน็ อทง่ากเาชรือ่ รม�า ความแปลกใหมแ ละทนั สมัยมากยิ่งข้นึ ) แต่ไม่สื่อความหมายซ่ึงจะเป็นเช่นน้ีไปตลอดท้ังเพลง จบลงด้วยการร�าเพลงจีนรัวไหว้ ๔ ทิศ แลว้ โปรยดอกไม้อวยพรแกผ่ ้ชู ม จะเห็นได้ว่า แนวคิดในการประดิษฐ์ท่าร�าของปรมาจารย์เป็นความวิจิตรงดงาม ยในังกเปรน็ะบกวานรเทนา่ ้นแกลาะรกเาลรน่ ตเบีทท้า สแอื่ ตคะวเาทมา้ ห ขมยาั่นยเดทว้ ้าย2 ภกาาษรเาคนลาื่อฏนศทลิ ่ี ปก ์าหรรเอืขน้าพาฏรยะ ภ- าเขษ้าานเปาน็ง3 หคลวกัาม นสอมั กพจนัากธนค์ ีู้่ พระ - นาง ทา� ให้มีลีลางดงามดจุ ดงั มเี ทวดาและนางฟา้ มารา่ ยรา� อวยพรให้ ๑๓5 ขอ สอบ O-NET นักเรียนควรรู ขอสอบป ’50 ออกเกย่ี วกบั การวิจารณผ ลงานนาฏศลิ ปไ ทย 1 การตีบท หรอื การรําทําบท การราํ ตามบทรอ ง บทพากย และบทเจรจา ในการวิจารณผ ลงานนาฏศลิ ป ไม ควรพดู ถึงเรอ่ื งใด โดยใชภาษาทา ภาษานาฏศลิ ป และภาษาโขน เพอื่ ส่อื ความหมายใหผ ชู มเขา ใจ 1. บทและดนตรปี ระกอบการแสดง การตบี ทนัน้ จะมีความสัมพนั ธส อดคลอ งกับเน้ือรอง จังหวะ และทํานองเพลง 2. ทา ทางการแสดงและการแตงกาย 2 ขย่นั เทา เปนกิริยาของการใชเทาคลา ยกบั การซอยเทา จะตา งกันท่ีการขยัน่ 3. หนา ตาและนิสยั ของผูแสดง ตองไขวเ ทากัน น้าํ หนกั ตัวจะอยทู ่เี ทาท่ีไขวอยูข า งหนา แลวทาํ กริ ยิ าเหมอื นการ 4. ไมม ขี อใดถูก ซอยเทา ถา ขยั่นเคล่อื นที่ไปทางขวา เทาซายจะอยูหนา ถา ขยนั่ เคลื่อนที่ไปทางซา ย เทา ขวาจะอยูหนา วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะหนาตาและนิสัยของผูแสดงจัดเปน 3 การเขา พระ - เขานาง การแสดงบทเกยี้ วพาราสี เลาโลมดวยความรัก ความเสนหาของตัวละครทเ่ี ปน ตัวพระและตัวนาง นิยมใชเ พลงโลมคูกบั เพลง- บุคลิกและลักษณะเฉพาะบุคคล ซ่ึงไมมีความเก่ียวของในการวิจารณผลงาน ตระนอน เชน การแสดงละครในเรือ่ งอิเหนา ตอนอเิ หนาลกั พาตวั นางบษุ บาไปไว นาฏศิลป ในถาํ้ เปนตน คู่มือครู 135 กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขข้าา้ใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ ใหน ักเรียนศึกษาเรอ่ื งระบํา จากในหนงั สือเรียน เสริมสาระ หนา 136 จากน้ันครถู ามนกั เรียนวา ระบาํ • เพราะเหตใุ ดระบาํ มาตรฐานจึงไมสามารถ ระบ�า เป็นชุดการแสดงทป่ี ระดิษฐ์ขนึ้ เพ่ือประกอบการแสดงละคร หรือเพอื่ แสดงในโอกาส เปล่ยี นแปลงทาราํ ได ตา่ งๆ ระบา� แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท คอื ระบา� มาตรฐานและระบา� เบด็ เตลด็ ซงึ่ ระบา� ทงั้ ๒ ประเภท (แนวตอบ เพราะเปน ระบําทป่ี รมาจารยท าง นี้จะมรี ปู แบบและลักษณะตา่ งกนั ดังนี้ นาฏศิลปไดคดิ ประดษิ ฐทารําขึ้นไว ๑) ระบา� มาตรฐาน เปน็ การแสดงประเภทระบา� ท่ี อยางสวยงาม สอดคลอ งกับบทรอ ง มลี กั ษณะเฉพาะ กลา่ วคอื มกี ารแตง่ กายยนื เครอื่ งพระ- และการบรรเลงเหมาะสมเปน แบบฉบบั ) นางเช่นเดียวกับการแต่งกายของละครหลวง และเป็น ชุดระบ�าท่ีปรมาจารย์ทางด้านนาฏศิลป์ไทยได้ประดิษฐ์ ขยายความเขา้ ใจ E×pand ขน้ึ เปน็ แบบแผน มกี ารถา่ ยทอดและสบื สานเปน็ รปู แบบ มาจนถงึ ปจั จบุ นั กลา่ วคอื มกี ารอนรุ กั ษท์ า่ รา� สบื ทอดมา 1. ใหนักเรยี นสรปุ สาระสาํ คัญเก่ียวกับการแสดง จนถงึ กรมมหรสพ และมกี ารจดั หลกั สตู รการเรยี นการสอนในวทิ ยาลยั นาฏศลิ ปในปจั จบุ นั ตวั อยา่ ง นาฏศลิ ปไ ทยมาตรฐานชดุ “ระบาํ กฤดาภนิ หิ าร” ระบ�ามาตรฐาน เชน่ ระบ�าเทพบนั เทงิ ระบ�ากฤดาภินหิ าร ระบ�าพรหมาสตร์ เป็นตน้ ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผสู อน ๒) ระบา� เบด็ เตลด็ เปน็ ระบา� ทป่ี รมาจารยท์ างดา้ น 2. ใหน ักเรียนแตล ะกลมุ ผลดั เปล่ยี นกันออกมา นาฏศิลป์ไทยได้ประดิษฐ์ท่าร�าขึ้นเป็นแบบแผน โดย ปฏบิ ตั ทิ า ราํ เพลงระบาํ กฤดาภนิ หิ าร ใหเ พอื่ นชม ประดิษฐ์ท่าร�าจากภาพจ�าหลัก หรือภาพประติมากรรม หนาช้ันเรียน โดยมคี รูเปนผูคอยชี้แนะ ขโบอรงานณาคงอดัปตี สา่ งรๆ หไดรแ้ือกพ ่รระะพบุทา� ทธวราูปรปวาดง ี ตระ่าบงา�ๆศ รเวีชชิ่นยั 1 รระะบบา��า ความถกู ตอง ลพบรุ ี ระบา� สโุ ขทยั และระบา� เชยี งแสน นอกจากน ี้ ยงั มี ระบ�าไก ่ ระบา� เงอื ก ระบา� มฤคระเริง (ระบ�ากวาง) ระบ�า ตรวจสอบผล Evaluate ดอกบวั เป็นตน้ ชุดการแสดงบางชดุ มีรูปแบบและวิธีการแสดงแบบระบา� แตจ่ ะเรยี กวา่ “ฟอน” เช่น ฟ้อนภูไท 1. ครพู ิจารณาจากการสรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกับ ฟ้อนแคน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฟ้อนเทียน การแสดงนาฏศิลปไ ทยมาตรฐาน ฟอ้ นเลบ็ ในภาคเหนอื เปน็ ตน้ รปู แบบลกั ษณะวธิ กี ารแบบ ชดุ “ระบาํ กฤดาภนิ ิหาร” ของนักเรียน ระบา� จะใชผ้ แู้ สดงมากกวา่ ๒ คน ขนึ้ ไป ผแู้ สดงมรี ปู รา่ ง ใกลเ้ คยี งกนั มีการแตง่ กายแบบเดียวกนั และเนน้ ความ 2. ครพู ิจารณาจากการปฏบิ ัติทา รํา สวยงามจากทว่ งทลี ลี าและการแปรแถว สว่ นฟอ้ นจะเปน็ เพลงระบํากฤดาภินหิ ารของนกั เรียน ชดุ การแสดงทีม่ ีความเชอ่ื งช้า เน้นลลี าออ่ นชอ้ ยงดงาม และเป็นการเรียกเฉพาะการแสดงของภาคตะวันออก- ๑๓๖ เฉียงเหนือและภาคเหนือเท่านน้ั นักเรยี นควรรู บรู ณาการเช่อื มสาระ จากการศกึ ษาเกีย่ วกบั ระบาํ โบราณคดี สามารถเชื่อมโยงกบั การเรียน 1 ระบําศรวี ชิ ัย เปน การรําหมปู ระกอบดวยผแู สดง 6 คน ทา ราํ ประดษิ ฐข ึน้ โดย การสอนในกลมุ สาระการเรียนรสู ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม เลียนแบบจากภาพจาํ หลกั ผสมกบั ทา ราํ ของนาฏศิลปชวา ทําใหเ กดิ ความสวยงาม วิชาประวตั ศิ าสตร ในเรอ่ื งอาณาจกั รโบราณในดนิ แดนของไทย ของทาราํ ท่ีมคี วามผสมกลมกลืนและมลี ักษณะเฉพาะของการใชมือ เทา และศีรษะ ซงึ่ มวี ฒั นธรรมความเปน อยทู แี่ ตกตา งกนั และเมอื่ มกี ารคดิ คน การแสดงระบาํ โบราณคดขี ึน้ มา ก็เปนการสะทอ นใหเ หน็ ถึงอารยธรรมตา งๆ ในอดตี การรําแบง เปน ขัน้ ตอนตางๆ ไดดังตอ ไปนี้ ผา นลลี าการรา ยรํา การแตงกายทเ่ี ปน ของยคุ สมยั นน้ั เชน ระบาํ ทวารวดี ข้ันตอนที่ 1 ราํ ออกมาตามทํานองเพลง มีทารํา ซ่ึงดัดแปลงมาจากหลกั ฐานทางโบราณวตั ถุ ภาพจิตรกรรม ข้ันตอนที่ 2 ทาํ ทา รําตามกระบวนเพลงชาและเพลงเร็ว จนจบกระบวนทา และประตมิ ากรรม ตามหลักฐานทางประวัติศาสตรพบวา ชาวทวารวดี ขั้นตอนที่ 3 ทําทา จบดวยการไหวใ นชว งทายของเพลง แลวรําเขาเวที เปนมอญ หรอื เผา ชนทีพ่ ูดภาษามอญ ดังนัน้ ทา รําและดนตรี ตลอดจน เครื่องแตงกายของระบาํ ศรีวิชัย จะประกอบไปดวยเสอื้ รัดอกสีเนอื้ นุงโสรงปาเตะ เครอื่ งแตงกายในระบาํ ชดุ นี้ จึงมลี ลี า สําเนียง และแบบอยา งท่เี ปน มอญ จบี หนา นาง แถวหนงึ่ สเี ขยี ว อกี แถวหนงึ่ สแี ดง มผี า คาดรอบสะโพก นงุ ผา สแี ดงจะ ระบาํ ลพบรุ ี ไดเ ลยี นแบบลลี าทาราํ มาจากประติมากรรมและภาพสลกั คาดสเี ขยี ว และนงุ ผา สีเขียวจะคาดสีแดง ทปี่ รากฏบนทพั หลงั และหนาบนั ของปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรงุ อันเปนศิลปะแบบขอม ดงั น้ัน ทาราํ และดนตรี ตลอดจนเครอ่ื งแตงกาย 136 คมู่ อื ครู ในระบําชดุ นี้ จึงมลี ลี า สําเนยี ง และแบบอยา งทีเ่ ปน เขมร เปน ตน กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๒. การแสดงราํ วงมาตรฐาน เพลง “คนื เดอื นหงาย” ครเู ปดซดี ี หรือดวี ดี กี ารแสดงรําวงมาตรฐาน 2ร�า.ว๑ง มปาตรระฐวานตั 1 ิคมวีวาิวมัฒเนปานกามรมา าจากการ “เพลงคืนเดือนหงาย” ใหน ักเรยี นชม จากนน้ั รา� โทน ซงึ่ เป็นการละเลน่ พ้นื บา้ นของภาคกลาง ครูถามนักเรยี นวา • เพลงคืนเดอื นหงายใชท า รําใด (แนวตอบ ทา สอดสรอยมาลาแปลง) ทนี่ ยิ มเลน่ ในฤดกู าลตา่ งๆ เนอ่ื งจากการฟอ้ นรา� สา� รวจคน้ หา Explore ชนิดน้ีจะใช้โทนตีประกอบจังหวะเป็นหลัก จงึ เรยี กวา่ “ราํ โทน” เพลงร�าโทนเพลงแรก คอื ใหน กั เรียนศึกษา คนควา หาความรู “เพลงใกลเ ขา มาอกี นดิ ” ตอ่ มาไดม้ กี ารประพนั ธ์ เพิ่มเติมเกี่ยวกับการแสดงราํ วงมาตรฐาน เพลงขึ้นใหม่อีก ๔ เพลง ในสมัยจอมพล “เพลงคืนเดอื นหงาย” จากแหลง การเรียนรูตางๆ ป. พบิ ลู สงคราม เปน็ นายกรฐั มนตร ี หนงึ่ ในนน้ั คอื เชน หอ งสมดุ โรงเรยี น หอ งสมดุ ชมุ ชน อนิ เทอรเ นต็ เพลง “คืนเดอื นหงาย” พร้อมท้งั มีการปรบั ปรุง เปน ตน ในหัวขอ ท่ีครกู าํ หนดให ดังตอไปนี้ ดนตรีเป็นวงปีพาทย์และวงดนตรีสากลบรรเลง ประกอบ สว่ นทา่ รา� ไดก้ า� หนดทา่ รา� แบบมาตรฐาน 1. ความเปนมาของรําวงมาตรฐาน : มที า่ รา� เฉพาะเพลงแตล่ ะเพลง เชน่ เพลงชาวไทย เพลงคืนเดอื นหงาย ใชท้ า่ รา� ชกั แปง้ ผดั หนา้ เพลงดอกไมข้ องชาติใช้ ตัวอยางการแตงกายประกอบการแสดงรําวงมาตรฐาน ทา่ ร�าย่วั เปน็ ตน้ เพลงคืนเดอื นหงาย 2. การประยกุ ตศ ลิ ปะแขนงอน่ื ๆ กบั การแสดง 3. วธิ ีการฝก หัดทา รํา 4. แนวทางวเิ คราะห วิจารณก ารแสดง ตอ่ มาทา่ นผหู้ ญงิ ละเอยี ด พบิ ลู สงคราม ไดป้ ระพนั ธเ์ พลงเพม่ิ ขนึ้ อกี ๖ เพลง ปรบั ปรงุ ทา� นอง อธบิ ายความรู้ Explain เพลงและใช้เคร่ืองดนตรีเข้ามาบรรเลงประกอบการขับร้อง จัดท่าร�าวงให้งดงามถูกต้องตามแบบ นาฏศลิ ป์ไทย ใช้ทา่ ร�าแมบ่ ทมากา� หนดไวเ้ ป็นแบบฉบบั ท่าร�ามาตรฐาน และเปลยี่ นชอื่ รา� โทนมา เป็นรา� วง ตอ่ มากรมศิลปากรได้เรยี กการร�าวงทมี่ ีแบบแผนเดยี วกนั นี้วา่ “ราํ วงมาตรฐาน” ใหน กั เรยี นรวมกันอภปิ รายเกยี่ วกบั การแสดง รําวงมาตรฐาน “เพลงคืนเดือนหงาย” ในหวั ขอ 2.2 การประยกุ ต์ศิลปะแขนงอน่ื ๆ กับการแสดง ความเปน มาของราํ วงมาตรฐาน : เพลงคนื เดอื นหงาย ๑) ลกั ษณะและวธิ กี ารแสดง จากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ วา่ เพลงท่ีใชใ้ นการรา� วงมาตรฐาน และการประยกุ ตศลิ ปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง ตามทไี่ ดศ กึ ษามา จากน้นั ครถู ามนกั เรยี นวา มีทัง้ หมด ๑๐ เพลง และมที า่ รา� ท่ีเป็นมาตรฐานเฉพาะในแต่ละเพลง แตล่ กั ษณะและวิธกี ารแสดง จะเหมอื นกัน คือ เป็นการร�าคู่และเดินย�่าเท้าเป็นวงกลมทวนเข็มนาฬกิ าตลอดท้ังเพลง • การแสดงราํ วงมาตรฐานท่ถี กู ตอ ง ควรปฏิบัตอิ ยางไร ๒) เครื่องแต่งกาย ผู้แสดงร�าวงมาตรฐานสามารถแต่งกายได้หลายแบบ เช่น (แนวตอบ จับคูชาย - หญิง กอ นเร่ิมรํา ชาย - หญงิ ทาํ ความเคารพกันดวยการไหว แบบพ้ืนบ้าน ผู้ชายจะนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลมลายดอก หรือเสื้อผ้าแพร มีผ้าคาดเอว ดนตรจี ะนาํ 1 วรรค เพอื่ ใหก ารเดนิ เทา ใน ส่วนผู้หญิงจะนุ่งโจงกระเบน ห่มสไบ ทัดดอกไม้ หากเป็นแบบไทยพระราชนิยม ผู้ชายจะนุ่ง จงั หวะแรกพรอ มเพรียงกนั ระยะคูไ มห า ง โจงกระเบน สวมเสอ้ื ราชปะแตน สวมถงุ เทา้ รองเทา้ สว่ นผหู้ ญงิ จะนงุ่ ผา้ โจงกระเบน สวมเสอ้ื ลกู ไม้ หรอื ชิดกันเกินไป ใชท ารําตามทีก่ ําหนดไว แขนพองใชผ้ า้ แพรสะพายไหล ่ มผี า้ คาดเอว สวมถงุ นอ่ ง รองเทา้ หรอื แตง่ ชดุ ไทยเรอื นตน้ เปน็ ตน้ ในแตล ะเพลงและพนมมอื ไหวซ งึ่ กนั และกนั กอ นทจี่ ะออกจากวงรํา) ๑๓7 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด นักเรยี นควรรู ขอใดแสดงความสัมพนั ธก นั ไดอยางถกู ตอ ง 1 ราํ วงมาตรฐาน ท้ังหมดมี 10 เพลง คือ เพลงงามแสงเดอื น ทาสอดสรอ ยมาลา 1. ราํ โทน กับ รําวงมาตรฐาน เพลงชาวไทย ทา ชักแปงผัดหนา เพลงราํ ซมิ าราํ ทาราํ สา ย เพลงคืนเดอื นหงาย 2. รําเถิดเทงิ กับ ราํ วงมาตรฐาน ทา สอดสอยมาลาแปลง เพลงดวงจนั ทรว นั เพญ็ ทา แขกเตา เขา รงั และทา ผาลาเพยี งไหล 3. เพลงดวงจนั ทรข วญั ฟา กบั กรมศิลปากร เพลงดอกไมของชาติ ทา รํายัว่ เพลงดวงจนั ทรข วญั ฟา ทาชางประสานงา 4. เพลงรําซมิ าราํ กับ ทานผหู ญงิ ละเอียด พบิ ูลสงคราม และทา จนั ทรท รงกลดแปลง เพลงหญงิ ไทยใจงาม ทา พรหมสหี่ นา และทา ยงู ฟอ นหาง เพลงยอดชายใจหาญ ชาย ทาจอเพลิงกาฬ หญิง ทา ชะนีรา ยไม และเพลงบชู านักรบ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะในสมัยกอ นไมม ีคาํ วา “มาตรฐาน” ชาย ทาจนั ทรท รงกลดและทาขอแกว หญิง ทาขดั จางนางและทา ลอแกว จะเรียกกนั เพียงวา “ราํ วง” เทา นน้ั การรําวงน้ีเปนการละเลนพนื้ เมอื งอยา ง มมุ IT หนงึ่ ของชาวไทย ทบ่ี ง บอกถึงความสนกุ สนาน จะเลน กันในบางทอ งถน่ิ และ บางเทศกาลของแตล ะจังหวัดเทา น้นั รําวงมาตรฐานมีวิวัฒนาการมาจาก นกั เรยี นสามารถชมการแสดงราํ วงมาตรฐาน ไดจ าก http://www.youtube.com การรําโทน ซงึ่ เปน การละเลนพ้ืนเมอื งของไทย หรืออาจพดู ไดวา “รําวง” โดยคน หาจากคาํ วา ราํ วงมาตรฐาน เรียกอกี ช่ือหนึง่ วา “รําโทน” ค่มู ือครู 137 กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหนกั เรยี นรวมกันอภิปรายเก่ียวกับการแสดง ๓) องค์ประกอบด้านฉาก แสง สี และเสียง ร�าวงมาตรฐานจะเน้นที่ฝีไม้ลายมือ ราํ วงมาตรฐาน “เพลงคนื เดือนหงาย” ในหวั ขอ วธิ ีการฝกหดั ทาราํ ตามท่ีไดศึกษามา ของผู้ร�าว่าสามารถร�าได้ลงจังหวะและถูกต้องตามแบบแผนนาฏศิลป์ไทยหรือไม่ แต่จะไม่เน้นที่ องค์ประกอบด้านฉาก แสง สี หรือเสียงมากนัก ส�าหรับเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบร�าวง 2. ใหนกั เรยี นศกึ ษาเนื้อเพลงคืนเดือนหงาย มแลาตะโรทฐนา1น เเมพอ่ื ลมงกีคานื รเพดอืฒั นนหางกาายร รแา� ตขเ่ นึ้ดมิ จมงึ เีไคดรพ้ อื่ ฒั งดนนาตเครรที อื่ ี่ใชงดบ้ นรรตเรลที ง่ีใปชรเ้ะปกน็ อวบงกปาพี รแาทสดยแ์ง ลคะอื ว งฉดง่ิ น ฉตารบสี ากกรบัล จากในหนงั สือเรียน หนา 138 บรรเลงประกอบการแสดง สว่ นบทรอ้ งและทา� นองเพลงไดป้ ระพนั ธข์ นึ้ มาใหมโ่ ดยกรมศลิ ปากร ดงั น้ี 3. ครเู ปด ซีดี หรือดวี ดี ีเพลงคืนเดือนหงาย บทรอ้ งเพลงคนื เดือนหงาย ใหน กั เรียนฟง พรอ มท้ังสาธิตวิธกี ารขับรอ ง เพลงคืนเดอื นหงายทถ่ี กู ตอ งใหน กั เรียนฟง ยามกลางคืนเดือนหงาย เยน็ พระพายโบกพลวิ้ ปลิวมา และใหน ักเรียนฝก ปฏิบัติตาม จากนนั้ ครสู มุ เยน็ อะไรก็ไมเ่ ย็นจติ เท่าเยน็ ผกู มิตรไมเ่ บอื่ ระอา นักเรียน 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ ีการขับรอ ง เย็นรม่ ธงไทยปกไทยทั่วหล้า เยน็ ยิ่งน�า้ ฟา้ มาประพรมเอย เพลงคืนเดือนหงายที่ถกู ตองใหเพอื่ นชม หนาชนั้ เรียน โดยมคี รูเปนผูคอยช้ีแนะ 2.๓ วิธฝี ึกหัดทา่ ราำ ความถกู ตอ ง ทา่ รา� ทใี่ ชร้ า� วงมาตรฐานเพลงคนื เดอื นหงาย คอื ทา่ สอดสรอ้ ยมาลาแปลง เปน็ การรา� คชู่ าย - หญงิ 4. ใหนักเรียนศกึ ษาทา รําเพลงคืนเดือนหงาย ทา่ ร�าวงมาตรฐานประกอบเพลง “คืนเดือนหงาย” จากในหนงั สือเรียน หนา 138 ทา่ ท่ี ๑ ท่าท่ ี ๒ 5. ใหน กั เรียนแบง กลุม กลมุ ละ 8 คน แลว จับคู ชาย-หญงิ ครสู าธติ การรา ยราํ เพลงคนื เดอื นหงาย ๑๓๘ ทีถ่ ูกตอ งใหนกั เรียนดู จากนนั้ ใหน ักเรียน ฝก ปฏบิ ตั ติ าม แลว ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ผลดั กนั ออกมาสาธติ การรา ยราํ เพลงคืนเดือนหงาย ทถ่ี กู ตองใหเพือ่ นชมหนาชนั้ เรยี น โดยมคี รู เปน ผูค อยชแ้ี นะความถูกตอง จากน้ันครู ถามนกั เรียนวา • การปฏบิ ตั ทิ า ราํ สอดสรอ ยมาลาแปลงทถ่ี กู ตอ ง ควรมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ ทาสอดสรอ ยมาลาแปลง เปนทา รํา ทด่ี ดั แปลงมาจากทา สอดสรอ ยมาลา ในเพลง- งามแสงเดอื น ผรู าํ จะยืนเทา ชดิ ตดิ กัน มือซายต้งั วงบน มอื ขวาจีบหงายท่ชี ายพก เอยี งศีรษะขวา พอเพลงเร่ิมมอื ขวาทจี่ ีบหงาย ทช่ี ายพกใหโ บกขนึ้ ไปตง้ั วงบน โดยไมต อ งสอด หรอื มว นมอื และมอื ซา ยลดวงลง พลกิ ขอ มอื เปน จบี หงายทช่ี ายพก เปลยี่ นมาเอยี ง ศรี ษะซาย) เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครูควรเชิญวิทยากรที่มคี วามเชย่ี วชาญในเรอ่ื งการแสดงนาฏศิลปไ ทย ครูสาธติ วธิ กี ารขบั รองเพลงคนื เดอื นหงายท่ถี ูกตอ งใหนักเรยี นฟง มาอธิบายเพิ่มเตมิ เกีย่ วกบั การแสดงราํ วงมาตรฐาน 10 เพลง คือ เพลงงามแสงเดือน จากนน้ั ใหนักเรยี นฝกปฏิบตั ิตาม แลว ออกมาสาธิตการขับรอ ง เพลงชาวไทย เพลงรําซมิ าราํ เพลงคนื เดือนหงาย เพลงดวงจนั ทรวนั เพญ็ เพลงคืนเดอื นหงายท่ถี กู ตองใหเ พ่อื นชมหนาชัน้ เรียน โดยมีครเู ปน ผูคอย เพลงดอกไมข องชาติ เพลงจนั ทรข วญั ฟา เพลงหญงิ ไทยใจงาม เพลงยอดชายใจหาญ ชแี้ นะความถูกตอง และเพลงบชู านกั รบ พรอ มทง้ั เปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงราํ วงมาตรฐานใหน กั เรยี นชม จากน้นั ครูเปด โอกาสใหน กั เรยี นไดซกั ถามในสง่ิ ท่ีสงสยั และแสดงความคดิ เห็น กิจกรรมทาทาย นกั เรยี นควรรู ใหนักเรยี นท่มี ีความสามารถดา นการขบั รองเพลงไทยและการแสดง นาฏศลิ ป ออกมาสาธติ วธิ กี ารขบั รอ งเพลงคนื เดอื นหงาย ประกอบ 1 โทน เปน ชอ่ื ของเคร่อื งดนตรีประเภทเครอ่ื งหนงั ที่ขึงหนงั หนาเดยี ว มสี ายโยง การฟอ นราํ ในทาสอดสรอ ยมาลาแปลงท่ีถกู ตองใหเ พือ่ นชมหนาชน้ั เรยี น เรง เสียงจากขอบหนังถงึ คอ มหี างยื่นออกไปและบานปลาย โดยลักษณะรปู รา งน้นั โดยมคี รเู ปน ผูคอยช้ีแนะความถูกตอ ง จงึ ทําใหโทนมชี ื่อเรียกตามรปู รางทป่ี รากฏ 2 ชนิด คือ โทนชาตรแี ละโทนมโหรี 138 คู่มอื ครู กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเข้าใา้ จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ก่อนจะร�าชาย - หญิงจะท�าความเคารพซ่ึงกันและกันด้วยการไหว้ ดนตรีจะบรรเลงท�านอง ใหนักเรยี นรวมกันอภปิ รายเกีย่ วกบั การแสดง เพลง ๓ วรรค เพอื่ ใหผ้ รู้ า� ตง้ั ตน้ จงั หวะได ้ จากนน้ั ชาย - หญงิ เดนิ ยา่� เทา้ ตามกนั เปน็ วงกลมทวนเขม็ ราํ วงมาตรฐาน “เพลงคืนเดือนหงาย” ในหัวขอ นาฬิกา โดยต้องรักษาชอ่ งไฟและเสน้ รอบวงใหก้ ลมไม่ใหเ้ บี้ยว ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งชาย - หญิง แนวทางวเิ คราะห วิจารณก ารแสดงตามที่ได ให้กลมกลนื ไมย่ ืนชดิ กัน หรือหา่ งกันจนเกนิ ไป ศึกษามา จากนนั้ ครถู ามนักเรียนวา ผู้หญิงยืนวงนอก ผู้ชายยืนซ้อนเหล่ือมด้านหลัง หันหน้าออกมานอกวง มือขวาตั้งวงบน มอื ซา้ ยจีบหงายระดับวงล่าง กา้ วเทา้ ซ้าย เอยี งศรี ษะซ้าย เมื่อเพลงข้นึ เนื้อร้องท่วี ่า “ยามกลางคืน • เพราะเหตใุ ด ชาย - หญิงที่รว มกนั เดอื นหงาย” ให้ยกจมูกเท้าวางหลงั ในค�าร้องท่ีว่า “หงาย” และยา�่ เท้าขวาหมนุ ตวั มาหันหน้าเข้าวง รําวงมาตรฐาน จงึ ตอ งแสดงความเคารพ ยา่� เทา้ ซ้าย ก้าวไขว้เท้าขวา แล้ววางหลังเทา้ ซา้ ยในคา� รอ้ งท่ีว่า “ปลวิ มา” เปลยี่ นมือขวาลดลงมา ซึ่งกันและกันท้ังกอนและหลังการรํา จีบหงายระดับวงล่าง มือซ้ายตั้งวงบน ศีรษะเอียงขวา ผู้ชายจะเดินย�่าเท้าซ้อนเหลื่อมด้านหลัง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ผหู้ ญงิ ตลอดท้งั เพลงและเดนิ เคลอ่ื นเป็นวงกลมทวนเข็มนาฬิกา ไดอยา งอสิ ระ) 2.๔ แนวทางวิเคราะห ์ วจิ ารณ์การแสดง แนวทางในการวิเคราะห ์ วิจารณก์ ารแสดงรา� วงมาตรฐานเพลงคืนเดอื นหงาย ต้องพจิ ารณา • นักเรียนสามารถวเิ คราะห วจิ ารณก ารแสดง จากองค์ประกอบตา่ งๆ ของการแสดง ดงั นี้ รําวงมาตรฐานเพลงคนื เดอื นหงาย ไดจากสง่ิ ใดบา ง ๑) วเิ คราะหป์ ระเภทของการแสดง รา� วงมาตรฐานเพลงคนื เดอื นหงาย เปน็ การรา� ค ู่ (แนวตอบ สามารถวิเคราะห วจิ ารณ โดยพจิ ารณาจากองคประกอบตางๆ ซ่ึงเน้นท่ีลีลาและกระบวนท่าร�าท่ีอ่อนช้อย งดงาม แสดงอารมณ์ ความรู้สึกสัมพันธ์คู่ให้ผู้ชม ของการแสดง คือ เขา้ ใจ สามารถรา� ไดล้ งจงั หวะดว้ ยลลี าเฉพาะตวั และถกู ตอ้ งตามแบบแผนนาฏศลิ ป์ไทย ซงึ่ ผแู้ สดง 1. วิเคราะหป ระเภทของการแสดง ไมส่ ามารถดดั แปลงทา่ ร�าได้ 2. วเิ คราะหรปู แบบของการแสดง 3. วิเคราะหเครอ่ื งแตง กายของผูแสดง ๒) วเิ คราะหร์ ปู แบบการแสดง ลกั ษณะและรปู แบบการแสดงประเภทรา� วงมาตรฐาน 4. วเิ คราะหล ีลาการรา ยรํา) ตอ้ งเปน็ การรา� คชู่ าย - หญงิ เดนิ ตามกนั เปน็ วงกลมทวนเขม็ นาฬกิ า ใชท้ า่ รา� สอดสรอ้ ยมาลาแปลง ขยายความเขา้ ใจ E×pand ตลอดทั้งเพลง เร่ิมต้นการแสดงและจบการแสดงด้วยการท่ีชาย - หญิงไหว้ซึ่งกันและกัน ดังนั้น หากลักษณะรปู แบบการแสดงเปน็ ไปในรปู แบบอื่น จะไม่เรยี กวา่ รา� วงมาตรฐาน 1. ใหน ักเรียนสรุปสาระสาํ คัญเก่ยี วกับการแสดง รําวงมาตรฐาน “เพลงคืนเดอื นหงาย” ๓) วิเคราะห์เคร่ืองแต่งกาย ร�าวงมาตรฐานท้ัง ๑๐ เพลง จะมีการแต่งกายที่ ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครูผสู อน ปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ได้ก�าหนดไว้แล้ว คือ การแต่งกายแบบชาวบ้าน การแต่งกายแบบไทย 2. ใหน กั เรียนแตล ะกลมุ ผลัดเปลีย่ นกันออกมา พระราชนยิ ม และการแตง่ กายแบบไทยสากล ผชู้ มการแสดงตอ้ งพจิ ารณาลกั ษณะการแตง่ กายของ ปฏิบัติทาราํ เพลงคนื เดอื นหงาย ใหเ พื่อนชม ผแู้ สดงชายและหญงิ วา่ แตง่ กายไดก้ ลมกลนื กบั คขู่ องตนและเปน็ ไปตามยคุ สมยั หรอื ขดั กนั หรอื ไม่ หนา ช้นั เรยี น โดยมีครูเปนผูค อยชแ้ี นะ ความถกู ตอ ง ๔) วิเคราะห์ลีลาท่าร�า ร�าวงมาตรฐานมีลีลาท่าร�าที่ปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทย ได้ก�าหนดไว้เป็นแบบแผน โดยเพลงคืนเดือนหงายจะใช้ท่าร�าท่าสอดสร้อยมาลาแปลง ซ่ึงท่าร�า ดังกล่าวเป็นภาษานาฏศิลป์ หรอื นาฏยภาษา ทา่ ร�าไม่ไดส้ ่อื ความหมาย หรือไมเ่ ป็นการตีบทตาม เน้ือเพลง แต่เปน็ การร�าประกอบเน้ือรอ้ ง ท�านองเพลงด้วยทา่ ร�า ใช้การส่ืออารมณ ์ ความรูส้ ึกดว้ ย การใชส้ ายตา ลีลาทา่ รา� ได้ก�าหนดไวเ้ ปน็ มาตรฐาน ๑๓9 ชอ่ื ของรําโทนมีทีม่ าจากสิง่ ใด แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู 1. จาํ นวนของผรู ํา 2. เครื่องดนตรีทใ่ี ช ครคู วรนาํ ภาพลักษณะการแตงกายในการแสดงราํ วงมาตรฐานมาใหน ักเรยี นดู 3. แหลง กําเนดิ การแสดง พรอ มอธบิ ายเพม่ิ เติมวา การแตงกายรําวงมาตรฐานสามารถแตง ได 3 แบบ คอื 4. บทรองประกอบการรายราํ 1. แบบพ้นื เมือง วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะการราํ โทน จะใชโทนตีประกอบ ชาย นงุ ผาโจงกระเบน สวมเสอ้ื คอกลม มีผาคาดเอว หญงิ นุงผาโจงกระเบน หม สไบอดั จีบ คาดเขม็ ขดั จงั หวะในการรํา ตอมาจึงมกี ารเพมิ่ กรบั และฉ่งิ แตยังไมมกี ารขับรอง ประกอบในการรํา จะราํ ไปตามจงั หวะโทนเพยี งอยา งเดยี ว 2. แบบไทยพระราชนยิ ม ชาย สวมกางเกงขายาว ใสเ สอ้ื พระราชทาน (แขนยาว หรอื สั้นกไ็ ด) สวมรองเทา หรอื นุง ผา โจงกระเบน ใสเ สือ้ ราชปะแตน สวมรองเทา ถุงเทา ยาว หญิง แตงชดุ ไทยเรือนตน และชุดไทยสมัยรชั กาลท่ี 5 สวมรองเทา 3. แบบสากลนยิ ม ชาย แตงชุดสูทสากล สวมเสอื้ เชติ้ แขนยาว ผกู เนกไท สวมรองเทา หญงิ ชุดไทย คู่มือครู 139 กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. ครพู จิ ารณาจากการสรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกบั ทงั้ น ี้ การรา� ค ู่ เปน็ การแสดงทมี่ งุ่ ใหเ้ หน็ ถงึ ความสามารถของผแู้ สดง ทมี่ ที ว่ งทลี ลี างดงาม การแสดงราํ วงมาตรฐาน “เพลงคนื เดอื นหงาย” มีความช�านาญ ต้องการอวดฝีมือของผู้ร�า ความประณีตในการแต่งกายที่สวยงาม และมีการร�า ของนักเรียน ท่ีลงจงั หวะ มที ่วงทา่ เปน็ มาตรฐาน เปน็ แบบแผน ซง่ึ ผ้ชู มการแสดงควรศึกษาและทา� ความเขา้ ใจ องคป์ ระกอบต่างๆ ของการแสดง เพ่ือจะไดช้ มการร�าวงมาตรฐานด้วยความเข้าใจ 2. ครูพิจารณาจากการปฏิบตั ิทา รํา “เพลงคืนเดอื นหงาย” ของนักเรยี น หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู กิจกรรม ศิลปป์ ฏิบตั ิ ๘.๑ 1. ผลการสรุปสาระสาํ คญั เกี่ยวกบั กจิ กรรมท ่ี ๑ ใหน้ กั เรยี นชมวดี ทิ ศั นก์ ารแสดงระบา� ชดุ กฤดาภนิ หิ าร แลว้ ใหน้ กั เรยี นลองปฏบิ ตั ติ าม การแสดงนาฏศิลปไ ทยมาตรฐาน กจิ กรรมที ่ ๒ จากนน้ั ใหจ้ บั กลมุ่ กลมุ่ ละ ๖ คน ออกมาแสดงทา่ ทางท่ไี ดท้ า� ตามวดี ทิ ศั นห์ นา้ ชน้ั เรยี น ชุด “ระบาํ กฤดาภนิ หิ าร” ใหน้ กั เรยี นตอบคา� ถามตอ่ ไปน้ี ๑. ระบ�าชุดกฤดาภนิ ิหารมจี ดุ มงุ่ หมายในการแสดงอย่างไร 2. ผลการปฏบิ ัตทิ าราํ เพลงระบํากฤดาภนิ หิ าร ๒. ร�าวงมาตรฐานเพลงคืนเดือนหงายมีลักษณะและวธิ กี ารแสดงอยา่ งไร 3. ผลการสรปุ สาระสําคัญเกี่ยวกบั ๓. ให้นักเรียนระบุลักษณะพิเศษของการร�าเพลงกฤดาภินิหารและร�าวงมาตรฐาน การแสดงรําวงมาตรฐาน “เพลงคนื เดอื นหงาย” เพลงคนื เดอื นหงาย มาพอสงั เขป 4. ผลการปฏบิ ัตทิ าราํ เพลงคืนเดือนหงาย การฝกึ หดั นาฏศลิ ปไ์ ทย เปน็ สงิ่ จาำ เปน็ ทเี่ ยาวชนไทยควรจะเรยี นรู้ สมั ผสั และได้ รบั ประสบการณต์ รงจากโรงเรยี น โดยเฉพาะการฝกึ หดั การแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทยมาตรฐาน ในบางชุด เน่ืองจากเป็นชุดท่ีมีปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทยได้กำาหนดท่ารำาที่เป็น แบบแผนไวแ้ ลว้ สงิ่ แรกทผี่ เู้ รยี นตอ้ งเรยี นรู้ คอื พนื้ ฐานเกย่ี วกบั นาฏศลิ ปไ์ ทยมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นประวัติ ความเป็นมา รูปแบบ และลักษณะวิธีการแสดง การแต่งกาย องค์ประกอบด้านฉาก แสง สี และเสียง เขา้ ใจความหมายของเนอ้ื ร้องและทำานองเพลง เคร่ืองดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดง เพื่อที่จะได้ฝึกปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตาม แบบแผนและมีความงดงาม นอกจากน้ี ผู้แสดงและผู้ชมการแสดงจะต้องมีความเข้าใจในเอกลักษณ์ของ การแสดงแต่ละชุด แต่ละประเภท จึงจะสามารถชมการแสดงด้วยความเข้าใจ รวมท้ัง สามารถให้ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการแสดงของ ผเู้ กีย่ วขอ้ งในโอกาสตอ่ ๆ ไป ๑๔0 แนวตอบ กิจกรรมศิลปป ฏิบตั ิ 8.1 กจิ กรรมท่ี 2 1. ระบาํ ชดุ กฤดาภินิหาร มีจุดหมายในการแสดงเพื่อเปนการอวยชัยใหพร 2. ราํ วงมาตรฐานเพลงคนื เดือนหงาย มีลักษณะและวิธีแสดง ดงั ตอไปนี้ 1) เปน การราํ วงคชู าย - หญงิ 2) ลีลาทารําใชทาสอดสรอ ยมาลาแปลงท่กี าํ หนดไวเปน มาตรฐาน สื่ออารมณด วยการใชส ายตาและลลี าทาทาง 3) ลักษณะการแตง กายแบบไทยโบราณและสากล 4) ลกั ษณะการแสดงเดนิ ตามกนั ไปเปน วงกลม 3. ลกั ษณะพิเศษของการแสดงรํากฤดาภนิ ิหาร ผูแ สดงจะตองมที กั ษะในการถอื พานดอกไม รําเพียงมือเดียว ลักษณะพิเศษของรําวงมาตรฐานเพลงคืนเดือนหงายมที า ราํ ที่เรียกวา “สอดสรอ ยมาลาแปลง” ท่ีปรมาจารยบญั ญตั ิไวเ ฉพาะเพลง 140 คู่มือครู กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู 1. เปรียบเทยี บลักษณะเฉพาะของการแสดง นาฏศลิ ปจ ากวฒั นธรรมตา งๆ 2. ระบุ หรือแสดงนาฏศลิ ป นาฏศิลปพ น้ื บา น ละครไทย ละครพน้ื บานหรอื มหรสพอืน่ ทเี่ คยนยิ มกันในอดตี สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี ๙หนว่ ยที่ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค การแสดงนาฏศลิ ป์พ้ืนเมอื ง 1. มวี ินยั 2. ใฝเรยี นรู 3. มุงมั่นในการทํางาน 4. รักความเปน ไทย กระตนุ้ ความสนใจ Engage ตวั ชวี้ ัด การแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งในแตล่ ะ ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง ทง้ั 4 ภาค ใหน กั เรยี นชม จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา ■ เปรียบเทียบลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์จากวัฒนธรรม ต่างๆ (ศ ๓.๒ ม.๒/๑) ภาคจะสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ศลิ ปะ วฒั นธรรม • นักเรยี นชอบการแสดงนาฏศิลปพืน้ เมอื ง ■ ระบ ุ หรอื แสดงนาฏศลิ ป ์ นาฏศลิ ปพ์ น้ื บา้ น ละครไทย ละครพน้ื บา้ น ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และเอกลกั ษณ์ ของภาคใดมากทีส่ ดุ เพราะเหตุใดจึงเปน ประจา� ทอ้ งถนิ่ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป การแสดง เชนน้ัน หรอื มหรสพอน่ื ทเ่ี คยนิยมกันในอดตี (ศ ๓.๒ ม.๒/๒) (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอิสระ) สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง นาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งของแตล่ ะทอ้ งถนิ่ จะประกอบ ไปด้วยเพลงพ้ืนเมืองและการฟ้อนร�าพื้นเมือง • นกั เรยี นเคยปฏบิ ตั กิ ารแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง ■ นาฏศิลปพ์ ื้นเมอื ง บางหรือไม ถาเคย นักเรยี นเคยปฏิบัติ - ความหมาย การแสดงนาฏศิลปพื้นเมืองชดุ ใด - ที่มา ดงั นั้น การเรยี นรูแ้ ละการฝกึ หดั แสดงนาฏศิลป์ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ - วัฒนธรรม พนื้ เมอื ง จะชว่ ยทา� ใหเ้ ราเขา้ ใจลกั ษณะเฉพาะของ ไดอยา งอสิ ระ) - ลกั ษณะเฉพาะ การแสดงนาฏศิลป์ในแต่ละภูมิภาค รวมท้ังจะช่วย ■ รปู แบบการแสดงประเภทตา่ งๆ ให้เกิดความเข้าใจเก่ียวกับการแสดงนาฏศิลป์ไทย - นาฏศิลปพ์ น้ื เมอื ง มาตรฐาน นาฏศลิ ปพ์ นื้ เมอื ง หรอื มหรสพอนื่ ๆ ทเ่ี คย นยิ มกนั ในอดตี อกี ดว้ ย เกรด็ แนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรยี นรนู ้ี ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงนาฏศลิ ป- พ้นื เมอื ง 4 ภาค ใหน กั เรยี นชม เพื่อเปน การเปดโลกทัศนใหแ กน ักเรียน ซ่ึงนกั เรยี น จะไดฝกการเปรยี บเทยี บลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศลิ ปจ ากวฒั นธรรมตา งๆ และสามารถระบุ หรือแสดงนาฏศลิ ป นาฏศลิ ปพ้ืนเมอื ง ละครไทย ละครพืน้ บาน หรอื มหรสพอืน่ ท่ีเคยนิยมกันในอดีต ครอู าจอธิบายเพม่ิ เตมิ วา การแสดงพน้ื เมอื ง คือ การแสดงของแตล ะทองถิ่นทไ่ี ดส ืบทอดตอ ๆ กนั มาต้งั แตส มยั โบราณจนถึง ปจจุบัน การแสดงบางอยา งจะแฝงไวซ ่งึ ศิลปวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และเอกลักษณประจาํ ทอ งถ่นิ ซงึ่ สามารถแบง ออกเปน 2 ประเภท คอื 1. เพลงพืน้ เมอื ง คือ เพลงที่ชาวบา นในทอ งถ่ินแตงขึ้น โดยใชส าํ เนียงภาษาพดู เฉพาะถิ่น 2. นาฏศลิ ปพ้ืนเมือง คือ การแสดงในทอ งถิน่ ตา งๆ ซง่ึ จะมคี วามสวยงาม แตกตา งกนั ไปตามลกั ษณะของสภาพแวดลอ มภายในทอ งถน่ิ และมเี อกลกั ษณเ ฉพาะ เปน ของตัวเอง ทไ่ี มสามารถลอกเลียนแบบได ค่มู อื ครู 141 กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครนู าํ ภาพการแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งภาคตา งๆ ๑. ความหมายและทีม่ าของนาฏศิลปพ์ ้นื เมือง มาใหนกั เรียนดู จากนั้นครูถามนกั เรียนวา ๑.๑ ความหมาย ความหมายของ “นาฏศิลป์พื้นเมือง” ได้มีผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ให้ค�านิยามไว้ • นกั เรยี นเคยชมการแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง อยา่ งหลากหลาย เช่น ตามภาพที่ไดด ูบา งหรอื ไม ถา เคย นักเรียน ทราบหรอื ไมว า เปน การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง นาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื ง เปน็ การฟอ้ นรา� ทแี่ สดง ของภาคใดและมีชอ่ื เรยี กวาอยา งไร อยู่ในแตล่ ะท้องถนิ่ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ นาฏศิลป์พื้นเมือง เป็นการฟ้อนร�าตาม ไดอ ยา งอสิ ระ) ประเพณีนิยมของท้องถ่ิน เน้นการร้องร�ากัน ระหวา่ งชาวบา้ น เพือ่ ความร่นื เรงิ ไมเ่ ป็นอาชพี • เพราะเหตุใดเราจงึ ตอ งเรียนรใู นเรอื่ งของ หรือเพอ่ื หารายได้ การแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมือง นาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื ง เปน็ การฟอ้ นรา� ทชี่ าวบา้ น (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งอสิ ระ) สา� รวจคน้ หา Explore ได้รับการสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน มีการร้องร�ากันอย่างแพร่หลาย ซึ่งแสดงถึง ใหนกั เรยี นศึกษา คนควา หาความรูเพิ่มเติม เอกลักษณ์เฉพาะหมู่บ้าน ถือเป็นวัฒนธรรม เกยี่ วกบั ความหมายและทม่ี าของการแสดงนาฏศลิ ป- ฟอ้ นสาวไหม นาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งของภาคเหนอื เลยี นแบบ ทางด้านการแสดงความบันเทิงของชาวบ้านใน พืน้ เมือง จากแหลง การเรียนรูตา งๆ เชน หอ งสมุด มาจากการทา� งานในชีวติ ประจ�าวนั ของคนพืน้ เมอื ง ทอ้ งถนิ่ โรงเรยี น หองสมดุ ชมุ ชน อนิ เทอรเน็ต เปน ตน ในหัวขอ ท่คี รกู าํ หนดให ดงั ตอ ไปน้ี จากที่ได้กล่าวมาขา้ งต้น พอจะสรปุ ได้ว่า “นาฏศลิ ปพ์ นื้ เมือง” หมายถงึ การฟอ้ นร�าซง่ึ เป็นที่ นิยมในท้องถ่ินและสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ 1. ความหมายของการแสดงนาฏศิลปพนื้ เมือง หมบู่ า้ น เป็นวฒั นธรรมดา้ นความบันเทงิ เริงรมย ์ ไม่จัดเปน็ อาชพี หรือเพือ่ หารายได้ 2. ทีม่ าของการแสดงนาฏศิลปพน้ื เมอื ง ๑.๒ ทีม่ า นายสุจติ ต์ วงษ์เทศ ศิลปนิ แหง่ ชาต ิ สาขา อธบิ ายความรู้ Explain วรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) ประจ�าปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ใหนักเรียนรวมกันอภปิ รายเก่ียวกบั ความหมาย ลกะลเ่าลวน่ ไพวน้ื้วบ่า า้ นน1 าเกฏดิ ศขิลน้ึ ปเ์พพ้ือื่นสเมรา้ืองงคมวีทามี่มสานจกุาสกนกาานร และท่มี าของการแสดงนาฏศลิ ปพ้นื เมอื ง ตามท่ีได ความบนั เทงิ และผอ่ นคลายความเครยี ด ต่อมา ศึกษามา จากนนั้ ครถู ามนักเรียนวา เมื่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ การเมือง และสงั คมเปลยี่ นแปลงไป ลกั ษณะการละเลน่ ก็ • การแสดงนาฏศลิ ปพ ื้นเมอื งมคี ณุ คา การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมอื งภาคกลาง ชุดร�ากลองยาว เคน่ออื่ ยงๆจ ากปแรับตเ่เดปมิลจ่ียะนเมขา้าใเจปว็นา่ กกาารรแลสะเดลงน่ ม2 าหกมยาิ่งยขถ้ึนงึ และความสาํ คัญทีเ่ ราควรรวมมือรว มใจกนั สืบสานอยางไร ๑4๒ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอสิ ระ) นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การแสดงพนื้ เมืองในแตล ะภาคถกู สรา งขนึ้ มาเพื่อจุดประสงคใด 1 การละเลน พืน้ บาน แบง ออกเปน 2 ประเภท คอื การแสดงพืน้ เมอื ง หมายถงึ แนวตอบ การละเลน ทมี่ ีการแสดง การรา ยราํ มีดนตรปี ระกอบที่ไดว างไวเ ปนแบบแผน 1. เพอื่ บวงสรวง หรือบูชาเทพเจา เปน การแสดงเพอ่ื แสดงความเคารพ และนิยมเลน หรอื ถา ยทอดสบื ตอกนั มาจนเปนทีแ่ พรห ลาย เพลงพื้นเมอื ง ตอส่งิ ศักด์ิสทิ ธิ์ หรอื บวงสรวงดวงวิญญาณท่ีลวงลบั หมายถึง เพลงทชี่ าวบานในทอ งถิน่ นนั้ ๆ ประดษิ ฐแบบแผนและใชสาํ เนยี งภาษาพูด 2. เพื่อความสนุกสนานในงานเทศกาลตางๆ เปน การรําเพอื่ สรางความ ในทอ งถ่นิ นยิ มรองเลน กนั ในงานเทศกาลของทองถน่ิ รนื่ เริงของกลุมชนตามหมบู าน หรือเพ่ือเกี้ยวพาราสีกันระหวาง 2 การละเลน การกระทาํ หรือกิจกรรมใดๆ ที่กอใหเกดิ ความสนกุ สนาน ชาย - หญิง รนื่ เริง บันเทิงใจ มักมีกติกาการเลน หรือการแขงขันกันอยางงา ยๆ ไมส ลับซบั ซอ น 3. เพอ่ื ความเปนสิรมิ งคล เปน การรําเพื่อแสดงความยินดใี นโอกาสตา งๆ หรือใชในโอกาสตอ นรบั แขกผมู าเยือน มมุ IT 4. เพ่ือสื่อถึงเอกลักษณของทอ งถนิ่ อนั เกี่ยวของกบั การประกอบอาชพี วฒั นธรรม และประเพณี เพื่อสรางชอ่ื เสยี งใหเปนทรี่ จู ัก นักเรียนสามารถศึกษา คนควา เพมิ่ เติมเก่ยี วกบั การละเลน ไดจ าก http://www.student.swu.ac.th 142 คมู่ อื ครู กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา้ ใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain การรอ้ งรา� ทา� เพลง อนั เปน็ การละเลน่ พน้ื ฐานทมี่ อี ยู่ในกลมุ่ ชนทกุ เผา่ พนั ธ ์ุ ปจั จบุ นั เรยี กการรอ้ งรา� ครูสุมนกั เรียน 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม ทา� เพลง หรือขบั ล�า ฟ้อน ระบา� รา� เต้น ดดี ส ี ต ี เปา่ ว่า “ดนตรีและนาฏศลิ ป”์ ดังตอ ไปน้ี จึงอาจกล่าวได้ว่า นาฏศิลป์พ้ืนเมืองเกิดจากการละเล่นของชาวบ้าน เพ่ือความสนุกสนาน เพ่ือประกอบในพิธีกรรมและประเพณีต่างๆ ของท้องถิ่น ต่อมาเมื่อสภาพแวดล้อมของสังคม • การแสดงนาฏศลิ ปพ ้ืนเมอื งใหคณุ คา แก เปลย่ี นแปลงไป การละเลน่ ของแตล่ ะทอ้ งถนิ่ จงึ มกี ารปรบั เปลยี่ นและสรา้ งเอกลกั ษณป์ ระจา� ทอ้ งถนิ่ มนุษยอยางไร ของตนเองข้ึน จนกลายเป็นการแสดงประจ�า (แนวตอบ สามารถสรางคณุ คาใหแ กมนษุ ย ทอ้ งถิ่นเรียกว่า “นาฏศิลปพ์ ืน้ เมอื ง” ในหลายๆ ดา น เชน คณุ คา ดา นความบนั เทงิ ส�าหรับนาฏศิลป์พื้นเมืองในประเทศไทย นบั วาเปน จดุ มุงหมายสําคัญของการแสดง ส่วนใหญ่เป็นศิลปะการฟ้อนร�าท่ีเกิดข้ึนจาก ทกุ ประเภท เพราะการแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง วิถีชีวิตของคนในชุมชน สอดแทรกอยู่ใน ทําใหเกดิ ความสนุกสนาน เพลดิ เพลิน ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ ค่านิยม และ ทัง้ จากลีลาทา ทางของผแู สดง ความงดงาม การประกอบอาชพี ต่างๆ ของชาวบ้าน ทสี่ ัง่ สม ของเครือ่ งแตง กาย และความสวยงามของ สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ในอดีตจะ ฉาก คณุ คา ดา นศลิ ปวฒั นธรรม การแสดง ประดิษฐ์ท่าร�าจากพ้ืนฐานความเป็นอยู่ของ นาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งเปน ศนู ยร วมของงานศลิ ปะ ชาวบ้านทด่ี า� รงชีวิตตามธรรมชาติจนกลายเป็น ฟอ้ นเล็บ เป็นนาฏศลิ ปอ์ นั มชี ื่อเสยี งของภาคเหนือ มลี ีลา หลากหลายสาขา เชน ดรุ ยิ างคศิลป เอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่น จึงไม่มีหลักฐาน ออ่ นชอ้ ย งดงาม สะทอ้ นความเปน็ คนเมอื งไดเ้ ปน็ อยา่ งดี นาฏศลิ ป วรรณศิลป มณั ฑนศิลป วิจติ ร- ศิลป เปนตน คณุ คา ดานการศกึ ษา ปรากฏแน่ชดั วา่ เกดิ ข้นึ ในสมัยใด แตส่ ันนิษฐานไดว้ ่านา่ จะเกดิ ขนึ้ พร้อมกบั การเลน่ เพลงพน้ื เมอื ง การแสดงนาฏศิลปพืน้ เมืองของภาคตา งๆ ทีพ่ บในสมัยต่างๆ เชน่ สมัยอยธุ ยา ปรากฏเพลงเรือ เพลงเทพทอง สมัยรัตนโกสนิ ทร ์ ปรากฏ ใหประโยชนตอ การศึกษาคนควา ทง้ั ในดาน เพลงปรบไก ่ เพลงเกยี่ วขา้ ว เพลงฉอ่ ย ลเิ ก ลา� ตดั ประวัติศาสตร วถิ ชี วี ติ ความเปน อยู สงั คม เป็นต้น แต่เดิมเพลงพื้นเมืองจะเน้นการร้อง ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี วฒั นธรรม และความเชื่อของผูคนในแตล ะทองถน่ิ ) โตต้ อบกันไปมา จึงได้มกี ารวิวฒั นาการออกมา ขยายความเขา้ ใจ E×pand เป็นท่าทาง ร้อง ร�า เก้ียวพาราสี โต้ตอบกัน ระหวา่ งชายและหญิง มีลกู คู่รับ ซึ่งลลี าทา่ รา� ก็ ใหน กั เรยี นสรปุ สาระสาํ คญั เกยี่ วกบั ความหมาย เกิดขึน้ จากการรอ้ งโตต้ อบกนั นัน่ เอง ตอ่ มาลลี า และทมี่ าของการแสดงนาฏศลิ ปพน้ื เมือง ทา่ รา� ดงั กลา่ วไดม้ กี ารปรบั ปรงุ พฒั นาใหส้ วยงาม ลงกระดาษรายงาน นําสงครผู สู อน และมีความประณีตวิจิตรสวยงามมากย่ิงขึ้น การแตง่ กายกพ็ ถิ พี ถิ นั สวยงาม ทา� ใหก้ ารฟอ้ นรา� ตรวจสอบผล Evaluate ดูงดงามและมีความเป็นเอกลักษณ์ แสดงถึง ลกั ษณะเฉพาะของทอ้ งถนิ่ ทถี่ า่ ยทอดสบื ตอ่ กนั มา ล�าตัด เป็นการละเล่นพ้ืนเมืองที่สันนิษฐานได้ว่าน่าจะ ครพู จิ ารณาจากการสรปุ สาระสําคญั เก่ียวกับ เกดิ ข้นึ ในสมยั รตั นโกสินทร์ ความหมายและทม่ี าของการแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง ของนักเรียน ๑43 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ใหน กั เรยี นศกึ ษาเพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั การเลน เพลงพน้ื เมอื ง ตามความสนใจ ครูเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี ี หรือส่ืออินเทอรเนต็ การเลน เพลงปรบไกใ หน กั เรยี นชม ของตนเอง 1 ประเภท เขยี นอธิบายที่มาและวิธีการเลน พรอมหาภาพ พรอ มอธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา เพลงปรบไก เปนเพลงรอ งโตตอบกัน มมี าตัง้ แตสมยั โบราณ ประกอบ ลงกระดาษรายงาน ตกแตง ใหส วยงาม นาํ สง ครูผสู อน คกู บั เพลงเทพทอง วิธกี ารเลนเพลงปรบไกน้ัน จะแบง ผูเลน ออกเปน 2 ฝา ย คอื ชาย - หญงิ แตล ะฝา ยจะมีพอเพลง แมเพลง ฝา ยละ 1 คน มลี กู คูอ ีกประมาณ กิจกรรมทาทาย ฝา ยละ 4 คน รองโตตอบกนั ไปมา การรอ งรบั มกั มคี าํ วา “เอช า ไฮ” หรอื “ฉา ชา เอชา” สามารถเลนไดไมจาํ กัดเทศกาล เชน งานฉลอง งานโกนจุก งานแกบ น เปนตน ใหนักเรยี นทีม่ ีความสามารถดานการแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมือง มุม IT ออกมาสาธิตการเลนเพลงพ้นื เมอื งตามความสนใจ 1 ประเภท ใหเพ่ือนชมหนา ช้ันเรียน โดยมีครเู ปน ผคู อยช้ีแนะความถกู ตอง นกั เรียนสามารถชมการเลนเพลงปรบไก ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคน หาจากคําวา เพลงปรบไก คมู่ ือครู 143 กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูชักชวนนกั เรยี นสนทนาเกย่ี วกับปจจยั ท่ีมี ๒. ปจจัยท่ีมอี ิทธิพลตอ นาฏศิลป์พืน้ เมอื ง อทิ ธพิ ลตอ นาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง จากนน้ั ครถู ามนกั เรยี นวา การแสดงนาฏศลิ ป์พื้นเมืองของไทย แบง่ ออกเป็น ๔ ภาค ไดแ้ ก ่ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ภาคเหนอื ภาคกลาง และภาคใต ้ ซงึ่ ในแตล่ ะภาคจะมลี กั ษณะทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะของภาคนน้ั ๆ • เพราะเหตใุ ดการแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื งแตล ะ แตกตา่ งกันออกไป ทง้ั ในรปู แบบของเพลงพ้นื เมอื งและการแสดงพื้นเมอื ง โดยสิ่งเหลา่ นเ้ี กิดจาก ภาคจงึ มรี ปู แบบการแสดงทแ่ี ตกตา งกนั ออกไป ปจั จยั หลายประการ ดังน้ี (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอ ยา งอิสระ) สา� รวจคน้ หา Explore ๑) สภาพทางภมู ศิ าสตร มอี ทิ ธพิ ล ตอ่ การสบื ทอดวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ของแตล่ ะภาค ใหน กั เรียนแบงกลุมออกเปน 6 กลมุ ใหนกั เรียน เนื่องจากในอดีตการคมนาคม หรือการติดต่อ ศึกษา คนควา หาความรเู พ่มิ เตมิ เก่ียวกบั ปจ จัยท่ีมี กบั สว่ นกลางคอ่ นขา้ งยากลา� บาก ภูมิภาคท่ีอยู่ อทิ ธิพลตอนาฏศลิ ปพ ื้นเมือง จากแหลง การเรียนรู ห่างไกลจึงมักจะได้รับวัฒนธรรมจากประเทศที่ ตางๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรียน หอ งสมดุ ชุมชน อยู่ใกล้เคียง เช่น ภาคเหนือ เป็นภาคท่ีมี อินเทอรเ นต็ เปน ตน ในหวั ขอท่ีครูกําหนดให ป่าและภูเขา ตลอดจนลุ่มน้�าต่างๆ มากมาย ดังตอไปนี้ ประชากรจึงเข้าไปอาศยั เกือบทกุ พ้ืนท่ ี ในพื้นท่ี ฟอ้ นเงยี้ ว เปน็ การแสดงนาฏศลิ ปพ์ นื้ เมอื งของชาวไทยใหญ่ สงู ๆ ก็จะเป็นทีอ่ ยขู่ องชาวเขา ส่วนท่รี าบกจ็ ะมี กลุมที่ 1 สภาพทางภูมศิ าสตร ทม่ี ีถนิ่ ฐานอยทู่ างภาคเหนือของประเทศไทย คนไทยอาศัยอยู่ท่ัวไป จึงเป็นเหตุให้ภาคเหนือ กลุมท่ี 2 ขนบธรรมเนียม ประเพณี กลมุ ที่ 3 ศาสนา ได้รบั อิทธพิ ลจากวัฒนธรรมแบบผสมผสานระหว่างไทยน้อย ไทยใหญ ่ เงยี้ ว พมา่ ฯลฯ กลุมที่ 4 ความเช่อื กลมุ ท่ี 5 คา นิยม ๒) ขนบธรรมเนยี ม ประเพณ ี เปน็ อกี ปจั จยั หนงึ่ ทท่ี า� ใหเ้ กดิ การละเลน่ หรอื การแสดง- กลมุ ท่ี 6 การประกอบอาชีพ นาฏศิลป์พื้นเมืองขึ้น ทั้งนี้ เพราะไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ย่อมต้องมีขนบธรรมเนียม ประเพณี หรอื แบบแผนเปน็ ของตนเอง ดงั นน้ั การแสดง- นาฏศิลป์พื้นเมืองของแต่ละท้องถิ่นจึงมีความ อธบิ ายความรู้ Explain แตกต่างกนั ออกไป ใหนักเรยี นกลุมท่ี 1 - 3 ทีไ่ ดศึกษา คน ควา ๓) ศาสนา เปน็ สงิ่ สา� คญั มากสง่ิ หนง่ึ หาความรูเ พม่ิ เติมเก่ยี วกบั ปจจัยทม่ี ีอทิ ธิพลตอ ที่ท�าให้การละเล่นพ้ืนเมืองแตกต่างกันไปใน นาฏศิลปพ ้ืนเมอื ง สงตวั แทนกลมุ ละ 2 - 3 คน แต่ละท้องถิ่น หรือในแต่ละภูมิภาค ส�าหรับ ออกมาอธบิ ายความรูในหวั ขอ สภาพทางภมู ิศาสตร ประเทศไทยนับเป็นประเทศหนึ่งท่ีมีความเป็น ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และศาสนา ตามทีไ่ ด ประชาธิปไตยในเรื่องของการนับถือศาสนา ศกึ ษามาหนา ชั้นเรยี น จากนน้ั ครถู ามนกั เรียนวา ผลของการนับถอื ศาสนาต่างๆ น้นั มกั มีสว่ นท่ี เกยี่ วขอ้ งกบั ประเพณ ี ความเชอ่ื อนั เปน็ ผลใหเ้ กดิ • การทแี่ ตล ะทอ งถนิ่ มขี นบธรรมเนยี ม ประเพณี ประเพณีร�าบวงสรวงพระธาตุพนมของจังหวัดนครพนม ความแตกตา่ งของการละเล่นพนื้ เมืองอกี ดว้ ย ท่ตี า งกันนั้น จะสง ผลตอ การแสดงนาฏศิลป- จะจดั ข้ึนในวันข้นึ ๑๕ ค่า� เดอื น ๓ ของทกุ ป พืน้ เมืองหรือไม อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ๑44 ไดอ ยางอสิ ระ) บรู ณาการอาเซียน ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใด ไมใช การแสดงทเี่ รียกไดวา เปน “มหรสพ” จากการศกึ ษาเกย่ี วกับปจ จัยที่มอี ทิ ธิพลตอการแสดงนาฏศลิ ปพื้นเมือง ในหวั ขอ 1. งว้ิ สภาพภมู ศิ าสตรส ามารถเชอื่ มโยงกับประเทศสมาชกิ อาเซยี น คือ ประเทศพมา 2. ลเิ ก ซ่ึงมีอาณาเขตติดตอ กบั ภาคเหนอื ของไทย กลาวคอื ทศิ เหนือทีอ่ าํ เภอแมสาย 3. หนงั ใหญ จงั หวัดเชียงราย ทิศตะวนั ตก ทอ่ี าํ เภอแมส ะเรยี ง จงั หวัดแมฮ อ งสอน มอี าณาเขต 4. ผตี าโขน ตดิ ตอ กบั ประเทศพมา ดงั นนั้ ภาคเหนอื ของไทยจงึ ไดร บั อทิ ธพิ ลจากวฒั นธรรมของพมา เขา มาผสมผสาน ดงั จะเหน็ ไดจ ากการแสดงนาฏศลิ ปไ ทย ชดุ “ฟอ นมา นมยุ เชยี งตา” วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะมหรสพ คือ การแสดงทจ่ี ะตอง ซึ่งเปน ฟอ นท่พี ระราชชายาเจา ดารารศั มไี ดค ดิ ขึ้น โดยมชี า งฟอ นคมุ หลวงรว มกับครู ชาวพมาชื่อ “โมนโหย” คิดทา ราํ จากทาการฟอ นของพมา ซงึ่ เรียกวา “เหวยเสยี นตา ” ขออนญุ าตจากฝา ยบา นเมอื งกอ นจึงจะสามารถจัดแสดงได เชน ละครไทย หรอื “เหวย เสียนตานา นโยง” ซึ่งเปนทา ฟอ นของพมา มาผสมผสานกบั ทา ฟอนรํา งิว้ หนุ ไทย หนังไทย หนงั ตะลงุ ลเิ ก กลองยาว เปน ตน สว นผีตาโขนนน้ั ของไทย ผแู สดงจะแตง กายแบบหญงิ ในราชสาํ นกั พมา ดนตรแี ละเพลงประกอบจะใช จดั เปน ประเพณหี น่ึงในงานบุญประเพณใี หญ หรอื ที่เรียกวา “งานบญุ หลวง” วงปพ าทยม อญ หรอื วงปาดฆอง เพลงท่ใี ชป ระกอบมเี พลง “เหวยเชียนตา” ของพมา หรอื “บุญผะเหวด” ซ่ึงตรงกบั เดอื น 7 เปนการละเลนทีถ่ อื เปนประเพณี แตมีบางตอนทีเ่ ปนเพลงไทย เชน เพลงมอญดดู าว เปน ตน ทีม่ คี วามเกี่ยวโยงกับงานบุญพระเวส หรอื เทศนม หาชาติ จดั ทอ่ี าํ เภอ ดานซาย จงั หวัดเลย 144 คู่มอื ครู กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเข้าใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain ๔) ความเชอื่ เปน็ เรอื่ งทม่ี คี วามผกู พนั กบั วถิ ชี วี ติ ของคนไทยมาอยา่ งชา้ นาน ความ- ใหนักเรยี นกลุมท่ี 4 - 6 ทีไ่ ดศกึ ษา คน ควา เชื่อมีผลท�าให้เกิดรูปแบบของประเพณีต่างๆ อันเป็นผลต่อการละเล่นพื้นเมืองในแต่ละท้องถิ่น หาความรูเพ่มิ เติมเกี่ยวกับปจจยั ท่มี อี ิทธพิ ลตอ ๕) คา่ นยิ ม เปน็ อกี หนง่ึ ปจั จยั ทมี่ คี วามสา� คญั มากตอ่ การแสดงนาฏศลิ ปพ์ นื้ เมอื ง ทงั้ นี้ นาฏศิลปพนื้ เมอื ง สง ตัวแทนกลุมละ 2 - 3 คน เพราะคา่ นยิ มเปน็ สงิ่ สา� คญั ขน้ั พน้ื ฐานในการทา� ความเขา้ ใจถงึ พฤตกิ รรมของบคุ คล เพราะพฤตกิ รรม ออกมาอธบิ ายความรูในหัวขอ ความเชื่อ คา นิยม หรอื การแสดงออกตา่ งๆ ของบคุ คลยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั คา่ นยิ มทเ่ี ขามอี ย ู่ เชน่ คา่ นยิ มเกยี่ วกบั ความเชอ่ื และการประกอบอาชพี ตามที่ไดศ กึ ษามา และการบชู าสงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธ ิ์ ซง่ึ การแสดงตา่ งๆ นนั้ ลว้ นมคี ร ู ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งไหวค้ รเู พอื่ แสดงความกตญั ญู หนา ช้นั เรยี น จากนนั้ ครูถามนกั เรียนวา รคู้ ุณ เปน็ ต้น ๖) การประกอบอาชพี เปน็ ปจั จยั • เพราะเหตใุ ดคา นยิ มจงึ มสี ว นเขา มาเกย่ี วขอ ง หนึ่งที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของ ในการแสดงนาฏศลิ ปพ้นื เมอื ง แต่ละท้องถิ่น ซ่ึงอาจจะมีการประกอบอาชีพ (แนวตอบ คา นิยมเปนสงิ่ สําคัญขัน้ พนื้ ฐาน เหมือนหรือแตกต่างกัน ส่งผลให้เกิดรูปแบบ ในการทาํ ความเขา ใจในพฤตกิ รรมของมนษุ ย การแสดงนาฏศิลป์พ้ืนเมืองท่ีอาจเหมือน เพราะมนษุ ยจะแสดงออกถงึ พฤติกรรมนน้ั ๆ หรือแตกต่างกันตามไปด้วย เช่น นาฏศิลป์- ตามคา นยิ มทม่ี ี เชน คานยิ มในเร่อื ง พ้ืนเมืองของภาคเหนือที่ได้รับอิทธิพลมาจาก การศกึ ษา ความมนั่ คง ความเช่อื เปนตน) การประกอบอาชพี ทอผา้ ไดแ้ ก ่ ฟอ้ นสาวไหม และ ฟ้อนปั่นฝ้าย นาฏศิลป์พ้ืนเมืองของภาคใต้ท่ี • นักเรยี นคิดวาคานิยมในดา นใดทม่ี ีอิทธิพล ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากการประกอบอาชพี ท�าสวนยาง 1 ตอการแสดงนาฏศิลปพ นื้ เมอื งมากทีส่ ุด เพราะเหตุใดจึงคิดวา เปน คานิยมในดานน้ี (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอสิ ระ) ท�าประมง ท�าเหมืองแร่ เช่น ระบ�ากรีดยาง ระบ�าร่อนแร่ เป็นระบ�าท่ีปรับปรุงข้ึนตามลีลาท่าทางใน ขยายความเขา้ ใจ E×pand ระบา� ชาวเล ระบ�าร่อนแร ่ เปน็ ตน้ การประกอบอาชพี ของชาวไทยในภาคใต้ กจิ กรรม ศิลป์ปฏิบตั ิ ๙.๑ ใหนักเรียนสํารวจการแสดงนาฏศิลปพ้ืนเมือง ท่ีมีอยูในทองถ่ินของตนเองที่ถูกสรางสรรคข้ึนมา กจิ กรรมท่ี ๑ ให้นักเรียนแบง่ กล่มุ ออกเป็น ๔ กล่มุ แล้วใหแ้ ตล่ ะกล่มุ มาอภิปรายร่วมกันเกย่ี วกับ จากสภาพทางภูมศิ าสตร ขนบธรรมเนียม ประเพณี กจิ กรรมท่ี ๒ ปจั จยั สา� คญั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งในภาคตา่ งๆ ทก่ี ลมุ่ รบั ผดิ ชอบ ศาสนา ความเชอ่ื คานิยม และการประกอบอาชีพ โดยจดั ทา� เปน็ รายงาน นา� สง่ ครผู สู้ อน โดยเขียนอธบิ ายและสรุปสาระสาํ คัญของการแสดง ให้นักเรียนชมวีดิทัศน์การแสดงนาฏศิลป์พ้ืนเมืองของภาคต่างๆ แล้วให้นักเรียน มาอยางนอ ย 3 การแสดง ลงกระดาษรายงาน วเิ คราะหร์ ว่ มกนั วา่ การแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งของแตล่ ะภาคทน่ี กั เรยี นไดช้ มจบไปนน้ั นาํ สง ครูผูส อน ไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากปจั จยั ใดบา้ ง ตรวจสอบผล Evaluate ๑45 ครูพิจารณาจากการสาํ รวจการแสดงนาฏศลิ ป- พืน้ เมอื งทมี่ ีอยใู นทองถิ่นและการเขียนสรปุ สาระ สาํ คัญของนักเรยี น ขอ สอบ O-NET นกั เรยี นควรรู ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั การแสดงนาฏศิลปพืน้ เมอื ง 1 ระบํารอ นแร เปนระบาํ ที่ปรับปรุงข้นึ ตามลีลาทา ทางในการประกอบอาชพี ขอใดกลา ว ไมถ ูกตอง เกย่ี วกบั นาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง ของชาวภาคใต เปน การแสดงประกอบทาทางการออกจากบานไปหาแร รอ นแร 1. สะทอนวัฒนธรรมทอ งถิน่ และตากแร แลว พากันกลับบาน จดั แสดงถวายแดพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทร- 2. ไมมงุ เนนแบบแผนทป่ี ระณตี มหาภมู พิ ลอดุลยเดช เมือ่ ครั้งเสด็จพระราชดําเนินเยอื นภาคใตเ ปนครั้งแรกในป 3. ไมส ามารถปรับเปลย่ี นทารําได พ.ศ. 2502 ตอมาจึงมกี ารปรับปรุงและเรยี บเรียงทารําข้นึ ใหม โดยใชเ พลง 4. ไมม ีขอ ถูก “ตลุงราษฎร” ซ่งึ นายประสทิ ธ์ิ ถาวร ผูเชย่ี วชาญดนตรไี ทยและศลิ ปน แหง ชาติ (สาขาดนตรไี ทย) ประจาํ ปพ ทุ ธศกั ราช 2531 เปน ผแู ตง ทาํ นองเพลง วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะการแสดงนาฏศลิ ปพ ้ืนเมอื ง ไมไ ดจ ดั อยใู นหมวดหมขู องระบาํ ทเี่ ปน แบบมาตรฐาน จงึ สามารถมกี ารปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลงทาราํ ไดต ามความเหมาะสม มมุ IT นักเรยี นสามารถชมการแสดงนาฏศิลปพ้ืนเมอื งชดุ ระบาํ รอ นแร ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคน หาจากคําวา ระบํารอ นแร คู่มอื ครู 145 กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูนําภาพการแสดงนาฏศิลปพ้นื เมือง 4 ภาค ๓. ลกั ษณะเฉพาะของนาฏศลิ ปพ์ ืน้ เมืองในแตล ะภาค มาใหน กั เรยี นดู จากนั้นครถู ามนักเรยี นวา นาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื ง เปน็ การแสดงทส่ี รา้ งสรรคข์ นึ้ เพอ่ื ความสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ และเพอื่ ความ บันเทิงในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะมลี กั ษณะแตกต่าง • นักเรยี นคิดวา การแสดงนาฏศลิ ปพืน้ เมอื ง กันออกไปตามสภาพภูมิประเทศ สังคม และ แตล ะภาคนนั้ มีเอกลกั ษณทีโ่ ดดเดน ตา งกัน วัฒนธรรมของแตล่ ะทอ้ งถน่ิ นาฏศลิ ป์พ้นื เมอื ง อยางไร ของไทยแบ่งออกเปน็ ๔ ภาค คือ ภาคเหนือ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอ ยา งอสิ ระ) สา� รวจคน้ หา Explore ภาคกลาง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคใต ้ ซึ่งนาฏศิลป์พ้ืนเมืองในแต่ละภูมิภาคจะมี ใหนกั เรียนศกึ ษา คน ควา หาความรเู พ่มิ เติม ลกั ษณะเฉพาะทแ่ี ตกตา่ งกันออกไป ดังนี้ เกย่ี วกบั ลักษณะเฉพาะของนาฏศลิ ปพนื้ เมือง ในแตละภาค จากแหลง การเรียนรูตางๆ เชน 3.๑ ภาคเหนือ หอ งสมดุ โรงเรยี น หอ งสมุดชุมชน อินเทอรเนต็ ฟอ้ นมา่ นมุ้ยเชยี งตา หรอื ฟ้อนก�าเบ้อ นาฏศิลป์พ้นื เมอื ง ภาคเหนือ มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็น เปนตน ทางภาคเหนือ ท่ีปัจจุบนั หาชมไดย้ าก ปา่ เขา อดุ มไปดว้ ยทรพั ยากรธรรมชาต ิ การทา� มา หากนิ สะดวกสบาย ชาวเหนือส่วนใหญจ่ ึงมนี ิสัยอ่อนโยน ยิ้มแยม้ แจ่มใส มนี �้าใจไมตร ี สง่ ผลให้ นาฏศลิ ป์พ้นื เมอื งภาคเหนือมลี ีลาอ่อนช้อย งดงาม และอ่อนหวาน ตามอุปนสิ ยั ของชาวเหนือ อธบิ ายความรู้ Explain นาฏศิลป์พ้ืนเมืองทางภาคเหนือของไทย เป็นลักษณะศิลปะที่มีการผสมผสานกันระหว่าง ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั ลกั ษณะเฉพาะ ชนพน้ื เมอื งชาตติ ่างๆ ไม่วา่ จะเป็นไทยล้านนา ไทยใหญ ่ เง้ยี ว และพม่า ทา� ใหน้ าฏศิลป์พื้นเมือง ของนาฏศิลปพื้นเมอื งในแตละภาค ในหวั ขอ ภาคเหนอื มคี วามหลากหลาย แตย่ งั คงมีเอกลกั ษณ์เฉพาะทแ่ี สดงถึงความนมุ่ นวลของทว่ งท่าและ ลักษณะเฉพาะของนาฏศลิ ปพ ้นื เมืองภาคเหนอื ทา� นองเพลง ประกอบกบั ความไพเราะของเสยี งเครอื่ งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งดดี ส ี ต ี และเปา่ ทมี่ คี วาม และภาคกลาง ตามท่ไี ดศึกษามาหนา ชั้นเรียน เด่นชัด ไม่ว่าจะเป็นพิณเปียะ สะล้อ ซอ ซึง และกลอง ท่ีปรากฏอยู่ในการฟ้อนประเภทต่างๆ จากนั้นครถู ามนักเรียนวา รวมทั้งการแสดงท่มี คี วามเข้มแขง็ หนกั แนน่ ในแบบฉบบั ของการตกี ลองสะบดั ชยั • การแสดงนาฏศลิ ปพืน้ เมืองภาคเหนือ 3.๒ ภาคกลาง และการแสดงนาฏศลิ ปพ ืน้ เมอื งภาคกลาง ภาคกลาง มีภมู ิประเทศสว่ นใหญเ่ ปน็ พนื้ ที่ราบลมุ่ มีแม่น�้าหลายสายไหลผ่าน มีความอุดม- มลี กั ษณะเฉพาะทแี่ ตกตา งกนั หรอื ไม อยา งไร สมบรู ณ ์ เหมาะกบั การทา� เกษตรกรรม ผคู้ นมคี วามเปน็ อยทู่ สี่ ขุ สบาย จงึ มเี วลาทจ่ี ะคดิ ประดษิ ฐ ์ หรอื (แนวตอบ แตกตา งกัน เพราะภาคเหนอื สรา้ งสรรคส์ ง่ิ ทสี่ วยงามไดอ้ ยา่ งมากมาย ศลิ ปะการแสดงสว่ นใหญข่ องภาคกลางจะมคี วามสอดคลอ้ ง มลี กั ษณะลลี าการรา ยราํ จะเนน ความออ นชอ ย กบั วิถีชวี ิตและมกั สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อความบนั เทิง ความสนุกสนาน เพื่อเปน็ การพกั ผ่อนหย่อนใจ งดงามเปน หลัก สวนภาคกลาง มลี กั ษณะ รจา�ากกลกอารงทยา�างว1า นเป หน็ รตอื น้ เ มอ่ื เสรจ็ สน้ิ จากฤดกู าลเกบ็ เกยี่ ว และเพอื่ เลน่ รนื่ เรงิ ในโอกาสตา่ งๆ เชน่ รา� โทน การแสดงท่ีเรยี บงา ยสวนใหญจะเปน การราํ นาฏศลิ ปพ์ นื้ เมอื งภาคกลางมลี กั ษณะการแสดงทมี่ คี วามเรยี บงา่ ย ใชค้ า� สา� นวนโวหาร มศี พั ท์ ประกอบการขับรอง ลลี าการรา ยรําจะเนน ภาษาถิ่นโต้ตอบกันระหว่างชายและหญิง มีการร�าท�าท่าทางเลียนแบบธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะ ความออ นชอ ย งดงามเปนหลกั เชนเดยี วกับ ภาคเหนอื ) ๑46 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ศลิ ปะการแสดงทม่ี คี วามสอดคลอ งกบั วถิ ีชีวิตของคนในภาคกลางคือขอ ใด ครูควรเชญิ วทิ ยากรทม่ี คี วามเช่ียวชาญในเร่ืองการแสดงนาฏศิลปพน้ื เมอื ง 1. ระบาํ เกบ็ ใบชา มาอธิบายความรเู พม่ิ เตมิ เกีย่ วกับลกั ษณะเฉพาะของนาฏศิลปพ ้ืนเมือง 2. เตนกาํ รําเคียว ในแตล ะภาค พรอมทงั้ เปดซดี ี หรอื ดวี ีดีการแสดงนาฏศิลปพื้นเมอื งในแตล ะภาค 3. เซิ้งแหยไ ขม ดแดง ใหนกั เรยี นชม จากน้ันครเู ปดโอกาสใหน ักเรียนไดซ กั ถามในสง่ิ ทสี่ งสัยและแสดง 4. ระบํารอนแร ความคดิ เห็น ซึง่ จะทําใหน ักเรยี นมคี วามรู ความเขาใจในเรอ่ื งลกั ษณะเฉพาะ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. เพราะเตน กํารําเคียว เปน เพลงพืน้ เมอื ง ของนาฏศลิ ปพนื้ เมอื งในแตล ะภาคไดด ยี ่ิงข้นึ ของชาวไทยภาคกลาง ซ่ึงชาวนานิยมรอ งเลนกันตามทองนาในฤดู เก็บเก่ยี วขาว เพ่ือสรา งความบนั เทิงและความสนุกสนาน โดยผเู ลน จะเปน นกั เรียนควรรู ชาย - หญงิ มอื หนง่ึ ถือเคียว มือหน่ึงถอื รวงขาว รองรํากันอยา งสนุกสนาน โดยพอ เพลงจะรองชวนแมเพลงกอน แลว ลกู คจู งึ รองรบั 1 ราํ กลองยาว หรอื ราํ เถดิ เทิง นิยมนํามาแสดงหนา ขบวนแหต า งๆ โดยผชู าย ตีกลองราํ คูกบั ผหู ญิงและมผี ตู ีกลองเถิดเทิงประกอบจงั หวะ พรอ มกบั ตฉี ่งิ ฉาบ กรบั และโหมง 146 คมู่ อื ครู กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ เเชปน่็น กเพารลรง�าเปรอืร ะเกพอลบงกรา�าพรขาับขา้รว้อสงาโตร ้ตลอา� บตกดั 1ัน เตปาน็ มตอน้ ุป นนอิสกัยจขาอกงนค ้ี นกาภราแคสกดลงานงาทฏี่เปศลิ็นปคพ์นน้ืเจเ้ามบอื ทงภเจา้าคกกลลอานง ใหนักเรยี นรว มกนั อภปิ รายเก่ยี วกับลกั ษณะ บางชดุ ยงั ไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากนาฏกรรมหลวงอกี ดว้ ย เชน่ รา� สนี วล ทมี่ ลี ลี าทา่ รา� ออ่ นชอ้ ย งดงาม เฉพาะของนาฏศิลปพ ้ืนเมอื งในแตล ะภาค และมกี ารตบี ทโดยการใชน้ าฏยภาษา เป็นตน้ ในหัวขอ ลกั ษณะเฉพาะของนาฏศิลปพ น้ื เมอื ง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (อสี าน) ตามทไ่ี ดศ กึ ษามา 3.3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หนาช้นั เรยี น จากนัน้ ครูถามนักเรียนวา ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มลี กั ษณะภมู ปิ ระเทศเปน็ ทรี่ าบสงู คอ่ นขา้ งแหง้ แลง้ เพราะพน้ื ดนิ ไมเ่ กบ็ นา�้ ฤดแู ลง้ จะกนั ดาร ฤดฝู นนา้� จะทว่ ม คนอสี านมอี ปุ นสิ ยั เปน็ คนรกั สนกุ มนี า้� ใจ ขยนั อดทน • ลกั ษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง ส่วนใหญจ่ ะประกอบอาชีพท่เี กี่ยวขอ้ งกบั เกษตรกรรมเป็นหลกั ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื (อีสาน) คอื สงิ่ ใด การแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื จะมลี กั ษณะคอ่ นขา้ งกระชบั รวดเรว็ (แนวตอบ เปน ศลิ ปะการรา ยราํ และการละเลน และสนกุ สนาน เพอ่ื ผอ่ นคลายความไมส่ บายใจจากความทกุ ขย์ าก อนั เนอ่ื งมาจากสภาพธรรมชาติ ของชาวพืน้ บา นทีแ่ บง ออกเปน 2 กลุม ท่าร�าส่วนใหญ่จะมาจากท่าแม่บทอีสานและมาจากการเลียนแบบท่าทางธรรมชาติ ส่ือถึงความ วฒั นธรรม คือ กลมุ อสี านเหนือ มวี ัฒนธรรม ตรงไปตรงมา ความจรงิ ใจ ความซ่ือตรง ฯลฯ ลักษณะการร�าจะคล้ายการเต้น เรยี กว่า “เซ้ิง” เชน่ ไทย - ลาวทเี่ รยี กกวา “เซงิ้ ฟอ น และหมอราํ ” เซงิ้ ตงั หวาย เซงิ้ โปงลาง เซิง้ กระหยงั เซงิ้ กระตบิ ข้าว เปน็ ต้น เชน เซิง้ บัง้ ไฟ เซ้งิ สวงิ ฟอ นภไู ท ลํากลอน ศลิ ปะการรา� และการละเลน่ พนื้ เมอื งของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของไทย แบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ กลมุ่ เกยี้ ว ลาํ เตย เปน ตน กลมุ อีสานใต ทไี่ ด ใหญๆ่ คอื กลมุ่ อสี านเหนอื ทไี่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากวฒั นธรรมไทย - ลาว ไดแ้ ก ่การเซง้ิ ฟอ้ น และหมอลา� เชน่ รบั อทิ ธพิ ลมาจากเขมร มกี ารละเลน ทเ่ี รยี กวา เซง้ิ บงั้ ไฟ เซงิ้ สวงิ ฟอ้ นภูไท ลา� เตย้ เปน็ ตน้ เครอ่ื งดนตรพี นื้ เมอื งทน่ี า� มาบรรเลงประกอบการแสดง “เรือม” หรอื “เร็อม” เชน เรอื มลูดอันเร (ราํ กระทบสาก) เรือมกะโนบตงิ ตอง (ระบาํ ไดแ้ ก ่ แคน พณิ ซอ กลองยาวอสี าน ฉงิ่ ฉาบ ฆอ้ ง ตกั๊ แตนตาํ ขาว) รําอาไย เปน ตน ทํานอง และกรับ ภายหลังจึงเพ่ิมเติมโปงลางกับโหวด เพลงพน้ื เมอื งอสี านทใี่ ชป ระกอบการแสดงนนั้ เข้ามาดว้ ย และกลมุ่ อสี านใตท้ ่ีไดร้ บั อทิ ธพิ ลจาก จะมที ง้ั ทํานองทเ่ี ศรา และสนกุ สนาน มวฒัากนมธารยร มเชไนท่ ยร ะ-บ เขา� ตมกั๊ร แมตกี นาตราล� ขะาเ้ 2ลวน่ รพา� อน้ื าเไมยอ3ื เงปตน็ า่ ตงน้ๆ ทํานองเพลงจะเรยี กวา “ลาย” เชน ลายแม- เครื่องดนตรีท่ีใช้บรรเลงประกอบการแสดงของ ฮางกลอ มลกู ลายนกไสบินขา มทงุ ลายลม- กลุ่มนี้ โดยส่วนใหญ่จะใช้วงมโหรีอีสานใต้ มี พดั พรา ว ลายน้าํ โตนตาด เปนตน ดนตรี เคร่อื งดนตรสี �าคัญ คือ ซอด้วง ซอตรัว (เอก) กระชับ รวดเร็ว เนนความสนกุ สนาน กลองกนั ตรมึ พณิ ระนาดเอก ปไ่ี สล กลองรา� มะนา เปน หลกั เพือ่ ผอ นคลายความไมสบายใจ และเคร่ืองประกอบจงั หวะ ส�าหรบั การแตง่ กาย จากความทุกขยาก อันเนอ่ื งมาจาก ประกอบการแสดงจะเป็นไปตามวัฒนธรรม สภาพธรรมชาติ ลกั ษณะลลี าการรายราํ ของแต่ละทอ้ งถน่ิ จะนาํ มาจากแมทา บทอสี านและมาจาก เซง้ิ โปงลาง เปน็ นาฏศลิ ปพ์ นื้ เมอื งภาคอสี าน ลกั ษณะการ การเลยี นแบบทาธรรมชาต)ิ รา� จะคลา้ ยการเตน้ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากวฒั นธรรมไทย - ลาว • นกั เรียนเคยชมการแสดงนาฏศิลปพ ืน้ เมือง ๑4๗ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (อสี าน) บา งหรอื ไม ถาเคย นักเรียนเคยชมการแสดงชุดใดและ เกิดความรสู ึกอยางไรกบั การแสดงชุดน้ัน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอสิ ระ) แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด นักเรยี นควรรู เซิง้ แหยไขม ดแดง ไมไ ด สื่อถึงภูมิปญญาทองถน่ิ ขอใด 1 ลําตัด เปน การวาเพลงรับฝป ากของฝา ยชายและฝายหญงิ โดยตรง มีทัง้ บท 1. ลกั ษณะนิสยั ของชาวอสี าน เกยี้ วพาราสี ตอวา เสยี ดสี แทรกลูกขัด ลูกหยอด ใหเกิดความตลกขบขนั สาํ นวน 2. วิถชี วี ติ ของชาวอสี าน กลอนมีนัยออกเปน สองแงส องงา ม เคร่อื งดนตรที ี่ใช คอื กลองราํ มะนาและฉ่ิง 3. อาชีพของชาวอสี าน 2 ระบําตก๊ั แตนตาํ ขาว หรือเรือมกะโนบติงตอง เปน การแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมือง 4. ภาษาทอ งถนิ่ อสี าน ชาวไทยเขมรในจังหวัดสุรนิ ทร จดั เปนการละเลนทม่ี คี วามสนกุ สนาน ลีลาทา รํา เลียนแบบมาจากการขยับตวั และการกระโดดของต๊กั แตน มจี ังหวะที่สนุกสนาน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะในการแสดงเซง้ิ แหยไ ขมดแดงนน้ั เรา ใจ เปน ท่ีนยิ มทวั่ ไปในแถบอีสานใตและแถบจังหวดั ใกลเ คียง 3 ราํ อาไย เปนการละเลน เบ็ดเตลด็ ของชาวอสี านใต การละเลน ชนิดน้ี จะใชเ คร่ืองดนตรีพื้นเมอื งทําทํานองเพลงประกอบการแสดง คือ ไดรบั อิทธิพลมาจากประเทศกัมพูชา มีลกั ษณะคลายกบั ลาํ ตัดและอแี ซว ลายสดุ สะแนนและลายเซง้ิ บั้งไฟ ไมมเี นอ้ื รอ ง จงึ ไมไดสื่อถงึ ภมู ปิ ญ ญา ของภาคกลาง จะมีบทโตต อบกนั ระหวางชาย - หญิงในเชงิ เก้ยี วพาราสี ทองถ่นิ ในเร่ืองภาษาทองถิน่ อีสาน คูม่ อื ครู 147 กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา้ า้ใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ ใหนกั เรยี นรว มกันอภปิ รายเกยี่ วกับลักษณะ 3.4 ภาคใต เฉพาะของนาฏศลิ ปพ ืน้ เมืองในแตล ะภาค ในหัวขอ ภาคใต้ มีภูมปิ ระเทศสว่ นใหญ่ตดิ ทะเล ท้ังทางด้านทศิ ตะวันตกและทศิ ตะวนั ออก ส่วนพื้นท่ี ลกั ษณะเฉพาะของนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งภาคใต ตามทไี่ ด ทางตอนใต้ติดต่อกับประเทศมาเลเซีย จึงได้รับวัฒนธรรมของมาเลเซียท่ีเป็นวัฒนธรรม ศกึ ษามาหนา ชน้ั เรียน จากน้ันครูถามนักเรียนวา อสิ ลามเขา้ มาผสมผสานดว้ ย วถิ ชี วี ติ ของชาวไทย ภาคใตส้ ว่ นใหญป่ ระกอบอาชพี ทา� การประมง ปลกู • การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมืองภาคใต สวนยาง ปลกู ขา้ ว และทา� สวนปาลม์ ซงึ่ นาฏศลิ ป-์ มลี กั ษณะเฉพาะท่แี ตกตา งจากการแสดง พชา้นื วเเมลอื รงะทบ่ีไดา� ก้รรบั ดี อยิทาธงิพ 1เลปจ็นาตก้นอาชีพ เชน่ ระบา� - นาฏศลิ ปพ น้ื เมืองภาคอื่นๆ อยา งไร ทั้งนี้ นาฏศิลป์พ้ืนเมืองภาคใต้จะสะท้อน (แนวตอบ เน่ืองจากภาคใตมภี ูมิประเทศตดิ ตอ บุคลิกลักษณะของผู้คนด้วย คือ มีลีลากระชับ กบั มลายู จึงทาํ ใหรบั เอาศลิ ปะของมลายู รรวะดบเ�ารรว็ อ มงกีเงา็งร ยรกั ะยบา้ ย�าสนา่ายรสีศะรโีนพคกรแ ลระะเลบน่ �าเตทันา้ หเชยน่ง2 มาผสมผสานกบั ศิลปะทองถนิ่ นาฏศิลป- เป็นตน้ พน้ื เมืองจึงมลี ักษณะเปน การเตน รําตาม การแสดงพืน้ เมืองภาคใต้ ชดุ ระบ�ารองเงง็ การแสดงพื้นเมืองภาคใต้ เป็นศิลปะ จงั หวะดนตรี เนนลีลาการเคลอ่ื นไหวของมือ และเทา ประกอบกับจังหวะทีเ่ รงเรา การรา� และการละเลน่ อาจแบง่ ออกเปน็ ๒ รปู แบบ คอื การแสดงพนื้ เมอื งและระบา� พนื้ เมอื ง สามารถ กระฉบั กระเฉง เนน จงั หวะมากกวา ทว งทาํ นอง แบง่ ออกตามลกั ษณะของพืน้ ท่ีได ้ ดงั นี้ โดยมลี ักษณะทีเ่ ดน ชดั ของเคร่อื งดนตรี • ภาคใตต้ อนบน เชน่ โนรา เพลงบอก เพลงเรือ เพลงชานอ้ ง เป็นตน้ ประเภทเครอ่ื งตใี หจ งั หวะเปน สาํ คญั สว นลลี า • ภาคใต้บริเวณลมุ่ น้า� ทะเลสาบสงขลา เชน่ โนรา หนงั ตะลงุ กาหลอ เพลงเรือ เป็นต้น ทา ราํ จะมคี วามคลอ งแคลว วอ งไว สนกุ สนาน มลี ลี าทกี่ ระชบั รวดเร็ว และมกี ารยกั ยา ย สายสะโพก) ขยายความเขา้ ใจ E×pand • ภาคใตช้ ายฝง่ั ทะเลอนั ดามนั เชน่ ลเิ กปา่ รองเงง็ ชาวเล รองเงง็ ตนั หยง กาบง กาหยง ดาระ เป็นต้น ใหน ักเรยี นเขียนแผนผังความคดิ ด เิ กรฮ์• ลู ภ ู สาลี คะใ 3ตม้ตะอโยนง่ ล (่าบงอื ดเกี ชา่น) บราอนงอเ งเ็งปปน็ ัตตตน้ าน ี (Mind Mapping) สรุปสาระสําคัญเกยี่ วกับ ส่วนระบ�าพ้ืนบ้าน เช่น ระบ�าตารีกีปัส ลักษณะเฉพาะของนาฏศิลปพ ้ืนเมืองในแตละภาค ระบา� รอ่ นแร่ ระบ�ากรดี ยาง เปน็ ตน้ และเคร่อื ง- ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครูผสู อน ตรวจสอบผล Evaluate ดนตรีท่ีใช้บรรเลงประกอบการแสดงนาฏศิลป์- พ้นื เมืองภาคใต้ทีส่ �าคญั เชน่ โทน ทบั กรบั พวง ครูพิจารณาจากการเขยี นแผนผังความคดิ โหม่ง ปี่กาหลอ ปี่ไฉน ร�ามะนา กลองโนรา (Mind Mapping) สรปุ สาระสําคัญเกยี่ วกับ ระบ�าตารีกีปัส เป็นระบ�าพ้ืนบ้านภาคใต้ท่ีใช้พัดเป็น เป็นต้น ลักษณะเฉพาะของนาฏศิลปพน้ื เมอื งในแตละภาค อปุ กรณ์สา� คัญประกอบการแสดง ของนกั เรียน ๑4๘ นักเรียนควรรู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั ระบาํ พน้ื เมอื ง 1 ระบาํ กรีดยาง เปน การแสดงทีด่ ัดแปลงมาจากการทาํ สวนยาง โดยเรมิ่ จาก ระบําพ้นื เมืองของภาคใตเดด็ ขาด คมชดั เพราะไดรับอทิ ธพิ ลมาจากอะไร การออกไปกรีดยาง นาํ นํา้ ยางไปผสมกบั นํา้ ยา แลว กวนจนนํ้ายางแข็งตัว 1. ดนตรที ช่ี ดั เจน รวดเรว็ ใชกลองแขกและรํามะนาเปน หลกั จึงนําไปนวดและรดี เปนแผน แลวนําออกตากแดดสุดทาย คือ การเก็บแผน ยาง 2. ภาษาพูดทร่ี วดเร็ว 2 ตันหยง เปนการขับรองประกอบทา รํา นิยมนํามาเลนเพ่อื สรางความ 3. วฒั นธรรมผสมผสานระหวางไทยและมลายู สนกุ สนานและการมสี ว นรว มของคนในชมุ ชน เปน การผอ นคลายหลงั เสรจ็ ภารกจิ จากการ 4. ดนิ แดนชายทะเล ทาํ ใหศ ิลปะแสดงออกถึงคล่ืนลมพายุท่ีรนุ แรง ทํานา ทาํ สวนของชาวบา น หรอื ไวแ สดงในงานเทศกาล งานบญุ งานประเพณตี า งๆ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะภาคใต เปนดินแดนทต่ี ิดกบั มลายู 3 สีละ เปนศลิ ปะการตอ สูปอ งกนั ตวั ของชาวไทยมุสลิมในแถบจงั หวดั ชายแดน ทาํ ใหร บั วฒั นธรรมของมลายมู าผสมผสาน ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี วฒั นธรรม ภาคใต และบุคลิกบางอยา งจะคลายคลึงกัน คอื พูดเร็ว อุปนสิ ยั วอ งไว ตดั สนิ ใจ รวดเรว็ เดด็ ขาด การแตง กาย การแสดง เพลง และดนตรมี คี วามคลา ยคลงึ กนั มาก มุม IT จงึ ทําใหระบําพน้ื เมืองของภาคใตม ลี ักษณะเด็ดขาด คมชดั นกั เรยี นสามารถชมการแสดงนาฏศิลปพน้ื เมืองชดุ ระบํากรดี ยาง ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคน หาจากคําวา ระบาํ กรดี ยาง 148 คู่มอื ครู กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ เกร็ดศลิ ปเ์กรด็ ศลิ ป์ การแสดงพน้ื เมือง ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง 4 ภาค ใหนักเรียนชม จากน้นั ครูถามนกั เรยี นวา การแสดงพ้นื เมือง สามารถแบง่ ออกเป็น ๓ ประเภท คือ การแสดงประเภทลา� นา� ทา� นอง การแสดงเปน็ ชดุ เบ็ดเตล็ด และการแสดงเป็นเร่ืองเป็นราว การแสดงแต่ละประเภทมีลักษณะและรูปแบบการแสดงท่ีต่างกัน • การแสดงท่ีนักเรยี นไดช มไปนัน้ ตามวิถีชีวิต ความเช่ือ ค่านิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณีในแต่ละท้องถ่ิน ซ่ึงจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น มีลักษณะเฉพาะ หรือมจี ดุ เดนอยา งไร การแสดงพ้ืนเมืองประเภทล�าน�าท�านองจะมีความเรียบง่าย ใช้ค�าส�านวนโวหาร ใช้ภาษาในแต่ละท้องถ่ิน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ เน้นความตลกขบขัน กระแทกกระท้ัน ใช้ปฏิภาณไหวพริบในการโต้ตอบกัน ส่วนใหญ่จะกล่าวเสียดสีสังคม ไดอ ยางอิสระ) พูดสองแง่สองง่าม ใช้ส�าเนียงภาษาแต่ละท้องถ่ิน ส่วนการแสดงพ้ืนเมืองประเภทชุดเบ็ดเตล็ด จะมีลีลาท่าร�า เลยี นแบบมาจากวิถีชีวิตของคนในชมุ ชนน้นั ๆ เชน่ เพลงเก่ียวขา้ ว เพลงแมศ่ ร ี ฟ้อนเมอื ง ระบา� ชาวนา เปน็ ตน้ สา� รวจคน้ หา Explore ๔. การแสดงนาฏศิลปพ์ ้นื เมืองแตละภาค ใหน กั เรยี นแบง กลมุ ออกเปน 4 กลมุ ใหน กั เรยี น ศกึ ษา คน ควา หาความรเู พม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั การแสดง- การแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งของแตล่ ะภมู ภิ าคนน้ั มอี ยเู่ ปน็ จา� นวนมาก ทงั้ ทเี่ ปน็ แบบของเดมิ นาฏศลิ ปพ นื้ เมอื งภาคตา งๆ จากแหลง การเรยี นรตู า งๆ และแบบท่ีประยุกต์ขึ้นใหม่ เพื่อเป็นตัวอย่างในการศึกษาถึงประวัติความเป็นมา เครื่องแต่งกาย เชน หอ งสมดุ โรงเรยี น หอ งสมดุ ชมุ ชน อนิ เทอรเ นต็ ลกั ษณะและวธิ กี ารแสดง เพลงรอ้ ง เครอ่ื งดนตร ี และลลี าทา่ รา� จงึ ขอนา� การแสดงนาฏศลิ ปพ์ นื้ เมอื ง เปน ตน ในหวั ขอทคี่ รูกาํ หนดให ดงั ตอ ไปนี้ ในแต่ละภมู ภิ าคมาอธบิ ายใหผ้ ู้เรียนทราบพอสังเขป ดงั นี้ 4.๑ นาฏศลิ ปพ์ ืน้ เมืองภาคเหนอื ชุด “ฟอ นเทยี น” กลมุ ที่ 1 การแสดงนาฏศิลปพ นื้ เมอื ง ภาคเหนอื ชุดฟอ นเทยี น ๑) ประวัติความเป็นมา แต่เดิมฟ้อนเทียนเป็นการฟ้อนสักการบูชาส่ิงศักดิ์สิทธิ์ กลมุ ที่ 2 การแสดงนาฏศลิ ปพ ้ืนเมือง ประกอบพิธีเฉพาะในงานส�าคัญในเขตพระราชฐาน ในคุ้มเจ้าหลวง ผู้ฟ้อนล้วนเป็นเจ้านายเช้ือ- ภาคกลางชดุ รําวงมาตรฐาน พระวงศ์ฝ่ายใน ความสวยงามของการฟ้อนอยู่ที่ความงามของแสงเทียนท่ีส่องใบหน้าผู้แสดง และความออ่ นชอ้ ยงดงามของกระบวนทา่ รา� การฟอ้ นเทยี นครง้ั สา� คญั ทม่ี หี ลกั ฐานปรากฏ คอื เมอื่ กลุมที่ 3 การแสดงนาฏศิลปพ ืน้ เมอื ง คราวทพ่ี ระราชชายาเจา้ ดารารศั มที รงฝก หดั หญงิ สาวชาวเหนอื ใหฟ้ อ้ นถวายรบั เสดจ็ พระบาทสมเดจ็ - ภาคตะวนั ออกเฉียงหนอื (อสี าน) พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท ่ี ๗) เมอ่ื คราวเสดจ็ ประพาสมณฑลฝา่ ยเหนอื เมอื่ ป ี พ.ศ. ๒๔๖๙ และ ชดุ เซง้ิ สวิง ครนู าฏศิลปข์ องกรมศลิ ปากรก็ได้ฝก จ�าน�ามาแสดง กลมุ ท่ี 4 การแสดงนาฏศิลปพ้นื เมอื ง ๒) เครอ่ื งแตง่ กาย ผแู้ สดงจะแตง่ กายแบบชาวไทยภาคเหนอื สมยั โบราณ คอื เกลา้ มวย- ภาคใตชดุ ตารีกีปส สงู คอ่ นไปดา้ นหลงั ทดั ดอกไมล้ อ้ มมวยผม และหอ้ ยอบุ ะยาวลงมาประบา่ นงุ่ ผา้ ซนิ่ ลายขวางปา้ ยขา้ ง อธบิ ายความรู้ Explain สวมเสื้อคอกลมแขนกระบอก ห่มสไบเฉียง โดยปล่อยชายด้านหน้าประมาณครึ่งล�าตัวและชาย ดา้ นหลงั ยาวประมาณคร่ึงน่อง สวมเครอื่ งประดับ เช่น ตา่ งห ู สร้อยคอ สร้อยขอ้ มือ และเข็มกลดั ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 1 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู กลดั บนสไบฐานไหล่ด้านซา้ ยของผู้แสดง เปน็ ตน้ เพิม่ เติมเก่ยี วกับการแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง ภาคตา งๆ สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ าย ๓) ลกั ษณะและวธิ ีการแสดง การฟ้อนเทยี นเปน็ การฟ้อนในท่ีรโหฐาน เพอ่ื ต้อนรบั ความรใู นหวั ขอ การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งภาคเหนอื ชดุ ฟอนเทียน ตามท่ไี ดศ กึ ษามาหนา ช้ันเรยี น แขกบา้ นแขกเมอื ง หรอื บคุ คลสา� คญั ของชาวไทยภาคเหนอื มเี ทยี นเปน็ อปุ กรณป์ ระกอบการแสดง จากนั้นครถู ามนักเรยี นวา ๑4๙ • การแสดงฟอนเทยี นสะทอนใหเห็นถึงสง่ิ ใด (แนวตอบ สะทอนใหเห็นขนบธรรมเนียม ประเพณขี องผูค นในทองถน่ิ ภาคเหนือ) แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู ขอใด ไมใ ช ปจ จยั ทีท่ าํ ใหก ารแสดงนาฏศิลปพ ้นื เมืองของแตล ะภาค ครคู วรเนน ใหเ หน็ วา การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งภาคเหนอื เปน ลกั ษณะของศลิ ปะทมี่ ี มีลักษณะท่ีแตกตางกัน การผสมผสานกันระหวางชนพ้ืนเมืองชาติตา งๆ ไมว า จะเปน ไทยลา นนา ไทยใหญ เงีย้ ว รวมถึงพมา จึงทาํ ใหก ารแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมอื งภาคเหนอื มคี วามหลากหลาย 1. ศาสนา แตยังคงเอกลักษณเฉพาะทแ่ี สดงถงึ ความนมุ นวล ออ นหวานของผูคนในภาคเหนอื 2. ประเพณี ซึ่งการแสดงของภาคเหนือจะเรยี กวา “ฟอน” สามารถแบงออกเปน 5 ประเภท คอื 3. ประชากร ฟอนทีส่ บื เนอ่ื งมาจากการนับถอื ผี เชน ฟอนผบี า นผเี มอื ง เปน ตน ฟอนแบบเมือง 4. ภูมิศาสตร เปน การฟอนท่ีมลี ีลาการแสดงเปน แบบฉบบั ของคนเมือง เชน ฟอ นเล็บ ฟอ นเทยี น ฟอนสาวไหม เปนตน ฟอ นแบบมาน เปน การฟอ นท่ผี สมผสานกันระหวางศิลปะ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะประชากรไมใชปจจยั ที่ทาํ ให การฟอ นของพมา กบั ไทยลานนา เชน ฟอนมา นมยุ เชยี งตา เปน ตน ฟอนแบบเง้ยี ว เปนการฟอ นท่ีรับอทิ ธิพลมาจากชาวไทยใหญผสมกับชาวไทยลานนา เชน การแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมอื งของแตล ะภาคมีลกั ษณะที่แตกตา งกนั ฟอ นเงย้ี ว ฟอนไต มองเซิง เปน ตน และฟอ นที่ปรากฏในบทละคร เปนการฟอน เพราะการแสดงนาฏศลิ ปพ้ืนเมอื งแตละภาคจะมีรูปแบบที่แตกตาง ท่ีมผี คู ิดสรางสรรคข ้ึน เพื่อใชป ระกอบการแสดงละคร เชน ฟอนลาวแพน กันออกไปตามวิถชี ีวิต ความเชื่อ คา นิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ฟอ นมา นมงคล เปน ตน การนับถือศาสนา สภาพทางภมู ิศาสตร ซงึ่ สิ่งเหลาน้ี ลว นเปน ปจจยั ทีท่ าํ ให การแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมืองมีความแตกตา งกนั คูม่ อื ครู 149 กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหน กั เรียนศกึ ษาเนอื้ เพลงฟอนเทียน ใชผ้ ู้แสดงเปน็ ค ู่ จา� นวน ๓ คู่ขึ้นไป สว่ นใหญ่จะนิยมแสดง ๔ คู ่ หรอื ๘ คน กระบวนทา่ รา� มคี วาม จากในหนงั สอื เรยี น หนา 150 ออ่ นชอ้ ย งดงาม จงั หวะเนบิ นาบและตอ่ ทา่ ใหส้ มั พนั ธก์ นั เพอ่ื อวดแสงเทยี นและใบหนา้ อนั งดงาม 2. ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี เี พลงฟอ นเทยี นใหน กั เรยี นฟง ของผู้ฟ้อน ลักษณะการถือเทียนให้น้ิวชี้กับ พรอ มทั้งสาธิตวิธีการขับรองเพลงฟอนเทียน นวิ้ กลางคบี ลา� เทยี น นว้ิ หวั แมม่ อื รองกน้ ลา� เทยี น ทถ่ี ูกตอ งใหนกั เรียนฟง แลว ใหนกั เรยี นฝก ดนั ปลายเทียนขึ้น บงั คบั เทยี นให้สอดคลอ้ งกบั ปฏบิ ัติตาม จากน้นั ครูสมุ นกั เรียน 2 - 3 คน ขอ้ มือ ลา� แขน และกระบวนท่ารา� ออกมาสาธิตวิธีการขบั รอ งเพลงฟอนเทยี น ทถี่ ูกตองใหเพอ่ื นชมหนาช้ันเรียน โดยมีครู ๔) เพลงร้อง บทร้องของเพลง เปนผูคอยชแ้ี นะความถูกตอง ฟ้อนเทียนที่ใช้ประกอบการร�านั้น มีท้ังบท1 3. ครสู าธติ การรา ยราํ เพลงฟอนเทยี นทถี่ กู ตอง พระราชนิพนธ์ของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ใหนกั เรียนดู จากน้ันใหนักเรยี นฝก ปฏบิ ตั ติ าม และบทที่ได้ประพันธ์ขึ้นใหม่โดยอาจารย์ แลวใหนกั เรียนแตละกลุมผลดั กันออกมาสาธิต มนตร ี ตราโมท ซ่งึ ประพันธ์โดยอาศัยเคา้ โครง วธิ กี ารรา ยราํ เพลงฟอ นเทยี นทถ่ี กู ตอ งใหเ พอื่ นชม การฟอ้ นเทยี น ความสวยงามอยทู่ กี่ ระบวนทา่ รา� ทม่ี คี วาม ของเกา่ หนาช้ันเรียน โดยมคี รเู ปน ผคู อยชีแ้ นะ ความถูกตอง จากน้นั ครูถามนกั เรียนวา อ่อนชอ้ ย งดงามประกอบกับลลี าการถือเทยี นทส่ี ่องสวา่ ง • การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมืองภาคเหนอื ชดุ “ฟอนเทยี น” มีลกั ษณะเดนอยา งไร บทร้องเพลงฟอ้ นเทยี น (แนวตอบ ฟอ นเทยี น เปน ระบาํ ทมี่ คี วามออ นชอ ย ลกั ษณะการราํ จะกา วเทา เรยี งตามกนั อยา งชา ๆ บทรอ้ ง : มนตรี ตราโมท ผฟู อ นจะถอื เทยี นในมอื และจดุ เทยี นมอื ละเลม นยิ มนาํ มาแสดงในเวลากลางคนื ความสวยงาม สรวมชีพขอนมัสการ โยนก พระทรงญาณชินศรี ของการฟอ นเทียนอยูท คี่ วามเปน ระเบยี บและ ไหวพ้ ระธรรมล�า้ ธรณี ซอยิ้น อัญชลพี ระสงฆ์เจ้า ความพรอมเพรียง แสงเทยี นจะมคี วามระยิบ ขอจงพระเดช พระปกเกศเกล้า ระยับในขณะท่ีผูฟอนกําลงั รายรํา การรายราํ เหลา่ ขา้ ผูร้ �า ฟ้อนสราญ จะเคลอื่ นทอี่ ยา งชา ๆ เพ่ือไมใหเ ทียนดับ) • ถานกั เรียนตอ งการนําการแสดงฟอนเทยี น ปวงขา้ เจ้า ยินดที ่ีเนา ในถิ่นไทยสถาน ติสขุ นานา ไปจัดแสดงในงานสาํ คญั นกั เรยี นจะเลือก ระเริงระร่นื ช่มุ ช่นื ใจบาน ทกุ ส่ิงเทดิ ศาน - พาใจใฝช่ ม จัดแสดงในงานประเภทใด เพราะเหตใุ ด เบ่ิงดอกไม ้ ก็งามวิไล ลออพอตา โอบออ้ มอารี (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น หลายสีเลอสวรรค ์ หลากพนั ธ์ผุ กา กล่ินร่นื นาสา ตรงึ ชาติปวงชนฯ ไดอยางอิสระ) ปวงประชา ยอพกั ตร์ลกั ขณา ทรงงามข�าคม หนา้ ตาชื่นบาน สา� ราญอารมณ์ จติ นอ้ มนยิ ม มั่นรกั ษา พุทธศาสนา แนบดวงฤดี สง่ เสรมิ ศลิ ปะ บล่ ะประเพณ ี ผกู มติ รไมตรี ๑50 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใดตอ ไปนี้ ไมจัด อยูในประเภทเดยี วกัน 1 พระราชชายาเจาดารารศั มี พระชายาในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา - 1. ฟอนแหครวั ทาน ฟอนผี ฟอนปน ฝาย เจาอยหู ัว (รัชกาลที่ 5) พระองคทรงเปนเจาหญงิ แหง ราชวงศฝายเหนอื ผมู บี ทบาท 2. ฟอ นกิงกะหรา ฟอ นกายลาย ฟอ นโต สาํ คญั ยง่ิ ตอ การรวมลา นนาเขา กบั สยาม ทรงสนพระทยั ในการสง เสรมิ ศลิ ปวฒั นธรรม 3. ฟอ นสาวไหม ฟอนกําเบอ ฟอนเชียงแสน ลา นนา โดยเฉพาะอยา งย่งิ ในเรือ่ งดนตรแี ละการแสดงพ้นื เมือง โดยการใหร วบรวม 4. ฟอ นมา นมุย เชยี งตา ฟอนมเู ซอ ฟอนโยคีถวายไฟ ศลิ ปน ลา นนามาเปน ครผู ถู า ยทอดวชิ าใหแ กพ ระญาตริ วมถงึ ประชาชน นอกจากนี้ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะฟอ นสาวไหม จัดเปน ฟอนบาเกา ยงั ทรงรบั เปน องคอ ปุ ถัมภโ รงเรยี นและโปรดใหครชู างฟอ นเมืองและฟอ นมานมุย- (ฟอ นโบราณ) ฟอนกําเบอ จดั เปนฟอ นประดษิ ฐใ นพระราชสํานัก เชียงตาในวงั มาสอนนกั เรยี นดว ย และฟอ นเชียงแสน จดั เปนฟอ นประยกุ ต (ฟอ นท่ีประดิษฐข้นึ ในระยะหลัง) มุม IT นักเรียนสามารถชมการแสดงนาฏศิลปพ น้ื เมอื งชดุ ฟอนเทียน ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคําวา ฟอนเทียน 150 คมู่ อื ครู กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๕) เครอื่ งดนตรี ที่ใชบ้ รรเลงประกอบการแสดงฟอ้ นเทยี นม ี ๒ ประเภท คอื วงดนตรี ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 2 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู เพม่ิ เตมิ เกี่ยวกับการแสดงนาฏศิลปพ้ืนเมอื ง พื้นเมืองภาคเหนอื จะประกอบไปด้วยซึง สะลอ้ ตะโลด้ โป๊ด และกลองแอว และวงดนตรีปี่พาทย์ ภาคตา งๆ สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย เครอื่ งหา้ จะประกอบไปดว้ ยป่ีใน ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ กลองทดั ตะโพน และฉ่งิ ความรใู นหวั ขอ การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งภาคกลาง ชดุ รําวงมาตรฐาน ตามที่ไดศึกษามาหนาชนั้ เรยี น ๖) ลกั ษณะและลลี าทา่ รา� การฟอ้ นเทยี น เปน็ การแสดงทว่ี วิ ฒั นาการมาจากฟอ้ นเมอื ง จากน้นั ครถู ามนักเรียนวา ซง่ึ เปน็ การฟอ้ นทมี่ กี ระบวนทา่ เปน็ ทา่ แมบ่ ทภาคเหนอื กระบวนทา่ รา� ของฟอ้ นเทยี นจะมกี ระบวนทา่ • ราํ โทนเปนการแสดงท่ีมีลกั ษณะอยา งไร ท่ีเคล่ือนไหวค่อนขา้ งชา้ เนบิ นาบ กา้ วเท้าเดนิ เรยี งเทา้ ไปขา้ งหน้า หนั หน้าดา้ นขวาและด้านซา้ ย (แนวตอบ เปน การแสดงทส่ี รา งขน้ึ เพอื่ เปน การ ใชก้ ระบวนทา่ แมบ่ ท เชน่ ทา่ จบี สง่ หลงั ทา่ พระจนั ทรท์ รงกลด ทา่ มว้ นไหว ้ เปน็ ตน้ นอกจากน ี้ หากมี ผอ นคลายความตงึ เครยี ด หลงั จากสิ้นภาวะ เน้ือร้องก็จะตีบทไปตามบทร้องด้วยการใช้ภาษาท่าร�าและภาษานาฏศิลป์ หรือนาฏยภาษา และ สงคราม บทรอ งและทาํ นองเพลงจะแตง จะจบลงด้วยการเข้าซุ้มต่อเทียน ลักษณะเด่นของการฟ้อนเทียน คือ การอวดลีลาของการฟ้อน ใหเ ขากบั จังหวะหนา ทบั ของโทน บทรอ ง อวดแสงเทยี นทเ่ี ชอ่ื มต่อสมั พันธ์กันด้วยกระบวนทา่ ร�า ทา� ให้เกิดความวิจิตรงดงาม จะเปนบทเชญิ ชวน สัพยอก หยอกเยา 4.๒ นาฏศลิ ป์พ้นื เมอื งภาคกลาง ชดุ “รำ�วงม�ตรฐ�น” และบทชมโฉม บทรําพันรักระหวาง หนุม - สาว เปนบทรองท่ีจะใชคาํ ที่จดจํางาย ๑) ประวตั คิ วามเปน็ มา รา� วงมาตรฐานเปน็ ศลิ ปะแหง่ การรา� วงทงี่ ดงาม ซง่ึ ในสมยั กอ่ น ในระหวา งสงครามโลกครงั้ ท่ี 2 ประชาชน นยิ มเลนราํ โทนกันมาก โดยจะดดั แปลง ยังมิได้มีค�าว่า “มาตรฐาน” จะเรียกกันเพยี งวา่ “รา� วง” ทสี่ บื เนอ่ื งมาจากการรา� โทน อนั เปน็ การ เนื้อเพลงใหเขา กบั สภาวะสงคราม ละเลน่ พนื้ เมอื งของชาวบา้ นภาคกลาง ซงึ่ นยิ มเลน่ กนั อยา่ งแพรห่ ลาย รฐั บาลจอมพล ป. พบิ ลู สงคราม เพือ่ สรางความรกั ใครส ามัคคกี ันในกลุม ชน ในขณะน้ันได้เล็งเห็นความสวยงาม ความส�าคัญ และต้องการเชิดชูร�าโทนให้มีระเบียบแบบแผน รวมถงึ การสรา งความสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ ) จงึ มอบหมายใหก้ รมศลิ ปากรเปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบในการปรบั ปรงุ และพฒั นาการรา� โทนขน้ึ ใหม ่ ทง้ั ทาง ดา้ นเนอ้ื รอ้ ง ทา� นอง และเครอ่ื งแตง่ กาย โดยกรมศลิ ปากรไดม้ อบหมายใหจ้ มนื่ มานติ ยน์ เรศ (เฉลมิ • คาํ วา “ราํ วงมาตรฐาน” มคี วามหมายวา อยา งไร เศวตนนั ท)์ เปน็ ผปู้ ระพนั ธค์ า� รอ้ งประกอบการรา� ขน้ึ ใหม ่ ๔ เพลง คอื เพลงงามแสงเดอื น เพลงชาวไทย (แนวตอบ ราํ วงมาตรฐาน หมายถงึ ศลิ ปะแหง เพลงรา� ซมิ ารา� และเพลงคนื เดอื นหงาย พรอ้ มทง้ั ประดษิ ฐท์ า่ รา� ตามแบบนาฏศลิ ปไ์ ทยขน้ึ ใชเ้ ฉพาะเพลง การฟอ นราํ ใหเ ขา กบั จงั หวะหนาทับ ใชท าราํ เเ พพลลงงยด อวดงชจาันตยทใ่อจรมห์วาาันทญเ่าพ แน็ญลผะ ู้หเเพญพลิงลงลงบะดชูเออานกียกไดั มร บ้ขพ2 อซิบงงึู่ลชเพสางลตคงิ ตรเาา่พมงๆล งดไหดงั ญก้แลติงา่่งไวทบนทย ี้ กใรจร้อมงงาศขมลิ้ึน1 ปมาเาพกใรลหไงมดดป้่อวรีกงบั จป๖ันร ทงุ เใรพห์ขมลว ่งโัญ ดฟยคมือ้าี ท่ีเปนแบบฉบับมาตรฐาน โดยรําเปนวงกลม อาจารยศ์ ภุ ลกั ษณ ์ ภทั รนาวกิ (หมอ่ มตว่ น) อาจารยม์ ลั ล ี คงประภศั ร ์ และอาจารยล์ มลุ ยมะคปุ ต ์ รว่ มกนั หันหนา ทวนเขม็ นาฬก า) ปรับปรุงตามแนวทางแบบนาฏศิลป์ไทย และเรียกร�าวงท่ีมีศิลปะเป็นแบบฉบับมาตรฐานน้ีว่า “ร�าวงมาตรฐาน” สบื มาจนถึงปัจจุบนั • นกั เรียนสามารถนาํ การแสดงราํ วงมาตรฐาน ไปใชในกิจกรรมใดไดบาง ๒) ลกั ษณะและวธิ กี ารแสดง เพลงทใ่ี ชใ้ นรา� วงมาตรฐานมที ง้ั สนิ้ ๑๐ เพลง ซงึ่ แตล่ ะเพลง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งอสิ ระ) จะมีท่าร�ามาตรฐานที่ใช้เฉพาะกับเพลงแต่ละเพลงไม่ปะปนกัน ส�าหรับวิธีการแสดงจะร�าเป็นคู่ ชาย - หญงิ จา� นวนคขู่ นึ้ อยกู่ บั สถานทที่ จ่ี ดั การแสดง โดยจะเดนิ รา� เปน็ วงกลมทวนเขม็ นาฬกิ า มดี นตรี และการขบั ร้องเพลงประกอบการรา่ ยร�า ๑5๑ แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด นักเรยี นควรรู ทา รํา “ชางประสานงา” ใชกับเนื้อเพลงใด 1 เพลงหญงิ ไทยใจงาม ใชท า ราํ คอื ทา ยงู ฟอ นหางและทา พรหมสหี่ นา เนอ้ื หาของ 1. ดวงจันทรขวัญฟา ช่นื ชวี าขวัญพ่ี เพลงจะกลาวถงึ ดวงจนั ทรที่สองแสงอยูบ นทอ งฟา มีความงดงามมาก และยิ่งได 2. โอยอดชายใจหาญ ขอสมานไมตรี แสงอนั ระยิบระยบั ของดวงดาวดวยแลว ยิ่งทําใหด วงจันทรน นั้ งามเดน ย่งิ ขึน้ 3. งามแสงเดือนมาเยอื นสอ งหลา งามใบหนามาอยวู งราํ เปรยี บเหมอื นกับดวงหนาของหญงิ สาวที่มีความงดงามอยแู ลว ถามคี ุณความดดี วย 4. เดอื นพราวดาวแวววาวระยบั แสงดาวประดับสองใหเดือนงามเดน กจ็ ะทาํ ใหห ญงิ ผนู นั้ งามเปน เลศิ ผหู ญงิ ไทยนเี้ ปน ขวญั ใจของชาติ เปน ทเ่ี ชดิ หนา ชตู า ของชาติ รปู รา งก็งดงาม จิตใจก็กลาหาญ ดังทม่ี ชี อื่ เสยี งปรากฏอยทู วั่ ไป วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะทา ราํ ชางประสานงา เปนทา รําท่ใี ช 2 เพลงบชู านกั รบ ใชท า ราํ คอื ทา ขดั จางนาง, ทา จนั ทรท รงกลด, ทา ลอ แกว และทา - ขอแกว เน้ือหาของเพลงจะกลาวถึงนองรกั และบชู าพี่ เพราะมีความกลาหาญ คกู บั ทาจันทรทรงกลดในเพลงดวงจนั ทรข วญั ฟา จากในเนอ้ื เพลงท่ีวา เปนนกั สทู เ่ี กงกลาสามารถสมกับเปน ชายชาตนิ กั รบทม่ี ีความมานะอดทน แมว าจะ “ดวงจนั ทรข วญั ฟา ชื่นชีวาขวญั พ่ี จนั ทรประจาํ ราตรี แตขวัญพี่ประจาํ ใจ ยากเย็นแสนเข็ญ พ่กี ต็ อ สูจนช่ือเสยี งเลอ่ื งลือไปท่ัว นอกจากนี้ ยังขยนั ขันแขง็ ในงาน ทเ่ี ทิดทูนคอื ชาติ เอกราชอธปิ ไตย ถนอมแนบสนิทใน คอื ขวัญใจพเี่ อย” ทกุ อยา ง อตุ สาหส รางหลกั ฐานใหม ั่นคงและพย่ี งั มคี วามรักในชาตบิ านเมอื งยง่ิ กวา ชวี ิต ยอมสละไดแ มชวี ิตและเลอื ดเนอ้ื เพ่อื ใหชาติไทยคงอยูคโู ลกตอ ไป คู่มือครู 151 กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหนักเรียนศกึ ษาเนอ้ื เพลงรําซิมารํา ในระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๒ น ้ี ใหผ้ เู้ รยี นฝก รา� วงมาตรฐานเพลง “รา� ซมิ ารา� ” สนุ ทรยี ะ จากในหนงั สอื เรียน หนา 152 ของร�าวงมาตรฐานเพลงร�าซิมาร�า คือ ลีลาท่าร�าส่ายสัมพันธ์คู่ชาย - หญิง ซึ่งต้องให้อ่อนช้อย และสวยงามตามแบบแผนของนาฏศลิ ป์ไทยทมี่ ี 2. ครูเปดซดี ี หรอื ดวี ดี เี พลงราํ ซิมารําใหนกั เรยี นฟง ความกลมกลนื ตามรปู แบบวัฒนธรรมไทย พรอมทั้งสาธติ วิธกี ารขบั รอ งเพลงรําซมิ ารํา ๓) เครอ่ื งแตง่ กาย สามารถแตง่ ได้ ทีถ่ กู ตองใหน ักเรยี นฟง แลวใหน ักเรียนฝก หลายแบบ เช่น แบบพ้ืนเมือง แบบพ้ืนบ้าน ปฏิบตั ิตาม จากน้ันครสู ุม นกั เรยี น 2 - 3 คน ภาคกลาง โดยผชู้ ายจะนงุ่ ผา้ โจงกระเบน สวมเสอื้ ออกมาสาธติ วิธกี ารขบั รองเพลงรําซมิ ารํา คอกลมลายดอก หรอื เส้อื ผา้ แพร มีผ้าคาดเอว ทถี่ ูกตอ งใหเพือ่ นชมหนาช้นั เรยี น โดยมคี รู ส่วนผู้หญิงจะนุ่งผ้าโจงกระเบน ห่มสไบอัดจีบ เปนผคู อยชี้แนะความถกู ตอ ง คาดเขม็ ขดั ทดั ดอกไมด้ า้ นซา้ ย และแบบสากล- นยิ ม ผชู้ ายจะสวมชดุ สทู สากล เสอ้ื เชต้ิ แขนยาว 3. ครูสาธิตการรายรําเพลงรําซมิ าราํ ท่ถี กู ตอง ผกู เนกไท สวมรองเท้า ผ้หู ญิงจะสวมกระโปรง ใหนกั เรียนดู จากนน้ั ใหน ักเรียนฝกปฏิบตั ติ าม ใสถ่ ุงนอ่ ง รองเทา้ เปน็ ต้น แลวใหน กั เรยี นแตละกลมุ ผลัดกนั ออกมาสาธติ ๔) เครื่องดนตรี ที่ใช้บรรเลง การรา ยราํ เพลงรําซิมารําท่ถี ูกตองใหเ พือ่ นชม ประกอบการแสดงรา� วงมาตรฐานเพลงรา� ซมิ ารา� หนาชั้นเรยี น โดยมคี รูเปนผคู อยชแ้ี นะ การแต่งกายแบบสากลนิยม เดมิ มเี ครอ่ื งดนตรปี ระกอบ คอื ฉง่ิ กรบั ฉาบ และ ความถูกตอง จากน้ันครถู ามนกั เรยี นวา • การรําในเพลงรําซมิ าราํ ท่ีถูกตอ ง โทน เมอ่ื มกี ารพฒั นาการรา� ขนึ้ จงึ ไดพ้ ฒั นาเครอ่ื งดนตรที ใี่ ชเ้ ปน็ วงปพ่ี าทยแ์ ละวงดนตรสี ากลบรรเลง จะตองปฏิบัติอยา งไร เศวตนนั ท)์ ห๕วั )หนเพา้ กลองงรก้อางรส งับคทตี เ1 พกรลมงศร�ลิาซปิามการร (�าป รปะพระนั พธัน์ในธน์คา�ามรก้อรงมโดศลิยปจมากื่นรม) าแนลิตะปยร์นะเพรนัศธ ท์(เา�ฉนลอิมง (แนวตอบ เหยยี ดแขนทง้ั 2 ขา ง ตงึ โดยมอื ซา ย โดยอาจารย์มนตร ี ตราโมท อยรู ะดับไหล มือขวาคว่ําอยรู ะดับเอว มือซาย วาดแขนลงอยรู ะดับเอว พรอ มกับพลกิ มือขวา บทร้องเพลงรา� ซมิ าร�า หงายขนึ้ ระดบั ไหล สลับกนั เชนนีจ้ นจบเพลง สวนเทา กา วตามจังหวะเมอื่ ถงึ เนือ้ เพลงทวี่ า ร�ามาซมิ ารา� เริงระบ�ากนั ใหส้ นุก “เลนอะไรใหม ีระเบียบใหง ามใหเรยี บจึงจะ ยามงานเราท�างานจริงจริง ไมล่ ะไมท่ ้งิ จะเกิดเขญ็ ขกุ คมขํา” ใหฝ า ยหญงิ กลบั หลงั หันตาม ถึงยามวา่ งเราจึงร�าเลน่ ตามเชิงเช่นเพื่อให้สรา่ งทุกข์ จังหวะเพลง หมุนตวั ทางซา ยเดินเปล่ียนทกี่ บั ตามเย่ยี งอยา่ งตามยุค เล่นสนุกอยา่ งวฒั นธรรม ฝา ยชายเปนรูปครึง่ วงกลม เมอ่ื ถึงเนอื้ เพลง เล่นอะไรใหม้ ีระเบียบ ให้งามให้เรยี บจงึ จะคมขา� “มาซมิ าเจา เอย มาฟอ นราํ มาเลน ระบาํ ของไทย มาซมิ าเจา้ เอย มาฟ้อนรา� มาเลน่ ระบา� ของไทยเราเอย เราเอย” ใหฝา ยหญงิ หมนุ ตัวกลับหลงั หนั ทางดา นขวาเดินกลับทเี่ ดิม ฝายชายกเ็ ดนิ ตามฝายหญงิ ตอไป) ๑5๒ เกรด็ แนะครู บรู ณาการเช่ือมสาระ จากการศึกษาเก่ยี วกับการแสดงรําโทน สามารถเช่ือมโยงกบั การเรียน ครคู วรเปดซดี ี หรอื ดวี ดี ีการแสดงรําวงมาตรฐานในเพลงรําซมิ าราํ ใหนักเรยี นชม การสอนในกลมุ สาระการเรยี นรสู งั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พรอ มกบั อธิบายความหมายของเนอื้ เพลงวา ขอพวกเรามาเลน รําวงกันใหส นกุ สนาน ในเรอ่ื งการเมืองและการปกครอง กลาวคอื การเกดิ สงครามโลกครง้ั ท่ี 2 เพลดิ เพลนิ ในยามวา ง จะไดผ อนคลายจากความทุกข เมอ่ื ทํางานเรากจ็ ะทํางานกนั จอมพล ป. พิบลู สงคราม นายกรฐั มนตรี ไดตดั สนิ ใจใหป ระเทศญป่ี นุ ดว ยความอตุ สาหะ เพื่อจะไดไ มล าํ บาก การราํ ก็จะรําอยา งมรี ะเบยี บแบบแผน เขามาตงั้ ฐานทัพในไทย เพราะเกรงวาหากปฏิเสธคงจะถูกปราบปราม ตามวฒั นธรรมไทยของเรา ดูแลว งดงาม ไทยจงึ ไดรับผลกระทบจากการรุกรานของฝายพันธมิตร ประชาชนจึงไดห า วิธีผอนคลายความตึงเครยี ดดว ยการรําโทน คํารอง ทาํ นอง และการแตง นักเรียนควรรู กายมคี วาม เรยี บงาย เพลงท่นี ิยมขบั รอ ง เชน เพลงใกลเขา ไปอกี นดิ ชอ มาลี ตามองตา ยวนยาเหล เปนตน ตอ มาจอมพล ป. พบิ ูลสงคราม จึงไดมอบให 1 กองการสงั คตี ปจจบุ ัน คือ สาํ นกั การสงั คตี ซึ่งมพี นั ธกจิ ในการสํารวจ กรมศิลปากรเปนผูปรับปรงุ และพฒั นาการรําโทนใหมีระเบยี บแบบแผน รวบรวมองคค วามรูในดานศลิ ปวฒั นธรรม ในเร่อื งนาฏศลิ ปและดนตรี ทง้ั ไทย และความประณตี งดงามมากขึ้น ท้งั ทางดา นเนือ้ รอ ง ทาํ นอง การแตง กาย และสากล การบรหิ ารจดั การโรงละครแหง ชาติ เพ่ืออนุรักษ พน้ื ฟู สืบทอด เผยแพร ราํ โทนจงึ ถูกพฒั นาข้นึ มาเปนราํ วงมาตรฐาน โดยนยิ มนาํ มาแสดง สงเสริม สนับสนุนใหแ กประชาชนและหนว ยงานท้งั ภาครฐั และเอกชน ในงานรืน่ เริงทว่ั ๆ ไป 152 คูม่ อื ครู กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๖) ลักษณะและลีลาทา่ รา� ร�าวงมาตรฐานเพลงรา� ซมิ าร�า มีลลี าทา่ ร�าส่ายสมั พันธ์คู่ ครูสมุ นกั เรียน 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ดังตอไปน้ี ชาย - หญิง ซ่งึ เปน็ ภาษานาฏศิลป ์ หรอื นาฏยภาษาทอ่ี าจารยศ์ ุภลกั ษณ์ ภทั รนาวิก (หมอ่ มตว่ น) และอาจารยล์ มุล ยมะคปุ ต์ ปรมาจารย์ทางดา้ นนาฏศิลป์ไทยได้ประดิษฐท์ า่ รา� ไว ้ และกรมศลิ ปากร • การใชเ ทา ทถี่ กู ตอ งในการราํ วงเพลงราํ ซมิ าราํ กไ็ ดย้ ดึ ถอื เปน็ แบบแผนมาจนถงึ ปจั จบุ นั ลกั ษณะและลลี าทา่ รา� เปน็ การเดนิ รา� คชู่ าย - หญงิ เดนิ วงกลม ควรมีลกั ษณะอยางไร ทวนเข็มนาฬิกา ในลกั ษณะการเดินร�าซอ้ น ๒ วง คกู่ ันไป โดยผู้ชายจะยืนซอ้ นเหลื่อมหลงั ผูห้ ญงิ (แนวตอบ ลักษณะการเดิน จะเป็นการเดินเรียงเท้า (ถัดเท้า) ไปตามวงกลมทวนเข็มนาฬิกา 1. กาวเทาซา ยและถดั เทาขวา โดยเรม่ิ ตน้ ทก่ี ารกา้ วเทา้ ซา้ ยตรงค�ารอ้ งทว่ี า่ “ร�า” แลว้ ยอ่ เขา่ ลง ถดั เทา้ ขวาตรงค�ารอ้ งทวี่ า่ “มาร�า” ตามจังหวะเพลง เดนิ เปน วงกลม แลว้ เดนิ เรยี งเทา้ ทวนเขม็ สลบั หนั หนา้ ออกนอกวงและเขา้ ในวงจนถงึ คา� รอ้ งทวี่ า่ “เลน่ อะไรใหม้ รี ะเบยี บ” 2. เนือ้ เพลงบรรทัดท่ี 1, 3 หนั หนา จะรา� สา่ ยควงคกู่ นั เป็นวงกลม โดยชาย - หญิงจะยืนขนานหันหน้าเข้าหากัน เอียงศีรษะเข้าหากัน ออกนอกวง เอียงศีรษะขวา เดนิ ถดั เทา้ ควงคสู่ ลบั ทก่ี นั แลว้ กลบั หลงั หนั ในคา� รอ้ งทว่ี า่ “มาซมิ าเจา้ เอย๋ มาฟอ้ นรา� ” แลว้ เดนิ เรยี งเทา้ 3. เนอ้ื เพลงบรรทดั ที่ 2, 4 หนั หนา เขา ผชู้ ายซอ้ นเหลอ่ื มผหู้ ญงิ หนั หนา้ ออกนอกวงตรงคา� รอ้ งทว่ี า่ “มาเลน่ ระบา� ของไทยเราเอย” ลกั ษณะ ในวง เอียงศีรษะซา ย การเดนิ ตามแผนผงั ๑ ๒ และ ๓ เรยี งตามลา� ดับ ดงั นี้ 4. เน้อื เพลงบรรทัดท่ี 5 เดินหมนุ ตัวสลับกนั ระหวา งชาย - หญิง โดยฝายหญิงหมนุ ตวั แผนผงั ที่ ๑ หนั หน้าออกนอกวง แผนผงั ที่ ๒ หันหนา้ เขา้ ในวง กลับดานซา ย แลวเบี่ยงตัวออกนอกวง หางจากชายเล็กนอย เดนิ ไปแทนท่ี แผนผงั ที่ ๓ รา� ส่ายควงคู่กัน = ผู้ชาย ฝายชายในวงและฝายชายเดินไปแทนที่ = ผหู้ ญงิ ฝายหญงิ นอกวง เอยี งศรี ษะเขา หากนั 5. เนือ้ เพลงบรรทัดที่ 6 ทั้งฝายชาย ๑53 และฝายหญิงหมุนตัวกลับ เดนิ ควงกนั ไป ท่เี ดมิ ของตนเอง เอยี งศรี ษะเขา หากัน) • ถานกั เรยี นตอ งการสรปุ ลกั ษณะเดนของ การแสดงนาฏศิลปพ ืน้ เมืองภาคกลาง นกั เรยี นจะสามารถสรุปไดว าอยา งไร (แนวตอบ นาฏศลิ ปพ ้ืนเมอื งภาคกลาง จะมีลักษณะการแสดงทม่ี ีความเรยี บงา ย ใชค าํ สาํ นวนโวหาร มคี าํ ศพั ทส แลงโตต อบกนั ระหวางชาย - หญิง มีการทาํ ทา ทาง เลียนแบบธรรมชาติ สว นใหญจ ะเปนการรํา ประกอบการขับรองโตต อบกนั ตามอปุ นสิ ยั ของคนไทยภาคกลางทเี่ ปน คนเจา บทเจา กลอน นอกจากน้ี การแสดงพน้ื เมืองภาคกลาง บางชุดก็ยังไดร บั อทิ ธิพลมาจาก นาฏกรรมหลวงอกี ดว ย) กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ใหน ักเรียนศกึ ษาเพ่ิมเติมเกีย่ วกบั การแสดงราํ วงมาตรฐานนอกเหนือ ครคู วรอธิบายความรเู พิม่ เติมเกยี่ วกบั นาฏยศพั ทในเพลงรําซมิ าราํ ไดแก ราํ สาย จากทีเ่ รียนมาตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง ฝก ขับรอ งและฟอนรํา คอื ยกลําแขนทัง้ 2 ขางขึน้ เสมอไหล มอื หนงึ่ แบควาํ่ อกี มอื หน่งึ แบหงาย มือคว่าํ ในทา ท่ถี ูกตอง จากนน้ั ออกมานาํ เสนอผลงานใหเ พือ่ นชมหนา ชัน้ เรียน วาดแขนลงเล็กนอ ย มอื หงายวาดแขนขึ้นเล็กนอย แลวพลกิ ขอมอื พรอมกนั ท้ัง 2 ขาง โดยมคี รูเปน ผูคอยช้ีแนะความถกู ตอง ปฏบิ ตั สิ ลบั กนั ตามจงั หวะเพลง ถดั เทา คอื การใชจ มกู เทา เชด็ ไปกบั พน้ื เบาๆ โดยเรม่ิ จากการกา วเทา ซา ย ถดั เทา ขวาแลว กา วเทา ขวา จมกู เทา คอื สว นเนอื้ ตรงปลายฝา เทา กิจกรรมทา ทาย ตรงโคนน้วิ เทา ขณะถดั เทา ใชเ ฉพาะสวนจมูกเทา ฉะน้ัน ตอ งเชดิ ปลายนวิ้ เทาขน้ึ ใหนักเรียนทม่ี คี วามสามารถดานการแสดงนาฏศิลป ออกมาสาธิต มุม IT การแสดงรําวงมาตรฐาน 10 เพลง ในทา ทถี่ ูกตองใหเ พ่อื นชมหนาชนั้ เรียน โดยมีครเู ปน ผูคอยชี้แนะความถกู ตอง นกั เรียนสามารถศึกษา คน ควา เพ่มิ เติมเก่ยี วกบั รําวงมาตรฐาน ไดจาก http://www.lks.ac.th คู่มอื ครู 153 กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหนักเรียนกลมุ ที่ 3 ทไ่ี ดศ ึกษา คน ควา หาความ ดังนั้น จะเห็นได้วา่ ลกั ษณะเฉพาะของการร�าเพลงร�าซิมาร�า จะคอ่ นข้างยากและต้องใช้ รูเพม่ิ เติมเกยี่ วกับการแสดงนาฏศิลปพ น้ื เมอื ง เวลาในการฝกหัด หากผู้เรียนไม่เข้าใจก็จะเดินสับสนกัน แต่ถ้าเข้าใจกระบวนแถวก่อนแล้วก็จะ ภาคตางๆ สง ตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย ไม่ยากต่อการฝก รา� ความรใู นหวั ขอ การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง 1 ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (อีสาน) ชดุ เซงิ้ สวงิ 4.3 น๑)าฏปศระลิ วปตั ิค์พวื้นามเมเปอื ็นงมภาา เคซต้ิงสะววงิ2นัเปอ็นอกการเแฉสยี ดงงชเหุดหนนือง่ึ ทช่เี ปุดน็ ก“าเรซล้งิ ะสเลวน่ งิ ข”องชาวบา้ น ตามท่ีไดศกึ ษามาหนา ชั้นเรียน อา� เภอยางตลาด จงั หวดั กาฬสนิ ธ ์ุ กรมศลิ ปากรไดน้ า� ทา่ รา� ทา่ ฟอ้ นของทอ้ งถนิ่ มาปรบั ปรงุ ใหก้ ระชบั กระฉบั กระเฉง โดยจัดกระบวนท่าฟ้อนให้เป็นระบบ เช่น หาปลา ช้อนปลา จบั ปลาใสข่ อ้ ง เป็นต้น 2. ครเู ปดซีดี หรอื ดีวดี เี พลงเซงิ้ สวิง ใหนกั เรียนฟง ๒) ลกั ษณะและวิธกี ารแสดง การแสดงเซ้ิงสวิงเป็นการรา� คู่ชาย - หญงิ ในลกั ษณะ ครแู นะนาํ วธิ กี ารนบั จงั หวะในหอ งเพลงทถี่ กู ตอ ง ของชดุ ศลิ ปาชพี คอื ประกอบอาชพี จบั สตั วน์ า�้ ในทนี่ ค้ี อื อาชพี หาปลา ผหู้ ญงิ จะถอื สวงิ ชอ้ นปลาสง่ ใหน กั เรยี นฟง เนื่องจากเพลงเซิ้งสวิงน้ันไมมี ให้ผู้ชายจับปลาใสข่ ้อง เมื่อสง่ ปลาแลว้ กจ็ ะสะบัดดินโคลน หรือหญ้าทต่ี ิดมากับสวิงแลว้ ช้อนปลา เนื้อรอง จึงตองฝกการจบั จงั หวะแทน ใหม ่ เมือ่ จับปลาได้พอประมาณก็จะหยอกลอ้ เกีย้ วพาราสีกนั ดังนั้น ลักษ๓ณ)ะกเคารรแอื่ ตงแ่งกตาง่ ยกจาึงยเป เซ็นงิ้เคสรว่ืองิ เงปแน็ ตก่งากราแยสพด้ืนงนเมาือฏงศใลิ นปทพ์ ้อน้ื งเถมิ่นอื งผภู้ชาคาตยะจวะนัสอวมอกเสเฉ้ือยีมง่อเหฮ่อนมอื 3 3. ครสู าธิตการรา ยราํ เพลงเซิง้ สวิงทถี่ ูกตอง นุ่งกางเกงขากวย ผ้าขาวม้าคาดเอ4ว ใช้ข้องสะพายไหล่ประกอบการแสดง ส่วนผู้หญิงจะสวม ใหนกั เรยี นดู จากน้ันใหนกั เรียนฝก ปฏบิ ัตติ าม เสื้อคอกลม แขนกระบอก นุ่งผ้าซ่ินป้ายข้างยาวคลุมเข่า ห่มสไบพาดไหล่ ปล่อยชายข้างหน้า แลว ใหน ักเรยี นแตล ะกลุมผลดั กนั ออกมาสาธติ เกล้าผมมวย ติดดอกไม้ สวมเครอ่ื งประดบั เงนิ เชน่ ต่างห ู สรอ้ ยคอ กา� ไลมือ กา� ไลเทา้ เป็นต้น การรา ยรําเพลงเซง้ิ สวิงทีถ่ กู ตอ งใหเ พือ่ นชม ๔) เครอื่ งดนตร ี การแสดงเซง้ิ สวงิ ใชเ้ พลงทม่ี จี งั หวะรวดเรว็ สนกุ สนาน เครอื่ งดนตรี หนา ชั้นเรยี น โดยมคี รเู ปน ผคู อยชแ้ี นะ ที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงจะเป็นเครื่อง- ความถูกตอง จากนั้นครูถามนักเรยี นวา ดนตรีพ้ืนเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น • เอกลักษณส ําคญั ท่ที ําใหการแสดงนาฏศิลป แคน กรบั กลองเถิดเทงิ โหม่ง ฉาบ เป็นตน้ พน้ื เมืองภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื (อีสาน) ๕) ลกั ษณะและลลี าทา่ รา� การแสดง มคี วามแตกตา งจากภมู ิภาคอน่ื ๆ คอื สงิ่ ใด เซง้ิ สวงิ เปน็ การรา� คชู่ าย - หญงิ ทอ่ี อกไปหาปลา (แนวตอบ จะมลี กั ษณะคอ นขา งกระชบั รวดเรว็ โดยมีสวิงและข้องเป็นอุปกรณ์ในการจับปลา และสนกุ สนาน เพื่อผอ นคลายความ ลกั ษณะการแสดงจะมกี ารแปรแถวสมั พนั ธค์ แู่ ละ ไมส บายใจจากความทุกขยาก อนั เนื่องจาก สัมพนั ธก์ ล่มุ เนน้ การเตน้ สง่ จังหวะและท�านอง สภาพแวดลอมทางธรรมชาติ ทา ราํ สวนใหญ เพลงท่ีกระชับ รวดเร็ว ยงั คงอนุรกั ษ์ความเปน็ จะมาจากทา แมบ ทอีสานและมาจากการ เลยี นแบบทา ทางธรรมชาติ ส่อื ถงึ ความตรง ไปตรงมา ความจริงใจ ซ่อื ตรง ลกั ษณะการ ราํ จะคลา ยการเตน ที่เรยี กวา “เซ้ิง”) เซง้ิ คอื ทา่ เตน้ เขยง่ เทา้ ใชจ้ มกู เทา้ ยา�่ ไปกบั พน้ื เซิ้งสวิง เป็นการแสดงนาฏศิลปพ์ ื้นเมอื งภาคตะวันออก- แสดงออกถงึ ความสนกุ สนาน รน่ื เรงิ ดว้ ยทว่ งทา่ เฉียงเหนือ ทแ่ี สดงถึงการดา� รงชวี ิตดา้ นการจบั ปลา อันรวดเร็ว ๑54 นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET การแสดงเซ้งิ ชุดใดทเ่ี กิดขึน้ จากการประกอบอาชีพของชาวอีสาน 1 เซง้ิ ศิลปะการแสดงของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ (อีสาน) ท่มี ลี ีลาจงั หวะ 1. เซงิ้ กะโป การรา ยราํ ทรี่ วดเรว็ เพลงท่ีใชประกอบการเซงิ้ นนั้ จะเปน เพลงทมี่ ีจงั หวะสนกุ สนาน 2. เซง้ิ กระหยัง 2 สวงิ เปน เครอ่ื งมอื จบั สตั วน า้ํ ซงึ่ ผหู ญงิ นยิ มใช โดยใชส วงิ ชอ น หรอื ตวดั วนไปมา 3. เซ้ิงสัมพนั ธ เพอ่ื จบั สตั วน าํ้ เชน กงุ ฮวก (ลกู ออ ด) แมงระงาํ (ตวั ออ นของแมลงปอ) ปลาตวั เลก็ ๆ 4. เซ้ิงบ้งั ไฟ เปน ตน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะเซิง้ สมั พนั ธ เปนการแสดงนาฏศลิ ป 3 มอฮอ ม หรือมอ หอ ม ผา ทีท่ าํ จากฝายมสี ีนํ้าเงนิ เขม ทไี่ ดม าจากการยอ ม พ้ืนเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อสี าน) ทมี่ ลี ีลาของการเซง้ิ ที่คลอ งแคลว ดว ยตน หอมในหมอดนิ มอ ฮอ มจดั เปน เครื่องแตงกายพื้นเมืองของไทย ตงั้ แต วองไว กระฉับกระเฉง งดงาม และแปลกตา ลลี าการแสดงจะเปน การนํา ไทลือ้ ในสบิ สองปนนา ลาวในประเทศลาว และไทยลานนาทางภาคเหนือของไทย เซ้งิ สวงิ และเซงิ้ กระตบิ ขา วมาแสดงใหสอดคลอ งสัมพันธกัน โดยผหู ญงิ 4 ซนิ่ เปนผานุงของผูหญงิ มลี ักษณะทแ่ี ตกตา งกนั ไปตามทองถนิ่ ทั้งขนาด จะนํากระตบิ ขา วสะพายบา สวนผูช ายจะถือสวิง การนุง และลวดลายบนผืนผา อนั เนื่องมาจากวฒั นธรรมการทอผา ในแตละทอ งถิน่ มคี วามแตกตางกนั ผาซนิ่ ทีพ่ บในประเทศไทย จึงมคี วามหลากหลาย เชน ผา ซิ่นมดั หม่ี ผา ซนิ่ ตีนจก ผา ซ่ินลายแตงโม ผาซ่นิ เชยี งแสน ผา ซ่นิ ทวิ มุก เปนตน 154 คมู่ อื ครู กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ดว้ ยเหตทุ เ่ี ซง้ิ สวงิ มพี นื้ ฐานทา่ รา� มาจากการละเลน่ ของชาวบา้ นทท่ี า� มาหากนิ ดว้ ยอาชพี 1. ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 4 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู การจับปลา ดังน้ัน ท่าร�าจึงมีความเรียบง่าย กระชับ สื่อความหมายได้อย่างชัดเจน โดยมีการ เพ่ิมเตมิ เกย่ี วกบั การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง จัดกระบวนท่าร�าท่ีเรียงล�าดับของการประกอบอาชีพการจับปลาด้วยการใช้สวิงและข้องประกอบ ภาคตา งๆ สง ตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย การแสดง ซงึ่ ผชู้ มจะตอ้ งจนิ ตนาการทา่ รา� ประกอบการแสดงไปดว้ ย จงึ จะทา� ใหเ้ กดิ อรรถรสในการชม ความรใู นหวั ขอ การแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื งภาคใต เนอื่ งจากเปน็ ชดุ การแสดงศลิ ปาชพี มที า� นองและจงั หวะของเพลงทกี่ ระชบั ผแู้ สดงตอ้ งไดร้ บั การฝก ชุดตารีกีปส ตามท่ีไดศกึ ษามาหนาชั้นเรียน มาอยา่ งดแี ละปฏบิ ตั ทิ า่ รา� ดว้ ยความคลอ่ งแคลว่ วอ่ งไว มอี ารมณส์ นกุ สนาน รา่ เรงิ เมอ่ื ชมแลว้ กจ็ ะ เขา้ ใจการประกอบอาชีพหาปลาดว้ ยการใช้สวงิ เปน็ อุปกรณ์ไดด้ ี 2. ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี เี พลงตารกี ปี ส ใหน กั เรยี นฟง 4.4 นาฏศลิ ป์พื้นเมอื งภาคใต ชุด “ต�รกี ีปส ” ครแู นะนําวิธีการนบั จงั หวะในหอ งเพลงท่ี ถกู ตอ งใหน กั เรยี นฟง เนอ่ื งจากเพลงตารกี ปี ส นนั้ ๑) ประวัติความเป็นมา ตารีกีปัสเป็นระบ�าพื้นเมืองของชาวไทยมุสลิมทางภาคใต ้ ไมมีเนอื้ รอง จงึ ตองฝก การจับจงั หวะแทน ใชพ้ ดั ประกอบการแสดง ไดร้ ับการฟนฟูโดยคณะครูโรงเรียนยะหร่ิง อ�าเภอยะหริง่ จังหวัดปตั ตานี 3. ครูสาธิตการรายราํ เพลงตารกี ปี สทถ่ี กู ตอง ควบคุมการฝกซ้อมโดยนายสุนทร ปิยะวสันต์ ซ่ึงได้ไปชมการแสดงในประเทศมาเลเซียเมื่อป ี ใหนักเรียนดู จากนน้ั ใหน ักเรยี นฝกปฏิบัติตาม พ.ศ. ๒๕๑๘ แลว้ ไดน้ า� รปู แบบการแสดงมาปรกึ ษากบั ผเู้ ฒา่ ผแู้ ก่ในจงั หวดั ปตั ตาน ี และพบวา่ มกี าร แลวใหนักเรียนแตละกลมุ ผลดั กนั ออกมาสาธิต แสดงท่ีคล้ายคลึงกัน จึงได้ฟนฟูชุดการแสดงขึ้นใหม่ โดยน�ามาแสดงคร้ังแรกในงานเกษียณอายุ การรายราํ เพลงตารกี ปี ส ที่ถูกตองใหเพอื่ นชม ขา้ ราชการครูโรงเรยี นยะหรง่ิ ตอ่ มาไดม้ กี ารถา่ ยทอดไปสปู่ ระชาชนทว่ั ไป โดยเปดิ สอนใหค้ ณะลกู เสอื หนา ช้นั เรยี น โดยมีครเู ปนผคู อยชแ้ี นะ ของจงั หวดั ปตั ตาน ี เพอื่ นา� ไปแสดงในงานชมุ นมุ ลกู เสอื แหง่ ชาต ิ ณ จงั หวดั ชลบรุ ี เมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๕๒๒ ความถกู ตอง ซง่ึ ตอ่ มาไดร้ บั การคดั เลอื กใหเ้ ปน็ ชดุ เปดิ สนามกฬี าเขตแหง่ ประเทศไทย ครงั้ ท ่ี ๑๔ ของจงั หวดั ปตั ตานี เมอื่ ป ี พ.ศ. ๒๕๒๕ ทา� ใหร้ ะบา� ตารกี ปี สั ไดเ้ ผยแพร่ ไปทั่วประเทศไทยและเป็นท่ีรู้จักของคนท่ัวไป อย่างกว้างขวางนบั ตั้งแตน่ นั้ มา ๒) การแตง่ กาย ระบา� ชดุ นใ้ี ชผ้ แู้ สดง เป็นหญิงล้วน การแต่งกายจะแต่งได้ในหลาย หลกัรษอื โณสะร ง่ เ ชผน่ า้ ซสอวแมกเะส1 ื้อสใอนดนดานิ้ งเสงีดนิ า� - นทุ่งอโงสปรร่งะปปารเาตยะ แบบมาเลเซยี ตดั เยบ็ แบบจบี หนา้ นาง ใชผ้ า้ สไบ คลมุ ไหลจ่ บั จบี ผกู เปน็ โบดา้ นหนา้ หรอื สวมเสอ้ื แขนกระบอก มีผ้าคาดเอว สวมเคร่ืองประดับ เชน่ เขม็ ขดั สรอ้ ยคอ ตา่ งห ู ประดบั ดอกไมท้ อง เป็นต้น ลักษณะการแตง่ กายชุดระบา� ตารีกปี ัส ๑55 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ใหน ักเรยี นออกแบบเครอื่ งแตง กายประกอบการแสดงระบาํ ตารีกีปส ครคู วรเนน ใหเ ห็นถงึ รูปแบบและลกั ษณะการแสดงระบาํ ตารีกปี สวา มรี ูปแบบ ตามความคดิ และจนิ ตนาการของตนเอง 1 ชุด พรอ มเขยี นแรงบันดาลใจ การแสดงเปนระบําหมู ซ่งึ รปู แบบการแสดงมีอยู 2 ลักษณะ คอื การแสดงเปนคู ในการสรางสรรคผ ลงาน จากน้ันออกมานาํ เสนอผลงานใหเพือ่ นชม ระหวา งผชู าย - ผหู ญงิ และการแสดงเปน ระบาํ หมโู ดยใชผ หู ญงิ แสดงลว น ซงึ่ จะทาํ ให หนาชนั้ เรียน โดยมีครูเปน ผชู ้แี นะความถูกตอ ง นกั เรยี นมีความรู ความเขา ใจเก่ียวกบั รูปแบบและลกั ษณะการแสดงระบําตารกี ีปส ไดด ยี ่งิ ขึ้น กจิ กรรมทาทาย นักเรยี นควรรู ใหน กั เรยี นนําทาราํ ท่ีเคยไดศ กึ ษามาในชั้นมธั ยมศกึ ษาปที่ 1 มาดัดแปลงขนึ้ ใหม โดยใชทาํ นองเพลงตารีกีปส พรอมกบั หาอปุ กรณ 1 ผาซอแกะ หรอื ผายกเงินทอง ซึ่งสตรชี าวมุสลมิ ทางภาคใตของไทยจะนิยม มาประกอบใหเหมาะสม จากน้ันออกมานําเสนอผลงานใหเ พื่อนชม สวมใสเ ม่อื ตอ งไปงานเล้ยี งทห่ี รหู รา โดยจะใสกับเส้อื กรู ง ซ่ึงมลี กั ษณะเปน หนาชนั้ เรียน โดยมีครเู ปนผชู ้แี นะความถูกตอง เส้ือคอกลมตดิ คอ ผาหนา พอสวมศรี ษะได ติดกระดมุ ทค่ี อ 1 เมด็ หรอื เข็มกลดั 1 ตัว แขนกระบอกยาวเกอื บจรดท่ขี อมือ หรอื ตํ่ากวา ศอก ระหวา งตวั เสอื้ และแขน ตอ ดว ยผาสีเ่ หลย่ี มเลก็ ๆ ตวั เสอ้ื หลวมยาวคลมุ สะโพก ค่มู ือครู 155 กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครูสุม นกั เรียน 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม ๓) ลักษณะวิธีการแสดง ตารีกีปัสเป็นระบ�าพื้นเมืองภาคใต้ตอนล่างท่ีมีลีลาท่าร�า ดังตอไปน้ี เป็นลักษณะเฉพาะ คอื การเล่นเทา้ และแตะเทา้ เขา้ ใจว่านา่ จะเป็นชดุ นาฏศลิ ป ์ ทสี่ ร้างสรรค์โดย • นกั เรยี นคิดวา เพลงที่ใชป ระกอบการแสดง ใช้ทา่ รา� รองเงง็ เปน็ พ้ืนฐาน เนือ่ งจากมกี ารเล่นเท้า ยกั ย้ายสา่ ยสะโพก ผแู้ สดงเปน็ หญงิ ลว้ น และ ตารีกีปส มกี ารผสมผสานทางดานดนตรี ใช้พดั เป็นอปุ กรณ์ประกอบการแสดง มกี ารแตะเทา้ และเล่นเท้าใหล้ งตามจงั หวะและทา� นองเพลง กับชนชาติใด ท่ีบรรเลง (แนวตอบ เพลงท่ีใชป ระกอบการแสดง เปน ทํานองเพลงที่ไดร ับอทิ ธพิ ลมาจาก ๔) เครอ่ื งดนตร ี ใชเ้ ครอ่ื งดนตรขี องวงดนตรพี นื้ เมอื งภาคใตต้ อนลา่ ง ผสมกบั เครอื่ ง- ประเทศมาเลเซีย คอื อนิ งั ตังลุง เปนเพลง ผสมผสานระหวา งมลายกู บั จีน) ดนตรสี ากล ไดแ้ ก ่ ไวโอลนิ (Violin) แมนโดลนิ (Mandolin) มาราคา (Maraca) ขลยุ่ รา� มะนา และฆอ้ ง บทเพลงท่ีใช้ประกอบการแสดง คือ เพลงตารีกีปัส เป็นเพลงที่บรรเลงดนตรีเพียงอย่างเดียว • ลกั ษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง ไม่มีเน้ือรอ้ ง ท่วงทา� นองเพลงมีความไพเราะ ออ่ นหวาน แตก่ แ็ ทรกไวด้ ว้ ยความสนุกสนาน เรา้ ใจ ภาคใตค ือสงิ่ ใด ความไพเราะของเพลงตารีกปี สั อยู่ท่กี ารบรรเลงเสียงเครื่องดนตรแี ต่ละช้ิน (แนวตอบ นาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งภาคใตก จ็ ะสะทอ น บคุ ลิกลกั ษณะของผูค นดวย คือ มีลีลากระชับ ๕) ลักษณะและลีลาท่าร�า ลักษณะเฉพาะของระบ�าตารีกปี สั ที่เด่นชดั คอื เปน็ การ รวดเร็ว มีการยักยา ยสายสะโพกและเลนเทา การแสดงนาฏศิลปพื้นเมืองภาคใตเปนศิลปะ เต้นร�า โดยการยักย้ายส่ายสะโพกและการแตะเท้า เล่นเท้าตามจังหวะและท�านองเพลงดังท่ีได้ การรําและการละเลน อาจแบงออกเปน 2 กล่าวมาแล้วข้างต้น และยังมศี ิลปะของการใชพ้ ดั ต่อกันเปน็ รปู ต่างๆ รวมทง้ั การต่อพัดสมั พันธค์ ่ ู รปู แบบ คอื การแสดงพน้ื บา นและระบาํ พน้ื บา น หรือต่อพัดสัมพันธ์กลุ่ม ท�าให้การแสดงตระการตา ดูอลังการ และเกิดความประทับใจแก่ผู้ชม เครอ่ื งดนตรที ใี่ ชบ รรเลงประกอบการแสดง การตอ่ พดั เปน็ รปู มหี ลายลกั ษณะ จะเหน็ ไดว้ า่ ระบา� ตารกี ปี สั มงุ่ เนน้ การเตน้ รา� ทก่ี ระชบั เขา้ กบั จงั หวะ นาฏศลิ ปพ น้ื เมืองภาคใตทีส่ ําคญั เชน และท�านองเพลง ท่ีมีความสนุกสนาน ลีลาท่าเต้นมีการยักเยื้อง เล่นเท้า แตะเท้า ดูเรียบง่าย กลองโนรา กลองโพน กลองปด โทน ทับ แตแ่ ฝงไวด้ ้วยความสง่างาม ราํ มะนา เปน ตน) พดั เป็นอปุ กรณ์สา� คญั ในการแสดงชุดตารกี ีปสั ท่ชี ่วยเสริมให้การแสดงชุดนม้ี ีความโดดเด่น ๑56 เบศรู ณรากษารฐกจิ พอเพยี ง ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ลกั ษณะวธิ ีการแสดงระบาํ ตารกี ีปส มคี วามคลา ยคลงึ กับการแสดงชุดใด การแสดงนาฏศิลปพื้นเมืองของแตละภาคนั้นมีเปนจํานวนมาก ทั้งที่เปนแบบ 1. ระบาํ รอ นแร ของเดิมและแบบท่ีประยุกตขึ้นใหม ซึ่งการแสดงนาฏศิลปพื้นเมืองในแตละภาคน้ัน 2. ระบํากรีดยาง ก็จะมีรูปแบบการแสดงที่สวยงามแตกตางกันออกไป และเพ่ือกระตุนความคิด 3. ระบําซมั เปง สรา งสรรคข องนกั เรยี น ครแู บง นกั เรยี นเปน กลมุ กลมุ ละ 8 คน ประดษิ ฐช ดุ การแสดง 4. ระบาํ รองเงง็ นาฏศิลปพื้นเมือง กลุมละ 1 ชุด ท่ีสะทอนใหเห็นเอกลักษณทางวัฒนธรรมที่มี วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะระบาํ ตารกี ปี ส จะมลี ลี าทา ราํ ทมี่ ลี กั ษณะ อยูภายในทองถิ่น พรอมทั้งจัดทําอุปกรณประกอบการแสดงที่นําวัสดุท่ีมีอยูใน เอกลกั ษณเฉพาะ คือ การเลน เทา แตะเทา ซง่ึ มคี วามเขา ใจกันวา ทองถิ่นมาสรางสรรคตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทําใหเกิดชุดการแสดงที่มี นาจะเปน ชุดการแสดงท่ีสรา งสรรคข น้ึ โดยใชท า ราํ ของรองเงง็ เปนพน้ื ฐาน ความสวยงาม เนอ่ื งจากมีการเลนเทา ยักยายสา ยสะโพกเชนเดยี วกนั 156 คมู่ ือครู กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเข้าใา้ จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ เสรมิ สาระ ใหนักเรียนศึกษาเรื่องความหมายของคําวาเซ้ิง และฟอ น จากในหนังสอื เรยี น หนา 157 ความหมายของคําวา “เซ้งิ ” และ “ฟอ น” • เพราะเหตุใดการแสดงนาฏศิลปพ น้ื เมอื ง ของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (อสี าน) บางชดุ ตามความเขา้ ใจของคนทว่ั ไปคิดว่า “รา� ” หรอื “ระบ�า” เป็นการรา่ ยรา� หรือฟ้อนของคน จงึ เรยี กวา “ฟอ น” เหมอื นการแสดงนาฏศลิ ป ภาคกลาง ฟอ้ นเปน็ การรา่ ยรา� ของคนภาคเหนอื เซง้ิ เปน็ การรา่ ยรา� ของคนภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื พ้ืนเมืองของภาคเหนือ แตค่ วามจรงิ หาเปน็ เชน่ นน้ั ไม ่ เพราะการฟอ้ นของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื นน้ั มมี านานและเรยี กวา่ (แนวตอบ เพราะคาํ วา “ฟอน” ในภาคอีสาน “ฟ้อน” มาโดยตลอด เช่น ในวรรณคดอี สี านหลายเรือ่ งจะใช้ค�าว่า “ฟอ้ น” ตลอด ไม่ปรากฏคา� ว่า ใชแทนคําวา “ราํ ” มานานแลว แตค นทว่ั ไป “รา� ” ใหเ้ หน็ เลย อยา่ งคา� วา่ “ยามยามฟอ้ น ระทวย เขาใจวา คําวา “ฟอ น” ใชเฉพาะนาฏศิลป- พนื้ เมอื งภาคเหนือเทา น้ัน) ฟอ้ น ลงิ โขนฟอ้ น กนิ รหี ยอ่ งฟอ้ น ทงั้ ลา� และฟอ้ น ขยายความเขา้ ใจ E×pand ฟ้อนหย่อนขา…” ก ารเ ซิ้งบ้ังสไว่ฟ1นจคะา� เวปา่ ็น “เกซาง้ิ ร” ฟน้อยิ นมใปชรใ้ ะนกงาอนบบกญุ ารบขงั้ ัไบฟ- 1. ใหน ักเรียนสรุปสาระสาํ คญั เก่ยี วกบั กาพย์เซิง้ ลกั ษณะขึน้ - ลงตามจังหวะชา้ ๆ ของ การแสดงนาฏศิลปพ ืน้ เมืองแตละภาค กลองตมุ้ พงั ฮาด หรอื ในบางครง้ั กม็ โี ทนประกอบ ลงกระดาษรายงาน นําสงครผู ูส อน นิยมเซ้ิงกันเป็นกลุ่มๆ ต้ังแต่ ๓ - ๔ คนข้ึนไป จะมีหัวหน้าเป็นคนขับกาพย์เซ้ิงน�า แล้วคนอื่น 2. ใหนักเรียนแตล ะกลุมฝกซอ มการแสดง เซง้ิ กระตบิ จะรอ้ งรับไปเรอื่ ยๆ นาฏศิลปพ นื้ เมอื งภาคตา งๆ คือ ฟอ นเทียน รําวงมาตรฐาน เซ้งิ สวิง และตารีกีปส ทง้ั น ี้ การทม่ี คี วามเขา้ ใจวา่ “เซง้ิ ” หมายถงึ การฟอ้ นของคนอสี านนน้ั นา่ จะมาจากการประดษิ ฐ์ จากนนั้ เลือกการแสดงตามความสนใจ ทา่ รา� “เซิ้งกระติบ” ขน้ึ โดยนา� เพลงมาจากหมอลา� และใชเ้ คร่ืองดนตรีซึ่งจะประกอบไปดว้ ยกลอง ของสมาชิกในกลมุ 1 เพลง ฝกซอ มจนเกิด แคน ซึง กรบั และโปงลาง ซงึ่ ในคร้ังน้ันผแู้ สดงทุกคนแต่งกายนุ่งผา้ ซนิ่ ห่มผา้ สไบ เกลา้ ผมสูง ความชํานาญ จากนนั้ ใหนักเรียนแตล ะกลุม และนา� กระตบิ ขา้ วมาใชใ้ นการแสดง เพราะเหน็ วา่ กระตบิ ขา้ วเปน็ สญั ลกั ษณข์ องคนอสี าน ซง่ึ การเซง้ิ ผลัดกนั ออกมานําเสนอผลงานใหเพอ่ื นชม ครงั้ แรกนนั้ ทา่ นผหู้ ญงิ มณรี ตั น ์ บนุ นาค เปน็ ผตู้ งั้ ชอื่ หนาชน้ั เรียน โดยมคี รูเปน ผคู อยชี้แนะ ความถูกตอง ใหว้ า่ “เซง้ิ อสี าน” ตอ่ มาไดม้ กี ารนา� ไปแสดงกนั อยา่ ง แพรห่ ลาย และเปลยี่ นชอื่ ใหมเ่ ปน็ “เซง้ิ กระตบิ ขา้ ว” นอกจากน้ี ได้มีการดัดแปลงท่าร�าอีกมากมาย เช่น เซ้งิ สวิง เซง้ิ สาวไหม เซิ้งขา้ วปนุ้ เซ้ิงกระด้ง เซิ้งกระหยัง เซ้ิงสาละวัน เซิ้งแหย่ไข่มดแดง เป็นต้น แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วจะเป็นลักษณะ ของการฟ้อนมากกว่าการเซิ้งดังท่ีได้กล่าวมา แล้วข้างตน้ ฟอ้ นภไู ท ๑5๗ แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ นกั เรยี นควรรู ขอ ใด ไมใช การแสดงนาฏศลิ ปพ ้ืนเมอื งภาคเหนอื 1 เซิ้งบ้ังไฟ เปนประเพณีและพธิ กี รรมทสี่ ืบทอดตอกนั มา ตามคตนิ ิยม 1. ฟอ นวี และความเชื่อเร่ืองตํานานพญาคนั คาก (คางคก) วรรณกรรมมขุ ปาฐะ 2. ฟอ นภูไท และวรรณกรรมจารึก และตํานาน “ทา วผาแดง - นางไอค าํ ” ซ่ึงปราชญช าวอสี าน 3. ฟอ นเจิง ไดแตงวรรณกรรมจากสังคมและความเปน อยขู องชุมชนชาวขอม การเซิง้ บง้ั ไฟ 4. ฟอนดาบ เปนการบวงสรวงออ นวอนแดพญาแถน เพ่ือขอใหฟ า ฝนตกตองตามฤดกู าล เพ่อื ใหชาวบา นไดทาํ ไรท ํานากัน บทเซิ้งทใ่ี ชเปนคาํ กลอนภาคอสี านชนิดหนึ่ง วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะการฟอนภูไท เปน การละเลน ทเี่ รยี กวา “กาพย” พืน้ เมอื งอยางหน่ึงของชาวผูไท ซึง่ เปนกลุมชาตพิ ันธทุ ใี่ หญรองลงมาจาก มมุ IT ไทยและลาว อาศัยอยูใ นแถบจงั หวดั นครพนม สกลนคร เลย และกาฬสนิ ธุ แตเดิมการฟอนภูไทเปนการรายรําเพ่ือถวายพระธาตุเชิงชุมเพียงอยางเดียว นกั เรยี นสามารถชมการแสดงนาฏศลิ ปพ ้ืนเมอื งชดุ เซ้ิงบั้งไฟ ไดจาก ตอ มาจงึ ใชแ สดงในงานสนกุ สนาน งานรน่ื เรงิ ตา งๆ ดว ย http://www.youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา เซ้งิ บั้งไฟ คมู่ อื ครู 157 กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. ครูพจิ ารณาจากการสรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกบั กิจกรรม ศลิ ป์ปฏบิ ัต ิ ๙.๒ การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งแตล ะภาค ของนักเรียน กจิ กรรมท่ี ๑ ให้นักเรียนวิเคราะห์เปรียบเทียบการแสดงนาฏศิลป์พ้ืนเมืองในภูมิภาคต่างๆ ตาม หัวขอ้ ต่อไปน�้ 2. ครพู จิ ารณาจากการปฏบิ ัตทิ า ราํ การแสดง- ๑. การแตง่ กาย ๒. เครอ่ื งดนตรี นาฏศิลปพ้นื เมอื งภาคตา งๆ คือ ฟอนเทียน กิจกรรมท่ี ๒ ราํ วงมาตรฐาน เซงิ้ สวงิ และตารกี ปี ส ของนกั เรยี น ๓. ลลี าทา่ รา� ๔. ลกั ษณะเฉพาะ ใหน้ กั เรยี นตอบคา� ถามตอ่ ไปน้� หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู ๑. เ พราะเหตใุ ดถงึ แมจ้ ะอย่ใู นประเทศไทยเหมอื นกนั แตก่ ารแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื ง ของแตล่ ะภมู ภิ าคจงึ แตกตา่ งกนั 1. ผลการสรปุ สาระสําคญั เกย่ี วกับความหมาย ๒. ให้นักเรียนอธิบายเอกลักษณ์ หรือความสวยงามของการแสดงนาฏศิลป์พ้นื เมือง และทม่ี าของการแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมือง ในภาคทจ่ี งั หวดั ของนกั เรยี นอาศยั อยมู่ า ๑ ชดุ ๓. ล กั ษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งในภาคตา่ งๆ เปน็ อยา่ งไร จงอธบิ าย 2. ผลการสํารวจการแสดงพน้ื เมอื ง พอสงั เขป ท่มี ีอยูในทองถิ่น นาฏศิลปพื้นเมืองของไทย เกิดขึ้นมาจากปจจัยตางๆ อันไดแก สภาพทาง 3. ผลการเขียนแผนผงั ความคิด (Mind Mapping) สรปุ สาระสาํ คญั เก่ียวกับลกั ษณะเฉพาะของ ภมู ศิ าสตร ประเพณี ศาสนา ความเชอ่ื คา นยิ ม และการประกอบอาชพี ซง่ึ นาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง นาฏศลิ ปพื้นเมืองในแตล ะภาค ของไทยในแตละภูมิภาคจะมีเอกลักษณเฉพาะ ทั้งลักษณะลีลาทารํา เครื่องแตงกาย เครื่องดนตรี เมื่อชมแลวจะสามารถทราบไดทันทีวามีรากฐานความเปนมาจากภาคใด 4. ผลการสรุปสาระสําคญั เกย่ี วกบั รวมท้งั สามารถเปรยี บเทยี บลกั ษณะเฉพาะของการแสดงในแตล ะภาคได โดยภาคเหนือ การแสดงนาฏศิลปพ น้ื เมอื งแตละภาค จะมีลักษณะลีลาทารําท่ีเนิบนาบ ออนชอย งดงาม ภาคกลางจะมีลักษณะลีลาทารํา ท่เี นน ความคึกคกั สนุกสนาน และในบางชดุ อาจจะมีการใชส าํ นวนโวหารรองโตต อบกนั 5. ผลการปฏิบตั ทิ า ราํ การแสดงนาฏศลิ ป- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีลักษณะลีลาทารําท่ีกระชับ รวดเร็ว สนุกสนาน เราใจ พ้ืนเมืองภาคตา งๆ คอื ฟอนเทียน เชนเดยี วกับภาคใต แตภาคใตจะเนนการยักเยอื้ งสา ยสะโพก เลน เทา แตะเทา โดยในการ รําวงมาตรฐาน เซ้งิ สวงิ และตารีกปี ส ฝกหัดนาฏศิลปพื้นเมือง เราควรฝกหัดนาฏศิลปในชุดการแสดงของภาคตนเองกอน เพอ่ื จะไดท ราบถงึ คณุ คา ของนาฏศลิ ปช ดุ นน้ั ๆ และเปน การชว ยสบื ทอดการแสดงนาฏศลิ ป- พ้นื เมอื งไว ๑5๘ แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปปฏิบตั ิ 9.2 กจิ กรรมที่ 2 1. เหตุทีก่ ารแสดงนาฏศิลปพ น้ื เมืองแตละภาคแตกตา งกนั เปนผลมาจาก 1) สภาพภูมิศาสตร 2) ขนบธรรมเนยี ม ศาสนา ความเชอ่ื คา นิยม 3) การประกอบอาชีพ 2. นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอิสระ โดยข้นึ อยกู ับดลุ ยพนิ ิจของครผู ูส อน 3. ลกั ษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลปพืน้ เมือง คือ ภาคเหนือ จะมที ง้ั นุมนวล เช่ืองชา และเขมแขง ภาคกลาง คึกคัก สนกุ สนาน ใชสาํ นวนโวหารโตค ารมระหวางชาย - หญงิ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (อีสาน) ลลี ากระชับ รวดเรว็ เราใจ ภาคใต เนน การสา ยสะโพก เลนเทา มีลีลาในการเตน ใหเขากับจังหวะและทํานองเพลง 158 คูม่ อื ครู กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู 1. สรา งสรรคการแสดงโดยใชองคป ระกอบ นาฏศลิ ปและการละคร 2. เช่ือมโยงการเรียนรูร ะหวา งนาฏศิลป และการละครกับสาระการเรียนรอู น่ื ๆ สมรรถนะของผูเรยี น 1. ความสามารถในการสอื่ สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค 1. มีวนิ ยั 2. ใฝเรยี นรู 3. มงุ ม่ันในการทํางาน ๑๐หน่วยท่ี กระตนุ้ ความสนใจ Engage ความร้ทู ่ัวไปเกย่ี วกบั การละคร ครเู ปด ซีดี หรอื ดีวีดีการแสดงละครไทย และละครสากลใหน กั เรยี นชม จากน้ันครูถาม ตัวช้ีวดั ละครเป็นศิลปะการแสดงที่มนุษย์ นกั เรยี นวา ■ สร้างสรรค์การแสดง โดยใช้องค์ประกอบนาฏศลิ ปแ์ ละการละคร • นกั เรยี นรสู กึ อยา งไรเมอ่ื ไดช มการแสดงละคร (ศ ๓.๑ ม.๒/๒) สรา้ งสรรคข์ น้ึ จากการนา� ภาพประสบการณ์ ทั้ง 2 ประเภท ■ เชอื่ มโยงการเรยี นรู้ระหวา่ งนาฏศิลป์และการละคร และจินตนาการของมนุษย์มาผูกเป็นเรื่อง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ และน�าเสนอในรูปแบบของการแสดง โดยมี ไดอ ยางอิสระ) กบั สาระการเรียนรู้อ่นื ๆ (ศ ๓.๑ ม.๒/๕) ผู้แสดงเป็นผู้สื่อความหมายที่เป็นเร่ืองราว • ระหวางละครไทยกับละครสากล นกั เรยี น สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ชืน่ ชอบละครแบบใดมากกวา กนั เพราะเหตใุ ดจงึ เปน เชน น้ัน ■ หลักและวิธีการสร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบ ต่อผู้ชม นอกจากนี้ ละครยังท�าหน้าท่ีสืบสาน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ นาฏศิลปแ์ ละการละคร ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของชาติ ไดอ ยางอิสระ) แสดงใหเ้ หน็ แนวคดิ ของประชาชน โดยเฉพาะละคร ■ ความสมั พันธ์ของนาฏศิลป์ หรอื การละครกับ สาระการเรยี นรูอ้ ื่นๆ พื้นเมืองของแต่ละประเทศย่อมมีเอกลักษณ์ ท่ีแตกต่างไม่ซ�้ากัน แม้จะได้รับอิทธิพลจากต่างชาติ ผคู้ นกน็ า� มาดดั แปลงใหเ้ ขา้ กบั รสนยิ มในสงั คมของตน เกร็ดแนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรยี นรนู ี้ ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงละครไทย และละครสากล หรอื หาโอกาสพานกั เรียนไปชมการแสดงละครในงานสําคัญตา งๆ ทมี่ กี ารจดั การแสดงขนึ้ เพอื่ เปน การเปด โลกทศั นใ หแ กน กั เรยี น ครอู าจอธบิ ายเพมิ่ เตมิ วา “ละคร” คือ ศิลปะการแสดงท่ไี ดนําเอาประสบการณและจนิ ตนาการของมนุษย มาผูกเปน เร่อื งราว แลว นํามาเสนอตอผชู ม โดยมีนักแสดงเปน สอ่ื กลาง ซึง่ ละคร สามารถแบงออกเปน 2 ประเภท คือ การแสดงละครแนวเหมอื นจริง มีเน้อื หาเปน สภาพจรงิ ตามธรรมชาติ การดาํ เนนิ เรอ่ื งเปนไปตามปกตินสิ ยั ของมนษุ ย อาจเปน เรอื่ งราวในอดตี หรือปจจุบันก็ได และการแสดงละครแนวไมเ หมอื นจริง เปนละคร ทีน่ าํ เสนอเนอ้ื หาทแี่ ตกตางออกไปจากชวี ติ จริงและมีตวั ละครท่แี ปลกประหลาด ไปจากมนษุ ยธ รรมดา การศกึ ษาเกี่ยวกับละครจะทาํ ใหน กั เรียนสามารถสรา งสรรค การแสดงโดยใชองคประกอบนาฏศลิ ปและการละคร โดยการเชื่อมโยงการเรยี นรู ระหวางนาฏศลิ ปและการละครกบั สาระการเรยี นรอู นื่ ๆ ได ค่มู อื ครู 159 กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครนู าํ ภาพการแสดงละครไทยและละครสากล ๑. หลกั การสร้างสรรคก์ ารแสดงละคร1 มาใหน ักเรียนดู จากนน้ั ครูถามนกั เรยี นวา กฎเกณฑ์ในการสรา้ งสรรคง์ านละคร จะตอ้ งมกี ารปรบั เปลย่ี นไปตามรปู แบบ ประเภท และชนดิ ของการแสดงทนี่ า� เสนอ ละครไทยในอดตี เปน็ ละครทแี่ สดงเพอื่ ความบนั เทงิ และแสดงความเปน็ เลศิ • นกั เรียนเคยชมการแสดงละครไทย ทางด้านศิลปะ เนือ้ เรอ่ื งมักจะแสดงแนวคดิ ในอุดมคติ ผู้ชมจะชื่นชมกบั ตวั ละครทม่ี อี ทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ์ และละครสากลบางหรือไม ถา เคย นักเรยี นเคยชมละครประเภทใด ถา้ เปน็ ละครรา� จะเนน้ ลลี าทา่ รา� ทีง่ ดงาม เคร่ือง- (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเหน็ แต่งกาย และฉากที่วิจิตรตระการตา ผู้ชมจะ ไดอ ยางอสิ ระ) เพลดิ เพลนิ ไปกบั ฉาก ระบา� รา� ฟอ้ น และบทตลก ขบขัน • ในชีวติ นกั เรยี นเคยมปี ระสบการณ สว่ นละครสากลจากตะวนั ตก เปน็ การจา� ลอง หรือพบเห็นเหตุการณใ ดบา ง ภาพชวี ติ จรงิ และสงั คม เพอื่ ใหผ้ ชู้ มเกดิ ความคดิ ที่นาจะนาํ มาสรา งสรรคงานละครได มคี วามรสู้ ึกรว่ ม และรับรู้ปัญหาของตวั ละคร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์จะพบว่า ไดอยา งอิสระ) ชาติที่มีอารยธรรมเก่าแก่ จะมีต�านานแสดงถึง ผลงานการสร้างสรรค์ละคร โดยมีจุดมุ่งหมาย สา� รวจคน้ หา Explore ละครไทยจะเนน้ ลลี าทา่ รา� เครอ่ื งแตง่ กายทวี่ จิ ติ รสวยงาม เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเพื่อ ใหน ักเรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรเู พมิ่ เติม รบั ใชส้ งั คม ใหค้ วามร ู้ ใหบ้ ทเรยี น กระตนุ้ จติ สา� นกึ ของผชู้ มละครใหต้ ระหนกั ในภารกจิ หนา้ ทข่ี องตน เกีย่ วกับหลักการสรา งสรรคการแสดงละคร ปัจจุบันมีการน�าละครมาเป็นส่ือรับใช้สังคมมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการท่ีงานละครเข้าไป จากแหลง การเรยี นรตู า งๆ เชน หองสมุดโรงเรยี น มบี ทบาทในโครงการพฒั นาสงั คม ดงั นน้ั ละครจงึ มอี ทิ ธพิ ลทจ่ี ะเปลยี่ นแปลงแนวคดิ และพฤตกิ รรม หอ งสมุดชุมชน อินเทอรเน็ต เปน ตน ในหวั ขอ มนษุ ย์ในสงั คมไดเ้ ปน็ อยา่ งด ี ดว้ ยการรบั หนา้ ที่ ทคี่ รูกาํ หนดให ดังตอไปนี้ เปน็ ครทู างออ้ ม โดยการสอดแทรกบทเรยี นตา่ งๆ ผ่านบทบาทของตวั ละครแต่ละตวั 1. กระบวนการสรางสรรคง านละคร สา� หรบั ในประเทศไทย หลกั สตู รการศกึ ษา 2. วธิ กี ารสรา งสรรคง านละครใหเ กดิ สนุ ทรยี ภาพ ไดบ้ รรจวุ ชิ าการละครไวใ้ นทกุ ระดบั ชนั้ ใหผ้ เู้ รยี น ได้มีโอกาสฝกฝนทักษะเบ้ืองต้นในการแสดง อธบิ ายความรู้ Explain ละคร เพอ่ื ใหเ้ กิดกระบวนการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง ไดม้ โี อกาสสา� รวจทศั นคต ิ คา่ นยิ ม ประสบการณ ์ ครสู มุ นักเรียน 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม ละครตะวันตกหลายเร่ืองนิยมจ�าลองภาพให้เห็นปญหา คน้ พบความถนดั ความสามารถในทางสรา้ งสรรค ์ ดังตอไปน้ี ของสังคมและความเปน็ จรงิ แห่งชวี ติ มนษุ ย์ เน้นที่กระบวนการและผลผลิต โดยต้องเรียนรู้ เก่ียวกับหลักการกวา้ งๆ ในการสร้างสรรค ์ ดงั น้ี • นักเรยี นมวี ธิ สี รางสรรคก ารแสดงละคร ใหเกิดสนุ ทรยี ภาพไดอ ยา งไร ๑6๐ (แนวตอบ บทประพันธตองมีภาษาท่ีไพเราะ ดนตรแี ละการขบั รอ งตอ งกลมกลนื กบั บทบาท ของนกั แสดง นกั แสดงตีบทละครแตก เครอื่ งแตง กายทันสมัย องคป ระกอบอน่ื ๆ สามารถนํามาชวยสรางบรรยากาศใหส มจริง) เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ถา นกั เรยี นไดร บั มอบหมายใหเ ปน ตวั เอกของละคร 1 เรอ่ื ง สงิ่ แรกทน่ี กั เรยี น ครูควรอธิบายความรเู พม่ิ เตมิ กบั นักเรยี นวา การแสดงละครไทยทุกประเภท จะตอ งทาํ คอื ส่ิงใด ตอ งมตี ลกทาํ หนาที่สรา งความขบขันใหแกผ ูชม อันเนอ่ื งมาจากอปุ นิสยั ของคนไทย 1. ศกึ ษาบทละครใหเขา ใจ ที่ชอบความสนกุ สนาน มอี ารมณข ัน ศลิ ปะการแสดงตลกในการแสดงโขน ละครราํ 2. ศกึ ษาประวตั ิความเปน มาของผูเ ขยี นบท หรือมหรสพทุกชนดิ จะตองแสดงอยา งมีแบบแผน ยดึ เรอ่ื งทีแ่ สดงเปน สําคัญ 3. ทาํ ความรจู ักกบั ทมี งานผูส รางละครทกุ คน เลนลอ เลียนเหตุการณท่ผี ูชมกาํ ลังสนใจ ไมใชเลนไปตามใจชอบ และอยูใ นขอบเขต 4. เตรียมออกแบบเคร่อื งแตง กายประกอบการแสดงท่ีเหมาะสม ที่สมควร วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะบทละครเปนสง่ิ ท่ีนักแสดงทกุ คน ควรศกึ ษาใหเ ขา ใจอยา งถอ งแท เพื่อใหส ามารถแสดงบทบาทไดอ ยาง นักเรยี นควรรู ถกู ตอ งตรงตามลักษณะของตวั ละครทผ่ี ูประพันธไดแ ตงไว 1 การแสดงละคร เปนกจิ กรรมทางนาฏศิลปป ระเภทหนึง่ ซงึ่ นกั แสดงจะตองใช ความสามารถในการเคลอื่ นไหวและใชคาํ พดู บางโอกาส เพ่ือสื่อสารใหผชู มได เขา ถงึ ความหมายและรบั รอู ารมณค วามรูสกึ ของตัวละคร ดังนนั้ นกั แสดงตองมี ความรพู น้ื ฐานในการแสดงเบอ้ื งตน จงึ จะสามารถแสดงละครออกมาไดเปน อยา งดี 160 ค่มู อื ครู กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา้ ใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain ๑.๑ กระบวนการสรา้ งสรรค์งานละคร ใหนักเรยี นรว มกันอภิปรายเกีย่ วกับหลักการ ผสู้ รา้ งสรรคง์ านละครจะตอ้ งเรยี นรกู้ ระบวนการทา� งานละคร ซง่ึ ประกอบไปดว้ ยสง่ิ ตา่ งๆ ดงั นี้ สรางสรรคก ารแสดงละคร ในหัวขอ กระบวนการ สรา งสรรคง านละครและวธิ กี ารสรา งสรรคง านละคร ๑) วตั ถปุ ระสงค์และเปา้ หมาย เชน่ จดั การแสดงขนึ้ เพอ่ื สงิ่ ใด จดั ใหใ้ ครชม เปน็ ตน้ ใหเ กดิ สนุ ทรยี ภาพ ตามทไี่ ดศ กึ ษามา จากนนั้ ครถู าม ซ่ึงผู้สร้างสรรค์ละครควรค�านึงถึงอายุ เพศ พ้ืนฐานความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับละครของผู้ชม นกั เรียนวา เพื่อจะไดส้ อื่ สารทางดา้ นความคิด อารมณ์ และโสตสมั ผสั ได้ตรงกับความตอ้ งการ ๒) ขน้ั ตอนการปฏบิ ตั งิ านของทกุ ฝา่ ย เพราะละครเปน็ ทร่ี วมของศลิ ปะแขนงตา่ งๆ • คําวา “โสตสมั ผัส” ทางการละคร ที่ต้องอาศัยผู้เช่ียวชาญในด้านศิลปะเกือบทุกสาขา เพ่ือให้ทีมงานทุกฝ่ายประสานสัมพันธ์ไปใน มีความหมายวา อยา งไร เทคศิ รทอ่ื างงแเตดง่ยี กวากยนั1 ฉผาสู้ กร า้ แงสงงา นสจี เงึ คจรา� อื่เปงน็ปตระอ้ กงอรขู้บนั้ฉตาอกน เแปลน็ ะตวน้ธิ ปี จฏะบติ อ้ตั งงิ มานีคขวอามงทสกุามฝา่ายรถ เใชนน่ ก ผารอู้ เอลกอื แกบใชบ้วฝัสา่ ดยุ (แนวตอบ การฟง เสยี งในการแสดงละคร เชน อุปกรณ์ทเี่ หมาะสมกลมกลนื กนั เพือ่ ช่วยทา� ให้ละครเรอื่ งน้นั มบี รรยากาศทส่ี มจรงิ การฟงบทสนทนาทต่ี ัวละครพูด การฟง เสียง ดนตรี เสยี งขบั รองของผูแสดง เปน ตน ) ๑.๒ วิธกี ารสร้างสรรคง์ านละครให้เกิดสนุ ทรียภาพ การรู้และเข้าใจวิธีการสร้างสรรค์ผลงานการแสดง ท่ีจะท�าให้เกิดคุณค่าทางความงาม • เพราะเหตุใดจึงมคี าํ กลา ววา ต้องใชห้ ลกั สนุ ทรียภาพของการแสดงละคร ดงั น้ี “ละครเปนทร่ี วบรวมศลิ ปะแขนงตางๆ” ๑) สุนทรียภาพด้านบทประพันธ์ ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ต้องมีความงามทาง (แนวตอบ เพราะตองอาศัยผเู ชย่ี วชาญในงาน ด้านภาษา มคี วามไพเราะ สามารถส่อื ความหมายได้ชดั เจนตรงกบั จุดมุ่งหมายของการแสดง ศิลปะสาขาตางๆ มาเปน ผูท่ีสรา งสรรค ผลงาน ผทู ี่สรา งละครจาํ เปนตองเขาใจ ๒) สุนทรียภาพด้านดนตรีและการขับร้อง ดนตรีเป็นปัจจัยหลักของการแสดง วิธีการปฏบิ ัตงิ านของฝายตา งๆ ละคร ท่ีจะช่วยสร้างอารมณ์ตามบทบาทของ เพ่อื ประสานงานใหเกิดความสมั พนั ธ ตวั ละคร เชน่ อารมณเ์ ศรา้ โศก เสยี ใจ อารมณต์ น่ื - และเปนไปในทิศทางเดยี วกัน) เตน้ เรา้ ใจ เปน็ ตน้ ทงั้ การบรรเลงและการขบั รอ้ ง ถา้ ผสมกลมกลนื กบั บทบาทของตวั ละคร จะทา� ให้ • นกั เรียนคดิ วา ผูท ี่สามารถสรางสุนทรียภาพ เกดิ สนุ ทรยี ภาพในการแสดง ผชู้ มกจ็ ะเกดิ ความ ดา นบทประพันธน ้ัน จะตอ งเปน ผูท่มี ี เขา้ ใจ ซาบซ้ึงไปกบั การแสดง ลกั ษณะเดนอยางไร ๓) สุนทรียภาพจากตัวผู้แสดง (แนวตอบ เขาใจในบทรอยแกว และ บทรอยกรอง มีความงามทางดา นภาษา สามารถสอ่ื ความหมายไดอยางชัดเจน) คือ ผู้แสดงต้องมีบุคลิกลักษณะผสมกลมกลืน ขยายความเขา้ ใจ E×pand ไปกับบทบาทท่ีแสดง มีความสามารถในการ ส่ือความหมาย ท�าให้ผู้ชมเกิดความเชื่อ และ ใหนกั เรียนสรุปสาระสําคัญเก่ยี วกบั หลักการ รูส้ ึกคล้อยตามบทบาท ทั้งนี้ ผแู้ สดงที่ได้รบั การ สรา งสรรคก ารแสดงละคร ลงกระดาษรายงาน ยกย่องว่ามีความสามารถจะต้องเป็นผู้ท่ีสร้าง นําสงครูผูสอน ความสะเทอื นอารมณ์ใหแ้ ก่ผู้ชมได้ ผู้แสดงที่มีบุคลิกลักษณะกลมกลืนกับบทบาทท่ีได้รับ จะท�าใหผ้ ู้ชมมีความรูส้ ึกคลอ้ ยตาม ตรวจสอบผล Evaluate แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ ๑6๑ ครพู จิ ารณาจากการสรปุ สาระสาํ คญั เกยี่ วกบั หลักการสรา งสรรคก ารแสดงละครของนกั เรยี น ขัน้ ตอนแรกของการวเิ คราะหก ระบวนการสรา งสรรคล ะครตรงกบั ขอ ใด 1. คิดบทละคร เกร็ดแนะครู 2. กาํ หนดวตั ถุประสงค 3. ออกแบบเคร่อื งแตงกาย ฉาก แสง สี เสยี ง ครคู วรเนนใหเห็นวา การสรางงานละครใหประสบความสาํ เร็จนั้น ผูสรา งจะตอง 4. เลอื กนักแสดงใหเหมาะสมกบั บทบาทตวั ละครในเรอื่ ง ทราบขอ มลู ของผชู มละคร เพราะผชู มละครทมี่ เี พศ อายุ ความรพู นื้ ฐานในเรอื่ งละคร ท่แี ตกตา งกันยอมทําใหมคี วามนิยมชมชอบทแ่ี ตกตางกนั เชน เด็กจะชอบละคร วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะผสู รางงานละครจะตองมี ที่มเี น้ือหาสนกุ สนาน วยั รนุ จะใหความสนใจในเร่ืองของความรกั เปนตน ดังนนั้ การจัดการแสดงละครจึงตอ งจัดใหถกู กบั รสนิยมของผูชมละครดวย วัตถุประสงคและเปา หมายในการสรา งละคร เชน จัดการแสดงข้นึ เพ่อื สง่ิ ใด จัดใหใครชม เปน ตน เพอื่ จะไดสรางสรรคผ ลงานออกมาได นกั เรยี นควรรู ตรงตามรสนยิ มของผชู มละคร 1 ผอู อกแบบฝายเคร่ืองแตงกาย ผูท ่ีทาํ หนา ที่ออกแบบเครือ่ งแตงกายใหก บั นักแสดง ซงึ่ จะตอ งมีความรู ความเขาใจวา ฉากใดใชน ักแสดงจาํ นวนกี่คน ในฉาก แตละฉากควรสวมเครอ่ื งแตงกายแบบใด ละครเรอื่ งน้เี กดิ ข้นึ ในยคุ สมัยใด ทง้ั นี้ ยังตอ งมีความรเู รอื่ งผา และสี เพอ่ื จะไดน ํามาตดั ชุดไดอ ยางเหมาะสมกบั นักแสดง คมู่ อื ครู 161 กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูชักชวนนักเรียนสนทนาเก่ียวกับองคประกอบ ของตวั ละคร1๔ให)เ้ หสน็ุนฐทารนียะทภาางพสจงั คามก เรคสรนื่อยิ งมแ มตคี่งวกาามยส งเา่ คงรา่ือมง แแลตะ่งตกอ้างยผขสอมงผกู้ลแมสดกงลจนื ะไตป้อกงบั เฉนา้นกบลุคะลคิกร ของละคร จากน้ันครูถามนกั เรียนวา ๕) สุนทรียภาพจากองค์ประกอบอ่นื ๆ เช่น ฉาก แสง ส ี เสียง เปน็ ต้น ตอ้ งมี • ถา ละครขาดองคประกอบของละคร ความประณตี ในการตกแตง่ เพราะตอ้ งกลมกลนื กบั ตวั ละครและเครอ่ื งแตง่ กาย ตอ้ งใหถ้ กู ตอ้ งตาม บางประการไป การแสดงจะมคี วามสมบรู ณ ขนบธรรมเนียม ประเพณี และยุคสมัย รวมท้ังต้องเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของผู้ประพันธ์ด้วย หรอื ไม อยางไร สนุ ทรียภาพของการแสดงละครจะเกดิ ขนึ้ ได้กต็ อ่ เมอ่ื มผี ชู้ ม โดยผูช้ มจะพิจารณาบทละคร ดนตร ี (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ บุคลิกลักษณะของตัวละคร บทบาท และองค์ประกอบอ่ืนๆ ต้องประสานกันอย่างกลมกลืน ไดอ ยางอสิ ระ) สรุปได้ว่า ในการสร้างสรรค์การแสดงละคร บุคคลผู้สร้าง ผู้ผลิตจะต้องเป็นผู้ที่ได้ มีโอกาสเห็นผลงานต่างๆ ผ่านตามาอย่างมากมาย รู้จักสังเกตจากส่ิงท่ีรับรู้ มีจินตนาการ และ สา� รวจคน้ หา Explore ประสบการณ ์ ร ู้ และเขา้ ใจกระบวนการ อนั ไดแ้ ก ่ วตั ถปุ ระสงค ์ เปา้ หมาย ขน้ั ตอนในการปฏบิ ตั งิ าน ของทุกฝ่าย ตลอดจนรู้วิธีสร้างสรรค์ผลงานการแสดงให้เกิดคุณค่าทางความงามตามหลัก ใหน ักเรียนแบงกลมุ ออกเปน 4 กลุม ใหน กั เรยี น สุนทรยี ศาสตร์ จึงจะสามารถสรา้ งงานละครออกมาไดเ้ ป็นอยา่ งดี ศกึ ษา คนควา หาความรเู พิ่มเตมิ เก่ยี วกับ องคประกอบของละคร จากแหลงการเรียนรูตางๆ ๒. องคป์ ระกอบของละคร เชน หองสมุดโรงเรยี น หองสมุดชุมชน อินเทอรเ นต็ เปน ตน ในหวั ขอ ท่ีครูกาํ หนดให ดังตอไปนี้ การแสดงทเ่ี ป็นละครจะต้องมอี งค์ประกอบครบ ๔ ประการ ดงั นี้ กลุมที่ 1 เร่ือง (Story) จากบทเจรจ๑าข)อเงรต่ือวั งละ(คSร2t oผrปู้ yร)ะ พลนัะคธบ์รตท้อลงะมคีเรรจื่อะงตรอ้ างวม คี ผวู้ชามมลสะาคมราจระถรใู้เนรก่ือางรขบอรงรลยะาคยรบไดคุ ้โลดกิ ยลกกั าษรณฟังะ กลุมท่ี 2 เนอ้ื หาสรปุ หรอื แนวคิด และนสิ ัยของตวั ละครไดอ้ ยา่ งชัดเจน บทเจรจา (Subject or Theme) ของตัวละครทุกตอนจะต้องมีความหมายและมี กลมุ ท่ี 3 นิสัยตวั ละคร (Characterization) ความส�าคัญตอ่ การดา� เนินเร่อื ง กลมุ ท่ี 4 บรรยากาศ (Atmostphere) ๒) เนอ้ื หาสรปุ หรอื แนวคดิ (Sub- อธบิ ายความรู้ Explain ject or Theme) ผู้ประพันธ์บทละครจะต้อง ใหนักเรยี นกลมุ ที่ 1 - 2 ทไ่ี ดศึกษา คน ควา มีแนวคิดท่ีจะน�าพาให้เร่ืองด�าเนินไปสู่จุดหมาย หาความรเู พิ่มเติมเก่ียวกับองคประกอบของละคร จดุ ประสงคข์ องการใหแ้ นวคดิ กเ็ พอื่ ใหเ้ นอ้ื เรอ่ื ง สงตัวแทนกลุม ละ 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู ของละครเกิดความประทบั ใจแก่ผูช้ ม ในหวั ขอ เรอ่ื ง (Story) และเนอ้ื หาสรปุ หรือแนวคดิ แนวคดิ ของเรอ่ื งจงึ ทา� หนา้ ทเ่ี ปน็ ศนู ยก์ ลาง (Subject or Theme) ตามทไี่ ดศ กึ ษามาหนา ชน้ั เรยี น ของบทละคร ซ่ึงมีหลายแนว เช่น การเสยี สละ จากนัน้ ครถู ามนกั เรยี นวา พลชี วี ติ เพอื่ ชาต ิ ธรรมะยอ่ มชนะอธรรม เปน็ ตน้ • ละครท่ีดีควรมีเนอ้ื เร่อื งอยางไร บทเจรจาสามารถแสดงนิสัยของตัวละครและช่วยในการ (แนวตอบ มเี นอ้ื เรอื่ งทใี่ หแ นวคดิ และคตสิ อนใจ ด�าเนนิ เร่อื งใหผ้ ู้ชมเขา้ ใจ แกผูช ม เพ่อื ใหน ําแนวคดิ น้นั มาปรบั ใชใน ชีวติ ประจําวันได) ๑6๒ นักเรียนควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 ตวั ละคร เปนผูส รา งและดําเนนิ เหตกุ ารณตามโครงสรา งของเรอื่ ง โดยใช ใหน กั เรียนเขยี นแผนผงั ความคดิ (Mind Mapping) ความสัมพันธของ บทเจรจา การกระทํา และพฤติกรรมตา งๆ ซึง่ มคี วามสอดคลอ ง สมเหตุสมผล องคประกอบละคร ลงกระดาษรายงาน นําสง ครูผูส อน กบั บุคลกิ ลักษณะ และอุปนิสัยใจคอของแตละคน บทบาทของตัวละครแตล ะตวั จะมอี งคป ระกอบเปน ตวั กาํ หนดในการสรา งลกั ษณะของตวั ละคร คอื สภาพรา งกาย กจิ กรรมทา ทาย สภาพสังคม และสภาพทางจติ วทิ ยา 2 บทเจรจาของตัวละคร นยิ มใชบ ทเจรจาส้นั ๆ เขา ใจงาย ใชภาษาที่สภุ าพ ใหนกั เรยี นแตง บทละครสนั้ ตามความสนใจของตนเอง 1 เรอื่ ง และเปน คําท่สี ละสลวย สามารถสอ่ื ความหมายของคาํ ไดอยา งชัดเจน โดยนําองคป ระกอบของละคร คอื เร่อื ง (Story) และเน้อื หาสรปุ หรือแนวคดิ (Subject or Theme) มาใชอยางถูกตองและครบถวน มุม IT ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครผู สู อน นักเรียนสามารถศึกษา คนควา เพิ่มเติมเก่ยี วกับความรพู ื้นฐานเกีย่ วกบั ละคร ไดจาก http://www.tmr.ac.th 162 คู่มือครู กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ เนอ้ื หาสรปุ หรอื แนวคดิ เปน็ การใหค้ ตเิ ตอื นใจ ในขณะเดยี วกนั กส็ อดแทรกใหผ้ ชู้ มรบั รู้ ใหนักเรียนกลมุ ที่ 3 - 4 ท่ไี ดศ ึกษา คน ควา เจตคตทิ ดี่ ี เชน่ ความรกั ชาต ิ ศาสนา พระมหากษัตริย ์ การไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เป็นตน้ หาความรูเพิ่มเตมิ เกย่ี วกับองคป ระกอบของละคร ๓) นิสัยตัวละคร (Characterization) ตวั ละครจะท�าหน้าที่ให้กา� เนดิ โครงเร่อื งและ สงตัวแทนกลมุ ละ 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย เน้ือเรอื่ ง ผ้ปู ระพนั ธ์บทละครจะต้องสร้างตัวละครใหต้ รงกับเนื้อหาสรุป เชน่ เนอ้ื หาของละครเป็น ความรใู นหวั ขอ นิสยั ตวั ละคร (Characterization) แนวสมจรงิ กต็ อ้ งสรา้ งตวั ละครใหเ้ ปน็ มนษุ ยธ์ รรมดาตามธรรมชาตขิ องตวั ละครทยี่ งั มคี วามตอ้ งการ และบรรยากาศ (Atmostphere) ตามทไ่ี ดศ ึกษามา อาหาร ทพ่ี กั อาศัย เครอื่ งนุ่งหม่ มีเกดิ แก ่ เจบ็ ตาย เป็นตน้ สา� หรบั เรือ่ งราวทม่ี ีบทบาทมาก หนา ชัน้ เรียน จากนนั้ ครูถามนักเรยี นวา ทส่ี ดุ ในละคร ไดแ้ ก่ เรอื่ งราวท่ีเก่ียวกบั ความรกั ไม่วา่ จะเปน็ ความรกั ระหว่างครอบครัว หรอื คู่รัก ซ่ึงจะส่งผลไปยังองค์ประกอบอื่นๆ และมีอิทธิพลต่อผู้ชมมากท่ีสุด ถ้าเนื้อเร่ืองเป็นแนวคิดที่ • ตัวละครสามารถแบงออกเปน ก่ีประเภท เหนอื จรงิ ผดิ ไปจากธรรมชาต ิ ตวั ละครกจ็ ะถกู สรา้ งใหม้ พี ฤตกิ รรมทต่ี า่ งจากมนษุ ยธ์ รรมดา เชน่ เหาะได ้ อะไรบาง หายตวั แปลงกายได ้ มอี ิทธิฤทธ์ ิ ปาฏิหาริย ์ เปน็ ต้น (แนวตอบ สามารถแบงออกเปน 2 ประเภท ทง้ั นี้ ลักษณะนิสัยของตวั ละคร สามารถแบ่งออกเปน็ ๒ ฝ่าย คือ ตวั ละครประเภท คอื ตัวละครเอก เปน ตัวละครทมี่ ีบทบาท ท่ีเป็นตวั เอกของเรื่องเรียกว่า “โพรแทกโอนิสต”์ (Protagonist) และตัวละครทเ่ี ป็นผูร้ า้ ย เรียกวา่ สําคัญในการดาํ เนนิ เร่ือง หรอื ตวั ละคร “แอนแทกโอนสิ ต”์ (Antagonist) ท่ีเปน ศนู ยกลางของเหตกุ ารณที่เกดิ ขน้ึ นอกจากนี ้ การสร้างลักษณะนิสัยของตัวละครจะต้องใชเ้ คร่ืองประกอบ (Props) ชว่ ย ท้ังหมด และตวั ละครประกอบ เปนตัวละคร เชน่ ฉากทแี่ สดงวา่ เจา้ ของสถานทเี่ ปน็ แมบ่ า้ นทด่ี ี ตอ้ งจดั วางของใหเ้ ปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย ซง่ึ เครอ่ื งใช้ ทม่ี ีบทบาทรองลงมาจากตัวละครเอก บางอย่างสามารถจะแสดงบุคลิกลักษณะของตวั ละครได ้ เช่น แว่นตา ถา้ ผูส้ วมใส่เปน็ หญิงสาวจะ เปน ตัวละครท่ีทาํ ใหเ รื่องราว หรือเหตกุ ารณ ดูเป็นคนหวั โบราณ เข้มงวด เจา้ ระเบยี บ เป็นต้น ตา งๆ ท่ีเกยี่ วขอ งกบั ตัวละครเอกเคล่ือนไหว ๔) บรรยากาศ (Atmostphere) ไปสจู ุดหมายปลายทาง) การสร้างบรรยากาศที่เก่ียวข้องกับตัวละคร จะต้องกลมกลืนกับบทบาทของตัวละคร • ถานักเรียนตองการสรา งตวั ละครใหเปน ซ่ึงนับเป็นกลวิธีอันส�าคัญอย่างหนึ่งของการ- ตาํ รวจ หรือนางพยาบาล นักเรยี นมเี กณฑ แสดงละคร ในการกําหนดลักษณะนสิ ัยของตัวละคร การประดับตกแต่งฉาก แสง สี อยา งไร เทคนคิ พิเศษ และเครอ่ื งแตง่ กาย เป็นการช่วย (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ สอื่ ความหมายและอารมณ์ ชว่ ยสรา้ งบรรยากาศ ไดอ ยางอสิ ระ) ในการแสดง เชน่ ฉากปา่ เขาลา� เนาไพร จะมตี น้ ไม ้ ดอกไม้ น้�าตก มีเสียงนกร้อง สัตว์นานาชนิด • การสรา งบรรยากาศทเ่ี หมาะสมในฉากละคร ฉากเหลา่ นจ้ี ะชว่ ยสร้างบรรยากาศให้ผ้ชู มละคร แตล ะฉากมีความสาํ คญั หรอื ไม อยา งไร มีความรสู้ ึกคลอ้ ยตามไปกับภาพทเ่ี ห็น เปน็ ตน้ (แนวตอบ สําคัญ เพราะบรรยากาศทเ่ี กิดขึน้ ในฉากแตล ะฉากจะชวยสรา งความสมจรงิ ใหก ับการแสดงละคร ทําใหผูชมคลอยตาม ไดงาย) การสรา้ งบรรยากาศบนเวทเี ปน็ เวลากลางคนื จะใชแ้ สงนอ้ ย เพอ่ื สรา้ งความสมจรงิ ๑63 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด เกร็ดแนะครู การแปลงบทละครทเี่ ปนอกั ษรใหเ ปน การแสดง จัดเปนองคป ระกอบ ครูควรแนะนาํ เทคนคิ ในการเขยี นบทละครแบบงายๆ ใหกับนักเรียน คือ ของการแสดงละครดา นใด 1. การสรา งโครงเร่อื ง เพอ่ื กาํ หนดเรอื่ งราวและเหตกุ ารณตางๆ ตอ งคํานึงถึงความสมเหตสุ มผล 1. การสมมติ 2. ฉากมคี วามสอดคลอ งกับเนือ้ เรอ่ื ง 2. จนิ ตนาการ 3. ตวั ละครของเร่ืองตอ งแสดงตามบทใหส มบทบาท 3. การสรางสมาธิ 4. จดุ เรมิ่ ตนของเร่อื งจะตองทําใหเ กดิ ความนาสนใจและนา ตดิ ตาม 4. การสอื่ สารสัมพันธ 5. สถานการณด งึ ดูดชวนใหต ิดตามจนถงึ ตอนจบ 6. จุดจบสรางความประทบั ใจใหผ ชู ม เกดิ ความซาบซง้ึ เสียดาย วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะในการสรา งละคร ผปู ระพนั ธจ ะตอ ง ไมตองการใหจบ 7. ขอ คิดทีไ่ ดจากเร่ืองควรเปนประโยชนที่ไดร ับจากเรือ่ งท่แี สดง แปลงบทละครทเี่ ปน ตวั อักษรใหเปน การแสดง โดยตอ งสรา งจินตนาการ ซ่ึงจะทําใหน กั เรียนมีความรู ความเขา ใจเกี่ยวกับเทคนคิ ในการเขียนบทละคร เขามาเปน สวนประกอบเพอ่ื ใหการแสดงสามารถถา ยทอดเร่ืองราวออกมา แบบงา ยๆ ไดดียิง่ ข้ึน ไดอ ยา งสมบูรณ ค่มู ือครู 163 กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครูสุมนักเรียน 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม สา� หรบั แสง1 นอกจากจะใหค้ วามสวา่ งแลว้ ยงั ชว่ ยบอกเวลา สรา้ งอารมณ ์ แสงนวลออ่ นใน ดงั ตอ ไปน้ี เวลากลางคนื หรอื แสงสวา่ งจา้ ในเวลากลางวนั จะมคี วามเขม้ ของแสงตา่ งกนั เปน็ การสรา้ งบรรยากาศ ทแี่ ตกตา่ งกนั เชน่ แสงทมี่ ดื สลวั ทา� ใหเ้ กดิ บรรยากาศทนี่ า่ สะพรงึ กลวั บรรยากาศแจม่ ใส สตี อ้ งสดใส • ดนตรีเขา มามบี ทบาทในการแสดงละคร ภาพและสีในแตล่ ะฉากจงึ เปน็ การสรา้ งเสรมิ บรรยากาศใหด้ ูสมจรงิ เปน็ ต้น อยางไร “ เพลง ภูมหิ ลนงั อ”ก(Bจาaกcนkgี้ rอoงuคn์ปd ร ะMกuอsบicส)2�า เคปัญ็นทเพ่ีขลาดงทไม่ีไม่ได่ม้ใเีนนกือ้ ารรอ้สงร ้ามงแีบตรร่ทยา� านกอางศเ พคลือง ไเมพ่เลกงี่ยทว่ีเกรบัียกกวา่าร (แนวตอบ ในการแสดงละครไทยนั้น จะมเี พลง ด�าเนิน เรื่อง สแ�าตหช่ รว่ับยลสะรค้ารงไอทารยมนณั้น์ คจวะามมีเรพู้สลกึ งใทห่ีแ้ใชก้เ่ผพชู้ ่ือมแสดงอารมณ์ตามบทบาทของตัวละคร3อยู่ ที่ใชเ พอ่ื แสดงอารมณต ามบทบาทของ หลายเพลง เป็นต้นว่าเพลงอารมณ์เศร้า เช่น เพลงโอด เพลงนางครวญ เพลงธรณีกรรแสง ตวั ละครอยู ดังนนั้ ดนตรีจึงเขา มามบี ทบาท เป็นต้น เพลงอารมณ์รื่นเริง เช่น เพลงกราวร�า เพลงแขกบรเทศ เพลงประสิทธ์ิ เป็นต้น ในการแสดงละคร มีสว นสัมพนั ธเกยี่ วของ เพลงอารมณ์โกรธ เช่น เพลงเทพทอง เพลงนาคราช เพลงลิงโลด เป็นตน้ กบั เนอ้ื เรอื่ งทน่ี ํามาจดั แสดง ละครแตละ ประเภทกจ็ ะใชด นตรมี าประกอบ เรือ่ ง นสิ ยั ตัวละคร มากนอ ยตา งกนั เชน ในการแสดงอุปรากร หรอื ละครเพลง ดนตรจี ะมสี ว นสมั พันธก ับ ละคร เน้ือเร่อื ง หรอื ใชด นตรดี ําเนนิ เร่ืองแสดง ลักษณะนิสัย ตลอดจนอารมณของตัวละคร เนื้อหาสรปุ บรรยากาศ การแสดงบางประเภทกจ็ ะใชดนตรี ในการเราอารมณใหเ ขม ขนข้ึน เปนตน ) กจิ กรรม ศลิ ปป์ ฏบิ ตั ิ ๑๐.๑ • การใหแ สงบนเวทสี ามารถบอกอารมณ ของตวั ละครไดหรอื ไม อยางไร (แนวตอบ ได เชน ถาตวั ละครอยใู นอารมณ โกรธ จะปรบั แสงสีบนเวทีเปน แสงสีแดง ถาตัวละครอยใู นอารมณต่นื เตน สนกุ สนาน จะปรบั แสงสีบนเวทีเปนแสงสสี ม ถาตวั ละคร อยใู นอารมณเ ศรา หรอื ผดิ หวงั จะปรบั แสงสบี นเวทเี ปน แสงสีน้าํ เงิน ถา ตวั ละคร อยใู นอารมณแ หงความรัก จะปรับแสงสี บนเวทีเปนแสงสีเขยี ว เปนตน) กิจกรรมท่ี ๑ เชิญวิทยากรมาบรรยายใหค้ วามร้เู ก่ียวกับหลกั การสรา้ งสรรค์การแสดงละคร กิจกรรมที่ ๒ ใหน้ ักเรยี นจดบนั ทึกขอ้ มูลจากการรับฟังไว้ ใหน้ กั เรยี นชมตวั อยา่ งละครจากซดี ี (CD) ดวี ดี ี (DVD) หรอื จากเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ แลว้ ร่วมกนั อภปิ รายถึงองค์ประกอบตา่ งๆ ท่ปี รากฏอยู่ในละครดังกลา่ ว ๑64 นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดเปนบรรยากาศที่เหมาะสมท่ีสดุ ในการจดั การแสดงละครเวที 1 แสง ในการแสดงละครนั้นจะมีการใชแสงสีเพือ่ สรา งบรรยากาศในการแสดง เรือ่ งแผลเกา ใหม ีความเหมาะสม เชน แสงสีเหลอื งออ น แสดงใหเ ห็นถึงบรรยากาศในยามเชา 1. ฉากวถิ ชี ีวติ ชาวชนบท มกี ระทอ ม ทงุ นา วัว ควาย แมน้าํ เวลารุง อรณุ การเปดไฟใชแ สงสีเหลอื ง 75 เปอรเ ซ็นตและแสงสีขาว 25 เปอรเ ซน็ ต 2. ฉากในสนามรบ มปี นใหญ มดี ดาบ กาํ แพง ทงุ หญา กอ นหนิ แสงสชี มพู แสดงใหเหน็ ถงึ บรรยากาศในยามบา ย การเปด ไฟใชแ สงสีแดง 3. ฉากชุมชนแออัด มบี า นเรอื นตัง้ หนาแนน ลาํ คลอง สะพานไม 75 เปอรเ ซน็ ต และแสงสีขาว 25 เปอรเซ็นต แสงสมี วงนํา้ เงินแสดงใหเห็นถึง 4. ฉากปาเขาลาํ เนาไพร มีตน ไม เสยี งนกรอง นํ้าตก สตั วนานาชนดิ บรรยากาศในยามคาํ่ การเปดไฟใชแสงสนี ํา้ เงนิ 75 เปอรเซ็นต และแสงสีแดง วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะแผลเกา คือ ละครท่ีสะทอ นใหเ หน็ ถงึ 25 เปอรเ ซ็นต เปน ตน ความรักของหนมุ สาวที่ไมส มหวัง ในบทละครจะกลา วถึงทอ งทุงบางกะป 2 “เพลงภมู หิ ลงั ” (Background Music) ดนตรีทีใ่ ชประกอบ เพ่อื สรา ง มตี ัวละครทส่ี ําคญั คือ ขวญั และเรยี ม ฉากวิถีชีวิตชาวชนบท มีกระทอ ม บรรยากาศ สรางอารมณแ ละนํามาเชอ่ื มการแสดงระหวางฉาก ทงุ นา วัว ควาย แมนา้ํ จึงมคี วามเหมาะสมมากท่สี ุด 3 เพลงทใ่ี ชเ พ่ือแสดงอารมณต ามบทบาทของตวั ละคร ในการแสดงละครไทย จะมกี ารนําเพลงมาใชเพอ่ื แสดงใหเห็นอารมณต า งๆ ของตวั ละคร เชน เพลงโลม สาํ หรบั การเขา พระเขา นาง การเลา โลมดวยความรกั เพลงทยอย สาํ หรับอารมณ เสียใจ เศราใจขณะทเ่ี คล่อื นท่ไี ปดว ย เชน เดินพลาง รองไหพลาง เปน ตน 164 คมู่ ือครู กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเข้าใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain เสริมสาระ ใหนักเรียนศกึ ษาเร่ืองเวทีละครจากใน หนงั สอื เรียน หนา 165 จากนัน้ ครูถามนักเรียนวา เวทลี ะคร เวทลี ะครแหง่ แรกของโลก คอื เวทลี ะครกรกี โดยขดุ เวทลี งไปในภเู ขา ทนี่ ง่ั ดลู าดขนึ้ เปน็ ชน้ั ๆ • คาํ วา “เวที” มีความหมายวา อยา งไร เปน็ อฒั จนั ทร ์ กลางโรงเปน็ แทน่ กลม เรยี กวา่ “ออรเ์ คสตรา” (Orchestra) ขา้ งบนมแี ทน่ ๑ แทน่ สา� หรบั (แนวตอบ ที่วา งหลงั มาน โดยมากจะแบงออก ให้ตัวละครยนื ดา้ นหลังเวทเี ปน็ อาคารยาว ตามเวทีมีประตูเขา้ ออก ๓ ประตู ตวั ละครจะออกจาก เปน 6 สว น แตละสวนจะมีทางเขาออก ประตูกลาง ลกู คอู่ อกจากประตูข้าง เวทหี มนุ ได้เรียกว่า “เอกซเี คลมา” (Eccyclema) ของตนเองทงั้ ดา นซา ยและดา นขวา คาํ วา ซา ย ในปจั จบุ นั เวทลี ะคร โดยทว่ั ไปจะแบง่ ออกเปน็ ๖ สว่ น แตล่ ะสว่ นจะมที างเขา้ - ออกทางดา้ นซา้ ย หรอื ขวานั้น หมายถงึ ซา ย หรอื ขวาของ และดา้ นขวา มพี นื้ ทว่ี า่ งหลงั มา่ น ซง่ึ ในแตล่ ะสว่ น ตัวละครไมใ ชข องผูชม) ของเวทีจะมลี ักษณะการใช้งาน ดังนี้ • นักเรียนเคยชมการแสดงละครเวทบี าง สว่ นที่ ๑ กลางหนา้ เปน็ การแสดงบทบาท หรอื ไม ถาเคย นกั เรียนคดิ วาละครเวที เด่นของตัวละคร ท่ีต้องการอวดบทบาท อวด มคี วามแตกตา งจากละครโทรทศั นอ ยา งไร ฝมือการต่อสู้ประจันหน้า แสดงฝมือต่างๆ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ผ้แู สดงจะใชพ้ ้นื ทส่ี ว่ นนี้ของเวที ไดอ ยางอสิ ระ) ส่วนที่ ๒ ขวาหน้า ใช้แสดงบทบาทของ ขยายความเขา้ ใจ E×pand ตัวละครท่ีต้องการแสดงอารมณ์ สีหน้าท่าทาง แสดงบทรกั และความเมตตา 1. ใหน ักเรยี นสรปุ สาระสําคัญเกี่ยวกบั องคประกอบของละคร ลงกระดาษรายงาน สว่ นท่ี ๓ ซา้ ยหนา้ ใชแ้ สดงบทบาททอ่ี อ่ นกวา่ สว่ นท ี่ ๑ สว่ นท ่ี ๒ และการแสดงบทเกย้ี วพาราส ี นําสง ครูผูส อน ตัดพ้อต่อวา่ 2. ใหน ักเรยี นแตละกลุมแสดงละครส้ันตามความ ส่วนท่ี ๔ กลางหลงั เปน็ สว่ นท่ีไกลผชู้ ม ใชแ้ สดงการเขา้ พระ - เขา้ นาง เปน็ การเรม่ิ ตน้ บทสา� คญั สนใจของกลมุ กลุมละ 1 เรื่อง โดยใช ของตัวละคร ก่อนจะเล่ือนมาดา้ นหนา้ เวที องคประกอบของละครเปนหลัก ไดแก เร่อื ง (Story) เนื้อหาสรุป หรือแนวคิด (Subject or ส่วนท่ี ๕ ขวาหลัง ส�าหรบั ผแู้ สดงบทฆาตกรรม ภูตผปี ศาจ และตวั ประกอบท่ีไม่มีบทพูด Theme) นสิ ยั ตัวละคร (Characterization) ส่วนที่ ๖ ซา้ ยหลงั ส�าหรับแสดงบทท่ีโลดโผน หวาดเสยี ว และบรรยากาศ (Atmostphere) พรอ มทง้ั ฝก ซอ มการแสดง จากนน้ั ใหแ ตล ะกลมุ ผลัดกนั ออกมานาํ เสนอผลงานใหเ พอ่ื นชมหนา ชน้ั เรยี น โดยมคี รูเปนผชู แี้ นะความถกู ตอง ตรวจสอบผล Evaluate ๑6๕ 1. ครูพิจารณาจากการสรปุ สาระสําคญั เกยี่ วกบั องคประกอบของละครของนกั เรยี น 2. ครพู จิ ารณาจากการแสดงละครสน้ั ของนกั เรยี น กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ใหนกั เรยี นฟง เพลงประกอบละครทีน่ ักเรยี นสนใจ 1 เพลง ครคู วรอธบิ ายความรเู พม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั โรงละครแหง ชาติ (The National Theatre) จากน้นั วเิ คราะหบทเพลงวา มคี วามเหมาะสมกบั ละครเรือ่ งน้ี ซง่ึ เปน โรงละครแหงแรกของประเทศไทย ตงั้ อยใู นบรเิ วณพระราชวงั บวรสถานมงคล หรอื ไม อยางไร ลงกระดาษรายงาน นําสง ครูผสู อน หรอื พระบวรราชวงั (เดมิ ) ขางสะพานพระปน เกลา แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2508 เปน วันทีเ่ ปด กิจกรรมทาทาย โรงละครวันแรกและไดรับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภูมพิ ลอดลุ ยเดช ท่ีไดท รงพระกรุณาโปรดเกลา ฯ เสด็จพระราชดําเนินทอดพระเนตร ใหนกั เรยี นชมละครทนี่ ักเรียนสนใจ 1 เรอ่ื ง จากนนั้ วิเคราะห การแสดงนาฏศิลปไทย ในวโรกาสพิธีเปดโรงละครแหงชาติ ซึ่งไดมีการจัดแสดง องคป ระกอบของละครในดานตา งๆ คือ เรื่อง เนอื้ หาสรุป หรือแนวคดิ รวม 3 ชุด คือ รําดอกไมเงินทองถวายพระพร การแสดงละคร เร่ืองสังขศิลปชัย นสิ ยั ตวั ละคร และบรรยากาศ วา มีความเหมาะสมกบั ละครเรื่องน้ี ตอนชุบสังขศิลปชัย และการแสดงโขนเร่ืองรามเกียรติ์ ชุดรามาวตาร ซ่ึงจะทําให หรอื ไม อยา งไร ลงกระดาษรายงาน นําสง ครผู สู อน นักเรียนมีความรู ความเขา ใจเกย่ี วกับโรงละครแหง ชาติไดด ียิง่ ข้ึน คมู่ ือครู 165 กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครเู ปดซีดี หรือดีวดี ีการแสดงละครไทย ๓. หลักการวเิ คราะห์ วจิ ารณก์ ารแสดงละคร ใหนกั เรียนชม จากนั้นครถู ามนักเรียนวา การวจิ ารณ ์ เป็นการเปดิ โอกาสใหผ้ ้ชู มละครไดแ้ สดงความคิดเห็นต่อการแสดง ซง่ึ ผวู้ ิจารณ์ ควรมหี ลกั เกณฑ์ในการวจิ ารณอ์ ยา่ งเปน็ ธรรมและสรา้ งสรรค ์ เพอ่ื นา� มาใชเ้ ปน็ แนวคดิ ใหผ้ สู้ รา้ งสรรค์ • การแสดงทนี่ กั เรยี นไดช มไปนนั้ มคี วามงดงาม ผลงานนา� ไปปรบั ปรงุ พฒั นา และสรา้ งสรรคผ์ ลงานทีม่ ีคณุ คา่ ได้มาตรฐานตอ่ ไป หรอื ไม อยางไร ละครของไทย สามารถแบง่ ออกเปน็ ละครรา� และละครทไี่ ม่ใชท้ า่ รา� การวจิ ารณก์ ารแสดงละคร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเหน็ จงึ มหี ลกั การวจิ ารณท์ ่ีแตกต่างกนั ออกไปในละครแตล่ ะประเภท ไดอยา งอิสระ) 3.๑ หลักการวิเคราะห ์ วจิ ารณล์ ะครรำา กอ่ นการวจิ ารณ ์ ผวู้ จิ ารณค์ วรวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบในการแสดงละครรา� ในดา้ นตา่ งๆ ดงั น้ี สา� รวจคน้ หา Explore ๑) รูปแบบของการแสดง เปน็ การวิเคราะหร์ ูปแบบการแสดงว่าเปน็ แบบมาตรฐาน ใหน ักเรียนแบง กลมุ ออกเปน 2 กลุม ใหนกั เรียน ศกึ ษา คน ควา หาความรเู พิ่มเตมิ เก่ยี วกับหลกั การ หรอื แบบพ้นื บ้าน ซง่ึ การแสดงจะมหี ลายรปู แบบ ไดแ้ ก่ ระบ�า รา� ฟอ้ น โขน และละคร วเิ คราะห วจิ ารณก ารแสดงละคร จากแหลง การเรยี นรู ตางๆ เชน หองสมุดโรงเรยี น หอ งสมุดชุมชน ๒) ความเป็นเอกภาพ การแสดงในชุดหน่ึงๆ ผู้แสดงจะต้องมีความเป็นอันหน่ึง- อินเทอรเน็ต เปนตน ในหวั ขอ ทีค่ รูกาํ หนดให ดังตอ ไปน้ี อนั เดยี วกนั เชน่ ผแู้ สดงละครรา� ทกุ คนตอ้ งมลี ลี าในการรา่ ยร�าใหถ้ กู ตอ้ งและสอดคลอ้ งกบั ละครแตล่ ะ ประเภท เปน็ ตน้ ความเป็นเอกภาพ หมายความวา่ การแสดงแต่ละชุดต้องมีลลี าทา่ ร�าเหมือนกนั กลุมท่ี 1 หลักการวเิ คราะห วิจารณละครราํ เช่น กลุมที่ 2 หลกั การวเิ คราะห วิจารณละคร • ระบา� กวาง ผแู้ สดงต้องเลียนแบบลีลาทา่ ทางของกวาง • ระบ�ามา้ ผแู้ สดงต้องเลียนแบบลลี าท่าทางของม้า ทไ่ี มใ ชทา ราํ • การแสดงละครร�า ผู้แสดงทุกคนต้องมีลีลาท่าร�าเหมือนกันตามแบบจารีตของ ละครแต่ละชนดิ เชน่ ละครชาตร ี ละครนอก ละครใน ละครดกึ ดา� บรรพ ์ เป็นต้น อธบิ ายความรู้ Explain ๓) การรา่ ยรา� และองคป์ ระกอบอน่ื ๆ ไดแ้ ก ่ ความถกู ตอ้ งตามแบบแผนของทา่ รา� แมท่ า่ ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 1 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู เพ่ิมเตมิ เกี่ยวกับหลกั การวิเคราะห วิจารณก ารแสดง ลลี าทา่ เชอ่ื ม ความคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ในการประดษิ ฐท์ า่ รา� ความสามารถในการรา� ลกั ษณะพเิ ศษใน ละคร สง ตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู ทว่ งทา่ ลลี า และเทคนคิ เฉพาะตวั ของผรู้ า� เชน่ การวเิ คราะหล์ ะครใน เรอ่ื ง “อณุ รทุ ” ในหัวขอหลกั การวเิ คราะห วจิ ารณล ะครราํ ตามท่ไี ด ศกึ ษามาหนาชน้ั เรียน จากน้นั ครูถามนกั เรยี นวา ตัวอย่าง การวิเคราะห์ วจิ ารณ์ละครร�า • หากการแสดงละครขาดความเปน เอกภาพ ระบ�าครุฑ1 จากละครในเรอ่ื ง “อณุ รทุ 2” จะสง ผลใหละครเปนเชน ไร (แนวตอบ ละครอาจไมไ ดร บั ความนยิ มจากผชู ม ๑) รปู แบบของการแสดง จากภาพเปน็ การแสดงระบา� ครฑุ ในละครรา� เรอื่ ง “อณุ รทุ ” เนือ่ งจากขาดความมเี อกภาพ เชน ผแู สดง ซ่ึงจัดว่าเป็นละครใน เพราะในอดีตจะแสดงแต่ในเขตพระราชฐานและนิยมแสดงเพียง ราํ ไมพ รอ มเพรยี งกนั การดาํ เนนิ เรอื่ งไมร าบรนื่ ๓ เรอื่ ง ได้แก่ เรอ่ื งอุณรุท เรอ่ื งอเิ หนา และเร่อื งรามเกยี รต์ิ ทาํ ใหผ ูชมรสู ึกเบ่ือหนา ย เปนตน) ๒) ความเปน็ เอกภาพ จากภาพจะเห็นวา่ • ผู้แสดงท้ังหมดในภาพ มลี ลี าท่าร�าทเ่ี ป็นมาตรฐานแบบละครใน • ผู้แสดงแต่งกายยืนเคร่อื งพระ - นาง ตามขนบนิยมของการแสดงละครใน ๑66 นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ถานักเรยี นจะวเิ คราะห วจิ ารณองคประกอบของการรายราํ 1 ระบําครุฑ เปนระบําทป่ี รับปรุงมาจากบทรอ งชมครฑุ ในการแสดงละคร ควรเลอื กวิเคราะห วิจารณเรื่องใดจึงจะเหมาะสม เรื่องอณุ รทุ ซงึ่ เปน บทพระราชนิพนธใ นพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟาจฬุ าโลก- 1. รปู แบบของการแสดง มหาราช (รชั กาลที่ 1) โดยมคี รอู รา ม อนิ ทรนฏั เปน ผปู ระดษิ ฐท า ราํ เลยี นแบบทา ทาง 2. การแตง กายของนกั แสดง ของพญาครุฑพาหนะของพระนารายณแ ละใชทํานองเพลงเกา ในสมัยอยธุ ยา คือ 3. ความเปน เอกภาพของผูแสดง เพลงตงุ ต้ิง บรรเลงประกอบการแสดง 4. ความถูกตองตามแบบแผนของทา ราํ 2 อุณรทุ บทพระราชนิพนธใ นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา จุฬาโลก- วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะในการแสดงชดุ หนึ่งๆ ผแู สดง มหาราช (รัชกาลท่ี 1) นิยมนาํ มาแสดงเปน ละครในควบคกู บั การแสดงละคร จะตองมีความเปนอนั หนง่ึ อันเดียวกัน เชน การรายรํามีความสวยงาม เรอ่ื งรามเกยี รติแ์ ละอิเหนา มคี วามพรอ มเพรยี งกัน เปน ตน 166 คู่มือครู กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๓) การร่ายร�าและองค์ประกอบอ่ืนๆ ผู้แสดงมีทักษะ สุนทรียะ ท่าร�าถูกต้อง ครูสมุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม ตามแบบแผนละครในทกุ ประการ ดงั ตอ ไปน้ี ลีลาท่าร�าถูกต้องตามนาฏยศพั ท์ เชน่ ผแู้ สดงท่ีเป็นพญาครุฑ มเี หล่ียมท่งี ดงาม • จากภาพนกั เรยี นสามารถนําหลักการ ถูกต้องตามแบบแผนของนาฏยศัพท์ (ค�าว่า “เหล่ียม” หมายถึง ระยะเข่าท้ัง ๒ ข้าง วิเคราะห วจิ ารณละครราํ มาวเิ คราะห กางออก) สามารถเปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ เหลยี่ มพระ (พระนารายณ)์ ซง่ึ จะกวา้ งพอประมาณ การแสดงไดหรอื ไม อยา งไร สว่ นเหล่ียมที่กว้างที่สดุ คอื เหล่ียมยกั ษ์ ซงึ่ ผู้แสดงเป็นพญาครฑุ จะต้องนา� เหลีย่ มยักษ์ มาปฏิบัติได้อยา่ งสวยงาม การแสดงระบํา ชุดศุภลักษณอุมสม ท่าร�าขององค์พระนารายณ์ ขึ้นท่าใหญท่ ี่เรยี กวา่ “ทา่ นภาพร” บ่งบอกถงึ ความ (แนวตอบ สามารถนาํ หลกั การวิเคราะห เปน็ ใหญ่ มอื ซา้ ยถอื สงั ขส์ อดสูง มือขวาก�าพระขรรค์เหยยี ดแขนตงึ ระดบั ไหล่ ลา� ตัวตรง วิจารณละครราํ มาวิเคราะหการแสดง เปดไหลท่ ัง้ ๒ ขา้ ง ดันเอว ใบหนา้ เงย เป็นการจดั ระเบยี บรา่ งกายท่ีได้มาตรฐานถกู ตอ้ ง ได ดังตอ ไปนี้ ตามต�าแหน่งของนาฏยศัพท์ 1. รูปแบบการแสดง จากภาพเปนการแสดง ส่วนองค์ประกอบอน่ื ๆ ที่ปรากฏอยใู่ นการแสดง ไดแ้ ก่ ระบําชุดศภุ ลกั ษณอมุ สม ในละครรํา • การแตง่ กาย ผู้แสดงแต่งเคร่ืองพระถูกต้องตามขนบนยิ มของละครใน เร่อื งอณุ รทุ ซงึ่ จัดวาเปน ราํ มาตรฐาน • ความสมดุลของทางสรีระ เช่น ท่าขึ้นลอยขององค์พระนารายณ์ ผู้แสดง 2. ความเปน เอกภาพ ผแู สดงทงั้ หมดในภาพ สอดสงู มอื ซา้ ย ยกเทา้ ซา้ ยเหยยี บบนบา่ พญาครฑุ ทา� ใหม้ นี า้� หนกั ทางดา้ นซา้ ยมาก ถว่ งดลุ มีลีลาการรา ยรําทเี่ ปนมาตรฐานถูกตอง โดยการเอียงศีรษะมาทางขวา ตามนาฏยศัพท • รปู รา่ งของผแู้ สดงทเี่ ปน็ ครฑุ มลี กั ษณะเขม้ แขง็ สว่ นผแู้ สดงเปน็ พระนารายณ์ 3. องคประกอบอื่นๆ ผแู สดงแตง ยืนเครื่อง ซ่ึงเป็นเทวดา จะตอ้ งมีรูปรา่ งบอบบางเหมาะสมกบั ตัวละครในเรื่อง ตามขนบนยิ มของระบาํ มาตรฐาน • การแสดงหมมู่ ีความงามผสมกลมกลืนกันในจังหวะลีลาทา่ รา� รูปรางของผแู สดงมีความงดงามถูกตอง • การต้ังซุ้มมีความสมดุลกันอย่างงดงามไม่ขัดตา ผู้แสดงจะจับกลุ่มเป็นซุ้ม ตามลกั ษณะของพระ - นาง เปน การราํ หมู รูปสามเหลี่ยม ตรงกลางจะเป็นท่าขึ้นลอยสูง จะมีลีลาท่าร�าที่เหมือนกันทั้งซ้าย - ขวา ท่มี ีความสมดุลกันในทว งทีลลี าทเ่ี ปน เปน็ ทา่ นงั่ ตง้ั เขา่ ลดหลน่ั ลงมา นบั เปน็ การตงั้ ซมุ้ ทม่ี ลี กั ษณะงดงามโดดเดน่ มคี วามสมดลุ บทเก้ยี ว) ทง้ั ฝง ซา้ ยและฝง ขวา • นอกจากการวเิ คราะห วจิ ารณละครรํา ในเรื่องรูปแบบการแสดง ความมีเอกภาพ ระบ�าครฑุ ที่มาของภาพ : http:// www.bpi-salayacampus.webiz.co.th การรา ยรํา และองคประกอบอนื่ ๆ นกั เรียน สามารถวิเคราะห วจิ ารณใ นเรื่องใด ๑67 ไดอกี บาง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอิสระ) ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’50 ออกเกย่ี วกบั การวิจารณก ารแสดง ครคู วรอธิบายความรเู พมิ่ เติมเกยี่ วกบั หลักการวจิ ารณล ะครไทยวา ละครไทย ส่ิงใดทผ่ี ูว จิ ารณการแสดงไม จําเปนตอ งกลา วถึงในการวิจารณก ารแสดง มสี ่งิ ท่ตี องวิจารณอ ยู 5 ประเภท ดังตอ ไปน้ี 1. การเลาเรือ่ งยอการแสดงนั้นๆ 2. วิธีการเดนิ ทางไปสถานทท่ี ช่ี มการแสดง 1. ทารํา จะตอ งพิจารณาถงึ ความสวยงามและความถกู ตองของทา รํา 3. มมุ มองท่ีผสู รา งสรรคตอ งการนาํ เสนอสูผชู ม 2. ตัวละคร จะตอ งพจิ ารณาวาตวั ละครแสดงไดเ หมาะสมกบั บทบาท 4. ความสวยงามของแสง สีประกอบการแสดง ทไ่ี ดรับหรอื ไม 3. ดนตรี ตอ งพจิ ารณาถงึ ความเหมาะสมของบทเพลง ความไพเราะของ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะวธิ กี ารเดนิ ทางไปสถานทที่ ช่ี มการแสดง บทประพนั ธวา มีความสอดคลอ งกบั บรรยากาศของเน้อื เรอ่ื ง หรอื บทละครหรอื ไม 4. คํารอง ทํานอง จังหวะ ตอ งคาํ นงึ ถึงความถูกตอ งและการนํามาใช เปน สงิ่ ผวู จิ ารณการแสดงไมจําเปน ตอ งกลาวถงึ ในการวิจารณการแสดง เพ่อื ความสะดวกสบายในการฟอ นรํา เน่ืองจากไมไดม ีความเกย่ี วขอ งกับการวิจารณการแสดง 5. การแตง กาย ตอ งคาํ นงึ ถงึ ความถูกตองของยุคสมัย ในการออกแบบ เครอื่ งแตงกายตอ งมีความเหมาะสมกับการแสดง ซ่งึ จะทําใหน กั เรียนมีความรู ความเขา ใจเก่ยี วกบั หลักการวจิ ารณล ะครไทย ไดด ยี ิง่ ข้ึน คมู่ อื ครู 167 กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 2 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู 3.๒ หลกั การวเิ คราะห ์ วจิ ารณล์ ะครทไี่ มใ่ ชท้ า่ ราำ เพมิ่ เตมิ เก่ียวกบั หลักการวเิ คราะห วิจารณก ารแสดง สนุ ทรียะของละครจะข้นึ อยู่กับรสนยิ มและพ้นื ฐานความรขู้ องผ้ชู มแต่ละยคุ สมัย ในการทจ่ี ะ ละคร สง ตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรู ยอมรบั ว่าอะ๑ไ)รดโี คอระไงรเงราอื่ มง1 สห่ิงมทาผี่ ยวู้ถจิ ึงา รโคณร์คงวสรรย้าึดงขถออื งเปล็นะคแรนทวง้ัทเารงอื่ ใงน กกาารรววิจจิ าารรณณ ์์โคมรดี งังเนร่ือี้ ง มีดงั นี้ ในหัวขอหลักการวเิ คราะห วจิ ารณละครท่ีไมใช • เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ ในละครชดั เจนหรอื ไม่ ทาราํ ตามท่ไี ดศ กึ ษามาหนาชัน้ เรียน จากนนั้ ครถู าม • สิง่ ใดทท่ี �าใหเ้ รื่องมีความนา่ สนใจมากทส่ี ุด เช่น โครงเรือ่ ง ตวั ละคร เป็นตน้ นกั เรียนวา • การจบเร่ืองเหมาะสมหรอื ไม่ • นกั เรยี นคิดวา สง่ิ ใดบางทท่ี าํ ใหรสนยิ ม ๒) แนวความคดิ ทเ่ี ปน็ แกน่ ของเรอื่ ง มขี อ้ ทคี่ วรพจิ ารณาเพอ่ื ใชใ้ นการวจิ ารณ ์ ดงั นี้ ของผชู มละครเปลยี่ นแปลงไปในแตล ะยคุ สมยั (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น • ดแู ลว้ ไดป้ ระสบการณ ์ แนวคดิ ปรชั ญาใดบา้ ง มโี อกาสเกดิ ขนึ้ ในชวี ติ จรงิ ไดห้ รอื ไม่ ไดอ ยางอสิ ระ) • บทเจรจาของตัวละคร มีคติ ค�าคมทนี่ ่าจดจ�าบ้างหรือไม่ • เนอ้ื เรื่อง ฉาก ตวั ละครมีความสอดคล้องเหมาะสมกันหรือไม่ • นกั เรยี นไดร บั ประโยชนจ ากแนวความคดิ ทเ่ี ปน แกน ของเรอื่ งอยา งไร ๓) ตวั ละคร วเิ คราะหด์ า้ นบทบาทของตวั ละครและการสรา้ งตวั ละคร โดยการวจิ ารณ์ (แนวตอบ 1. ทาํ ใหร จู กั วถิ กี ารดาํ รงชวี ติ ของผคู นสมยั ตา งๆ ตัวละครมขี อ้ ที่ควรพิจารณา ดงั น้ี 2. ทําใหตระหนักถึงหลักธรรมท่ีเปนสัจธรรม แหงชีวิต ฉากและอุปกรณ์ประกอบฉากของละครโอเปรา (Opera) เรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลาย (Madame Butterfly) 3. ทาํ ใหตระหนกั ถึงปญ หาของชีวติ มนุษย ท่มี าของภาพ : http://www.theredist.com สงั คม และโลก 4. ทาํ ใหส ามารถยกระดับสตปิ ญ ญาทไ่ี ดจาก • การสร้างบุคลิกลักษณะของตัวละคร มีชีวิต จิตใจคล้ายมนุษย์จริงหรือไม ่ การซึมซบั การรบั รแู กนความคิดทด่ี ขี อง (ละครประเภทสมจริง ตัวละครจะมีบคุ ลกิ ลักษณะทเี่ หมอื นมนุษย์ปกติ) บทละคร) • ตวั ละครสามารถดงึ ดดู ให้ผ้ชู มมีอารมณ์คลอ้ ยตามได้มากน้อยเพยี งใด • ตวั ละครแสดงไดส้ มบทบาทเพียงใด ตบี ทแตกหรอื ไม่ • การวิเคราะหล กั ษณะนสิ ยั ของตัวละคร จะตอ งพจิ ารณาในดา นใด ๑68 (แนวตอบ พจิ ารณาไดห ลายประเด็น เชน ตัวละครตัวใดมีความสําคัญกับเนื้อเร่อื ง หรอื กับความคดิ เห็นของผูประพนั ธ ตวั ละครใดทาํ ใหเ นอื้ เรอ่ื งมรี สชาตเิ พมิ่ มากขนึ้ ตวั ละครใดควรถอื เปน ตวั ละครเอก เกยี่ วเนอ่ื ง กบั ช่อื เรอ่ื งหรอื ไม ตัวเอก หรือฝายตรงขาม กบั ตวั ละครเอกมขี อ ทนี่ า ชมเชย หรอื ตําหนิ อยางไร เปนตน ) นักเรยี นควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 โครงเรือ่ ง ลาํ ดบั หรือทศิ ทางของเร่ืองทวี่ างไวเ ปน กรอบ ใหนักเรยี นศกึ ษาเพ่ิมเติมเกีย่ วกบั หลกั การวิเคราะห วิจารณล ะคร เปนแนวทางในการสรา งเร่ือง ซึ่งประกอบไปดว ย ทีไ่ มใชท าราํ เขยี นสรุปสาระสาํ คญั ลงกระดาษรายงาน นําสงครผู สู อน 1. การเริม่ เรื่องควรกระชบั เพ่ือใหผูชมทราบวาใคร ทาํ อะไร ทีไ่ หน กิจกรรมทาทาย 2. เหตุการณแ รกมคี วามสาํ คัญทีจ่ ะโยงไปสเู หตุการณอืน่ ๆ 3. เหตุการณน าํ อารมณผูชมไปสู “จุดวกิ ฤต” ซึง่ จะทําใหผูชมทราบวา ใหนักเรยี นทําตารางวเิ คราะหค วามแตกตา งของหลักการวิเคราะห วิจารณล ะครรําและหลกั การวเิ คราะห วจิ ารณละครทีไ่ มใ ชทารํา ตวั ละครสาํ คัญจะแกป ญหาไดห รอื ไม วา มีรปู แบบทค่ี ลายคลึงกนั หรือไมอ ยา งไร ลงกระดาษรายงาน 4. เหตุการณท ่ีเปนจุดคลคี่ ลายปญ หา ใหความกระจางจนจบเรอ่ื ง นําสงครูผสู อน มุม IT นักเรียนสามารถศกึ ษา คน ควา เพม่ิ เตมิ เกีย่ วกับโครงเร่ือง ไดจ าก http://www.nmt.ac.th 168 คมู่ ือครู กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๔) ทัศนองค์ประกอบต่างๆ จะต้องสอดคล้องกับตัวละคร ช่วยสร้างบรรยากาศ ครูสุม นักเรยี น 2 - 3 คน ใหต อบคําถาม ดงั ตอไปนี้ ได้อยา่ งเหมาะสม สรา้ งอารมณท์ ีส่ อดคลอ้ ง เชน่ ฉาก เครอ่ื งแตง่ กาย แสง ส ี เป็นต้น ขอ้ ที่ควร น�ามาพจิ ารณาเพอื่ ใช้ในการวิจารณ ์ มีดังน้ี • จากภาพนกั เรยี นสามารถนําหลกั การ • ทัศนองค์ประกอบตา่ งๆ นัน้ ลว้ นสอดคลอ้ งกับตวั ละคร ดงั น้ัน จงึ ต้องพจิ ารณาดู วเิ คราะห วิจารณละครทไ่ี มใชท า ราํ วา่ ทศั นองค์ประกอบตา่ งๆ ชว่ ยสร้างอารมณ์ และสรา้ งบรรยากาศได้สมเหตสุ มผลหรอื ไม่ มาวเิ คราะหโ ครงเร่ืองของละครไดหรอื ไม อยา งไร • ฉาก อุปกรณ์ประกอบฉาก ชว่ ยสรา้ งบรรยากาศให้ละครดสู มจริงได้หรอื ไม่ • เคร่ืองแต่งกาย ฉาก และอุปกรณ์ประกอบฉาก ถูกต้องตามขนบธรรมเนียม ประเพณ ี ยคุ สมัยตามเนอื้ เร่อื งหรอื ไม่ ผ้วู เิ คราะห ์ วจิ ารณ์ การแสดงละครตอ้ งแยกใหอ้ อกระหวา่ งคา� ว่า “วเิ คราะห”์ และ “วิจารณ”์ กอ่ นทจ่ี ะวจิ ารณค์ วรวเิ คราะหล์ ะครเรอื่ งนน้ั ๆ กอ่ น การวเิ คราะห ์ หมายถงึ การแยกแยะองคป์ ระกอบ ส่วนการวิจารณ์ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลเพ่ือชมละครเรื่องน้ันแล้วบอกว่าดีหรือ (แนวตอบ สามารถนําหลกั การวเิ คราะห ไม่ดีเพราะเหตุใด เช่น การวิเคราะห์ละครเรื่อง “เจาหญิงแสนหวี” บทประพันธ์ของพลตรี วิจารณละครทีไ่ มใชท ารํามาวเิ คราะห หลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลยี ง วฒั นปฤดา) โครงเร่ืองของละครไดด ังนี้ โครงเรอื่ งละคร เรอ่ื งสาวเครอื ฟา เปน ละครสมจรงิ แบบ ตัวอยา่ ง การวเิ คราะห์ วิจารณล์ ะครทไ่ี ม่ใชท า่ ร�า โศกนาฏกรรม เนอื้ เรื่องกลา วถึงความรัก ของรอยตรพี รอ มกบั เครอื ฟา ที่มคี วามรกั ละครเรือ่ ง “เจา หญงิ แสนหว”ี ละครท่ไี ม่ใชท้ ่าร�า เร่อื งเจ้าหญงิ แสนหวี บทประพันธ์ ท่ีม่ันคงใหแ กกนั แตเมอ่ื เกดิ สงครามโลก ๑) โครงเร่ือง เป็นละครประเภท ของพลตรีหลวงวจิ ิตรวาทการ ครง้ั ที่ 1 รอ ยตรพี รอมออกไปรบและไดรับ บาดเจ็บสาหสั จนจําอะไรไมไ ด จําปา สมจริงแบบโศกนาฏกรรม เน้ือเรื่องอิง นางพยาบาลสาว จงึ เปน ผดู แู ลและกอ ใหเ กดิ ประวตั ศิ าสตร์ ระหวา่ งไทยนอ้ ยกบั ไทยใหญ่ เปน ความรกั จนไดแ ตง งานกนั ซงึ่ ในขณะนนั้ สถานการณท์ เี่ กิดขนึ้ คอื ตัวเอกของเรื่อง เครือฟา ก็กาํ ลงั ตั้งทอ งอยู เมือ่ รูวารอ ยตรี มาพบและเกดิ รกั กนั ขน้ึ ทา� ใหพ้ บจดุ จบ คอื พรอ มเดมิ ทางมาเชยี งใหมก ไ็ ปรอ เมอื่ พบกนั ความตาย ผชู้ มมีจุดสนใจท่เี หตุการณ์ต่างๆ กท็ ราบวารอยตรีพรอ มแตง งานแลวพาจาํ ปา ในเร่ืองชวนให้ติดตาม และปล่อยอารมณ์ มาดว ย แตรอ ยตรพี รอมจําเครือฟา ไมได ใ ห ้ ค ล ้ อ ย ต า ม ไ ป กั บ เ ห ตุ ก า ร ณ ์ ใ น เ รื่ อ ง ทง้ั ยังโดนจําปาไลและดูหมิน่ ดแู คลนตางๆ ด้วยความเศร้าสลดใจไปกับตัวละคร คือ นานา เครือฟาเสยี ใจมาก จงึ ใชมีดแทง เจ้าหญิงแสนหวี และผู้ชมจะคาดเดา ตวั ตาย ดวยหัวใจที่แตกสลาย แตเม่อื รอ ย เหตุการณ์ไปต่างๆ ว่าเจ้าหญิงจะตัดสินใจ ตรีพรอ มจาํ ไดกส็ ายเกินไป เปน ตอนจบที่ อย่างไร ในท่ีสุดก็ต้องตัดสินใจเสียสละ เหมาะสมกับละครแบบโศกนาฏกรรม ทาํ ให ชีวิตตนเอง เป็นการจบเรื่องที่เหมาะสม ละครมจี ดุ สนใจทีโ่ ครงเร่ืองชวนใหติดตาม ตรงกบั แนวคดิ ของเรอ่ื ง เพราะผชู มจะคาดเดาเหตกุ ารณว า เครือฟา จะตดั สนิ ใจอยางไร ซึง่ ในท่สี ดุ ก็ตดั สนิ ใจ ๑6๙ ฆา ตัวเองตาย) ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’50 ออกเกยี่ วกบั เอกลกั ษณของศิลปะการแสดง ครูควรนําภาพฉากการแสดงละครมาใหนักเรียนดู พรอมกับอธิบายเพิ่มเติมวา เอกลกั ษณของความงามในศลิ ปะการแสดงท่พี เิ ศษจากความงาม ฉากละคร คอื ภาพพน้ื หลงั สาํ หรบั การแสดงละคร กอ ใหเ กดิ ความสวยงาม บง บอกถงึ สถานทท่ี เ่ี กดิ ขนึ้ ตามทอ งเรอ่ื ง ฉากสามารถเขยี นลงบนผา หรอื กระดาษกไ็ ด ขน้ึ อยกู บั ของศิลปะอนื่ ๆ คืออะไร ความตอ งการของผเู ขยี นฉาก การแสดงละครจะมฉี าก หรอื ไมม ฉี ากกไ็ ด ในการแสดง 1. เปนความงามท่ีแสดงออกผานการเคลือ่ นไหว ละครชาตรจี ะไมม กี ารสรา งฉากละครประกอบการแสดง เรม่ิ มกี ารสรา งฉากประกอบ 2. เปน ผลงานศลิ ปะทีร่ วบรวมการสรา งสรรคศลิ ปะทุกแขนงเขาไวดวยกนั การแสดงละครดึกดําบรรพในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว 3. เปน การแสดงออกทางอารมณ ความรสู ึกท่ีผชู มสามารถมสี วนรว มได (รัชกาลท่ี 5) ซึ่งฉากละครมี 2 ลกั ษณะ คือ แบบแขวน เปนการสรางฉากโดยการ ในขณะท่ีชมเลย เขียนภาพลงบนผืนผา เปนภาพสถานทต่ี างๆ ตามเน้อื เรอื่ ง แลวนํามาแขวนเปน ฉาก 4. ไมม ขี อ ถกู ไวทางดานหลงั ของเวที เชน ฉากลิเก เปนตน และแบบตง้ั ผูส รา งฉากจะออกแบบลง บนแผงหลายๆ ชิ้น แลว นํามาประกอบเขา ดวยกนั ต้งั บนเวทีการแสดงก็จะเปนฉาก วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะตอ งอาศยั ผเู ชี่ยวชาญในงานศิลปะ ละครตามเนื้อเรื่อง เชน ฉากละครโทรทัศน เปนตน ซึ่งจะทําใหนักเรียนมีความรู ความเขา ใจเกี่ยวกบั ฉากการแสดงละครไดด ยี ิง่ ขึน้ แขนงตา งๆ มาเปน ผูทีส่ รางสรรคผ ลงาน ผทู ี่สรา งการแสดงจงึ จาํ เปน ตอ ง เขาใจวิธกี ารปฏบิ ัตงิ านของฝา ยตางๆ เพอื่ ประสานงานใหเกิดความสมั พนั ธ และเปนไปในทิศทางเดยี วกัน คมู่ ือครู 169 กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขข้าา้ใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ ครสู มุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม ๒) แนวคิดท่ีเป็นแก่นของเรื่อง คือ การพลีชีวิตเพ่ือชาติ ผู้ชมจะได้แนวคิด ดงั ตอ ไปน้ี ในความรักและเสียสละเพื่อชาติ ซ่ึงเป็นแนวคิดท่ีสามารถน�ามาใช้ได้ในชีวิตประจ�าวัน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลในสาขาอาชีพใด ก็ควรยึดแนวคิดในการเสียสละประโยชน์ส่วนตน • จากภาพสะทอ นใหเห็นแนวคิดท่ีเปน เพ่อื ประโยชน์สว่ นรวมทง้ั สิน้ แกนของเรอ่ื งอยา งไร บทเจรจาของตัวละครมีคติที่น่าจดจ�า ได้แก่ “ความรักอันใด แม้รักเท่าไหน (แนวตอบ เร่อื งบางระจัน มแี นวคิดในการ ไมเ่ ทา่ รกั ชาติ” เสยี สละชพี เพ่ือปกปอ งประเทศชาติ จดั เปน ละครองิ ประวตั ศิ าสตรท มี่ คี ณุ คา มากเรอื่ งหนง่ึ ๓) การสรา งบคุ ลกิ ลกั ษณะของตวั ละคร มชี วี ติ จติ ใจคลา้ ยมนษุ ยป์ กติ เหมาะสม ซึ่งมีเนื้อหากลา วถึงการรบทีบ่ างระจนั กับละครประเภทสมจริง บทเจรจาถูกต้องตามเช้ือชาติและฐานะของตัวละคร เปน การรบเพอ่ื ปอ งกันตวั เองของชาวบาน การกระท�าแสดงให้เห็นนิสัยของตัวละคร เช่น เจ้าชายและเจ้าหญิงต่างก็มีหน้าท่ีต้อง เมอื งสงิ หบ รุ แี ละเมอื งตา งๆ ทพ่ี ากนั มาหลบภยั รักชาติบ้านเมืองของตน มากกว่าที่จะเห็นแก่ความรักของตน ท�าให้ตัวละครมีลักษณะ กองทัพพมา เม่ือครัง้ ทีเ่ สยี กรงุ ศรอี ยธุ ยา เด่นชัดตามเนื้อเรื่อง ส�านวน หรือศัพท์ที่ใช้ตรงกับความเป็นจริง เป็นภาษาพูดที่ใช้ แนวคดิ ในการรักและเสียสละชีพเพื่อชาติ ในสมยั นน้ั ๆ ตรงกับความเปน็ จริงเหมาะสมกบั อารมณ์และวัย เปน แนวคดิ ท่สี ามารถนํามาใชไ ดกบั สงั คม ในยุคปจ จุบนั ไดเปนอยา งดี) ๔) ทศั นองคป์ ระกอบตา่ งๆ ทชี่ ว่ ยสง่ เสรมิ ดา้ นอารมณข์ องผชู้ ม เปน็ การชว่ ยสรา้ ง บรรยากาศในการแสดงละครใหด้ สู มจริง ไดแ้ ก่ • ฉากและอปุ กรณ์ประกอบฉาก มีความวจิ ติ รงดงามเหมาะสมกับสถานทีแ่ ละ เหตุการณ์ในเรอ่ื ง • การแต่งกาย สามารถแต่งได้ถูกต้องตามเช้ือชาติ ฐานะของตัวละคร ขนบธรรมเนียม ประเพณี มีความผสมกลมกลืนกับแสง สี รวมท้งั การแต่งหน้า ท�าผม มีความเหมาะสมกบั เนอื้ เรือ่ งตามยุคสมยั ขยายความเขา้ ใจ E×pand เกร็ดศิลปเกรด็ ศลิ ป “ความเปน จรงิ ” กับ “ความสมจรงิ ” ใหนักเรียนชมการแสดงละครตามความสนใจ เราคงไดย้ นิ ไดฟ้ ง มาบา้ งแลว้ วา่ เรอื่ งทล่ี ะครนา� มา ของตนเอง 1 เรอื่ ง จากน้นั วิจารณบ ทละคร โดยใช แสดงไมเ่ ป็น “ความจริง” แต่ “สมจรงิ ” ซึ่งทั้ง ๒ ค�านี้ หลักวิเคราะห วจิ ารณก ารแสดงละคร ลงกระดาษ มนี ัยทแี่ ตกต่างกนั กล่าวคือ รายงาน นําสง ครูผูสอน ผแู้ ตง่ บทละครจะตอ้ งผกู เรอื่ งและสว่ นตา่ งๆ ทเ่ี ปน็ ตรวจสอบผล Evaluate องค์ประกอบของเร่ืองให้ผู้ชมละครรู้สึกว่าเป็นจริงได้ แตไ่ มใ่ ชก่ ารถอดแบบมาจากธรรมชาตเิ หมอื นจติ รกรรม ครพู จิ ารณาจากการวจิ ารณบ ทละครของนกั เรยี น การวาดภาพ การระบายสี ดังท่ี จอรจ์ เบอรน์ ารด์ ชอว์ 1 (George Bernard Shaw) นักเขียนบทละครช่ือดัง ชาวไอริช กล่าวไวว้ า่ “ถา แตงบทละครตามพฤติกรรม จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (George Bernard Shaw) ท่ีเปนจริง จะไมมีใครไปชมละคร เพราะเขาอยูที่บาน นักเขียนบทละครชื่อดัง ชาวไอรชิ เขาก็เห็นประจักษอยูแลว” ฉะน้ัน การสร้างบทละคร ท่ีจะน�ามาใช้ในการแสดง ผู้ประพันธ์จึงจะต้องผกู เรอ่ื ง ใหผ้ ชู้ มละครรสู้ กึ วา่ เปน็ จรงิ ใหจ้ งได้ จงึ ใชค้ า� วา่ “สมจรงิ ” ๑7๐ นกั เรียนควรรู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกับการเขียนบทวิจารณก ารแสดง 1 จอรจ เบอรน ารด ชอว (George Bernard Shaw) นักเขยี นบทละครชาวไอริช สง่ิ ใดทผี่ วู จิ ารณก ารแสดงควรทาํ ในการเขยี นบทวจิ ารณก ารแสดงเรอ่ื งหนงึ่ เขาเรม่ิ งานเขยี นดว ยการประพนั ธเ พลงและเขียนบทวิจารณวรรณกรรม ตอ มาจงึ 1. ใชภ าษาที่รุนแรง เราใจ เพอ่ื ใหผอู า นเขา ถึงอารมณของผวู ิจารณ หนั มาเขียนบทละคร เขามคี วามชํานาญมากในการประพันธบทละครแนวชวี ิต 2. อานบทวจิ ารณข องคนอน่ื กอ นเขยี นของตนเอง ผลงานสว นใหญจะมเี นอื้ หาท่ีสะทอนถึงปญหาสังคม ผลงานบทละครของเขา 3. ขณะชมการแสดงอยูท ันทีทเ่ี ขา ใจการแสดงรีบออกมาเขยี นบทวจิ ารณ มีมากกวา 60 เรอื่ ง ผลงานทม่ี ชี ื่อเสียง ไดแ ก เร่ือง Man and Superman ดา นนอกเลย เร่อื ง Pygmalion และเรื่อง Saint Joan นอกจากน้ี เขาไดรับรางวลั ออสการ 4. ศกึ ษาเพ่มิ เติม เชน อานสูจิบตั รการแสดง บทละคร หรือวรรณกรรม สาขาบทภาพยนตรดดั แปลงยอดเยยี่ มในป ค.ศ. 1938 อีกดวย เรื่องนั้นๆ เปนตน วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะการจะวจิ ารณก ารแสดงเรอ่ื งหนึ่ง มุม IT ใหไ ดคณุ ภาพการแสดงที่ดีน้ัน ผูวจิ ารณควรชมการแสดงจนจบเรอ่ื ง แลวทาํ ความเขาใจกบั การแสดงกอน จึงคอยออกมาเขยี นคาํ วิจารณ นกั เรียนสามารถศกึ ษา คน ควา เพ่มิ เติมเกีย่ วกบั ประวตั ิจอรจ เบอรน ารด ชอว ซง่ึ จะทําใหส ามารถวิจารณไดค รบทกุ หัวขอ (George Bernard Shaw) ไดจ าก http://www.pirun.ku.ac.th 170 ค่มู อื ครู กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๔. ความสมั พันธข์ องการละครกับสาระการเรียนรอู้ ื่น ครนู ําภาพการแสดงในงานกจิ กรรมตา งๆ ศิลปะการแสดงละครนับว่าเป็นสื่อที่ดีท่ีสุดแบบหน่ึงท่ีจะน�ามาใช้ในการเรียนการสอนได้ ของโรงเรียนมาใหน กั เรียนดู จากน้นั ครถู าม ทกุ สาระ เชน่ สาระภาษาไทย สาระสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม สาระศลิ ปะ สาระคณติ ศาสตร์ นกั เรยี นวา สาระวิทยาศาสตร ์ สาระสุขศึกษาและพลศกึ ษา สาระการงานพ้ืนฐานอาชพี และเทคโนโลยี เปน็ ตน้ การเรียนรู้ท่ีเช่ือมโยงเนื้อหาวิชาต่างๆ ท่ีมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน จะท�าให้ผู้เรียน • การเรยี นรเู รอ่ื งการแสดงละครสามารถนาํ ไป เกิดการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย สามารถน�าไปประยุกต์ใช้ในชิีวิตประจ�าวันได้ รู้เท่าทันเหตุการณ์ใน ประยุกตใ ชในชวี ิตประจําวันไดอยา งไร สังคมปัจจุบัน รู้จักวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การนา� กจิ กรรมการละครเขา้ มาสอดแทรกในการเรยี น (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ การสอนสาระตา่ งๆ จะทา� ใหผ้ เู้ รยี นมคี วามสขุ สนุกสนานไปกบั เนือ้ หาสาระของแตล่ ะวชิ า รวมทง้ั ไดอ ยางอิสระ) เป็นการปลูกจิตส�านึกให้เยาวชนได้รู้จักคุณค่าของการละครที่ถือว่าเป็นส่วนหน่ึงของวัฒนธรรม ของสงั คมไทย สา� รวจคน้ หา Explore 4.๑ ละครกับสาระภาษาไทย ใหนักเรียนแบง กลมุ ออกเปน 7 กลุม สาระภาษาไทยมวี รรณคด ี วรรณกรรมเดน่ ๆ อยหู่ ลายเรอื่ ง ซง่ึ การละครไดน้ า� เนอ้ื หาบางตอน ใหนักเรยี นศึกษา คนควา หาความรูเพ่มิ เติม มาดดั แปลงเป็นบทละคร ไดแ้ ก่ หนังสอื ทกี่ า� หนดตามหลักสตู รสว่ นมากจะเปน็ การตดั ตอนมาจาก เกยี่ วกบั ความสมั พนั ธข องละครกบั สาระการเรยี นรอู น่ื บทละครไทย เช่น จากแหลงการเรยี นรูตางๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรียน • ลละะคครรรพา� ดู เชเชน่ น่ เรเรอ่ื ่อื งงอหเิ หวั ในจาน กัเรรอ่ื บง1 รเาปม็นเตก้นยี รติ ์ เร่อื งสงั ขท์ อง เรอ่ื งขนุ ชา้ งขุนแผน เปน็ ต้น หองสมดุ ชุมชน อนิ เทอรเ น็ต เปนตน ในหวั ขอ • ท่ีครูกําหนดให ดังตอไปน้ี • ลละะคครรรหอ้ ลงว งเวชิจน่ ิต รเรว่ือาทงสกาาวรเ คเชรือน่ ฟ เ้าร ่ือเปงเน็ลตอื ้นดสุพรรณ2 เปน็ ต้น • กลุมที่ 1 ละครกบั สาระภาษาไทย ในการเรียนการสอนสาระภาษาไทย กลุมท่ี 2 ละครกับสาระสงั คมศึกษา ควรให้ผู้เรียนน�าบทละครเหล่านี้มาฝกอ่านให้ ถูกต้องตามอักขระ วิธีฝกพูด ฝกเจรจา โดย ศาสนา และวัฒนธรรม การใส่อารมณ์ ตีความตามบทละคร หรือ กลมุ ที่ 3 ละครกับสาระศลิ ปะ น�าโครงเร่ืองมาจากนิทานสุภาษิต เช่น นิทาน กลุมท่ี 4 ละครกบั สาระการงานอาชพี และเทคโนโลยี กลุมที่ 5 ละครกบั สาระสขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา กลุมท่ี 6 ละครกับสาระวทิ ยาศาสตร กลมุ ท่ี 7 ละครกับสาระคณิตศาสตร เรอื่ งชาวนากบั งเู หา่ เรอื่ งกระตา่ ยกบั เตา่ เปน็ ตน้ อธบิ ายความรู้ Explain โดยใหเ้ ปน็ ทง้ั ผแู้ สดงและผชู้ มละคร เพอ่ื ฝก แสดง ความคดิ เห็น วิเคราะห์ วิจารณเ์ รื่องทจี่ ะแสดง ครูสุม นกั เรียน 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม รวมทัง้ ฝก ความร่วมมอื ในการจดั การแสดง ดงั ตอ ไปน้ี การแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ เป็นการน�าเน้ือหา วรรณคดไี ทยมาใชใ้ นการแสดงละครร�า • เพราะเหตุใดจึงมกี ารนาํ ละครมาใชก ับ ทีม่ าของภาพ : คลังภาพ ACT. การเรยี นในกลุมสาระตางๆ (แนวตอบ เพราะจะชวยใหผ เู รียน ๑7๑ เกิดความสนกุ สนานในเนื้อหาของเรอ่ื ง ที่เรียนเพมิ่ มากขึน้ ) แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด นักเรยี นควรรู การจัดการเรียนรแู บบบูรณาการมีความหมายวาอยางไร 1 หวั ใจนกั รบ บทพระราชนพิ นธใ นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูห ัว แนวตอบ การเรยี นรทู เ่ี ชอ่ื มโยงกับเนอื้ หาวิชาตางๆ ทมี่ คี วามสัมพันธ (รัชกาลที่ 6) ทนี่ ยิ มนํามาแสดงเปน ละครพูด จดั เปน บทละครท่แี สดงใหเกดิ เกีย่ วของกันในเนื้อหาสาระ เพอื่ ใหเ กดิ ความรทู ีห่ ลากหลายและสามารถ ความรกั ชาติ โดยเนอื้ เรอ่ื งจะกลา วถึงคุณประโยชนของคณะเสอื ปาและลูกเสือ นําไปประยุกตใ ชใ นชีวติ ประจําวันได เพราะในชวี ติ จรงิ จําเปนตอ งใชค วามรู ทีเ่ ปนกําลังสวนหนึ่งของชาติ ที่สามารถกูชาติ หรือชวยเหลอื ชาติไดแ มในเวลาสงบ และทกั ษะหลายๆ ดาน หลายสาขาวชิ ามารวมกนั เพื่อแกป ญ หาทเี่ กดิ ขน้ึ และเวลาสงคราม ในชีวติ ประจาํ วนั การบรู ณาการเปน การจดั การเรียนรูท ีช่ ว ยเชอื่ มโยง 2 เลอื ดสพุ รรณ บทประพันธของพลตรีหลวงวิจติ รวาทการ จดั เปน บทละคร สิง่ ทเ่ี รยี นใหสัมพันธกบั ชวี ติ จริง รูเทา ทนั เหตกุ ารณในสังคมปจ จบุ ัน องิ ประวัตศิ าสตร การแสดงละครจะเปน แบบผสม คอื มีทงั้ บทพูดแบบละครพดู นกั เรียนจะมีความสุข สนกุ สนานในการทํากิจกรรมตางๆ ในบทเรยี น และการรําแบบละครรํา มกี ารรองเพลงท้งั เพลงไทยเดมิ และเพลงไทยสากล โดยไมรูสกึ เครยี ดกบั กรอบเน้ือหาสาระของวิชาตางๆ นกั เรยี นจะได เนือ้ เรื่องมีความเกี่ยวของกบั การทําศึกสงครามระหวางไทยกับพมา โดยมีเน้อื หา มโี อกาสใชค วามคิด ประสบการณต รงอันเปน การศกึ ษาหาความรทู ดี่ กี วา มุง เนน ปลกุ ใจใหคนไทยเกดิ ความรกั ชาติ การทอ งจําเพยี งอยางเดยี ว คู่มือครู 171 กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นกลุมที่ 1 - 3 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา การน�าบทละครในสาระภาษาไทยมาแสดง จะท�าให้จ�าเรื่องราวในบทละครได้อย่างแม่นย�า หาความรเู พ่มิ เติมเกย่ี วกับความสัมพนั ธข องละคร อีกท้ังในบทละครแตล่ ะเรอื่ งยงั มแี นวคดิ คตสิ อนใจ สา� นวนทเ่ี ปน็ สภุ าษติ คา� พงั เพย ผเู้ รยี นจะได้ กบั สาระการเรียนรอู น่ื สงตัวแทนกลมุ ละ 2 - 3 คน นา� มาประยกุ ต์ใช้ในการแสดง สนุ ทรพจน ์ อภปิ ราย เล่านิทาน ขับเสภา หรอื อ่านทา� นองเสนาะ ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอ ละครกบั สาระภาษาไทย นอกจากน้ี ผู้เรียนยังสามารถท่ีจะน�ากิจกรรมของการละครเข้ามาสอดแทรกแสดงให้เพื่อนชม ละครกบั สาระสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม เป็นการผ่อนคลายความเครยี ดและเรียนบทเรยี นดว้ ยความสนกุ สนาน ไมน่ ่าเบอ่ื หนา่ ยไดอ้ กี ด้วย และละครกับสาระศิลปะ ตามท่ไี ดศ กึ ษามา หนาช้ันเรียน จากนน้ั ครถู ามนกั เรยี นวา 4.๒ ละครกบั สาระสงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ละครมบี ทบาทหนา้ ทรี่ บั ใชส้ งั คม มอี ทิ ธพิ ลทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงทศั นคต ิ แนวคดิ พฤตกิ รรมของ • นักเรียนสามารถนาํ ละครมาใชกบั สาระ มนษุ ย์ไดเ้ ปน็ อยา่ งด ี ทงั้ น ้ี เพราะมนษุ ยม์ กั จะไมช่ อบใหใ้ ครมาสงั่ สอนแบบตรงๆ เพราะถอื เปน็ ความ ภาษาไทยไดอ ยา งไร น่าเบอื่ นา่ รา� คาญ ละครจงึ รบั หน้าทเี่ ป็นครูของสังคมทางอ้อม ด้วยวิธกี ารสอดแทรกบทเรียนไว้ (แนวตอบ นํามาประยกุ ตใ ชโ ดยการนํานทิ าน ในบทบาทของตวั ละคร ถงึ แมจ้ ะมกี ารสอนแบบตอกยา้� ซา�้ ทวนสกั เทา่ ใด ผชู้ มละครกจ็ ะไมเ่ บอ่ื หนา่ ย สภุ าษติ มาเปน โครงเรอ่ื งของละคร เชน บางคนดูละครเรื่องเดียวกันซ�้าแล้วซ�้าอีกด้วยความซาบซึ้งและช่ืนชอบ ขณะเดียวกันผู้ชมก็อาจ นิทานเรอ่ื งชาวนากับงูเหา กระตา ยกบั เตา จดจา� พฤติกรรมท่ดี ขี องตัวละคร แลว้ นา� มาเป็นแบบอยา่ งในการดา� เนินชวี ิต เปนตน ท้งั ยงั สามารถฝก เขยี นบทละคร เน้ือหาท่ีอยู่ในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมท่ีสามารถน�ามาแต่งเป็น และนาํ บทละครนนั้ มาฝก พดู โดยการออกเสยี ง บทละครให้ผู้เรียนแสดงได้มีอยู่มากมายหลายเรื่อง เช่น ประวัติบุคคลส�าคัญ วีรบุรุษ วีรสตร ี ใหถ กู ตอ งชดั เจนตามอกั ขรวธิ ี หรอื นาํ ไปแสดง เหตกุ ารณ์ส�าคัญของประเทศชาต ิ ประเพณ ี วฒั นธรรมทส่ี �าคัญ เป็นตน้ ในกิจกรรมของโรงเรยี นก็ได) นอกจากน ้ี ขนบธรรมเนยี ม ประเพณ ี สภาพชวี ติ ความเปน็ อยขู่ องผคู้ น การเมอื ง การปกครอง ในอดตี เรากส็ ามารถเรยี นรไู้ ดผ้ า่ นทางละคร โดยเฉพาะละครพน้ื บา้ นจะมภี มู ปิ ญั ญาไทยท่บี รรพบรุ ษุ • นอกจากละครจะมบี ทบาทหนา ที่ในการรบั ใช สง่ั สม สบื ทอดต่อๆ กันมาสอดแทรกไว้อยูด่ ้วยเสมอ สังคมแลว นกั เรยี นคิดวาละครยังมีบทบาท 4.3 ละครกบั สาระศลิ ปะ หนาทอ่ี ืน่ ๆ ตอสังคมอยางไรอกี บาง การแสดงละคร ถอื เปน็ ศนู ยร์ วมของศลิ ปะ (แนวตอบ มอี ทิ ธพิ ลในการเปลยี่ นแปลงทศั นคติ ทกุ สาขา สา� หรบั ความสมั พนั ธข์ องการละครกบั แนวคดิ และพฤตกิ รรมของมนษุ ยใหเปนไป ทัศนศิลป์น้ันจะปรากฏในละครทุกเรื่อง เพราะ ตามรูปแบบของสงั คม เพอื่ ใหมนุษยส ามารถ องค์ประกอบของละครจะต้องสร้างบรรยากาศ อยใู นสังคมไดอ ยางมีความสขุ ) เพื่อช่วยให้ผู้ชมมีความรู้สึกคล้อยตามไปกับ เรอ่ื งได ้ เชน่ ฉาก เครอ่ื งแตง่ กาย การแตง่ หนา้ • เพราะเหตุใดจึงมคี ํากลา ววา การใหแ้ สง ส ี และการแสดงบทบาทของตวั ละคร “ละครเปนศนู ยรวมของศลิ ปะทุกแขนง” ตอ้ งอาศยั การนา� องคป์ ระกอบศลิ ป ์ เชน่ จดุ เสน้ (แนวตอบ เพราะในการแสดงละครทกุ เรอื่ ง การแต่งหน้าผู้แสดงให้เหมาะสมกับบทบาท จะต้องน�า รูปรา่ ง รูปทรง สี มาประยุกต์ใช้ เป็นต้น ตอ งมีการสรางบรรยากาศใหเหมาะสม ความรดู้ า้ นศลิ ปะมาประยุกตใ์ ช้ ตามทอ งเรอ่ื ง เพอื่ ดงึ ดดู ใหผ ชู มเกดิ ความสนใจ ท่ีมาของภาพ : http://www.suchabooknerd.word- และคลอ ยตามไปกบั การแสดงละคร press.com จึงมีการนําศลิ ปะมาใชใ นการสรา งสรรค งานตางๆ เชน ฉาก เครือ่ งแตงกาย ๑7๒ การแตงหนา แสง สี เสยี ง เปนตน) เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอ ใดเปน การนําละครมาประยุกตใ ชกับสาระภาษาไทยไดถ ูกตอ ง ครคู วรนําภาพการแตง หนาตัวละครในแบบตางๆ มาใหน กั เรยี นดู เชน 1. มกี ารนาํ เอาบทละครมาฝกอานใหถ กู ตองตามอกั ขระ การแตง หนา ตวั ละครทแี่ สดงเปน สตั ว การแตง หนา ตวั ละครแนวแฟนตาซี การแตง หนา 2. มีการยืดหยุน รางกายทุกครง้ั เพ่อื เตรียมความพรอ มกอ นเร่ิมฝก การแสดง ตัวละครที่แสดงเปน ภตู ผี เปนตน พรอมท้ังอธบิ ายเพม่ิ เตมิ วาการแตง หนา ในลกั ษณะ 3. มกี ารสรา งฉาก เครื่องแตง กาย โดยนําความรเู รือ่ งองคป ระกอบศิลปม าใช ตา งๆ นั้น ชางแตงหนา จะตองมคี วามรู ความเขา ใจเก่ยี วกบั การใชท ัศนธาตุ 4. มีการนําเศษวสั ดเุ หลือใชม าประดษิ ฐอ ปุ กรณส าํ หรบั ใชป ระกอบการแสดง ซึง่ เปน องคป ระกอบของงานทัศนศิลป ไดแ ก จดุ เสน สี แสง - เงา รปู รา ง รูปทรง วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เพราะวิชาภาษาไทย เปน วชิ าที่เก่ียวกบั และพน้ื ผวิ มาใชเ ปน หลกั ในการออกแบบการแตง หนา ของนกั แสดงใหม คี วามเหมาะสม การอา น ดงั น้ัน การนําเอาบทละครมาฝก อา นใหถ กู ตองตามอักขระ กบั บทบาททไี่ ดรับ เพ่อื สรา งความสมจรงิ ทําใหละครนาชมมากย่งิ ขนึ้ จึงเปน คาํ ตอบทถ่ี ูกตอง 172 ค่มู อื ครู กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 4 - 5 ท่ีไดศ ึกษา คน ควา หาความรเู พมิ่ เติมเกีย่ วกบั ความสมั พันธข องละคร การจัดต�าแหน่งของผู้แสดงบนเวที การเคล่ือนไหวของตัวละคร ด้านหน้า ด้านข้าง กบั สาระการเรียนรอู ื่น สง ตวั แทนกลมุ ละ 2 - 3 คน ดา้ นเฉยี ง ยอ่ มแสดงความรสู้ กึ อารมณ ์ ส ี และนา�้ หนกั การจดั ฉาก ผแู้ สดงบนเวทจี ะอยู่ในตา� แหนง่ ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอ ละครกบั สาระการงาน- ทน่ี า้� หนกั มคี วามสมดลุ กนั ทง้ั ๒ ดา้ น สว่ นทเ่ี บาจะเปน็ บรเิ วณทม่ี สี อี อ่ น หรอื ใชอ้ ปุ กรณป์ ระกอบฉาก อาชพี และเทคโนโลยีและละครกบั สาระสขุ ศึกษา มาตั้งถ่วงดุล ซ่ึงการน�าองค์ประกอบต่างๆ มารวมกัน ผู้สร้างสรรค์ต้องค�านึงถึงความมีเอกภาพ และพลศึกษา ตามทีไ่ ดศ ึกษามาหนาช้ันเรยี น ความสมดุล ความกลมกลนื และความแตกต่างอนั เป็นองคป์ ระกอบทางด้านทศั นศลิ ป์ จากนัน้ ครูถามนักเรยี นวา นอกจากนี้ ดนตรีก็เป็นสิ่งจ�าเป็นมากส�าหรับการแสดงละคร โดยเฉพาะเพลงภูมิหลัง เป็นเพลงท่ีจะให้อารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ไปตามบทบาทของตัวละคร รวมทั้งในการแสดง • เทคโนโลยเี ขา มามสี ว นชว ยในการสรา งสรรค นาฏศลิ ป ์ จา� เปน็ ตอ้ งมดี นตรีบรรเลงประกอบ เพื่อสรา้ งบรรยากาศและกา� กบั จงั หวะในการรา่ ยรา� งานละครอยา งไร ให้มีความพรอ้ มเพรียงกันไดอ้ ยา่ งลงตัว (แนวตอบ เพราะในปจ จุบันมีการนาํ นา� ทา่ ใรนา� ดมา้านปนระาดฏษิศฐลิ เ์ปป ์ น็ถา้รเะปบน็า� เลพะคอ่ื ปรรรา�ะกกจ็อะบตเอ้รงอื่ นง า� หหรลอื กั แวสชิ ดางมสาลปบั รฉะดากษิ ฐเชท์ น่า่ ร รา� ะ แบลา� ะอถธา้ษิ เปฐาน็ นล1 ะรคะบรสา� ารกะฆลกงั ็ คอมพิวเตอรก ราฟก เขา มาชว ยเสรมิ สรา ง ระบ�าในน�้ามปี ลาในนามขี า้ ว ทปี่ รากฏในเรื่องอานภุ าพพ่อขนุ รามคา� แหง เปน็ ตน้ ใหล ะครดมู ีความสมจรงิ มากยิง่ ขึน้ 4.4 ละครกบั สาระการงานพื้นฐานอาชพี และเทคโนโลยี โดยเฉพาะการสรา งฉากทมี่ คี วามอลังการ สาระการงานพน้ื ฐานอาชพี และเทคโนโลย ี มคี วามสมั พนั ธก์ บั สาระของการละคร เพราะการแสดง หรอื สอดคลอ งกบั บรบิ ทของเรื่อง แทนการ ละครจะตอ้ งประกอบไปดว้ ยการสรา้ งฉาก สร้างเคร่อื งแตง่ กาย เครอ่ื งประดับ การแตง่ หนา้ ทา� ผม ใชช า งวาดอยา งสมยั กอ น เพราะทาํ ไดร วดเรว็ การจัดสร้างอุปกรณ์ประกอบฉาก และอุปกรณ์ประกอบการแสดง ส่ิงเหล่านี้ถือเป็นผลงานการ ประหยัดเวลาและคาใชจ ายไดมาก ประดษิ ฐท์ งั้ สนิ้ ซง่ึ ในการประดษิ ฐเ์ ครอื่ งแตง่ กาย เครอ่ื งประดบั อปุ กรณป์ ระกอบฉาก และอุปกรณ์ และในขณะเดียวกันก็สามารถปรับเปลย่ี น ประกอบการแสดง จะตอ้ งประดษิ ฐ์ใหส้ อดคลอ้ งเหมาะสมกบั ละครเรอ่ื งทแ่ี สดงและควรคา� นงึ ถงึ หลกั ฉากไดบ อ ยคร้ัง) ความพอเพียง โดยเลือกใช้วัสดุทม่ี ีอยู่ในทอ้ งถนิ่ นอกจากน ี้ อปุ กรณ์ประกอบในการเรยี น อาจจ�าเป็นต้องอาศัยเคร่อื งยนตก์ ลไก ไฟฟ้า ระบบ • เพราะเหตใุ ดการละครจงึ จัดเปน อิเล็กทรอนิกส์ หรือใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย เพื่อให้ปฏิบัติงานได้ง่าย สะดวกในการก�ากับ กิจกรรมนันทนาการ และท�าให้เกิดความสมจริง ซ่ึงต้องอาศัยพ้ืนฐานวิชาความรู้จากสาระการงานพ้ืนฐานอาชีพและ (แนวตอบ เพราะเปนกิจกรรมทส่ี ามารถ เทคโนโลยีเขา้ มาประยกุ ต์ใช้ เขารวม หรือกระทาํ โดยความพึงพอใจ ในเวลาวาง กอ ใหเกิดความสนุกสนาน 4.๕ ละครกบั สาระสขุ ศกึ ษาและพลศึกษา เพลิดเพลิน ผอนคลายความตึงเครยี ด ท้ังรา งกายและจิตใจ ชวยพฒั นาทกั ษะ ตางๆ โดยเฉพาะทกั ษะทางดา นรางกาย ในกลมุ่ สาระน ี้ วชิ าทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การละครอยา่ งมากกค็ อื วชิ าพลศกึ ษา ไดแ้ ก ่ การเคลอ่ื นไหว จติ ใจ อารมณ และสังคม) รา่ งกาย การออกกา� ลงั กาย และกจิ กรรมนนั ทนาการ กลา่ วคอื การละครถอื เปน็ กจิ กรรมนนั ทนาการ • การเตรียมความพรอ มมีความสาํ คัญ ไดอ้ ยา่ งหนง่ึ เนอื่ งจากไดใ้ ชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ปน็ ประโยชน ์ อกี ทง้ั การละครยงั ชว่ ยสรา้ งความพงึ พอใจตอ่ ตอ การแสดงละครอยา งไร (แนวตอบ นักแสดงทกุ คนจะตองมสี ุขภาพ ความต้องการของมนษุ ย์ เปน็ การเสรมิ สร้างสขุ ภาพทงั้ กายและใจ เป็นการผอ่ นคลายความเครยี ด รา งกายทแี่ ขง็ แรง คลอ งแคลว มบี คุ ลกิ ภาพดี เพราะการแสดงบางฉากตอ งใชค วามแขง็ แรง ๑73 ของรา งกาย ดงั นนั้ จะตอ งมกี ารเตรยี มความ พรอ มกอ นทกุ ครงั้ เพอ่ื ไมใ หเ กดิ การผดิ พลาด เพราะอาจไดร ับบาดเจ็บได) กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู ใหนักเรยี นเขียนแผนผังความคดิ (Mind Mapping) บูรณาการการ 1 ระบาํ อธิษฐาน เปน ระบาํ ทีม่ าจากบทละครเรอื่ ง “อานภุ าพพอขนุ รามคาํ แหง” สรางสรรคง านละครกบั สาระวชิ าตา งๆ ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครผู สู อน ประพันธโดยหลวงวิจติ รวาทการ เน้อื รองจะเปนการกลา วปลกุ ใจใหค นไทย มคี วามรกั ชาติ สมัครสมานสามัคคี นิยมนํามาเปน การแสดงเปน ชุดเบด็ เตลด็ กิจกรรมทา ทาย สาํ หรบั รําโดยทัว่ ไป ซึ่งมีบทรอ ง ดงั น้ี ใหนักเรียนแตงบทละคร 1 เรือ่ ง โดยใหบ ทละครเร่ืองนัน้ สามารถ “อธิษฐานเอย สองมอื จับพาน ประดับพวงพทุ ธชาด บรู ณาการรวมกบั การเรียนในวิชาตา งๆ ไดอ ยา งครบถว น จากนน้ั ออกมา ขอกุศลผลบญุ จงมีแตผ ูทําคุณ ประโยชนไวในชาติ นาํ เสนอผลงานใหเ พอ่ื นชมหนา ชน้ั เรยี น โดยมคี รูเปน ผูช แี้ นะความถกู ตอง อยามใี ครคดิ ราย มงุ ทําลายชาติไทย ขอใหทุกคนสนใจ หว งใยประเทศชาติ ใหไ ทยเรานี้ มคี วามสามารถ ชวยตวั ชว ยชาติ ทําใหไทยเปน เมอื งทอง อธษิ ฐานเอย สองมือจับพาน ประดับพวงผกากรอง ขอไทยรักไทย รว มเปน มิตรมัน่ ใจ ถือไทยเปน พนี่ อ ง อยามีการยแุ ยก อยา ทําใหแ ตกราวฉาน ขอใหชว ยกนั สมาน เพ่อื นไทยท้งั ผอง มุงสามคั คี เหมอื นพ่เี หมอื นนอ ง กลมเกลยี วเกยี่ วขอ ง รกั กนั ทั่วทกุ คน” คูม่ ือครู 173 กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 6 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา ขณะเดียวกัน การละครน้ันนอกจากเราจะเข้าร่วมในฐานะเป็นผู้แสดง หรือเป็นทีมงานจดั หาความรเู พมิ่ เติมเกย่ี วกบั ความสมั พันธข องละคร การแสดงแลว้ เรากย็ งั สามารถเขา้ รว่ มในฐานะผชู้ มไดอ้ กี ดว้ ย นบั เปน็ กจิ กรรมนนั ทนาการทเี่ หมาะสม กบั สาระการเรียนรูอ่นื สง ตัวแทนกลุมละ 2 - 3 คน กบั บุคคลทกุ เพศทุกวัย ออกมาอธบิ ายความรใู นหัวขอ ละครกบั สาระ สา� หรบั วชิ าพลศกึ ษากม็ คี วามสมั พนั ธก์ บั ละครอยา่ งใกลช้ ดิ ในดา้ นการเตรยี มความพรอ้ มของ วทิ ยาศาสตรตามทไี่ ดศกึ ษามาหนาชั้นเรยี น รา่ งกาย เพ่ือฝก ให้ร่างกายมคี วามยดื หย่นุ และแข็งแรง ข้นั ตอนในการเตรยี มความพรอ้ มทางดา้ น จากน้ันครถู ามนกั เรียนวา รา่ งกาย มีดังน้ี ๑. ยืนตรง เขยง่ ปลายเทา้ ทง้ั ๒ ข้าง นบั ๑ ถึง ๑๐ แลว้ วางส้นเทา้ ลงบนพนื้ ท�าสลับ • การแสดงละครสามารถนาํ ความรเู ก่ียวกับ ไปมาประมาณ ๗ - ๘ คร้งั วิทยาศาสตรเ รอื่ งใดมาใชป ระโยชน ๒. บริหารไหล ่ โดยยกไหล่ทั้ง ๒ ข้างขึ้นให้สูงและลดลง (แนวตอบ เรอื่ งแสง สี เสียง และอุปกรณเ สริม ๓. บริหารคอ โดยการก้มและเงยอย่างช้าๆ และเอียงศีรษะไปด้านข้างทางซ้ายและ ตา งๆ ท่จี ะชว ยใหก ารแสดงละครมคี วาม ทางขวา โดยท�าสลับกนั สมจรงิ และนาติดตามมากยง่ิ ขึน้ ) ๔. บริหารเอว โดยการเอียงตัวไปดา้ นข้างทางซ้ายและทางขวา ๕. บรหิ ารหัวเข่า โดยการย่อตัวลงและยดื ตวั ข้นึ • นกั เรียนทราบหรือไมวา เทคนคิ ทางเคมี ๖. การท�าร่างกายใหเ้ กดิ ความอบอุ่นโดยการวิง่ เหยาะๆ อย่กู บั ที่ ทเี่ ราพบเหน็ ไดบ อ ยในการแสดงละครคอื สงิ่ ใด นอกจากน ี้ เกมทางดา้ นพลศกึ ษากส็ ามารถนา� มาใชช้ ว่ ยฝก ทกั ษะ เพอื่ พฒั นาการแสดงใหแ้ ก่ (แนวตอบ เคร่ืองทาํ ควัน (Dry Ice) นํามาสรา ง ผแู้ สดง เชน่ เกมรบั สง่ ลกู บอล เกมตกุ ตาลม้ ลกุ เปน็ ตน้ เพอื่ ฝก ความคลอ่ งตวั และปฏภิ าณไหวพรบิ เปนหมอกในฉากทีต่ องแสดงใหเ ห็นถึง 4.6 ละครกับสาระวทิ ยาศาสตร์ ดนิ แดนแหงสรวงสวรรค หรอื ส่อื ถึงลกั ษณะ ชวนฝน เคลิบเคลิ้ม ลึกลับ ซง่ึ เปน การชว ย สรา งบรรยากาศใหด มู คี วามสมจรงิ มากยง่ิ ขนึ้ ) อปุ กรณเ์ คร่อื งมอื ทางวิทยาศาสตร ์ โดยเฉพาะแสง ส ี เสียง และอปุ กรณเ์ สริมต่างๆ จะชว่ ย สนบั สนนุ ใหก้ ารแสดงมคี วามสมจรงิ ตระการตา ช่วยสอ่ื ความหมายและอารมณ์ ท�าให้การแสดง นา่ ดู นา่ ชม ชวนให้ติดตามมากขึ้น แสงมีความส�าคัญ เพราะให้ความสว่าง บง่ บอกเวลา และชว่ ยสรา้ งอารมณ ์ พนื้ ท่ีใหแ้ สง ความเขม้ ของแสง ทศิ ทางของแสง สขี องแสง และ ความสมจริง จะตอ้ งนา� ความรทู้ างวิทยาศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ เทคนิคพิเศษท่ีช่วยสร้างความ ต่ืนเต้นและเทคนิคทางเคมี ไฟฟ้ามาประยุกต์ เชน่ ฉากฝนตก ไฟไหม ้ ฟา้ แลบ การเหาะเหนิ การใชส้ ะเกด็ ไฟ เปน็ เทคนคิ พเิ ศษทสี่ รา้ งความตนื่ ตาตน่ื ใจ เดนิ อากาศ เป็นต้น ให้ผู้ชม โดยการใชค้ วามรทู้ างวิทยาศาสตร์ ๑74 เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET สีของแสงมีอทิ ธพิ ลตอการแสดงละครหรือไม อยา งไร ครคู วรอธบิ ายความรูเพม่ิ เตมิ เกี่ยวกับเทคนคิ การทาํ เสียง เพ่ือใชป ระกอบการ- แนวตอบ มี เพราะในการแสดงละครจะมีการใชสีเขาไปเปน สวนเกยี่ วขอ ง แสดงละครวา ในการแสดงละครจะมกี ารสรา งฉากทม่ี บี รรยากาศแตกตา งกนั ออกไป เสมอ เชน ในการสรางฉาก เคร่ืองแตง กาย การแตงหนา เปน ตน ซง่ึ สีแตละสี ซง่ึ ข้นึ อยูก ับเนอ้ื เรื่องท่ีปรากฏอยูในแตล ะฉาก สง่ิ ที่ทําใหผูช มไดรบั ความสขุ จาก จะใหความรสู กึ ท่แี ตกตา งกนั ท้งั น้ี ข้ึนอยูก บั ประสบการณและภูมหิ ลัง เชน การชมการแสดงนนั้ ยงั มสี ง่ิ สาํ คญั ในการสรา งฉากทข่ี าดไมไ ด คอื เทคนคิ ของเสยี ง เชน สีแดง หมายถึง ความเขม แข็ง, แข็งกรา ว, เปนผนู าํ , ตื่นเตน , ความรอน, เสียงคลน่ื จะใชถว่ั เขยี วเทลงบนหนา กลอง แลวจบั กลองโยกไปมา ทาํ ใหขางหน่งึ สูง รุนแรง, การดึงดดู ความสนใจ, โรแมนตกิ สเี หลอื ง หมายถงึ จนิ ตนาการ, อกี ขา งหนงึ่ ตาํ่ ถั่วจะว่ิงบนหนากลอง ทาํ ใหเกิดเสียงดงั คลา ยเสียงคล่นื เสียงฝนตก ความสุข, กระตือรือรน , อบอุน, เฉียบแหลม, อารมณข ัน, เพอฝน, จะใชถวั่ ขาวสาร ทรายเทรวมกนั แลว รอ นดวยตะแกรงลงบนแผนโลหะ คือ ชาม ความคิดสรางสรรค สีเขยี ว หมายถงึ อดุ มสมบรู ณ, การเติบโต, สดชนื่ , ในจงั หวะทส่ี มา่ํ เสมอจะเกดิ เปน เสยี งฝนตก เสยี งฟา ผา จะใชแ ผน โลหะชนดิ บางสะบดั ธรรมชาต,ิ สิ่งแวดลอ ม, เงยี บสงบ, สมดลุ , แบง ปน, มติ รภาพ เปนตน อยางแรงแลวตกี ลอง หรือแผน สังกะสีตดี วยไมตีกลองพรอ มกับเปด สวิตชไฟแลบ จะทําใหเกดิ เสียงฟาผา เปนตน ซงึ่ จะทําใหนักเรียนมีความรู ความเขาใจเกย่ี วกบั เทคนคิ การทําเสยี งเพ่อื ใชประกอบการแสดงละครไดด ีย่ิงข้นึ 174 คูม่ ือครู กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเข้าใา้ จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ขณะเดยี วกนั การใช้เสียงประกอบกช็ ว่ ยสรา้ งบรรยากาศ เร้าอารมณผ์ ู้ชม เชน่ เหตกุ ารณ์ ครใู หนกั เรยี นกลุม ท่ี 7 ท่ไี ดศกึ ษาคนควา ตอนฟา้ ผา่ ถา้ มแี สงฟา้ ผา่ แตไ่ มม่ เี สยี ง ละครกค็ งไมน่ า่ ตดิ ตาม แตถ่ า้ มเี สยี งฟา้ ผา่ ดงั ๆ บรรยากาศ หาความรูเพ่ิมเตมิ เกยี่ วกับความสัมพนั ธของละคร ก็จะมคี วามต่นื เตน้ มากขนึ้ กับสาระการเรยี นรูอ่นื สงตวั แทนกลมุ ละ 2 - 3 คน 4.7 ละครกบั สาระคณติ ศาสตร ์ ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอละครกบั สาระ ผอู้ า� นวยการสรา้ งจะตอ้ งกา� หนดวงเงนิ เพอื่ ใชเ้ ปน็ งบประมาณในการผลติ ฝา่ ยเหรญั ญกิ จะตอ้ ง คณติ ศาสตร ตามท่ีไดศึกษามาหนา ช้ันเรยี น จดั ทา� บญั ชรี ายจา่ ยของฝา่ ยตา่ งๆ และบนั ทกึ ไวเ้ ปน็ หลกั ฐาน เชน่ ฝา่ ยเทคนคิ ตอ้ งออกแบบสรา้ งฉาก จากนั้นครถู ามนกั เรียนวา เคร่อื งแตง่ กาย แสง สี เสยี งก็ต้องจัดทา� งบประมาณให้ชดั เจน เปน็ ต้นวา่ การสรา้ งฉากมีจา� นวน กฉี่ าก จา� นวนคนผทู้ า� หนา้ ทสี่ รา้ งฉาก ทาส ี ขนยา้ ยฉาก ซงึ่ ตอ้ งใชเ้ งนิ ทงั้ สน้ิ เทา่ ใด ฝา่ ยเครอ่ื งแตง่ กาย • ความรูในกลุมสาระคณิตศาสตรสามารถนํา ต้องค�านวณว่าเส้ือผ้าในการแสดงจะใช้ทั้งหมดก่ีชุด จะขอยืม เช่า หรือต้องตัดเย็บใหม่ รวมถึง มาใชใ นการจดั การแสดงละครไดอยางไร ค่าใช้จ่ายในการแต่งหน้า ท�าผม ซื้อส่ิงของเคร่ืองใช้ต่างๆ ซึ่งแต่ละฝ่ายต้องจัดท�าบัญชีรายจ่าย (แนวตอบ นาํ มาใชใ นการกําหนดวงเงนิ มาเสนอ เพือ่ จะไดเ้ หน็ ภาพรวมของงบประมาณทจี่ ะใช้ทัง้ หมด เพ่ือนํามาใชเปนคาใชจายสาํ หรับฝา ยตางๆ นอกจากน้ี ความรู้ทางคณิตศาสตร์ยังน�ามาใช้ค�านวณถึงความเป็นไปได้ในการวางแผน และใชในการคํานวณพ้นื ท่ีการแสดง การแสดงในแตล่ ะฉาก เชน่ การคา� นวณพน้ื ทหี่ นา้ เวท ี เพอ่ื จะไดก้ า� หนดจา� นวนผแู้ สดงและอปุ กรณ์ เพอื่ จะไดก าํ หนดจาํ นวนนกั แสดงและอปุ กรณ ประกอบฉากทเี่ หมาะสม ไมม่ ากไปจนแน่น หรอื วา่ งไปจนดูไม่สวยงาม เป็นต้น ประกอบฉากไดอ ยา งถกู ตองเหมาะสม) ขยายความเขา้ ใจ E×pand กจิ กรรม ศลิ ปป์ ฏิบัต ิ ๑๐.๒ ใหน ักเรียนนาํ ขอมูลเก่ียวกับความสัมพนั ธ ของละครกบั สาระการเรียนรอู ่ืนมารว มกัน กจิ กรรมท่ี ๑ ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ ๓ - ๕ คน ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ หาภาพการแสดงละคร จดั นิทรรศการเร่อื ง “ละครกบั การเรยี นร”ู (จะเปน็ ละครรา� หรอื ละครที่ไม่ใชท้ า่ รา� ก็ได)้ จา� นวนภาพทจี่ ะใชแ้ ลว้ แตค่ วามเหมาะสม พรอ มหาภาพมาประกอบใหสวยงาม กจิ กรรมท่ี ๒ แลว้ ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ จดั ทา� รายงานวเิ คราะห ์ วจิ ารณล์ ะครดงั กลา่ ว แลว้ นา� มาสง่ ครผู สู้ อน กิจกรรมท่ี ๓ ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคนเขยี นอธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการละครกบั สาระการเรยี นรตู้ า่ งๆ มา ๑ สาระ ความยาวประมาณ ๑ หนา้ กระดาษรายงาน แลว้ น�าส่งครูผูส้ อน ใหน้ กั เรียนตอบคา� ถามตอ่ ไปนี้ ๑. การแสดงท่ีเป็นละครจะต้องมอี งค์ประกอบใดบ้าง จงอธบิ าย ๒. ในการวเิ คราะห์ วิจารณ์ละคร ผวู้ ิจารณต์ อ้ งมีคุณสมบตั อิ ย่างไร ๓. การละครมคี วามสมั พันธก์ บั สาระการเรยี นร้อู ่ืนๆ อยา่ งไร ให้อธบิ ายมาพอสังเขป ๑7๕ แนวตอบ กิจกรรมศิลปปฏบิ ัติ 10.2 กจิ กรรมที่ 3 1. องคประกอบของละคร ไดแก เร่ือง เนือ้ หาสรปุ หรือแนวคิด นิสยั ตัวละคร และบรรยากาศ 2. คณุ สมบตั ิผูวจิ ารณการละคร ไดแ ก 1) เรอ่ื ง (Story) ละครตองมเี รอ่ื งราว ผูช มละครจะรเู รือ่ งของละครไดโ ดยการฟง จากบทเจรจาของตวั ละคร 2) เน้อื หาสรปุ หรอื แนวคิด (Subject or Theme) ผูประพนั ธบทละครจะตอ งมีแนวคิดท่จี ะนาํ พาใหเรื่องดําเนินไปสูจุดหมาย จดุ ประสงคข องการใหแนวคิด ก็เพอื่ ใหเนื้อเรอ่ื งของละครเกดิ ความประทบั ใจแกผ ูช ม 3) นสิ ยั ตวั ละคร (Characterization) ตัวละครจะทําหนาทใ่ี หกําเนดิ โครงเรอ่ื งและเน้อื เร่อื ง ผเู ขยี นบทละครตองสรา งตัวละครใหตรงกบั เนื้อหาสรปุ 4) บรรยากาศ (Atmostphere) การสรางบรรยากาศท่ีเกยี่ วขอ งกับตัวละครจะตองกลมกลนื กบั บทบาทของตัวละคร ซงึ่ นบั เปน กลวธิ อี นั สําคัญอยา งหน่ึง ของการแสดงละคร 3. การละครมคี วามสมั พนั ธก บั สาระการเรยี นรอู น่ื ๆ ไดแ ก ละครกบั สาระภาษาไทย ละครกบั สาระสงั คม ศาสนา และวฒั นธรรม ละครกบั สาระศลิ ปะ ละครกบั สาระการงานอาชพี และเทคโนโลยี ละครกับสาระสุขศกึ ษาและพลศึกษา ละครกับสาระวทิ ยาศาสตร และละครกับสาระคณิตศาสตร เชน ละครกับภาษาไทย นาํ กิจกรรมการแสดงละคร มาสอดแทรกในบทเรยี น ละครกบั สาระสังคม ศาสนา และวฒั นธรรม ละครสะทอ นสภาพสังคมใหเ ยาวชนไดเ รยี นรู ละครกบั สาระศลิ ปะ การละครถอื เปนศูนยรวมของ ศลิ ปะ เปน ตน ค่มู ือครู 175 กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครูพิจารณาจากการจดั นทิ รรศการเรอ่ื ง กลาวโดยสรุป ละครถือเปนศิลปะแขนงหนึ่งท่ีชวยสรางสรรคสุนทรียภาพ “ละครกับการเรยี นรู” ของนักเรียน โดยพจิ ารณา ในดานความถกู ตองของเนื้อหา การนําเสนอขอ มูล ใหเ กดิ แกม นษุ ย แตก ารจะสรา งสรรคล ะครทด่ี มี คี ณุ ภาพขนึ้ มาไดน นั้ จาํ เปน จะตอ งอาศยั ความสวยงาม และความคิดริเร่มิ สรางสรรค ประสบการณ ทกั ษะ ฝม อื และวชิ าความรแู ขนงตา งๆ มาประมวลเขา ดว ยกนั รวมทงั้ ละคร แตละประเภทก็มีหลกั ในการสรา งสรรคต างกนั ออกไป ซ่งึ ผสู รา งจะตองมคี วามเขาใจใน หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู องคประกอบตา งๆ อยางครบถวน ผลงานทสี่ ือ่ ออกมาจงึ จะดมี คี ุณภาพ ขณะเดยี วกนั ก็ตองนอมรับคําวิจารณติชมจากผูชมดวย โดยผูที่จะวิเคราะห วิจารณละครจะตอง 1. ผลการสรุปสาระสําคญั เก่ยี วกบั หลักการ มคี ณุ สมบตั กิ ารเปน ผวู จิ ารณท ด่ี แี ละรหู ลกั การวเิ คราะหล ะครแตล ะประเภทอยา งถอ งแท สรางสรรคก ารแสดงละคร ท้ังนี้ การละครนอกจากจะเปนสื่อเพ่ือความบันเทิงแลว ยังสามารถจะนํามาใช 2. ผลการสรปุ สาระสําคัญเก่ยี วกับองคประกอบ เปน เครอื่ งมอื ในการถา ยทอดสาระความรูใ นกลมุ สาระตา งๆ ไดดอี กี ดวย เพราะสามารถ ของละคร เขาถงึ ไดง าย ขณะเดียวกนั ในการสรางสรรคละครแตล ะเรอ่ื งกจ็ ําเปนตอ งใชวิชาความรู จากกลมุ สาระตา งๆ เขามาประยกุ ตใชเ ชน เดียวกนั 3. ผลการปฏบิ ัติการแสดงละครสัน้ 4. ผลการวจิ ารณบทละคร 5. ผลการจัดนิทรรศการเร่ือง “ละครกบั การเรยี นร”ู ๑76 เกร็ดแนะครู บรู ณาการเชอ่ื มสาระ จากการศึกษาเกีย่ วกบั ฉากการแสดงละคร สามารถเช่อื มโยงกับ ครคู วรแนะนาํ นักเรียนวานอกจากละครจะสามารถนาํ มาบรู ณาการกับสาระ การเรยี นการสอนในกลุมสาระการเรยี นรูศ ลิ ปศกึ ษา วิชาทัศนศลิ ป วชิ าตางๆ ไดแลว ยงั สามารถนาํ มาบูรณาการกับสาระวชิ าภาษาองั กฤษไดอ ีกดว ย ในเร่ืองจิตรกรรม เพราะการสรา งฉากการแสดงละคร ผูสรางฉากจาํ เปน เนอ่ื งจากวิชาภาษาอังกฤษ เปนวิชาทีใ่ ชทักษะในการทองจาํ คําศพั ทและศกึ ษา ตองมีความรูในเรือ่ งของจติ รกรรม ซึง่ เปน งานศลิ ปะท่แี สดงออกดว ย ไวยากรณ เพอื่ เรยี บเรยี งการพดู และการสอ่ื ความหมาย ซง่ึ ในการแสดงละครสามารถ การวาดภาพ ระบายสี และการจัดองคประกอบความงามอนื่ ฯ เพือ่ ใหเกิด นําความรูใ นเรอ่ื งภาษาองั กฤษมาใชใ นการรองเพลง หรือทําทาทางประกอบเพลง ภาพ 2 มติ ิ ที่ไมม คี วามลกึ หรอื นูนหนา และตองมคี วามรูใ นการนําหลัก เพ่ือชวยทาํ ใหจ ดจําคาํ ศัพทภาษาองั กฤษไดด ยี งิ่ ข้ึน โดยอาจเลือกใชเพลงทีม่ คี ําศพั ท องคป ระกอบในการออกแบบดานความงามทางศิลปะ เชน เสน รูปราง งา ยๆ กอน เชน เพลง Old MacDonald ของ Elvis Presley เปน ตน ซ่งึ จะทาํ ให รปู ทรง สัดสว น พืน้ ผวิ สี เปน ตน มาใชไดอยางถกู ตอ งและเหมาะสม นกั เรียนจดจาํ คําศพั ทตางๆ ได ยกตวั คําศพั ทใ นเน้ือเพลง Old Macdonald had ภาพจติ รกรรมท่เี ราสามารถพบเห็นไดจากฉากการแสดงละครอาจเปน ภาพ a farm, ee - i - ee - i - o And on that farm he had some chicks, ee - i - ee - i - o หนุ นิง่ ภาพคนท่ัวไป ภาพสตั ว ภาพทวิ ทศั น ภาพประกอบเรื่อง นกั เรียนจะสามารถจาํ ศพั ทคาํ วา Old หมายถงึ เกา หรือแก Farm หมายถงึ สถานที่ ภาพองคประกอบ ภาพลวดลายตกแตง ที่บง บอกถึงสถานทที่ เ่ี กดิ ขึ้น เพาะปลกู และเลย้ี งสัตว Chicks หมายถึง ลกู ไก เปน ตน ตามทองเรือ่ ง หรือตามเหตุการณที่เกดิ ข้นึ ในเนื้อเรือ่ ง 176 คู่มือครู กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรียนรู 1. อธบิ ายการบูรณาการศลิ ปะแขนงอ่ืนๆ กับการแสดง 2. วิเคราะหก ารแสดงของตนเองและผูอ ่ืน โดยใชน าฏยศพั ท หรือศัพททางการละคร ท่ีเหมาะสม 3. อธบิ ายอทิ ธพิ ลของวัฒนธรรม ทีม่ ีผลตอเนอื้ หาของละคร สมรรถนะของผูเ รียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี ๑๑หนว่ ยท่ี คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค การแสดงละคร 1. มวี นิ ัย 2. ใฝเรยี นรู 3. มงุ มั่นในการทาํ งาน 4. รักความเปน ไทย ตัวช้ีวดั การแสดงละคร เป็นการรวบรวม กระตนุ้ ความสนใจ Engage ■ อธบิ ายการบรู ณาการศลิ ปะแขนงอน่ื ๆ กบั การแสดง (ศ ๓.๑ ม.๒/๑) ครใู หน กั เรียนดูภาพหนาหนวยจาก ■ วเิ คราะหก์ ารแสดงของตนเองและผอู้ น่ื โดยใชน้ าฏยศพั ท์ หรอื ศพั ท์ ศิลปะหลายแขนงท่ีเกิดข้ึนจากการน�าภาพ ในหนงั สอื เรยี น หนา 177 จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา ทางการละครท่ีเหมาะสม (ศ ๓.๑ ม.๒/๓) ประสบการณ์ หรอื จนิ ตนาการของมนษุ ยม์ า ผกู เรอื่ ง และน�าเสนอต่อผู้ชมในรูปแบบของ • เมอื่ นักเรยี นดูภาพนี้แลว เกดิ ความรูส กึ ■ อธิบายอิทธิพลของวฒั นธรรมที่มีผลตอ่ เนอื้ หาของละคร อยา งไร (ศ ๓.๒ ม.๒/๓) (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอิสระ) สาระการเรียนรแู้ กนกลาง การแสดง โดยมนี ักแสดงเปน็ ผสู้ ือ่ ความหมาย ละครเร่ืองหน่ึงๆ จะเกิดข้ึนได้ต้องอาศัยผู้มี • ภาพนีต้ อ งการสอ่ื ใหเ หน็ ถึงสิ่งใด ■ ศลิ ปะแขนงอ่ืนๆ กับการแสดง ความรู้ ความสามารถในด้านศิลปะหลายแขนง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ - แสง สี เสียง ทา� งานรว่ มกนั ทง้ั ผปู้ ระพนั ธบ์ ทละคร ผกู้ า� กบั การ- ไดอ ยา งอิสระ) - อุปกรณ์ - ฉาก แสดง นกั แสดง ผอู้ อกแบบฝา่ ยผลติ นกั ดนตรี ฯลฯ - เคร่ืองแตง่ กาย นอกจากน้ี การเรียนรู้เก่ียวกับละครในสมัยต่างๆ ■ หลกั และวธิ กี ารวิเคราะห์การแสดง หลกั และวธิ กี ารวเิ คราะหก์ ารแสดงจะชว่ ยใหเ้ ราเขา้ ใจ ■ การละครสมยั ต่างๆ ถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมท่ีมีต่อเน้ือหาของละคร สามารถวเิ คราะห์การแสดงของตนเองและผ้อู นื่ ได้ เกร็ดแนะครู การเรยี นการสอนในหนวยการเรยี นรนู ี้ ครูควรอธิบายความรูเ พม่ิ เตมิ กับนกั เรียน วา ละครเปน การแสดงอยา งหนง่ึ ซงึ่ นอกเหนอื จากจะใหสาระและความบนั เทิงแลว ยังมีความสาํ คัญตอประวัตศิ าสตร สงั คม และวฒั นธรรมเปน อยา งยง่ิ สามารถนาํ มา บรู ณาการเขา กบั ศลิ ปะแขนงอนื่ ๆ ได การศกึ ษาหาความรเู กยี่ วกบั ละคร เทคนคิ ตา งๆ ในการสรา งงานละคร ตลอดจนการฝกทักษะเบ้อื งตน ในการแสดงละคร นับเปน ความรูพ้ืนฐานทีม่ คี วามจําเปนในการสรา งสรรคง านละครใหม สี ุนทรียภาพ นาดู นาชม ไดรบั ประโยชน รวมทัง้ สามารถนาํ แนวคิดที่ไดจ ากการรับชมไปประยกุ ตใช ใหสอดคลองกับชวี ติ ประจาํ วัน พรอ มทง้ั สามารถอธบิ ายอทิ ธิพลของวฒั นธรรม ทมี่ ผี ลตอ เนอ้ื หาของละครดว ยการใชห ลกั การวเิ คราะหก ารแสดงของตนเองและผอู นื่ คู่มือครู 177 กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงละครราํ ในยคุ สมยั ๑. ละครในยคุ สมัยตา่ งๆ ตางๆ ใหนักเรียนชม จากนัน้ ครถู ามนกั เรยี นวา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทุกชาติ ทุกภาษาจะมีการละครเกิดขึ้นพร้อมกับมนุษย ์ • ความงามของการแสดงละครไทยอยทู ี่สง่ิ ใด ดว้ ยเหตทุ มี่ นษุ ยม์ ชี วี ติ จติ ใจ มคี วามตอ้ งการพกั ผอ่ นหลงั จากการทา� มาหากนิ จงึ แสวงหาการละเลน่ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ในท้องถ่ินท่ีตนอาศัยอยู่ จากการละเล่นของชาวบ้านก็ได้พัฒนารูปแบบมาเป็นการแสดงละคร ไดอ ยา งอสิ ระ) ทม่ี กี ารดา� เนนิ เรอื่ ง สา� หรบั การแสดงละครของไทยไดม้ พี ฒั นาการสบื ทอดมาจากอดตี หลายยคุ สมยั ซ่งึ สามารถจา� แนกได้ ดงั นี้ • นักเรยี นคิดวา การท่ีละครในยุคสมัยตางๆ ๑.๑ สมัยกอ่ นสโุ ขทยั และสมยั สุโขทยั มีความแตกตา งกนั สบื เนื่องมาจากส่งิ ใด ในสมยั กอ่ นสโุ ขทยั บรเิ วณพน้ื ทที่ เี่ ปน็ ปร1ะเทศไทยปจั จบุ นั ไดม้ กี ารแสดงในรปู แบบของละคร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น เกิดขึน้ แล้ว โดยมขี อ้ สันนิษฐานวา่ “มโนราห์” นา่ จะเปน็ ละครเรอื่ งแรกทีม่ กี ารนา� มาแสดง ไดอยา งอสิ ระ) ตอ่ มาเมอ่ื คนไทยรวมตวั กนั สรา้ งอาณาจกั รสโุ ขทยั ขนึ้ กย็ งั ไมม่ หี ลกั ฐานแนช่ ดั วา่ มกี ารแสดง นาฏศลิ ป์เปน็ เรอื่ งราวแบบละคร มีเพียงหลักฐานเกี่ยวกับการละเล่นพ้ืนบ้านท่ัวๆ ไปในศิลาจารกึ สา� รวจคน้ หา Explore หลกั ที่ ๑ ของพอ่ ขนุ รามคา� แหง ท่ีได้กล่าวถึงการละเลน่ ในเทศกาลกฐนิ ว่า ใหน ักเรยี นแบงกลมุ ออกเปน 3 กลมุ ใหน ักเรียน “ดงบงคมกลองด้วยเสียงพาด เสียงพณิ เสียงเลอ่ื น เสียงขับ ศกึ ษา คน ควา หาความรูเ พิ่มเตมิ เกย่ี วกับละคร ใครจกั มักเลน่ เล่น ใครจกั มักหัว หัว ใครจกั มักเลอ้ื น เลอ้ื น” ในยคุ สมยั ตางๆ จากแหลง การเรียนรตู า งๆ เชน หองสมดุ โรงเรยี น หอ งสมดุ ชุมชน อินเทอรเ นต็ จนกระท่งั ในสมยั พระมหาธรรมราชาลิไทย มขี อ้ ความปรากฏในศลิ าจารึกหลักท่ ี ๘ ว่า เปน ตน ในหวั ขอ ทีค่ รกู ําหนดให ดังตอไปนี้ “ระบา� ร�า เตน้ เหลน้ ทุกฉัน” กลุม ที่ 1 ละครสมยั กอ นสโุ ขทยั และสมยั สโุ ขทยั ท�าใหเ้ กดิ ข้อสันนษิ ฐานวา่ การแสดงในสมยั นม้ี แี บบแผนแล้ว และระบา� ท่กี ล่าวถึงในจารกึ นี้ กลุม ที่ 2 ละครสมัยอยุธยา กถ็ ือเป็นรากฐานของนาฏศิลป์ไทยได้ กลุมท่ี 3 ละครสมยั รตั นโกสนิ ทร ๑.๒ สมยั อยธุ ยา สมัยอยุธยาไดม้ ีการจดั ระเบยี บแบบแผนในการแสดงละคร โดยมกี ารตั้งช่ือการแสดงละครท่ี อธบิ ายความรู้ Explain เกิดขึ้นในสมัยน้ันๆ ดงั น้ี ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 1 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ๑) ละครชาตร ี ถอื กา� เนดิ มาจากละครพน้ื บา้ นทเี่ ปน็ มหรสพประจา� ทอ้ งถน่ิ มลี กั ษณะ เพิม่ เตมิ เกยี่ วกบั ละครในยคุ สมัยตางๆ สง ตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรใู นหัวขอ ละครสมัย- เปน็ ละครเร ่ มตี วั ละครหลกั เพยี ง ๓ ตัว คือ ตัวพระ (ตวั นายโรง) ตัวนาง และตัวตลก เครือ่ งดนตรี กอนสุโขทัยและสมยั สโุ ขทยั ตามท่ีไดศกึ ษามา ประกอบจะมนี อ้ ยชนิ้ เนอ้ื เรอ่ื งทแ่ี สดงเปน็ เรอ่ื งจกั รๆ วงศๆ์ ซงึ่ นา� มาจากนทิ านชาดก หรอื เปน็ เรอ่ื ง หนา ช้ันเรียน จากนัน้ ครูถามนกั เรยี นวา ท่ีชาวบ้านแต่งขึ้นเอง • ละครทเ่ี กดิ ขึ้นในสมัยสโุ ขทัย คือละครประเภทใด (แนวตอบ ละครแกบ นและละครเรื่องมโนราห) ๑78 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET “ดงบงคมกลองดวยเสียงพาด เสยี งพณิ เสียงเลอ่ื น เสยี งขับ ครคู วรอธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา การละครสมยั กอ นสโุ ขทยั นนั้ คอื สมยั นา นเจา ซงึ่ พบวา ใครจกั มักเลน เลน ใครจักมกั หวั หัว ใครจกั มักเลอ้ื น เลอื้ น” ไทยมีนยิ ายเร่ืองหนึ่ง คือ เรื่อง “มโนราห” เปน นยิ ายของพวกไต พวกไต คอื คนไทย จากขอ ความขางตนสะทอนใหเห็นถงึ การแสดงละครไทยอยางไร ท่ีไมไดอพยพลงมาจากดินแดนเดิม เรื่องมโนราหนี้จะนํามาเลนเปนละครหรือไมน้ัน 1. การแสดงละครไทยมมี าชานาน ยงั ไมมีหลกั ฐานปรากฏเดนชัด สว นการละเลน ของไทยในสมัยนานเจา นน้ั 2. ประชาชนทุกคนตองแสดงละครได มกี ารแสดงจาํ พวกระบาํ อยูแ ลว คอื ระบาํ หมวกและระบาํ นกยงู 3. ประชาชนทุกคนชอบดกู ารแสดงละคร 4. การแสดงละครไทยตอ งมีเคร่อื งดนตรีประกอบ นกั เรยี นควรรู วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะการละครไทยมีมาต้ังแตสมัยโบราณ เปนศลิ ปะและเปน สัญลกั ษณท ่แี สดงเห็นถงึ ความเปนไทย ถงึ แมวา 1 มโนราห หรือโนรา สันนษิ ฐานวา ไดร ับอทิ ธพิ ลมาจากการรา ยรําของอินเดีย การแสดงนน้ั ๆ จะไดร ับอิทธพิ ลมาจากตางชาติ แตก ไ็ ดมกี ารดัดแปลง โบราณกอ นสมยั ศรวี ิชัย โดยไดร ับมาจากพอ คาชาวอินเดยี ซ่งึ สังเกตไดจาก และปรบั ปรุงพัฒนาจนมลี ักษณะเปน แบบของไทย เครอ่ื งดนตรที ี่เรียกวา “เบญจสงั คตี ” ซึง่ ประกอบไปดวยโหมง ฉ่งิ ทับ กลอง และปใ น อีกทัง้ ทาราํ กล็ ะมา ยคลายคลึงกบั การรา ยรําของอินเดีย 178 ค่มู อื ครู กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ละครชาตร1ี เป็นต้นแบบของละครร�า นิยมแสดงเรื่องพระสุธน - มโนราห์ ภาคใต้ ใหน ักเรยี นกลมุ ที่ 2 ที่ไดศ กึ ษา คนควา จะเรียกว่า “โนรา” ทางภาคกลางจะเรยี กวา่ “ชาตร”ี หรือ “โนราหช์ าตรี” เรอื่ งราวท่นี า� มาแสดง หาความรูเพิ่มเติมเก่ยี วกบั ละครในยคุ สมัยตางๆ ส่วนใหญ่จะสะท้อนความเป็นอยู่ วิถีชีวิต และ สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู ขนบธรรมเนียม ประเพณี เช่น วัฒนธรรม ในหวั ขอ ละครสมยั อยธุ ยา ตามทไ่ี ดศ กึ ษามา การแต่งกายท่ีผู้ชายจะไม่สวมเสื้อในการแสดง หนาชัน้ เรียน จากน้นั ครถู ามนักเรยี นวา ละครชาตรี หรือวัฒนธรรมของไทยท่ีมีความ- เคารพต่อครูอาจารย์และสิ่งศักด์ิสิทธิ์ เป็นต้น • บทรอ งในการแสดงละครชาตรมี ลี กั ษณะ ดงั นน้ั ในการแสดงละครชาตรจี ะตอ้ งมปี ระเพณี ท่ีแตกตางจากละครชนดิ อื่นอยางไร ร�าซัดไหวค้ รู และยงั เป็นการแสดงเพ่ือบชู าและ (แนวตอบ ตวั ละครมกั เปน ผดู นกลอนและรอง บนบานส่ิงศักด์ิสิทธิ์ให้ช่วยอ�านวยความส�าเร็จ เปน ทํานองเพลงรา ย แตป จ จุบนั บทรอง ในการประกอบกิจการตา่ งๆ อกี ดว้ ย มกั มคี ําวา “ชาตร”ี นําหนา เชน รา ยชาตรี ต่อมาการแสดงละครชาตรีแบบ- 2 รายชาตรีกรับ รําชาตรี ชาตรตี ะลุง เปน ตน) พ้ืนเมืองก็วิวัฒนาการมาเป็น “ละครชาตรี ในการแสดงละครชาตรี จะตอ้ งมกี ารรา� ซดั ชาตรี เพอ่ื บชู า เครอื่ งใหญ”่ การแตง่ กายจะเป็นแบบละครนอก สง่ิ ศกั ดิ์สทิ ธกิ์ ่อนแสดงทุกครั้ง • ละครชาตรที น่ี ยิ มแสดงอยใู นปจ จบุ นั สามารถ ที่มา : ทะเบียนขอมูลวิพิธทัศนา ชุดระบํา รํา ฟอน แบงออกเปนก่รี ูปแบบ คือ แต่งเข้าเครือ่ ง หรอื ยืนเครือ่ ง กรมศลิ ปากร (แนวตอบ ในปจจุบนั มีการแสดงละครชาตรี เพียง 2 รูปแบบ คอื ละครชาตรพี ื้นบา น โตต้ อบกนั เช๒น่ ) เพลละงคปรรนบอไกก ่ เถพอื ลกงา� พเนวดิงมมาาจลายั ก3 เกปาน็ รตลน้ะเ ลตน่อ่ พมน้ืาปเมรอืบั งปทรมี่งุ ใผี หชู้ ก้ าายรแเลละน่ ผเพหู้ ญลงงิ จเลดั น่เปเพน็ เลรงอ่ื พงนื้ราเวมขอื น้ึง ทจี่ ดั แสดงตามสถานทศี่ ักด์สิ ทิ ธิท์ วั่ ไป เรื่องที่แสดงเป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องกับชีวิตภายในครอบครัว โดยน�าเคา้ โครงมาจากนทิ านพนื้ เมือง และละครชาตรีเครอ่ื งใหญ ซึง่ ปรับปรงุ และปญั ญาสชาดกมาแตง่ เปน็ บทละคร บทละคร ใหมีมาตรฐานในสมัยพระบาทสมเด็จ ในสมยั อยธุ ยาคา� กลอนจะเหมอื นบทละครชาตร ี พระมงกฎุ เกลา เจาอยูหวั (รัชกาลท่ี 6)) แตถ่ า้ เปน็ บทละครทแ่ี ตง่ ขน้ึ ภายหลงั สมยั อยธุ ยา จะมีลักษณะเป็นกลอนแปด ลักษณะการแสดง • “ละครตลาด” หมายถงึ สิง่ ใด ละครนอก มีจุดมุ่งหมายในการแสดงเร่ืองราว (แนวตอบ ละครนอกท่คี นธรรมดาสามัญ มากกว่าการแสดงความประณีต งดงาม หรือ เลน กนั ตามบา น กิรยิ า วาจาของตัวละคร แสดงทา่ รา� ของตวั ละคร มงุ่ ดา� เนนิ เรอื่ งใหร้ วดเรว็ เปนแบบคนธรรมดาสามญั แมวาในเรื่อง โลดโผน ตลกขบขัน ไม่เคร่งครัดต่อระเบียบ จะเปน พระมหากษตั รยิ แตก็ไมไดใช แบบแผน โดยขนบนิยมในการด�าเนินเรื่อง คาํ ราชาศัพท) ผู้แสดงละครนอกจะเป็นชายล้วน เป็นละครท่ี • บทละครเรอื่ งใดท่ไี มสามารถนํามาแสดง เปน ละครนอกได (แนวตอบ มอี ยู 3 เรือ่ ง คอื เรื่องอเิ หนา เรือ่ งอุณรุท และเรื่องรามเกยี รต์ิ) คนธรรมดาสามญั เลน่ กันตามบ้าน หรอื ตามวดั ละครนอก เร่ืองไกรทอง ตอนข้ึนหงึ วิมาลา ๑79 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด นกั เรยี นควรรู ขอใดกลาว ไมถ ูกตอง เกยี่ วกบั ละครชาตรีเครอื่ งใหญ 1 ละครชาตรี ไดรับอทิ ธพิ ลมาจากละครเรข องอนิ เดยี ที่เรยี กวา “ยาตร”ี 1. นิยมนํามาแสดงเปนละครแกบ นตามสถานท่ีตางๆ หรอื “ยาตรา” ซ่ึงแปลวา การเดินทางทอ งเที่ยว ละครชาตรีเปนละครพนื้ เมอื ง 2. เปนการนาํ เอาละครนอกมาผสมผสานกบั ละครชาตรี ของชาวเบงคลใี นประเทศอนิ เดีย นยิ มแสดงเรอื่ ง “คตี โควนิ ท” เนอื้ เรือ่ งจะกลาวถึง 3. การแสดงเนนความสนุกสนานแบบละครนอกและไมตองราํ ซดั เบกิ โรง การอวตารของพระวษิ ณุ 4. ดนตรีทีใ่ ชเปน เครอื่ งดนตรีของละครชาตรผี สมวงปพ าทยของละครนอก 2 ราํ ซดั ชาตรี เปน การแสดงทไี่ ดรบั การปรบั ปรงุ ทารํามาจากรําซดั ไหวค รู ซง่ึ ในการแสดงละครชาตรี มีประเพณีทป่ี ฏิบัติสืบตอกันมาวาตองมีรําเบกิ โรง วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะการแสดงละครชาตรเี ครอื่ งใหญ กอ นการแสดงละคร โดยใหต ัวพระ 1 คน รําไหวค รูทีเ่ รียกกนั วา “รําซัด” คือ ราํ ซัดไปตามทว งทํานองและจงั หวะเพลง ซึ่งมีการดดั แปลงใหมผี รู าํ ทัง้ ชาย - หญิง จะเริ่มดวยการรําซดั ชาตรี แลวลงโรง จับเรอื่ งดว ย “เพลงวา” โดยจะรําใหเขา กับจังหวะของเครือ่ งดนตรีทีบ่ รรเลง คือ โทน กลอง และกรบั แบบละครนอก สวนเพลงและวธิ กี ารแสดงกใ็ ชทัง้ ละครชาตรี 3 เพลงพวงมาลยั เปน เพลงท่ีสามารถพบไดท ่ัวไปในทองถิน่ ภาคกลาง มีลักษณะ และละครนอกปนกนั คลา ยเพลงกลอมเดก็ ใชเ ปน เพลงรบั ในการเลนลูกชวง จะข้ึนตน ดว ยคําวา “เออระเหยลอยมา” และลงทา ยดว ยคําวา “เอย” ค่มู อื ครู 179 กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครสู มุ นักเรียน 2 - 3 คน ใหต อบคําถาม บทเจรจาของตัวละครทุกตัว หรือแม้กระท่ังกษัตริย์จะไม่ใช้ค�าราชาศัพท์ อิริยาบถของตัวละคร ดังตอไปน้ี และภาษาที่ใช้จะเป็นแบบคนธรรมดาสามัญ ลักษณะท่าร�าว่องไว กระฉับกระเฉงเหมือนกิริยา ของชาวบา้ น ทา� ใหก้ ารดา� เนนิ เรอ่ื งรวดเรว็ ทนั ใจผชู้ ม จนชาวบ้านเรยี กละครนอกว่า “ละครตลาด” • ละครในเปน ละครทไ่ี ดร บั ความนยิ มเปน อยา งมาก การแต่งกายละครนอกในสมัยอยุธยา จะแต่งแบบคนธรรมดาสามัญ ต่อมาได้มี ในยคุ ใดและไดร บั ความนยิ มลดนอ ยลงในยคุ ใด การปรบั ปรุงการแตง่ กายโดยเลียนแบบละครใน คอื แต่งแบบยืนเคร่ืองพระ - นาง (แนวตอบ ไดร ับความนยิ มมากในสมยั ๓) ละครใน เป็นละครท่ีมุ่งเน้นศิลปะการร่ายร�าเป็นส�าคัญ แสดงเฉพาะภายใน พระเจา อยูห วั บรมโกศ ซงึ่ แสดงมาจนถึง เขตราชฐาน ลกั ษณะการแสดงมขี นบนยิ มเครง่ ครดั มรี ปู แบบเฉพาะทเี่ ปน็ เอกลกั ษณข์ องละครใน สมัยธนบุรแี ละสมยั รตั นโกสินทร คอื ผแู้ สดงเปน็ หญงิ ลว้ น เรอ่ื งที่นิยมน�ามาแสดงมเี พียง ๓ เร่อื งเท่าน้ัน ได้แก ่ เรื่องรามเกียรต ิ์ ตอ มาภายหลงั ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมง- เร่อื งอเิ หนา และเร่ืองอณุ รุท กุฎเกลา เจาอยูหวั (รชั กาลที่ 6) ไมไ ดม ี ละครในมจี ดุ มงุ่ หมายเพอื่ แสดงศลิ ปะชน้ั สงู ของนาฏศลิ ป ์ จงึ ไมน่ ยิ มแสดงบทตลกขบขนั ละครในจัดแสดงในเมืองหลวงอีก เนอื่ งจาก ผปู้ ระพนั ธบ์ ทละครในตอ้ งพถิ พี ถิ นั ในการเลอื กใชถ้ อ้ ยคา� ทสี่ ละสลวย ไมม่ บี ทเจรจาทเ่ี ปน็ ภาษาตลาด มลี ะครสมัยใหมเ กดิ ข้นึ เปน จํานวนมาก) เพลงรอ้ งและดนตรปี พ่ี าทยป์ ระกอบการแสดงตอ้ งมจี งั หวะนมุ่ นวล สละสลวย ทง้ั น ้ี เพอ่ื ใหต้ วั ละคร ไดอ้ วดฝมี อื ในการรา่ ยรา� ผแู้ สดงละครในจะตอ้ งเปน็ ผทู้ ีไ่ ดร้ บั การฝกึ ฝนจนเกดิ ความชา� นาญ สามารถ • “ทีทาวทีพญา” หมายถงึ ส่ิงใด ตบี ทไดค้ ลอ่ ง มีท่าทสี ง่างาม ดงั คา� กลา่ วทวี่ ่า “ทีท้าวทีพญา” จะแต่งกายแบบยืนเครอื่ งพระ - นาง (แนวตอบ ผูแ สดงละครในท่ีจะตอ งมีลกั ษณะ ละครในเจริญสงู สดุ ในแผน่ ดนิ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งมพี ระราชธิดา ๒ พระองค์ คือ ทสี่ งา งาม กริ ยิ ามารยาทตอ งไดร บั การฝก ฝนจน เจา้ ฟา้ กณุ ฑลและเจา้ ฟา้ มงกฎุ ทง้ั ๒ พระองค ์ ไดท้ รงพระนพิ นธบ์ ทละครเรอื่ งอเิ หนาขนึ้ มา ๒ แบบ เกดิ ความชาํ นาญ มีฝมอื ในการราํ ท่ปี ระณตี งดงาม) • จากภาพหมายถึงการแสดงชนิดใด เจ้าฟ้ากุณฑลนิพนธ์เร่ืองอิเหนาใหญ่ (ดาหลัง) ส่วนเจ้าฟ้ามงกุฎนิพนธ์เรื่องอิเหนาเล็ก ซึ่งเป็น เร่อื งราวท่นี า� มาแสดงในรปู แบบละครใน ๔) โขน จัดอยู่ในประเภทละครใน โดยโขนได้พัฒนามาจากการแสดงชักนาค- ดกึ ดา� บรรพ ์ หนงั ใหญ ่ และกระบก่ี ระบอง ลกั ษณะ การแสดงโขนจะแบ่งออกเป็น ๕ ชนิด คือ โขนนงั่ ราว โขนกลางแปลง โขนหนา้ จอ โขนโรงใน และโขนฉาก ซง่ึ โขนโรงในเปน็ การแสดงโขนทเี่ ปน็ ละครในมีบทพากย์เจรจาอย่างโขน มีต้นเสียง (แนวตอบ การแสดงนาฏศิลปอนิ เดียทีม่ ชี ื่อวา และลกู ครู่ บั แบบละคร ลกั ษณะการแสดงสา� หรบั “กถกั กฬ” (Kathakali) การแสดงจะเนน ตัวละครท่ีเป็นมนุษย์จะมีลีลาท่าร�าเหมือนกับ การใชม อื สว นมากจะแสดงเรอ่ื งรามเกยี รต์ิ ละครใน เรอื่ งทนี่ ยิ มนา� มาแสดง คอื เรอื่ งรามเกยี รต์ิ เหมือนการแสดงโขนของไทยและนิยมแสดง ผู้แสดงจะแต่งกายยนื เครือ่ งพระ นาง ยักษ์ ลงิ เร่อื งมหาภารตะ มีคนพากยยนื อยดู า นขาง ภาพการแสดงละครในเร่ืองอเิ หนา ตัวละครท่ีไม่ใช่มนษุ ยจ์ ะสวมหวั โขน ตวั ละคร ซง่ึ ทําทา ทางไปตามบท มกี ารแสดง สีหนา และการเคล่อื นไหวอวัยวะของรางกาย ๑8๐ เปน ทาทางตา งๆ ตามบทพากยท่เี ปน กาพย) กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงโขนประเภทตา งๆ ใหน กั เรยี นชม พรอ มอธบิ าย ใหนักเรียนศกึ ษาเพม่ิ เติมเกย่ี วกับการแสดงละครในสมยั อยธุ ยา เพิม่ เติมวา โขนสามารถแบงออกเปน 5 ประเภท คือ โขนกลางแปลง การแสดงโขน ตามความสนใจของตนเอง 1 ประเภท จัดทําเปนแผนพับ บนพนื้ ดนิ ไมม กี ารสรา งโรง โขนโรงนอก หรอื โขนนง่ั ราว เปน การแสดงโขนทแี่ สดงบนโรง พรอ มหาภาพประกอบ ตกแตง ใหส วยงาม นําสงครูผูสอน มหี ลงั คา มรี าวพาดตามสวนยาวของโรงสําหรบั ใหตัวละครนั่งแทนเตยี ง โขนหนาจอ เปน การแสดงโขนทม่ี กี ารปลอ ยตวั โขนออกมาเลน สลบั กบั การเชดิ หนงั ใหญ เรยี กกนั วา กจิ กรรมทาทาย “หนงั ติดหวั โขน” เม่ือไมคอยมีคนนิยมจึงปลอยโขนออกมาเลน หนา จอหนัง เพียงอยางเดยี ว โขนโรงใน การแสดงโขนท่นี าํ เอาศลิ ปะของละครในมาผสมผสาน และโขนฉาก การแสดงโขนที่มกี ารเปลี่ยนฉากไปตามทองเร่ือง มมุ IT ใหน ักเรียนวิเคราะหความแตกตางของละครนอกและละครใน ในเร่ืองประวตั คิ วามเปนมา นกั แสดง การแตง กาย เรื่องท่ีนาํ มาแสดง นักเรยี นสามารถศกึ ษา คนควาเพม่ิ เติมเกี่ยวกบั การแสดงโขน ลกั ษณะการแสดง ดนตรปี ระกอบการแสดง เพลงรอ ง สถานทจี่ ดั การแสดง ไดจ าก http://www.nsru.ac.th ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครผู สู อน 180 คูม่ อื ครู กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 3 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู เพ่ิมเติมเก่ยี วกับละครในยุคสมยั ตางๆ สง ตวั แทน ๑.๓ สมยั รัตนโกสนิ ทร์ 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรูในหวั ขอละคร ในสมยั รตั นโกสนิ ทรม์ ลี ะครรปู แบบใหมๆ่ เกดิ ขน้ึ หลายประเภท สามารถแบง่ ววิ ฒั นาการของ สมยั รตั นโกสินทร ตามท่ไี ดศ กึ ษามาหนา ชนั้ เรยี น การละครตามรชั สมยั ตา่ งๆ ได้ดังน้ี จากน้ันครูถามนักเรยี นวา รชั สมยั วิวฒั นาการของละคร • ตาํ ราฟอ นราํ ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอด- ฟาจุฬาโลกมหาราช (รชั กาลที่ 1) โปรดใหมี พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลก • มกี ารรวบรวมต�าราฟอ้ นร�าและมกี ารฝึกหดั โขนทั้งวังหน้า การรวบรวมไวเ ปนหลกั ฐานมีการบันทกึ มหาราช (รชั กาลท ่ี ๑) และวังหลวง ละครเร่ืองใดไวบ าง • พเรรื่อะงรดาาชหนลพิ ัง1นธ์บทละครเร่ืองรามเกยี รติ ์ เรือ่ งอณุ รุท และ (แนวตอบ มบี ทละครท่ปี รากฏตามหลักฐาน • ละครผูห้ ญงิ ถือเป็นเครอื่ งราชปู โภคสา� หรับพระมหากษตั ริย์ อยู 4 เร่อื ง คือ อณุ รุท รามเกียรต์ิ ดาหลงั และอเิ หนา) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย • เป็นยุคทองของนาฏศลิ ปแ์ ละการละคร • การละครไทยในสมยั พระบาทสมเดพ็ ระพทุ ธ- (รัชกาลท ี่ ๒) • พระราชนพิ นธบ์ ทละครรา� เรอื่ งอเิ หนา และบทเสภาเรอื่ งขนุ ชา้ ง- ขนุ แผน ๔ ตอน ทั้งยงั ทรงริเร่ิมการขบั เสภาประกอบปพ่ี าทย์ เลศิ หลา นภาลยั (รชั กาลที่ 2) มจี ดุ เดน อยา งไร • มีการรับอิทธิพลจากนาฏศิลป์ในเอเชียมาประดิษฐ์ท่าร�าและ (แนวตอบ สมยั นม้ี กี ารกวดขนั ในเร่ืองของ เร่มิ ใช้ผู้หญิงแสดงละครนอก โดยแต่งกายแบบโขน ฝม ือการรา ยราํ มกี ารฝก ท้ังละครนอก ละครใน และโขน การฝกนาฏศิลปไ ทย พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยูห่ วั • ยกเลิกละครหลวง จึงฝก ไดอ ยา งครบถวน ทง้ั พระ นาง ยักษ ลงิ (รชั กาลท ี่ ๓) โดยยดึ ถือเปนแบบฉบับมาจนถงึ ปจจุบนั • เกดิ คณ2ะละครของเจา้ นายและเอกชนขน้ึ หลายคณะ เชน่ ละคร มกี ารรับอทิ ธพิ ลของนาฏศลิ ปเอเชีย ไดแ ก การแสดงชดุ “ฝรงั่ รําเทา ” ซึ่งเปนการ เจา้ กรบั แสดงละครนอก ตัวละครเป็นชายลว้ น เปน็ ตน้ ผสมผสานทาราํ ของแขก ฝรัง่ และจนี นํามาแสดงในเร่อื งอเิ หนา ตอนอณุ ากรรณ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว • ละครหลวงไดร้ ับการฟนื้ ฟูขึ้นใหม่ ลงสวนและการแสดงระบาํ ดาวดงึ ส) (รัชกาลท ่ี ๔) • เอกชนฝึกหัดละครผหู้ ญิงได ้ ชาย - หญิงจงึ เล่นละครผสมโรง • การแสดงละครในสมัยรัตนโกสินทรเรมิ่ มี กนั ได ้ และมกี ารบญั ญตั ขิ อ้ หา้ มการจดั การแสดงของเอกชนขนึ้ รวมทง้ั ได้ประกาศกฎหมายภาษมี หรสพข้นึ เปน็ คร้ังแรก • รวบรวมช�าระพิธีไหว้ครูและได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ตราข้ึน เปน็ ฉบบั หลวง พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว • ยกเลกิ กฎหมายภาษมี หรสพ การเปลยี่ นแปลงมากขึ้นในสมยั ใด (รชั กาลท ี่ ๕) • การละครไทยได้รับอิทธิพลจากตะวันตกและมีละครเกิดใหม่ และเพราะเหตุใดจงึ เปนเชน นัน้ หลายประเภท ดงั นี้ (แนวตอบ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจลุ - ๑. ละครพนั ทาง ปรบั ปรงุ มาจากละครนอก โดยใหแ้ ตง่ กายตาม จอมเกลา เจาอยหู ัว (รัชกาลท่ี 5) เชือ้ ชาติของละครที่เล่น การละครเรม่ิ มกี ารเปล่ียนแปลงมากข้นึ ๒. ละครดกึ ดา� บรรพ ์ เปน็ ละครทปี่ รบั ปรงุ ใหค้ ลา้ ยละครโอเปรา เน่ืองจากการละครตะวนั ตกไดเ รม่ิ เขามา (Opera) ของตะวนั ตก แพรห ลายในประเทศไทย จงึ ทาํ ใหเกิดละคร แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด ๑8๑ ประเภทตา งๆ ขน้ึ มากมาย เชน ละครพนั ทาง ละครดึกดาํ บรรพ ละครรอง ละครพดู ลิเก เปน ตน ) นกั เรยี นควรรู เพราะเหตใุ ดในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัย (รัชกาลท่ี 2) 1 ดาหลงั เปนบทพระราชนิพนธข องเจา ฟา กณุ ฑล พระธิดาในพระเจา อยหู ัว- จงึ ถอื เปน ยคุ ทองแหง ศลิ ปะการแสดง บรมโกศ มีลกั ษณะเน้ือเรื่องคลา ยกบั เรอื่ งอเิ หนา แตจ ะมคี วามแตกตางกัน คอื ระเดน มนตรี (อเิ หนา) ไปหลงรกั สาวชาวไร ทาํ ใหท า วกเุ รปน โกรธถงึ กบั สง คน 1. ไดอทิ ธพิ ลจากชาตติ ะวนั ตก ไปลอบสงั หารนาง ระเดน มนตรีเสยี ใจมาก จงึ ออกทอ งเที่ยวไปอยางไรจดุ หมาย 2. มกี ารดดั แปลงการแสดงละครจนเกิดการแสดงรูปแบบใหมๆ ขึน้ และทําการรบกบั เมอื งอ่ืนๆ จนไดเมืองขนึ้ มากมาย สวนนางบุษบาจะแปลงกายเปน 3. มบี ทละครเกิดขน้ึ มากมาย เชน อเิ หนา ไกรทอง คาวี ไชยเชษฐ ชายชื่อ “มสิ ากระหมังกุหนงิ ” และจะกลายเปน หญงิ เม่ือพบระเดน มนตรี สวนระเดนมนตรไี ดป ลอมตัวเปนดาหลัง หรือคนเชิดหนัง เม่ือไดมาพบกับนางบุษบา เปน ตน กก็ อ ใหเ กิดความรักและไดอภิเษกสมรสกนั ในทส่ี ดุ 4. เกิดละครรปู แบบใหมห ลายประเภท เชน ละครพันทาง ละครเสภา 2 เจา กรบั เปนบคุ คลทมี่ ชี อื่ เสียงดานละครไทย สามารถแสดงไดท ง้ั ละครนอก และละครใน ซ่งึ เจา กรบั ไดฝ กหัดละครอยกู บั ครูทองอยู ตอมาจงึ ไดแ สดงละครนอก ละครรอ ง เปนตน ของครบู ญุ ยัง จนครบู ุญยังเสยี ชวี ติ จงึ ไดต ง้ั คณะของตนเองข้นึ โดยจะแสดงเปน ตวั นายโรง จดั วา เปน บคุ คลทม่ี ชี อ่ื เสยี งมากในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา เจา อยหู วั วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะมีนกั ปราชญร าชกวี 3 ทาน คอื กรมหมน่ื เจษฎาบดนิ ทร กรมหลวงพิทกั ษมนตรี และสนุ ทรภู มีบทละครใน และละครนอกเกดิ ขน้ึ หลายเรื่อง คอื บทละครใน เรอื่ งอเิ หนาและรามเกยี รติ์ บทละครนอก เรอื่ งไกรทอง คาวี ไชยเชษฐ สังขทอง และมณีพิชัย (รัชกาลที่ 3) คมู่ ือครู 181 กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครสู ุมนักเรียน 2 - 3 คน ใหต อบคําถาม รชั สมยั ววิ ฒั นาการของละคร ดังตอ ไปน้ี ๓. ละครเสภา เป็นละครที่มีคนขับเสภาและเครื่องปี่พาทย ์ ตัวละครจะร�าตามค�าขับเสภาและเจรจาตามเน้ือเรื่อง • เพราะเหตใุ ดจงึ มคี าํ กลา ววา “ในสมยั พระบาท- แตง่ กายแบบละครพันทาง นยิ มแสดงเรอ่ื งขนุ ช้างขุนแผน สมเด็จพระมุงกฎุ เกลา เจา อยูห ัว (รัชกาลที่ 6) ๔. ละครรอ้ ง ดดั แปลงมาจากละครตะวนั ตก ผแู้ สดงเปน็ หญงิ ลว้ น เปนสมยั ที่การละครไดเ จริญรุงเรืองถงึ ขดี สดุ ” มเี พียงตวั ตลกเท่าน้นั ที่ใช้ผู้ชายแสดง (แนวตอบ เพราะพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา - ๕. ละครพูด จะด�าเนินเรื่องด้วยการพูดและแสดงท่าทาง เจาอยหู วั (รชั กาลที่ 6) ไดทรงพระกรณุ า ประกอบ มกี ารเปลย่ี นฉากตามทอ้ งเรอ่ื ง ตวั ละครแตง่ กาย โปรดเกลา ฯ ใหต ัง้ กรมมหรสพขึ้น และทรง แบบคนธรรมดา พระราชนิพนธบ ทโขน ละคร ฟอ นราํ ไว เปน จาํ นวนมาก นบั ไดวา เปน ยคุ ทองแหง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว • โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ งั้ กรมมหรสพและโรงเรยี นฝกึ หดั นาฏศลิ ป์ ศลิ ปะการแสดงละครยุคท่ี 2 ตอจากสมัย (รชั กาลท ่ี ๖) • ดดั แปลงการแสดงละคร จนเกิดการแสดงรปู แบบใหม่ๆ ดงั น้ี พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา นภาลัย ๑. โขนบรรดาศักดิ์และโขนเชลยศักดิ์ คือ โขนที่ฝึกหัดให้ (รัชกาลที่ 2)) มหาดเลก็ แสดงและโขนส�าหรับประชาชนทว่ั ไปแสดง ๒. ละครดกึ ดา� บรรพเ์ รื่องรามเกียรต ิ์ คือ การน�าโขนไปแสดง • ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกลาเจาอยูหัว บนเวที (รชั กาลท่ี 7) การละครมรี ปู แบบทเี่ ปลย่ี นแปลง ไปอยา งไร พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั • ยกเลิกกรมมหรสพ (แนวตอบ เนอ่ื งจากเกิดภาวะสงครามโลก (รชั กาลท ี่ ๗) • โอนกรมปพ่ี าทยแ์ ละโขนหลวงไปอยู่ในกระทรวงวัง ครงั้ ท่ี 2 จงึ โปรดใหม กี ารยบุ กรมมหรสพ • ตงั้ กรมศลิ ปากร เพ่ือดแู ลศลิ ปะการแสดงนาฏศลิ ป์ และจํานวนขา ราชการลง มีการจัดตั้งกรม ศิลปากรข้นึ แทนกรมมหรสพและไดม ีการ พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหา- • กา� เนดิ ละครหลวงวจิ ติ รวาทการ ซง่ึ เปน็ ละครปลกุ ใจทม่ี ลี กั ษณะ กอตั้งวทิ ยาลยั นาฏศิลป เพ่อื สบื ทอดศลิ ปะ อานันทมหดิ ล พระอัฐมรามาธบิ ดนิ ทร เฉพาะ ดงั น้ี ดา นนาฏศลิ ป และการละคร) (รัชกาลท ี่ ๘) ๑. ดนตรปี ระกอบใช้ทั้งดนตรีไทยและดนตรสี ากล ๒. มกี ารแสดงระบ�าสลบั ฉาก • ละครหลวงวจิ ิตรวาทการเปนละครท่ตี อ งการ ๓. ฉากสดุ ทา้ ยตวั ละครทกุ ตวั ตอ้ งออกแสดงหมด สะทอ นใหเห็นถงึ สิ่งใด • กรมศลิ ปากรปรับปรงุ การรา� โทนใหเ้ ป็นรา� วงมาตรฐาน (แนวตอบ ละครหลวงวิจติ รวาทการ เปน ละคร ปลุกใจใหเ กิดความรกั ชาติ โดยเนือ้ หาจะ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ล- • โปรดเกล้าฯ ให้มีการบันทึกภาพยนตร์ส่วนพระองค์เกี่ยวกับ นาํ มาจากประวัติศาสตรตอนใดตอนหนึ่ง อดลุ ยเดช (รัชกาลท ่ี ๙) เทพา่ ลรา�งเหพนลา้งพหนาทา้ พยา์อทงยคต์์พา่ รงะๆพ จริ นาถพงึ1เพลงหนา้ พาทยช์ นั้ สงู คอื ทา่ รา� บทละครจะมีทั้งรกั รบ อารมณสะเทือนใจ ความรกั ทีม่ ีตอครู กั ถึงแมจ ะมากมายเพยี งใด • รูปแบบละครแพร่หลายจนเป็นละครโทรทัศน์ ละครวิทย ุ ก็ไมเทากับความรกั ชาต)ิ ละครเวท ี มลี ะครตามแนวของชาติอ่นื ๆ เข้ามาเผยแพร่ • เปดิ หลกั สตู รการเรยี นการสอนนาฏศลิ ป์ไทยในทกุ ระดบั ชน้ั • เชิดชูเกียรติบุคคลในวงการศิลปะการแสดง โดยก�าหนดให้ วันท่ี ๒๔ กุมภาพันธ ์ ของทุกป ี เปน็ วนั ศลิ ปนิ แห่งชาติ 182 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การละครในสมัยใดท่ี ไม มีการเปลีย่ นแปลงรปู แบบของการแสดงละคร ครูควรอธบิ ายเพ่มิ เตมิ วาทาราํ เพลงหนา พาทยทีป่ รากฏอยใู นตาํ ราไหวครโู ขน ไปจากเดมิ มากนัก ละครท่คี รูทองสขุ ทองหลิม เปน ประธานในพิธีไหวค รู จะประกอบไปดว ยเพลง- 1. สมยั สุโขทัย หนา พาทยจ ํานวน 7 เพลง คือ เพลงพราหมณเ ขา เพลงพราหมณออก เพลงเสมอเถร 2. สมยั อยุธยา เพลงเสมอสามลา เพลงเชิด เพลงโปรยขา วตอก และเพลงกราวรํา 3. สมัยธนบุรี 4. สมัยรตั นโกสินทร นกั เรียนควรรู วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะสมยั กรุงธนบุรี เปน ชวงตอเน่อื ง หลังจากท่กี รงุ ศรอี ยธุ ยาเสยี แกพ มา บรรดาศลิ ปนไดกระจดั กระจาย 1 เพลงหนาพาทยอ งคพ ระพิราพ เปนเพลงหนา พาทยช้นั สงู บรรเลงในพิธี ไปยังสถานที่ตางๆ เพราะผลจากสงคราม บางสว นก็เสียชีวิต บางสว นถูก ไหวค รู เพอื่ เปน การเชญิ องคพ ระพิราพลงมาสถิต ณ มณฑลพิธี ทา ราํ เพลง- กวาดตอ นไปอยพู มา รูปแบบของการแสดงละครจงึ ไมตางไปจากเดิม หนา พาทยอ งคพ ระพิราพ เปน ทาราํ ทีม่ คี วามศกั ด์ิสทิ ธิ์ มีระเบยี บแบบแผน มากนัก บงบอกถงึ อริ ยิ าบถขององคพ ระพิราพ สันนษิ ฐานวา ผทู ่ีเปนคนคิดคนและประดิษฐ ทา รําเพลงหนา พาทยองคพ ระพิราพ คือ พระยานัฏกานุรักษ (ทองดี สุวรรณภารต) 182 คู่มอื ครู กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา้ ใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain เสรมิ สาระ เกม1เพ่ือพัฒนาการแสดง 1. ใหน กั เรียนศกึ ษาเรือ่ งเกมเพื่อพัฒนา การแสดงจากในหนังสอื เรียน หนา 183 เกมทชี่ ว่ ยในการฝกึ การแสดง มดี ังน้ี ๑. เกมรบั -สง่ ลกู บอล เปน็ เกมทช่ี ว่ ย 2. ใหน ักเรียนแตละกลมุ สง ตัวแทนออกมา จับฉลากเกมทค่ี รูกาํ หนดไว คอื ฝึกสมาธิและความสนใจต่อคู่ท่ีรับ - ส่งลูกบอล หมายเลข 1 เกมรบั - สง ลกู บอล โดยใชล้ ูกบอล ๑ ลูก ใหผ้ ู้แสดงคนหนึ่งโยนและ หมายเลข 2 เกมตุก ตาลม ลกุ ใหผ้ แู้ สดงอกี คนหนง่ึ รบั โดยพยายามไมใ่ หล้ กู บอล หมายเลข 3 เกมเงาในกระจก ตกถงึ พื้น ใหแ ตละกลมุ ฝก เลน เกมท่ีกลุมจบั ได จากนน้ั ออกมาสาธติ วิธกี ารเลนเกมใหเ พือ่ นชม ๒. เกมตกุ ตาลม้ ลกุ เปน็ เกมทจี่ ะสอน หนาชั้นเรียน พรอ มอธบิ ายขน้ั ตอนวิธีการเลน ใหผ้ แู้ สดงไวว้ างใจซง่ึ กนั และกนั เกมตกุ ตาลม้ ลกุ น้ี และประโยชนท ไ่ี ดรบั จากการเลน เกมนี้ สามารถปฏิบัติได้โดยแบ่งผู้เล่นออกเป็น ๓ คน โดยมีครเู ปนผูคอยช้แี นะความถูกตอง ใหค้ นหนง่ึ เปน็ ตกุ ตาอยตู่ รงกลาง อกี ๒ คน เปน็ คนรบั และคนสง่ คนทเ่ี ปน็ ตกุ ตาลม้ ลกุ จะตอ้ งทา� ตวั จากนั้นครถู ามนกั เรียนวา ตามสบาย ผอ่ นคลาย ไมเ่ กรง็ สว่ นคนทเ่ี ปน็ ผรู้ บั และผสู้ ง่ จะตอ้ งมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ ความปลอดภยั • จากการท่นี กั เรียนไดเลน เกมเพอื่ พัฒนา ของเพอ่ื นทเี่ ปน็ ตกุ ตาตลอดการเลน่ เกม อยา่ ใหเ้ กดิ อบุ ตั เิ หต ุ เรม่ิ เกมดว้ ยการทค่ี นหนงึ่ ๆ ผลกั ตกุ ตา การแสดง นกั เรยี นไดป ระโยชนในดา นใด จากข้างหลังและส่งไปหาคนข้างหน้ารับ คนที่มีหน้าท่ีรับต้องมีสมาธิ รับด้วยความระมัดระวัง มากทส่ี ุด แลว้ ผลักกลบั มาทคี่ นส่ง ทา� สลบั กันไปเรอ่ื ยๆ ประมาณ ๑๐ ครง้ั (แนวตอบ เกมเพอื่ พัฒนาการแสดงนจี้ ะชวย ในเรอ่ื งของการฝก สมาธิ การสงั เกต ๓. เกมเงาในกระจก ใหผ้ เู้ ลน่ จบั คกู่ นั และการทาํ งานรวมกนั เปนกลุม) สมมติให้คนหนึง่ เปน็ เงาในกระจกของอกี คนหนึง่ ผทู้ ย่ี นื อยหู่ นา้ กระจกเคลอื่ นไหวอยา่ งชา้ ๆ และผทู้ ี่ ขยายความเขา้ ใจ E×pand รับหน้าท่ีเป็นเงาในกระจกท�าท่าเลียนแบบผู้ส่อง กระจกใหเ้ หมอื นภาพสะทอ้ นในกระจกเงา จากนนั้ ใหนักเรยี นนาํ ขอ มูลเกยี่ วกบั ละครในยุคสมยั เปลี่ยนบทบาทกัน โดยให้เงาในกระจกมาเป็น ตางๆ มารวมกนั จัดนทิ รรศการเรื่อง “ววิ ฒั นาการ ผู้ส่องกระจกบ้าง ซ่ึงเกมน้ีจะช่วยในเรื่องการฝึก การละครของไทย” พรอมหาภาพมาประกอบ สมาธิและการสงั เกต ใหส วยงาม ตรวจสอบผล Evaluate ๑8๓ ครพู ิจารณาจากการจดั นิทรรศการเร่ือง “วิวัฒนาการการละครของไทย” ของนกั เรยี น โดยพจิ ารณาในดานความถกู ตองของเนอื้ หา การนาํ เสนอขอ มลู ความสวยงาม และความคิด รเิ ร่ิมสรางสรรค กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ใหนกั เรียนเขยี นบรรยายประโยชนท ี่ไดร บั จากการเลนเกม ครคู วรยกตวั อยา งเกมเพอื่ ชว ยพฒั นาในการฝก ทกั ษะการแสดงใหแ กน กั เรยี นเพมิ่ เตมิ เพ่ือพฒั นาการแสดง ลงกระดาษรายงาน นําสงครผู สู อน คือ เกมปรศิ นา ซ่งึ สามารถปฏิบัตไิ ดโ ดยใหนักเรยี นคนหนึง่ ออกมาแสดงทาทาง การกระทาํ ตา งๆ เลา เรอ่ื งจากนทิ าน ตวั ละครในโทรทศั น ภาพยนตร หรอื อาชพี ตา งๆ กจิ กรรมทา ทาย เชน แมคากลวยปง คนบา หอบฟาง คนพกิ าร คนขอทาน เปนตน จากน้นั ใหเ พ่ือนๆ ทายวาผูนนั้ ออกมาแสดงเปน อะไร เกมปริศนานจ้ี ะชวยฝก การเคลือ่ นไหวรางกาย อยางอิสระ ใหนักเรียนคิดเกมเพื่อพัฒนาการแสดงตามความคดิ ของตนเอง 1 เกม นกั เรยี นควรรู พรอ มเขยี นบรรยายข้นั ตอนในการเลน เกม และประโยชนทจ่ี ะไดรับจาก การเลนเกมน้ี ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครผู ูสอน 1 เกม กจิ กรรมทางพลศึกษาอยางหน่งึ ทีจ่ ัดใหเดก็ หรอื เยาวชน หรือบุคคลทัว่ ไป ทกุ เพศ ทกุ วัยไดอ อกกําลงั กาย เพอื่ เปนการสง เสรมิ ใหม ีการพฒั นาทางดา นรางกาย จติ ใจ อารมณ และสงั คม โดยอยภู ายใตก ฎกติกาท่ไี มย ุง ยากซบั ซอ นมากนกั ทําให ผูเลนเกิดความสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ และผอ นคลายความเครยี ด คมู่ อื ครู 183 กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูอานกลอนบทละครเรอื่ งพระอภัยมณี ๒. การสรา้ งสรรค์ละครรำา ตอนพระอภัยมณเี ก้ียวนางละเวงใหนักเรียนฟง ละครรา� เปน็ ศลิ ปะทป่ี ระณตี งดงาม มรี ปู แบบทเ่ี ปน็ มาตรฐาน ซงึ่ นบั วา่ เปน็ เอกลกั ษณท์ างดา้ น ศลิ ปวฒั นธรรมประจา� ชาตไิ ด้อย่างหนง่ึ โดยดา� เนินเรอื่ งดว้ ยศลิ ปะการร่ายร�าเปน็ หลกั “ถงึ มวยดินสน้ิ ฟา มหาสมทุ ร ๒.๑ หลักการแสดงละครราำ ไมส น้ิ สุดความรกั สมัครสมาน หลักการแสดงละครร�า จะประกอบไปดว้ ยสงิ่ ตา่ งๆ ดังนี้ แมเกดิ ในใตฟ าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไมคลาดคลา” หน้าพาทย1์ป๑ร)ะกบอทบบลทะคบรา ทบขอทงลตะัวคลระรค�าจร ะแบตท่งลเะปค็นรกรล�าจอะนนบ�าทเรลื่อะงคดร้ว ยมบีทท�าไนหอวง้คเรพู ลซงึ่งรส้อะงท ้อแนลใะหเพ้เหล็นง จากนนั้ ครถู ามนกั เรียนวา • กลอนบทนีต้ อ งการสอื่ ใหเ ห็นถึงสงิ่ ใด วฒั นธรรมไทยทม่ี กี ารเคารพบชู าพระรตั นตรยั พระมหากษตั รยิ ์ บดิ า มารดา ครอู าจารย ์ ดงั ตวั อยา่ ง บทละครในเรอ่ื งอเิ หนา ตอนอิเหนาเก้ียวนางจนิ ตหรา (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น ไดอยา งอิสระ) สา� รวจคน้ หา Explore ใหนักเรยี นศึกษา คนควา หาความรูเ พ่ิมเติม “เสียแรงพต่ี ามมาดว้ ยความยาก สูล้ �าบากบกุ ป่าพนาสณฑ์ เกีย่ วกบั หลกั การแสดงละครราํ จากแหลง การเรียนรู มไิ ด้คิดแค่ชวี ติ จะวายชนม์ หวังจะได้นฤมลมายาใจ ตางๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรยี น หองสมดุ ชมุ ชน พ่ีตงั้ ใจสุจริตจติ วง ว่าจะเล้ยี งโฉมยงใหเ้ ป็นใหญ่ อินเทอรเนต็ เปนตน ในหัวขอ ทค่ี รูกาํ หนดให แม้มสิ มดงั จติ ท่คี ดิ ไว ้ อันนางอน่ื พี่ไม่ไยดี ดงั ตอ ไปน้ี คือ บทละคร ดนตรีและการขบั รอ ง ถงึ ตปี ัตทราจะกรวิ้ โกรธ ลงโทษกจ็ ะรับใส่เกศี การตคี วามหมายทา ราํ ตามบทละคร และการแตง กาย จะอย่ชู มสมสดู่ ว้ ยเทวี อันดาหาธานีพ่ีไม่ไป” อธบิ ายความรู้ Explain ๒) ดนตรีและการขับร้อง การบรรเลงดนตรีใช้วงปี่พาทย์ท�าหน้าที่บรรเลงเพลง ใหน กั เรียนรว มกบั อภิปรายเก่ยี วกับหลักการ หเพนล้างพเชาดิท2 ยเพ์ปลระงกเสอมบออ3 หิริยราอื บเพถลแงลพะญอาารเมดนิณ4 ์ขเมออ่ื งตตวััวลละะคครรด เีใชจจน่ ะ บเมรื่อรเตลัวงลเพะคลรงเกดรินาวทราา� ง5 ปเป่พี น็ าตทน้ ย นจ์ ะอบกรจราเกลนง้ี แสดงละครรํา ในหวั ขอบทละครตามท่ีไดศ ึกษามา วงปี่พาทยย์ ังทา� หนา้ ทีบ่ รรเลงตามเพลงขับร้องอีกด้วย จากนัน้ ครถู ามนักเรียนวา ละครร�าจะมีผู้ที่ขับร้องเป็นต้นเสียงร้องน�า และมีลูกคู่ร้องรับในวรรคหลังของกลอน บทละคร ท้ังนี้ การบรรเลงและขับร้องประกอบการแสดงละครร�าน้ัน ผู้ขับร้องจะต้องใส่อารมณ์ • กลอนบทละครมีลักษณะที่แตกตา ง ไปตามบทบาทของตัวละคร จะรอ้ งเหมอื นการร้องส่งดนตรปี พ่ี าทยธ์ รรมดาไมไ่ ด้ เพราะจะทา� ให้ จากกลอนชนิดอ่นื หรือไม อยา งไร การแสดงละครขาดคณุ คา่ ในดา้ นสนุ ทรียะ (แนวตอบ มลี ักษณะบงั คบั เหมอื นกลอนสภุ าพ สว่ นการบรรเลงปพ่ี าทย ์ ผบู้ รรเลงจะตอ้ งรทู้ า่ รา� ของตวั ละคร การบรรเลงจะเรม่ิ ตน้ ดว้ ย แตจ ะขน้ึ ตนวา “เมื่อนน้ั ” สําหรบั ตวั ละคร การโหมโรง เม่อื จบการแสดงจะตอ้ งบรรเลงเพลงสรรเสรญิ พระบารม ี ถ้าเปน็ การบรรเลงประกอบ ท่เี ปนกษตั รยิ หรอื ผูม บี รรดาศกั ด์ิสงู “บัดน้นั ” ละครพนั ทางตอ้ งเพม่ิ เครอ่ื งภาษาสา� เนยี งจนี มอญ เขมร ฝรงั่ พมา่ ฯลฯ ไปตามเนอ้ื เรอ่ื งทแี่ สดงดว้ ย สาํ หรบั ตัวละครที่เปน เสนา หรือคนทว่ั ไป “มาจะกลาวบทไป” ใชส ําหรับนําเร่ือง ๑84 เกริ่นเร่ือง) นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET กลอนบทน้ีเหมาะสาํ หรับนํามาใชก บั บทละครประเภทใด 1 เพลงหนา พาทย เพลงทมี่ ที าํ นองและลกั ษณะการบรรเลงตายตวั จดั เปน บทเพลง “วา พลางโอบอมุ อรทัย ขึน้ ไวเหนอื ตกั สะพักชม ทม่ี คี วามศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ นาํ มาใชป ระกอบพธิ กี รรมการไหวค รแู ละใชป ระกอบกริ ยิ าอาการ เอนองคลงแอบแนบนอ ง เชยปรางพลางประคองสองสม เคลอ่ื นไหวของตวั ละครในการแสดงละครประเภทโขน คลึงเคลา เยา ยวนสํารวลรมย เกลียวกลมสมสวาทไมคลาดคลาย 2 เพลงเชิด ใชส าํ หรับตวั ละครทีไ่ ป - มาในระยะทางไกล หรอื รีบดวน การโลดไล กรกอดประทับแลวรบั ขวัญ อยาตระหนกอกส่ันนะโฉมฉาย ติดตาม ตลอดจนการตอ สู รบราฆา ฟน กนั ฤดีดาลซานจับเนตรพราย ดังสายสนุ ีวาบปลาบตา” 3 เพลงเสมอ ใชประกอบกิริยาไป - มาใกลๆ เชน เดนิ ออกจากทอ งพระโรง 1. บทโอโ ลม เปน ตน 2. บทพาทยเมอื ง 4 เพลงพญาเดนิ ใชสาํ หรบั การไป - มาของตวั เอก ตัวละครผสู งู ศักด์ิ 3. บทพากยบ รรยาย หรือพระมหากษตั ริยในลกั ษณะเด่ยี ว หรือหมู 4. บทพาทยชมดง 5 เพลงกราวรํา ใชใ นความหมายเยาะเยย ฉลองความสาํ เรจ็ หรือสนุกสนาน ไดร ับชัยชนะ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะบทกลอนมเี นอื้ หาเกี่ยวกบั 184 ค่มู ือครู การเก้ียวพาราสีกนั ของตัวละคร จงึ จดั เปนกลอนบทละครประเภทโอโ ลม กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๓) การตคี วามหมายทา่ รา� ตามบทละคร ทา่ รา� ของละครม ี ๒ ลกั ษณะ คอื รา� หนา้ พาทย์ ใหน กั เรียนรวมกนั อภปิ รายเกี่ยวกบั หลักการ แสดงละครรํา ในหวั ขอ ดนตรี และการขับรอ ง กบั รา� บท (ตบี ท) รา� หนา้ พาทย ์ หมายถงึ การรา� ท่ีไมเ่ กยี่ วกบั เนอื้ หาของบทละคร เปน็ แตเ่ พยี งรา� ให้ การตคี วามหมายทา ราํ ตามบทละคร และการแตง เขา้ กบั จงั หวะเพลงหน้าพาทยเ์ ท่านั้น ซึ่งปรมาจารยท์ างดา้ นนาฏศลิ ป์ไทยได้ประดษิ ฐท์ ่ารา� ประจา� กายตามทไี่ ดศ ึกษามา จากน้ันครูถามนักเรียนวา เพลงหนา้ พาทย์ไวเ้ ปน็ แบบแผน สว่ นการรา� บท หมายถงึ การนา� ทา่ รา� มาตคี วามหมายตามบทละคร เพ่ือสื่อความหมายให้ผู้ชมละครเข้าใจบทบาทของตัวละคร โดยใช้ท่าร�าแทนค�าพูดและการแสดง • เครอื่ งดนตรีทน่ี าํ มาบรรเลงประกอบ อารมณ ์ การร�าตามบท หรือการร�าตีบทเปน็ การสื่อความหมายด้วยกริ ยิ าท่าทาง นบั ว่าเป็นภาษา การแสดงละครแตล ะประเภท ใชว งดนตรี อย่างหนึ่งท่เี รยี กว่า “ภาษานาฏศลิ ป”์ เดยี วกันท้ังหมดหรือไม อยางไร ดว้ ยเหตทุ ลี่ ะครรา� แบง่ ออกเปน็ ๖ ชนดิ คอื ละครชาตร ี ละครนอก ละครใน ละครดกึ ดา� บรรพ ์ (แนวตอบ ตา งกัน คือ ละครพันทาง และละครเสภา การตีความหมายท่าร�าตามบทละครจึงมีความแตกต่างกันออกไป วงปพาทยชาตรี นาํ มาใชบรรเลงประกอบ ในละครรา� แตล่ ะชนดิ การแสดงละครชาตรี วงปพ าทยเ ครอ่ื งหา นาํ มาใชบ รรเลงประกอบ ประเภท ลีลาทา่ ร�า การแสดงละครนอก ละครใน และละครเสภา ละครชาตรี การตีความหมายท่าร�าตามบทร้องของละครชาตรีจะไม่ วงปพ าทยดกึ ดําบรรพ นํามาใชบ รรเลง ประณตี เหมอื นละครใน โดยเปน็ ทา่ รา� งา่ ยๆ ซา�้ ๆ มรี า� หนา้ พาทย์ ประกอบการแสดงละครดึกดาํ บรรพ กบั รา� บทและมกี ารร�าซดั ไหว้ครูซึง่ ใชท้ า่ “รา� ซัดแบบชาตรี” วงปพ าทยไมนวม นํามาใชบรรเลงประกอบ การแสดงละครพันทาง ละครรอง ละครนอก ลีลาท่ารา� ของละครนอก ต้องปรบั ใหเ้ ข้ากบั ท�านองเพลงท่ี และละครสังคีต มีความว่องไว กระฉับกระเฉง ต้องปรับเปล่ียนไปตามความ วงดนตรีไทยและวงดนตรีสากลผสมกนั มงุ่ หมายและบคุ ลกิ ลกั ษณะของตวั ละคร เชน่ ลลี าทา่ รา� ของเจา้ เงาะ นาํ มาบรรเลงประกอบการแสดงละคร ในละครนอก เร่ืองสงั ข์ทอง จะมีทงั้ ทา่ ลงิ ยกั ษ์ มนษุ ย์ เปน็ ตน้ หลวงวจิ ติ รวาทการ วงดนตรีสากล นาํ มาบรรเลงประกอบ ละครใน มีแบบแผนของลีลาท่าร�า การตีบท เชอ่ื งชา้ และกระชบั การแสดงละครเพลง) ตามบทรอ้ ง การตบี ทตอ้ งดตู า� แหนง่ ของตวั ละคร โดยจะต้องตีบท ให้ผสมกลมกลืนกับต�าแหน่งของตัวละคร เช่น นั่ง ยืน เดิน • การตีความหมายทารําตามบทละคร บทเขา้ พระ - เข้านาง เป็นต้น มปี ระโยชนอยางไร (แนวตอบ มีประโยชนใ นการส่ือความหมาย ละครดึกด�าบรรพ์ การตีบทละครดึกด�าบรรพ์ ต้องประดิษฐ์ท่าร�าให้ตรงกับ ใหผชู มเขา ใจบทบาทของตวั ละครมากยง่ิ ข้ึน คา� พดู และกริ ยิ าของตวั ละคร จะตดั หรอื เตมิ ทา่ รา� ไดบ้ า้ ง เนอ่ื งจาก โดยใชท า ราํ แทนคาํ พดู และการแสดงอารมณ) ตวั ละครรอ้ งเอง จงึ ปรบั ทา่ รา� ใหเ้ ข้ากบั บทรอ้ งไดง้ า่ ย บทละคร- ดกึ ดา� บรรพจ์ ะตดั บททบ่ี รรยายกริ ยิ าของตวั ละครออก เพราะถอื วา่ • “ยืนเคร่ือง” เปน การแตงกายของละคร ผู้ชมเห็นกิริยาการเคล่ือนไหวของตัวละครอยู่แล้ว ส่วนท่าร�า ประเภทใด จะมคี วามประณีตเหมือนละครใน (แนวตอบ ละครใน เพราะเปนละครทีแ่ สดง ในวงั เคร่ืองแตงกายจึงเลยี นแบบมาจาก ๑85 เครอื่ งทรงของกษตั ริยท ม่ี ีความสวยงาม วจิ ติ รตระการตา ตอ มาละครนอกกพ็ ฒั นาขน้ึ ในเรื่องของการแตง กาย คอื แตง กาย ยืนเครือ่ งแบบละครใน) แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู การแสดงละครในขอใดแตกตางจากขออ่ืน ครคู วรอธบิ ายเพิ่มเตมิ เก่ยี วกับคาํ วาภาษาทา รํา หรือภาษานาฏศิลปวา ภาษา 1. ละครชาตรี ก็เปรียบเสมอื นภาษาพูด แตไ มต อ งเปลง เสียงออกมา โดยจะใชอ วยั วะตา งๆ 2. ละครเพลง ของรา งกายแสดงออกมาเปนทา ทาง โดยเลยี นแบบทา ทางธรรมชาติ ซึง่ สามารถ 3. ละครพันทาง แบง ออกเปน 3 ประเภท คอื ภาษาทา ใชแ ทนคําพูด เชน ฉัน เธอ ทาน ปฏิเสธ 4. ละครดึกดําบรรพ ทาเรียก ทา ไป เปน ตน ภาษาทาใชแทนอิรยิ าบถ หรือกริ ยิ าอาการ เชน ทา ยืน ทาเดิน ทา นัง่ เปนตน และภาษาทาที่ใชแ สดงอารมณความรูสกึ เชน ดใี จ เสยี ใจ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. เพราะละครเพลงไมม กี ารตคี วามหมาย โกรธ เศรา โศก เปนตน ซ่ึงจะทาํ ใหน ักเรยี นมคี วามรู ความเขา ใจเกีย่ วกับภาษาทารํา หรอื ภาษานาฏศลิ ปไ ดดยี งิ่ ข้ึน ของทาราํ ตามบทละคร การแสดงจะดาํ เนนิ เรือ่ งดวยบทเพลงท่แี ตง ขึน้ ใหม ซงึ่ เปนเพลงไทยสากลและใชทาทางทเ่ี ปนธรรมชาติประกอบบทรอง มมุ IT นกั เรียนสามารถศกึ ษา คนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษาทา หรอื ภาษานาฏศลิ ป ไดจาก http://www.cdaat.bpi.ac.th คมู่ อื ครู 185 กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครเู ปด ซีดี หรอื ดีวดี ีการฝกปฏบิ ัติการแสดง ประเภท ลีลาทา่ รา� นาฏศลิ ปเบ้ืองตนใหน ักเรียนชม จากนน้ั ครถู าม ละครพนั ทาง พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ วรรณากร กรมพระนราธปิ - นักเรยี นวา ประพันธ์พงศ์ ทรงดัดแปลงลีลาท่าร�าใหม่ให้เป็นท่าร�าท่ีมาจาก กริ ยิ าทา่ ทางของชาตติ า่ งๆ ประกอบกบั ทา่ ทางสามญั ชนในบางเรอื่ ง • การฝก ปฏบิ ัตกิ ารแสดงนาฏศิลป กิริยาเคลื่อนไหวของตัวละครและดนตรีที่บรรเลงประกอบ มีประโยชนอ ยางไรบา ง การแสดง จะใชเ้ พลงหนา้ พาทยต์ ามเชอื้ ชาต ิ เชน่ เพลงเสมอลาว (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น เพลงเสมอพม่า เปน็ ตน้ ทา่ ร�าละครพันทางตอ้ งปรบั เปลย่ี นลลี า ไดอยางอสิ ระ) ใหเ้ ข้ากบั จังหวะและทา� นองเพลงของชาตติ ่างๆ สา� รวจคน้ หา Explore ละครเสภา เน้นลีลาท่าร�าให้เข้ากับบทเสภาท่ีมีส�าเนียงภาษาต่างๆ ใหน ักเรียนแบง กลมุ ออกเปน 5 กลมุ ใหน ักเรยี น เชน่ เสภาลาว เสภามอญ เปน็ ตน้ ทา่ รา� กต็ อ้ งปรบั ไปตามเชอ้ื ชาต ิ ศึกษา คนควา หาความรูเพ่ิมเตมิ เกย่ี วกบั แนวการ การตคี วามหมายทา่ รา� ของละครเสภานนั้ จะเหมอื นละครนอก คอื ฝก ปฏิบัติการแสดงนาฏศิลป จากแหลง การเรยี นรู มีแบบแผนท่งี ดงามเหมอื นกนั น่ันเอง ตางๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรยี น หอ งสมดุ ชมุ ชน อนิ เทอรเน็ต เปน ตน ในหัวขอ ที่ครูกาํ หนดให ๔) การแต่งกาย การแตง่ กายของละครรา� 1จะแต่งตามประเภทของละครร�าชนิดนั้นๆ ดังตอ ไปน้ี คอื ละครชาตร ี ละครนอก ละครใน ละครดกึ ดา� บรรพ ์ จะแตง่ กายยนื เครอื่ งพระ - นาง ละครพนั ทางจะ แตง่ กายตามลักษณะเชอื้ ชาติ และละครเสภาจะแตง่ กายตามท้องเรื่องคลา้ ยกับละครพนั ทาง กลุมที่ 1 คุณสมบัติของผูฝก ปฏบิ ตั ิ กลมุ ที่ 2 วิธีการคัดเลือกตวั พระ - ตัวนาง ๒.๒ แนวทางการฝึกปฏิบัติ กลมุ ท่ี 3 ขน้ั ตอนการฝก ปฏิบัติ ละครรา� มกี ารฝกึ ปฏบิ ตั ทิ เ่ี ปน็ ระเบยี บแบบแผน ตอ้ งอาศยั ความขยนั หมนั่ เพยี รและความอดทนสงู กลุมท่ี 4 การฝกอวัยวะ ทง้ั ผสู้ อนและผฝู้ กึ เปน็ การฝกึ ทกั ษะทตี่ อ้ งการความสมา�่ เสมอ มรี ะยะเวลาในการฝกึ ฝนทย่ี าวนาน กลมุ ที่ 5 บทเรยี นทีน่ ํามาฝกปฏิบัติ แนวทางในการฝกึ ปฏิบัติ ได้มวี ิธีถ่ายทอดสืบต่อกันมาอย่างมีระบบตามหลกั เกณฑ์ ดังนี้ อธบิ ายความรู้ Explain ๑) คณุ สมบัติของผ้ฝู ึกปฏิบตั ิ มีดังน้ี • มีความพรอ้ มทางด้านรา่ งกาย คอื มีรปู งามและมีทรวดทรงสณั ฐานสมสว่ น • มีพรสวรรค์ คอื มคี วามสามารถตดิ ตัวมาแตก่ า� เนิด ใหน ักเรยี นกลุมท่ี 1 - 2 ทไี่ ดศ กึ ษา คนควา • มปี ระสาทรับรูจ้ งั หวะทีถ่ กู ต้อง หาความรูเพ่ิมเติมเก่ียวกับแนวการฝกปฏิบัติ • มคี วามฉลาดในการแสดงท่ารา� การแสดงนาฏศลิ ป สง ตวั แทนกลมุ ละ 2-3 คน ออกมา • มีความสนใจและใส่ใจตอ่ การแสดงนาฏศิลป์ อธิบายความรใู นหวั ขอ คุณสมบตั ิของผูฝกปฏบิ ตั ิ และวิธีการคัดเลือกตัวพระ - ตัวนาง ตามท่ีไดศึกษา ๒) วธิ ีการคดั เลือกตัวพระ - ตวั นาง ในการฝึกปฏบิ ตั จิ ะแบ่งผูฝ้ ึกออกเปน็ ๒ พวก มาหนาชัน้ เรยี น จากนั้นครถู ามนักเรยี นวา คอื ตวั พระและตวั นาง ผทู้ จี่ ะไดร้ บั การฝกึ เปน็ ตวั พระจะตอ้ งมรี ปู รา่ งสงู โปรง่ ใบหนา้ รปู ไข ่ ชว่ งคอยาว ไหลล่ าด ขาทงั้ ๒ ข้าง ไมโ่ ก่ง ผวิ พรรณขาวสะอาดหมดจด ส่วนผู้ที่จะได้รับการฝึกเปน็ ตัวนาง • นักเรียนคิดวา รปู หนา และสรรี ะของตนเอง จะต้องมสี ัดส่วนสนั ทัด ต่�ากว่าตวั พระ ใบหนา้ กลม หรอื รปู ไข ่ สว่ นอ่นื ๆ ใชเ้ กณฑเ์ ดียวกบั ตวั พระ เหมาะสมทจ่ี ะฝก เปน ตวั ละครใด เพราะเหตใุ ด จึงเปน เชน นน้ั ๑86 (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยา งอสิ ระ) นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET รปู หนาในขอใดท่ีเหมาะสําหรับแสดงเปนตวั นาง 1 การแตงกายของละครรํา ในการแสดงละครแตละประเภท นักแสดงจะสวม เคร่ืองแตงกายท่ีแตกตางกนั เชน ละครชาตรี ในสมยั โบราณไมน ิยมใสเ สื้อ 1. 2. 3. 4. เพราะจะใชผ ูช ายแสดงทั้งหมด ตวั ยนื เครอ่ื งนุง สนับเพลา คาดเจยี ระบาด วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะผูท่จี ะแสดงเปน ตัวนางนน้ั มีหอยหนา หอยขาง สวมสงั วาล ทบั ทรวง กรองคอ สวมเทรดิ ในปจจบุ ัน ควรมรี ปู หนาท่ีกลม ชว งคอยาว ไหลลาด ขาท้งั 2 ขาง ไมโกงงอ จะแตงเครอื่ งละครสวยงาม ละครนอก จะแตง กายแบบสามัญชน ตวั นางจะนํา ผิวพรรณสะอาด และตองมสี ดั สวนท่สี นั ทดั กวา ตัวพระ ผา ขาวมามาหมเปนสไบ ตอมาจงึ ดัดแปลงรูปแบบการแตง กายใหด ูงดงามมากขึ้น โดยเลยี นแบบจากละครใน ละครใน จะแตงกายสวยงามตามแบบของกษตั รยิ ที่เรียกวา “ยืนเครอ่ื ง” ละครดึกดําบรรพ จะแตงกายแบบละครใน นอกจาก การแสดงบางเรอื่ งจงึ จะดัดแปลงเพือ่ ความเหมาะสมตามทองเรือ่ ง ละครพันทาง จะแตง กายตามลกั ษณะเชื้อชาติที่แสดง เชน แสดงเกย่ี วกับเร่อื งมอญ ก็จะแตง แบบมอญ แสดงเก่ยี วกับเร่อื งพมา กจ็ ะแตง แบบพมา เปน ตน ละครสงั คตี จะแตง แบบสมยั นยิ ม โดยคํานึงถึงฐานะของตัวละครตามทองเร่อื ง เปน ตน 186 ค่มู อื ครู กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๓) ขนั้ ตอนในการฝกึ ปฏบิ ตั ิ ผทู้ เ่ี ขา้ ฝกึ ปฏบิ 1ตั ทิ า่ รา� จะตอ้ งเขา้ พธิ ไี หวค้ รเู พอ่ื มอบตวั ใหนกั เรยี นกลมุ ที่ 3 - 4 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรเู พม่ิ เติมเกย่ี วกับแนวการฝกปฏิบัติ เปน็ ศษิ ย ์ ขออนญุ าตฝกึ ทา่ รา� และขอพรตอ่ เทพเจา้ แหง่ ศลิ ป ์ ครอู าจารย์ใหป้ ระสทิ ธปิ์ ระสาทความจา� การแสดงนาฏศิลป สง ตัวแทนกลมุ ละ 2 - 3 คน ความคิดสร้างสรรค์ ปกป้องภัยพิบัติ และขอ ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอ ขนั้ ตอนการฝก ปฏบิ ตั ิ ขมา ถา้ หากเกิดความผดิ พลาด หรอื ล่วงเกินใน และการฝกอวยั วะ ตามท่ไี ดศึกษามาหนาชั้นเรยี น ขณะฝกึ การฝกึ จะเริ่มต้นในวนั พฤหสั บดี ซงึ่ ถือ จากนน้ั ครถู ามนักเรยี นวา กนั วา่ เปน็ วนั ครทู มี่ ฤี กษง์ ามยามด ี ครจู ะจบั มอื ให้ ศษิ ยเ์ ร่มิ ตน้ ดว้ ยการดดั มอื ดดั แขน ดดั ขา เพือ่ • การเขา พิธไี หวครมู คี วามสําคัญอยา งไร ใหพ้ รอ้ มในการฝึกซ้อมละครร�าตอ่ ไป และกอ ใหเกิดประโยชนอยา งไร (แนวตอบ เปน การปฏิบตั ทิ ีแ่ สดงใหเหน็ ถงึ ๔) การฝกึ อวยั วะ เมอื่ ทา� พธิ ไี หวค้ รู ความเคารพตอเทพผูอ บรมครูแหงศิลปะ การแสดงทัง้ มวล ระลกึ ถึงพระคณุ ของ และเรม่ิ ดดั มอื ดดั แขน ดดั ขาแลว้ ผแู้ สดงจงึ เรมิ่ ครูบาอาจารย ผซู ่ึงประสทิ ธิประสาทความรู ฝึกอวยั วะทกุ สว่ นของรา่ งกาย เพ่อื ให้เกดิ ทกั ษะ การฝกึ หดั นาฏศลิ ป์ ผฝู้ กึ ควรเรม่ิ ตน้ จากการฝกึ ตงั้ วง จบี มอื ทางนาฏศิลปใ ห ทั้งครใู นปจจุบันและครูที่ ในการแสดง โดย•ฝ เึกรม่ิอวตยัน้ วจะาตกา่กงาๆร ฝดกึ งั ตนง้ั ี้มอื ตงั้ วง จบี มซงึ่อื เป มน็ ว้สนว่ นมสอื�าค คัญลทา่ที ย�าใมหอื ้ท2 ่ากรรา� ถากูยตมอ้ อื งต แามทตง�ามแอืหน อ่งนั เปน็ ลวงลับไปแลว ประโยชนท่ีไดร บั จากพธิ ี ส่วนสา� คัญเพื่อให้ท่ารา� ถกู ต้องตามตา� แหนง่ ไหวครู คือ สามารถทําใหเ กดิ ความสามคั คี เปน อนั หนงึ่ อันเดยี วกันและนาํ วิชาความรู • ฝกึ การเคล่ือนไหว รจู้ ักการใชพ้ ลังควบคุมกลา้ มเนื้อให้เคล่ือนไหวตามตอ้ งการ ทเ่ี รียนมาไปถา ยทอดไดดว ยความมนั่ ใจ ได้ฝึกให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ยืดหยุ่น รู้จักการทรงตัว รู้จักจังหวะ เพื่อให้การเคลื่อนไหวร่างกาย โดยไมต อ งกลวั วา “ผดิ คร”ู เปน การสรา งศษิ ย ประสานสัมพนั ธก์ บั จงั หวะ ใหม คี วามเชื่อม่นั ในวิชาความรทู ไ่ี ดเ รยี นมา และเกิดความสบายใจหากไดทําสิง่ ใด • ฝึกการใช้ล�าตัว เพ่ือให้ผู้ฝึกมีล�าตัวอยู่ในลักษณะตรง ตึงตัว ตึงเอว (ดันเอว) ผดิ พลาดไปก็เปน การขอขมาคร)ู ทับหน้า (เก็บหน้าท้อง) หย่อนอก ไหล่ และอกผาย แต่ไม่แอ่นจนเกินไป ศีรษะตรง เปิดคาง (ใบหน้าเงย) ทกุ สว่ นของรา่ งกายจะอยู่ในลกั ษณะพองาม ไม่ตงึ หรอื หย่อนจนเกินไป • “การมว นมอื ” สามารถปฏิบตั ไิ ดอยางไร (แนวตอบ สามารถปฏิบตั ิพรอมกนั ได 2 มือ • ฝกึ การเคลอื่ นไหวลา� ตวั สว่ นเหนอื บน้ั เอวขน้ึ ไป โดยการเอยี งตวั ทางซา้ ย - ทางขวา หรือทีละมอื กไ็ ด เชน ตอ งการมวนมือขวา เรียกวา่ “กล่อมตวั ” การใช้กลา้ มเนอื้ ส่วนใตอ้ ก ตึงเอว (เกลียวหน้า) การยกั ตวั โดยวธิ ีเคลือ่ นไหว ใหใชมือขวาจบี หงายระดับวงหนา ตอ ไป อย่างน่มุ นวล ด้านข้างของลา� ตวั สว่ นบน (เกลยี วขา้ ง) ยักเอวเขา้ - ออก ทงั้ ซ้ายทั้งขวา ตอ้ งฝกึ คอ ยๆ เคลอื่ นจีบหงายนัน้ ใหค วาํ่ ลง กระท�าอย่างตอ่ เนื่อง แลวคอยๆ ปลอ ยจบี มือต้งั ข้ึนระดบั วงหนา กิริยาของการมวนมอื จะเร่ิมตน ดว ยการ • ฝึกการใช้เท้าขั้นพื้นฐาน โดยเร่ิมจากการประเท้า รู้จักการยืด - ยุบ การย่อตัว จบี หงายทกุ ครง้ั แลว จงึ ตอ ดว ยทา ราํ เปน ตน ) เป็นการควบคุมกล้ามเนอื้ การยกเท้า กา้ วเท้า จรดเทา้ กระทุ้งเท้า กระดกเท้า และถดั เทา้ ๕) บทเรียนที่น�ามาฝึกปฏิบัต ิ บทเรียนที่น�ามาฝึกปฏิบัติท่าร�าจะต้องมีท้ังเพลงช้า เพลงเรว็ เพราะจะทา� ใหผ้ ฝู้ กึ สามารถปฏบิ ตั ทิ า่ รา� ไดถ้ กู ตอ้ งตามแบบแผน บทเรยี นเพลงชา้ - เพลงเรว็ มคี วามส�าคัญและเป็นประโยชน์ ดงั น้ี ๑87 บูรณาการเชอื่ มสาระ เกร็ดแนะครู จากการศกึ ษาเกย่ี วกับข้ันตอนการฝกปฏบิ ัติและการฝก อวัยวะ สามารถ ครูควรเนน ใหเ ห็นวาการดัดมอื ดัดแขน ดัดขาเปน การฝก แสดงโขนขนั้ แรก เช่ือมโยงกบั การเรียนการสอนในกลมุ สาระการเรียนรสู ขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ซ่งึ ในขัน้ ตอนนี้ ผูฝ ก จะตอ งใชความอดทนและมีความพยายามมาก เพือ่ ใหเกิด ในเรื่องการเคลอื่ นไหวรางกายและการฝกอวัยวะในการรา ยราํ โดยฝกอวยั วะ ความออ นตัวของกลามเน้ือ ตางๆ ของรา งกาย เริม่ จากการตงั้ มือในลกั ษณะตางๆ ฝก การเคล่อื นไหว ยดื หยนุ กลา มเนือ้ การทรงตัว ฝกการใชล าํ ตวั เพอื่ ใหมลี าํ ตวั ตงั้ ตรง ไหล นกั เรียนควรรู และอกผายออก ฝกการเคล่ือนไหวลาํ ตวั สวนเหนอื บ้นั เอวขนึ้ ไป โดยการ เอยี งซาย เอยี งขวา การยกั ตัว และฝก การใชเทาข้ันพ้ืนฐาน โดยเรม่ิ จาก 1 เทพเจาแหงศลิ ป เทพเจาซึง่ เปนทเ่ี คารพบชู าของบุคคลทอี่ ยใู นวงการนาฏศลิ ป การประเทา ยืด - ยบุ การยอ ตวั เพ่อื เปน การควบคุมกลามเนอ้ื ซึง่ สง่ิ เหลา น้ี ไดแก พระอศิ วร พระนารายณ พระพรหม พระอินทร พระพฆิ เนศ พระวษิ ณกุ รรม ผูฝ กปฏบิ ัตจิ ะตองกระทาํ เปนประจําอยา งตอ เนื่อง เพราะจะทาํ ใหอ วยั วะ พระปรคนธรรพ พระปญ จสีขร และพระพิราพ ทกุ สว นสามารถทาํ งานไดอ ยา งเตม็ ทแ่ี ละมปี ระสทิ ธภิ าพมากยง่ิ ขน้ึ ซง่ึ จะตอ ง อาศัยความขยันหม่นั เพยี รและความอดทนเปนอยางมาก เม่ือนํามาประกอบ 2 คลายมือ สามารถทาํ พรอ มกันท้ัง 2 มือ หรอื มือเดียวก็ได เชน การคลายมอื การรายราํ แลว กจ็ ะไดท าราํ ทม่ี ีความสวยงาม พรอมกนั 2 มอื เร่ิมจากการจีบคว่าํ แลวคอยๆ พลิกขอมอื มาทางนิ้วหัวแมมือ จนมอื ท้งั 2 ขาง หงายข้นึ จงึ ปลอยมือออกจากกัน ซ่งึ การคลายมือจะเริ่มตนดว ย การจบี คว่ําเสมอ คมู่ อื ครู 187 กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 5 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู • มปี ระโยชน์ในการจัดรปู ทรง สดั สว่ น สณั ฐานใหไ้ ดม้ าตรฐาน มีความงามตาม เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั แนวการฝก ปฏบิ ตั กิ ารแสดงนาฏศลิ ป แบบแผนนาฏศลิ ป์และละครร�า สงตัวแทนกลมุ ละ 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู • ฝึกอวัยวะทุกส่วนให้ถูกต้อง ในหวั ขอ บทเรยี นทน่ี าํ มาฝก ปฏบิ ตั ิ ตามทไ่ี ดศ กึ ษามา ตามแบบแผนของทา่ รา� และใหม้ คี วามสมั พนั ธก์ นั หนาชัน้ เรียน จากน้ันครถู ามนักเรียนวา เชน่ การตงึ เอว ตงึ ไหล ่ การทรงตวั แขน ขา มอื เปน็ ตน้ • ผทู ีเ่ รมิ่ ตนการเรียนนาฏศลิ ปค วรเลอื กใช • การฝกึ อยา่ งสมา�่ เสมอจะทา� ให้ เพลงใดมาฝก ปฏิบัติ เพราะเหตใุ ด วงและเหลี่ยมเคยชิน ได้สัดส่วน เกิดทักษะใน จึงเปนเชนนนั้ การรา� (แนวตอบ เพลงชา - เพลงเร็ว ซ่ึงเปน เพลง • สามารถฟงั และวเิ คราะหบ์ ท- ทจี่ ดั อยใู นประเภทเพลงฝก หดั การราํ นาฏศลิ ป เพลง ดนตรี จงั หวะหน้าทับไดอ้ ยา่ งถูกต้อง เบอ้ื งตน โดยเฉพาะผฝู กหดั ท่ไี ดร บั คดั เลอื ก • สามารถปฏบิ ตั ทิ า่ รา� ไดถ้ กู ตอ้ ง ใหเ ปนตัวพระ - นาง จะตอ งผานการฝกหดั ผู้ฝึกหัดนาฏศิลป์เบื้องต้นจะต้องฝึกหัดท่าร�าอย่าง งดงามตามแบบแผน เบือ้ งตนในการราํ เพลงชา - เพลงเรว็ กอ น สมา่� เสมอ เพื่อให้วงและเหลี่ยมไดส้ ัดส่วนสวยงาม นอกจากเพลงทเ่ี ลอื กมาเปน็ บทเรยี น ผเู รยี นราํ จะตอ งฝก หดั ราํ ใหค ลอ งแคลว แมน ยาํ และสวยงาม เพ่ือเปนพื้นฐานในการเรียน เกพ็คื่อือฝทึก่าทร�าักแษมะ่บกทาร รซ�า่ึงในหลมะาคยรถรึง�า แทล่า้วร �าสท่ิง่ีใสช�า้ปครัญะกทอ่ีจบะบตท้องรเ้อรง1ียทน่ีขรึ้นู้เพต้น่ือกดา้วรยร �า“ทเท่ีถพูกนตม้อปงอฐีกมปพรระหกมาสรห่ีหนนึ่้าง เพลงอนื่ ๆ ตอ ไป) สอดสรอ้ ยมาลาเฉดิ ฉนิ …” ซงึ่ ทา่ รา� แมบ่ ทนส้ี บื เนอื่ งมาจากภาพลายเสน้ ในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ - พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช (รัชกาลท ี่ ๑) ที่มีบทรอ้ งแตกต่างกนั อยู่ ๓ บท ไดแ้ ก่ • “เบิกโรง” หมายถงึ ส่ิงใด • แมบ่ ทเลก็ หรอื แมบ่ ทนางนารายณ ์ ซง่ึ จะอยใู่ นระบา� เบกิ โรง ชดุ นารายณป์ ราบนนทก (แนวตอบ การแสดงชุดสนั้ ๆ กอ นการแสดง มเปา็นตทรฐ่าารน�าทมจ่ีาะตตรอ้ฐงาฝนกึ รหา� ใรหือค้ แลมอ่ ่ทงก่าอ่ นใชไป้ทฝ�ากึนทอา่งรเา�พในลงระชดมบั ตสลงู า แดม บ่มทีลเีลลาก็ อจ่อะปนรชะ้อกยอ บนดุว่ม้ ยนทวา่ลร า� เ๑ป๘็น ทท่าา่ รรา��า2 ชุดใหญท่ีเปน เร่ืองราว ถือเปนประเพณนี ิยม • แม่บทใหญ่ เป็นท่าร�ามาตรฐาน ผู้ท่ีฝึกร�าแม่บทเล็กได้ดีแล้ว ก็จะมาฝึกร�า มาแตสมยั โบราณ โดยมีจุดมงุ หมาย แมบ่ ทใหญ ่ ผฝู้ กึ จะรา� ตามบทขบั รอ้ ง ขณะเดยี วกนั กต็ อ้ งใชส้ ว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย ตง้ั แตศ่ รี ษะจรด เพื่อใหเ กดิ ความเปนสริ มิ งคลแกผชู ม ปลายเทา้ ใหส้ อดคลอ้ งกลมกลนื ไปกบั ทว่ งทา� นองและจังหวะของเพลงบรรเลง โดยแม่บทใหญ่จะ และผูแ สดง สามารถแบงออกเปน 2 ประเภท ประกอบไปด้วยทา่ รา� ๖๖ ท่า คือ เบกิ โรงดว ยการละเลน และเบกิ โรงดว ย • แมบ่ ทนาฏราช เปน็ แมบ่ ทจากเรอื่ งพระภรตเบกิ โรง พระราชนพิ นธ์ในพระบาท- ระบาํ รํา ฟอน) สมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว (รชั กาลท ่ี ๖) ในการฝึกท่าร�าเบื้องต้น จะน�าท่าร�าแม่บทเล็กและแม่บทใหญ่มาเป็นบทเรียน เพ่ือ • ทา รําเบอ้ื งตน ในการราํ เพลงชา - เพลงเรว็ ฝึกการใชบ้ ท หรือตีบท และใหผ้ ฝู้ กึ ท่ารา� ในชุดแมบ่ ทสามารถน�าไปประยุกต์ใชใ้ นการคดิ ประดษิ ฐ์ ราํ แมบ ทเลก็ และราํ แมบทใหญ สามารถนํามา ประยกุ ตใ ชกบั การแสดงนาฏศิลปช ดุ อ่นื ๆ ไดหรือไม อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยา งอิสระ) ทา่ ร�าใหเ้ หมาะสมกบั บทบาทของตัวละครในการแสดงละครรา� ได้ ๑88 นกั เรียนควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 บทรอง ที่นิยมนํามาใชรองประกอบระบํา ราํ ฟอน ประกอบการแสดงโขน ใหน กั เรยี นรวบรวมทาราํ ทงั้ 18 ทา ในการแสดงรําแมบทเล็ก ละคร สามารถจําแนกออกเปน 3 ประเภท คือ มาจัดทาํ เปนสมดุ ภาพ พรอ มเขียนอธิบายทา รํา ลงกระดาษรายงาน ตกแตง ใหส วยงาม นาํ สงครูผูส อน 1. บทรอ งทคี่ ดั เลอื กและตดั ตอนมาจากบทละคร หรอื บทวรรณคดี เปน บทรอ ง ท่มี กี ารนํามาเปน บทรอ งมากกวาบทประพนั ธป ระเภทอ่นื ๆ กจิ กรรมทา ทาย 2. บทรอ งทีเ่ ปน ของเกา ไมท ราบนามผแู ตง ใหนักเรียนท่มี ีความสามารถดา นนาฏศิลปออกมาสาธิตการรายรํา 3. บทรอ งทีม่ ีการประพนั ธข ้ึนใหมแ ละเปน ไปตามเจตนารมณข องผูประพันธ ในเพลงชา - เพลงเร็ว แมบ ทเลก็ หรือแมบ ทใหญ ตามความถนัด 1 เพลง 2 18 ทารํา ทาราํ ท่ปี รากฏอยใู นการรําแมบทเล็ก ซึ่งเปน การแสดงท่ตี ัดตอน ใหเ พือ่ นชมหนา ชัน้ เรยี น โดยมคี รูเปน ผูชี้แนะความถกู ตอ ง มาจากบทละครในเร่ืองรามเกียรติ์ ตอนนารายณป ราบนนทก ซง่ึ ประกอบไปดวย ทารํา ดังตอ ไปนี้ ทา เทพนม ทา ปฐม ทา พรหมส่หี นา ทาสอดสรอยมาลา ทา กวาง- เดนิ ดง ทา หงสบ นิ ทากินรนิ เลยี บถ้ํา ทาชานางนอน ทา ภมรเคลา ทา แขกเตา - ทา ผาลาเพยี งไหล ทาเมขลาลอ แกว ทา มยุเรศฟอน ทาลมพดั ยอดตอง ทา พรหมนมิ ติ ทาพิสมยั เรียงหมอน ทา มจั ฉาชมสาคร และทาพระสี่กรขวางจกั ร 188 คมู่ อื ครู กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๒.๓ การประยุกต์ศลิ ปะแขนงอ่นื ๆ กับการแสดง ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงลเิ กใหน กั เรยี นชม การแสดงละคร เปน็ ศนู ยร์ วมของศลิ ปะหลายแขนงทน่ี า� มาเปน็ องคป์ ระกอบทส่ี า� คญั ไดแ้ ก ่ ฉาก จากนน้ั ครถู ามนักเรยี นวา เคร่ืองแต่งกาย แสง ส ี เสยี ง และอุปกรณต์ ่างๆ เปน็ เครือ่ งช่วยสรา้ งบรรยากาศ ส่อื ความหมาย และอารมณข์ องการแสดง เปน็ การประยกุ ตศ์ ลิ ปะแขนงตา่ งๆ มาสนบั สนนุ ใหล้ ะครเกดิ ความนา่ สนใจ • นกั เรยี นคดิ วาความสวยงามของ และสมจรงิ มากย่งิ ข้ึน ดงั นี้ การแสดงลเิ กอยทู ่ีส่งิ ใดบาง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอิสระ) ๑) ฉาก ละครรา� แตเ่ ดมิ ไมไ่ ดส้ นใจ สา� รวจคน้ หา Explore เร่อื งฉากมากนกั มงุ่ แสดงแตท่ า่ รา� การขับรอ้ ง และการบรรเลงดนตร ี สว่ นฉากเปน็ เพยี งเขตกน้ั ระหว่างเวทีแสดงและหลังเวทีเท่านั้น โดยใช้ ใหนกั เรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรูเ พิ่มเตมิ ผนื ผา้ วาดเปน็ รปู คฤหาสน ์ พระราชวงั ในการแสดง เกย่ี วกบั การประยกุ ตศ ลิ ปะแขนงอน่ื ๆ กบั การแสดง ครง้ั หนงึ่ มเี พยี งฉากเดยี วกส็ ามารถเลน่ ไดต้ ลอด ฉากละครควรมีรูปแบบท่ีสัมพันธ์กับประเภทของละคร จากแหลง การเรยี นรูตา งๆ เชน หอ งสมุดโรงเรยี น ท้ังเรื่อง ไม่ว่าเหตุการณ์ในละครนั้นจะเกิดข้ึน และเคร่ืองแตง่ กาย หองสมดุ ชุมชน อนิ เทอรเน็ต เปนตน ในหวั ขอ ที่ ณ สถานทแี่ หง่ ใดกต็ าม ซง่ึ คลา้ ยกบั ฉากของลเิ ก ทม่ี าของภาพ : คลงั ภาพ ACT. ครกู ําหนดให ดงั ตอไปนี้ ปัจจุบันฉากละครต้องมีรูปแบบท่ีสัมพันธ์กับการแสดงละครแต่ละประเภทและเครื่อง- แตง่ กาย เช่น การแสดงละครพันทาง ต้องจัดฉากตามเน้ือเรอ่ื งที่แสดงถึงชนชาติต่างๆ ถ้าตัวละคร 1. ฉาก แต่งกายแบบพม่า ฉากละครก็ต้องจัดเป็นศิลปะแบบพม่า ทั้งนี้ ในการจัดฉากและการให้สี 2. เคร่อื งแตงกาย เครือ่ งตกแตง่ ฉาก ตอ้ งระวงั อย่าใหต้ วั ละครแต่งกายสเี ดยี วกับฉากละคร หรอื เครอื่ งเรือน เพราะ 3. แสง สี เสยี ง 4. อุปกรณที่ใชในการแสดง ฉากจะกลืนกับตัวละคร ต้องใช้สตี ดั กนั เพือ่ ใหต้ วั ละครเด่น สามารถมองเหน็ ไดใ้ นระยะไกล อธบิ ายความรู้ Explain นอกจากฉากจะช่วยบอกสถานที่ ภายในเร่ืองแล้ว ฉากยังมีหน้าท่ีช่วยสร้าง ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั การประยกุ ต บรรยากาศใหแ้ กก่ ารแสดง ดว้ ยการชว่ ยสนบั สนนุ ศิลปะแขนงอนื่ ๆ กบั การแสดง ในหวั ขอฉาก ตามที่ ใหก้ ารแสดงดสู มจรงิ นา่ ตน่ื เตน้ ตระการตา เชน่ ไดศึกษามา จากนัน้ ครูถามนกั เรยี นวา ฉากพระราชวงั น�้าตก ลา� ธาร ถ้า� ป่าไม ้ เปน็ ต้น ๒) เครอื่ งแตง่ กาย ละครรา� แตเ่ ดมิ • นกั เรยี นคดิ วา การแสดงละครควรมีการนํา ตัวละครจะแต่งกายอย่างคนธรรมดาสามัญ ฉากเขา มาประกอบการแสดงหรอื ไม อยา งไร ถ้าเป็นตัวนางจะใช้ผ้าขาวม้าห่มสไบเฉียง (แนวตอบ ควร เพราะฉากจะแสดงใหเ ห็นถงึ ผแู้ สดงเป็นตวั ประกอบจะเขียนหน้า เชน่ เขียน สถานทที่ ก่ี ลา วถงึ ในเนอื้ เรอ่ื งวา เปน สถานทใ่ี ด หนา้ ยกั ษ์ เขยี นหน้าลงิ เปน็ ตน้ เกดิ ในยคุ สมยั ใด และจะชว ยสรา งบรรยากาศ เครื่องแต่งกายของตัวละคร สามารถช่วยบ่งบอกฐานะ ในการแสดงใหม ีความสมจริงมากยงิ่ ขึ้น) ของตัวละครได้ ทีม่ าของภาพ : คลงั ภาพ ACT. ๑89 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกรด็ แนะครู จากภาพเหมาะแกการนาํ ไปใชเ ปนฉากแสดงละครประเภทใด ครคู วรเนนใหเ หน็ วาการแสดงละครท่ดี ีนอกจากจะมีเน้อื เร่ืองท่ีดแี ลว 1. ละครใน สว นประกอบสาํ คญั อีกอยางหน่งึ ท่ขี าดไมได กค็ อื “ฉากละคร” เพราะฉากละคร 2. ละครพดู ทสี่ รางข้นึ อยา งสมจริงตามเหตกุ ารณทีป่ รากฏอยูในเน้ือเรอ่ื ง ถูกตอ งตามกาลเวลา 3. ละครเสภา และยุคสมยั จะทาํ ใหผชู มไดร ับอรรถรสจากการแสดงละครอยา งเต็มท่ี พรอมท้ัง 4. ละครสังคีต ยกตวั อยา งฉากละครในรปู แบบตา งๆ ใหน กั เรยี นดู เพอื่ สรา งความเขา ใจใหแ กน กั เรยี น มากย่ิงขึน้ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เพราะฉากมีความสวยงามและยง่ิ ใหญ อลงั การ เหมาะสําหรับนํามาใชประกอบการแสดงละครใน เชน การแสดง เรอื่ งรามเกียรต์ิ เปน ตน นอกจากน้ี การแตงกายของการแสดงละครใน ยงั มคี วามสวยงามตระการตา ถานาํ มารวมกันแลว กจ็ ะทาํ ใหก ารแสดง มีความสวยงามมากย่ิงขึ้น คมู่ อื ครู 189 กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั การประยกุ ต การแสดงละครชาตรคี รง้ั สมยั อยธุ ยา มตี วั ละครเพียง ๓ ตัว คอื ตัวพระ (ตวั นายโรง) ศลิ ปะแขนงอน่ื ๆ กบั การแสดง ในหวั ขอ เครอ่ื งแตง กาย ตัวนาง และตัวตลก ซ่ึงจะใช้ตัวละครเป็นชายล้วน ตัวพระแต่งกายแบบยืนเคร่ือง นุ่งสนับเพลา แสง สี เสียง และอปุ กรณท ่ใี ชใ นการแสดง ตามท่ีได เชงิ กรอมถงึ ขอ้ เท้า นงุ่ ผา้ จีบโจงหางหงส ์ ไม่สวมเส้ือ สวมเครือ่ งอาภรณ์ ศรี ษะสวมเทรดิ สา� หรบั ศกึ ษามา จากน้นั ครถู ามนักเรียนวา ตวั นางใชผ้ า้ พาดหลงั เพอื่ ใหท้ ราบวา่ เปน็ ตวั นาง เนอื่ งจากละครชาตรผี แู้ สดงเปน็ ชายลว้ น สว่ นตวั - ตลกแตง่ กายแบบธรรมดา ในยคุ ปจั จบุ นั จะแตง่ เครอื่ งละครประณตี งดงาม เรยี กตามภาษาชาวบา้ นวา่ • เพราะเหตใุ ดการแสดงโขนจงึ ตอ งมกี ารจาํ แนก “เข้าเครือ่ งหรือยืนเคร่อื ง” โดยในรชั กาลพระเจ้าอย่หู วั บรมโกศ มกี ารแสดงละครผ้หู ญิงซึ่งเรียกว่า สขี องตวั ละครใหมสี ีสนั ที่แตกตางกันออกไป “ละครใน” การแต่งกายยนื เครื่องจึงให้ตวั ละครสวมเส้ือ (แนวตอบ เพราะเปนการจาํ แนกหวั โขนตามสี เครอ่ื งแตง่ กายโขนละครทเ่ี รยี กวา่ “แตง่ ยนื เครอื่ ง” ไดม้ กี ารเลยี นแบบมาจากเครอ่ื งทรง ของสกี ายและใบหนา เพ่ือใหช างทาํ หัวโขน ของพระมหากษตั รยิ แ์ ละพระบรมวงศานวุ งศต์ ามลกั ษณะของตวั ละครรา� ไดแ้ ก ่ ตวั พระ ตวั นาง ตวั ยกั ษ ์ สามารถรชู อื่ รปู แบบ และเครือ่ งประดบั ของ ตัวลิง และตัวประกอบ นอกจากนี้ เครื่องแต่งกายของละครยังมีเคร่ืองสวมศีรษะด้วย กล่าวคือ หวั โขนทีม่ เี ปนจํานวนมาก ดว ยการเขยี น เครอ่ื งสวมศรี ษะสา� หรบั ละครตวั พระ ไดแ้ ก ่ ชฎา ตวั นาง ไดแ้ ก ่ มงกฎุ รดั เกลา้ และกะบงั หนา้ ระบายสีพื้นลงบนสวนใบหนาของหัวโขน เคร่อื งสวมศรี ษะโขน ไดแ้ ก่ ศรี ษะเทพเจา้ พระฤๅษี ยักษ์ ลงิ และศรี ษะสตั ว์ต่างๆ สว่ นตวั ละคร เพอื่ ใหส ามารถแยกแยะไดงายขึ้น) ทเี่ ป็นมนษุ ยจ์ ะสวมศีรษะอย่างละครใน และมธี รรมเนยี มจารีตในการกา� หนดสขี องเครื่องแตง่ กาย พเชรน่ ะ รตาวั มล1แะตค่งรสทีเเ่ี ขปยีน็ วต วั พเอระกลนกั ยิ ษมมแณต2ง่ แ์ สตแี ง่ ดสงีเ หตลวั อืละงค นรทางเี่ ปสดีน็ าพ3แรตะง่มสหแี าดกงษ ตัทรศยิ กน์ ัณยิ มฐ4์แแตต่งง่ สสีเมี ขว่ ียงว ห เรปอื ็นสตนี ้นา้� เงนิ • นกั เรียนรูจกั เครอื่ งสวมศีรษะในภาพหรือไม ถา รจู กั สามารถพบเหน็ ไดจากการแสดง ๓) แสง สี เสยี ง เปน็ การใชอ้ ปุ กรณแ์ ละความรทู้ างดา้ นเทคนคิ มาชว่ ยสรา้ งบรรยากาศ ประเภทใด และเวลาใหเ้ ข้ากับท้องเรอ่ื งในแตล่ ะฉาก แสง ตอ้ งประสานกบั ส ี เพราะมหี นา้ ท่ี ให้ความสว่าง เช่น การแสดงละครร�าจะมี (แนวตอบ จากภาพเปนเครื่องสวมศีรษะที่ สปอตไลต์ฉายเคลื่อนที่ตามตัวละครไปขณะท่ี เรยี กวา “เทรดิ ” เปน เครือ่ งสวมศรี ษะ ตัวละครก�าลังร่ายร�าอยู่บนเวที หรือสาดแสง ประเภทหนงึ่ ที่นํามาใชประกอบการแสดง เฉพาะจดุ หรอื เฉพาะตวั ละครทตี่ อ้ งการใหเ้ ดน่ ชดั โนราของภาคใต การปรับแสงเพื่อสร้างบรรยากาศ • จากภาพนักเรยี นมองเหน็ ถงึ สงิ่ ใด เชน่ การกะพริบไฟ ลดไฟ ถา้ ตัวละครมีบทท่ีจะ ตอ้ งปิดไฟ แสงท้ังเวทจี ะลดวูบลง แต่จะดับไฟ ทั้งหมดจนมืดไม่ได้ ต้องหร่ีไฟเพ่ือให้ผู้ชม มองเห็นตัวละครบนเวทไี ด้ เปน็ ตน้ แสงท่ีใช้ประกอบการแสดงจะช่วยสร้างบรรยากาศ และ (แนวตอบ ความสวยงามของฉาก แสง สี ทน่ี าํ มา อารมณ์ในการแสดงละคร ใชประกอบการแสดงละครท่ีมีความสวยงาม ที่มาของภาพ : คลงั ภาพ ACT. ดึงดูดใหผ ชู มสนใจและมอี ารมณรว มไปกับ การแสดง) ๑9๐ นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอ ใดกลาวถกู ตอ งเกีย่ วกับคําวา “ถนมิ พมิ พาภรณ” 1 พระราม มีพระวรกายสเี ขยี ว อาวุธประจําพระองค คอื ศรวเิ ศษ 3 เลม ไดแ ก 1. เครอ่ื งประดบั ศีรษะ เชน ชฎา มงกุฎ รดั เกลา กระบังหนา เปน ตน ศรพรหมมาตร ศรอัคนิวาต และศรพลายวาต สวมมงกฎุ เดนิ หน มงกฎุ ชยั 2. เสือ้ ผา เครอ่ื งนุง หมของตัวละครทเี่ ลยี นแบบมาเครอื่ งทรงของกษัตรยิ หรือพระมหามงกุฎ และตอนทรงพรตสวม “ชฎายอดฤๅษ”ี 3. เครอ่ื งประดับตามแตฐ านะของตวั ละคร เชน แหวนรอบ ทองกร เปน ตน 2 พระลักษมณ มพี ระวรกายสที อง อาวธุ ประจาํ พระองค คอื ตรีศลู 4. อาวธุ ท่ใี ชในการตอสกู ัน เชน ศร พระขรรค จักร ตรศี ูล คทา เปน ตน (หลาวสามงาม) พาหนะของพระองค คอื โคอุศุภราช สวมมงกุฎเดินหน มงกุฎชยั หรอื พระมหามงกฎุ ตอนทรงพรตสวม “ชฎายอดฤๅษี” วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะคาํ วาถนิมพิมพาภรณ มาจากคาํ วา 3 นางสีดา เปน ตวั ละครในเร่ืองรามเกยี รติ์ เปนบตุ รของทศกณั ฐกับนางมณโฑ และเปน มเหสขี องพระราม “พิมพา” และ “อาภรณ” ซ่งึ หมายถึง เครอื่ งประดับตกแตงตามรา งกาย สวนใหญจ ะเปนเคร่อื งประดบั ถมและลงยา เชน กรองคอ สะอ้งิ พาหรุ ดั กาํ ไลเทา เปน ตน 4 ทศกัณฐ เปนยักษร ูปงาม มี 10 หนา 20 มือ มพี ระวรกายสเี ขยี ว อาวธุ ประจาํ พระองค คือ ศร พระขรรค จักร หอก ตรีศลู คทา งาว พะเนิน (คอ นขนาดใหญ ใชส าํ หรับตีเหล็ก หรือหิน) โตมร (อาวุธสําหรบั ซัด, หอกซัด, สามงามทมี่ ปี ลอกรปู ใบโพสวมอย)ู และเกาทัณฑ (ลกู ธน)ู สวมมงกุฎชัย 190 คู่มอื ครู กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ นอกจากแสงจะสร้างบรรยากาศและอารมณ์ในการแสดงละครแล้ว แสงยังช่วยสร้าง ครชู กั ชวนนกั เรยี นสนทนาเกย่ี วกบั การวเิ คราะห ความมีชีวิตชีวาให้แก่ฉากและการแสดง ซ่ึงสามารถกระตุ้นการตอบสนองทางอารมณ์ของมนุษย์ วจิ ารณก ารแสดงละครราํ จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา ไดเ้ ปน็ อย่างดี แสงสามารถบอกเวลาได้วา่ เวลานี้เปน็ เวลาเชา้ สาย บา่ ย เยน็ หรือกลางคนื หรือ ฉากนี้เกดิ ขน้ึ ในฤดกู าลใด เช่น บรรยากาศในฤดูหนาว แสงสที ี่ปรากฏบนเวทีบางทีอาจจะเปน็ โทน • นกั เรียนเคยวิเคราะห วิจารณ สฟี า้ หรอื สนี า�้ เงนิ แตถ่ า้ เปน็ ฤดรู อ้ นจะใชโ้ ทนสสี ม้ หรอื สแี ดง เปน็ ตน้ นอกจากน ี้ แสงยงั ชว่ ยนา� เสนอ การแสดงละครรําบา งหรอื ไม อยา งไร อารมณ์ของตัวละครในชว่ งนน้ั ๆ ด้วย เชน่ เศร้า เสียใจ ตืน่ เต้น ดีใจ เปน็ ต้น (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอิสระ) “ส”ี กเ็ ปน็ สง่ิ ทม่ี อี ทิ ธพิ ลมากสง่ิ หนงึ่ ในการจดั แสงสา� หรบั เวทกี ารแสดง สสี ามารถสรา้ ง บรรยากาศและบอกอารมณ์ของการแสดงละครในช่วงนั้นๆ ได้ เช่น แสงสีอ่อนๆ จะช่วยสร้าง สา� รวจคน้ หา Explore บรรยากาศทเี่ ป็นสุข สบายใจ แสงสเี ข้มอาจสร้างบรรยากาศทรี่ อ้ นแรง หรือเยอื กเย็นได้ เป็นตน้ สว่ น “เสียง” ประกอบการแสดง จะชว่ ยทา� ใหก้ ารแสดงดูสมจริงและผ้ชู มจะมอี ารมณ์ ใหนักเรยี นแบงกลุมออกเปน 6 กลุม ร่วมกับการแสดงมากข้ึน โดยเสียงท่ีน�ามาประกอบการแสดงจะมีอยู่ด้วยกันหลากหลายรูปแบบ ใหน กั เรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรเู พมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั เช่น เสียงนกร้อง เสียงไกข่ นั เสยี งฝนตก เสียงควบมา้ เสยี งฟ้าร้อง เสยี งน้า� ตก เป็นตน้ การวิเคราะห วจิ ารณการแสดงละครราํ จากแหลง การเรยี นรูต า งๆ เชน หองสมุดโรงเรียน หองสมุด ๔) อุปกรณท์ ่ีใช้ในการแสดง จะช่วยสร้างบรรยากาศและความสมจริง เชน่ เครอื่ ง- ชมุ ชน อนิ เทอรเ นต็ เปน ตน ในหวั ขอ ทคี่ รกู าํ หนดให ดงั ตอไปน้ี ราชูปโภค เตียง หมอนอิงรูปสามเหลี่ยม กลด ราชรถ พาหนะ อาวุธที่ใช้ประกอบการแสดง เชน่ ดาบ โล ่ กริช หอก ทวน ธนู เป็นต้น กลุมท่ี 1 ละครชาตรี ๒.4 การวเิ คราะห์ วิจารณก์ ารแสดงละครรำา กลุมที่ 2 ละครนอก การวเิ คราะห ์ วจิ ารณก์ ารแสดงละครรา� โดยรวมจะพจิ ารณาจากรปู แบบของการแสดง ความเปน็ กลมุ ท่ี 3 ละครใน เอกภาพของการแสดง รวมทงั้ ความงดงามของการรา่ ยรา� และองคป์ ระกอบอนื่ ๆ ในละครรา� เรอ่ื งนน้ั ๆ กลมุ ท่ี 4 ละครดกึ ดาํ บรรพ แต่เนื่องจากละครร�ามีหลายประเภท ได้แก่ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละครดึกด�าบรรพ์ กลุมท่ี 5 ละครพนั ทาง ละครพนั ทาง และละครเสภา ดงั นนั้ การวเิ คราะห ์ วจิ ารณล์ ะครรา� ประเภทตา่ งๆ จงึ จะใชห้ ลกั เกณฑ์ กลมุ ที่ 6 ละครเสภา ทแี่ ตกต่างกนั ออกไป ดังนี้ อธบิ ายความรู้ Explain ๑) ละครชาตรี ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 1 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ๑. ลกั ษณะการแสดง ต้องวิเคราะห์วา่ การแสดงถูกต้องตามแบบแผนหรือไม ่ เชน่ เพมิ่ เตมิ เกี่ยวกับการวิเคราะห วิจารณการแสดง การโหมโรง การร�าซดั ไหว้คร ู การบอกบท เป็นตน้ ละครรํา สง ตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู ๒. ความสามารถของผแู้ สดง ในการรา� ซดั ไหวค้ ร ู รวมทงั้ ความสามารถในการเจรจา ในหวั ขอ ละครชาตรี ตามทไ่ี ดศ กึ ษามาหนา ชน้ั เรยี น ๓. การแต่งกาย การแต่งกายยืนเครื่องพระ - นาง ต้องพิจารณาว่าถูกต้องตาม จากนั้นครูถามนกั เรยี นวา มาตรฐานหรอื ไม ่ เคร่อื งแต่งกายเหมาะสมกบั ลกั ษณะตวั ละครตัวนน้ั หรือไม่ ๔. ดนตรีและเพลงร้อง ผู้แสดงต้องร้องเพลงให้ระดับเสียงตรงกับเครื่องดนตรี • ถานกั เรยี นจะวจิ ารณก ารแสดงละครชาตรี ทา� นองและเนอ้ื รอ้ งควรจะกระชบั ตรงกบั ทา่ รา� และมคี วามไพเราะในการขบั รอ้ ง เก่ยี วกับความสามารถของนักแสดง นกั เรยี นจะสามารถวเิ คราะหต วั ละครใดไดบ า ง ๑9๑ (แนวตอบ ตัวพระ (ตวั นายโรง) ตัวนาง และ ตวั ตลก เพราะเนอ่ื งจากละครชาตรีมีตัว ละครหลกั ท่ีแสดงเพยี ง 3 ตัว เทานน้ั ) กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ใหน กั เรยี นเขยี นบรรยายเหตุผลทผ่ี ชู มการแสดงทุกคนควรวเิ คราะห ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงละครราํ ประเภทตา งๆ ใหน กั เรยี นชม พรอ มกบั วจิ ารณก ารแสดงละครรํา ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครผู ูสอน อธิบายเพิม่ เติมวา การบรรเลงดนตรี ตองมคี วามเหมาะสมกับการแสดงแตล ะชนิด และตอ งเหมาะสมกบั อารมณเ พลง กลมกลนื กบั การรอ งและการราํ ถา เปน การบรรเลง กิจกรรมทาทาย ดนตรปี ระกอบการราํ ตอ งบรรเลงใหพ อเหมาะพอดตี ามทาํ นอง จะชา หรอื เรว็ ไปตาม ผูท่ีทําหนา ที่ขบั รองไมได เพราะผรู ําตองราํ ใหเปน ไปตามอารมณแ ละในการขบั รอ ง ใหน กั เรียนชมการแสดงละครราํ 1 เรือ่ ง จากน้ันฝกวิเคราะห วิจารณ แสดงละคร ตองใหไดอ ารมณต ามบท เสียงดี รอ งชัดเจน การขบั รอ งตอ งสมั พนั ธ การแสดงละครราํ ในหัวขอลกั ษณะการแสดง ความสามารถของนักแสดง กบั ดนตรี การแบง วรรคตอนทถ่ี ูกตอ ง การแตงกาย ดนตรี และเพลงรอง ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครผู สู อน มมุ IT นักเรียนสามารถชมการแสดงละครรําไดจ าก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา ละครราํ คมู่ อื ครู 191 กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรียนกลุมท่ี 2 - 4 ทไ่ี ดศึกษา คนควา ๒) ละครนอก หาความรูเ พิม่ เตมิ เกีย่ วกับการวเิ คราะห วจิ ารณ การแสดงละครราํ สง ตวั แทนกลมุ ละ 2 - 3 คน ออกมา ๑. ลักษณะการแสดง ดา� เนนิ เรื่องได้รวดเรว็ โลดโผน ตลกขบขันหรือไม่ อธบิ ายความรใู นหวั ขอ ละครนอก ละครใน และละคร ๒. บทประพันธเ์ หมาะสมที่จะนา� มาแสดงละครนอกหรอื ไม่ ดึกดาํ บรรพ ตามทไ่ี ดศ กึ ษามาหนาชัน้ เรยี น จากนน้ั ครูถามนกั เรียนวา ๓. ความสามารถของผแู้ สดง ตบี ทไดว้ อ่ งไว กระฉบั กระเฉง ใสอ่ ารมณ์ไดเ้ หมาะสม ตามบทบาทหรอื ไม่ • เพราะเหตุใดการวิเคราะห วจิ ารณละครนอก ๔. การแต่งกาย ผู้แสดงแต่งกายถูกต้องตามแบบแผนและเหมาะสมกับบทบาท กับละครในจงึ มีความแตกตางกนั ในเร่อื ง ของตวั ละครหรือไม่ ลกั ษณะการแสดง ๕. ดนตรแี ละเพลงรอ้ ง เหมาะสมกบั เนอ้ื เรอื่ ง สถานการณ ์ บคุ ลกิ ของตวั ละครหรอื ไม่ (แนวตอบ เพราะมลี กั ษณะการดาํ เนินเรอื่ ง ผู้บรรเลงและผู้ขับร้องมีความสามารถเหมาะสมในการบรรเลงและขับร้องประกอบการแสดง ทต่ี า งกนั กลา วคอื ละครนอก จะดาํ เนนิ เรอื่ ง ละครนอกมากน้อยเพียงใด อยา งรวดเร็ว ตลกขบขนั ไมพิถพี ิถนั ในเรอ่ื ง ของขนบธรรมเนียม ประเพณี การใชถ อยคํา ๓) ละครใน แบบชาวบา น สว นละครใน จะเนน ความ สวยงามในการรายรําและตองรักษาแบบแผน ๑. ลักษณะการแสดง ถูกต้องตามแบบแผนของละครในหรอื ไม่ และจารีตประเพณไี ว จงึ ทําใหการวิจารณ ๒. บทประพันธ์ ผู้วิเคราะห์ วิจารณ์จะต้องพิจารณาบทประพันธ์และกลอนว่า มีความแตกตางกนั ท้ังน้ี ผวู ิจารณจ ะตองมี มีความไพเราะเพยี งใด ความรูใ นเร่ืองของการแสดงละครนอก ๓. ความสามารถของผแู้ สดง ผแู้ สดงละครในมฝี มี อื ทงั้ ในการรา� ทสี่ วยงามเหมาะสม และละครในเปนอยางดี) กับการแสดงละครในหรือไม่ ๔. การแตง่ กาย ตวั ละครแตง่ กายยนื เครอื่ งพระ - นางหรอื ไม ่ มคี วามประณตี งดงาม • สงิ่ ทส่ี ามารถนาํ มาเปนประเด็นหลกั มีมากนอ้ ยเพยี งใด เหมาะสมกบั บทบาทของตัวละครทุกตัวหรอื ไม่ ในการวจิ ารณละครดึกดาํ บรรพคอื สง่ิ ใด ๕. ดนตรแี ละเพลงรอ้ ง วงปพ่ี าทยบ์ รรเลงเพลงทม่ี คี วามไพเราะ นมุ่ นวล สละสลวย เพราะเหตใุ ดจึงเปน เชน น้นั (แนวตอบ ความสามารถของนกั แสดง เนอ่ื งจาก ไม่รวดเร็วเห๔ม)อื นลละะคครรดนกึ อดกา�หบรรอื รไมพ่1์ เปนสิ่งทสี่ ามารถสังเกตเห็นไดงา ยที่สุด เน่อื งจากผทู ่ีจะสามารถแสดงละคร- ๑. ลักษณะการแสดง ถูกตอ้ งตามแบบแผนของละครดกึ ดา� บรรพห์ รอื ไม่ ดกึ ดาํ บรรพไดน ั้น จะตองเปน ผูท่ีมเี สียงดี ๒. ความสามารถของผู้แสดง มฝี ีมอื ท้ังในการร้องและรา� ไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด สามารถขับรองเพลงไทยไดอยางไพเราะ ๓. การแต่งกาย แต่งกายได้ถกู ต้องตามแบบแผนของการแสดงละครดึกด�าบรรพ์ มีรปู รางสวยงาม และมลี ลี า การรายราํ ท่ี หรอื ไม่ ออ นชอย จึงเปนสง่ิ ที่ผวู ิจารณสามารถ ๔. ดนตรีปี่พาทยแ์ ละเพลงร้อง มีความไพเราะเหมาะสมกบั เร่อื งทแี่ สดงหรอื ไม่ วิจารณไดว า ความสามารถของนักแสดงมี ๕. ฉากและอปุ กรณป์ ระกอบฉาก การตกแตง่ ฉากมคี วามงดงามหรอื ไม ่ และอปุ กรณ์ ฝมอื ทงั้ ในการขบั รอ งและการรา ยรําไดดีมาก ประกอบฉาก ระบบแสง ส ี ชว่ ยเสรมิ สรา้ งบรรยากาศใหส้ มจรงิ และกระตนุ้ ใหผ้ ชู้ มตนื่ ตาตน่ื ใจเพยี งใด นอ ยเพยี งใด) ๑9๒ เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเกี่ยวกับละครดกึ ดําบรรพ ครเู นนใหเห็นวาการราํ ทส่ี วยงามในการแสดงละครนั้น จะประกอบไปดวย ทาํ ไมละครดกึ ดําบรรพจงึ ไมไดร ับความนยิ มในปจ จบุ ัน การเลอื กทารํามาใชไ ดอ ยา งถูกตองตรงตามแบบแผน การเช่ือมทาตอทา ราํ มลี ลี า 1. รปู แบบการแสดงไมนาสนใจ ทก่ี ลมกลนื ประสานสัมพนั ธก ันกบั คํารอ งและดนตรี รวมทัง้ การแสดงอารมณของ 2. เรอ่ื งท่แี สดงซา้ํ ซาก ตัวละครตรงตามบทบาทท่ีไดร บั ดวย 3. ผแู สดงตองมที กั ษะทั้งรองและรําเปนอยา งดี 4. ขาดผอู ุปถมั ภ นักเรียนควรรู วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะผูทีจ่ ะสามารถแสดงละครดกึ ดาํ บรรพ ไดจ ะตอ งมคี วามสามารถพเิ ศษหลายดา น คอื เปน ผทู มี่ เี สยี งดี ขบั รอ งเพลงไทย 1 ละครดกึ ดาํ บรรพ เปน ละครทเี่ กดิ ขนึ้ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา - ไดอ ยา งไพเราะ เปน ผทู ม่ี รี ปู รา งงาม ราํ สวย ยงิ่ ผทู จ่ี ะแสดงเปน ตวั เอกของเรอื่ ง เจา อยูหวั (รัชกาลท่ี 5) ซ่ึงเจา พระยาเทเวศรว งศว ิวฒั นไดดดั แปลงมาจากการ ดวยแลว ตอ งใชความพินจิ พเิ คราะหเปน อยา งมาก ดงั นน้ั การแสดงละคร- แสดงละครโอเปรา (Opera) ของยโุ รปผแู สดงตอ งรอ งเอง ราํ เอง ใชว งปพ าทยด กึ ดาํ - ดกึ ดาํ บรรพจ งึ ไมค อ ยไดร บั ความนยิ มดงั เชน อดตี ทผ่ี า นมา เนอ่ื งจากตดิ ปญ หา บรรพม าบรรเลงประกอบการแสดงเร่ืองทีน่ ยิ มนํามาแสดง เชน เร่อื งสังขท อง ที่นักแสดงมคี ุณสมบัติไมค รบถวนนัน่ เอง เร่อื งคาวี เร่ืองทา วแสนปม เร่ืองศกลุ ตลา เรอ่ื งสองกรวรวกิ เปนตน 192 คู่มือครู กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๕) ละครพันทาง1 ใหน ักเรยี นกลุมท่ี 5 ทีไ่ ดศ กึ ษา คนควา หาความรูเ พมิ่ เติมเกี่ยวกบั การวิเคราะห วจิ ารณ ๑. ลักษณะการแสดง ถกู ต้องตามแบบแผนของละครพันทางหรอื ไม่ การแสดงละครรํา สง ตัวแทน 2 - 3 คน ออกมา ๒. ความสามารถของผแู้ สดง การใชล้ ลี าทา่ รา� ทม่ี าจากกริ ยิ าทา่ ทางของเชอื้ ชาตติ า่ งๆ อธิบายความรูในหวั ขอ ละครพนั ทาง ตามทไ่ี ด เหมาะสมหรอื ไม่ และท่าร�าเหมาะกบั บคุ ลกิ ลกั ษณะของผแู้ สดงเพยี งใด ศึกษามาหนาชั้นเรียน จากน้นั ครูถามนกั เรยี นวา ๓. การแตง่ กาย ถกู ตอ้ งตามเชือ้ ชาตแิ ละบทบาทของตวั ละครหรอื ไม่ ๔. ดนตรีและเพลงร้อง มีส�าเนียงภาษาตามเน้ือเร่ือง และบทบาทของตัวละคร • ถา นักแสดงละครพันทางไมไดแ ตง กาย หรอื ไม ่ ผบู้ รรเลงและผขู้ บั รอ้ งมคี วามสามารถในการบรรเลงและขบั รอ้ งประกอบการแสดงเพยี งใด ตามเช้ือชาติ นักเรียนคิดวาถกู ตองหรอื ไม ๕. องคป์ ระกอบอนื่ ๆ เชน่ ฉาก แสง ส ี เสยี ง อปุ กรณต์ า่ งๆ เปน็ ตน้ ชว่ ยสรา้ งบรรยากาศ อยางไร (แนวตอบ ไมถกู ตอ ง เพราะการแสดงละคร ท่ีเหมาะแก่เ๖น)้ือเลระื่อคงรแเลสะภสาา2มารถสร้างอารมณ์ให้สอดคล้องและสมเหตุสมผลหรือไม่ อย่างไร พันทางจะแตงกายตามลักษณะเชอ้ื ชาติ เชน แสดงเกี่ยวกับเร่อื งมอญ กจ็ ะแตงแบบมอญ ละครเสภาท่ีน�ามาแสดงเรียกว่า “เสภาร�า” ข้อส�าคัญในการวิจารณ์ละครเสภาร�าก็คือ แสดงเก่ยี วกับเรื่องพมา ก็จะแตง แบบพมา ความสามารถของผู้ขบั เสภา ผูข้ บั รอ้ งเพลงเสภาร�ามนี ้า� เสียงไพเราะ สามารถใสอ่ ารมณ์ให้เป็นไป เปนตน ) ตามบทบาทการแสดงของตัวละครได้หรือไม่ ส่วนองค์ประกอบอ่ืนๆ จะเหมือนกับละครพันทาง เชน่ การแตง่ กาย ลลี าทา่ รา� ทศั นองค์ประกอบตา่ งๆ เปน็ ต้น • จากภาพนกั เรียนสามารถวเิ คราะห จากหลักการวิเคราะห์ขา้ งต้น สามารถนา� มาใช้วเิ คราะห์ละครร�าได้ดงั ตัวอยา่ งต่อไปนี้ วิจารณก ารแสดงไดอ ยางไร ที่มาของภาพ : http://www.oknation.net (แนวตอบ จากภาพเปน ละครพันทาง เรือ่ งราชาธิราช ชดุ สมงิ พระรามอาสา จากภาพเป็นการแสดงละครใน เรื่องอิเหนา 3บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ- ตอนสมงิ พระรามรบกบั กามะนี ลักษณะ พระพุทธเลศิ หล้านภาลัย (รชั กาลที ่ ๒) การวิเคราะหจ์ ะพจิ ารณาตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ การแสดงถกู ตอ งตามแบบแผนของการแสดง ๑. ลักษณะการแสดง ถูกต้องตามแบบแผนของการแสดงละครใน ละครพนั ทาง ผูแ สดงมีฝมอื ในการรา ยราํ ๒. บทประพนั ธ ์ เปน็ บทพระราชนพิ นธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ทสี่ วยงามและเหมาะสม การแตงกายของ (รชั กาลที่ ๒) พระองคท์ รงดดั แปลง รอ้ ยกรองใหเ้ หมาะกับการเลน่ ละคร ในเชงิ ร�าสามารถตบี ท ตวั ละครแตงกายไดอ ยางถูกตอ งตาม เช้อื ชาติ) ๑9๓ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด นักเรียนควรรู การประเมินผลการแสดงมีประโยชนในดานใดมากทีส่ ุด 1 ละครพนั ทาง บทละครที่นยิ มนาํ มาแสดงสวนมากเปน พงศาวดารของ 1. เพื่อนํามาใหค ะแนนได ชาตติ า งๆ ตลอดจนเรอ่ื งราวทางประวัตศิ าสตร เชน เร่ืองราชาธริ าช สามกก 2. เพอื่ คดั เลือกตวั แสดงใหเหมาะสม พระลอ ขุนชางขนุ แผน พระอภัยมณี เปนตน 3. เพอ่ื วัดความนยิ มของผชู ม 2 ละครเสภา บทละครที่นยิ มนาํ มาแสดงสวนมากเปน นิทานพ้นื บา น เชน 4. เพ่ือปรับปรุงแกไขการแสดงในคร้งั ตอไป เรือ่ งขุนชางขุนแผน ไกรทอง เปน ตน หรือจากบทพระราชนิพนธในพระบาทสมเด็จ- พระมงกุฎเกลาเจาอยหู วั (รัชกาลท่ี 6) เชน เรอื่ งพญาราชวงั สัน สามัคคีเสวก เปน ตน วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะการประเมนิ ผลการแสดงจะสามารถ 3 อเิ หนา เปน วรรณคดเี กาแกเ รื่องหน่ึงของไทย เขา ใจวานาจะเกดิ ขึ้นในชวง ปลายสมัยอยุธยา ผา นมาทางหญงิ เชลยชาวปตตานี ทีเ่ ปน ขา หลวงรบั ใช ทาํ ใหผ ูจ ดั การแสดงนาํ ขอติชมตา งๆ มาใชเพื่อพัฒนา ปรบั ปรุง แกไ ข พระราชธิดาของสมเดจ็ พระเจา อยหู วั บรมโกศ ไดเ ลา ถวายเจา ฟา กณุ ฑล การแสดงใหมคี วามสมบรู ณแบบมากยิ่งขึ้น และเจาฟามงกฎุ จากน้นั พระราชธดิ าท้ัง 2 พระองค ก็ไดท รงแตงบทละครขนึ้ มา องคละเรอื่ ง เรยี กวา “อเิ หนาเล็ก” (อิเหนา) และ “อเิ หนาใหญ” (ดาหลงั ) คู่มอื ครู 193 กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา้ า้ใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ ใหนักเรยี นกลมุ ที่ 6 ท่ีไดศ ึกษา คนควา ไดอ้ ย่างงดงาม การจัดหมู่ผูแ้ สดงสามารถจดั ได้เป็นภาพสวยงามเป็นการเลน่ ละครไดค้ รบองค์หา้ หาความรูเพิ่มเตมิ เก่ยี วกับการวเิ คราะห คอื ตวั ละครงาม ร�างาม รอ้ งเพราะ พิณพาทยเ์ พราะ กลอนเพราะ วิจารณการแสดงละครรํา สง ตวั แทน 2 - 3 คน ๓. ความสามารถของผูแ้ สดง ผ้แู สดงมฝี มี ือการรา� ทสี่ วยงาม ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอละครเสภา ๔. การแตง่ กาย ตวั ละครแตง่ กายงดงาม เครอื่ งแตง่ กายมคี วามประณตี นอกจากนี้ ตามทไ่ี ดศ ึกษามาหนาชนั้ เรียน จากนั้นครูถาม การจดั องคป์ ระกอบศิลป์ครบถว้ น มีความเปน็ เอกภาพ มคี วามสมดุล ฉาก และอุปกรณม์ คี วาม นักเรียนวา กลมกลนื สามารถสรา้ งจดุ สนใจให้แก่ผู้ชมได้ดี ๕. ดนตรแี ละปี่พาทย์ มคี วามไพเราะ น่มุ นวลเหมาะสมกับละครใน • ผูทจ่ี ะสามารถขบั เสภาไดดนี ้นั ควรมีนาํ้ เสยี ง อยางไร กิจกรรม ศิลปป์ ฏิบัต ิ ๑๑.๑ (แนวตอบ มีน้าํ เสียงทไ่ี พเราะ กนิ ใจ สามารถ ถายทอดอารมณใ หเปน ไปตามบทละคร ไดอยางถกู ตอ งเหมาะสม) ขยายความเขา้ ใจ E×pand กจิ กรรมท่ี ๑ ครผู ู้สอนนา� ซีดี (CD) และดวี ีด ี (DVD) การแสดงละครรา� มาใหน้ ักเรยี นชม จากน้ันให้ นักเรียนอภิปรายร่วมกันถึงประเภทของการแสดง ลักษณะและองค์ประกอบของ 1. ใหน ักเรยี นสรปุ สาระสําคญั เกี่ยวกับ การแสดงท่ีได้ชม พร้อมท้ังฝึกวิเคราะห์ วิจารณ์ละครร�าท่ีได้ชมตามหลักเกณฑ์ การสรางสรรคละครรํา ลงกระดาษรายงาน ท่กี า� หนดไว้ในบทเรียน นาํ สงครูผูสอน ๓. การสรา้ งสรรค์ละครเวที 2. ใหนักเรียนนําขอมูลการวิเคราะห วิจารณ ละครเวท ี เป็นการแสดงละครสด ดา� เนินเรอื่ งด้วยศิลปะของการพดู ซึ่งผแู้ สดงจะตอ้ งท�าให้ การแสดงละครราํ มารวมกันจดั นิทรรศการ ผูช้ มมคี วามรู้สกึ ว่าส่ิงท่ีแสดงอยู่น้ันเป็นเรื่องจริง เรอื่ ง “หลกั การวเิ คราะห วจิ ารณก ารแสดงละครราํ ๓.๑ หลักการแสดงละครเวที ประเภทตา งๆ” พรอมหาภาพมาประกอบ การแสดงทม่ี คี ณุ คา่ และประสบความส�าเรจ็ ไดน้ น้ั จะตอ้ งเปน็ การแสดงทผ่ี แู้ สดงไดร้ บั การฝกึ ฝน ใหส วยงาม ให้สามารถแสดงได้ทุกบท และเป็นการแสดงท่ีออกมาจากส่วนลึกภายใน อันเป็นธรรมชาติของ มนุษย ์ มิใช่เปน็ การแสดงทีเ่ สแสร้งแกล้งทา� หรือฝืนท�า ผู้แสดงทดี่ คี วรยดึ หลกั ดงั น้ี ตรวจสอบผล Evaluate ๑) การเตรียมความพร้อม ผู้แสดงท่ีดีจะต้องมีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ 1. ครพู จิ ารณาจากการสรปุ สาระสําคัญเกีย่ วกับ การสรางสรรคละครรําของนักเรียน อารมณ์ และความรสู้ กึ ๑.๑) ดา้ นรา่ งกาย ผแู้ สดงตอ้ งออกกา� ลงั กายอยเู่ สมอ เพราะรา่ งกายเปน็ เครอื่ งมอื 2. ครพู ิจารณาจากการจดั นทิ รรศการเรอ่ื ง “หลกั การวิเคราะห วิจารณการแสดงละครรํา ส�าคัญในการสื่อสารเรอื่ งราวต่อผูช้ ม การทมี่ สี ขุ ภาพพลานามยั ดี พกั ผ่อนอย่างเพียงพอ จะทา� ให้ ประเภทตา งๆ” ของนกั เรยี น โดยพจิ ารณา รสู้ กึ สดชน่ื เคลอ่ื นไหวรา่ งกายไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ สามารถแสดงบทบาทที่ไดร้ บั ไดอ้ ยา่ งเตม็ ความ ในดานความถกู ตองของเน้อื หา การนาํ เสนอ สามารถ มีประสาทสมั ผัสดี ไม่บกพร่อง ขอมูล ความสวยงาม และความคิดริเร่มิ สรางสรรค ๑94 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET สิ่งทพ่ี ึงปฏิบัตหิ ลงั จากจบการแสดงละครคอื ขอ ใด ครคู วรแนะนาํ นกั เรยี นวา องคประกอบศิลปทางดานนาฏศลิ ปไทยจะประกอบ 1. จัดพธิ ีไหวครู ไปดว ย 4 ขอหลกั ดังตอไปน้ี 2. ฝก ซอ มอยา งตอเน่อื ง 3. เชิญวิทยากรมาอบรม 1. บรเิ วณท่วี างในการจัดระยะระหวางตวั ละคร ตําแหนง ของนกั แสดงบนเวที 4. ทําการประเมนิ ผล เพ่อื ใหดูสวยงาม ถกู ตอ งตามแบบแผน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะหลังจากทมี่ กี ารแสดงละครจบแลว ควรมีการประเมินผลการแสดงทุกคร้ัง เพอ่ื ทจ่ี ะไดท าํ ใหท ราบวา การแสดง 2. นาํ้ หนกั ของเวที การจดั ฉากกับนักแสดงบนเวทีมีความสมดลุ กนั ทงั้ 2 ดา น ละครนนั้ เกดิ ขอ ผิดพลาดใดบางทคี่ วรนาํ มาปรบั ปรงุ แกไ ขการแสดงละคร 3. นาฏศลิ ปไ ทยมรี ปู แบบการแสดงทหี่ ลากหลาย โดยอาศยั ทา ทางในการรา ยราํ ใหม ีความสมบรู ณมากยิ่งขน้ึ 4. ความเปนเอกภาพ ผูทร่ี วมแสดงละครทุกชุดนนั้ จะตอ งมีความเปน หนึ่งเดียว มมุ IT นกั เรยี นสามารถชมการแสดงละครเสภาราํ ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา ละครเสภารํา 194 คู่มือครู กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๑.๒) ดา้ นจติ ใจ ผแู้ สดงจะตอ้ งมคี วามเชอ่ื มนั่ ฝกึ การทา� สมาธ ิ เพราะสมาธจิ ะชว่ ย ครูเปด ซีดี หรือดวี ดี กี ารแสดงละครเวที ในการทอ่ งจา� บทละคร ทบทวนการแสดงแตล่ ะฉาก ทบทวนการเขา้ - ออกของตวั ละครวา่ จะเรม่ิ เมอื่ ใด ใหนักเรยี นชม จากน้นั ครถู ามนักเรยี นวา เวลาใด จติ ใจตอ้ งจดจอ่ อยกู่ บั การแสดงบนเวท ี แมย้ งั ไมถ่ งึ บทของตน สง่ิ สา� คญั อกี ประการหนง่ึ กค็ อื ผู้แสดงต้องจ�าบทของตัวละครท่ีร่วมแสดงด้วย เพ่ือจะได้รับส่งบทได้ถูกจังหวะและทันท่วงท ี • นักเรยี นเคยชมการแสดงละครเวทีหรอื ไม การฝกึ จติ ให้เป็นสมาธจิ ะชว่ ยลดความประหม่า ความตน่ื เต้นลง ท�าให้แสดงไดเ้ ตม็ ความสามารถ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอิสระ) ๑.๓) ดา้ นอารมณแ์ ละความรสู้ กึ ผแู้ สดงควรมีความสามารถในการควบคมุ อารมณ ์ พยายามสร้างอารมณ์ให้เกดิ ขนึ้ ภายใน โดยไมไ่ ดเ้ สแสรง้ แกลง้ ท�า มกี ารควบคมุ อย่างเหมาะสม มิใช่ • เมือ่ นกั เรยี นชมละครเวทีแลว เกดิ ความรูสกึ ปล่อยอารมณ์ออกมาจนเกนิ ขอบเขต ผิดจากธรรมชาต ิ เชน่ กรดี รอ้ งโวยวาย ตีอกชกหัว เป็นต้น อยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ๒) การเคลอ่ื นไหวทา่ ทาง เมอื่ ผแู้ สดงพดู ตอ้ งแสดงทา่ ทางใหเ้ ปน็ ธรรมชาตปิ ระกอบ ไดอยางอสิ ระ) ค�าพดู สว่ นการเคลื่อนไหว กริ ิยาท่าทางของตัวละครไมว่ า่ จะเปน็ การยืน การเดิน การนงั่ การนอน สา� รวจคน้ หา Explore จะกระท�าเพื่อสื่อสารในด้านเร่ืองราว หรือสร้างบุคลิกของตัวละคร การเคลื่อนไหวของผู้แสดง บนเวทีทุกครั้งจะตอ้ งมจี ุดมุ่งหมายท่ีส�าคัญ ผูแ้ สดงตอ้ งมีความสามารถในการคงลกั ษณะเด่นของ ใหน กั เรยี นศึกษา คนควา หาความรู ตัวละครไว ้ เช่น ลกั ษณะของตัวละครทีพ่ กิ าร ตาบอด เปน็ ใบ ้ เป็นตน้ เพมิ่ เติมเก่ยี วกบั การสรา งสรรคล ะครเวที จากแหลง การเรียนรูต า งๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรียน ๓) เสียงและคุณภาพของเสียง เน่ืองจากเสียงเป็นเครื่องมือส�าคัญของผู้แสดง หอ งสมุดชุมชน อินเทอรเ น็ต เปน ตน ในหวั ขอทค่ี รกู ําหนดให ดงั ตอไปนี้ ที่จะส่ือสารเรื่องราวไปยังผู้ชม การพูดจึงต้องชัดเจน ถูกต้องตามอักขรวิธี ใส่อารมณ์ตาม บทบาท และต้องพูดให้สื่อความหมาย ผูแ้ สดง 1. หลกั การแสดงละครเวที ต้องศึกษาบทละครให้เข้าใจ รู้ความหมาย 2. แนวทางการฝก ปฏิบัติ ที่ต้องการจะพูด มองให้เห็นภาพในส่ิงท่ีพูด รู้ความต้องการขณะพูด และถ้าผู้แสดงจะต้อง อธบิ ายความรู้ Explain เป็นฝา่ ยฟังกต็ ้องมสี มาธิในการฟงั ฟงั ทั้งวิธีพูด ระดับอารมณ์ น�้าเสียง และต้องสังเกตกิริยา ครสู ุมนักเรยี น 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม ท่าทางของผแู้ สดงรว่ มขณะพูดประกอบด้วย ดงั ตอไปน้ี ๔) บท ผู้แสดงจะต้องอ่านบทให้ • นกั เรยี นมีวธิ กี ารอยา งไรที่จะชว ยให สามารถจาํ บทละครไดอ ยางแมน ยาํ เข้าใจ และจ�าบทให้ได้ก่อนท่ีจะฝึกซ้อมการ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ เคลื่อนไหว เพราะบทละครช่วยให้เกิดความ ผู้แสดงละครเวทีจะต้องใช้เสียงเพ่ือส่ือสารเร่ืองราวไปยัง ไดอยา งอสิ ระ) เข้าใจในการเคล่ือนไหว วิธีที่จะช่วยให้จ�าบท ผู้ชม ดังนั้น น�า้ เสียงจะต้องดงั กงั วานและชัดเจน ละครได ้ ตอ้ งแบ่งการแสดงออกเปน็ ตอนๆ แลว้ เรมิ่ ท่องเฉพาะตอนสน้ั ๆ กอ่ นทจ่ี ะท่องจา� ท้งั ฉาก • นักเรยี นคิดวาละครเวทีกับละครโทรทศั น และทัง้ เรื่อง เม่อื จ�าบทไดแ้ ล้วจึงฝึกซอ้ มการเคลื่อนไหว ออกท่าทาง ท�าซ�้าไปเรือ่ ยๆ จนกว่าจะจา� มคี วามเหมือน หรอื แตกตา งกันอยางไร บทได้ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งอสิ ระ) ๑95 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ใหนักเรยี นศึกษาเพ่ิมเตมิ เกย่ี วกบั การแสดงละครสด ครคู วรแนะนาํ การแสดงละครอกี รปู แบบหนง่ึ ทนี่ า สนใจ คอื “การแสดงละครสด” เขยี นสรุปสาระสําคญั และประโยชนทีไ่ ดรับจากการแสดงละครสด ซ่ึงเปนการแสดงละครท่ีนักแสดงไมไ ดเ ตรยี มตวั หรอื ทาํ การฝก ซอมมากอ น ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครผู ูสอน แตคดิ คาํ พูดและเหตกุ ารณต างๆ ขึน้ เองในทันทีทนั ใด เปนเหตกุ ารณเ ฉพาะหนา โดยนักแสดงแตล ะคนไมทราบลว งหนา มากอ นเลยวา จะเกดิ เหตุการณอะไรขึน้ กจิ กรรมทาทาย และจะดาํ เนินเรื่องตอ ไปอยางไร นกั แสดงจะตองฝกการใชไ หวพรบิ ปฏภิ าณโตตอบ รับ - สง กนั เพื่อใหละครดําเนินตอไปไดจนกระทัง่ จบเรื่อง หลักในการสรางละครสด ใหนักเรียนแสดงละครสด 1 เร่อื ง โดยการกําหนดตวั ละคร กาํ หนด มดี งั ตอ ไปนี้ กาํ หนดตวั ละคร โดยสมมตใิ หน กั แสดงเปน บคุ คล หรอื สง่ิ ตา งๆ แลว บอก บทบาทตวั ละคร กาํ หนดโครงเรอ่ื ง สรางสถานการณ จากนั้นออกมา ลกั ษณะทาทาง บคุ ลกิ ลักษณะนสิ ยั ของตัวละครใหน กั แสดงเขาใจ กําหนดบทบาท นําเสนอการแสดงละครสดใหเพอื่ นชมหนา ชั้นเรียน โดยมีครเู ปนผชู ี้แนะ ของตวั ละคร นักแสดงตอ งรูวาตัวละครที่ตนกําลงั แสดงนนั้ มีบทบาทหนา ที่อยางไร ความถกู ตอ ง พรอมกบั ประเมินผลการแสดงของนักเรยี น กําหนดโครงเรือ่ ง นักแสดงจะตอ งรูโครงเรื่องอยา งคราวๆ วา จะดําเนนิ เร่อื งอยา งไร สรา งสถานการณเ พอ่ื ใหน กั แสดงไดแ กไ ขสถานการณ โดยไมม บี ทพดู นกั แสดงจะตอ ง ใชไหวพริบปฏภิ าณในการแสดงเองและมีการประเมนิ ผลการแสดง เพื่อใชในการ ปรบั ปรุงแกไ ขการแสดงคร้งั ตอไป ค่มู ือครู 195 กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นรวมกนั อภิปรายเกีย่ วกบั ๓.๒ แนวทางการฝกึ ปฏิบัติ การสรา งสรรคละครเวที ในหัวขอ หลักการแสดง ๑) ฝกึ การเลยี นแบบ การเลยี นแบบเปน็ พน้ื ฐานของการฝกึ ทกั ษะการเรยี นรทู้ างดา้ น ละครเวทแี ละแนวทางการฝกปฏิบัติ ตามทไี่ ด ศลิ ปะการแสดง การเลยี นแบบทา� ใหผ้ ้แู สดงเขา้ ถึงความร้สู กึ และอารมณข์ องตวั ละครทผี่ ู้แสดงตอ้ ง ศึกษามา จากนนั้ ครูถามนกั เรยี นวา สวมบทบาท เชน่ ถา้ ตอ้ งแสดงเปน็ คนสตไิ มส่ มประกอบ ผแู้ สดงผนู้ น้ั ตอ้ งฝกึ การเลยี นแบบคนสติ ไมส่ มประกอบจรงิ ๆ หรอื ตอ้ งแสดงเป็นคนพกิ าร กต็ ้องเลยี นแบบคนพิการให้สมจริง การแสดงจึง • เพราะเหตุใดนกั แสดงจึงตองฝกการควบคุม จะสมบทบาท เป็นตน้ อารมณ ๒) ฝึกการสังเกต การฝึกการ (แนวตอบ เพราะการแสดงอารมณเ ปน สิง่ ที่ สังเกตเป็นแบบฝึกหัดเบ้ืองต้นท่ีผู้แสดงจะต้อง สาํ คัญ นกั แสดงทีม่ คี วามชาํ นาญยอ มทจี่ ะ ปฏิบัติ โดยเร่ิมจากการสังเกตอิริยาบถของคน สามารถถายทอดอารมณและความรูสึกได รอบขา้ ง เชน่ การเดนิ การยนื การนงั่ ทา่ ทางใน อยา งสมจรงิ ดงั นน้ั นกั แสดงจงึ ตอ งฝก ควบคมุ การเคลอ่ื นไหว วธิ รี บั ประทานอาหาร การทา� งาน อารมณของตนเอง โดยพยายามใสอ ารมณ ตา่ งๆ ของทกุ อาชพี เปน็ ตน้ กริ ยิ าทา่ ทางมสี ว่ น ใหเกดิ ขน้ึ ภายใน ไมใ ชก ารเสแสรง ก็จะทําให ชว่ ยบอกใหร้ วู้ า่ บคุ คลนน้ั มบี คุ ลกิ ลกั ษณะอยา่ งไร สามารถถายทอดอารมณแ ละความรูสึกไปยงั มฐี านะทางสังคมอยา่ งไร เป็นเศรษฐ ี หรือยาจก ผชู มไดเ ปนอยา งดี) และผู้แสดงจะต้องฝึกสังเกตการแสดงอารมณ์ ของบคุ คลในชวี ติ จรงิ ไมว่ า่ จะเปน็ การดีใจ เสยี ใจ • การฝก ฝนเลยี นแบบมีประโยชนตอ การแสดง การฝึกเลียนแบบจะท�าให้ผู้แสดงเข้าถึงความรู้สึกและ เศร้าสลด หรือโกรธ บุคคลเหล่าน้ันจะแสดง อยา งไร อารมณข์ องตัวละครท่ีตอ้ งสวมบทบาท กริ ยิ าท่าทางอยา่ งไร (แนวตอบ ทําใหสามารถเขาถงึ ความรูส กึ และอารมณข องตวั ละครทก่ี าํ ลงั สวมบทบาทอยู ๓.๓ การประยุกตศ์ ิลปะแขนงอ่ืนๆ กับการแสดง แลว แสดงออกมาไดอยางสมจรงิ เชน ละครเวท ี มคี วามจา� เปน็ ตอ้ งใชศ้ ลิ ปะแขนงอน่ื ๆ มาชว่ ยสอ่ื ความหมายและอารมณ ์ ซงึ่ จะชว่ ย แสดงเปน คนบา กต็ อ งเลียนแบบพฤตกิ รรม สรา้ งเสรมิ ใหก้ ารแสดงละครมคี ณุ ภาพ โดยศลิ ปะแขนงอน่ื ๆ จะถา่ ยทอดออกมาผา่ นฉาก การแตง่ กาย ของคนบา แสดงเปนตาํ รวจ ก็ตอ งเลยี นแบบ แสง สี เสียง๑ )แลฉะาอกุป กหรณมาท์ ย่ีใถชึง้ใน สกถาารนแสทด่ ี บง รดเิ วังณน้ีท่ีเปน็ เวทีในโรงละคร1 ซึ่งหมายรวมไปถงึ อปุ กรณ์ พฤตกิ รรมของตาํ รวจ เปน ตน ) และเคร่ืองตกแตง่ ฉาก ต้องดูสวยงามตระการตา เชน่ ฉากภายในบ้าน ต้องมีเครอ่ื งเรือน ตกแต่ง ฉากตามฐานะของตวั ละคร เปน็ คนจน เป็นเศรษฐ ี เป็นต้น • นกั เรียนมีวธิ ีการในการฝกสงั เกตเพอื่ ใช ลักษณะของฉากจะจัดสร้างขึ้นตามแนวของการแสดงละคร คอื ในการแสดงละครอยางไร • ละครแนวสมจริง การจัดฉากจะเป็นฉากประเภทสมจรงิ ตามเนอื้ เรอ่ื ง เพอ่ื ให้ (แนวตอบ ฝกสังเกตจากสง่ิ ท่อี ยรู อบๆ ตัว ผชู้ มละครดูเหมือนของจรงิ เช่น ฉากกระทอ่ ม ฉากปา่ จะมีต้นไม้และสตั ว์นานาชนิด เปน็ ตน้ เชน คน สัตว เปนตน โดยสังเกตพฤตกิ รรม • ละครแนวเหนอื จรงิ จะจดั ฉากจากตามจนิ ตนาการ ซง่ึ เปน็ สถานทวี่ จิ ติ รพสิ ดาร การแสดงออกทางดานรา งกายและอารมณ จากนั้นจงึ นาํ มาดัดแปลงใหม ีความเหมาะสม กับตวั ละครที่ไดรับบทบาท เพื่อจะไดแสดง ออกมาสมจรงิ ไมเ กอ เขิน) แตกตา่ งไปจากสงิ่ ทเ่ี คยพบเหน็ ในโลกมนษุ ย ์ เชน่ ฉากใตบ้ าดาล ฉากบนสวรรค ์ เปน็ ตน้ ๑96 เกรด็ แนะครู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเก่ยี วกับละครเวที ครูควรเชญิ วิทยากรทีม่ ีความเชีย่ วชาญในการแสดงละคร มาอธิบายความรู เอกลักษณข องสุนทรยี ภาพในการชมละครเวทีคอื อะไร เพม่ิ เตมิ เกยี่ วกับการสรา งสรรคล ะครเวที ในหวั ขอหลักการแสดงละครเวที แนวทาง 1. ไดรบั รถู ึงความงามทเี่ กิดขน้ึ จากการชมการเคลอื่ นไหว การฝก ปฏบิ ัติ การประยกุ ตศลิ ปะแขนงอืน่ กับการแสดง และการวเิ คราะห วจิ ารณ 2. ผชู มละครเวทีมคี วามรูส กึ รวมกันและสง ผลตอ การแสดงในรอบนนั้ ๆ ละครเวทใี หน กั เรยี นฟง จากนั้นครูเปด โอกาสใหนกั เรยี นไดซ ักถามในสิ่งท่ีสงสัย 3. ผชู มไดรบั ความบันเทิงจากการชมการแสดงสดๆ และมสี ว นรวม และแสดงความคดิ เหน็ ซง่ึ จะทําใหนกั เรียนมคี วามรู ความเขา ใจเก่ียวกับ ในการแสดงนั้น การสรางสรรคละครเวทไี ดด ีย่งิ ขน้ึ 4. ถูกทุกขอ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะทุกขอทีก่ ลา วมานน้ั จดั เปน เอกลักษณ นกั เรยี นควรรู ของสนุ ทรียภาพในการชมละครเวทีทผี่ ชู มสามารถรับรูและสมั ผัสได 1 โรงละคร จัดเปน สถาปต ยกรรมทีม่ คี วามสลับซับซอนในเรอ่ื งการออกแบบ เพราะเปนอาคารทม่ี หี นาทใ่ี ชสอยมากมาย การออกแบบโรงละครตอ งมคี วาม สอดคลอ งกบั เทคนคิ ดานเวที คอื ฉาก แสง สี และเสยี ง 196 คูม่ ือครู กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๒) เคร่ืองแต่งกาย ละครเวที ครูนาํ ภาพฉาก เครือ่ งแตง กาย การจดั แสง นอกจากจะส่ือความหมายด้วยค�าพูดแล้ว ในการแสดงละครเวทมี าใหนักเรยี นดู จากน้นั การแตง่ กายยงั ชว่ ยสอ่ื ความหมายและเสรมิ สรา้ ง ครูถามนักเรียนวา บรรยากาศของการแสดงละครได้เป็นอย่างด ี โดยการแต่งกายจะช่วยสื่อความหมายในด้าน • การสรา งฉากละครเวทใี หม ีความสวยงาม บคุ ลกิ ลกั ษณะ ฐานะทางสงั คม และบอกลกั ษณะ สามารถดงึ ดดู ความสนใจของผชู มไดห รอื ไม นิสยั ของตวั ละครให้ผูช้ มทราบ อยางไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งอสิ ระ) ลกั ษณะของเครอ่ื งแตง่ กายตวั ละคร สา� รวจคน้ หา Explore มที ง้ั รปู แบบทเี่ หมอื นจรงิ และแตง่ ตามจนิ ตนาการ ซึ่งนักออกแบบเครื่องแต่งกายจะต้องมีความรู้ เกี่ยวกับเร่ืองสี รูปทรง วัสดุท่ีน�ามาตัดเย็บ ใหน ักเรียนศกึ ษา คน ควา หาความรเู พม่ิ เติม เครอื่ งแตง่ กาย เพื่อให้เคร่ืองแต่งกายสามารถ ฉากละครแนวสมจริง จะจัดฉากตามเนื้อเรื่อง (จากภาพ เกย่ี วกบั การประยกุ ตศ ลิ ปะแขนงอนื่ ๆ กบั การแสดง สือ่ ความหมายได้ตรงกับเนอ้ื เรือ่ ง ละครเวทีญี่ปุน การจัดฉากจึงเป็นการจ�าลองบ้านของ จากแหลง การเรยี นรตู างๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรยี น ชาวญีป่ นุ ) หอ งสมุดชมุ ชน อินเทอรเ น็ต เปน ตน ในหัวขอทค่ี รกู ําหนดให ดงั ตอ ไปนี้ ข้อควรระวังในการเลือกเครื่องแต่งกายท่ีส�าคัญ คือ สีของฉากกับเคร่ืองแต่งกาย ควรระวงั อยา่ ใหม้ สี เี ดยี วกนั เพราะตวั ละครกบั ฉากจะกลมกลนื กนั จนมองไมเ่ หน็ ตวั ละคร เชน่ ฉากปา่ 1. ฉาก มีต้นไมส้ ีเขียว ตัวละครก็ไม่ควรแต่งสเี ขยี ว เปน็ ต้น 2. เครือ่ งแตงกาย ๓) แสง สี เสียง ละครเวทีในยุค 3. แสง สี เสียง ปัจจบุ ันจะมีการใชส้ สี ันที่หลากหลาย เพือ่ สร้าง ความแปลกใหม่ตระการตา แสงจึงเป็นส่วน อธบิ ายความรู้ Explain สา� คัญในการแสดงละครเวที ดังน้ี ๑. แสงชว่ ยใหค้ วามสวา่ ง ทา� ให้ ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั การประยกุ ต ผชู้ มเหน็ ภาพทกุ ภาพทเี่ กดิ ขน้ึ บนเวท ี เชน่ ฉาก ศลิ ปะแขนงอ่ืนๆ กับการแสดงในหัวขอฉาก อุปกรณ์ประกอบฉาก ตวั ละคร เครื่องแต่งกาย และเครื่องแตงกาย ตามท่ีไดศึกษามา จากนั้นครู เหตุการณท์ ีเ่ กดิ ขึ้นบนเวที เปน็ ตน้ ถามนักเรยี นวา ๒. แสงชว่ ยเนน้ เฉพาะจดุ สา� คญั ละครเวทใี นปจ จบุ นั จะมกี ารใชส้ สี นั ทห่ี ลากหลาย เพอื่ สรา้ ง ทที่ า� ใหเ้ กดิ ความหลากหลายบนเวท ี เชน่ ดบั ไฟ ความแปลกใหมต่ ระการตาให้กับผชู้ ม • ถาตองการจดั แสดงละครเวทแี นวยอ นยุค ในส่วนท่ีต้องการเปล่ียนฉาก หรืออุปกรณ์ต่างๆ ในขณะที่การแสดงก�าลังด�าเนินอยู่อีกด้าน นักแสดงควรแตง กายอยางไร จึงจะมีความ โดยไม่ทา� ใหผ้ ูช้ มเสยี สมาธิ เป็นต้น เหมาะสม ๓. แสงช่วยสร้างบรรยากาศและอารมณ์ในการแสดงให้เป็นไปตามรูปแบบของ (แนวตอบ สาํ หรบั ละครยอ นยุค หรือละคร ละครท่นี �าเสนอ แนวพเี รยี ด ผูจัดเส้ือผาเครอื่ งแตง กายตอ ง ดูความเหมาะสมตามทผ่ี ูคนในสมยั นั้นแตง ๑97 รวมไปถึงทรงผมกต็ องมคี วามสอดคลอง กับยคุ สมยั ดวย) แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกรด็ แนะครู ภาพน้สี ่ือความหมายเก่ยี วกับละครในขอ ใด ครูควรเนนใหเ หน็ วาเครอื่ งแตงกายตัวละคร มีทงั้ รูปแบบท่เี หมือนจรงิ 1. ละครเวทีแนวพีเรียด และแตง ตามจนิ ตนาการ ผูทอี่ อกแบบเครอ่ื งแตงกายตวั ละคร จะตองมีความรู 2. ละครเวทแี นวแฟนตาซี เกย่ี วกบั สี รูปทรง วัสดุที่นํามาใชในการตดั เยบ็ เพ่ือใหเครอ่ื งแตง กายสามารถ 3. ละครเวทแี นวสุขนาฏกรรม ส่อื ความหมายไดตรงกบั เน้ือเรอ่ื ง พรอมทง้ั ยกตวั อยา งการแตง กายของตวั ละคร 4. ละครเวทแี นวตลกชวนหวั ประเภทตางๆ ใหนักเรียนดู เชน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะเครือ่ งแตง กายบงบอกถงึ ตวั ละคร ท่อี ยใู นเทพนิยาย หรอื สรา งข้ึนจากจินตนาการ ดงั นนั้ จึงเหมาะสมท่จี ะนํา มาแสดงเปนละครแนวแฟนตาซี การแตงกายละครเวทขี องญป่ี นุ การแตงกายละครบอรด เวย คู่มือครู 197 กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั การประยกุ ต ในละครแนวสมจรงิ 1 แสงทนี่ า� มาประกอบการแสดงตอ้ งเหมอื นกบั แสงจากธรรมชาต ิ เชน่ ศิลปะแขนงอน่ื ๆ กบั การแสดงในหัวขอ แสง สี เสียง ใแนสลงะอคารทแติ นยว ์ แเหสนงจือนั จทริงร2แ ์ แสสงงทส่ีปวรา่ ะงกทอม่ี บาจจะาตก้อเทงยีเลน่น ตเงะาเก ยีหงร ือไตใน ้ เบปทน็ ทตน้ี่ม ีกเพารอื่ ลส่อรงา้ หงบนรหรายยาตกัวา ศกใหารส้ แมสจดรงิง ตามท่ีไดศ ึกษามา จากน้นั ครูถามนกั เรียนวา อภินิหารของเทพเจ้า ถ้าใช้แสงไฟส่องด้านหลังของผู้แสดงก็จะท�าให้ดูเหมือนมีรัศมีน่าเกรงขาม นอกจากความเขม้ และทศิ ทางของแสงแลว้ สขี องแสงกม็ คี วามสา� คญั โดยวธิ ที า� ใหเ้ กดิ สี • แสง สี เสยี ง มคี วามสําคญั อยางไร ม ี ๒ วธิ ี คอื ใชห้ ลอดไฟสกี บั แผน่ ใสส ี หลอดไฟสมี เี พยี ง ๔ ส ี เทา่ นน้ั คอื สเี ขยี ว สแี ดง สเี หลอื ง และ (แนวตอบ ชวยทาํ ใหก ารแสดงละครเวที สนี า้� เงนิ สว่ นแผน่ ใสสเี ปน็ แผน่ พลาสตกิ โปรง่ แสงมหี ลากส ี ในการแสดงละครเชอ่ื กนั วา่ สมี อี ทิ ธพิ ลและ มีความสวยงามและถายทอดอารมณไดด ี มคี วามหมายบนเวที ดังน้ี ยง่ิ ขึ้น ทาํ ใหผ ูชมเกดิ อรรถรสและประทบั ใจ ในการแสดงมากขนึ้ ) • การใชแสง สี ในภาพนตี้ อ งการส่อื ใหเห็น ถงึ สงิ่ ใด (แนวตอบ ตองการส่ือใหเห็นถงึ ความทุกข สี ความรสู้ กึ ทรมานใจและความโศกเศราของตัวละคร สฟี ้า ใหค้ วามรสู้ กึ สงบ เยอื กเย็น ไม่กดดนั มคี วามโปรง่ ใส ท่รี อคอยคนรักกลับมาอยางมคี วามหวัง) สีแดง ใหค้ วามรสู้ ึกอารมณร์ ุนแรง ก้าวร้าว • เมอื่ นกั เรียนไดเห็นฉากละครทมี่ ีสีสันดังภาพ สเี หลือง ให้ความรูส้ ึกสุขสบาย เจิดจ้า ร่าเริง นกั เรียนรูสึกอยางไร สีชมพู ใหค้ วามรสู้ กึ น่ารกั นา่ เอน็ ดู สีสม้ ให้ความรูส้ ึกร่าเรงิ แจ่มใส มชี วี ิตชีวา ปราศจากความทุกข์โศก (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น การแสดงละครแนวสมจรงิ แสงที่น�ามาประกอบการแสดงจะเหมอื นกับแสงธรรมชาติ เพอ่ื สร้างบรรยากาศใหส้ มจริง ไดอ ยางอสิ ระ) ที่มาของภาพ : http://www.galleryhip.com แสง สยี งั มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ฉากและเครอ่ื งแตง่ กายละคร เพราะเมอ่ื ถกู แสงไฟ สขี องฉากและ เครอื่ งแตง่ กายจะเปลยี่ นไป เชน่ ตวั ละครทแี่ ตง่ สมี ว่ ง ถกู แสงสเี หลอื งจะกลายเปน็ สนี า�้ ตาล เปน็ ตน้ ๑98 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ถา ตองการแสดงใหเ หน็ ความโออ าหรหู รา ควรใชส ีประเภทใด 1 ละครแนวสมจริง (Representational Drama) ละครท่ีแสดงภาพ 1. สที อง ความเปนจรงิ สะทอ นชีวิตในสงั คมและความเปนอยขู องชมุ ชนออกมาเปน เร่ืองราว 2. สเี หลอื ง 2 ละครแนวเหนือจริง (Presentational Drama) ละครท่ีใหภ าพของการแสดง 3. สีนาํ้ เงนิ หลดุ ออกไปจากชวี ิตประจาํ วนั โดยยึดผชู มเปน เปา หมายสาํ คญั เพือ่ ใหผชู ม 4. สชี มพู เกิดความสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ ตืน่ เตน และผูชมจะเกิดความรสู ึกวา สิง่ ทีป่ รากฏ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะสที องจะแสดงใหเห็นถึงความหรหู รา ไมใชชวี ิตจรงิ ซ่ึงฉากและเครื่องแตงกายจะหรูหรา สวยงาม ประณีต วจิ ิตรบรรจง โออ า มีราคา สูงคา ความมง่ั คั่ง ความร่ํารวย เปนสีที่ตดั กบั สีขออื่นๆ มเี สนหประทบั ใจผูช ม แลวดเู ดน และยงั เปนสที ชี่ ว ยเสริมสรา งบรรยากาศโดยรอบใหดยู ง่ิ ใหญด วย มมุ IT นกั เรยี นสามารถศกึ ษา คนควา เพมิ่ เตมิ เกี่ยวกับละครแนวสมจริง และละครแนวเหนอื จริงไดจ าก http://www.www.lks.ac.th 198 คมู่ ือครู กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ นอกจากแสงที่สามารถช่วยสร้าง ครูนาํ ภาพการแสดงละครเวทมี าใหน กั เรียนดู บรรยากาศและอารมณ์ใหก้ บั ผชู้ ม อกี ปจั จยั สา� คญั จากน้นั ครูถามนักเรยี นวา ที่จะสามารถดึงอารมณ์ของผู้ชมให้คล้อยตาม เนอื้ เรอ่ื งไดน้ นั้ คอื เสยี ง ไมว่ า่ จะเปน็ เสยี งประกอบ • จากภาพนกั เรยี นจะวิจารณในสง่ิ ใดไดบา ง หรือเสียงดนตรีภูมิหลัง (Background Music) (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ก็มีความส�าคัญต่อการแสดงเป็นอย่างมาก ไดอยางอิสระ) โดยเสียงประกอบการแสดง เช่น เสียงปืน เสยี งฟา้ รอ้ ง เสยี งตกึ ถล่ม เสียงระเบิด เปน็ ตน้ • ถานกั เรยี นตองการวเิ คราะห วิจารณ ในปัจจุบันจะใช้บันทึกแถบเสียง หรือสร้างจาก ความสามารถของนกั แสดงควรพิจารณา เคร่ืองมืออิเล็กทรอนิกส์ แต่ถ้าหากเป็นเสียง อุปกรณ์ประกอบการแสดงจัดเป็นปจจัยหนึ่งที่สามารถ ในประเดน็ ใดบาง ดนตรีจะมที ั้งการบนั ทกึ และการเล่นดนตรสี ด ดงึ ดดู อารมณ์ของผูช้ มให้คล้อยตามเนอื้ เร่ืองได้ (แนวตอบ การรับ - สง บท การแสดงบทบาท ท่มี าของภาพ : http://www.thetartan.org และการออกเสียง) สา� รวจคน้ หา Explore ๔. อุปกรณ์ประกอบการแสดงและอุปกรณ์ประกอบฉาก เครื่องใช้ต่างๆ ที่น�ามา ใหนกั เรยี นศึกษา คนควา หาความรเู พม่ิ เติม ประกอบการแสดง หรอื ตกแตง่ ฉากจะชว่ ยแสดงใหเ้ หน็ ถงึ บคุ ลกิ และนสิ ยั ของตวั ละคร เชน่ ไมเ้ ทา้ เก่ยี วกับการวเิ คราะห วิจารณละครเวที จากแหลง แวน่ ตา กลอ้ งยาสบู เครอื่ งสา� อาง เครอื่ งครวั โตะ อาหาร ภาชนะสา� หรบั รบั ประทานอาหาร หอ้ งรบั แขก การเรยี นรตู า งๆ เชน หอ งสมุดโรงเรียน หอ งสมดุ ตกแตง่ ดว้ ยรปู ภาพ แจกันดอกไม ้ ผา้ ปูโตะ เป็นต้น ชมุ ชน อินเทอรเ นต็ เปนตน ๓.4 การวเิ คราะห ์วจิ ารณล์ ะครเวที ละครเวท ี เปน็ ละครทต่ี อ้ งอาศยั การสนทนา อธบิ ายความรู้ ในการด�าเนินเรื่องและในการแสดงละครเวที Explain ต้องอาศัยองค์ประกอบต่างๆ เพ่ือให้เกิดความ ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั การวเิ คราะห สมบูรณ์ ผู้วิเคราะห์ วิจารณ์ละครเวที จึงต้อง วจิ ารณล ะครเวที ตามที่ไดศ กึ ษามา จากน้นั ครูถาม พจิ ารณาละครเวทีในหลายๆ ดา้ น โดยมแี นวทาง นักเรียนวา การวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ละครเวท ี ดงั น�้ ๑) ความสามารถของผู้แสดง • ผทู ส่ี ามารถวเิ คราะห วิจารณการแสดง เน่ืองจากละครเวทีเป็นละครสด ที่จะต้องใช้ ละครเวทไี ดดีน้นั ควรมคี ณุ สมบตั ิอยา งไร บทสนทนาในการดา� เนนิ เรอ่ื ง ดงั นนั้ การทลี่ ะคร ละครเวที เปน็ ละครทแี่ สดงสด ดงั นน้ั ผแู้ สดงจะตอ้ งแสดง (แนวตอบ ตองมคี วามรู ความเขาใจในเรื่อง จะสามารถดึงอารมณ์และสร้างความประทับใจ ให้สมบทบาท ตบี ทใหแ้ ตกโดยไมฝ่ นธรรมชาติ ทจี่ ะวิจารณเปน อยางดี ตอ งตดิ ตามความ ทม่ี าของภาพ : http://www.mvprogress.com เคล่ือนไหวของวงการท่ีจะวิจารณ ทั้งจาก การอาน การฟง การดู และการชมอยาง ใหผ้ ชู้ มไดน้ น้ั สว่ นสา� คญั กค็ อื ความสามารถของผแู้ สดง ผวู้ เิ คราะห ์ วจิ ารณค์ วรพจิ ารณาวา่ ผแู้ สดงรบั - สมํ่าเสมอ มีความคิดเฉียบแหลม หยั่งรูถึง ส่งบทกนั ได้ทนั ท่วงทีและมีจังหวะเหมาะสมหรือไม ่ นอกจากน้ ี ผ้แู สดงจะต้องแสดงใหส้ มบทบาท แกน ของเรอื่ งไมพ จิ ารณาแตเ พยี งผวิ เผนิ และ ตีบทให้แตกโดยไม่ฝืนธรรมชาติ และไม่แสดงบทที่ซ�้าซากจนน่าเบ่ือ และส่ิงส�าคัญท่ีจะท�าให้การ ตอ งมคี วามยตุ ธิ รรม มใี จเปน กลาง ไมเ อนเอยี ง) ๑99 แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู ประโยชนทไ่ี ดร บั จากการวเิ คราะห วจิ ารณการแสดงละครเวทีคือสิ่งใด ครคู วรอธิบายความรูเพมิ่ เตมิ เก่ยี วกบั ชนดิ ของการวจิ ารณ ซ่งึ สามารถแบง แนวตอบ การวจิ ารณอ อกเปน 3 แบบ ไดแ ก 1. มโี อกาสแสดงแนวความคดิ สรา งสรรคข องตนเอง 2. รับทราบแนวความคดิ ของผูอื่น เพือ่ นําไปปรบั ปรุง แกไ ข พฒั นา 1. จติ วิจารณ (Impressionistic Criticism) เปนการวิจารณในแงความรูสึกนึกคิด ของผูวิจารณ ใหผลงานของตนดยี ง่ิ ขน้ึ 3. เกดิ พลงั กระตนุ ใหเกดิ ประสิทธภิ าพในการสรางสรรคผ ลงานตอไป 2. อรรถวจิ ารณ (Interpretative Criticism) เปน การวจิ ารณใ นแงแ ปล หรอื ตคี วาม 4. ไดผ ลงานทมี่ ีคณุ คา และประโยชนตอสว นรวมมากข้นึ อีก 3. วพิ ากษ วจิ ารณ (Judicial Criticism) เปน การวจิ ารณใ นแงก ารใหค าํ พพิ ากษา 5. มีความเขาใจตอ กนั ในทางท่ดี รี ะหวางผูสรางสรรคแ ละผูว ิจารณ การวิจารณแบบที่ 1 และแบบท่ี 2 จะยดึ ความเหน็ และความรสู ึกของ บคุ คลธรรมดาเปนทตี่ ้ัง ไมไดใ ชห ลักความรใู นการวจิ ารณ สว นแบบท่ี 3 เรยี กวา “วิพากษ วจิ ารณ” คอื ผูว ิจารณมหี ลักในการวจิ ารณ โดยตอ งพิจารณาให ถองแทแนใ จกอ นแลวคอ ยตดั สนิ ใจ ค่มู อื ครู 199 กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครูสุมนกั เรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม สื่อสารระหว่างตัวละครไปสู่ผชู้ มเปน็ ไปอย่างชัดเจน ราบรนื่ คอื การออกเสยี งของผแู้ สดง ผู้แสดง ดังตอ ไปน้ี จะตอ้ งออกเสียงอกั ขระใหถ้ กู ต้องและชดั เจน ๒) บุคลิกลักษณะของตัวละคร การสร้างบุคลิกลักษณะของตัวละครในเรื่อง • จากภาพนกั เรยี นสามารถวิเคราะห วิจารณ ในประเดน็ ใดไดบ า ง มีความส�าคัญต่อละครเป็นอย่างมาก ในละครแนวต่างๆ บุคลิกของตัวละครก็จะแตกต่างกันไป ส�าหรบั ละครแนวสมจรงิ ตวั ละครกจ็ ะมบี คุ ลกิ ลกั ษณะทเี่ หมอื นมนษุ ยธ์ รรมดาทวั่ ไป มจี ติ ใจเหมอื น มนษุ ยธ์ รรมดา ส่วนในละครแนวเหนือจริง ตัวละครอาจมีลักษณะแปลกออกไปตามจินตนาการ ของผู้ประพนั ธ์บทละคร ผู้วเิ คราะห ์ วจิ ารณ์จงึ ควรพจิ ารณาวา่ บุคลิกลักษณะของตัวละครมคี วาม สอดคล้องกับเนอ้ื เรอื่ งหรือไม่ ๓) ปฏิกริ ยิ าของผูช้ ม นอกจากการแสดงที่อยบู่ นเวทแี ลว้ ผวู้ ิจารณต์ ้องพจิ ารณาว่า ผู้ชมซ่ึงถือเป็นผู้รับสารจากละครมีอารมณ์คล้อยตามบทละครหรือไม่ เพราะการแสดงละครท่ี (แนวตอบ สามารถวิเคราะห วจิ ารณไ ด ประสบความส�าเร็จจะต้องสามารถท�าให้ผู้ชมมีอารมณ์คล้อยตามบทละครได้ และเมื่อผู้ชมได้ ในประเด็น ดังตอไปน้ี ชมละครแล้ว ผู้ชมจะตอ้ งมปี ฏกิ ิรยิ าตามอารมณข์ องเนอื้ เรอื่ ง เช่น บทตลก ผู้ชมหวั เราะ ถา้ หาก 1. ความสามารถของนักแสดง ผชู้ มนง่ิ เงียบ ไมห่ ัวเราะ แสดงว่าการแสดงไมป่ ระสบความสา� เร็จ เป็นต้น 2. บุคลกิ ลักษณะของตัวละคร ๔) องคป์ ระกอบ ผวู้ เิ คราะห ์ วจิ ารณต์ อ้ งพจิ ารณาวา่ องคป์ ระกอบจา� พวกเครอ่ื งแตง่ กาย 3. ปฏิกริ ยิ าของผชู ม ฉาก แสง ส ี เสยี ง จะชว่ ยสรา้ งบรรยากาศใหก้ บั 4. องคประกอบ การแสดงไดอ้ ยา่ งเหมาะสมหรอื ไม ่ และสามารถ 5. จุดที่นา สนใจ) ส่ือความหมายได้ตรงกบั เนอ้ื เรอ่ื งหรอื ไม่ • ผวู เิ คราะห วจิ ารณบ คุ ลกิ ลกั ษณะของตวั ละคร ๕) จดุ ทน่ี า่ สนใจ ละครเรอ่ื งหนงึ่ ๆ ควรพจิ ารณาในประเด็นใดเปน หลกั จะน่าสนใจและประทับใจผู้ชมได้น้ันจะต้องมี (แนวตอบ บุคลกิ และลกั ษณะของตัวละคร ความโดดเดน่ และนา่ สนใจ การวเิ คราะห ์ วจิ ารณ์ มคี วามสอดคลอ งเหมาะสมกับเน้อื เรอื่ ง ละครจงึ จะพจิ ารณาถงึ จดุ ทนี่ า่ สนใจของละครวา่ หรือไม) อย่ทู ่เี ร่อื งราว บทบาทของผ้แู สดง องคป์ ระกอบ • การวเิ คราะห วจิ ารณจุดทีน่ าสนใจ จ�าพวกฉาก แสง ส ี เสียง เครื่องแต่งกาย หรอื ควรพิจารณาในประเดน็ ใด ตรงจุดใด (แนวตอบ เรือ่ งราวและบทบาทของตัวละคร การรู้หลักการวิเคราะห์ วิจารณ์ละครเวที วามอี งคป ระกอบใดที่โดดเดน ) ทจะ�าทให�าเ้ใขหา้้ไใดจ้รถับึงอบรทรลถะรคสรจ1มาากกกขานึ้รชดมว้ ยล ะดคงัรตเววั ทอีแยล่างะ องค์ประกอบด้านฉาก เคร่ืองแต่งกาย และอุปกรณ์ การวเิ คราะห์ วจิ ารณล์ ะครเวที ตอ่ ไปน้ี ประกอบการแสดงตา่ งๆ จะสรา้ งความสมจรงิ ใหล้ ะครเวที มากยิ่งขนึ้ ท่ีมาของภาพ : http://www.galleryhip.com ๒๐๐ เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET จุดทนี่ า สนใจของการแสดงละครในภาพน้ีคอื ส่งิ ใด ครเู นน ใหเ ห็นวาผูว จิ ารณที่ดจี ะตอ งตระหนกั ในเร่ืองจรยิ ธรรม ซึง่ มคี วาม 1. ฉากมคี วามอลงั การ เก่ยี วเนื่องกับคณุ ธรรมและมโนธรรม ซ่ึงอริสโตเติล (Aristotle) ไดกลาวถึงคณุ ธรรม 2. นกั แสดงเตนพรอมเพรียงกัน 4 ประการ ท่มี นษุ ยพ งึ ปฏบิ ตั ติ อ มนุษยดว ยกัน คอื ความรอบคอบ (Prudence) 3. การแตง หนาเลียนแบบสตั ว ความรจู กั ประมาณ (Temperance) ความกลา หาญ (Courage) และความยุติธรรม 4. สีของเครื่องแตงกายทีม่ ีความ (Justice) โดดเดน นกั เรียนควรรู วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะจุดทน่ี าสนใจของการแสดงละคร 1 บทละคร งานเขียนประเภทหน่ึงที่ถายทอดออกมาเปน เรือ่ งราว การกระทํา เรื่องน้ี คือ นกั แสดงทุกคนจะแตง หนา เลียนแบบสตั ว นบั วา เปน การสราง และประสบการณข องมนษุ ย โดยมจี ุดประสงคในการเขยี นเพ่ือนํางานน้นั มาจดั จดุ เดน อยางหน่งึ ทผี่ วู จิ ารณส ามารถนาํ มาวิเคราะห วิจารณการแสดงได การแสดง ซ่งึ โครงสรา งของละครจะตอ งประกอบไปดว ยโครงเรอ่ื ง ตัวละคร และวธิ ีสรา งตวั ละคร บทเจรจา ฉาก แนวคดิ ของเรือ่ ง และการแสดง 200 คู่มือครู กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา้ ใา้ จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ครูสมุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ดงั ตอ ไปน้ี • จากภาพนักเรยี นสามารถวจิ ารณการแสดง ไดอ ยา งไร การแสดงละครเวที เรอ่ื ง มทั นะพาธา ท่มี าของภาพ จ:าhกttpภ:/า/พwเwปwน็ .tกopาicรsแtoสcดk.งpลanะtคipร.cเoวmท ี เรอื่ งมทั นะพาธา1 บทพระราชนพิ นธ์ในพระบาทสมเดจ็ - (แนวตอบ จากภาพเปน การแสดงโขน เรอื่ ง รามเกยี รต์ิ ตอนยกรบ เปน การแสดงการรบกนั พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว (รัชกาลท่ี ๖) สามารถวิเคราะห ์ วิจารณต์ ามหลกั เกณฑ์ ไดด้ งั นี้ ระหวา งกองทพั ฝายพระรามและกองทพั ๑) บคุ ลกิ ลกั ษณะของตวั ละคร เนอื่ งจากเรอ่ื งมทั นะพาธา เปน็ ละครประเภทเหนอื จรงิ ฝายทศกัณฐ สามารถวเิ คราะห วิจารณ เนอ้ื เร่อื งเป็นตา� นานดอกกุหลาบ ตัวละครมที ง้ั เทวดา นางฟา้ และมนษุ ย์ ซึ่งตัวละครท่ีไม่ใชม่ นษุ ย์ ตามหลกั เกณฑไ ด ดงั ตอ ไปน้ี บคุ ลกิ ตวั ละคร กจ็ ะมีอ�านาจวิเศษ บคุ ลกิ ลักษณะของตัวละครถือวา่ สอดคลอ้ งกบั แนวละครทมี่ ลี ักษณะเหนือจริง เปนละครประเภทเหนือจริง คอื มที ง้ั มนุษย ๒) ความสามารถของผแู้ สดง ผแู้ สดงสามารถรบั - สง่ บทพดู ไดอ้ ยา่ งมจี งั หวะ เนอื่ งจาก ยกั ษ ลงิ ความสามารถของนกั แสดง นกั แสดง บทละครเรื่องมัทนะพาธา เป็นบทละครพูดค�าฉันท์ จังหวะการพูดจะไม่เหมือนบทสนทนาปกติ สามารถรายราํ ไดอ ยา งงดงาม และตีบทได การรบั - สง่ บททถ่ี กู จงั หวะสอดคลอ้ งกบั การเคลอ่ื นไหว แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การฝกึ ซอ้ มมาอยา่ งด ี ผแู้ สดง ถูกตอ งตามบทพากย ปฏิกิรยิ าของผชู ม สามารถแสดงไดส้ มบทบาท ดูไมข่ ดั เขิน มอี ารมณร ว มไปกบั การแสดง เนอ่ื งจากมฉี าก ๓) ปฏกิ ริ ยิ าของผชู้ ม ผชู้ มสว่ นใหญส่ ามารถเขา้ ใจเรอื่ งได ้ แมบ้ ทพดู จะเปน็ คา� ฉนั ท์ ท่สี วยงามตระการตาและเปน ฉากท่ีมคี วาม ท้ังหมด นอกจากน ้ี ผชู้ มยังมีอารมณร์ ่วมไปตามเน้ือเรื่อง โดยมปี ฏกิ ิริยาตรงกับอารมณท์ ผ่ี แู้ สดง ยิง่ ใหญ เพราะใชน กั แสดงเปน จาํ นวนมาก ถ่ายทอดออกมาบนเวที องคป ระกอบ มคี วามสวยงามครบถวน ๔) องค์ประกอบ อันได้แก่ ฉาก อุปกรณ์ถูกตอ้ งตามแนวละครเหนอื จรงิ เป็นการ แบบละครใน การแตง กายถูกตองตาม สรา้ งฉากจากจนิ ตนาการ เชน่ ฉากบนสวรรค ์ เปน็ ตน้ นอกจากความสวยงามของฉากแล้ว ผชู้ ม หลักการแสดงโขน จดุ ท่ีนาสนใจ เร่อื งราว ยังสามารถจนิ ตนาการไดว้ ่าเป็นเสมือนสวรรคจ์ ริงๆ ชวนใหต ดิ ตามวาฝายใดจะเปนผูชนะ เครื่องแต่งกาย แต่งตามเชื้อชาติและจินตนาการ สอดคล้องกับเน้ือเรื่องและสัมพันธ์ ในการรบครง้ั นี้) กับแสง ส ี ทา� ใหก้ ารแสดงมสี นุ ทรยี ภาพ ๕) จดุ ทนี่ า่ สนใจ คอื เรอ่ื งราวของละครทช่ี วนใหต้ ดิ ตามวา่ เหตกุ ารณต์ อนทน่ี างมทั นา ไม่รับรักทา้ วสเุ ทษณ์ จะด�าเนินไปถึงขั้นแตกหกั อยา่ งไร เป็นการเร้าอารมณ์ผู้ชมใหเ้ ดาเหตกุ ารณ์ ขยายความเขา้ ใจ E×pand ในท่ีสดุ เร่ืองก็จบลงดว้ ยความเหมาะสม โดยนางมทั นาถูกสาปให้เปน็ ดอกกหุ ลาบ ใหนกั เรียนสรปุ สาระสาํ คญั เก่ียวกับ การสรา งสรรคล ะครเวที ลงกระดาษรายงาน ๒๐๑ นําสง ครูผสู อน กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู ใหน กั เรียนศึกษาเพิม่ เติมเกย่ี วกับสรา งสรรคละครเวที เขียนสรุป 1 มัทนะพาธา บทพระราชนพิ นธในพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา เจาอยหู วั สาระสําคญั และประโยชนท่ไี ดร บั จากการสรา งสรรคล ะครเวที ลงกระดาษ (รชั กาลท่ี 6) วาดว ยตาํ นานเกยี่ วกบั ดอกกุหลาบ เปน วรรณคดีทท่ี รงคุณคา รายงาน นาํ สงครูผูสอน ดา นวรรณศลิ ป ที่ใหขอคดิ ตรงกบั พทุ ธวจนะทวี่ า “ทใี่ ดมีรัก ทน่ี นั่ มีทุกข” และไดรับ การยกยอ งจากวรรณคดีสโมสรวาเปนหนังสือทแ่ี ตง ดี มทั นา มาจากคําวา “มทน” กิจกรรมทาทาย แปลวา ความลมุ หลง หรือความรัก และชือ่ ของนางเอก คือ “มัทนะพาธา” จงึ มีความหมายวา ความเจบ็ ปวดและความเดอื ดรอ นเพราะความรัก ซงึ่ ตรงกบั แกน ของเรอื่ งท่ชี ี้ใหเ หน็ ถงึ โทษของความรัก ใหนักเรยี นชมการแสดงละครเวทจี ากสอ่ื อินเทอรเ น็ต 1 เรือ่ ง มมุ IT จากนนั้ วิเคราะห วิจารณก ารแสดงในหัวขอความสามารถของนกั แสดง บคุ ลิกลักษณะของตัวละคร ปฏิกิรยิ าของผูชม องคประกอบ และจดุ ท่ี นกั เรยี นสามารถชมการแสดงละครเรื่องมัทนะพาธา ไดจ าก นา สนใจ ลงกระดาษรายงาน นําสง ครูผูส อน http://www.youtube.com โดยคน หาจากคําวา มทั นะพาธา คูม่ ือครู 201 กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครูพจิ ารณาจากการสรปุ สาระสาํ คัญเกี่ยวกับ กิจกรรม ศลิ ปป์ ฏิบตั ิ ๑๑.๒ การสรา งสรรคละครเวทีของนกั เรยี น หลักฐานแสดงผลการเรียนรู กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรยี นแบ่งกลุ่ม ๔ กลมุ่ เลอื กนทิ านอสี ปมากล่มุ ละ ๑ เร่อื ง ดงั น้� กิจกรรมท่ี ๒ 1. ผลการจัดนทิ รรศการเรื่อง ๑. เดก็ เลย้ี งแกะ ๒. ราชสหี ก์ บั หน ู “ววิ ัฒนาการละครของไทย” ๓. กระตา่ ยกบั เตา่ ๔. หมากบั เงา 2. ผลการสรปุ สาระสาํ คญั เกย่ี วกับ การสรา งสรรคล ะครรํา จดั แสดงละครหนา้ ชน้ั เรยี น ใหเ้ พอ่ื นๆ และครผู สู้ อนคอยใหค้ ะแนน 3. ผลการจดั นิทรรศการเร่ือง ใหน้ กั เรยี นตอบคา� ถามตอ่ ไปน้� “หลกั การวเิ คราะห วิจารณ การแสดงละครรําประเภทตางๆ” ๑. จงวเิ คราะหค์ ณุ คา่ ของละครทม่ี ตี อ่ สงั คมไทยมาโดยสงั เขป 4. ผลการสรปุ สาระสําคญั เกี่ยวกบั ๒. จงอธบิ ายความสมั พนั ธข์ องศลิ ปะแขนงอน่ื ๆ กบั การละคร การสรางสรรคล ะครเวที ๓. หลกั การวเิ คราะหก์ ารแสดงมคี วามสา� คญั อยา่ งไรตอ่ การแสดงละคร การแสดงละครของไทยปรากฏหลักฐานวา เร่ิมมีรากฐานมาตั้งแตสมัยกอน สุโขทัย จนมาถึงสมัยสุโขทัย การแสดงละครก็เปนไปอยางมีแบบแผนมากขึ้น กระทั่ง เขา สูสมยั อยธุ ยา ละครราํ กไ็ ดร บั การพฒั นาใหม หี ลายประเภท เมอ่ื ถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทรท ่ี อทิ ธพิ ลจากชาตติ ะวนั ตกไดห ลง่ั ไหลเขา สสู งั คมไทย การแสดงละครของไทยกเ็ ปลย่ี นแปลง รปู แบบไปสูละครท่ีไมใชท ารําดวย คอื ละครรอ งและละครพูด ในปจ จบุ นั ละครมคี วามแพรห ลายมากขนึ้ เนอื่ งจากอทิ ธพิ ลของเทคโนโลยสี มยั ใหม ทาํ ใหล ะครมหี ลากหลายรปู แบบมากขน้ึ ไมว า จะเปน ละครเวที ละครวทิ ยุ ละครโทรทศั น ฯลฯ ผชู มละครกม็ จี าํ นวนกวา งขวาง รวมทงั้ การแสดงละครกม็ กี ารประยกุ ตศ ลิ ปะแขนงตา งๆ มาใช เพ่อื ใหล ะครมีความซับซอ น สนุกสนาน และสมจริงมากขนึ้ สาํ หรบั การชมละครไมว า จะเปน ละครราํ หรอื ละครเวทกี ต็ าม ผชู มควรรจู กั วเิ คราะห วจิ ารณล ะครทไี่ ดช มดว ย โดยอาศยั เกณฑต า งๆ ทอ่ี าจจะสรา งขนึ้ เองกไ็ ด ทงั้ น้ี เพอ่ื ใหก ารชม ละครเกดิ ความเขาใจ รวมทัง้ ชมละครไดอ ยา งมีอรรถรส ๒๐๒ แนวตอบ กจิ กรรมศลิ ปป ฏบิ ตั ิ 11.2 กจิ กรรมที่ 2 1. นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอิสระ โดยขึน้ อยกู บั ดุลยพนิ ิจของครผู ูสอน 2. ศิลปะแขนงอน่ื ๆ ท่เี กีย่ วกับการละครไดแ ก 1) วรรณกรรม คอื บทละคร บทรอง บทพากย - เจรจา 2) จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปตยกรรม นาํ มาใชในองคประกอบของการแสดง เชน ฉาก ไฟ แสง สี อปุ กรณป ระกอบการแสดง เปน ตน 3) ดนตรี การขบั รอง และการฟอนราํ 4) เพ่ือใหผูท สี่ รา งสรรคก ารแสดงสามารถนาํ คาํ วิจารณไปปรับใชใ นการแสดงตอ ๆ ไปใหมคี ุณภาพมากย่ิงขึ้น 3. สาํ หรบั การชมละครไมวา จะเปนละครราํ หรอื ละครเวทกี ็ตาม ผชู มควรรจู กั วิเคราะห วจิ ารณละครทไ่ี ดช มดว ย โดยอาศยั เกณฑต างๆ ท่ีอาจจะสรา งขนึ้ เองก็ได ทั้งนี้ เพื่อใหการชมละครเกิดความเขาใจ รวมท้งั ชมละครไดอ ยางมีอรรถรส 202 ค่มู อื ครู กระต้นุ ความสนใจ สำ� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ºÃóҹءÃÁ กฤษรา (ซูไรมาน) ๒๕๕๑. วรศิ ราภรู ชิ า. งานฉากละคร ๑. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . __________. ๒๕๕๑. งานฉากละคร ๒. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . กติ ตชิ ยั รตั นพนั ธ.์ ดนตรี - นาฏศลิ ปพ น้ื บา้ นภาคใต.้ กรงุ เทพมหานคร : โอเดยี นสโตร,์ ม.ป.ป. กุลวด ี มกราภิรมย์. ๒๕๕๒. การละครตะวนั ตก : สมัยคลาสสกิ - สมัยฟน ฟูศิลปวทิ ยา. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . โกวทิ ย ์ ขนั ธศริ .ิ ๒๕๕๐. ดรุ ยิ างคศลิ ปต ะวนั ตก (เบอ้ื งตน้ ). กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . ไขแสง ศขุ วฒั นะ. ๒๕๔๑. สงั คตี นยิ มวา่ ดว้ ย : ดนตรตี ะวนั ตก. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานชิ . คมสนั ต ์ วงศว์ รรณ.์ ดนตรตี ะวนั ตก. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ม.ป.ป. ฐติ ริ ตั น ์ เกดิ หาญ. ๒๕๕๒. นาฏศลิ ปไ ทย. กรงุ เทพมหานคร : สกายบกุ ส.์ ณรงคช์ ยั ปฎิ กรชั ต.์ ๒๕๔๒. สารานกุ รมเพลงไทย. กรงุ เทพมหานคร : เรอื นแกว้ การพมิ พ.์ ณชั ชา โสคตยิ านรุ กั ษ.์ ทฤษฎดี นตร.ี กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ม.ป.ป. ปญั ญา รงุ่ เรอื ง. ๒๕๔๖. ประวตั กิ ารดนตรไี ทย. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานชิ . ประพนั ธศ์ กั ด ์ิ พมุ่ อนิ ทร.์ ๒๕๔๘. ทฤษฎดี นตรสี ากลขน้ั พน้ื ฐาน. กรงุ เทพมหานคร : เอม็ ไอเอส ซอฟทเ์ ทค. ภทั รวด ี ภชู ฎาภารมย.์ วฒั นธรรมดนตรแี ละเพลงพน้ื เมอื งภาคกลาง. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , ม.ป.ป. __________. ๒๕๕๐. วฒั นธรรมบนั เทงิ ในชาตไิ ทย. กรงุ เทพมหานคร : มตชิ น. มนตร ี ตราโมท. ๒๕๔๐. ดรุ ยิ างคศาสตรไ์ ทย ภาควชิ าการ. กรงุ เทพฯ : มตชิ น. ราชบณั ฑติ ยสถาน. ๒๕๔๘. ศพั ทด์ นตรสี ากล ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน. (พมิ พค์ รง้ั ท ่ี ๑). กรงุ เทพมหานคร : อรณุ การพมิ พ.์ ราน � ชยั สงคราม. ๒๕๔๔. นาฏศลิ ปไ ทยเบอ้ื งตน้ . กรงุ เทพมหานคร : องคก์ ารคา้ ครุ สุ ภา. ลญั ฉนะวตั นมิ มานรตนกลุ . ทฤษฎดี นตรตี ะวนั ตก. กรงุ เทพมหานคร : นมิ มานรตนกลุ , ม.ป.ป. วชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, กรม. ศลิ ปะการละครเบอ้ื งตน้ . กรงุ เทพมหานคร : ม.ป.ท., ม.ป.ป. วมิ ลศร ี อปุ รมยั . ๒๕๕๓. นาฏกรรมและการละคร. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ศริ มิ งคล นาฏยกลุ . ๒๕๕๐. การจดั แสงสใี นงานศลิ ปะการแสดง. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. สดใส พนั ธมุ โกมล. ศลิ ปะของการแสดง (ละครสมยั ใหม)่ . กรงุ เทพมหานคร : ม.ป.ท., ม.ป.ป. สวติ ทบั ทมิ ศร.ี ๒๕๔๘. ดนตรไี ทยภาคปฏบิ ตั ิ เลม่ ๑. กรงุ เทพมหานคร : ประชมุ ทอง พรน้ิ ตง้ิ กรปุ . สงบศกึ ธรรมวหิ าร. ๒๕๔๒. ดรุ ยิ างคไ์ ทย. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . สมุ ติ ร เทพวงษ.์ ๒๕๔๑. นาฏศลิ ปไ ทย. กรงุ เทพมหานคร : โอเดยี นสโตร.์ สมุ นมาลย ์ นม�ิ เนตพิ นั ธ.์ ๒๕๔๓. การละครไทย. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานชิ . ๒๐๓ คูม่ ือครู 203 กระตุ้นความสนใจ สำ� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate สรุ พล สวุ รรณ. ดนตรไี ทยในวฒั นธรรมไทย. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ม.ป.ป. เสถยี ร ดวงจนั ทรท์ พิ ย.์ ๒๕๕๒. เพลง ดนตรี และนาฏศลิ ป จาก สาสน์ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดา� รงราชานภุ าพ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ.์ กรงุ เทพมหานคร : วทิ ยาลยั ดรุ ยิ างคศลิ ป ์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. สา� เรจ็ คา� โมง. ๒๕๕๒. ทฤษฎดี นตรสี ากล ฉบบั สรรพสตู ร. กรงุ เทพมหานคร : ฐานบณั ฑติ . อนนั ท ์ นาคคง. ๒๕๕๐. ดนตรไี ทยเดมิ . กรงุ เทพมหานคร : อทุ ยานการเรยี นร.ู้ อษั ฎาวธุ สาครกิ . ๒๕๕๐. เครอ่ื งดนตรไี ทย. กรงุ เทพมหานคร : อทุ ยานการเรยี นร.ู้ Daniels Arthur and Wagner Lavern. 2004. Listening to Music. New York: Holt, Rinehart and Winston. Dearling Robert. 1999. The Encyclopedia of Musical Instruments. Dubai: Carlton books. Evans, Cheryl and Lucy Smith. 1992. Acting & Theatre. London: Usborne Publishing. Mattani Mojdara Rutnin. 1993. Dance, Drama, and Theatre in Thailand: The Process of Development and Modernization. Tokyo: The Toyo Bunko. สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ กรมศลิ ปากร. (๒๕๕๓). นาฏศลิ ปไ์ ทย. สบื คน้ เมอ่ื ๒๐ กนั ยายน ๒๕๕๓. จาก www.finearts.go.th/th/index- Original.php. สา� นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาต ิ กระทรวงวฒั นธรรม. (๒๕๕๓). เครอ่ื งดนตรพี น้ื บา้ นไทย. สบื คน้ เมอ่ื ๒๐ กนั ยายน ๒๕๕๓. จาก www.culture.go.th/research/musical/html/th.htm. หอสมดุ ดนตรพี ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลท ่ี ๙ และหอ้ งสมดุ ดนตรที ลู กระหมอ่ มสริ นิ ธร. (๒๕๕๓). บทเพลง พระราชนพิ นธ.์ สบื คน้ เมอ่ื ๒๒ กนั ยายน ๒๕๕๓. จาก http://www.kingramamusic.org/. ๒๐4 204 คูม่ อื ครู สรา้ งอนาคตเดก็ ไทย ดว้ ยนวตั กรรมการเรยี นรรู้ ะดบั โลก >> ราคาเลม่ นกั เรยี นโปรดดจู ากใบสง่ั ซอ้ื ของ อจท. คู่มือคคู่มรือู บครร.ู ดบนร.ตดรนี-นตารฎี-นศาิลฎปศ์ มิล.ป2์ ม.2 บรษิ ทั อกั ษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จำกดั 142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร 10200 โทร./แฟกซ.์ 02 6222 999 (อตั โนมตั ิ 20 คสู่ าย) 8 8 5885684694 19 23125237206576.06- 6.- www.aksorn.com Aksorn ACT ราคาน้ี เปน็ ของฉบบั คมู่ อื ครเู ทา่ นน้ั ฟิล์ม ธนภัทร จบที่ไหนฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ เกิดวันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2536 ที่จังหวัดสระบุรี สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย จากโรงเรียนสระบุรีวิทยาคม ระดับอุดมศึกษา จากคณะบริหารธุรกิจ สาขาการเงิน มหาวิทยาลัยกรุงเทพ โดยฟิล์มได้รับเกียรตินิยม อันดับ 2 เคยเป็นสจ๊วตสายการบิน ไทยไลอ้อนแอร์ และเคยประกวด DUTCHIE BOY & GIRL 2013 เข้าวงการจากโครงการ “รัก ... ฟิล์ม ธนภัทร อยู่ช่องไหนLaws Of Attraction (แจม รชตะ, ฟิล์ม ธนภัทร) งานปรากฏการณ์ "oneสนั่นจอ" ความฟินแบบจัดหนัก จัดเต็มไปพร้อมกับทัพดาราและนักแสดงหน้าใหม่ คอนเทนต์ ครบรส จากช่องวัน31 และ GMM25 และเซอร์ไพรส์โชว์สุดพิเศษ จากเหล่าศิลปิน oneสนั่นจอ2023oneสนั่นจอ #ช่องวัน31one31GMM25GMMTVoned 🔔 ติดตามข่าวสารจากช่อง one31 Facebook : / ...หน้ากากแก้ว ดูได้ที่ไหน#หน้ากากแก้ว ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 15:30 น. ทาง GMM25 ช่องทางออนไลน์ ฟรี!ธนภัทร กาวิละ แสดงเรื่องอะไรบ้างพายุทราย |