ฟ ล ม ธนภ ทร บวงสรวงหน าากากแก ว

แจกฟรีเฉพาะครูผสู้ อน คมู่ อื ครู อจท. ใช้ประกอบการสอนคกู่ บั หนงั สอื เรียน เพ่ิม วิธีการสอนเพ่ือยกผลสมั ฤทธิ์ ผ่านกระบวนการเรียนรู้ 5Es เพ่ิม ข้อสอบเน้นการคิดเพือ่ พัฒนา การเรยี นร้อู ย่างมีประสิทธิภาพ เพิม่ กิจกรรมสร้างเสรมิ ทกั ษะ การเรียนร้ตู ามศกั ยภาพผูเ้ รียน ใหม่ กิจกรรมบรู ณาการทักษะชวี ิต และการทำงานตามแนวคิด เศรษฐกจิ พอเพียง พร้อม กิจกรรมเสริมสรา้ งประสบการณ์ การเรยี นรู้สอู่ าเซยี น ภาพปกนม้ี ขี นาดเทา่ กบั หนงั สอื เรยี นฉบบั จรงิ ของนกั เรยี น

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 3 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ในปจั จบุ นั เรมิ่ มกี ารนา� โนต้ เขา้ มาใชใ้ นการฝกึ หดั ดนตรไี ทย บางวงใชโ้ นต้ ขณะบรรเลง หรอื ขบั รอ้ ง เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั การประเมนิ ความสามารถทางดนตรี ถา้ จะพิจารณาการบรรเลง หรอื ขบั ร้องในด้านความแมน่ ย�าในการอ่านเคร่อื งหมายและสญั ลักษณ์ สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรใู นหัวขอ สามารถพิจารณาได้จากการบรรเลง หรือขับร้องว่าตรงตามจังหวะหรือไม่ การบรรเลงซ�้าหรือ การควบคุมคุณภาพเสียงในการขับรองและการ การนบั เท่ยี วท�านองถกู ตอ้ งหรอื ไมเ่ พยี งใด บางชว่ งของบทเพลงอาจมีการบรรเลง หรือขบั รอ้ งซา�้ บรรเลงตามทไ่ี ดศ กึ ษามาหนา ชน้ั เรยี น จากนนั้ ครถู าม ทา� นองบางตอนของบทเพลง ผบู้ รรเลงสามารถดแู ละเขา้ ใจเครอื่ งหมาย หรอื สญั ลกั ษณน์ น้ั ไดอ้ ยา่ ง นักเรียนวา คล่องแคล่วถกู ต้องมากน้อยเพียงใด ทนั จังหวะเพลงหรอื ไม่ • ถา นกั เรยี นไดร บั มอบหมายใหป ระเมนิ คณุ ภาพ ๓) การควบคมุ คณุ ภาพเสยี งในการขบั รอ้ งและการบรรเลง สามารถจา� แนกเปน็ ดา นเสยี งของผูขบั รอ งและเสยี งของ เครือ่ งดนตรี นักเรยี นจะประเมินในเร่ืองใด ๒ กล่มุ คอื การควบคุมคณุ ภาพเสียงในการขับรอ้ งและการควบคมุ คณุ ภาพเสียงในการบรรเลง เปนหลัก ๑. การควบคมุ คณุ ภาพเสยี งในการขบั รอ้ ง หลกั ในการพจิ ารณาจะประกอบไปดว้ ย (แนวตอบ การประเมินดา นเสียงของผูขับรอ ง จะตองประเมนิ โดยใชหลกั เกณฑ ดังตอไปนี้ คุณภาพเสียงและเทคนิคในการขับรอ้ ง ดังนี้ 1. มนี า้ํ เสยี งทส่ี ดใส ดงั กงั วาน นา ฟง ไมเ พยี้ น 2. ความดังของเสียงมคี วามสมํา่ เสมอ คุณภาพเสยี ง เทคนคิ ในการขบั รอ้ ง สามารถออกเสยี งไดถกู ตอง ชัดเจน ทุกพยางค ไมม เี สยี งบอด • มีน�า้ เสียงสดใส กงั วาน นา่ ฟัง ไม่เพย้ี น • การเออ้ื น การออกเสยี งคา� ตามวรรณยกุ ต์ไดไ้ พเราะ 3. ความถกู ตองดา นอักขรวิธี การออกเสยี ง • ความดงั ของเสียงสม่า� เสมอ สามารถออกเสยี งได้ ถูกต้อง เหมาะสม คาํ ควบกลํา้ ร, ล, ว หรอื คําควบกลํา้ อื่นๆ ชัดเจนทกุ พยางค์ ไมม่ เี สยี งบอด • การใช้เสียงในการถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้อย่าง 4. ความหมายของคาํ ถูกตอ งไมผิดเพย้ี น • ความถูกตอ้ งด้านอกั ขรวธิ ี การออกเสียง “ร” “ล” เหมาะสม 5. การขึ้น การลงของเสียงมีความกลมกลืน หรือคา� ควบกล�้าอ่ืนๆ • ความกล้าแสดงออก ไมโหนเสียง สว นการประเมนิ ดา นเสยี งของเครอ่ื งดนตรี • ความหมายของค�าถูกตอ้ ง ไมผ่ ิดเพี้ยน • การผ่อนลมหายใจได้เหมาะสม เสียงดังชัดเจน จะตอ งประเมนิ โดยใชห ลกั เกณฑ ดงั ตอ ไปนี้ • การขึน้ - ลงเสียงเหมาะสม กลมกลืน ไมโ่ หนเสยี ง ทกุ ค�า 1. เสยี งของเครือ่ งดนตรีทุกชิ้นจะตองดงั มรี ะดับเสียงท่ีถูกตอ ง ไมเ พี้ยน ๒. การควบคมุ คณุ ภาพเสยี งในการบรรเลง หลกั ในการพจิ ารณาจะประกอบไปดว้ ย 2. มีความกลมกลืนของเสยี งเครื่องดนตรี คุณภาพเสยี งและเทคนิคในการบรรเลง ดังนี้ ทุกช้ินในวง) คุณภาพเสียง เทคนิคในการบรรเลง • เสียงเครื่องดนตรีทุกชิ้นดัง มีระดับเสียงที่ถูกต้อง • ความสามารถในการบรรเลงใหเ้ กดิ เสยี งทถ่ี า่ ยทอด ไมเ่ พ้ยี น อารมณค์ วามรสู้ ึกได้อยา่ งเหมาะสมกบั บทเพลง • ความสมดุลของเสียงเคร่ืองดนตรีทุกชิ้นในวง • ความกล้าแสดงออก มีความกลมกลืน เหมาะสม • ความสามัคคี • การบรรเลงเสียงหนัก - เบา, ยาว - สั้น มีความ พร้อมเพรียง • การขึน้ - ลง, รบั - สง่ ร้อง หรือเปลี่ยนเพลงราบรืน่ ไมท่ า� ให้อารมณ์เพลงสะดุด 64 เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครูควรเนน ใหน ักเรียนเหน็ ถึงประโยชนของการประเมินผลงานทางดนตรี ใหน กั เรยี นเลอื กฟงเพลงตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง วา มีประโยชน ดังตอไปนี้ จากนัน้ ประเมินผลงานทางดนตรี ในหัวขอความถกู ตอ งในการบรรเลง และขับรอง ความแมน ยําในการอานความหมายและสัญลกั ษณ 1. เพ่อื ใหค าํ ตดั สินเร่ืองดนตรแี ละการแสดงดนตรีวามีความงาม ความไพเราะ การควบคุมคณุ ภาพเสยี งในการขบั รอ งและการบรรเลง หรอื สุนทรียะอยางไร มีขอบกพรอ งใดบา ง ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผสู อน 2. เพื่อใหผทู ไ่ี ดอ า นคาํ ประเมนิ ใชเ ปนแนวทางในการฝก ทักษะทางการฟง กจิ กรรมทาทาย และการแสดงดนตรี อนั จะทําใหเขา ถึงความงาม ความไพเราะของดนตรี ใหน ักเรยี นออกแบบเกณฑการประเมินผลงานทางดนตรี 10 - 15 ขอ 3. เพ่อื ใหน ักดนตรีใชค าํ ประเมนิ เปนแนวทางในการปรับปรุงตนเอง ปรับปรงุ จากนั้นออกมานาํ เสนอผลงานใหเ พื่อนชมหนา ช้ันเรยี น โดยมคี รูเปน ผู การบรรเลง และการขับรอ งใหดียิ่งขน้ึ คอยชแี้ นะความถกู ตอ ง 4. เพื่อใหนกั วิจัย นักวเิ คราะห นกั วจิ ารณ นกั ประเมนิ คนอืน่ ๆ ใชเอกสาร การประเมนิ เพ่อื เปน แนวทางในการศึกษา เปรยี บเทยี บ และอางอิง 64 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขาใา จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู เสริมสาระ ใหนกั เรียนศกึ ษาเรอ่ื งสสี นั ของเสยี ง (Tone Color) จากในหนังสือเรยี น หนา 65 สีสันของเสยี ง (Tone Color) จากน้นั ครถู ามนักเรยี นวา สีสันของเสียง หมายถึง คุณลักษณะของเสียงท่ีก�าเนิดจากแหล่งเสียงที่แตกต่างกัน แหลง่ กา� เนดิ เสยี งดงั กลา่ ว เปน็ ไดท้ งั้ ทเ่ี ปน็ เสยี งรอ้ งของมนษุ ยแ์ ละเครอ่ื งดนตรชี นดิ ตา่ งๆ ความแตกตา่ ง • จากการศึกษาในเรอ่ื งสีสันของเสยี ง ของเสียงร้องมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเพศชายกับเพศหญิง หรือเพศเดียวกัน ต่างมีพื้นฐาน นกั เรยี นไดรบั ความรูอยา งไร ความแตกต่างกันทางด้านสรีระ เช่น หลอดเสียง กล่องเสียง เป็นต้น ส�าหรับเคร่ืองดนตรีน้ัน (แนวตอบ สสี นั ของเสยี ง คือ คุณลกั ษณะของ ความหลากหลายดา้ นสีสันของเสยี ง จะประกอบไปด้วยปจั จัยทแี่ ตกต่างกันหลายประการ ดังนี้ เสยี งทกี่ าํ เนดิ จากแหลงเสยี งทีแ่ ตกตา งกนั แหลงกําเนดิ เสียงดงั กลาว เปน ไดท ้งั ทเ่ี ปน ๑. วิธกี ารบรรเลง เปน็ วธิ กี ารผลิตเสียงของเครือ่ งดนตรไี ทย โดยอาศยั วิธีดดี สี ตี และเป่า เสยี งรอ งของมนษุ ยแ ละเครอ่ื งดนตรชี นดิ ตา งๆ วธิ กี ารผลติ เสยี งดงั กลา่ วลว้ นเปน็ ปจั จยั ใหเ้ ครอื่ งดนตรมี คี ณุ ลกั ษณะของเสยี งทต่ี า่ งกนั เชน่ กลมุ่ ทมี่ ี ซงึ่ แบงออกเปน 3 วธิ ี คือ วธิ ีการบรรเลง เสยี งราบเรยี บ ไดแ้ ก่ เครอื่ งเปา่ และเครอ่ื งสี เชน่ ปี ขลยุ่ ซอ เปน็ ตน้ หรอื กลมุ่ ทมี่ เี สยี งไมร่ าบเรยี บ จะอาศัยวิธดี ีด สี ตี และเปา วิธกี ารผลิต ฆเคอ้รงอ่ื วงงดเนลต็กรใีฆนอ้กงลวมุ่ งนใหจ้ี ะญป่ รจะะกเอขบ1้ เไปป็นดตว้ ย้นเครอื่ งดนตรตี ระกลู เครอื่ งตแี ละดดี เชน่ ระนาดเอก ระนาดทมุ้ เสียงดงั กลาว ลวนเปนปจจยั ใหเคร่อื งดนตรี มีคุณลกั ษณะของเสียงที่ตางกัน วสั ดุทใี่ ช ๒. วสั ดทุ ี่ใชท้ า� เครอื่ งดนตรี วสั ดทุ น่ี า� มาใชท้ า� เครอ่ื งดนตรขี องแตล่ ะวฒั นธรรมจะแตกตา่ ง ทาํ เครื่องดนตรีของแตละวัฒนธรรม กนั ไปตามสภาพแวดลอ้ มของสงั คมและยคุ สมยั ซง่ึ สง่ ผลใหเ้ กดิ ความแตกตา่ งในดา้ นสสี นั ของเสยี ง จะแตกตางกนั ไปตามสภาพแวดลอม สา� หรบั เครอ่ื งดนตรไี ทยนน้ั วสั ดสุ ว่ นมากเปน็ วสั ดทุ เ่ี ปน็ ผลติ ผลจากธรรมชาติ เชน่ ไมไ้ ผ่ กะลามะพรา้ ว ของสังคมและยุคสมัย ลักษณะของ เป็นต้น ดงั นั้น กระแสเสยี งทผ่ี ลติ จากเครือ่ งดนตรีไทย จงึ มีเสยี งที่นุ่มนวล ประสานกลมกลนื กับ เครอ่ื งดนตรที ม่ี รี ปู ทรงและขนาดทแ่ี ตกตา งกนั สภาพวถิ ีชวี ิตของคนในสงั คมไทยได้อยา่ งดยี ง่ิ จะเปน ปจ จยั ทสี่ ง ผลใหเ กดิ ความแตกตา งกนั ในดานสสี นั ของเสยี งในลักษณะทีม่ ี ๓. ขนาดและรูปทรง ลักษณะของเคร่อื งดนตรีทมี่ รี ูปทรงและขนาดทีแ่ ตกตา่ งกนั จะเป็น ความสัมพนั ธก ัน) ปจั จัยทส่ี ง่ ผลใหเ้ กดิ ความแตกตา่ งกนั ในดา้ นสีสนั ของเสียง ขยายความเขา ใจ E×pand ใหน กั เรียนรว มกันสรุปสาระสาํ คัญเกี่ยวกับ การประเมนิ ความสามารถทางดนตรี ลงกระดาษ รายงาน นาํ สงครผู ูสอน 2 65 วงป่ีพาทย์ดึกด�าบรรพ์ ถกู ปรับปรุงวงข้นึ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั (รัชกาลที่ ๕) ภาพจากสารานกุ รมศัพทด์ นตรีไทยภาคคตี ะ - ดรุ ิยางค์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ นกั เรยี นควรรู ขอ ใดตอบถูกตองเกยี่ วกบั คุณภาพของเสียง 1 จะเข เปน เครอ่ื งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งดดี มี 3 สาย ไดร บั ววิ ฒั นาการมาจาก 1. ความสูง - ตํา่ ของเสยี ง เกดิ การจาํ นวนความถี่ของการสั่นสะเทอื น พณิ คือ กระจับปท ี่นํามาวางดีดกบั พ้นื เพือ่ ความสะดวก จะเขนยิ มนาํ มาบรรเลง 2. ความหนัก - เบาของเสียงชว ยสนับสนนุ เสียงใหมจี งั หวะท่ีสมบูรณ ในวงมโหรคี กู ับกระจบั ป ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา นภาลยั 3. ความยาว - ส้นั ของเสยี งเปนส่ิงทข่ี าดไมไ ดใ นการกําหนดจังหวะเพลง (รัชกาลที่ 2) แหง กรงุ รัตนโกสินทร มผี นู ยิ มเลนจะเขกันมาก จงึ ทาํ ใหก ระจบั ป 4. คณุ ภาพของแหลง กาํ เนดิ เสยี งทแ่ี ตกตา งกนั จะทาํ ใหผ ฟู ง สามารถแยกแยะ คอยๆ เลือนหายไป 2 วงปพาทยด กึ ดําบรรพ เกิดขน้ึ ในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา สสี ันของเสยี งไดอ ยา งชดั เจน เจาอยูหวั (รชั กาลที่ 5) ไดร บั อทิ ธิพลมาจากการแสดงละครโอเปราของยโุ รป เจา พระยาเทเวศรว งววิ ฒั น (ม.ร.ว. หลาน กุญชร) และสมเดจ็ พระเจาบรมวงศเ ธอ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะเสียงท่เี กิดขนึ้ จากแหลง กาํ เนิดเสียง เจา ฟาจติ รเจรญิ กรมพระยานริศรานวุ ัดตวิ งศ รวมกนั ปรับปรงุ ขึน้ โดยนาํ มาบรรเลง ประกอบการแสดงละครดึกดาํ บรรพ ซ่ึงจะประกอบไปดวยเครื่องดนตรที ี่มีเสียงทุม ท่แี ตกตางกนั ซ่ึงเปน ทัง้ เสยี งท่เี กิดขนึ้ จากมนุษย หรือเสียงเคร่อื งดนตรี นุมนวล คือ ระนาดเอก (ใชไ มนวม) 1 ราง ตะโพน 1 ใบ ระนาดทมุ 1 ราง ชนิดตา งๆ จะทาํ ใหผูฟงสามารถแยกแยะสีสนั ของเสียงไดอ ยางชดั เจน ตะโพน 1 คู ระนาดทมุ เหล็ก 1 ราง ฉ่งิ 1 คู ฆอ งวงใหญ 1 วง ซออู 1 คัน ซ่ึงแสดงใหเห็นคณุ ภาพของเสยี งทมี่ คี วามหลากหลาย ฆองหุย 7 ใบ ขลยุ อู 1 เลา และขลยุ เพียงออ 1 เลา คูมือครู 65

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครูพจิ ารณาจากการสรปุ สาระสาํ คญั เกีย่ วกับ กจิ กรรม ศิลป์ปฏิบตั ิ ๓.๒ การประเมินความสามารถทางดนตรขี องนกั เรยี น หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรมท ่ี ๑ ให้ครูผสู้ อนเปด ซีดี (CD) เกี่ยวกับหลกั การบรรเลงดนตรไี ทยใหน้ กั เรียนชม จากนน้ั กจิ กรรมท ่ี ๒ ใหน้ ักเรยี นฝกึ หัดเคาะจงั หวะตาม 1. ผลการสรุปสาระสําคัญเกีย่ วกบั ให้นกั เรียนแบ่งกลมุ่ กล่มุ ละ ๕ คน เลือกเคร่อื งดนตรที ช่ี ืน่ ชอบมากลุม่ ละ ๑ ชิ้น การขบั รองเพลงไทย กจิ กรรมท่ ี ๓ แล้วฝึกปฏิบัติจนคล่อง โดยมีครูผู้สอนคอยก�ากับดูแล จากน้ันให้แต่ละกลุ่มออกมา บรรเลงดนตรีไทยหน้าช้นั เรียน โดยมคี รผู สู้ อนและเพื่อนๆ คอยให้คะแนน 2. ผลการสรปุ สาระสําคัญเกีย่ วกบั ให้นกั เรียนตอบค�าถามต่อไปน้� การบรรเลงดนตรไี ทย ๑. หลักการขับรอ้ งและบรรเลงดนตรไี ทยทส่ี �าคัญมอี ะไรบ้าง ๒. เทคนิคในการขับร้องและบรรเลงดนตรีไทย มีความส�าคัญต่อผู้เรียนดนตรีไทย 3. ผลการสรุปสาระสําคัญเก่ยี วกบั หลกั การบรรเลงเคร่อื งดนตรไี ทย : ซออู อย่างไร ๓. การประเมนิ ความสามารถทางดนตรี หลงั จากการฝกึ ปฏบิ ตั ิ ควรประเมนิ ในดา้ นใดบา้ ง 4. ผลการฝก ปฏิบตั ิซออู 5. ผลการปฏบิ ัตกิ ารขบั รองประกอบการเลน ดนตรี การขบั รอ งและบรรเลงดนตรไี ทย มหี ลกั การปฏบิ ตั ทิ น่ี าํ ไปสคู วามเขา ใจและรบั รู (ซอดว ง หรอื ขลยุ เพยี งออ) ในเพลงลาวคาํ หอม คุณคาของดนตรีไทยไดอยางซาบซ้ึง ซ่ึงการเรียนรูเก่ียวกับหลักการปฏิบัติที่ถูกตอง หรือเพลงลาวสวยรวยสองช้ัน รจู กั เทคนคิ ตา งๆ ทจี่ ะนาํ ไปปรบั ใชก บั การปฏบิ ตั ดิ นตรไี ทย ทงั้ การขบั รอ งและการบรรเลง 6. ผลการสรปุ สาระสําคญั เก่ยี วกับ ตลอดจนมีการฝก ฝนปฏบิ ัตอิ ยา งตอ เนอ่ื ง ก็จะทําใหผ เู รียนสามารถขบั รอ งและบรรเลง การประเมนิ ความสามารถทางดนตรี ดนตรไี ทยไดอยางมีประสิทธภิ าพมากขึน้ ทั้งน้ี ในการฝกปฏิบัติดนตรีไทย ท้ังการขับรองและการบรรเลง จําเปนตองมี การประเมินความสามารถทางดนตรีของผูเรียนอยางสม่ําเสมอดวย เพ่ือจะไดนําผล การประเมินไปใชปรบั ปรงุ ตนเองในการฝกปฏิบัติดนตรไี ทยตอ ไป 66 แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปปฏบิ ัติ 3.2 กจิ กรรมท่ี 3 1. การขบั รองนอกจากจะตองรอ งใหถกู ตองตามทํานอง จงั หวะ และเน้ือรองของเพลงแตละเพลงแลว ผูขบั รองจําเปน ตอ งใสเ ทคนิคตางๆ ในการขับรองเพลงไทยลงไป ดวย เพอื่ เพม่ิ เสนห ค วามนาสนใจใหก ับเพลงและการบรรเลงดนตรใี หผูฟงไดร ับอรรถรสนัน้ ผบู รรเลงตอ งใชเ ทคนิคในการบรรเลงท่ีแตกตา งกันออกไปตามอารมณเ พลง 2. นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอิสระ โดยขึ้นอยูกบั ดลุ ยพนิ จิ ของครูผสู อน 3. ควรประเมนิ ใน 3 ดา น คอื 1) ความถูกตอ งในการบรรเลงและขบั รอง การประเมนิ ความถูกตองในการบรรเลงและขบั รอ งเพลงไทย สามารถแบงการพจิ ารณาประเมนิ ได 3 ประการ ไดแ ก ทาํ นอง จังหวะ และบทรอง 2) ความแมน ยาํ ในการอา นความหมายและสญั ลกั ษณ สามารถพจิ ารณาและประเมนิ ไดจ ากการบรรเลง หรอื ขบั รอ งวา ตรงตามจงั หวะหรอื ไม การบรรเลงซาํ้ หรอื การนบั เที่ยวทาํ นองถกู ตองหรือไม เพียงใด บางชว งของบทเพลงอาจมกี ารบรรเลง หรอื ขับรองซ้าํ ทํานองบางตอนของบทเพลง ผบู รรเลงสามารถดูและเขาใจเคร่อื งหมาย หรือสัญลกั ษณน ้นั ไดค ลอ งแคลว ถูกตอ งมากนอยเพยี งใด ทนั จงั หวะเพลงหรือไม 3) การควบคมุ คณุ ภาพเสยี งในการขบั รอ งและการบรรเลง สามารถจาํ แนกเปน 2 กลมุ คอื การควบคมุ คณุ ภาพเสยี งในการขบั รอ งและการควบคมุ คณุ ภาพในการบรรเลง 66 คูมอื ครู

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู 1. อาน เขียน รอ งโนตไทยและโนตสากลท่มี ี เครอื่ งหมายแปลงเสียง 2. ระบปุ จ จัยสาํ คัญทมี่ ีอิทธิพลตอ การสรา งสรรค งานดนตรี สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค 1. มีวินัย 2. ใฝเรยี นรู 3. มงุ มนั่ ในการทํางาน ๔หน่วยท่ี กระตนุ ความสนใจ Engage ความรทู้ ว่ั ไปเกี่ยวกบั ดนตรสี ากล ครเู ปด ซีดี หรอื ดวี ีดกี ารแสดงดนตรสี ากล ในรปู แบบตา งๆ ใหน กั เรยี นชม จากนน้ั ครถู าม ตัวชว้ี ดั การศึกษาวิชาดนตรีสากลให้ได้ นกั เรียนวา ■ อ่าน เขียน ร้องโน้ตไทย และโน้ตสากลท่ีมีเคร่ืองหมายแปลงเสียง • นักเรยี นเคยชมการแสดงดนตรสี ากล (ศ ๒.๑ ม.๒/๒) บางหรอื ไม ■ ระบุปัจจัยสำาคญั ทีม่ ีอิทธพิ ลตอ่ การสร้างสรรค์งานดนตรี มีประสิทธิภาพน้ัน ควรมีความรู้พื้นฐาน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ เก่ยี วกับโนต้ สากล เพอ่ื ทีจ่ ะไดส้ ามารถอ่าน ไดอ ยา งอิสระ) (ศ ๒.๑ ม.๒/๓) เขยี น รอ้ ง และบรรเลงตามโนต้ สากลไดอ้ ยา่ ง • การทีจ่ ะเลน ดนตรีสากลใหด ี หรอื ฟง สาระการเรียนรู้แกนกลาง ถกู ตอ้ ง นอกจากนี้ ยงั ควรศกึ ษาเกยี่ วกบั ปจั จยั ดนตรสี ากลใหเ ขา ใจ นกั เรยี นตอ งมีทักษะ ส�าคัญท่ีมีอิทธิพลต่อการสรา้ งสรรคง์ านดนตรี และความเขา ใจในเรื่องใดบา ง ■ เครอื่ งหมายและสัญลกั ษณ์ทางดนตรี (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอิสระ) - โน้ตสากล (เครือ่ งหมายแปลงเสียง) เทคนคิ และการแสดงออกด้านจินตนาการในการ ■ เทคนิคและการแสดงออกในการ สร้างสรรค์บทเพลงและการถ่ายทอดเรื่องราว - จินตนาการในการสร้างสรรคบ์ ทเพลง ความคิดในบทเพลงด้วย เพ่ือจะช่วยให้สามารถ - การถา่ ยทอดเรื่องราวความคิดในบทเพลง ปฏิบัติดนตรีสากลได้อย่างมีคุณภาพ เข้าใจอารมณ์ ของแต่ละบทเพลงได้อย่างลึกซ้ึงมากข้ึน อันจะเป็น พ้ืนฐานส�าคัญที่จะท�าให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาความ สามารถทางด้านดนตรีใหก้ า้ วหน้าต่อไปได้ เกรด็ แนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรียนรูน ้ี ครูควรอธิบายความรูเพ่มิ เตมิ ใหกบั นกั เรียนวา “ดนตรีสากล” เปน ดนตรที ีช่ าวตะวันตกไดค ิดคน และสรา งสรรคข ้ึน จดั เปน มรดกทางวัฒนธรรมของชาวตะวนั ตกอยางหน่งึ ซง่ึ มกี ารบนั ทกึ ทํานองเพลง ทเี่ ปน แบบแผน ดว ยสญั ลกั ษณเ ฉพาะทเี่ รยี กวา “โนต สากล” และใชเ ครอ่ื งดนตรสี ากล ในการบรรเลง ซ่ึงไดร บั การพัฒนารูปแบบมาอยางตอเน่ืองจนเปน ทีน่ ยิ มกันทั่วโลก ในปจ จบุ นั ดนตรสี ากลมมี ากมายหลายประเภท มกี ารบกุ เบกิ ทางดนตรี คดิ คน จงั หวะ ทแ่ี ปลกใหม ตลอดจนนําเทคโนโลยที ีท่ นั สมยั มาใชในการพัฒนางานดนตรี ดงั นนั้ ในการเรียนรูเรื่องดนตรีสากล นักเรียนจึงตองศึกษาเกี่ยวกับการอาน เขียน รอง โนต สากลที่มเี คร่อื งหมายแปลงเสียง เทคนคิ ในการแสดง การถา ยทอดเรอื่ งราว ความคดิ ลงในบทเพลง จนิ ตนาการในการสรา งสรรคบ ทเพลง และสามารถระบปุ จ จยั สาํ คญั ทม่ี ีอิทธิพลตอ การสรา งสรรคง านดนตรีได คูมือครู 67

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูนําภาพเคร่ืองหมายและสญั ลกั ษณทางดนตรี ๑. เครอ่ื งหมายและสญั ลักษณ์ทางดนตรี มาใหน กั เรยี นดู จากนนั้ ครูถามนักเรียนวา โนต้ สากล คอื เครอื่ งหมายสญั ลกั ษณช์ นดิ หนงึ่ ทป่ี ราชญท์ างดนตรไี ดป้ ระดษิ ฐข์ น้ึ เพอ่ื ใชบ้ นั ทกึ บทเพลงตา่ งๆ มใิ หส้ ญู หาย และเพอ่ื เผยแพรใ่ หก้ วา้ งขวางออกไป โนต้ สากลจงึ เปรยี บเสมอื น “อกั ขระ” • นกั เรยี นสามารถนาํ เครอื่ งหมายและสญั ลกั ษณ ของภาษาดนตรี ผู้เริ่มเล่นดนตรีสากลจึงต้องท�าความรู้จักกับเคร่ืองหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ ทางดนตรีมาใชประโยชนไดอยา งไร ในบทเพลงเสียก่อน และต้องทบทวนให้แม่นย�า ฝกซ้อมเป็นประจ�าอย่างสม�่าเสมอจึงจะเกิดผล (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ ซึง่ ในระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๒ น้ี ส่งิ ทผ่ี ู้เรียนตอ้ งท�าความเข้าใจ คอื เคร่อื งหมายแปลงเสยี ง ไดอ ยา งอสิ ระ) ๑.๑ เคร่อื งหมายแปลงเสียง สาํ รวจคน หา Explore เครือ่ งหมายแปลงเสยี ง คอื เคร่ืองหมายที่ใชแ้ ปลงเสยี งตัวโนต้ ให้สูงขนึ้ หรอื ต่�าลงกว่าปกติ ครง่ึ เสยี ง ตามปกติใชเ้ ขยี นไวห้ นา้ ตวั โนต้ ทตี่ อ้ งการแปลงเสยี ง ซง่ึ นอกจากเสยี งปกตทิ เี่ รารจู้ กั กนั ดี ใหนกั เรยี นแบงกลมุ ออกเปน 2 กลุม ใหน ักเรียน ทง้ั ๗ เสียงบนลิ่มนิ้วสีขาวของเครอื่ งคีย์บอร์ดแล้ว ยงั มลี ่มิ นิ้วสดี า� บนคียบ์ อรด์ อกี ๕ เสยี งที่ควร ศกึ ษา คน ควา หาความรเู พม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั เครอื่ งหมาย และสัญลกั ษณทางดนตรี จากแหลงการเรียนรตู า งๆ รู้จกั ชือ่ ซงึ่ เม๑่อื) จเะคเขรอ่ืยี นงหตัวมโานย้ตชแาทรนป จ1(ะSใชh้เaคrรpือ่ ,ง#ห)มเปายน็ แเคปรลอ่ื งงเหสียมงาย๒แปชลนงดิ เสนยีีเ้ ขงทา้ ชท่ี ว่ า� ยใหคต้ อืวั โนต้ มรี ะดบั เชน หอ งสมดุ โรงเรียน หองสมดุ ชุมชน อินเทอรเ น็ต เปนตน ในหวั ขอที่ครกู ําหนดให ดังตอ ไปนี้ เสียงสงู ขนึ้ ก๒วา่)ปเกคตริคอื่ รงึ่งหเสมียางยแฟลต2(Flat,í) เปน็ เครอ่ื งหมายแปลงเสยี งทที่ า� ใหต้ วั โนต้ มรี ะดบั เสยี ง กลุม ท่ี 1 เคร่ืองหมายแปลงเสียง ต่า� ลงกว่าปกตคิ รึง่ เสยี ง กลมุ ท่ี 2 การฝกอาน เขยี น และรองโนต สากล ทมี่ ีเคร่ืองหมายแปลงเสียง อธบิ ายความรู Explain ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 1 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู C# D# F# G# A# เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั เครอื่ งหมายและสญั ลกั ษณท างดนตรี Dí Eí Gí Aí Bí สง ตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรูในหวั ขอ เครื่องหมายแปลงเสียง ตามที่ไดศึกษามา CD E FGAB C หนา ชน้ั เรยี น จากน้นั ครูถามนักเรยี นวา • เครื่องหมายแปลงเสียงมีความสาํ คัญ ตอ ดนตรีสากลอยา งไร (แนวตอบ เปนสัญลักษณท างดนตรที ใ่ี ชบ นั ทกึ เพ่อื ใหร ะดบั เสียงของโนต ตัวนั้นเปลย่ี นแปลง ไปจากระดบั เสียงเดิม) ขอ้ สงั เกต : ลม่ิ นว้ิ สขี าวทมี่ รี ะยะเสยี งหา่ งกนั ครง่ึ เสยี งอยแู่ ลว้ โดยธรรมชาติ คอื E กบั F และ B กบั C 68 นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดอธบิ ายความหมายของเคร่อื งหมายแปลงเสียงไดอ ยา งถูกตอง ปแลก1ะตอิ ชCยาู รวป21างถเคาใรสื่อหงหนมาโานยตชตารวั ปใดจจะะททําใําหใหไดโ นโนต ตตัวนF#น้ั มแีเสลยีะงสCูง#ขน้ึ ม12ีคเาสเสียยีงงเสชูงน กวโานโต นตF 1. เครอ่ื งหมายที่ใชแ ปลงเสยี งตัวโนต ใหเสยี งคงที่อยูเสมอ 2. เครอ่ื งหมายที่ใชแ ปลงเสียงตวั โนตใหต ํ่ากวา ปกตคิ รง่ึ เสียง FC FC 3. เครอ่ื งหมายท่ีใชแปลงเสียงตัวโนตใหสงู กวา ปกติครง่ึ เสียง 4. เครื่องหมายทใ่ี ชแ ปลงเสยี งตัวโนต ใหส งู หรอื ต่ําลงกวาปกตคิ รง่ึ เสียง 2 12Dแฟเวสาลยีงตงเคถรา ่ือใงสหห มนาา ยโนแฟต ตลตวั ใจดะจทะําทใาํหใไ หดโ โนนต ตตGวั นนั้แมลเีะสDยี งตมาํ่ คี ลา งเส12ียเงสตยี ่ํางกเวชาน โนโตนปต กGติ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะเปน สัญลักษณท างดนตรีทใ่ี ชเขียน และ กํากบั หนา ตวั โนต หรือหลังกญุ แจประจําหลกั เม่ือตองการแปลงเสยี ง อยู ใหส ูงขึน้ หรอื ตํ่าลง หรือกลบั มาเปนเสียงปกตเิ หมือนเดมิ GD GD 68 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู เคร่ืองหมายแปลงเสียงมีประโยชน์ ๒ ประการ คือ 1. ครสู มุ นักเรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ๑. เครอื่ งหมายแปลงเสยี งทที่ า� หนา้ ทเี่ ฉพาะกจิ เรยี กวา่ “เครอ่ื งหมำยจร” ใชส้ า� หรบั ดังตอ ไปน้ี • ภาพนี้คอื เครื่องหมายชนิดใด แต่งท�านองเพลงทต่ี ้องการความแปลกใหม่ หรือความละเอยี ดของเสียงในบางชว่ ง ตวั อย่าง บางชว่ งของเพลงสายทิพย 3 พรา�่ เพ้อ หวั ใจ ละ เมอ รา� พนั (แนวตอบ เคร่ืองหมายประจาํ หลัก นิยมใชกัน เปน อยางมากสําหรับการบนั ทกึ ระดบั เสยี ง ๒. เครอื่ งหมายแปลงเสยี งทที่ า� หนา้ ทถ่ี าวร จะอยดู่ า้ นหลงั เครอื่ งหมายกญุ แจเสยี ง ของเครอ่ื งดนตรี หรอื เสยี งรอ งทมี่ รี ะดบั กลาง หรอื เคลฟในรปู ของเครอ่ื งหมายประจา� กญุ แจเสยี ง ซง่ึ เครอ่ื งหมายแปลงเสยี งถาวรนี้ใชบ้ งั คบั เฉพาะ หรอื ระดบั สงู โดยทวั่ ไปจะเรียกวา เสยี งที่กา� หนด เพ่ือใหท้ ราบว่าเพลงดงั กลา่ วอยู่ในบันไดเสียงใดและเสยี งใดถูกแปลงเสียงบา้ ง “กุญแจซอล” ในการเขยี นกญุ แจซอล หัวกญุ แจจะวางคาบเสน ท่ี 2 ของบรรทดั ตัวอยา่ ง บางช่วงของเพลงค่านํา้ นมในบนั ไดเสียงเอฟ เมเจอร  (F Major) 5 เสน โนต ทกุ ตัวที่คาบอยบู นเสน ท่ี 2 ของบรรทัด 5 เสน จะมเี สยี งเดียวกบั แม่ น้ี มี บุญคณุ อันใหญ่ หลวง แม่เฝา้ หวง ชื่อกญุ แจ คือ “ซอล”) • เพลงท่ีอยใู นบนั ไดเสียงซเี มเจอร (C Major) ตวั อย่างนี้ใช้เสียงต่อไปน้ีในการแตง่ เพลง จะใชเ ครอื่ งหมายแปลงเสยี งไดห รอื ไม ถา ได ควรจะเปนเคร่อื งหมายแปลงเสยี งชนิดใด F GA B C DE F (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ 1 23 45 67 8 ไดอยางอสิ ระ) 2. ใหน กั เรยี นศกึ ษาเรอื่ งประโยชนข องเครอื่ งหมาย ตัวอย่าง บางชว่ งของเพลงค่านาํ้ นมในบันไดเสยี งจี เมเจอร (G Major) แปลงเสียง จากในหนงั สอื เรียน หนา 69 จากนั้นครูถามนักเรียนวา แม่ นี้ มี บุญคณุ อนั ใหญ่ หลวง แมเ่ ฝา้ หวง 69 • เคร่ืองหมายแปลงเสยี งมีประโยชนใ นดานใด (แนวตอบ ทาํ หนา ทเ่ี ฉพาะกจิ ทเ่ี รียกวา ตวั อยา่ งนี้ใชเ้ สยี งต่อไปนี้ในการแตง่ เพลง “เครอื่ งหมายจร” ใชส าํ หรบั แตง ทาํ นองเพลง ทต่ี อ งการใหเ กิดความแปลกใหม หรือสรา ง G AB CD EF G ความละเอียดลออของเสยี งในบางชวง 1 23 45 67 8 และทาํ หนาทีถ่ าวร ซ่งึ จะอยูดานหลังของ กญุ แจเสียง หรอื เคลฟในรปู เครือ่ งหมาย ประจํากุญแจเสียง จะใชบังคับเฉพาะเสียง ที่กําหนด เพอื่ ใหท ราบวาเพลงดงั กลาวอยูใน บันไดเสยี งใดและเสียงใดทถ่ี กู แปลงเสยี ง) แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู จากภาพหมายถงึ เคร่ืองหมายใด ครคู วรอธบิ ายความรเู พิม่ เติมเกี่ยวกับเครอ่ื งหมายแปลงเสียง คือ เนเจอรร ัล 1. เครือ่ งหมายชารป ถา ใสหนา โนต ใดจะทําใหโนตตัวนน้ั กลับคืนเปน เสียงเดิม 2. เครื่องหมายแฟลต 3. เครอ่ื งหมายเนเจอรรลั GG GG 4. เคร่อื งหมายดบั เบิลชารป วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะเปนเครือ่ งหมายดบั เบิลชารป ดบั เบลิ ชารป ถาใสห นาโนต ใดจะใหโนตน้ันมเี สียงสงู ขึน้ 1 เสียง เชน โนต F วางเคร่ืองหมายดบั เบลิ ชารป จะทําใหไดโ นต G (Double Sharp) จะมรี ะดบั เสียงสูงขนึ้ 2 คร่ึงเสยี ง ซงึ่ เทียบเทา กบั การยกข้นึ หนึง่ ขัน้ เสียง เขียนแทนดวยสญั ลกั ษณ พบไดใ นโนตเพลง F /G C /D F /G C /D ทม่ี ีการปรับคยี ด นตรี ดับเบิลแฟลต ถา ใสห นาโนต ใดจะทาํ ใหโนตนัน้ มเี สยี งลดลง 1 เสยี ง เชน โนต A วางเครอ่ื งหมายดบั เบลิ แฟลตจะทาํ ใหไดโนต G G /F D /C G /F D /C 69 คูมอื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 2 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ๑.๒ การฝก อ่าน เขียน และรองโนตสากลท่ีมเี ครือ่ งหมายแปลงเสียง เพ่ิมเตมิ เกีย่ วกับเครื่องหมายและสัญลักษณ การฝกอ่าน เขียน และร้องโน้ตสากลท่ีมีเครื่องหมายแปลงเสียงที่ผู้เรียนควรศึกษาไว้เป็น ทางดนตรี สง ตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย ความรูในหัวขอการฝก อาน เขยี น และรองโนต พื้นฐาน จะประกอบไปด้วยเรื่องต่างๆ ดงั นี้ สากลที่มีเครอื่ งหมายแปลงเสียง ตามท่ีได ศกึ ษามาหนา ชน้ั เรยี น จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา ๑) เสียงปกติ • เพราะเหตุใดดนตรสี ากลทั่วโลกจึงสามารถ บรรเลงทาํ นองดนตรเี พลงเดยี วกนั ไดเ หมอื นกนั CDE F GABC ทง้ั ๆ ท่พี ดู กันคนละภาษา (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ การอ่าน CD E F G A B C ไดอยางอสิ ระ) การเขยี น (ซ)ี 2. ใหนักเรยี นศกึ ษาแผนผงั โนตสากลที่มี การร้อง โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด เครอื่ งหมายแปลงเสยี ง จากในหนังสือเรยี น หนา 70 - 71 จากนัน้ ครูถามนักเรียนวา ๒) เครอ่ื งหมายแปลงเสียงชารป (#) • จากภาพทน่ี ักเรียนไดศ ึกษาน้ันมีความ แตกตางกนั อยางไร การอ่าน (ซีชาร์ป) F# G# A# (แนวตอบ มีความแตกตางกัน คอื C# D# ถา มตี ดิ เครอื่ งหมายชารป จะเปลยี่ นระดบั เสยี ง F# G# A# ของตัวโนต ใหส งู ข้นึ กวา ปกตอิ ีกคร่ึงเสยี ง C# D# และถา มตี ดิ เครอ่ื งหมายแฟลตจะเปลยี่ นระดบั เสยี งของตัวโนตใหต ่าํ กวาปกตอิ ีกครึ่งเสียง) CDE F GABC การเขียน การรอ้ ง โด เร ฟา ซอล ลา ใหร้ ้องเปน็ เสยี งท่ีสูงกว่าปกติครึ่งเสยี ง 70 เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ถา ตองการเปลีย่ นระดับเสยี งของตัวโนต ใหต่ําลง 1 เสยี ง ควรใชเ คร่ืองหมาย ครคู วรเชิญวิทยากรท่มี คี วามเชย่ี วชาญในเรอ่ื งดนตรีสากล มาอธิบายเพม่ิ เติม ประเภทใด เกย่ี วกบั เครอ่ื งหมายและสญั ลกั ษณท างดนตรี ในหวั ขอ การฝก อา น เขยี น และรอ งโนต - 1. แฟลต สากลท่มี ีเครือ่ งหมายแปลงเสยี ง พรอ มทั้งสาธิตการอา น เขียน และรอ งโนตสากลทีม่ ี 2. ชารป เครอ่ื งหมายแปลงเสยี งใหน กั เรยี นดู จากนน้ั ครเู ปด โอกาสใหน กั เรยี นไดซ กั ถามในสงิ่ ท่ี 3. ดบั เบิลแฟลต สงสัยและแสดงความคิดเห็น ซงึ่ จะทําใหน ักเรียนมีความรู ความเขาใจในเรื่อง 4. ดับเบิลชารป เครือ่ งหมายและสัญลักษณทางดนตรี ในหัวขอ การฝกอา น เขียน และรอ งโนตสากล วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะเครอื่ งหมายแปลงเสยี งที่เรียกวา ทมี่ ีเคร่ืองหมายแปลงเสยี งไดด ียง่ิ ขึน้ ดับเบิลแฟลตเมื่อนํามาวางหนาตัวโนตจะทาํ ใหร ะดับเสียงของตัวโนตตํา่ ลง 1 เสียง มมุ IT นกั เรยี นสามารถศึกษา คนควา เพิม่ เติมเก่ยี วกับเครื่องหมายแปลงเสยี ง ไดจาก http://www.vichakarn.triamudom.ac.th 70 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓) เครอ่ื งหมายแปลงเสยี งแฟลต (í) 1. ใหนกั เรียนศึกษาเนื้อเพลงและแผนผังโนต (ดีแฟลต) เพลงชะตาชวี ติ จากในหนังสือเรยี น การอาน Dí Eí Gí Aí Bí หนา 71 - 72 Dí Eí Gí Aí Bí 2. ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี เี พลงชะตาชวี ติ ใหน กั เรยี นฟง และสาธติ วธิ กี ารขับรองเพลงชะตาชีวติ CDE F GABC เพลงไทยสากลทีม่ เี ครื่องหมายแปลงเสียง ท่ถี กู ตองใหนกั เรยี นฟง พรอ มทงั้ ใหนกั เรียน การเขยี น ฝกปฏิบตั ติ าม จากนนั้ ครสู มุ นักเรียน 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ ีการขับรองเพลงชะตาชวี ิต การรอง เร มี ซอล ลา ที ทถ่ี กู ตองใหเ พ่ือนชมหนา ชัน้ เรยี น โดยมีครู เปน ผูคอยช้ีแนะความถกู ตอง ใหร อ งเปน เสยี งทต่ี ่าํ กวา ปกติคร่ึงเสยี ง 3. ใหน กั เรยี นแบง กลุม กลุมละ 5 - 6 คน ๔) ตัวอยางเพลงไทยสากลเพทลี่มงเีชคะรตือ่าชงหวี ติม1ายแปลงเสยี ง ไดแ ก ครสู าธติ วธิ กี ารอา นโนต เพลงชะตาชวี ติ ทถี่ กู ตอ ง ใหน ักเรียนดู จากนนั้ ใหน กั เรียนฝก ปฏิบัติตาม ทาํ นอง : พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช แลวใหนักเรียนแตล ะกลมุ ผลัดกันออกมาสาธิต คํารอง : พระเจาวรวงศเธอ พระองคเจา จักรพนั ธเ พญ็ ศิริ และ ศ.ดร. ประเสริฐ ณ นคร วธิ กี ารอา นโนต เพลงชะตาชวี ติ ทมี่ เี ครอื่ งหมาย- แปลงเสยี งท่ีถกู ตอ งใหเพือ่ นชมหนาช้ันเรยี น โดยมคี รเู ปน ผูค อยชแี้ นะความถูกตอ ง นก นอยคลอยบนิ มา เดยี ว ดาย คิด คดิ มิ วาย กงั วล ให หมน ฤ ทัย หมอง ขาดมวลมิตร ไร คน ส นทิ คู เคียง ครอง หลง ใหล หมายปอง คน ปรา นี ขาด เรอื น แหลง พกั พาํ นกั นอน ขาด ญาติ บิ ดร และนอ งพ่ี บาปกรรม คง มี จาํ ทน ระ ทม ๗๑ กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู ใหน ักเรยี นวเิ คราะหความหมายของเนอ้ื เพลงชะตาชวี ิตและเขยี น 1 เพลงชะตาชวี ิต หรอื H.M. Blues บทเพลงพระราชนพิ นธลําดับที่ 5 ของ บรรยายความรสู ึกท่ีไดรบั จากการฟง เพลง ลงกระดาษรายงาน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ให นาํ สงครผู สู อน พระเจาวรวงศเธอ พระองคเ จา จกั รพันธเ พญ็ ศริ ิ ทรงพระนพิ นธค าํ รอ งภาษาองั กฤษ สว นคาํ รองภาษาไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกลา ฯ ใหศาสตราจารย ดร.ประเสริฐ กจิ กรรมทาทาย ณ นคร เปน ผูประพนั ธ เพลงชะตาชีวิตเปน เพลงเดียวทที่ รงพระราชนพิ นธในแบบ บลสู แ ทๆ โดยไมม สี เกลอ่นื มาปะปน แตเมื่อนาํ มาบรรเลงในวงบกิ แบนด (Big Band) ใหนกั เรยี นท่มี ีความสนใจในการขับรอ งเพลง ออกมาสาธติ จะบรรเลงใหเ รว็ และกระชับข้นึ โดยบรรเลงแบบบลสู ส วงิ คอื นาํ เอาจงั หวะสวิงของ วิธกี ารขบั รอ งเพลงชะตาชวี ิตใหเ พ่ือนชมหนาชน้ั เรียน แจสมาผสมกบั บลูส โดยมคี รเู ปน ผคู อยชีแ้ นะความถกู ตอ ง มมุ IT นกั เรยี นสามารถฟง เพลงชะตาชวี ติ ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา เพลงชะตาชีวิต คูม อื ครู 71

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา าใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Engage E×pand Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ 1. ใหนกั เรียนรว มกนั สรุปสาระสําคัญเกยี่ วกบั ทอ งฟา สายนั ห ตะวนั เลอื น_____________________________แสงลับ นับวัน จะเตอื น ให เครอื่ งหมายและสญั ลกั ษณท างดนตรี ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครูผสู อน ใจ ตอ ง ขื่น ขม____________หาก เยน็ ลง ฟา คง ยิง่ มดื ย่ิง ตรอม ตรม ชี วิต ระทม เพราะรอมา_______________________________จวบจนั ทรแ จมฟา น ภาผอ ง 2. ใหนกั เรียนฝกขบั รองเพลงชะตาชวี ติ ฝก ปฏบิ ัติ จนเกดิ ความชาํ นาญ จากน้นั ออกมาสาธิตวธิ ี การขบั รองเพลงชะตาชวี ิตที่มเี ครือ่ งหมาย- แปลงเสียงใหเพ่ือนชมหนา ชัน้ เรียน โดยมีครู เปน ผูค อยช้แี นะความถกู ตอ ง ตรวจสอบผล Evaluate 1. ครพู จิ ารณาจากการสรุปสาระสําคัญเกยี่ วกับ เฝามอง ใหเ ดอื น ชุบวญิ ญาณ สกั วันบุญมา ชะ ตา คง ดี เครอื่ งหมายและสญั ลักษณท างดนตรี ของนักเรียน กิจกรรม ศิลปปฏิบัติ ๔.๑ 2. ครูพจิ ารณาจากการขับรอ งเพลงชะตาชีวิต ของนกั เรยี น กจิ กรรมท่ี ๑ ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ ๕ คน ลองฝกหัดบันทึกโนตเพลงและเน้�อรอง กิจกรรมท่ี ๒ เพลงทม่ี เี ครอ่ื งหมายแปลงเสยี งลงในกระดาษรายงาน สง ครผู สู อน จากกจิ กรรมท่ี ๑ ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ รอ งเพลงตามทบ่ี นั ทกึ พรอ มกนั หลายๆ รอบ จนคลอ ง จากนน้ั ออกมารอ งใหเ พอ่ื นๆ ฟง หนา ชน้ั เรยี น เกรด็ ศลิ ปเกรด็ ศลิ ป การแสดงเพลงพระราชนพิ นธ “H.M.Blues ชะตาชวี ิต” ครัง้ แรก วันคลายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครบ ๒๐ พรรษา เมื่อป พ.ศ. ๒๔๙๐ ขาราชการ นักเรียน และคนไทยในประเทศสวิตเซอรแลนด รวมกันจัดงานเฉลิมฉลองติดตอกัน หลายวนั ซ่งึ ในวนั เสารท่ี ๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ ไดมกี ารตงั้ วงเลนดนตรที ่พี ระตําหนักวิลลาวัฒนา พระองค ทรงรวมทรงดนตรีดวย โดยทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหพระเจาวรวงศเธอ พระองคเจาจักรพันธเพ็ญศิริ ขบั รอ งเพลงพระราชนพิ นธเ พลงใหม H.M.Blues เนอ้ื เพลงมใี จความวา “คนอน่ื ๆ ทไี่ มไ ดเ ลน ดนตรตี า งกอ็ มิ่ หนาํ สําราญกนั แตพวกเราทกี่ าํ ลงั เลน ดนตรีตางก็หิวโหย และไมมแี รงจะเลนตอไปอกี แลว” และใหผ ฟู ง ทายช่ือเพลง พระราชนพิ นธ H.M.Blues วา H.M. แปลวา อะไร ซงึ่ ผทู จี่ ะทายตอ งซอื้ กระดาษสาํ หรบั เขยี นคาํ ทายใบละครงึ่ ฟรงั ซ วงดนตรกี บ็ รรเลงเพลงใหผ รู ว มงานเตน ราํ ตลอดเวลา โดยไมห ยดุ พกั ระหวา งเลย้ี งอาหารวา งตอนดกึ สรปุ วา ในงาน ไมม ีผใู ดทายช่ือถกู เลยสกั คนเดียว ถอื ไดว าในครัง้ นั้นเปนการแสดงเพลงพระราชนพิ นธ H.M.Blues ชะตาชีวิต ๗๒ เปน คร้งั แรก เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET บทเพลงในขอ ใด ไม จดั เปนเพลงพระราชนพิ นธใ นพระบาทสมเดจ็ ครคู วรอธิบายความรูเพมิ่ เติมเกีย่ วกับเพลงพระราชนิพนธวา เปน เพลงที่ พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช พระมหากษตั ริยท รงพระราชนพิ นธขึน้ มที ้ังเพลงบรรเลงและเพลงทม่ี เี นือ้ รอ ง 1. เพลงคํา่ แลว เชน เพลงไทยรวมกาํ ลงั เปน ตน ซ่งึ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลาเจาอยหู วั 2. เพลงภริ มยร กั (รชั กาลที่ 6) ทรงพระราชนพิ นธทํานอง ทรงพระกรุณาโปรดเกลา ฯ ให 3. เพลงเกาะในฝน นายนารถ ถาวรบตุ ร เปน ผูแ ตงเนอ้ื รอ ง สว นเพลงที่พระมหากษตั ริยทรง 4. เพลงฟลอรเฟอ งฟา พระราชนพิ นธทัง้ เนอื้ รอ งและทาํ นอง เชน เพลงพรปใหม เพลงเราสู เปน ตน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะเพลงฟลอรเฟอ งฟา จัดเปน เพลง เปน เพลงทพ่ี ระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช ประเภทสุนทราภรณ ซงึ่ เปน เพลงทีน่ ิยมนํามาใชในการเตน ลีลาศ ทรงพระราชนิพนธข้ึน เพลงพระราชนิพนธส ว นใหญจะเปน เพลงปลกุ ใจ เพลงสุนทราภรณ เปน เพลงทีเ่ กดิ ขึ้นจากการประพันธเ พลงของวงดนตรี เพลงชมธรรมชาตแิ ละเพลงเตอื นสติ ทีม่ ีชอ่ื วา “วงสนุ ทราภรณ” 72 คมู ือครู

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. ปจ จยั สาํ คญั ทีม่ ีอทิ ธพิ ลตอการสร้างสรรค์ผลงานดนตรี ครชู กั ชวนนักเรียนสนทนาเกีย่ วกบั ปจจัย การสรา้ งสรรคผ์ ลงานดนตรี เปน็ งานทเ่ี กดิ ขนึ้ จากวตั ถปุ ระสงคต์ า่ งๆ กนั ไป เชน่ เพอื่ ใชใ้ นพธิ กี รรม ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอการสรางสรรคผ ลงานดนตรี ตามความเชอ่ื และศาสนา เพ่ือใช้ในกจิ กรรมทางสงั คม เพือ่ การแสดงละคร ภาพยนตร์ หรือเพ่ือ จากนน้ั ครถู ามนักเรยี นวา ธรุ กจิ การพาณชิ ย์ นอกจากนี้ ยงั มกี ารสรา้ งสรรค์ ผลงานดนตรีที่เกิดข้ึนจากการจินตนาการของ • เพราะเหตใุ ดดนตรจี งึ ตอ งมกี ารเปลยี่ นแปลง ศลิ ปิน หรอื ผ้ปู ระพนั ธเ์ พลงเอง โดยมิไดม้ วี ตั ถ-ุ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ประสงค์ใดๆ เพยี งดา� เนนิ ไปตามอารมณท์ เี่ กดิ ขน้ึ ไดอยา งอสิ ระ) เชน่ บทเพลงทีส่ ะทอ้ นความรกั ความงามของ ธรรมชาติ ความเศร้าโศก เป็นตน้ ท้งั นี้ ผลงาน • นักเรียนคิดวา บทเพลงทีเ่ กิดขนึ้ ในอดีต และในปจจุบนั มีความแตกตางกนั อยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอสิ ระ) การสร้างสรรค์ดงั กลา่ ว เมื่อน�าออกมาเสนอต่อ สาํ รวจคน หา Explore นักฟังเพลงแล้ว ช้ินงานเหล่านั้นอาจได้รับการ ยอมรับและพัฒนาไปสู่ความเป็นสมบัติร่วมกัน ใหนักเรียนศึกษา คน ควา หาความรูเพมิ่ เติม ของผู้คนในสังคมต่อไปได้ ปัจจัยส�าคัญที่มี เก่ยี วกับปจจยั ท่มี ีอทิ ธิพลตอ การสรา งสรรค อทิ ธพิ ลตอ่ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานดนตรแี บง่ ออก การร้องเพลงในโบสถ์ เปนพัฒนาการเริ่มแรกของดนตรี ผลงานดนตรี จากแหลงการเรียนรูตา งๆ เชน เป็น ๒ ลกั ษณะ ดงั นี้ สากลท่ีทั่วโลกรู้จักและยอมรับ หองสมุด โรงเรยี น หอ งสมดุ ชุมชน อินเทอรเ นต็ เปนตน ในหวั ขอ ท่คี รกู ําหนดให ดงั ตอไปน้ี ๑) ปจ จยั ภายใน หมายถึง อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และจินตนาการที่สง่ ผลต่อการ สร้างสรรค์ผลงานดนตรี เช่น ความรู้สกึ รัก ชอบ โกรธ เกลียด เศร้าโศก เคารพบชู า ความเชื่อ 1. จนิ ตนาการในการสรางสรรคบทเพลง และความศรทั ธา เปน็ ตน้ ซง่ึ นกั ดนตรี หรอื ผปู้ ระพนั ธเ์ พลงเปน็ ผรู้ วบรวม “ควำมรสู้ กึ นกึ คดิ ” ของตน 2. การถายทอดเร่ืองราวความคดิ ในบทเพลง ที่มีต่อส่ิงต่างๆ มาเป็นต้นทุนทางการปรุงแต่งดนตรีให้เป็นไปตามน้ัน และเม่ือความรู้สึกนึกคิด อธบิ ายความรู Explain ซงึ่ มคี วามส�าคัญต่อการสร้างจนิ ตนาการมาผสมกบั อารมณ์และประสบการณ์ของศลิ ปินแลว้ ย่อม จะกอ่ ใหเ้ กิดผลงานดนตรที ่ีมคี วามไพเราะและมีคณุ ค่า งานประพนั ธเ พลง คอื งานสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะของเสยี งและถอ้ ยคา� ภาษาใหป้ รากฏออกมา ครูสุม นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม อย่างงดงาม น่าพึงชม และเกิดอารมณ์สะเทือนใจ อารมณ์สะเทือนใจถือเป็น “หัวใจ” ของการ ดังตอ ไปนี้ สรา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปะ เพราะบทเพลงใดๆ แมจ้ ะแตง่ ไดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั ไวยากรณเ์ พลงแลว้ กต็ าม แตถ่ ้าขาดอารมณส์ ะเทือนใจในบทรอ้ ง ก็เรียกได้วา่ เพลงบทน้นั ยังขาดวรรณศลิ ป์ • ถานักเรียนตอ งการแตง เพลงทมี่ เี นอื้ หา ๒) ปจจยั ภายนอก ได้แก่ สงั คมและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี พธิ กี รรม เกยี่ วขอ งกับความรัก นักเรยี นควรเลือกใช สภาพทางภูมิศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ ค่านิยม การเมือง การปกครอง การศกึ ษา เศรษฐกจิ และ ปจจัยใดมาเปนแนวทางในการสรา งสรรค ภยั ธรรมชาติ เนอ่ื งจากสงั คมจะประกอบไปดว้ ยผคู้ นทอี่ ยรู่ ว่ มกนั มคี วามสมั พนั ธก์ นั ภายใตก้ ฎเกณฑ์ ผลงาน ระเบียบแบบแผนร่วมกัน แต่ละสังคมจึงมีลักษณะเฉพาะท่ีบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ วิถีของการ (แนวตอบ ปจจยั ภายใน เพราะเปน การ สรางสรรคบ ทเพลงทแี่ สดงใหถงึ อารมณ 7๓ ความรูสกึ นกึ คดิ และจินตนาการท่ีสงผล ตอ การสรางสรรคงานดนตรี เชน ความรกั ความชอบ โกรธ เกลียด เปนตน) แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู ขอใดเปน การประพันธเ พลงขึ้นจากปจ จัยภายนอก ครูควรแนะนํานักเรยี นเกีย่ วกับวิธกี ารสรางสรรคผลงานดนตรอี ยา งงายๆ วา 1. นกั ประพันธเพลงแตง เพลงทแ่ี สดงออกถึงความจงรกั ภักดี การสรางสรรคผลงานดนตรีมีวธิ ปี ฏิบัตไิ ดห ลากหลายวิธี ขึ้นอยูก บั ความรพู ้นื ฐาน ดานดนตรแี ละการนาํ มาประยกุ ตใ ชใหเกิดประโยชน ซง่ึ นักเรยี นสามารถสรางสรรค ตอ พระมหากษตั รยิ  ผลงานทางดนตรีไดโ ดยใชวิธกี ารงา ยๆ ไมซับซอ น เชน 2. นักประพนั ธเ พลงไมส มหวังในความรกั จึงแตงเพลงเกี่ยวกบั ความรัก 1. ขีด เขยี น ระบายสีตามจังหวะของดนตรี ซ่งึ จะทาํ ใหไดภาพเขียนทแี่ ปลกตา ทผี่ ิดหวัง ตามลลี าของจังหวะดนตรี 3. นกั ประพันธเ พลงรสู กึ มคี วามทกุ ขใจ เพราะชีวิตไมม คี วามสขุ 2. ประดิษฐเ ครือ่ งดนตรีจากวัสดุทอ งถิ่น ซ่งึ จะไดเคร่ืองดนตรที ีใ่ หเสยี งแปลกๆ จึงแตงเพลงเศรา ขึน้ เชน การนําเอาฝานํา้ อดั ลมมาทําเปน เครอื่ งเคาะจงั หวะ เปนตน 4. นกั ประพันธเพลงรสู ึกโกรธแคนบคุ คล จงึ แตง เพลงลอเลยี นบุคคล 3. ประดิษฐทาทางประกอบเพลง โดยอาจประดษิ ฐใชก ับหลายๆ เพลง ในทางทีไ่ มด ี ซึง่ นอกจากจะไดค วามสนุกสนานแลว ยังฝก กระบวนการคิดสรา งสรรคอ กี ดวย วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะเปน การแตงเพลงทน่ี าํ ปจจยั ภายนอก 4. แตง เพลงอยา งงายๆ โดยนําเอาทาํ นองเพลงสัน้ ๆ มาใสเ นื้อเพลงใหม หรือนาํ เน้อื เพลงมาใสทาํ นองเพลงใหมใหสัมพนั ธกนั เปนตน เชน สภาพสังคม การเมือง การปกครอง เศรษฐกจิ ขนบธรรมเนียม ประเพณี พธิ ีกรรม ความเช่ือ เปนตน มาสรางสรรคเ ปน บทเพลง คมู อื ครู 73

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหนกั เรียนรวมกนั อภปิ รายเกี่ยวกบั ปจ จัย ด�ารงชีวิต มีความเป็นพวกพ้องเดียวกัน เช่น การใช้ภาษาส่ือสารอย่างเป็นทางการร่วมกัน ท่มี อี ิทธพิ ลตอ การสรา งสรรคผลงานดนตรใี นหวั ขอ มสี ญั ลกั ษณท์ สี่ อื่ ถงึ ความเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั มรี ะบอบการเมอื ง การปกครอง และกฎหมายทเี่ ปน็ จินตนาการในการสรางสรรคบทเพลง ตามท่ีได ขอ้ บังคับเดียวกัน เป็นต้น ศกึ ษามา จากนน้ั ครถู ามนกั เรียนวา ตัวอย่างบทเพลงท่ีได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น เพลงชาติ • จนิ ตนาการมคี วามสาํ คัญอยา งไร เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงเกียรติยศต่างๆ เป็นต้น และเน่ืองจากประเทศไทยปกครองด้วย ตอการสรางสรรคผลงานทางดา นดนตรี รจเพะงบรลักองภภบมูักปดแิระีขผชอน่ างดธปนิ ิปรนไะวตชมยานิอชันทนมรทม์พีม่ี หรตี าะ่อรมพาหชรา2ะากมเษหพัตาลรกงยิ ษต์ทน้ัตรไรงมิยเข้ป์แอลน็ งะปพพรอ่ระ3ะมเบพุขรลมจงวกงึ งกลั ศอ่ยาใานหณุวเ้ กซงี ศดิมิ ์เโเพฟชลนน่ งี ทเเปพีแ่ น็ สลตดงน้สงดอแอุดลกีมะถตหงึวัาคอรวายาชา่ มงา1 (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น บทเพลงที่ไดร้ ับอิทธิพลจากภยั ธรรมชาติ เชน่ บทเพลงท่ีถกู แต่งขึน้ เพื่อรา� ลึกถงึ เหตกุ ารณ์สึนามิ ไดอยางอิสระ) เม่ือวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ท่ีท�าให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศเสียชีวิตไป เปน็ จา� นวนมาก จากเหตกุ ารณภ์ ัยพบิ ัติในครัง้ น้นั มีศิลปนิ บุคคล และหนว่ ยงานต่างๆ ของรฐั และ • ส่ิงใดท่ีสามารถนํามาใชเปน เกณฑในการ- เอกชน ร่วมกนั สรา้ งสรรคบ์ ทเพลงขน้ึ มา เชน่ เพลงซับน�า้ ตาอันดามนั เพลงรวมใจไทยสภู้ ยั สนึ ามิ สรางสรรคผ ลงานดนตรีจากจินตนาการ เพลงสนึ ามิ เพลงขอบคณุ น�้าใจ เปน็ ตน้ (แนวตอบ ความงามของธรรมชาติ ความรกั ชาติ ๒.๑ จินตนาการในการสรางสรรคบทเพลง รกั แผนดิน ศาสนาและความเช่อื ความรัก และความเศรา) ในการสร้างสรรค์บทเพลง นักดนตรี หรือนักประพันธ์เพลงจะรวบรวม “ควำมรู้สึกนึกคิด” ของตนที่มีตอ่ สงิ่ ตา่ งๆ มาเปน็ ตน้ ทนุ ในการปรงุ แต่งงานดนตรีให้เป็นไปตามนนั้ ซึ่งประสบการณ์ • นกั เรยี นสามารถนาํ เรอ่ื งราวในชวี ติ ของตนเอง จะมสี ่วนช่วยให้จินตนาการในการสร้างสรรคง์ านดนตรเี กดิ ขน้ึ ได้ง่ายและมปี ระสิทธภิ าพ มาแตงเปนเพลงไดหรอื ไม ถาได จะเปน เพลง ทีม่ ีแนวดนตรีแบบใด สง่ิ กระทบ หรอื ประสบการณต์ า่ งๆ ทเ่ี ขา้ มา (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น มีส่วนช่วยให้เกิดจินตนาการและน�าไปสู่การ ไดอ ยา งอสิ ระ) สรา้ งสรรค์ผลงานดนตรีทม่ี ีประสิทธภิ าพ ไดแ้ ก่ • จากเนอื้ รอ งขางตนนส้ี ะทอ นใหเหน็ ถึงส่งิ ใด ๑) ความงามของธรรมชาติ เชน่ “มวลเถาวลั ยปาใบเขยี ว คดลดเลี้ยวพันเก่ียวคบไมใ หญ เมื่อศิลปินเกิดความรู้สึกหลงใหลในความงาม ฝงู มจั ฉาวา ยแหวกน้ําใส ของพืชพรรณในปา ก็จะสร้างรูปในใจให้เป็น เวยี นวนไปภายในสายวารี ปาเขาล�าเนาไพร มีธารน�้าไหล สายลมอ่อนๆ มวลบปุ ผชาตดิ าษเนนิ เขางาม พลว้ิ ใบไม้ ปลายยอดไมไ้ หวตามสายลม พรอ้ มกบั แลสะพร่งั แทรกตามหนิ ทุกกอ นมี เหล่านกสวยงามนานาชนิดบินว่อน เม่ือรู้สึก สาวแมว แฉลม แกม สดสี เช่นนี้ศิลปินก็จะคิด หรือจินตนาการว่าตนน้ัน กายใจพลใี หช ายเชื้อชาตไิ ทย” ชีวิตของสัตว์ตามธรรมชาติ เปนแรงบันดาลใจอย่างหน่ึง นงั่ อย่ใู นบรรยากาศเชน่ นน้ั หรอื อาจคดิ ไกลไปวา่ (แนวตอบ ความงามของธรรมชาติที่มกี าร ทที่ าำ ใหน้ กั ประพนั ธเ์ พลงนาำ ไปใชส้ รา้ งสรรคผ์ ลงานดนตรี ตนเองคือนกตัวหนึ่งท่ีบินถลาไปมาร่วมกับ พรรณนาถึงตนไม ดอกไม สตั ว แมน าํ้ ภเู ขา ถูกถายทอดออกมาเปน บทเพลงทมี่ ชี ่ือวา “เทพธิดาดอย”) 7๔ นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET “จะขอตามรอยของพอ ทอ งคําวา เพยี งและพอจากหวั ใจ เปนลูกท่ีดีของพอ 1 เพลงสดุดมี หาราชา เปน เพลงทใี่ ชข บั รอ งหลังการขับรอ งเพลงสรรเสรญิ - ดว ยความรัก ดว ยภกั ดตี ลอดไป” จากเน้อื รอ งขางตน เกดิ จากจนิ ตนาการ พระบารมแี ละมีการจดุ เทียนชยั ถวายพระพรพระมหากษัตริย เนื่องในวโรกาส ในการสรางสรรคบทเพลงจากสง่ิ ใด วันเฉลมิ พระชนมพรรษา 1. ความรักชาติ 2 เพลงภูมิแผนดินนวมินทรมหาราชา เปนเพลงเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จ 2. ศาสนาและความเชื่อ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช เนอื่ งในพระราชพธิ มี หามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา 3 ความสุขและความทกุ ข 6 รอบ ในป พ.ศ. 2542 คํารองโดย ชาลี อนิ ทรวจิ ติ ร, อาจินต ปญ จพรรค, 4. ความจงรักภักดีตอพระมหากษัตรยิ  สรุ พล โทณะวณกิ , เนาวรตั น พงษไ พบูลย และคุณหญิงกลุ ทรัพย เกษแมนกจิ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะจากขอ ความที่ไดอา นน้ี เปน เนื้อเพลง ทํานองโดยสงา อารัมภรี , นคร ถนอมทรพั ย เรืออากาศตรี ศ. พเิ ศษ ดร. แมนรัตน เฉลมิ พระเกยี รติ เนอื่ งในวโรกาสทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ศรีกรานนท, ประสิทธ์ิ พะยอมยงค ขับรอ งโดยศิลปนจาํ นวน 72 คน ทรงเจรญิ พระชนมพรรษา 80 พรรษา ในป พ.ศ. 2550 ซงึ่ เปน การแสดงความ 3 เพลงตน ไมข องพอ เปน เพลงทข่ี บั รอ งเพอ่ื รว มเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ - จงรักภักดีตอสถาบันพระมหากษัตริยผานบทเพลงท่ีมีชื่อวา “เพลงรูปที่มี พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช เนื่องในวโรกาสงานฉลองสริ ริ าชสมบตั คิ รบ 50 ป ทกุ บาน” คาํ รอ งโดยนิตพิ งษ หอ นาค ทํานองโดยอภิไชย เยน็ พูนสุข และขบั ในป พ.ศ. 2539 คาํ รอ งและทาํ นองโดยนติ พิ งษ หอ นาค ขบั รอ งโดยธงไชย แมคอนิ ไตย รองโดย ธงไชย แมคอินไตย 74 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู หม่นู กตวั อ่ืนๆ ในอ้อมโอบของธรรมชาติ สง่ เสียงร้องเรียกกันในหม่นู กอยา่ งมคี วามสขุ ซง่ึ ความ 1. ครูสมุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหต อบคําถาม คิดและจินตนาการเช่นน้ีเอง จึงเกิดการสร้างสรรค์ท�านองเลียนเสียงธรรมชาติ ใช้เครื่องดนตรี ดงั ตอไปน้ี แทนเสียงนกร้อง ใช้จังหวะท่ีสอดคล้องกับบรรยากาศ โดยอาจมีบทร้องเพ่ือพรรณนาเน้ือหา • นกั เรยี นรจู กั บทเพลงทเี่ กย่ี วขอ งกบั ธรรมชาติ แล้วบทเพลงท่ีเกิดจากจินตนาการก็ส�าเร็จสมบูรณ์ เช่น เพลงนกเขาคูรัก เพลงอุทยานดอกไม้ บา งหรอื ไม ถา รูจกั นักเรยี นรูจ กั เพลงใด เปน็ ต้น ตวั อย่างบทเพลงที่เกย่ี วขอ้ งกับความงามของธรรมชาติ เช่น และสามารถขับรอ งเพลงนั้นไดหรือไม (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ เพลงอุทยานดอกไม้ ไดอ ยางอสิ ระ) • เมอื่ ไดฟ ง บทเพลงทเี่ กยี่ วขอ งกบั ธรรมชาตแิ ลว ค�ำร้อง : สกนธ์ มิตรำนนท์ นกั เรยี นเกิดความรูสกึ อยางไร ทำ� นอง : เพลงแขกหนัง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอสิ ระ) ชมผกาจ�าปาจา� ปี กหุ ลาบราตรีพะยอมองั กาบทง้ั กรรณิการ์ 2. ใหนกั เรยี นศึกษาเน้อื เพลงอุทยานดอกไม ลา� ดวนนมแมวซ่อนกลนิ่ ย่ีโถชงโคมณฑา สายหยดุ เฟอ่ื งฟ้าชบาและสรอ้ ยทอง จากในหนังสือเรียน หนา 75 บานบรุ ียีส่ นุ่ ขจร ประดพู่ ดุ ซอ้ นพลบั พลงึ หงอนไกพ่ กิ ลุ ควรปอง 3. ครูเปดซดี ี หรือดีวีดีเพลงอทุ ยานดอกไม ใหน ักเรยี นฟง และสาธติ วธิ ีการขบั รอ งเพลง งามทานตะวันรักเร่กาหลงประยงคพ์ วงทอง บานช่ืนสขุ สองพทุ ธชาดสะอาดแซม อุทยานดอกไมท ถี่ ูกตองใหน กั เรียนฟง จากนนั้ ใหน กั เรยี นฝก ปฏบิ ตั ติ าม จากนนั้ ครสู มุ นกั เรยี น พศิ พวงชมพูกระดงั งาเล้อื ยเคียงคูด่ ูสดสวยแฉล้ม รสสคุ นธบ์ ุญนาคนางแย้มสารภีทถ่ี กู ใจ 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ ีการขบั รอ งเพลง อทุ ยานดอกไมท ถี่ กู ตอ งใหเ พอ่ื นชมหนา ชน้ั เรยี น งามอบุ ลปนจนั ทนก์ ะพอ้ ผเี สอ้ื แตกกอพรอ้ มเลบ็ มอื นางพดุ ตานกลว้ ยไม้ โดยมคี รูเปน ผูคอยชีแ้ นะความถูกตอง จากน้ันครูถามนักเรยี นวา ดาวเรอื งอัญชันย่หี ุบมะลิวลั ย์แลวไิ ล ชชู อ่ ไสวเร้าใจในอทุ ยาน • เพลงอทุ ยานดอกไมเ ปน เพลงทม่ี ลี กั ษณะเดน อยางไร นอกจากเพลงอุทยานดอกไมแ ลว ๒) ความรกั ชาติ รกั แผน่ ดนิ การสรา้ งสรรคบ์ ทเพลงในแนวทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความรกั ชาติ นกั เรยี นคดิ วา ยงั มเี พลงใดอกี บา ง ทมี่ เี นอื้ เพลง พรรณนาถงึ ความงามของดอกไม รกั แผน่ ดนิ จะขน้ึ อยกู่ บั ปจั จยั ทว่ี า่ ศลิ ปนิ ไดร้ บั มอบหมาย หรอื มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ปลกุ ใจ เสรมิ พลงั (แนวตอบ อทุ ยานดอกไม เปน เพลงลกู กรุงทมี่ ี ความฮึกเหมิ เรา้ อารมณ์ใหเ้ กิดความรกั ต่อชาติ รกั ท้องถิ่น รกั สถาบัน รักเผา่ พนั ธุ์ สรา้ งความ เนอื้ หากลา วถงึ พรรณไมด อกมากถงึ 49 ชนดิ สามัคคี หรือปลุกเร้าอารมณ์ให้เป็นหนง่ึ เดียวกัน คาํ รอ งโดยสกนธ มิตรานนท ทาํ นองโดย ชศู ักดิ์ รศั มโี รจน และขับรอ งโดย ผลงานการสร้างสรรค์บทเพลงลักษณะน้ี ต้องใช้ทฤษฎีดนตรีและเทคนิคหลายอย่าง วงจนั ทร ไพโรจน นอกจากน้ี ยังมเี พลงที่ ประกอบเขา้ ดว้ ยกนั เชน่ ใชแ้ นวเพลงทกี่ ระชบั จงั หวะทร่ี กุ เรา้ กระฉบั กระเฉง ใชเ้ นอ้ื เพลงทบี่ ง่ บอก พรรณนาถึงพรรณไมด อกอีก คอื ไปตามสาระทต่ี อ้ งการ สอ่ื สารใหผ้ ฟู้ งั อยา่ งรวดเรว็ และตรงไปตรงมา เพลงประเภทนสี้ ว่ นใหญจ่ งึ เปน็ มาลีแดนสรวง แตกลา วถงึ พรรณดอกไม เพลงปลกุ ใจ หรอื เพลงมารช์ เพอื่ การเดนิ สวนสนาม หรอื โนม้ นา้ วอารมณแ์ ละความรสู้ กึ ฮกึ เหมิ เชน่ เพยี ง 32 ชนดิ เทา นัน้ ) เพลงมารช์ ทหารเรอื เพลงมาร์ชราชวัลลภ เปน็ ต้น นอกจากนี้ ยงั มีบทเพลงทีศ่ ลิ ปนิ ประพันธ์ข้นึ เพื่อต้องการเตือนให้รู้สึกถึงความเจ็บช้�าท่ีเกิดจากสงครามในอดีต หรือเป็นข้อคิดเตือนใจ เช่น เพลงหนักแผน่ ดิน เพลงเราสู้ เพลงตน้ ตระกลู ไทย เปน็ ต้น ตัวอย่างบทเพลงที่เกีย่ วขอ้ งกบั ความ รกั ชาติ รักแผ่นดิน เช่น 75 บูรณาการเชื่อมสาระ เกร็ดแนะครู จากการศึกษาเก่ียวกบั ความรูพ้ืนฐานเกย่ี วกบั ปจ จัยท่มี ีอทิ ธพิ ลตอ การ สรางสรรคผ ลงานดนตรี ในหัวขอจินตนาการในการสรางสรรคบ ทเพลง ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี เี พลงนกเขาครู กั ใหน กั เรยี นฟง จากนนั้ ใหน กั เรยี นวเิ คราะห สามารถเช่อื มโยงกบั การเรยี นการสอนในกลุมสาระการเรยี นรูส ขุ ศกึ ษา ความไพเราะของบทเพลงน้ี ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา เพลงนกเขาครู กั เปน เพลงทม่ี ี และพลศกึ ษา ในเรอื่ งกิจกรรมนันทนาการ เพราะกิจกรรมนนั ทนาการ ลักษณะเพลงเปน “สังคตี ประยกุ ต” คอื เปน การนําดนตรีไทยมาบรรเลงผสมผสาน เปน กิจกรรมทีน่ ิยมทําในยามวาง เพ่อื ใหเกิดความเพลดิ เพลนิ ผอนคลาย กับดนตรีสากล ประพนั ธค ํารองโดยสมาน กาญจนะผลนิ จากนัน้ ครูยกตัวอยา ง ความตงึ เครยี ด ทั้งรางกายและจติ ใจ ซงึ่ มกั จะเกดิ ขึ้นในชว งสดุ สปั ดาห เน้ือรองประกอบ คอื ช.โนนแนะ นกเขาคู จุก จุก กรูนกมันเฝา คูหาชมู ัน ญ.โถโกงคอ และวนั หยุด ประกอบดว ยดนตรี การเตน รํา กฬี า งานอดเิ รก การทอ งเทยี่ ว ทาํ เสียงหวานชา งนา สงสารนะกระไรใจขา การดูโทรทัศน และฟงเพลง เอกลกั ษณข องกิจกรรมนันทนาการ คือ ไมเ ปน งานอาชีพ ไมเปนอบายมุข ไมม ีผลตอบแทน ไมม ีใครบงั คับใหรว มกจิ กรรม มมุ IT ซงึ่ จะชว ยใหน กั เรยี นเกดิ การเรยี นรใู นเรอื่ งปจ จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ การสรา งสรรค ผลงานดนตรี ในหัวขอจนิ ตนาการในการสรางสรรคบทเพลงไดดียง่ิ ข้ึน นกั เรยี นสามารถฟง เพลงนกเขาคูรกั ไดจาก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา เพลงนกเขาคูรกั คูม อื ครู 75

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครสู มุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหต อบคําถาม เพลงต้นตระกลู ไทย ดังตอไปน้ี • นกั เรยี นรจู กั บทเพลงทเี่ กี่ยวขอ งกับความรัก ค�ำร้อง : หลวงวจิ ติ รวำทกำร ชาติ รกั แผนดินบางหรือไม ถารูจัก นกั เรียน ทำ� นอง : หลวงวจิ ติ รวำทกำร ดดั แปลงจำกท�ำนองเพลงเกำ่ รูจักเพลงใดและสามารถขบั รอ งเพลงน้นั ไดห รอื ไม ตน้ ตระกูลไทยใจทา่ นเห้ยี มหาญ รกั ษาดนิ แดนไทยไว้ใหล้ ูกหลาน (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น สูจ้ นสญู เสยี แม้ชวี ิตของท่าน เพื่อถนอมบา้ นเมืองไว้ให้เรา ไดอยา งอิสระ) ลุกข้ึนเถิดพี่นอ้ งไทย อย่าให้ชีวติ สูญเปล่า • เม่ือไดฟงบทเพลงท่ีเก่ียวของกับความรักชาติ รักชาติยิง่ ชพี ของเรา เหมือนดังพงศเ์ ผา่ ต้นตระกูลไทย รกั แผน ดนิ แลวนักเรยี นเกดิ ความรูสึกอยา งไร ท่านพระยารามผู้มีความแข็งขนั สูร้ บปอ้ งกนั มไิ ด้ยอมแพพ้ า่ ย (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น พระราชมนทู หารสมัยก้ชู าติ แสดงความสามารถ ได้ชยั ชนะมากหลาย ไดอ ยางอสิ ระ) เจา้ พระยาโกษาเหลก็ ทา่ นเปน็ แมท่ ัพช้นั เอก ของสมเดจ็ พระนารายณ์ สหี ราชเดโช ผจญสงครามใหญโ่ ต ตอ่ ตีศตั รแู พพ้ ่าย 2. ใหนักเรยี นศกึ ษาเน้อื เพลงตนตระกลู ไทย เจา้ คณุ พิชัยดาบหกั ผกู้ ล้าหาญยิ่งนัก ลว้ นเปน็ ต้นตระกลู ไทย จากในหนงั สอื เรียน หนา 76 หมบู่ ุคคลสา� คัญ หวั หนา้ ชาวบางระจัน ทเ่ี ราหาชือ่ ได้ นายแทน่ นายดอก นายอิน นายเมือง ขนุ สรรค์ พนั เรือง นายทองแสงใหญ่ 3. ครเู ปดซีดี หรอื ดวี ดี เี พลงตนตระกูลไทย นายโชติ นายทองเหมน็ ท่านเหลา่ นลี้ ว้ นเปน็ ผู้กล้าหาญชาญชยั ใหนักเรียนฟง และสาธิตวธิ ีการขับรองเพลง นายจันหนวดเขย้ี วกับนายทองแก้ว ท�าชอื่ เสยี งเพริดแพรว้ ไว้ลายเลอื ดไทย ตน ตระกลู ไทยทถี่ ูกตองใหนกั เรียนฟง จากน้นั ชาวบางระจนั ส�าคญั ยิ่งใหญ่ เป็นตน้ ตระกลู ของไทย ท่ีควรระลกึ ตลอดกาล ใหน ักเรยี นฝก ปฏบิ ตั ติ าม จากน้ันครูสุมนกั เรียน องค์พระสุรโิ ยทยั ยอดย่ิงหญงิ ไทย สละพระองคเ์ พื่อชาติ 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ กี ารขับรอ งเพลง- ท้าวเทพกระษัตรี ทา้ วศรสี นุ ทร ปอ้ งกันถลางนคร ไวด้ ว้ ยความสามารถ ตน ตระกลู ไทยที่ถูกตอ งใหเ พือ่ นฟงหนา ชัน้ เรยี น ทา้ วสรุ นารี ผเู้ ปน็ นกั รบสตรี กล้าหาญองอาจ โดยมคี รูเปนผูคอยชี้แนะความถูกตอง ป้องกนั อสี านตา้ นศตั รูของชาติ ลว้ นเป็นสตรีสามารถ ต้นตระกลู ของไทย จากนัน้ ครถู ามนักเรียนวา • เพราะเหตใุ ดจงึ ตอ งมีการแตง เพลงทม่ี เี นื้อหา ๓) ความเช่ือและศาสนา ประเทศไทยเป็นประเทศท่ีให้สิทธิประชาชนในการ เก่ียวของกบั ความรักชาติ รกั แผน ดนิ (แนวตอบ เพือ่ ปลุกจิตสํานึกของคนไทย นับถือศาสนาได้อย่างเสรี โดยศาสนาท่ีมีประชาชนในประเทศนับถืออยู่เป็นจ�านวนมาก เช่น ใหเ กิดความรกั ชาติบา นเมอื ง มีความสามัคคี ศาสนาพทุ ธ ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ศาสนาสิข เป็นตน้ ในหมูคณะ และเสยี สละเพ่ือชาติบานเมอื ง) • เมือ่ นักเรียนไดฟ งเพลงประเภทปลกุ ใจ ดงั นัน้ จงึ มีศลิ ปินหลายทา่ นทถี่ า่ ยทอดความเชอ่ื ความศรัทธา หลักธรรม ค�าสอนของ ทาํ ใหนกั เรียนเกดิ ความรสู ึกอยางไร ศาสนาทต่ี นเองนบั ถอื ออกมาเปน็ บทเพลงทห่ี ลากหลาย โดยเฉพาะศาสนาครสิ ตท์ ต่ี อ้ งมกี ารรอ้ งเพลง (แนวตอบ เนื่องจากเนอื้ รองและทํานองเพลง ในโบสถ์ จงึ มบี ทเพลงทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ศาสนาครสิ ตจ์ า� นวนมาก ตวั อยา่ งบทเพลงทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ความ ปลุกใจ เปนเพลงทม่ี จี งั หวะและลลี าคึกคัก เชอ่ื และศาสนา เชน่ เราใจ จึงทาํ ใหผฟู งเกิดอารมณฮกึ เหิม และคึกคกั คลอยตามเนื้อรอ ง) 76 เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครคู วรยกตวั อยา งเพลงท่ีมเี นือ้ หาเกี่ยวกับความรกั ชาติ รกั แผน ดนิ เชน ใหนกั เรยี นคิดประดษิ ฐทา ทางประกอบเพลงตน ตระกลู ไทย เพลงกรุงศรอี ยุธยา จดั เปนเพลงปลกุ ใจท่มี ีความหมายมุง ปลกุ จติ สํานึกของคนไทย ตามจินตนาการ จากนั้นออกมานําเสนอผลงานใหเพอ่ื นชมหนา ช้นั เรยี น ใหเ กดิ ความรักชาติบานเมอื ง ดังคาํ รอ งทีว่ า “กรงุ ศรีอยธุ ยาราชธานไี ทย ถงึ เคย โดยมคี รเู ปน ผคู อยชแ้ี นะความถูกตอ ง แตกแหลกไปกไ็ มส ้ินคนดี เราจะรบศตั รตู อสไู พรี เราจะกูเกยี รตศิ รีอยธุ ยาไวเ อยฯ อยธุ ยารงุ เรอื งกระเดอื่ งนาม เมอื งงามธรรมชาตชิ ว ยสนอง บรบิ รู ณล มุ นา้ํ และลาํ คลอง กจิ กรรมทาทาย ทาวอูทองทรงสรา งใหช าวไทย คร้งั โบราณแพพมา เปน ขาเขา พระนเรศวรเจา ทรงกไู ด ไลศัตรูไปพน แผน ดนิ ไทยศรีอยุธยาไมสน้ิ คนดี ชาวศรอี ยุธยามาดว ยกัน ใหน ักเรียนฟงเพลงทม่ี เี นือ้ หาเก่ยี วกบั ความรกั ชาติ รักแผนดนิ เลือดไทยใจมนั่ ไมพ รน่ั หนี ชวี ติ เราขอนอ มและยอมพลี ไวเ กยี รตศิ รอี ยธุ ยาคฟู า ดนิ ฯ” ตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง จากนน้ั ใหน ักเรียนวเิ คราะห ความไพเราะของบทเพลงและบรรยายความรสู ึกที่ไดรบั ลงกระดาษรายงาน นําสง ครผู สู อน 76 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู เพลงพระรัตนตรยั อนิ ทรวจิ ิตร1และสมำน กำญจนะผลนิ 2 1. ครูสมุ นักเรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม ดงั ตอ ไปนี้ ค�ำร้องและทำ� นอง : ชำลี • จดุ ประสงคหลกั ของการสรา งเพลงทมี่ คี วาม เก่ยี วของกับศาสนาและความเช่อื คอื ส่ิงใด องค์ใด พระสัมพุทธ ธ วิสทุ ธิ์ ผดุ ผอ่ งใส (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ตดั มูล กิเลสไกล หลีกละใน สงิ่ รน่ื รมย์ ไดอยางอิสระ) คา� ใด ท่านตรัสแล้ว เหมอื นดวงแก้ว น่าชื่นชม สัตว์โลก ท่ีโศกซม ดบั ระทม ดว้ ยพระธรรม 2. ใหน กั เรยี นศึกษาเนือ้ เพลงพระรตั นตรัย ธรรมน้นั พวกท่านทง้ั หลาย จงเปล่งวาจา วา่ สาธุสะ (สาธุ) จากในหนังสอื เรียน หนา 77 ภาวนาดุจสรณะ คอื พระ รตั นตรยั 3. ครูเปดซีดี หรือดวี ดี เี พลงพระรัตนตรัย ๔) ความรักและความเศร้า จิตใจของศิลปินมีความสัมพันธ์ต่อการสร้างสรรค์ ใหน กั เรยี นฟง ครูสาธติ วิธีการขับรอง เพลงพระรัตนตรัยท่ีถูกตองใหนักเรยี นฟง งานดนตรี จิตใจท่ีสัมผัสกับแรงสะเทือนใจ ไม่ว่าจะเป็นความรักท่ีล้มเหลว ความรักท่ีหวานชื่น พรอ มท้งั ใหนกั เรยี นฝกปฏิบัติตาม ความเศรา้ สรอ้ ยอนั เกดิ จากการสญู เสยี คนรกั หรอื จากสงิ่ ทห่ี วงแหน การตดั พอ้ ตอ่ วา่ หรอื โชคชะตา จากนั้นครสู ุมนกั เรยี น 2 - 3 คน ออกมา มนษุ ย์ ลว้ นเปน็ ตน้ ทนุ นา� ไปสจู่ นิ ตนาการในการแตง่ เพลงของบรรดาผปู้ ระพนั ธเ์ พลงไดท้ งั้ สน้ิ จงึ ทา� ให้ สาธติ วิธีการขบั รองเพลงพระรตั นตรยั ทีถ่ กู ตอ ง มบี ทเพลงประเภทนเี้ กิดข้ึนมากมาย ใหเพือ่ นชมหนาช้นั เรยี น โดยมคี รเู ปน ผคู อย ช้แี นะความถกู ตอง ตวั อย่างบทเพลงทเี่ กี่ยวขอ้ งกับความรักและความเศรา้ เช่น 4. ครูสุมนักเรียน 2 - 3 คน ใหต อบคําถาม เพลงรักเอย ดังตอ ไปนี้ • เมือ่ นักเรยี นไดฟ ง เพลงท่มี ีเนอ้ื หาเกีย่ วขอ ง คำ� รอ้ ง : เกษม ชน่ื ประดษิ ฐ์ 3 กบั ความรกั และความเศรา นกั เรยี นจะรูสึก ท�ำนอง : แมนรตั น์ ศรกี รำนนท์ อยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ รกั เอย จรงิ หรอื ทีว่ า่ หวาน หรือทรมานใจคน ไดอ ยางอสิ ระ) ความรักร้อยเลห่ ก์ ล รักเอยลวงลอ่ ใจคน หลอกจนตายใจ รักนม่ี สี ขุ ทุกขเ์ คล้าไป ใครหยงั่ ถงึ เจ้าได้ คงไมช่ �า้ ฤดี 5. ใหน ักเรียนศกึ ษาเนื้อเพลงรักเอย จากในหนงั สอื เรยี น หนา 77 รกั เอย รกั ทีป่ รารถนา รักมาประดับชวี ี หวัน่ ในฤทยั เหลอื ที่ เกรงรักลวงฤดี รกั แลว้ ขย้ีใจ 6. ครเู ปดซดี ี หรือดีวดี ีเพลงรักเอยใหน กั เรียนฟง ขนื ห้ามความรกั คงไม่ได้ กลวั หมองไหม้ ใจส้นิ สุขเอย พรอ มทงั้ สาธติ วธิ กี ารขบั รอ งเพลงรกั เอยทถ่ี กู ตอ ง ใหน กั เรยี นฟง พรอ มทง้ั ใหน กั เรยี นฝก ปฏบิ ตั ติ าม จากนนั้ ครสู มุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ออกมาสาธติ วิธีการขบั รองเพลงรักเอยทีถ่ ูกตอ งใหเพือ่ นชม หนา ชั้นเรยี น โดยมคี รูเปน ผูคอยชแี้ นะ ความถูกตอง 77 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรียนควรรู ใหน กั เรียนเลอื กฟง เพลงท่มี ีเนื้อหาเกยี่ วกบั ความงามของธรรมชาติ 1 ชาลี อนิ ทรวิจิตร ผูประพันธค าํ รองและผูก าํ กบั ภาพยนตรท ี่มีชื่อเสียงทานหนง่ึ ความรักชาติ รกั แผน ดนิ ศาสนาและความเชื่อ ความรักและความเศรา ผลงานการประพันธคํารอ งที่มีชื่อเสยี ง เชน เพลงสดุดมี หาราชา เพลงแสนแสบ เพยี ง 1 หวั ขอ จากนัน้ วเิ คราะหค วามไพเราะของบทเพลงและเขยี น เพลงทา ฉลอม เพลงสาวนครชยั ศรี เพลงทงุ รวงทอง เปนตน และยังไดร ับยกยอง บรรยายความรสู ึกทีไ่ ดร บั ลงกระดาษรายงาน นําสงครผู สู อน เปนศลิ ปนแหงชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง (ผปู ระพนั ธค ํารอ ง - ผกู ํากบั ภาพยนตร) ประจําป พ.ศ. 2536 กจิ กรรมทาทาย 2 สมาน กาญจนะผลนิ นักดนตรแี ละนกั แตง เพลง ผลงานทีม่ ชี อ่ื เสียง เชน เพลงรกั คณุ เขาแลว เพลงรกั แท เปนตน และไดร บั การยกยอ งเปน ศิลปน ใหนกั เรยี นฝก แตงเพลงโดยเลือกหวั ขอท่ีครูกาํ หนดให คือ ความงาม แหง ชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล) ประจาํ ป พ.ศ. 2531 ของธรรมชาติ ความรกั ชาติ รกั แผน ดนิ ศาสนาและความเชอื่ ความรัก 3 แมนรตั น ศรีกรานนท นักดนตรีลกู ครง่ึ ชาวไทย - โปรตเุ กส หนงึ่ ในสมาชกิ และความเศรา เพยี ง 1 หวั ขอ พรอมตงั้ ชือ่ เพลง จากนัน้ ออกมานาํ เสนอ วงดนตรี อ.ส. วันศกุ ร เปนผูกอ ตัง้ คณะดรุ ิยางคศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร ผลงานใหเพอ่ื นชมหนา ชั้นเรียน โดยมีครเู ปนผูช ี้แนะความถูกตอง และไดร ับการยกยองเปน ศิลปน แหง ชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล) ประจําป พ.ศ. 2535 คมู อื ครู 77

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาาใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู ใหนักเรียนรว มกนั อภปิ รายเกีย่ วกบั ปจจยั ทีม่ ี ๒.๒ การถา่ ยทอดเรอื่ งราวความคิดในบทเพลง เพราะมขี อ้ จา� กดั อิทธพิ ลตอการสรางสรรคง านดนตรใี นหวั ขอ ลกั ษณกะาเรดปยี รวะกพนั นั คธอื บ์ เทรรอื่ อ้ งงขขอองคงเวพามลงยเาทวยี กบาไรดวก้างบั โกคารรงแเรตอ่ื ง่ งน1แวลนะยิ กาายรปถาร่ ยะเทภอทดเอราอื่ รงมสณนั้ ์ ความรสู้ กึ ออกมา การถายทอดเรอื่ งราวความคดิ ในบทเพลง ตามท่ี ซึ่งท่วงท่าที่แสดงออก หรือกระบวนแบบที่ผู้ประพันธ์เพลงแต่ละคนใช้ถ่ายทอดเร่ืองราวความคิด ไดศกึ ษามา จากน้ันครูถามนกั เรยี นวา ในบทเพลงอาจมีแตกตา่ งกันออกไป การทศ่ี ลิ ปนิ จะสามารถสรา้ งสรรคผ์ ลงานดนตรที ม่ี ที ว่ งทา่ ทแี่ สดงออกจนเปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะ • นักเรียนคดิ วา เทคนคิ การแสดงออกเฉพาะตน ของตนเองได้นั้น อาจเกิดจาก “พรสวรรค์” (Gifted) หรือเกิดจากการคิดค้น ทดลอง บ่มเพาะ ในการถายทอดเรอื่ งราวความคิดทด่ี ีควรมี เป็นประสบการณ์อันยาวนาน ทง้ั นี้ โดยปกตผิ ปู้ ระพันธเ์ พลงมกั จะประพันธ์ทา� นอง (Melody) กอ่ น ลักษณะอยา งไร แล้วจึงประพันธ์ค�าร้อง (Lyric) บรรจุเข้าไปให้ครบทุกตัวโน้ต และจัดวรรคตอนของค�าประพันธ์ (แนวตอบ ตอ งดาํ เนินไปอยา งเปน เอกภาพ คือ ให้สอดคลอ้ งกับวรรคตอนของท�านอง แตก่ ็มีเพลงจ�านวนไมน่ อ้ ยที่แตง่ ค�ารอ้ งมาก่อนทา� นอง มีความกระชบั รดั กมุ และเขมขน แตต อ ง มีวรรณศลิ ป คือ ใชค าํ ท่กี ินใจ คําท่ีมีเสยี ง ไพเราะ และสํานวนโวหารทดี่ )ี ขยายความเขา ใจ E×pand ศิลปะชั้นสูงต้องเป็นศิลปะท่ีศิลปินแสดงออกด้วยการสร้างสรรค์และปรุงแต่งอย่างสุขุม ใหป้ ระณตี งดงามเกนิ ความเปน็ จริง เมอ่ื ไดฟ้ ังแลว้ เกิดความไพเราะจับใจ รู้สกึ คึกคัก ร่าเริง หรอื 1. ใหน กั เรยี นรวมกันสรุปสาระสาํ คญั เกย่ี วกับ โศกเศร้าวังเวง จนใจล่องลอยคล้อยตามอารมณ์ของเสียงเพลงน้ัน ซ่ึงผู้ประพันธ์เพลงแต่ละคน ปจ จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ การสรา งสรรคผ ลงานดนตรี จะมเี ทคนคิ การแสดงออกเฉพาะตนในการถา่ ยทอดเรอื่ งราวความคดิ หรอื ความสะเทอื นใจออกมา ลงกระดาษรายงาน นําสงครผู ูสอน ให้ผฟู้ งั รับรู้ได้ดีหรอื ไมด่ ีเพียงใดนั้น ขึน้ อยู่กบั ปจั จยั ต่างๆ หลายประการดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ ๑. ความร้พู ้นื ฐานเก่ยี วกบั ทฤษฎีดนตรแี ละการปฏบิ ัติเคร่อื งดนตรี 2. ใหน กั เรียนฝกขับรองเพลงอุทยานดอกไม ๒. พ้นื ฐานความสามารถดา้ นการขบั ร้อง หรืออา่ นทา� นอง ซงึ่ จะชว่ ยให้รจู้ ักเลอื กค�า เพลงตน ตระกลู ไทย เพลงพระรตั นตรัย ที่มีเสยี งไพเราะมาใชแ้ ตง่ ค�ารอ้ ง และเพลงรักเอย ฝกปฏิบตั ิจนเกิดความชาํ นาญ ๓. ความรู้พื้นฐานด้านวรรณคดี ซึ่งจะท�าให้รู้จักแต่งกลอนเพลงได้ถูกต้องตามหลัก จากน้นั ออกมาสาธติ วธิ กี ารขับรองเพลงอุทยาน ฉนั ทลักษณแ์ ละมคี วามไพเราะน่าฟัง ดอกไม เพลงตน ตระกูลไทย เพลงพระรัตนตรยั ๔. ผปู้ ระพนั ธเ์ พลงตอ้ งเปน็ ผอู้ า่ นมาก ฟงั มาก เพราะจะชว่ ยใหร้ จู้ กั วธิ แี ตง่ สา� นวนโวหาร และเพลงรกั เอย ใหเ พ่อื นฟงหนาชน้ั เรยี น หรือคดั สรรส�านวนโวหารท่ีไพเราะกนิ ใจมาใช้เป็นคา� รอ้ ง โดยมคี รูเปนผูคอยช้ีแนะความถกู ตอ ง ตรวจสอบผล Evaluate ๕. ผปู้ ระพนั ธเ์ พลงตอ้ งเปน็ คนชอบสงั เกต วเิ คราะห์ และวจิ ารณส์ ง่ิ ตา่ งๆ หรอื บคุ คลตา่ งๆ ทีอ่ ยู่รอบตวั อยา่ งสมา่� เสมอ เพราะจะชว่ ยใหส้ ร้างโครงเร่ืองของบทเพลงได้หลากหลาย ๖. ผู้ประพันธ์เพลงต้องเป็นผู้ชอบขีดเขียนด้วยส�านวนโวหารของตนเอง เช่น 1. ครพู จิ ารณาจากการสรปุ สาระสําคญั เกย่ี วกับ จดหมาย อนทุ นิ บนั ทกึ เหตกุ ารณ์ เรอื่ งเลา่ บทกวี เปน็ ตน้ หรอื แมแ้ ตก่ ารแตง่ เพลง จะชว่ ยใหส้ ามารถ ปจ จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ การสรา งสรรคผ ลงานดนตรี แต่งค�ารอ้ งได้อย่างฉับไวและมสี �านวนทีฟ่ งั ร่นื หูโดนใจผ้ฟู ัง ของนกั เรยี น ทั้งน้ี การน�าเอาความรูส้ ึกนึกคิดและความสะเทอื นใจมาประพนั ธ์เปน็ เพลง ท้งั ท�านอง และเน้อื ร้อง ซง่ึ สามารถท�าได้ ๒ ลักษณะ คือ 2. ครูพิจารณาจากการขบั รอ งเพลงอุทยานดอกไม เพลงตน ตระกลู ไทย เพลงพระรตั นตรัย และเพลงรกั เอยของนักเรยี น 78 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET “เปรียบเธอเพชรงามนาํ้ หนง่ึ หวานปานนา้ํ ผง้ึ เดอื นหา หยาดเพชร ครูควรเชญิ วิทยากรทีม่ ีความเชย่ี วชาญในเรือ่ งดนตรีสากล มาอธิบายเพิม่ เติม เกลด็ แกว แววฟารวงมาจากฟาหรอื ไร” จากเนื้อเพลงขางตน ผูฟ ง เพลง เกย่ี วกบั ปจ จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ การสรา งสรรคผ ลงานดนตรี ในหวั ขอ การถา ยทอดเรอื่ งราว จะไดร ับรสทางวรรณศิลปท่ีทาํ ใหเ กดิ อารมณและความรูสึกใด ความคดิ ในบทเพลง พรอมทั้งเปด เพลงทีแ่ สดงความรสู กึ ท่ีแตกตา งกันใหน กั เรียนฟง 1. รสแหงความรัก จากนน้ั ครูเปด โอกาสใหน กั เรยี นไดซกั ถามในสิง่ ที่สงสยั และแสดงความคิดเหน็ 2. รสแหง ความสงบ ซึ่งจะทําใหนักเรียนมีความรู ความเขาใจในเร่ืองปจจัยท่ีมีอิทธิพลตอการสรางสรรค 3. รสแหงความโกรธ งานดนตรใี นหัวขอ การถา ยทอดเรอื่ งราวความคดิ ในบทเพลงไดด ียงิ่ ข้นึ 4. รสแหงความขบขนั วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. เพราะจากเนือ้ เพลงเปน การกลาวถงึ นกั เรยี นควรรู หญิงอนั เปน ทรี่ กั โดยเปรียบเทยี บความงามของผูห ญงิ วาเปน “เพชร” ดังนัน้ ผฟู งเพลงจะไดรับรสทางวรรณศิลปทําใหเ กิดความรูสึกรัก 1 การวางโครงเรอื่ ง จะตองมีตวั ละครปรากฏอยูใ นบทเพลง เชน เธอกบั ฉัน เธอกบั เขา เขากบั ฉนั เธอ ฉันและเขา ฉันกับธรรมชาติ เปนตน เพอ่ื ใหเรื่องราว จบลงตามความยาวของบทเพลงที่กําหนดไว 78 คูมือครู

กกรระตะตนุ Eุน nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Evaluate Engage Explore Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๑) ลกั ษณะเหมอื นจรงิ ทกุ ประการ หรอื เรยี กวา่ “เรยี ลลสิ ตกิ ” (Realistic) คอื ตาเหน็ ครูนําเน้อื เพลงยอยศพระลอมาใหนักเรยี นดู พรอ มเปด ซีดี หรือดวี ดี เี พลงยอยศพระลอ อยา่ งไร หูไดย้ นิ อยา่ งไร ลน้ิ ไดร้ สอยา่ งไร กายสมั ผสั เยน็ - รอ้ น ออ่ น - แขง็ อยา่ งไร หรอื ใจคดิ อะไรอยู่ ใหนักเรยี นฟง ก็จะแต่งถ้อยค�าบอกออกมาอย่างนั้น เช่น นักประพันธ์เห็นวิถีชีวิตชาวนาท่ีต้องตรากตร�าล�าบาก ทา� นาอยา่ งทมุ่ เท แตก่ ย็ งั หนไี มพ่ น้ ความยากจน กจ็ ะแตง่ เพลงพรรณนาความจรงิ ไปตามนนั้ เปน็ ตน้ “รปู ดง่ั องคอนิ ทรหยาดฟามาสดู ิน โสภณิ ดงั เดือนดวง ๒) ลกั ษณะปรงุ แตง่ ใหเ้ กนิ จรงิ หรอื เรยี กวา่ “ไอเดยี ลสิ ตกิ ” (Idealistic) คอื แตง่ โดย เหนือแผนดินแดนสรวงเหนือปวงหนุม ใด เหลา อนงคห ลงสวาทยอมเปนทาสรกั บําเรอ ใชส้ า� นวนโวหารทางภาษา พรรณนารปู รส กลิน่ เสยี ง กายสมั ผัส และอารมณ์ ใหง้ ดงามเกิน นามขนุ ลอทาวเธอทรงสถิต ณ ทรวงใจ ความเป็นจริง เช่น แต่งเพลงเกี่ยวกับชีวิตชาวนา ก็ปรุงแต่งให้ชีวิตชาวนาเป็นชีวิตที่น่าอภิรมย์ ลมุ แมกาหลงเจา หรือจะเทาถงึ ครงึ่ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม มวี ถิ ชี ีวติ ทสี่ งบเย็นผาสุก เปน็ ตน้ แมน อยหนึ่งนา้ํ หทัย เมอ่ื ทรงคชสาร ธ ย่ิงหาญยง่ิ กลา ๓. การบรรยายอารมณแ์ ละความรสู้ กึ ในบทเพลง ดัง่ พญาสีหราชผเู ปน ใหญ ผปู้ ระพนั ธเ์ พลงทมี่ ที กั ษะอยใู่ นระดบั ศลิ ปนิ จะสามารถประพนั ธ์ไดท้ งั้ ทา� นองและคา� รอ้ งของเพลง ใชเ พียงศกึ รบสยบพระทรงชยั ทา� ใหผ้ ฟู้ งั เกดิ อารมณแ์ ละรสู้ กึ คลอ้ ยตามอยา่ งมคี วามสขุ โดยทที่ ง้ั ทา� นองและคา� รอ้ งตอ้ งใหอ้ ารมณ์ แมในศกึ รกั พระยงั ยิ่งใหญ และความรูส้ ึกทส่ี อดคล้องสัมพันธ์กนั นาถอนงคป ลงใจใครองิ อนุ นบั ลา นโลกาลว นบค วรคบู ญุ การประพนั ธค์ า� รอ้ งของบทเพลงเปรยี บเสมอื นกบั การปรงุ อาหาร คอื ตอ้ งปรงุ ใหม้ รี สชาตติ า่ งๆ ด่งั พอ ขนุ แมนสรวงเอย” ถา้ ผปู้ รงุ อาหารปรงุ ไดถ้ งึ รส ผรู้ บั ประทานอาหารกจ็ ะไดร้ สอรอ่ ยถงึ ใจ ทงั้ เปรยี้ ว หวาน มนั เคม็ เผด็ จากนัน้ ครถู ามนกั เรยี นวา คล้ายกับการประพันธ์เพลง ถ้าผูป้ ระพนั ธ์ค�าร้องของเพลงได้ดีเดน่ ถึงขนั้ วรรณศิลป์ ผู้ฟงั เพลงกจ็ ะ • บทเพลงนีต้ องการสื่อใหเ หน็ ถงึ สิ่งใด ได้รบั รสทางวรรณศิลปท์ ี่ทา� ให้เกดิ อารมณแ์ ละความรสู้ ึกต่างๆ เช่น (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ๑) รสแหง่ ความรัก เป็นรสที่ให้อารมณ์และควา1มรู้สึกอ่อนหวานในจิตใจของผู้ฟัง เช่น เพลง ไดอ ยา งอิสระ) รักคณุ เขา้ แล้ว คา� รอ้ งโดยสนุ ทรียา ณ เวียงกาญจน์ ท�านองโดยสมาน กาญจนะผลิน เปน็ ตน้ “รักคณุ เข้าแลว้ เป็นไร รกั จนคลงั่ ไคลจ้ ริงจงั สาํ รวจคน หา Explore คณุ รกั ใครหรอื ยงั ฉันใด หวัน่ ใจวา่ คงไมแ่ คลว้ เลยรกั เข้าแลว้ จนได้ ใหน ักเรียนศึกษา คน ควา หาความรเู พ่ิมเตมิ บอกแล้วไม่วนั ไหน ตอ้ งเผลอใจเข้าสักวนั เก่ยี วกับการบรรยายอารมณแ ละความรสู ึก แล้วคุณอย่าหวงสัมพนั ธ์ ในบทเพลง จากแหลงการเรียนรตู า งๆ เชน รักคุณเข้าแลว้ เตม็ ทรวง ดีไหม หองสมดุ โรงเรยี น หองสมดุ ชุมชน อนิ เทอรเ นต็ เราคดิ มารกั กนั กค็ ณุ รักบ้างเป็นไร เปนตน ในหวั ขอท่คี รูกําหนดให ดังตอ ไปน้ี ก็ทผี มยังรักคณุ อย่าคดิ อะไรเลยคณุ ...” ของรกั กันได้ 1. รสแหง ความรกั 2. รสแหงความขบขัน 79 3. รสแหง ความโกรธ 4. รสแหง ความกลา 5. รสแหง ความสงบ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นกั เรยี นควรรู เพราะเหตุใดการประพันธเพลงจึงเปรยี บเสมอื นการปรุงรสอาหาร 1 สนุ ทรียา ณ เวยี งกาญจน หรอื เกียรติพงศ กาญจนภี ผปู ระพนั ธคํารอ งเพลงไทย แนวตอบ เพราะตอ งปรงุ ใหมีรสชาติตา งๆ ถา ผูป รงุ อาหารสามารถ ทีม่ ีชื่อเสยี ง ผลงานชน้ิ แรก คือ “เพลงดอกโศก” ทํานองโดยสมาน กาญจนะผลิน ปรงุ อาหารไดอ ยา งถึงรส ผูร บั ประทานอาหารกจ็ ะไดรสอรอยถึงใจ สนุ ทรียา ณ เวยี งกาญจน มีผลงานประพันธป ระมาณ 1,000 เพลง และผลงานเพลง ทงั้ รสเปร้ียว หวาน มัน เคม็ เผ็ด ซึ่งมีลกั ษณะคลา ยกับการประพันธเพลง ทมี่ ชี ่อื เสยี ง ไดแก “วหิ คเหนิ ลม” ทาํ นองโดยสมาน กาญจนะผลิน ขบั รอง ถา ผปู ระพันธสามารถประพันธค ํารอ งไดดคี รบถงึ หลักวรรณศิลป ผฟู งเพลง โดยเพญ็ ศรี พมุ ชศู รี “รักคุณเขาแลว ” ทาํ นองโดยสมาน กาญจนะผลนิ ขับรอ ง ก็จะไดรบั รสทางวรรณศิลปท ่ีทาํ ใหเกดิ อารมณตา งๆ เชน รสแหงความรัก โดยสเุ ทพ วงศก าํ แหง นอกจากน้ี ยังไดรับการเชดิ ชเู กียรตเิ ปน ศิลปน แหงชาติ รสแหงความขบขัน รสแหง ความโกรธ รสแหง ความกลา รสแหง ความสงบ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล) ประจาํ ป พ.ศ. 2549 และไดร บั เลอื กจาก เปนตน คณะอนุกรรมการจดั ทาํ เพลงเฉลมิ พระเกยี รติ เนอื่ งในโอกาสเฉลมิ พระชนมพรรษา ครบรอบ 80 พรรษา พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช เปน หน่ึงใน 4 นกั ประพันธเพลงศลิ ปนแหงชาติ รวมกบั อาจินต ปญ จพรรค, ชาลี อินทรวจิ ิตร และสุรพล โทณะวณิก ทปี่ ระพันธค าํ รอ ง “เพลงพอ แหง แผน ดิน” เพอ่ื จดั ทาํ เปนซีดี เผยแพรไ ปสูประชาชน คูมือครู 79

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหนกั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกี่ยวกับการบรรยาย ๒) รสแหง่ ความขบขนั เปน็ รสทใ่ี หอ้ ารมณแ์ ละความรสู้ กึ ตลกขบขนั และสนกุ สนาน เชน่ เพลง อารมณและความรสู ึกในบทเพลง ตามท่ีไดศกึ ษามา ไม่อว้ นเอาเท่าไร เป็นต้น จากนนั้ ครูถามนกั เรียนวา “บอกซิเออ เธอจะเอาเท่าไร เอาเทา่ ไร ไมอ่ ว้ นเอาเท่าไร • เนอื้ เพลงนแี้ สดงใหเ ห็นถึงส่ิงใด บอกซเิ ออ เธอจะเอาเทา่ ไร เอาเทา่ ไร ไม่อ้วนเอาเท่าไร “พรหมลขิ ติ บนั ดาลชักพา มองอยู่นานกด็ ูเขา้ ที พอเห็นความหลอ่ เหมอื นกัน ดลใหมาพบกนั ทนั ใด แตม่ องนานนาน แล้วกช็ กั จะหว่ัน ก็เรมิ่ จะเหน็ ไขมนั กอนนอ้ี ยกู นั แสนไกล ดอู ีกที เท่ดีไมเ่ บา กระเปา๋ คงหนักเหมือนกัน พรหมลขิ ติ ดลจติ ใจ แต่ตอนท�าตาซงึ้ เหมือนหมูชวนฝัน ยงิ่ ดยู ่ิงข�ากลิ้งเลย…” ฉนั จงึ ไดมาใกลกับเธอ” (แนวตอบ เน้อื เพลงสะทอนใหเห็นถงึ รส เช่น๓)เ พรสลแงหผง่ชู้ คนวะาสมบิ โกทรศิ ธค�าร้อเปงแ็นลระสททา� ี่ในหอ้องาโรดมยณไส์แลลไะกครวเลามิศ1รเู้สปึก็นโตก้นรธแค้น ชิงชัง หรือตัดพ้อต่อว่า แหงความรัก แมจะอยูห า งกนั ไกลแคไหน พรหมลขิ ติ ก็จะนําพามาใหร กั กัน) “เจบ็ ใจคนรักโดนรังแก ขา้ จะเผาเมืองแปรใหม้ ันวอดวาย จะตายให้เขาลือชาย จะใหเ้ ขาลอื ชายวา่ นามชอ่ื กู • เนือ้ เพลงนแ้ี สดงใหเห็นถงึ สง่ิ ใด ผู้ชนะสบิ ทศิ ผู้ชนะสิบทศิ ผชู้ นะสิบทิศ ผชู้ นะสบิ ทศิ ผชู้ นะสิบทิศ...” “บางระจนั เขารวมกันเปนหน่ึง มตี นเปน ทพ่ี ่งึ ยอดนกั สเู มืองสงิ ห เพ๔ล)ง เรจสา้ แตหาง่กคควา�ารม้อกงลแา้ ละท�าเนปอ็นงรโสดทยย่ีใหืน้อยางรโมอณภา์แกลุละค(แวอาด๊ มรคู้สาึกรากบลา้าว2)หเป้าว็นหตาน้ ญ และฮึกเหิม เช่น ทั้งเจด็ ครัง้ รบพมา จนลมกลิ้ง บางระจันเกงจริงจงึ ตองยิงดวยปน “ยทุ ธศาสตร์ยิง่ ใหญ่ ความต้งั ใจเดด็ เด่ยี ว มอื้ น้เี ราจะเค้ียวขา้ ว และทบุ หมอ้ ขา้ ว เอาปนใหญยิงใสก ันตูมตาม ตแี หกฝา่ วงล้อม ลยุ พมา่ ข้าศึก นึกถงึ ความเป็นไทย ดีกวา่ ไปเป็นทาส ปนไทยแตกเหลอื แตด าม สองมอื ถือดาบอยา่ งมน่ั ใจ นักรบไทยของพระเจ้าตาก เพราะเพ่ิงหลอเมอื่ วานซืน ฝากฝงั กรุงอยธุ ยา วนั ข้างหนา้ ขา้ จะมาทวงคืน…” กก็ รงุ ศรีมใิ หเ ขาหยิบยมื ปน จงึ มิอาจหยัดยืนรักษาคา ยบางระจนั ” (แนวตอบ เน้ือเพลงสะทอ นใหเหน็ ถึง รสแหง ความโกรธ ซง่ึ จะอยูในทอ นเพลง ทวี่ า “เอาปนใหญย งิ ใสกนั ตมู ตาม ปนไทย แตกเหลือแตดาม เพราะเพ่ิงหลอเมอื่ วานซนื กก็ รงุ ศรมี ิใหเขาหยิบยืมปนจึงมิอาจหยัดยืน รกั ษาคายบางระจัน” และรสแหง ความกลา ซง่ึ จะอยใู นทอนเพลงทวี่ า “บางระจนั เขารวมกันเปน หน่ึง มีตนเปน ที่พง่ึ ยอดนกั สู เมอื งสิงห ทั้งเจ็ดครงั้ รบพมา จนลมกลง้ิ บางระจนั เกง จริงจึงตอ งยิงดวยปน”) 80 นกั เรียนควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 ไสล ไกรเลิศ นักไวโอลนิ และนกั แตง เพลงของไทย ผลงานทมี่ ีช่ือเสยี ง เชน ใหน กั เรียนเลือกฟงเพลงท่มี เี น้ือหาแสดงถึงรสแหง ความรกั รสแหง เพลงบุเรงนองราํ ลึก (ผูชนะสิบทศิ ) เพลงบเุ รงนองล่ันกลองรบ เพลงกลอมอิระวดี ความขบขัน ความโกรธ ความกลา และความสงบ ตามความสนใจ เพลงกสุ มุ ายอดรกั เพลงจอมใจจะเด็ด เพลงยอดพธูเมืองแปร เพลงดวงใจในฝน ของตนเอง 1 หัวขอ จากนั้นวเิ คราะหค วามไพเราะและความงาม เพลงเสียงสะอ้ืนจากสายลม เพลงสายลมเหนอื เพลงมา นไทรยอ ย เพลงกากีเหมอื น ทเ่ี กดิ ขึน้ ในบทเพลง และเขยี นบรรยายความรสู ึกทีไ่ ดร ับ ดอกไม เพลงอเิ หนารําพนั เพลงหัวหินส้ินมนตรัก เพลงมา นประเพณี เปน ตน ลงกระดาษรายงาน นําสง ครผู สู อน 2 ยืนยง โอภากลุ (แอด คาราบาว) เปนศลิ ปนผมู ชี ื่อเสยี งในการขับรองแนวเพลง เพ่อื ชีวิต เกดิ เม่อื วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 ทอี่ าํ เภอเมอื ง จังหวดั สพุ รรณบรุ ี กจิ กรรมทาทาย ทา นไดส รา งสรรคบ ทเพลงเพอ่ื ชวี ติ ทม่ี ชี อ่ิื เสยี งโดง ดงั ไวม ากมาย และในป พ.ศ. 2556 ทา นไดร ับการยกยองเชดิ ชูเกยี รตใิ หเปนศลิ ปน แหงชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง ใหนักเรยี นฝกแตง เพลงโดยเลือกหัวขอท่คี รูกาํ หนดให คอื รสแหง (นักรอง - นักประพนั ธเ พลงไทยสากล) ความรกั ความขบขัน ความโกรธ ความกลา และความสงบ เพยี ง 1 หวั ขอ พรอ มต้ังช่ือเพลง จากนนั้ ออกมานาํ เสนอผลงานใหเ พอ่ื นชมหนา ชัน้ เรยี น 80 คมู อื ครู โดยมคี รูเปน ผคู อยช้แี นะความถกู ตอ ง

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา ใา จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Evaluate Expand E×pand ขยายความเขา ใจ ๕) รสแหง่ ความสงบ เป็นรสที่ให้อารมณ์และความรู้สึกสงบ สันติ ร่มเย็น และส้ินสุด ใหน กั เรยี นนาํ ขอ มลู เกย่ี วกบั การบรรยายอารมณ ความเดือดร้อนวุ่นวายทั้งปวง เช่น เพลงโลกแสนสวย ค�าร้องและท�านองโดยส�าเร็จ ค�าโมง และความรูสกึ ในบทเพลง มารว มกนั จัดนิทรรศการ และชรมั ภ์ เทพชยั เรยี บเรยี งเสยี งประสานโดยสมาน กาญจนะผลิน เร่อื ง “รสเพลงบรรเลงเสนาะ” พรอมยกตวั อยาง บทเพลงมาประกอบ เพอ่ื สรางความเขา ใจมากข้นึ “เอ่อื ยลมโชยฟา โรยปยุ เมฆ เขาสีครามงามเฉกปอ มเมืองฟา ปา่ ตระการสายธารเจ่งิ นา กอขา้ วเขียวหม่ปู ปู ลาววั ควายร่ายล�าพอง หบั หอ้ งหอลอ้ มกออ้อกก ไมส้ วนยนื ด่ืนดกนกเริงรอ้ ง แดดทอสายแสงปรายราวม่านกรอง ฉ�่าช่นื ฝนหลน่ ล�ายองรุง้ ทองเติมแตง่ ฟา…” เกร็ดศิลปเกร็ดศลิ ป การรบั รูค วามงามของดนตรี การรับรถู้ ึงความงาม ความไพเราะ หรอื อารมณเ์ พลงของแตล่ ะบุคคลจะมคี วามแตกต่างกนั ออกไป การรับรู้ ความงามของดนตรีจงึ เปนการยากท่ีจะเขา้ ถงึ ได ้ หากผู้ใดทต่ี ้องการจะเขา้ ถงึ จำาเปนตอ้ งอาศัยหลักการ ดังนี้ ๑. ควรศึกษาและทำาความเข้าใจเก่ียวกับพื้นฐานของบทเพลงที่ฟังว่า ผู้ประพันธ์ต้องการถ่ายทอดอารมณ์ ความรสู้ ึกใด เปนเพลงลักษณะใด มโี ครงสร้างอย่างไร ๒. ศึกษาและเรยี นรู้เกีย่ วกบั เสยี งของเคร่ืองดนตรชี นดิ ตา่ งๆ เพอ่ื สามารถจาำ แนกและรบั รูไ้ ด้ดีขนึ้ ๓. ทาำ ตนใหเ้ ปน อสิ ระ หมายถงึ ทาำ ตนเองใหว้ า่ งจากภาระงานทกุ สงิ่ ขณะฟงั เพลง เพราะการฟงั เพอื่ ใหเ้ กดิ การรบั รู้ถงึ ความงามของดนตรีจำาเปน ตอ้ งใชส้ มาธิเปนอยา่ งมาก ๔. ควรจดั ลาำ ดบั การฟงั เพราะการรบั รแู้ ละความ พึงพอใจจะเกิดขึ้นเม่ือได้ยิน ได้เห็น และได้ทำาสิ่งท่ี ใจปรารถนา ๕. โนม้ ใจเพอ่ื รองรบั สมั ผสั อารมณข์ องบทเพลง การฟังให้เกิดการรับรู้ ผู้ฟังต้องมีอารมณ์ร่วมกับเสียง เพลงทฟี่ ัง จึงจะชว่ ยให้เกดิ การรบั รไู้ ดเ้ รว็ และชดั เจน ๖. ควรฟังซ้าำ หลายๆ ครง้ั เพราะจะช่วยให้ผูฟ้ ัง เกดิ การรบั รไู้ ดด้ ี และควรศกึ ษาเนอื้ หาสาระของบทเพลง ตามทผี่ ้ปู ระพนั ธ์ได้ถา่ ยทอดไว้ในบทเพลงดว้ ย บูรณาการเชื่อมสาระ 8๑ จากการศึกษาเกยี่ วกบั ความรูพืน้ ฐานเกย่ี วกับปจจยั สาํ คญั ทม่ี ีอทิ ธพิ ล ตอการสรางสรรคผ ลงานดนตรี ในหัวขอการบรรยายอารมณแ ละความรสู กึ เกร็ดแนะครู ในบทเพลงสามารถเชอื่ มโยงกบั การเรียนการสอนในกลุมสาระการเรยี นรู ภาษาไทย ในเร่ืองหลกั โวหาร เพราะบทเพลงแตล ะเพลงกจ็ ะบรรยายถึง ครคู วรเนน ใหเ หน็ วา เสยี งขบั รอ งมพี ฒั นาการมาพรอ มกบั การใชภ าษาไทยในการ ความรูสกึ ทแี่ ตกตา งกัน เชน รสแหง ความสงบ รสแหง ความขบขัน สอ่ื สารของสงั คมมนษุ ย เสยี งขบั รอ งจงึ นบั เปน เสยี งดนตรชี นดิ แรกทม่ี นษุ ยส รา งสรรค รสแหงความโกรธ รสแหงความกลา รสแหงความสงบ เปน ตน แตในวิชา ขนึ้ เพอ่ื ใชใ นพธิ กี รรมทางสงั คม ศาสนา และเพอ่ื ความสนกุ สนาน ตอ มาในการขบั รอ ง ภาษาไทยจะใชการเรียกทีต่ า งกัน เชน บรรยายโวหาร หมายถงึ โวหารทใี่ ช เพลงมีการใชส ญั ลักษณ หรือโนต ในการบนั ทึกบทเพลง ทําใหผูประพันธ นกั รอ ง ในการอธบิ าย เลาเรอ่ื งราวเหตกุ ารณ เพือ่ ใหผ อู านไดรับความรู ความเขาใจ นกั ดนตรี สามารถที่จะสื่อความรูส กึ เรอื่ งราว ประสบการณ ความประทบั ใจ ในเร่ืองนั้นๆ อยางละเอยี ด พรรณนาโวหาร หมายถึง โวหารทก่ี ลาวถงึ และความทรงจําตา งๆ ไปยงั ผฟู งไดอ ยางมีประสิทธภิ าพ ความงามของธรรมชาติ สถานที่ หรือความรูส ึกนกึ คดิ อยา งละเอียด เพ่อื ให ผอู า นเกิดความซาบซ้งึ และเกิดอารมณค วามรสู ึกคลอ ยตาม โดยใชถ อ ยคาํ มมุ IT ทม่ี คี วามไพเราะและมคี วามหมายทลี่ กึ ซง้ึ กนิ ใจ ทาํ ใหผ อู า นประทบั ใจ เปน ตน นักเรียนสามารถศึกษา คนควาเพ่ิมเติมความรูทั่วไปเกยี่ วกบั ดนตรสี ากล ไดจ าก http://www.vichakarn.triamudom.ac.th คมู อื ครู 81

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครพู จิ ารณาจากการจดั นทิ รรศการเรอื่ ง “รสเพลง กิจกรรม ศลิ ปป ฏบิ ัต ิ ๔.๒ บรรเลง” ของนักเรยี น โดยพจิ ารณาในดานความถูก กจิ กรรมท่ี ๑ ตอ งของเนอื้ หา การนาํ เสนอขอ มลู ความสวยงาม และ กจิ กรรมที่ ๒ ใหน้ กั เรยี นฟงั ดนตรที กุ ประเภทท่ไี ดฟ้ งั ผา่ นหู ทง้ั ทม่ี โี อกาสตง้ั ใจฟงั และฟงั เสยี งผา่ นหู ความคดิ รเิ ริ่มสรางสรรค แลว้ พจิ ารณาวา่ ดนตรี หรอื เพลงท่ไี ดฟ้ งั นน้ั ใหอ้ ารมณแ์ ละความรสู้ กึ อยา่ งไร ใหน้ กั เรยี นตอบคา� ถามตอ่ ไปน้� หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู ๑. เคร่อื งหมายแปลงเสยี งมคี วามสา� คญั ตอ่ การบรรเลงดนตรีสากลอย่างไร ๒. ปัจจัยส�าคัญที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์งานดนตรีมีส�ิงใดบ้าง ให้อธิบายมาพอ 1. ผลการสรุปสาระสาํ คัญเกย่ี วกับเครือ่ งหมาย และสญั ลกั ษณท างดนตรี สงั เขป ๓. ปัจจัยส�าคัญที่ส่งผลต่อการถ่ายทอดเรื่องราวความคิดในบทเพลงมีส�ิงใดบ้าง 2. ผลการขบั รองเพลงชะตาชวี ิต 3. ผลการสรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกับปจจยั ที่มี ยกตวั อยา่ งประกอบคา� อธบิ าย อิทธิพลตอการสรา งสรรคผ ลงานดนตรี การศกึ ษาเรยี นรเู กย่ี วกบั โนต สากลและเครอ่ื งหมายแปลงเสยี ง เปน เครอื่ งหมาย 4. ผลการขับรองเพลงอทุ ยานดอกไม เพลงตน- ท่ีใชแปลงเสียงตวั โนตใหส งู ขึ้น หรอื ตา่ํ ลงกวา เสียงปกติ มีความสําคัญตอการเรียนและ ตระกูลไทย เพลงพระรตั นตรยั และเพลงรกั เอย ปฏบิ ตั ดิ นตรสี ากล เพราะโนต สากลและเครอื่ งหมายแปลงเสยี งจะเปน ตวั กลางถา ยทอด 5. ผลการจดั นทิ รรศการเรอื่ ง “รสเพลงบรรเลงเสนาะ” ความคิด ความรูสึกของผูประพันธไปสูผูปฏิบัติดนตรี ท้ังในฐานะนักรองและนักดนตรี หากผปู ฏบิ ตั ดิ นตรมี คี วามเขา ใจเกย่ี วกบั การบนั ทกึ โนต สากลและเครอื่ งหมายแปลงเสยี ง ก็จะสามารถปฏิบตั ิดนตรีไดตามประสงคข องผูประพนั ธเ พลง นอกจากน้ี ดนตรีจะมีความสมบูรณข้ึนมาได ก็จะตองมีผูประพันธบทเพลง ซึ่ง จะประกอบไปดวยคํารองและทํานอง สําหรับนําไปขับรองและบรรเลง โดยผูประพันธ เพลงจะตองมีเทคนิคและการแสดงออกในการถายทอดจินตนาการ เรื่องราวความคิด ออกมาในผลงานเพลง เพอ่ื ใหผ ฟู ง เพลงเกดิ อารมณ ความรสู กึ และมสี นุ ทรยี ภาพไปตาม บทเพลงนัน้ ๆ 8๒ แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปป ฏบิ ัติ 4.2 กจิ กรรมที่ 2 1. เปน สัญลักษณท างดนตรที ีใ่ ชบนั ทึกเพ่อื ใหร ะดับเสียงของโนตตวั น้นั เปลยี่ นแปลงไปจากระดับเสียงเดมิ 2. แบง ออกเปน 2 ลักษณะ คือ ปจจัยภายใน คือ อารมณ ความรสู ึกนกึ คดิ และจินตนาการ ปจจัยภายนอก คอื สังคมและวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี พิธกี รรม สภาพทางภูมศิ าสตร ประวตั ศิ าสตร คา นิยม การเมอื ง การปกครอง การศึกษา เศรษฐกิจ และภยั ธรรมชาติ 3. มี 6 ลกั ษณะ คอื 1) ความรพู ื้นฐานเก่ยี วกับทฤฎีดนตรแี ละการปฏบิ ตั ิเครือ่ งดนตรี 2) พืน้ ฐานความสามารถดา นการขบั รอ ง หรอื อา นทาํ นองเสนาะ ซ่งึ จะชวยใหเ ลือกคาํ ที่มเี สียงไพเราะมาใชแตง คาํ รอ ง 3) ความรูพ ื้นฐานดานวรรณคดี ซ่ึงจะทาํ ใหรูจ ักแตง กลอนเพลงใหถูกตองตามหลักฉันทลกั ษณแ ละมีความไพเราะนา ฟง 4) นักประพนั ธเ พลงตองเปน ผอู า นมาก ฟง มาก เพราะจะทาํ ใหร จู ักวธิ กี ารแตงสํานวนโวหาร หรือคดั สรรสาํ นวนโวหารทไ่ี พเราะกนิ ใจมาใชเ ปนคํารอ ง 5) นักประพนั ธเ พลงตอ งเปน คนชอบสงั เกต วิเคราะห และวจิ ารณส งิ่ ตางๆ หรอื บคุ คลตา งๆ ทีอ่ ยรู อบตวั อยางสมา่ํ เสมอ เพราะจะชว ยใหคิดโครงสรา งเรอ่ื งราว ของบทเพลงไดอยา งหลากหลาย 6) นกั ประพันธเ พลงตองเปน ผูชอบขดี เขียนดว ยสาํ นวนโวหารของตนเอง เชน จดหมาย อนุทนิ บันทกึ เหตุการณ เร่อื งเลา บทกวี เปน ตน หรอื แมแ ตการแตงเพลง จะชวยใหแ ตงคาํ รองไดอยา งฉบั ไว และมีสํานวนท่ฟี ง รื่นหู โดนใจผูฟ ง 82 คมู ือครู

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู 1. รอ งเพลงและเลนดนตรเี ดีย่ วและรวมวง 2. ประเมนิ พฒั นาการทักษะทางดนตรีของ ตนเองหลงั จากการฝกปฏบิ ตั ิ สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คุณลักษณะอันพงึ ประสงค 1. มีวนิ ัย 2. ใฝเรยี นรู 3. มงุ ม่นั ในการทํางาน ๕หนว่ ยที่ กระตนุ ความสนใจ Engage ทกั ษะดนตรสี ากล ครเู ปด ซีดี หรือดีวีดกี ารแสดงคอนเสิรต ของ เหลาบรรดาศิลปนสากลท่ีมีชอื่ เสียงใหนักเรยี นชม ตัวชี้วดั ก ารศึกษาวิชาดนตรีสากลให้มี จากนน้ั ครถู ามนกั เรยี นวา ■ ร้องเพลงและเลน่ ดนตรีเด่ยี วและรวมวง (ศ ๒.๑ ม.๒/๔) • นักเรยี นเคยชมการแสดงคอนเสริ ต ■ ประเมินพัฒนาการทักษะทางดนตรีของตนเองหลังจากการฝึกปฏิบัติ บางหรอื ไม ถาเคย นักเรยี นเคยชมการแสดง (ศ ๒.๑ ม.๒/๖) ประสทิ ธภิ าพ จะเนน้ การฝกึ ทกั ษะดว้ ยการ คอนเสริ ต ของใคร ลงมือปฏิบัติจริงอย่างสม่�าเสมอ โดยเน้น (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ทางด้านการร้องและบรรเลงทั้งแบบเดี่ยว ไดอยางอสิ ระ) และแบบเป็นวง ซ่ึงหลักการฝึกทักษะดนตรี ■ เทคนิคการร้องและบรรเลงดนตรี • นักเรียนคดิ วา ศิลปนคนใดทเี่ ปน ตนแบบ - การรอ้ งและบรรเลงเด่ยี ว สากล ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๒ จะมุ่งเน้น ในการขับรองเพลงท่ดี ี เพราะเหตุใด - การรอ้ งและบรรเลงเป็นวง การฝกึ เพอื่ พฒั นาทกั ษะใหส้ งู ขนึ้ มขี น้ั ตอนทสี่ ลบั จงึ เปนเชนนัน้ ■ การประเมินความสามารถทางดนตรี (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ - ความถกู ตอ้ งในการบรรเลง ไดอยา งอสิ ระ) - ความแมน่ ยาำ ในการอ่านเครอื่ งหมายและสัญลักษณ์ ซบั ซอ้ นมากขนึ้ เพอื่ จะไดเ้ ปน็ พนื้ ฐานในการศกึ ษา - การควบคุมคุณภาพเสียงในการรอ้ งและบรรเลง ดนตรีสากลในระดับต่อไป นอกจากน้ี ผู้เรียน จะต้องมีความเข้าใจในวิธีการประเมินพัฒนาการ ดา้ นทกั ษะทางดนตรขี องตนเอง เพอ่ื จะไดท้ ราบถงึ สงิ่ ที่ ตอ้ งปรบั ปรงุ แกไ้ ข เพอ่ื ใหก้ ารศกึ ษาดนตรสี ากลของตน มีความก้าวหน้าตอ่ ไป เกรด็ แนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรียนรูนี้ ครูควรนาํ ซดี ี หรอื ดีวีดีท่นี าสนใจมาเปด ใหน ักเรยี นชม เชน การรอ งเพลง การบรรเลงดนตรีแบบเดย่ี ว การบรรเลงดนตรี แบบรวมวงของศลิ ปน สากล เปนตน เพ่อื เปนการเปดโลกทัศนใหแกน กั เรียน ครูอาจอธบิ ายเพม่ิ เติมวา การขบั รองเพลงสากล นับเปน เอกลกั ษณอยา งหน่งึ ทเี่ ปน ภูมปิ ญ ญาและเปน มรดกทางวฒั นธรรมของสากล ทง้ั น้ี การขบั รองเพลงสากล เพอื่ ใหเกิดความไพเราะ ทําใหผ ฟู ง เกดิ ความประทบั ใจน้ัน ผูท่ขี ับรอ งเพลงสากล จะตองมคี วามรู ความเขา ใจเก่ียวกบั การออกเสยี ง ทาทาง การหายใจ การดแู ลรักษา อวัยวะทใ่ี ชในการเปลงเสยี ง การทําใหเสยี งกอ งกงั วาน และตองเขาใจประเภทของ การขบั รองเพลงสากลดวย พรอ มท้งั ตองฝกปฏิบัติอยา งสมาํ่ เสมอ เพื่อจะไดขบั รอง เพลงสากลออกมาไดอยา งถูกตอ งเหมาะสม รวมถึงตอ งรูจ กั ประเมนิ พัฒนาการ ทกั ษะทางดนตรขี องตนเองหลังจากการฝกปฏิบตั ิ เพอ่ื นําสงิ่ ทบี่ กพรองมาแกไข และพัฒนาการขับรอ งตอ ไป คมู ือครู 83

กกรระตะตนุ Eุน nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครเู ปดซดี ี หรอื ดวี ีดกี ารขบั รองเพลงสากล ๑. การขบั รองเพลงสากล ใหนักเรยี นชม จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา การขบั รอ้ งเพลงสากล คอื การใชร้ า่ งกายของเราเองเปน็ เครอ่ื งดนตรสี า� หรบั บรรเลงบทเพลง ที่เรียบเรียงขึ้น โดยใช้หลักการของดนตรีสากล แนวท�านองสากล ซ่ึงจะต่างไปจากแนวท�านอง • เพลงสากลกับเพลงไทยมคี วามเหมือน โเดพยลทงัว่ไทไปยจ ะปเรัจยี จกุบเพันลบงทไเทพยลทง่เี ไรทียบยทเร่ีเยี รงียตบาเมรแียนงวขสึ้นาตกาลมนแ้วี นา่ ว“สเพากลลงไมทีมยาสกามกลา1ย” หลากหลายบทเพลง หรอื แตกตางกนั อยางไร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น ๑.๑ ประเภทของการขบั รอ้ ง ไดอ ยางอสิ ระ) การขบั รอ้ งเพลงสากล สามารถจดั แบง่ ไดห้ ลายประเภทแตกตา่ งกนั ออกไป ทงั้ น ี้ จะขน้ึ อยกู่ บั หลักเกณฑ์ท่ีใช้ในการแบ่ง ส�าหรับในท่นี ี้จะจัดแบง่ ประเภทการขบั ร้องออกเปน็ ๓ ประเภท คอื • ระหวางเพลงสากลกบั เพลงไทย นักเรียนชอบฟง เพลงประเภทใดมากกวากัน ๑) การขับร้องเดยี่ ว เป็นการร้องคนเดียว แสดงถึงความสามารถของผู้ขบั ร้อง ไมม่ ี เพราะเหตใุ ดจงึ เปนเชนนัน้ ดนตรปี ระกอบ ผู้ขบั ร้องจะตอ้ งแม่นย�าในเรือ่ งของจงั หวะและท�านองเพลง นอกจากน ้ี ผขู้ บั ร้อง (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเหน็ ไดอยางอสิ ระ) สาํ รวจคน หา Explore จะต้องมีเสียงท่ีไพเราะและมีน้�าเสียงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ลอกเลียนแบบน้�าเสียงของผู้อื่น โดยจุดประสงค์หลักของการขับร้องเด่ียว คือ การให้ผู้ขับร้องได้แสดงออกถึงอัตลักษณ์ของตน ใหนกั เรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรเู พ่มิ เตมิ ด้านทักษะการร้องเพลงและคณุ ภาพเสยี ง เกยี่ วกับการขบั รอ งเพลงสากล จากแหลง การเรยี นรู ตางๆ เชน หองสมดุ โรงเรยี น หองสมดุ ชุมชน ขบั รอ้ งทเ่ี ปล๒ง่ อ)อกกามราขจบัะมรเีอ้ นงอื้ หผมวิ ู่ หเปรน็อื กพานื้ รผขวิบั เรปอ้ น็ งแทบา� บนโอมงโเนดโยี ฟวนทกิ ี่ใ2ช (Mค้ นonหoลpาhยoคnนicร)ว่ ทมมี่กเีนั พขยี บั งรแอ้ นงว เเดสยียี วง อนิ เทอรเ นต็ เปนตน ในหัวขอ ทคี่ รกู ําหนดให ๓) การขบั รอ้ งกบั วงดนตรี เปน็ การขบั รอ้ งเดย่ี ว หรอื การขบั รอ้ งหมทู่ มี่ เี ครอื่ งดนตรี ดังตอ ไปนี้ หรือวงดนตรีบรรเลงประกอบ (Back - up) การขับร้องเพลงวิธีนี้ผู้ขับร้องจะได้อารมณ์ของเพลง ในขณะขบั รอ้ งดกี วา่ การขบั รอ้ งเดย่ี ว การขบั รอ้ ง 1. ประเภทของการขับรอ ง กับวงดนตรี ผู้ขับร้องจะต้องเข้าใจและมีทักษะ 2. หลักการปฏิบตั ิในการขบั รอง อธบิ ายความรู Explain ในการปฏิบัติจังหวะได้เป็นอย่างดี โดยนับ จังหวะรอในท่อนน�า (Intro) ได้อย่างถูกต้อง ใหนักเรียนรว มกนั อภปิ รายเก่ยี วกบั การขบั รอ ง ก่อนการร้องเนื้อเพลงจริง ในขณะร้องก็ต้อง เพลงสากล ในหวั ขอ ประเภทของการขบั รอ ง ตามทไ่ี ด รักษาความเร็วของจังหวะเพลงอย่างสม่�าเสมอ ศึกษามา จากนนั้ ครูถามนักเรยี นวา มีทักษะในการฟัง จับเสียงดนตรีของท่อนน�า ถเพูกื่อตก้อางรตเปรงลก่งับเสบียันงไรด้อเงสทีย่อง3นขอแงรเกพขลองงทเพ่ีจละรง้อไดง ้ • บุคคลท่ีจะสามารถฝกปฏิบัติการขับรองเดี่ยว หากผขู้ บั รอ้ งขาดประสบการณ์ในเรอ่ื งทกี่ ลา่ วมา ไดด ีนัน้ ตอ งมีคณุ สมบตั ิอยา งไร การขับร้องกับวงดนตรี ผู้ขับร้องต้องอาศัยทักษะและ ขา้ งตน้ กจ็ ะเปน็ การสรา้ งความรา� คาญใหก้ บั ผฟู้ งั (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ประสบการณ์อย่างมากในการขับร้อง เพ่ือสร้างความ มากกวา่ การสร้างความบนั เทงิ ไดอยางอสิ ระ) บนั เทงิ ให้กบั ผู้ฟง 84 นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอใดกลา วถงึ เพลงไทยสากลไดถูกตอ ง 1 เพลงไทยสากล เพลงทีข่ ับรอ งในภาษาไทย โดยเรม่ิ จากการนาํ ทํานอง 1. เพลงที่เรียบเรียงข้ึนโดยใชห ลักการของดนตรไี ทย แนวทํานองสากล เพลงไทยเดมิ มาใสเนอื้ รอ ง บรรเลง และขบั รอง โดยใชม าตรฐานของโนต เพลง 2. เพลงทเี่ รยี บเรียงขน้ึ โดยใชหลักการของดนตรีสากล แนวทํานองสากล แบบสากล จนกลายเปน เพลงไทยแนวใหม ตง้ั แตป พ.ศ. 2476 เกิดละครเวที 3. เพลงท่ีเรียบเรียงข้ึนโดยใชหลักการของดนตรไี ทยแนวทาํ นอง ละครวทิ ยุ และภาพยนตร ซงึ่ มบี ทบาทสําคญั ทีท่ ําใหเพลงไทยสากลไดร บั เพลงไทยเดิม ความนยิ ม จนในปจ จบุ ันสามารถแตกสาขาไปอีกหลายแนวเพลง 4. เพลงที่เรียบเรียงขน้ึ โดยใชห ลักการของดนตรีสากลแนวทํานอง 2 โมโนโฟนิก (Monophonic) เปน พ้นื ผิวของดนตรที ํานองเดียว ไมม ีดนตรี เพลงไทยเดิม ประกอบ เชน การขับรอ งเดยี่ ว การขับรองหมู การบรรเลงดนตรคี นเดยี ว วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะเพลงไทยสากล เปน เพลงที่ขบั รอง หรอื หลายคน แตมที ํานองเดียว เปน ตน ในภาษาไทย โดยเริ่มจากการนาํ ทาํ นองเพลงไทยเดมิ มาใสเ น้อื รอง บรรเลง 3 บนั ไดเสียง ตวั โนต 5 - 12 ตวั ที่เรียงกันตามลาํ ดบั จากเสยี งตา่ํ ไปหาเสียงสงู และขบั รองโดยใชห ลักการของดนตรสี ากล แนวทาํ นองสากล จนกลายเปน และจากเสยี งสงู ลงมาเสียงตา่ํ มโี ครงสรางทมี่ กี ารกําหนดชวงหางของเสยี งจาก เพลงไทยแนวใหม ตัวโนต หนึง่ ไปอกี ตวั โนต หน่งึ อยางเปน ระบบ บันไดเสียงจะเปนตัวกําหนดแนวทาง การเคลอ่ื นทขี่ องตวั โนต ในเพลงและสรา งความเปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ใหก บั บทเพลง 84 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑.๒ หลักปฏิบตั ิในการขับร้อง ใหน ักเรียนรว มกนั อภิปรายเกย่ี วกับการขับรอง หลักปฏบิ ัติในการขบั รอ้ งใหด้ า� เนนิ ตามระบบการฝึก Systematic Training ๔ ข้ันตอน ดังนี้ เพลงสากล ในหวั ขอหลักการปฏบิ ัติในการขับรอ ง ตามทไี่ ดศกึ ษามา จากนนั้ ครถู ามนักเรียนวา ๑) ฝกึ ความพรอ้ ม คอื การอบอนุ่ อวยั วะและกลา้ มเนอ้ื ตา่ งๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การขบั รอ้ ง • เพราะเหตใุ ดกอ นการรอ งเพลง กอ่ นท่จี ะเขา้ สู่ระบบการฝกึ ขบั รอ้ ง ซ่ึงมีวธิ กี ารฝึกปฏิบัต ิ ดังนี้ จึงตองมกี ารอบอนุ รา งกาย ๑.๑) วธิ ีอบอ่นุ อวัยวะและกลา้ มเนอ้ื ใหฝ้ กึ คราวละ ๒ - ๓ นาที ปฏบิ ตั ไิ ด้ ดงั นี้ (แนวตอบ เพอื่ เปนการเตรยี มความพรอ ม ใหแ กรางกายกอนการรองเพลง) ๑. ฝึกกล้ามเน้ือศีรษะด้วยการก้ม - เงย เอียงศีรษะไปทางซ้าย - ทางขวา และหมุนศีรษะเป็นแนววงกลม สลับกันไปมา ขณะปฏิบัติให้อ้าปากและหย่อนขากรรไกรล่างลง • นักเรยี นจะสามารถฝก ปฏบิ ัติตามหลัก ให้ปลายคางชีเ้ ข้าหาทรวงอก Systematic Training ไดอ ยา งไร ๒. ฝึกผอ่ นคลายกล้ามเนอ้ื คอดว้ ยการเอยี งศรี ษะไปทางซา้ ย - ทางขวา ให้ (แนวตอบ สามารถเตรยี มการฝก ได 4 วธิ ี ใบหจู รดไหล่โดยไมต่ ้องยกไหล่ขนึ้ รบั แล้วยกแขนขวาข้ามศรี ษะเอาฝา่ มอื ขวาไปปิดหซู ้ายสลับกบั คอื ฝก ความพรอ ม ฝก ขบั รอ งเลยี นเสยี งตน แบบ การยกแขนซ้ายข้ามศีรษะไปปิดหูขวา ขณะปฏิบัติให้ยืดล�าคอตั้งตรงและอย่าให้ล�าแขนแตะส่วน ฝก ความจาํ ฝก ขบั รอ งทาํ นองและเนื้อรอง) ใดๆ ของศรี ษะ ๓. ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนอ้ื หลงั และไหลด่ ว้ ยการยกไหล่ทัง้ ๒ ขา้ งขน้ึ จรด • อวัยวะทเ่ี ก่ียวขอ งกบั การเปลง เสยี ง ตง่ิ หูแล้วท้งิ ไหลล่ ง ดึงไหลท่ ง้ั ๒ เข้าหากนั ทางด้านหน้าสลบั กับทางด้านหลงั คืออวัยวะใด ๔. ฝึกขยายกลอ่ งซ่ีโครงดว้ ยการยนื ตรง เท้าทง้ั ๒ ข้างห่างจากกนั ในระยะ (แนวตอบ เรยี งลําดบั จากสวนหนาทองขน้ึ ไป เทา่ กบั ความกวา้ งของไหล ่ ยกแขนข้างขวาขึ้นข้างบนศรี ษะ ฝ่ามอื แบพยายามใหป้ ลายมือจรดฝ้า คอื ปอด หลอดลม กลองเสียง ชอ งคอ ล้ิน เพดาน สลับใช้แขนซา้ ยท�าอาการเดยี วกนั เพดานออน เพดานแขง็ ปุมเหงือก ฟน ๕. ฝกึ คลายกล้ามเนอ้ื หน้าท้องด้วยการยนื ตรง ให้เทา้ ทงั้ ๒ ข้างหา่ งกันใน ริมฝปาก ชอ งจมูก และโพรงตา งๆ ระยะเทา่ กบั ความกวา้ งของสะโพก ใหค้ างชเี้ ขา้ หาหนา้ อก แลว้ มว้ นลา� ตวั เอาศรี ษะชล้ี งสพู่ นื้ คอ่ ยๆ ในกะโหลกศีรษะ) ตา�่ ลงๆ จนยอดศรี ษะตรงกบั ระดบั เอว หายใจเขา้ ใหเ้ กอื บเตม็ ปอดแลว้ คอ่ ยๆ ระบายออก เสรจ็ แลว้ คอ่ ยๆ ยกระดับศรี ษะทา� ลา� ตัวใหต้ งั้ ตรง ทา� ซ�้าอกี หลายๆ รอบ • นักเรียนมวี ิธกี ารในการดแู ลรักษาเสียง อยางไรใหมีคุณภาพ ๑.๒) วธิ อี บอนุ่ อวยั วะทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเปลง่ เสยี ง ใหฝ้ กึ คราวละ ๓ - ๕ นาท ี ดงั นี้ (แนวตอบ การดแู ลรักษาเสยี งสามารถทําได ๑. ฝกึ เปลง่ เสยี งไตร่ ะดบั ขน้ึ - ลง ดว้ ยการตง้ั ตน้ ระดบั เสยี งทสี่ งู ทส่ี ดุ เทา่ ทเ่ี รา ดงั ตอไปนี้ คือ พักผอ นใหเ พียงพอ ควรนอน จะเปลง่ เสยี งไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ แลว้ คอ่ ยๆ ไต่ระดับเสียงลงสรู่ ะดบั ตา�่ ทีละขัน้ เสยี ง โดยที่ยังไม่ต้อง อยางนอย 6 - 8 ช่ัวโมง รบั ประทานอาหารให ค�านึงถึงความเท่ียงตรงของระดับเสียง ให้เสียงทุกข้ันไหลรวมเป็นกระแสเสียงเดียวกัน โดยไม่มี ครบ 5 หมู ในปรมิ าณทเี่ หมาะสม งดอาหาร การหยุดระหว่างขนั้ เสยี ง เสรจ็ แลว้ ให้ไต่ระดับยอ้ นขึ้นในลกั ษณะเดยี วกนั รสจัด มนั จัด ออกกาํ ลังกายอยางสมาํ่ เสมอ ๒. ฝกึ ทา� รมิ ฝปี ากสนั่ สะเทอื น ดว้ ยการพยายามทา� เสยี งเลยี นเสยี งเครอ่ื งยนต์ ด่มื น้าํ สะอาดมากๆ ควรงดดืม่ เคร่ืองดื่ม ของเรอื หางยาว หรอื รถจกั รยานยนต์ โดยเอาปลายนวิ้ ชข้ี า้ งใดขา้ งหนงึ่ แตะทมี่ มุ ปาก เพอ่ื ชว่ ยทา� ให้ ทีม่ แี กส ผสม เครอ่ื งดื่มแอลกอฮอล เสยี งสน่ั ถยี่ ง่ิ ขนึ้ แลว้ ลองเปลย่ี นระดบั เสยี งและไลเ่ สยี งไปสรู่ ะดบั ตา่ งๆ ในกระแสเสยี งเดยี วกนั ทา� ซา้� งดใชเ สยี งเมอ่ื เปน หวัด ไอ หรอื เสยี งผดิ ปกติ หลายๆ รอบ และควรพบแพทยเ พือ่ ทาํ การรักษาใหถ กู วิธี และหา มใชเ สยี งดงั เชน การตะโกน จนทาํ ให 85 เสนเสยี งอกั เสบ เปน ตน) แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู การขบั รองเดีย่ วและการขับรอ งหมมู คี วามเหมอื น หรอื แตกตางกันอยา งไร ครคู วรอธบิ ายความรเู พม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั การขบั รอ งเพลงสากล ถงึ เรอื่ งแหลง กาํ เนดิ แนวตอบ การขับรอ งเด่ียว คอื การขับรอ งเพลงคนเดยี ว มีดนตรปี ระกอบ เสยี งของมนษุ ยว า เสยี งตา งๆ ของมนษุ ย ไมว า จะเปน เสยี งพดู เสยี งรอ ง เสยี งหวั เราะ หรอื ไมมีกไ็ ด ผูทส่ี ามารถทาํ การขบั รอ งเดีย่ วไดจะตอ งมคี วามสามารถ เกดิ ข้นึ จากการสั่นของเสน เสียง ซง่ึ อยภู ายในลําคอ เสนเสยี งจะส่ันไดต องมลี ม ในการขบั รอ งมาก คอื มเี สียงที่ไพเราะ มีความแมน ยาํ ในเรอ่ื งจงั หวะ ภายในปอดผา นออกมากระทบกับเสน เสยี ง เกดิ เปนเสยี งตางๆ ขึน้ การออกเสยี ง และทํานองเพลง การขับรองหมู คอื การขับรองเพลงต้งั แต 2 คน ขน้ึ ไป ขับรอ งเพอ่ื ใหเกดิ ความไพเราะ เกิดความกงั วานของเสียง จะตอ งใชอวัยวะ มดี นตรีประกอบ หรอื ไมม กี ็ได สามารถแบง ออกเปน 2 ลักษณะ คือ และกลามเนอื้ หลายสว นในรางกาย ทํางานประสานกันเปนอยางดี อวยั วะทใ่ี ช การขบั รอ งหมูแบบธรรมดา คอื การขับรองเพลงดวยคนหลายคน ดว ยเสียง ในการออกเสียงสําหรับการขับรอง แบงออกเปน 3 ประเภท คือ อวัยวะท่ีใชใน ระดบั เดยี วกนั หรอื แนวเสยี งเดยี วกนั ตลอดทง้ั เพลง ตง้ั แตเ รม่ิ ตน จนจบเพลง การหายใจ เชน ปอด กะบังลม หลอดลม กลามเน้ือบริเวณหนา ทอ ง กระดูกซโี่ ครง และการขับรอ งหมแู บบประสานเสียง หรือ “การขบั รองประสานเสียง” เปนตน อวัยวะทีใ่ ชในการเปลงเสียง เชน เสน เสยี ง กลองเสียง ชองคอ ชองปาก หรอื “คอรสั ” (Chorus) หรือ “ไควร” (Choir) คือ การขบั รอ งเพลง ลกู กระเดอื ก เปน ตน และอวยั วะท่ใี ชใ นการสรา งเสียงสะทอ น เชน โพรงหนา อก ดว ยคนหลายคน ขบั รอ งไปพรอ มๆ กนั โดยมกี ารกาํ หนดแนวเสยี งใหข บั รอ ง โพรงจมกู โพรงกะโหลก โพรงชอ งปาก เปนตน ทีแ่ ตกตางกนั ดวยระดบั เสยี งสูง กลาง ตํ่า ระดบั เสียงตางๆ ทีน่ ํามาใช ในการขบั รอง ตอ งมีการเรยี บเรียงเสยี งตามหลกั การประสานเสียง คูมือครู 85

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา าใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู ครสู มุ นกั เรียน 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม ๓. ฝึกเปลง่ เสียง “ฮัม” ด้วยการปดิ รมิ ฝีปากบน - ล่างอยา่ งหลวมๆ หายใจ ดังตอ ไปนี้ เขา้ ลกึ ๆ เกอื บเตม็ ปอด แล้วเปล่งเสียงฮัมออกมาช้าๆ ใหเ้ สียงออกผ่านทั้งทางชอ่ งจมกู และผ่าน รมิ ฝีปาก ท�าให้รมิ ฝีปากสนั่ ด้วย • นกั เรยี นคดิ วา ปจ จยั ใดทที่ าํ ใหเ กดิ เสยี งรอ งทดี่ ี (แนวตอบ ๒) ฝึกขับรอ้ งเลียนเสียงตน้ แบบ สามารถฝึกปฏิบัติได ้ ดงั น้ี 1. อวยั วะในระบบตางๆ ของรา งกาย มีการทาํ งานทป่ี ระสานและสมดุลกนั ๑. ฟงั เสยี งขบั รอ้ งตน้ แบบหลายๆ รอบ ตามแบบวธิ ฟี งั ทผ่ี ฟู้ งั เปน็ ฝา่ ยรกุ (Perceptive) 2. ระบบประสาทตางๆ ทาํ งานสัมพนั ธก นั ทั้งนี ้ เพ่ือทา� ความคุ้นเคยกบั บทเพลงที่จะใชฝ้ กึ ร้อง 3. ตอ มไรทอ และฮอรโ มนมีความสมดุล ๒. ให้ฮัมท�านองตามเสียงขับร้องต้นแบบ การฮัมที่ถูกต้องผู้ขับร้องต้องปิดปาก 4. สขุ ภาพรางกายสมบรู ณ รวมถงึ กลอ งเสียง คอ่ นขา้ งสนิท ใหเ้ สยี งฮัมเพลงออกมาจากชอ่ งคอ ผ่านขน้ึ ไปขยายเสยี งในชอ่ งจมกู และเสนเสียง ๓. ใหข้ บั รอ้ งทง้ั ทา� นองและบทรอ้ งเลยี นเสยี งตน้ แบบใหใ้ กลเ้ คยี งทสี่ ดุ โดยควบคมุ 5. ภาวะอารมณและจิตใจเปน ปกติ ฐานกรณ์ในการเปลง่ เสียงถอ้ ยคา� ภาษาให้ถูกต้องตามหลักสัทศาสตร์ 6. มพี ฤตกิ รรมการใชเสียงที่ถูกตอ ง ถา้ เราสามารถฮมั ทา� นองและเปลง่ เสยี งถอ้ ยคา� ในบทรอ้ งไดเ้ ทย่ี งตรงตามเสยี งตน้ ฉบบั 7. มสี ภาพแวดลอ มท่ีเหมาะสม) แลว้ แสดงวา่ การฝึกขับร้องน้นั ประสบผลสา� เร็จเกือบสมบูรณ์ ขยายความเขา ใจ E×pand ๓) ฝกึ ความจา� การฝกึ ความจ�าขณะขับรอ้ งสามารถปฏบิ ตั ิได้ ดังนี้ 1. ใหนกั เรียนรว มกนั สรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกบั ๑. จ�าแนกวรรคตอนของบทเพลง ท้ังทา� นองและบทร้องออกเป็นวลี หรอื ประโยค การขับรองเพลงสากล ลงกระดาษรายงาน เพ่ือให้วิเคราะห์ได้ว่าประโยคใดเหมือนหรือต่างกันบ้าง ผู้แต่งน�าความเหมือนและความแตกต่าง นําสงครูผูสอน เหลา่ นัน้ มาเรยี บเรยี งเปน็ ท่อน หรือเป็นสงั คีตลกั ษณ์แบบใด ๒. แบง่ กลมุ่ ผฝู้ กึ ขบั รอ้ งออกเปน็ กลมุ่ แลว้ นา� วรรคตอนของวล ี หรอื ประโยคมาฝกึ 2. ใหน กั เรยี นฝกการขับรอ งเพลงสากล ขับร้องสลับกันเปน็ กลมุ่ เพอื่ กระตุ้นความจา� ตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง ฝก ปฏบิ ัติ ๓. เมื่อฝึกร้องในแต่ละกลุ่มเสร็จแล้ว ให้รวมกลุ่มขับร้องแบบใช้เนื้อผิวแนวเดียว จนเกดิ ความชาํ นาญ จากนั้นออกมาสาธิตวธิ ี กนั ท้งั บท เพื่อสนับสนุนความจา� โดยรวม การขับรอ งเพลงสากลใหเพือ่ นชมหนาช้นั เรียน โดยมคี รเู ปน ผคู อยช้ีแนะความถูกตอง ๔) ฝึกขับร้องท�านองและเนอ้ื ร้อง การฝึกขับร้องท�านองและเนื้อร้องทั้งบทด้วย ตรวจสอบผล Evaluate ตนเอง สามารถปฏิบตั ิได้ ดังนี้ ๑. ฮัมทา� นองทัง้ บทดว้ ยตนเองโดยไมม่ ีเสียงตน้ แบบเปน็ สอื่ นา� ทาง 1. ครูพิจารณาจากการสรุปสาระสาํ คญั เก่ยี วกบั ๒. ขับรอ้ งทา� นองและบทร้องดว้ ยตนเองโดยไมม่ ีเสียงตน้ แบบเปน็ สือ่ นา� ทาง การขับรอ งเพลงสากลของนักเรียน ๓. ขับรอ้ งโน้ตทา� นองดว้ ยตนเองโดยไมม่ เี สยี งตน้ แบบเป็นสอ่ื น�าทาง ๔. ใหใ้ ชเ้ สยี งจรงิ และกระบวนแบบจรงิ ของตนเองขบั รอ้ งทง้ั บท โดยไมเ่ กาะตดิ อยกู่ บั 2. ครูพจิ ารณาจากการฝก ปฏิบัตกิ ารขบั รอ ง เสยี งและกระบวนแบบของนักร้องต้นแบบ เพลงสากลของนักเรยี น ๕. ปรบั ปรงุ และพฒั นาเสยี งขบั รอ้ งของตนใหไ้ พเราะนา่ ฟงั ขนึ้ เรอื่ ยๆ ดว้ ยการซอ้ ม ขับรอ้ งซ�้าๆ และค้นหากระบวนแบบของตนด้วยตนเอง 86 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เบศรู ณรากษารฐกิจพอเพียง ใหนักเรยี นฝก รองเพลงสากลตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง จากนัน้ ออกมาขับรองใหเ พอ่ื นชมหนา ช้นั เรยี น พรอมอธิบายเหตุผล การขับรองเดยี่ ว เปนการขบั รองคนเดียว ไมม ดี นตรีบรรเลงประกอบการขบั รอง ท่ชี ื่นชอบบทเพลงน้ี โดยมคี รเู ปนผูคอยชี้แนะความถูกตอง ซ่งึ ผรู อ งจะตอ งมีความแมน ยําในเรอื่ งของจงั หวะและทํานองเพลง ทั้งยงั ตองมี ทักษะในการขับรองทด่ี อี ีกดว ย และเพอ่ื ใหส ามารถขับรอ งเดี่ยวไดอ ยางไพเราะข้นึ กจิ กรรมทาทาย ครูใหน ักเรยี นฝก ปฏิบัตขิ ับรอ งเดีย่ ว โดยใหหยิบยกบทเพลงทส่ี ามารถสะทอ นใหเหน็ ถงึ ขนบธรรมเนียม ประเพณภี ายในทองถนิ่ การดํารงชีวิตอยางพอเพยี ง สอดแทรก คณุ ธรรม จรยิ ธรรมในบทเพลง ฝกซอ มจนชํานาญ จากนั้นใหน กั เรยี นออกมาสาธิต การขับรอ งเดีย่ วใหเพื่อนชมหนาชนั้ เรียน โดยมีครเู ปน ผูค อยช้ีแนะความถกู ตอ ง ใหนกั เรียนฝก รอ งเพลงสากลตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง พรอมคิดทา ทางประกอบเพลง จากนั้นออกมานําเสนอผลงานใหเ พ่อื นชม หนาชนั้ เรียน พรอ มอธบิ ายถึงแรงบนั ดาลใจในการสรางสรรคผลงาน โดยมคี รูเปนผคู อยชี้แนะความถูกตอ ง 86 คมู อื ครู

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ เกรด็ ศลิ ปเกรด็ ศิลป สถานที่และอปุ กรณส ําหรับฝกขบั รอ้ ง ครใู หน กั เรียนดภู าพเคร่ืองดนตรปี ระเภท คยี บ อรด จากนน้ั ครถู ามนักเรียนวา สถานทแ่ี ละอปุ กรณส์ าำ หรับฝกึ ขับรอ้ งทีต่ ้องเตรียมและจดั หา มีดังนี้ ๑. สถานที่ท่ีจะใช้ฝึกขับร้องต้องโปร่งสบาย ไม่มีเสียงรบกวนจากภายนอกและเสียงขับร้องของตนต้อง • นักเรียนรูจ กั เคร่ืองดนตรีในภาพหรือไม ไมร่ บกวนผอู้ ่ืน ถารจู ัก นกั เรยี นรจู กั เครื่องดนตรีชนิดใดบาง ๒. ควรมีกระจกเงาสำาหรับสอ่ งใหเ้ หน็ เงาทา่ ทางขบั ร้องของตนเอง เพอื่ ง่ายตอ่ การปรับปรงุ แกไ้ ขบคุ ลิกภาพ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ของตนเอง ไดอยา งอิสระ) ๓. มีเคร่ืองบันทึกเสยี งสำาหรบั บันทึกเสียงขบั ร้องของตนเอง เพือ่ การประเมนิ คณุ ภาพเสียง ๔. มนี ากิ าจบั จงั หวะทเ่ี รยี กวา่ “เมโทรนอม” (Metronome) ใชค้ วบคมุ ความเทย่ี งตรงของจงั หวะขณะขบั รอ้ ง • เครื่องดนตรีเหลานส้ี ามารถบรรเลง ใหเ ปนเพลงดวยวิธีการแบบใด ๒. การบรรเลงเครือ่ งดนตรีสากล (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอสิ ระ) การบรรเลงเคร่อื งดนตรสี ากล ตอ้ งอาศยั ทกั ษะจากระดบั งา่ ยไปหาทักษะท่ยี ากขึ้น กล่าวคอื จะตอ้ งผ่านทกั ษะการฟงั ดว้ ยการฟังเพลงท่จี ะเลน่ หลายๆ คร้ัง จนจา� ท�านองได้อยา่ งติดหูและแมน่ สาํ รวจคน หา Explore ในจงั หวะและทา� นอง จากนนั้ ฝกึ รอ้ งทา� นองเพลงเปน็ เสยี งในระบบทอนกิ ซอล - ฟา (โด เร ม ี ฟา …) ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งทัง้ จังหวะและท�านอง แล้วจงึ ฝกึ ไล่บันไดเสยี งท่ีใช้ในเพลงใหค้ ลอ่ งแคล่ว ใหนักเรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรู ลกั ษณะของการบรรเลงดนตรสี ากล สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ การบรรเลงเดย่ี ว คอื การบรรเลง เพ่ิมเติมเก่ยี วกับการบรรเลงเดย่ี วเครือ่ งดนตรี เครอื่ งดนตรชี นดิ ใดชนดิ หนง่ึ โดยผบู้ รรเลงคนเดยี ว ซงึ่ วธิ กี ารบรรเลงเครอ่ื งดนตรจี ะมคี วามแตกตา่ ง ประเภทคียบ อรด จากแหลง การเรยี นรตู า งๆ เชน กนั ไป และการบรรเลงรวมวง คือ การทก่ี ลุ่มของนักดนตรี หรือนกั ร้องร่วมกนั บรรเลงเป็นวง ปกติ หอ งสมุดโรงเรียน หองสมุดชมุ ชน อนิ เทอรเน็ต แตล่ ะบุคคลจะเลน่ หรือขบั รอ้ งแตล่ ะแนวตามโน้ตทีน่ กั เรียบเรยี งเสยี งประสานก�าหนดให้ เปนตน ในหัวขอทค่ี รูกําหนดให ดงั ตอไปนี้ ๒.๑ การบรรเลงเดย่ี วเครอ่ื งดนตรปี ระเภท “คียบ อรด” เครอื่ งดนตรปี ระเภทคยี บ์ อรด์ (Keyboard Instrument) มหี ลายชนดิ ในเรอื่ งนจ้ี ะเนน้ การฝกึ หดั 1. ลักษณะของเปยโน เปยี โนกอ่ น สว่ นเครอื่ งดนตรที อ่ี ยู่ในตระกลู คยี บ์ อรด์ ชนดิ อนื่ ๆ สามารถฝกึ ปฏบิ ตั ไิ ดใ้ นแนวเดยี วกนั 2. วิธปี ฏบิ ตั ิเปยโน ซ่ึงหลกั การฝึกปฏิบตั ินี้สามารถน�าไปฝกึ เล่นกับเมโลเดยี น (Melodion) เมโลดิกา (Melodica) และ 3. แบบฝก ปฏิบัติสาํ หรบั การไลน ิ้วบนเปยโน แอคคอร์เดียน (Accordion) ก็ได้ การเล่นเครื่องคีย์บอร์ดนั้น โดยท่ัวไปจะเน้นการเล่นในแนวด�าเนินคอร์ด ซ่ึงการฝึกปฏิบัติ อธบิ ายความรู Explain เครือ่ งคีย์บอรด์ ในบทเรียนน้เี ปน็ เพียงขน้ั พนื้ ฐานเทา่ น้ัน ใหนกั เรยี นรวมกนั อภิปรายเกย่ี วกับการ- ๑) ลกั ษณะของเปยี โน(Piano) เปยี โนนบั เปน็ เครอื่ งกระทบอกี ชนดิ หนง่ึ ที่ใชบ้ รรเลง บรรเลงเดย่ี วเครื่องดนตรปี ระเภทคียบอรดในหัวขอ ลกั ษณะของเปย โน ตามทีไ่ ดศ ึกษามา จากน้นั ท�านองเพลงในกลุ่มเคร่ืองคยี บ์ อรด์ เรียกชื่อเตม็ ว่า “ปอ าโนฟอรเต” (Pianoforte) เพราะท�าไดท้ งั้ ครถู ามนักเรียนวา เสียงเบาและเสียงดังในเครื่องเดียวกัน เปียโนพัฒนาข้ึนมาจากฮาร์ปซิคอร์ด (Harpsichord) สร้างข้ึนคร้ังแรกในเมอื งฟลอเรนซ์ ประเทศอติ าลี เมื่อปี ค.ศ. ๑๗๐๙ แล้วไดพ้ ัฒนารูปร่างมาเปน็ • เปย โนคือเครื่องดนตรที ี่มลี กั ษณะอยา งไร ระยะโดยหลายบุคคล (แนวตอบ เปย โนเปน เคร่ืองดนตรปี ระเภท คียบอรด ใหเสียงท่เี ปนมาตรฐานจาํ นวน 8๗ 88 เสียง สามารถผลติ เสยี งที่มรี ะดับสงู มาก และตํ่ามาก ซ่ึงเครอ่ื งดนตรชี นิดอื่น ไมสามารถทําได) แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด บรู ณาการอาเซียน เปย โนถกู พัฒนามาจากเครื่องดนตรชี นดิ ใดและใชร ะบบเคาะตีแบบใด จากการศกึ ษาเกี่ยวกบั ความรูพน้ื ฐานเรอ่ื งการบรรเลงเครือ่ งดนตรสี ากล 1. พฒั นามาจากกลองและใชระบบเคาะตีแบบกลอง ประเภทล่ิมน้ิว ทใ่ี ชระบบเคาะตีแบบดัลซิเมอร หรือขมิ ฝรั่ง ซ่งึ สามารถเชือ่ มโยง 2. พัฒนามาจากปอ าโนฟอรเ ตและใชระบบเคาะตีแบบกลอง กบั ประเทศสมาชกิ อาเซียน คือ ประเทศไทยและประเทศสงิ คโปรท ่มี ีลกั ษณะของ 3. พฒั นามาจากกลองและใชระบบเคาะตแี บบระนาดของไทย เครอื่ งดนตรแี ละวธิ ีการเลนคลายกนั แตมชี อื่ เรยี กที่ตางกนั ดงั ตัวอยาง 4. พัฒนามาจากฮารปซคิ อรดและใชระบบเคาะตีแบบดัลซิเมอร ดลั ซิเมอร หรือขิมฝรั่ง ขมิ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะเปยโนเปนเคร่ืองตีกระทบชนดิ หน่ึง (เครื่องดนตรีสากล) (เครื่องดนตรีไทย) ท่ใี ชบรรเลงทํานองเพลงในกลมุ เครอื่ งคยี บอรด (ล่มิ นว้ิ ) เพราะทําไดทั้ง เสียงเบาและเสียงดังในเครือ่ งเดยี วกัน เปย โนถูกพฒั นามาจากฮารป ซิคอรด และใชระบบเคาะตีแบบดลั ซเิ มอร หรือขมิ ฝรั่ง หยางฉ่ิน (เครื่องดนตรีสิงคโปร) คมู อื ครู 87

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหน กั เรียนรว มกันอภิปรายเกีย่ วกับการบรรเลง- เปยี โน นบั วา่ เปน็ เครอ่ื งดนตรแี มบ่ ทของการฝกึ ฝนเลน่ เครอ่ื งดนตรสี ากล เพราะถา้ ฝกึ ฝนเลน่ เดี่ยวเครอื่ งดนตรีประเภทคยี บ อรด ในหัวขอ วิธฝี ก เรปจู้ ยีกั โในชก้นอ่ิ้วนทก้ัง จ็ ๑ะ๐ส านมว้ิ า รเสถยีเลงน่เปเคียรโนอื่ มงดสี นีสตนั รหชี ลนาดิกอหน่ื ลๆา ยไขดน้ึง้ า่อยยขู่กนึ้ ับ เเทนอค่ื งนจคิ ากกาไรดเเ้ครายี ะนลริม่ เู้ รนอื่ ว้ิ 1ง อระาบจบทเ�าสใยีหงเ้ สแยีลงะ ปฏิบัตเิ ปย โน ตามทีไ่ ดศกึ ษามา จากน้ันครูถาม แผ่ว อกึ ทกึ เรา้ ใจ ดงั กึกกอ้ ง ฯลฯ ได ้ เพราะเปยี โนสามารถทา� ไดนามกิ (Dynamic) เสียงได้ต้ังแต่ นกั เรยี นวา เบามากท่สี ดุ ไปจนถงึ ดงั มากทส่ี ดุ เสียงบนล่มิ น้วิ ของเปียโนตามปกตแิ ลว้ จะมีช่วงทบคแู่ ปด (Octave) จ�านวนล่มิ นว้ิ สขี าวเป็น • ทา น่งั ในการเลน เปย โนท่ถี ูกตอง ชว่ งทบเสยี งปกต ิ สว่ นลมิ่ นวิ้ สดี า� เปน็ เสยี งแฟลต (Flat) หรอื ชารป์ (Sharp) ทถี่ กู แปลงเสยี งใหต้ า่� ลง ควรมลี กั ษณะอยางไร หรอื สูงขนึ้ กวา่ เสยี งปกติทอี่ ยขู่ ้างเคยี ง ๑ คร่งึ เสียง (แนวตอบ การนงั่ ในการเลนเปยโนท่ถี ูกตอง จะตองใหอวัยวะตางๆ ของรางกายวางอยู ๒) วิธฝี ึกปฏบิ ัติเปียโน สามารถปฏบิ ตั ไิ ด ้ ดงั นี้ ในตาํ แหนงท่ีถูกตอ ง ดงั ตอ ไปนี้ เทา ทงั้ 2 ขา ง วางราบกบั พ้นื แยกปลายเทาออกจากกนั ๑. ลกั ษณะทา่ ทางการนง่ั เลน่ เปยี โน โดยปกตติ อ้ งนง่ั ตวั ตรงในทา่ สบาย ไมเ่ กรง็ ตวั เล็กนอย เขา วางอยูลึกเขา ไปใตคยี บอรด ใหต้ ามองเห็นแผน่ โนต้ ทจี่ ะเล่น เปยโน กน นัง่ แบบครึง่ เกาอี้ โดยใหทง้ิ ๒. ลักษณะการวางมือ ย่ืนข้อมือเหยียดตรงอย่าให้งอ ช่วงแขนจากไหล่ถึงศอก นํ้าหนกั ตวั ลงทกี่ นและเทา ทง้ั 2 ขาง ทา� มมุ ใหอ้ ยู่ในลกั ษณะทเ่ี คลอื่ นไหวไดอ้ ยา่ งสะดวก อยา่ แนบลา� ตวั คอื อยู่ในวงมากกวา่ ๙๐ - ๑๒๐ หลัง ยดื ตรงในขณะเลน อาจจะโนม ตวั องศาโดยประมาณ นิ้วงองุ้มลงคล้ายจะใช้ปลายนว้ิ เป็นคอ้ นเคาะลงนว้ิ เปยี โน แต่อยา่ กางนิ้ว ไปดานหนา หรอื ดา นขางไดเพียงเล็กนอ ย การฝึกหัดเล่นเปียโนนั้น เบื้องต้นต้องรู้ว่าควรจะวางนิ้วใดท่ีต�าแหน่งใด และมือ ไหล ปลอ ยไหลแบบสบายๆ ไมเ กร็ง หรือ ข้างใดอยู่ในช่วงทบเสียงใด โดยใช ้ “C” กลาง (Middle C) เป็นทห่ี มาย การเลน่ เปียโนต้องใช้นิว้ ยกไหลข นึ้ ขอ ศอก วางอยสู งู กวา คยี บ อรด เปย โน ทกุ นิ้วของมือทั้ง ๒ ข้าง ไม่ใช่ใช้นิว้ เดียวกบั หลายเสยี ง ขอ มือ วางอยสู งู กวาคียบ อรด เปยโน การวางน้ิวในเบื้องต้นให้ปฏิบตั ดิ ังน้ ี มอื ขวา (R.H.) วางนิว้ หวั แมม่ ือท ่ี “C” กลาง และนิ้ว วางอยูบนคยี บอรด ) วางนว้ิ ช้ที ี ่ “D” (ถดั “C” กลาง ขึ้นไป) วางน้วิ กลางที ่ “E” วางนิ้วนางท่ ี “F” และวางน้วิ กอ้ ยท ี่ “G” สว่ นมอื ซ้าย (L.H.) วางน้วิ ก้อยที่ “C” (นับจาก “C” กลาง มาลงต�าแหนง่ ท่ ี ๘) วางนว้ิ นางท่ี “D” • จากภาพ หมายถงึ ส่ิงใด วางน้ิวกลางท ่ี “E” วางนวิ้ ชีท้ ่ ี “F” วางนวิ้ หวั แมม่ ือท่ ี “G” (๑ = น้ิวหวั แม่มอื ๒ = นว้ิ ช ี้ ๓ = น้ิวกลาง ๔ = นว้ิ นาง และ ๕ = นวิ้ ก้อย) ดังแผนภมู ิดา้ นลา่ งนี้ มอื ซา ย มอื ขวา 54321 12345 Middle c (ซกี ลาง) (แนวตอบ สญั ลกั ษณแ ทนตวั เลขในการ 54 3 3 45 วางน้วิ มือบนเปย โน คอื นิ้วมือซา ย 2 2 นว้ิ มอื ขวา นวิ้ หัวแมม อื แทนดวยเลข 1 1 1 นวิ้ ชี้ แทนดว ยเลข 2 นิว้ กลาง แทนดวยเลข 3 88 นวิ้ นาง แทนดว ยเลข 4 นวิ้ กอย แทนดวยเลข 5) นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ลม่ิ นิ้วสีดําท่ีอยูบ นเปย โนหมายถงึ สง่ิ ใด 1 ลม่ิ นิว้ หรอื คียบ อรด คือ ชุดของกานเสยี ง หรือคยี ท ่ีอยตู ดิ กัน สามารถ 1. ชว งทบเสียงปกติ กดดว ยนิว้ ได ล่ิมนิว้ โดยปกติจะมีคียในการเลนชุดละ 12 กานเสยี ง ลม่ิ นวิ้ อันยาว 2. เสียงทไ่ี พเราะที่สดุ ของเปยโน จะเปน สขี าว มี 7 อัน ในหนึ่งออ็ กเทฟ ไลเ รยี งไปตามบนั ไดเสียง ซี เมเจอร 3. เสยี งท่แี ผว เบาวเิ วกสนั โดษของเปย โน (C Major) (C D E F G A B) สว นลมิ่ นว้ิ อนั สั้นเปน สดี าํ มี 5 อนั ในหน่ึงออ็ กเทฟ 4. เสียงแฟลต หรอื ชารปทถ่ี กู แปลงเสยี งใหตา่ํ ลง หรอื สงู ขนึ้ กวา เสียงปกติ จะอยรู ะหวา งลมิ่ นวิ้ สขี าว เปน ครงึ่ ขน้ั เสยี งของ ซี เมเจอร (C Major) ในเครอื่ งดนตรี ท่อี ยูขางเคยี ง 1 ครงึ่ เสยี ง บางชนดิ เชน ฮารปซิคอรด เปนตน อาจใชสสี ลับกนั จากสีขาวเปน สีดํา และจาก วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. เพราะเสียงบนลมิ่ น้วิ ของเปย โนตามปกติ สดี าํ เปนสีขาวแตจ ะมีผังลม่ิ น้ิวทีเ่ หมอื นกนั จะมชี วงทบคแู ปด จาํ นวนล่มิ นวิ้ สขี าวจะเปน ชว งทบเสยี งปกติและลิ่มนิว้ สีดําจะเปนเสียงแฟลต หรือชารปท่ถี ูกแปลงเสยี งใหต า่ํ ลง หรอื สงู ขึน้ กวา มมุ IT เสียงปกตทิ ่อี ยูขา งเคียง 1 คร่ึงเสียง นกั เรยี นสามารถศึกษา คน ควาเพ่ิมเตมิ เกี่ยวกบั เคร่ืองดนตรสี ากล ประเภทคยี บ อรด (ลิ่มน้ิว) ไดจาก http://www.vichakarn.triamudom.ac.th 88 คมู อื ครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู จากตา� แหนง่ ของนว้ิ ในแผนภมู นิ จ้ี ะเหน็ วา่ ผเู้ ลน่ ตอ้ งกด หรอื เคาะหลายนวิ้ ทก่ี า� หนดลงบนลมิ่ ใหนกั เรยี นศึกษาแผนผงั การใชลิ่มน้ิวเปยโน นวิ้ ทลี ะนิ้ว พยายามไลล่ �าดับเสียงในอนุกรมเสยี งขน้ึ - ลงพร้อมกันทั้ง ๒ มือ ในระยะฝกึ หัดแรกๆ จากในหนังสือเรยี น หนา 89 จากนัน้ ครูถาม ควรปฏิบัติอย่างช้าๆ ตามองโน้ตอย่ามองที่ลิ่มนิ้ว ผู้ฝึกต้องใช้โสตประสาทจ�าเสียงให้ได้ว่าเสียง นักเรยี นวา โด เร ม ี ฯลฯ มีระดับเสยี งอยา่ งไร ถ้าเราจะเขียนแผนภูมิการใช้นิว้ บนลมิ่ น้ิวเปยี โนกบั ตวั โน้ตบน สตาฟลายน์สก็จะได้ ดังนี้ (ต้องปฏิบัตพิ ร้อมกันทง้ั ๒ มอื ) • จากภาพหมายถงึ ส่งิ ใด เม่ือมีความช�านาญขึ้นจึงหัดไล่ล�าดับเสียงขึ้นและลงอย่างรวดเร็ว ฝึกหัดต�าแหน่งข้างบนนี้ (แนวตอบ กุญแจซอล หมายถึง เสียงสูง คลอ่ งแลว้ จงึ ใหห้ ัดเปลยี่ นต�าแหนง่ การวางน้ิวทีช่ ่วงทบอยู่สงู ข้ึนไป หรือต่า� ลงมา หรอื เสยี งแหลม สาํ หรบั เปย โนจะหมายถงึ โนต ตัวอย่างเช่นน้ีใหเ้ ล่อื นตา� แหนง่ นิว้ ไปยงั ต�าแหน่งใหม ่ โดยใช้เสียง “G” เปน็ เสยี งชน้ั ท ่ี ๑ ตาม ทใี่ ชม ือขวาเลน เน่อื งจากเปน กุญแจท่ีใช แผนภมู ดิ ้านล่างน้ี บันทึกโนตทมี่ ีเสียงสูง และเมอ่ื วางมือขวาลง ถ้าเขยี นเปน็ โน้ตบนเสน้ บนั ทึกโน้ต (Stave) จะมีลกั ษณะ ดังนี้ บนคียบอรด ของเปยโน ตําแหนงของมอื ขวา จะอยใู นแถบเสยี งสงู ของเปย โน โดยกุญแจ- ซอลจะวางคาบอยูบนเสน ท่ี 2 ของบรรทดั 5 เสน ดงั น้นั โนต ท่วี างคาบอยูบนเสน ท่ี 2 จะมีคา เปนซอลตามช่อื ของกุญแจ) • จากภาพหมายถงึ สิง่ ใด (แนวตอบ กญุ แจฟา หมายถึง เสียงทมุ หรอื เสยี งตาํ่ สาํ หรบั เปย โนจะหมายถงึ โนต ทใี่ ชม อื - ซา ยเลน เนอ่ื งจากเปน กญุ แจทใ่ี ชบ นั ทกึ โนต ทมี่ เี สยี งตาํ่ และเมอื่ วางลงบนคยี บ อรด ของเปย โน ตาํ แหนง ของมอื ซา ยจะอยใู นแถบเสยี งตาํ่ ของ เปย โน โดยกุญแจฟาจะวางคาบเสนที่ 4 ของ บรรทดั 5 เสน ดงั น้ัน โนตที่วางคาบอยูบ น เสนท่ี 4 จะมีคา เปน ฟาตามชอ่ื ของกญุ แจ) • การเขียนโนต เปยโนทถี่ ูกตอ งลงบนบรรทดั 5 เสน ควรเขียนอยางไร (แนวตอบ สามารถเขยี นไดดังภาพ 89 ซง่ึ จะมีตวั เลข 1, 2, 3 อยูใตตัวโนต ตวั เลขนใี้ ชบ ง บอกวา โนต ตวั นคี้ วรใชน ว้ิ ใดเลน ) แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู เครือ่ งดนตรสี ากลชนดิ ใดมวี ธิ ีการบรรเลงเหมือนเปย โน ครูควรเชิญวิทยากรท่ีมีความเช่ียวชาญในดานการบรรเลงเคร่ืองดนตรีสากล 1. ไวบราโฟน : เปย โน มาอธบิ ายความรเู พมิ่ เตมิ เกี่ยวกับวิธีการฝก ปฏบิ ตั เิ ปย โนใหน กั เรยี นฟง 2. แอคคอรเ ดยี น ครอู าจอธิบายเพิ่มเติมเกยี่ วกับเปย โนวา สามารถแบง ออกเปน 2 ประเภท คอื 3. แมนโดลิน 4. ยโู ฟเนยี ม 1. แกรนดเปย โน เปนเปยโนท่มี สี ายและโครงวางในแนวนอน สายเสียงจะถูกขงึ ออกจากคยี บอรด ทาํ ใหม เี สยี งและลกั ษณะท่ตี างออกไปจากเปยโนตงั้ ตรง วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะแอคคอรเดียนจดั เปนเครื่องดนตรี 2. อัพไรทเ ปยโน เปนเปยโนท่มี ีสายและโครงวางในแนวตง้ั ขงึ สายเปย โนตงั้ แต ประเภทคียบอรด (ลิม่ นิว้ ) เชน เดยี วกับเปย โน ลม่ิ นิ้วจะเรียงกนั เปน แผง ดา นลา งจนถงึ ดา นบนของเปย โน แตเ ปย โนประเภทนไี้ มส ามารถควบคมุ การสรา งเสยี ง การเลนจะใชม ือกดลงบนลิม่ น้วิ ของเครอ่ื งดนตรี การเกิดเสียงนน้ั จะขน้ึ อยู ไดนุมนวลเทาแกรนดเปย โน กับกรรมวธิ ีภายใน ซึง่ มลี ักษณะเปน ทอ ลมทีม่ ที ีป่ ด - เปด ทําใหเกิดเสยี ง ระดบั ตา งๆ มมุ IT นกั เรียนสามารถชมวิธีการฝก ปฏบิ ัตเิ ปย โน ไดจาก http://www.youtube.com โดยคน หาจากคาํ วา วธิ ีการฝก เปย โนเบ้อื งตน คมู ือครู 89

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ใหนักเรียนศกึ ษาแผนผงั แบบฝก การไลน ว้ิ เมื่อฝึกหัดคล่องแล้วจะท�าให้น้ิวต่างๆ เปล่ียนต�าแหน่งได้โดยอัตโนมัติตามที่ใจประสงค์ พรอ มกนั ทง้ั 2 มอื ในกญุ แจเสียงซี เมเจอร หลักเกณฑ์ที่กลา่ วมานี้เปน็ เพียงพน้ื ฐาน ยังมเี ทคนคิ ในการเล่นเปยี โนอยู่อีกมากทีส่ ามารถศกึ ษา (C Major) และเอ ไมเนอร (A Minor) ได้อย่างไม่จบสิน้ จากหนังสอื เรียน หนา 90 พรอ้ มกันทัง้ ๓ ๒) มแือบใบนฝกกึญุ ปแฏจเบิ สตั ียสิงซา� หี เรมบั เจกอารร์ (ไCล น่Mว้ิ aบjoนr1)เ ปแยีลโะนกญุ ในแทจน่ีเสจี้ ียะงยเกอต ไวั มอเยนา่ องรแ ์บ(Aบ ฝMกึ inกoาrร)ไ ดลน่ังนวิ้ ้ี 2. ครูสาธติ วธิ ีการฝก ไลนิว้ พรอมกนั ทั้ง 2 มือ ในกญุ แจเสยี งซี เมเจอร (C Major) และเอ ไมเนอร ๑. แบบฝึกการไล่นิว้ พรอ้ มกันท้ัง ๒ มอื ในกญุ แจเสยี งซ ี เมเจอร ์ (C Major) (A Minor) ที่ถูกตองใหนักเรียนดู พรอมท้ัง ใหนกั เรียนฝกปฏบิ ัติตาม จากนน้ั ครูสมุ นักเรียน 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ กี ารฝก ไลน้วิ พรอมกันทัง้ 2 มอื ในกุญแจเสียงซี เมเจอร (C Major) และเอ ไมเนอร (A Minor) ทถี่ ูกตองใหเพือ่ นชมหนาชั้นเรียน โดยมีครูเปน ผคู อยชแ้ี นะความถกู ตอง ๒. แบบฝึกไล่นิว้ พร้อมกนั ทงั้ ๒ มือในกญุ แจเสยี งเอ ไมเนอร์ (A Minor) 90 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ใหนกั เรยี นหาภาพเปยโนคนละ 1 ภาพ จากนัน้ เขยี นอธิบาย สว นประกอบของเปย โน ลงกระดาษรายงาน ตกแตงใหส วยงาม ครคู วรเนน ใหเ หน็ วา บนั ไดเสยี งเมเจอร (Major) เปน บนั ไดเสยี งทใ่ี ชใ นบทเพลงทใี่ ห นําสง ครผู สู อน ความรูสกึ สวา ง สดใส ราเริง คึกคัก เขม แขง็ ในขณะทีบ่ ันไดเสยี งไมเนอร (Minor) นน้ั จะใชใ นบทเพลงทใี่ หค วามรสู กึ ทเ่ี ศรา และหมน หมอง หรอื ออ นหวานกวา ซง่ึ จะทาํ ให กจิ กรรมทา ทาย นกั เรยี นมคี วามรู ความเขา ใจเกยี่ วกบั บนั ไดเสยี งเมเจอรแ ละบนั ไดเสยี งไมเนอรไ ดด ยี ง่ิ ขน้ึ ใหนักเรียนท่มี คี วามสามารถดา นการเลนเปยโน ออกมาสาธติ วธิ ี นักเรยี นควรรู การฝก ไลนิ้วพรอมกันทง้ั 2 มอื ในกุญแจเสยี งซี เมเจอร (C Major) และเอ ไมเนอร (A Minor) ทีถ่ ูกตอ งใหเ พื่อนชมหนา ชั้นเรียน โดยมคี รู 1 ซี เมเจอร (C Major) ชนดิ ของการไลเ สียงตัวโนต หรือสเกลซี เมเจอร เปน ผูคอยช้ีแนะความถูกตอ ง (C Major) นนั่ เอง ในซี เมเจอร (C Major) ก็จะประกอบไปดว ยโนต โด (C) เร (D) มี (E) ฟา (F) ซอล (G) ลา (A) ที (B) ดงั ภาพ C D E F G A BC 90 คมู อื ครู

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒.๒ การบรรเลงรวมวง ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารบรรเลงดนตรแี บบรวมวง การรวมวง หรอื การประสมวง (Ensemble) หมายถงึ การจดั วงดนตรเี พอื่ การบรรเลงอยา่ งใด ใหน ักเรียนชม จากน้นั ครถู ามนกั เรยี นวา อยา่ งหน่ึง โดยน�าเอาเคร่อื งดนตรมี ารวมวงเพือ่ บรรเลงรว่ มกัน การบรรเลงรวมวงมที ัง้ การรวมวง ท่ีเป็นแบบแผนมาตรฐานและการรวมวงเครื่องดนตรีตามท่ีผู้จัดการแสดงดนตรีต้องการด้วยการ • นกั เรียนเคยชมการบรรเลงดนตรีแบบรวมวง รวมวงดว้ ยเครื่องดนตรชี นดิ ใดๆ ก็ได ้ หรอื ไม ถาเคย การบรรเลงดนตรีแบบรวมวง การบรรเลงรวมวงที่เป็นแบบมาตรฐาน เชน่ วงขนาดเลก็ เรียกกันทั่วไปว่า “วงแชมเบอร1” มีลกั ษณะเดน อยา งไร (Chamber Music) ซ่ึงเป็นการรวมวงของเคร่ืองดนตรีตั้งแต่ ๒ ถึง ๙ ช้ิน ส่วนใหญ่นิยมใช้ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ เคร่อื งดนตรีประเภทเครื่องสายเป็นส�าคญั เป็นตน้ ไดอยางอสิ ระ) ในชน้ั เรยี นน ี้ อาจมกี ารนา� เครอ่ื งดนตรมี าบรรเลงรวมวงในแบบตา่ งๆ ได ้ โดยไมจ่ า� กดั จา� นวน ของเครื่องดนตรี โดยให้ยึดหลักว่า ตอ้ งจดั ให้มอี งคป์ ระกอบของดนตรที ี่ส�าคัญประกอบกนั ขน้ึ มา • การบรรเลงดนตรีแบบรวมวง นิยมนาํ มา แสดงประกอบกิจกรรมใด (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอิสระ) ไดแ้ ก ่ ทา� นอง การประสานเสยี งลกั ษณะตา่ งๆ ของเนอื้ ดนตรแี ละองคป์ ระกอบดนตรอี น่ื ๆ ทเ่ี หมาะสม สาํ รวจคน หา Explore โดยมีเทคนิคการสร้าง การตัดกันระหว่างหน่วยท่อนของดนตรี ด้านท�านองอาจใช้เครื่องดนตรี ที่ทา� ท�านองได้อย่างใดอยา่ งหน่ึง หรอื อาจเปน็ เสยี งขบั รอ้ งก็ได ้ ใหน กั เรยี นศกึ ษา คนควา หาความรเู พมิ่ เตมิ ทงั้ น้ ี สามารถเปน็ ได้ทงั้ ท�านองเดยี่ ว หรอื ทา� นองกลมุ่ ในสว่ นของการประสานเสียง อาจใช้ เกยี่ วกับการบรรเลงรวมวง จากแหลง การเรียนรู เครอ่ื งดนตรที สี่ ามารถทา� คอรด์ ได ้ หรอื ไมก่ น็ า� เอาเครอื่ งดนตรที ท่ี า� ทา� นองได ้ ๓ - ๔ ชน้ิ มาบรรเลง ตา งๆ เชน หอ งสมุดโรงเรยี น หอ งสมุดชุมชน เป็นคอร์ดออกมา อนิ เทอรเ นต็ เปน ตน ในหัวขอ ทีค่ รูกําหนดให ดงั ตอไปน้ี 1. ลักษณะของโนตเพลง 2. วิธกี ารบรรเลงรวมวง อธบิ ายความรู Explain การบรรเลงรวมวง โดยวงซมิ โฟนีออร์เคสตรา (Symphony Orchestra) ใหนกั เรยี นรวมกันอภปิ รายเกย่ี วกับการบรรเลง ทม่ี าของภาพ http://www.cisymphony.org รวมวง ในหัวขอลักษณะของโนต เพลง ตามท่ไี ด ศึกษามา จากนนั้ ครถู ามนกั เรียนวา 9๑ • ตวั โนตมคี วามสาํ คัญอยา งไร (แนวตอบ ตวั โนต คือ สญั ลกั ษณทีใ่ ชใ นการ นําเสนอระดับเสยี งและความยาวของเสยี ง ในทางดนตรี ตัวโนตแตล ะเสยี งจะมชี อ่ื เรยี ก ประจาํ ของมันเองในแตล ะภาษา เชน โด เร มี ฟา ซอล ลา ที บางครง้ั อาจเขยี นเปน อกั ษร ละติน A ถึง G แทนโนตดนตรี เปนตน) แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด นักเรยี นควรรู การบรรเลงเพ้ียน หรอื รองเพี้ยนเกดิ จากสาเหตใุ ด 1 วงแชมเบอร นยิ มใชเครอ่ื งดนตรปี ระเภทเคร่ืองสายเปน สาํ คัญ และมชี ่อื เรียก 1. ผิดทํานอง ตา งกนั ออกไปตามจาํ นวนผบู รรเลง ดงั ตอ ไปน้ี ดโู อ (Duo) มผี บู รรเลง 2 คน ทรโี อ (Trio) 2. ผิดเนื้อรอ ง มผี บู รรเลง 3 คน ควอเตต็ (Quartet) มผี บู รรเลง 4 คน ควนิ เตต็ (Quintet) มผี บู รรเลง 3. ผดิ ความเรว็ จังหวะ 5 คน เซก็ ซเ ตต็ (Sextet) มผี บู รรเลง 6 คน เซฟเ ตต็ (Septet) มผี บู รรเลง 7 คน 4. ผิดลักษณะจังหวะ ออคเตต็ (Octet) มผี แู สดงจาํ นวน 8 คน และโนเนต็ (Nonet) มผี แู สดงจาํ นวน 9 คน วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 1. เพราะเพย้ี น คอื เสยี งทไ่ี มตรงกบั ระดบั มุม IT ทถี่ กู ตอ ง เพยี้ นก็คือผดิ แตเปน การผดิ เพยี งเลก็ นอย ไมวาเสยี งรอง นกั เรยี นสามารถศกึ ษา คน ควา เพมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั วงแชมเบอร (Chamber Music) หรอื เสยี งดนตรี ถาหากวา ไมต รงกบั ระดับเสียงทถี่ ูกตอ ง แมแ ตเ พียง ไดจ าก http://www.culture.go.th เล็กนอ ยกเ็ รยี กวา “เพย้ี น” ทง้ั สน้ิ คมู อื ครู 91

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ใหนักเรียนรวมกันอภปิ รายเกย่ี วกับการบรรเลง ๒) วธิ ีการบรรเลงรวมวง สามารถปฏิบตั ไิ ด้ ๕ วธิ ี ซ่งึ แตล่ ะวธิ ีใหใ้ ชเ้ พลงทกี่ �าหนด รวมวง ในหวั ขอ วธิ ีการบรรเลงรวมวง ตามที่ได ศึกษามา ให้บรรเลง ดังน้ี ๑. การเลน่ รวมวงวธิ ที ่ี ๑ คอื การใชเ้ ครอ่ื งดนตรที ต่ี นถนดั เลน่ ทา� นอง หรอื ขบั รอ้ ง 2. ครเู ปดซีดี หรือดีวดี ี หรอื สอ่ื อินเทอรเนต็ เพลง Lula Lula ใหนักเรียนฟง พรอ มทั้งให ประสานเสยี งแบบ ๒ แนวอยา่ งง่าย ไปตามโน้ต ใชเ้ บส กลอง และกีตารด์ �าเนินคอร์ดเปน็ เครอื่ ง- นกั เรียนศึกษาแผนผังโนต เพลง Lula Lula ประกอบจังหวะ จากในหนงั สือเรียนหนา 92 ตัวอยา่ ง เพลง Lula Lula 3. ครสู าธติ วธิ กี ารขบั รอ งเพลง Lula Lula ทถ่ี กู ตอ ง ใหนกั เรียนฟง จากนัน้ ใหนักเรียนฝก ปฏิบตั ติ าม เพลงประสานเสยี ง ๒ แนว Dm เพลงพน้ื เมอื งอเมรกิ นั และปรบมอื ประกอบตามจงั หวะเพลงจากนน้ั ครูสุม นกั เรียน 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ กี าร 1 24 C lu la le lu la lu la le lu la ขับรองเพลง Lula Lula ทถี่ กู ตอ งใหเ พอ่ื นชม Lu la le หนา ชนั้ เรยี น โดยมคี รเู ปนผคู อยชแ้ี นะ lu la le lu la lu la le lu la ความถกู ตอง จากน้ันครถู ามนักเรยี นวา 2 42 • เน้ือเพลง Lula Lula สะทอ นใหเ หน็ ถึงสิง่ ใด lu la le C (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ G7 ไดอ ยางอสิ ระ) 1 lu la lu la lu la lu la le lu la le 2 lu la lu la lu la Dlu m la le G7 lu la le 1 lu la le lu la lu la le lu la lu la lu la 2 lu la lu la le lu la lu la lu la lu la le C 1 le 2 le 9๒ มมุ IT กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรยี นสามารถฟง เพลง Lula Lula ไดจาก http://www.youtube.com ใหนักเรยี นศึกษาหาความรเู พิม่ เตมิ เกี่ยวกับประวตั เิ พลง Lula Lula โดยคนหาจากคําวา เพลง Lula Lula เขยี นสรปุ สาระสําคญั ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผสู อน กิจกรรมทา ทาย ใหนักเรียนฝกแตง เพลงโดยนาํ ทํานองเพลง Lula Lula มาใช พรอ มกบั ต้งั ช่อื เพลง จากนน้ั นาํ เสนอผลงานใหเพื่อนชมหนา ช้นั เรยี น โดยมีครูเปน ผูชี้แนะความถูกตอ ง 92 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู 1. ครสู มุ นักเรียน 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม ดังตอไปนี้ ไปตามโน้ตโดย๒ใช.้เกบาส1ร เกลล่นอรงว มแวลงะวกธิ ีตีทา่ี ร๒2ด์ า�คเอื น นิกาครอใรช์ดเ้ คเปรน็อ่ื เงคดรน่อื ตงรปที รตี่ะกนอถบนจดั งั เหลวน่ ะท�านอง หรือขับร้อง • การบรรเลงรวมวงสามารถทําไดก ่วี ธิ ี ตัวอย่าง เพลง She’ll be Coming Round the Montain อะไรบาง (แนวตอบ สามารถทาํ ได 5 วธิ ี คอื 1. การใชเ คร่ืองดนตรีท่ีตนถนดั เลน ทาํ นอง เพลงพนื้ เมืองอเมรกิ ัน หรือขับรองประสานเสยี งแบบ 2 แนว อยา งงายไปตามโนต โดยใชเบส กลอง 1. She’ll be com -ing round the moun -tain when she comes. และกีตารด าํ เนินคอรด ประกอบจงั หวะ 2. การใชเครื่องดนตรีที่ตนถนัดเลนทาํ นอง และขบั รอ งไปตามโนต โดยใชเ บส กลอง She’ll be com -ing round the moun -tain when she และกีตารด ําเนินคอรด ประกอบจังหวะ 3. การใชเคร่ืองดนตรที ่ีตนถนัดเลน ทํานอง come she’ll be steam -ing and a และขับรอ งแบบซอนทาํ นองไปตามโนต ใชเ บส กลอง และกีตารดําเนินคอรด ประกอบจังหวะ puff -ing Oh Lord She won’t stop for no- thing she’ll be 4. การใชเ ครือ่ งดนตรที ตี่ นถนดั เลนทาํ นอง และขบั รองตามโนต เพลงทผี่ เู ขยี นไดแ ยก com -ing round the moun -tain when she comes. โนต ไวเ ปน กลางๆ โดยใชเบส กลอง และ ๓. การเลน่ รวมวงวธิ ที ี่ ๓ คอื การใชเ้ ครอื่ งดนตรที ตี่ นถนดั เลน่ ทา� นองและขบั รอ้ งแบบ กีตารด าํ เนินคอรด ประกอบจงั หวะ) ซอ้ นทา� นอง (Counter Melody) ไปตามโนต้ ใชเ้ บส กลอง และกตี ารค์ อรด์ เปน็ เครอื่ งประกอบจงั หวะ 5. การใชเ ครอื่ งดนตรที ต่ี นถนดั เลน ทาํ นองและ ขบั รอ งแบบวนไปตามโนต โดยใชเ บส กลอง และกตี ารด าํ เนนิ คอรด ประกอบจงั หวะ ตัวอย่าง เพลง Planting Rice 2. ครูเปด ซดี ี หรือดวี ีดี หรอื ส่ืออนิ เทอรเ นต็ เพลง 42 C ne -ver เพลงพนื้ เมอื งฟลิ ิปปินส์ She'll be Coming Round the Montain riceG 7is fun Bent from morn’ til set of ใหน กั เรยี นฟง พรอ มทงั้ ใหน กั เรยี นศกึ ษาแผนผงั GPlant -ing โนต เพลง She'll be Coming Round the Montain จากในหนังสอื เรยี น หนา 93 3. ครสู าธติ วธิ กี ารขบั รอ งเพลง She'll be Coming sunC can -not stand and can -not sit, Can -not rest for a lit -tle Round the Montain ทถ่ี กู ตอ งใหน กั เรยี นฟง พรอ ม ทง้ั ใหน กั เรยี นฝก ปฏบิ ตั ติ ามและปรบมอื ประกอบ ตามจงั หวะเพลง จากนนั้ ครสู มุ นกั เรยี น 2-3 คน bit ออกมาสาธติ วธิ กี ารขบั รอ งเพลง She'l be Coming 93 Round the Montain ทถ่ี กู ตอ งใหเ พอื่ นฟง หนา ชนั้ - แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด เรยี น โดยมคี รเู ปน ผคู อยชแี้ นะความถกู ตอ ง นกั เรยี นควรรู “การขบั รองท่มี ผี ขู ับรอ งต้ังแต 2 คน ขึ้นไป รองเพลงแนวทํานองเดยี วกนั 1 เบส (Bass) เปน เครื่องดนตรปี ระเภทเครอ่ื งสาย ลกั ษณะของเบสจะมีรูปรา ง แตเ รม่ิ ตน และจบไมพ รอ มกนั ” ขอ ความนบี้ ง บอกลกั ษณะการขบั รอ งในรปู แบบใด ใหญก วา กตี าร มโี ครงสรา งของคอทใี่ หญแ ละยาวกวา มหี นา ทหี่ ลกั ในการใหจ งั หวะ คอื คุมจงั หวะตาม Rhythm, Line, Pattern และ Groove ของดนตรี 1. การขบั รองแบบเดยี่ ว 2 กตี าร (Guitar) เปน เคร่ืองดนตรีประเภทเครอ่ื งสาย มกั จะเลน ดว ยนวิ้ มือซาย 2. การขบั รองแบบหมู และดีดดว ยน้ิวมือขวา หรอื ใชป ก ดดี กตี าร นบั เปนเคร่อื งดนตรีทีน่ ยิ มนํามาใชใ นการ 3. การขับรอ งแบบประสานเสียง บรรเลงเดยี่ ว และยงั เปนเครอื่ งดนตรีหลกั ในวงดนตรีตา งๆ อกี ดว ย 4. การขับรอ งแบบราวด วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะการขบั รอ งแบบราวนด หรอื ทเี่ รยี กกนั ทัว่ ไปวา “แบบวน” หรอื “เพลงวน” เปนการขับรอ งท่มี ีผูขับรองต้งั แต 2 คน หรอื 2 กลุม ขึ้นไป รอ งเพลงแนวทาํ นองเดยี วกนั แตเ รม่ิ ตน และจบ มุม IT ไมพ รอ มกัน สว นจะรอ งกีเ่ ทย่ี วน้นั ขึน้ อยูกับการตกลงของผขู ับรอง หรอื ผคู วบคมุ นักเรยี นสามารถฟงเพลง She'll be Coming Round the Montain ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคําวา She'll be Coming Round the Montain คมู อื ครู 93

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ครเู ปดซีดี หรอื ดีวดี ี หรือสือ่ อนิ เทอรเนต็ เพลง- 24 C fun Bent from morn’ til set of Planting Rice และเพลง Turkey in the Straw riceG7is ne -ver ใหน ักเรยี นฟง พรอมใหน ักเรียนศึกษาแผนผงั GPlant -ing โนต เพลง Planting Rice และเพลง Turkey in the Straw จากในหนังสือเรียน หนา 93 - 94 sunC can -not stand and can -not sit, Can -not rest for a lit -tle 2. ครูสาธิตวิธีการขบั รองเพลง Planting Rice bit และเพลง Turkey in the Straw ทถี่ ูกตอง ใหน กั เรยี นฟง พรอ มทง้ั ใหน กั เรยี นฝก ปฏบิ ตั ติ าม ๔. การเลน่ รวมวงวธิ ที ่ี ๔ คอื การเลน่ ดนตรี หรอื ขบั รอ้ งตามโนต้ เพลงใดเพลงหนงึ่ และปรบมือประกอบตามจังหวะเพลง จากนน้ั เซคึ่งรผ่อื ู้เงขปียรนะไกดอ้แบยจกังโหนว้ตะไไวด้ก้แลกา่งเๆบสสก�าหตี ารรับค์ เคอรรด์่ืองแดลนะตกรลีหอลงักใหขแ้อตง่ลวงะวงคสือร้าเงคกรร่ือะสงวCนจ, งั Bหbว,ะ1ขEนึ้ bมาสเ่วอนง ครูสุมนกั เรยี น 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ ีการขบั รองเพลง Planting Rice และเพลง Turkey in the Straw ทถ่ี ูกตองใหเพื่อนชมหนาชนั้ เรียน โดยมีครูเปนผคู อยช้แี นะความถูกตอง ตวั อย่าง เพลง Turkey in the Straw เพลงพน้ื เมอื ง2อเมริกนั D7 Gto the left. And we charge 24 G Oh we charge to the right. And we walk and we walk. Am D7 G And we walk all night On the heel D7 and the toe. And a half way round. G D7 G On the heel and the toe. And the new boy found. 94 นกั เรยี นควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 กระสวนจงั หวะ รปู แบบจังหวะทีใ่ ชในการประพนั ธเ พลงแตล ะเพลง ใหนกั เรียนเลอื กบทเพลงท่ีสนใจ 1 เพลง คือ เพลง Planting Rice 2 เพลงพน้ื เมอื ง เพลงท่ถี กู แตงข้ึนโดยสว นมากจะรองตอๆ กันมา หรอื Turkey in the Straw จากนน้ั คดิ ทา ทางประกอบเพลง ออกมานาํ เสนอ โดยไมท ราบผแู ตงท่แี ทจ ริง และใชรองราํ ทําเพลงเพ่ือสรางความสนกุ สนาน ผลงานใหเพอ่ื นชมหนา ชน้ั เรียน โดยมีครเู ปนผคู อยชแี้ นะความถกู ตอ ง สว นมากรายละเอียดของเพลงทองถิ่นนี้จะเกิดข้นึ จากวฒั นธรรม ประเพณี กิจวตั รประจาํ วัน และการประกอบอาชพี กจิ กรรมทา ทาย มุม IT ใหน กั เรยี นฝก แตง เพลงไทยสากล 1 เพลง โดยใชท าํ นองของเพลง Planting Rice หรือ Turkey in the Straw จากนั้นออกมานาํ เสนอ นกั เรียนสามารถฟง เพลง Planting Rice ไดจาก http://www.youtube.com ผลงานใหเ พ่อื นชมหนา ชั้นเรยี น โดยมีครูเปนผูค อยชแ้ี นะความถูกตอง โดยคนหาจากคําวา Planting Rice 94 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขาใา จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู Explain 1. ครูเปดซดี ี หรือดวี ดี ี หรือสื่ออินเทอรเนต็ เพลง I love the Compfifi re ใหน กั เรียนฟง พรอ มให ๕. การเลน่ รวมวงวธิ ที ่ี ๕ คอื การใชเ้ ครอ่ื งดนตรที ตี่ นถนดั เลน่ ทา� นอง หรอื ขบั รอ้ ง นักเรียนศึกษาแผนผังโนต เพลง I love the แบบวน (Round) ไปตามโน้ต ใช้เบส กลอง และกีตารค์ อรด์ เป็นเคร่ืองประกอบจงั หวะ Compfifire จากหนังสอื เรยี นหนา 95 ตวั อย่าง เพลง I Love the Campfire 2. ครสู าธติ วธิ กี ารขบั รอ งเพลง I love the Compfifire ทถ่ี กู ตอ งใหนกั เรียนฟง จากน้นั ใหน ักเรียน เพลง round เพลงพืน้ เมอื งอเมริกัน ฝกปฏบิ ตั ิตามพรอมปรบมอื ประกอบตาม 1. F Dm Gm C7 จงั หวะเพลง แลวออกมาสาธติ วธิ กี ารขับรอ ง เพลง I love the Compfifi re ท่ีถูกตองใหเ พ่อื น ฟง หนาช้ันเรยี น โดยมคี รเู ปน ผคู อยชแี้ นะ I love the moun -tains I love the rolling hills. ความถูกตอง 2. ขยายความเขา ใจ I love the flowers. I love the daffo- dils. E×pand 1. ใหน กั เรียนรวมกันสรปุ สาระสาํ คัญเกย่ี วกบั 3. การบรรเลงเคร่อื งดนตรสี ากล ลงกระดาษ รายงาน นาํ สง ครผู สู อน 2. ใหน ักเรียนฝกการขับรองเพลงสากล I love the camp -fire when the light are low ตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง โดยเลอื ก 4. จากเพลง Lula Lula เพลง She'll be Coming Round the Montain เพลง Planting Rice boom -di -a -la boom -di -a boom -di -a -la- ha -ha เพลง Turkey in the Straw และเพลง I Love the Compfifi re ฝกปฏบิ ตั ิจนเกิดความชํานาญ จากน้ันออกมาขับรอ งเพลงสากลใหเ พือ่ นฟง หนาช้ันเรยี นโดยมคี รูเปนผูคอยช้แี นะ การฝึกปฏิบตั ิ หรอื การเล่นดนตรี ควรเรมิ่ ต้นดว้ ยการรจู้ กั ใชเ้ ครื่องกระทบบรรเลงส่วนจังหวะ ความถกู ตอ ง ใหแ้ ม่นย�าและเทย่ี งตรงกอ่ น เพราะจงั หวะ คือ ชีพจร หรือชวี ติ ของดนตรี ตอ่ จากนนั้ จงึ ฝึกเล่น เดี่ยวเคร่อื งดนตรีที่ใช้บรรเลงท�านองได้ตามโน้ตเพลงทกี่ �าหนด ฝกึ จนกระทง่ั สามารถบรรเลงโนต้ แรกทเ่ี หน็ ไดอ้ ยา่ งทนั ทว่ งท ี แลว้ จงึ นา� เครอื่ งดนตรขี องตนไปบรรเลงประสมวงกบั เครอ่ื งดนตรขี อง ตรวจสอบผล Evaluate นักดนตรีคนอื่นๆ ตามลักษณะของการรวมวง การปฏิบัติเช่นนี้จะท�าให้เราสามารถควบคุม 1. ครูพิจารณาจากการสรุปสาระสาํ คญั เกย่ี วกับ เครือ่ งดนตรีของตนไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ การบรรเลงเครือ่ งดนตรสี ากลของนกั เรยี น 2. ครพู ิจารณาจากการฝก ปฏบิ ตั ิการขับรอ ง เพลง Lula Lula เพลง She'll be Coming Round the Montain เพลง Planting Rice 95 เพลง Turkey in the Straw และเพลง I love ขอสอบ O-NET the Campfiire ของนักเรียน ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั คา ของตวั โนต เกรด็ แนะครู จาํ นวน 20 ตัว มีคาเทา กับ จาํ นวนก่ตี วั ครูควรอธิบายความรเู พมิ่ เติมเกย่ี วกบั การแบง ระดบั เสียงในการขับรอง 1. 100 ประสานเสียงวา สามารถแบงระดับเสียงของผูขบั รองเปน ก่ีกลุม หรือกแ่ี นวก็ได 2. 90 แตท ถ่ี อื เปน มาตรฐานและเปนท่ีนยิ มกันทั่วไป คอื แบง เปน 4 แนว ดังตอไปน้ี 3. 80 1. แนวโซปราโน (Soprano) เปนระดับเสยี งสงู สดุ ของผูห ญงิ 4. 60 2. แนวอัลโต (Alto) เปนระดับเสียงตา่ํ ของผูหญงิ 3. แนวเทเนอร (Tenor) เปน ระดับเสียงสูงสดุ ของผชู าย วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะโนต ตัวกลม 1 ตัว จะไดโนตตัวขาว 4. แนวเบส (Bass) เปน ระดบั เสยี งตํ่าของผูช าย ซง่ึ จะทําใหน กั เรยี นมีความรู ความเขา ใจเกย่ี วกบั การแบง ระดับเสียง 2 ตัว โนตตวั ขาว 2 ตวั จะไดโ นตตัวดาํ 4 ตวั เมอื่ มีโนต ตวั กลม 20 ตัว ในการขับรอ งประสานเสยี งไดดยี ง่ิ ข้ึน ก็จะเทา กบั โนตตัวดาํ 80 ตวั คมู อื ครู 95

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูชักชวนนักเรียนสนทนาเกย่ี วกบั การประเมนิ ó. ¡ÒûÃÐàÁ¹Ô ¤ÇÒÁÊÒÁÒö·Ò§´¹µÃÕ ความสามารถทางดนตรี จากนั้นครถู ามนกั เรียนวา เมอ่ื ผเู้ รยี นไดฝ้ กึ ขบั รอ้ งและบรรเลงดนตรสี ากลแลว้ หลงั จากการฝกึ ปฏบิ ตั กิ จ็ ะตอ้ งรจู้ กั วธิ กี าร ประเมนิ ตนเองดว้ ยวา่ ความสามารถในการขบั รอ้ ง หรอื เลน่ เครอ่ื งดนตรสี ากลของตนอยู่ในระดบั ใด • เพราะเหตุใดจงึ ตองมีการประเมนิ มขี อ้ ดที ่ีควรสานต่อ หรอื มีข้อบกพร่องใดบ้าง จะไดด้ า� เนนิ การแกไ้ ข ความสามารถทางดนตรี การประเมนิ ความสามารถทางการปฏบิ ตั ดิ นตรสี ากล หมายถงึ การประเมนิ วา่ ผเู้ รยี นสามารถ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ ไดอยา งอสิ ระ) สาํ รวจคน หา Explore ขับร้อง หรือบรรเลงเครื่องดนตรีที่ครูฝึกให้ได้ถูกต้อง ครบถ้วน และเหมาะสมกับระดับชั้นเรียน ตามทค่ี รผู สู้ อนตง้ั เปา้ หมายไว ้ สง่ิ สา� คญั ทตี่ อ้ งประเมนิ มอี ย ู่ ๓ ประการ คอื ความถกู ตอ้ งของจงั หวะ ใหนักเรยี นศึกษา คน ควา หาความรูเพมิ่ เติม ทง้ั จงั หวะหลกั และลกั ษณะจงั หวะ ความแมน่ ยา� ในการปฏบิ ตั ติ ามเครอ่ื งหมายและสญั ลกั ษณต์ า่ งๆ เกีย่ วกับการประเมนิ ความสามารถทางดนตรี รวมทัง้ การควบคุมคุณภาพเสยี งในการขบั ร้องและการบรรเลง โดยสามารถประเมนิ ได้ ดงั นี้ จากแหลงการเรยี นรูตางๆ เชน หองสมดุ โรงเรยี น ๑) ความถกู ตอ้ งในการขบั รอ้ งและบรรเลง การประเมนิ ความถกู ตอ้ งในการขบั รอ้ ง หอ งสมดุ ชมุ ชน อินเทอรเ นต็ เปน ตน และบรรเลง ทง้ั เดยี่ วและรวมวง ต้องประเมนิ ใน ๓ องค์ประกอบ ดงั นี้ ในหัวขอ ทค่ี รกู าํ หนดให ดังตอไปนี้ ๑.๑) การควบคุมการดา� เนนิ จงั หวะ คือ ประเมนิ วา่ นักรอ้ งและนกั ดนตรีสามารถ ควบคุมการด�าเนินจังหวะได้ดีมากน้อยเพียงใด สามารถประเมินได้จากการขับร้องและบรรเลงว่า 1. ความถกู ตองในการขบั รอ งและบรรเลง มีความสม�่าเสมอ ถูกต้อง และเท่ียงตรงกับจังหวะหลักท่ีเครื่องหมายก�าหนดจังหวะ (Meter) 2. ความแมนยาํ ในการอานเครอ่ื งหมาย อกาา� หจปนรดะจเดุมเินนไน้ ดจ้จงั าหกวกะแารลใะชจ้เา� คนรวื่อนงเจคับาะจจังงัหหววะ1ะ ต(Mอ่ หeอ้trงoไnวoไ้ ดmห้ eร)อื ไเมป ่็นแเลคะรดื่อมี งาชก่วนยอ้ ตยรเวพจยี สงอใดบ กน็ไอดก้ จทาก้ังนนี้ ี้ นกั ดนตรีทุกคนจะต้องฝึกการอ่านโนต้ ให้ถกู ต้องเสียก่อน จึงจะสามารถเขา้ จงั หวะแรกได้ และสญั ลักษณ ๑.๒) การสวมจังหวะหน้าทับ (Rhythms) หรือเรียกตามแบบดนตรีสากลว่า 3. การควบคมุ คณุ ภาพเสียงในการขับรอง และบรรเลง อธบิ ายความรู Explain “ลักษณะจงั หวะ” คือ การประเมินวา่ นักร้อง หรือนักดนตรสี ามารถขบั รอ้ ง หรือบรรเลงสวมจงั หวะ ใหนักเรยี นรว มกันอภปิ รายเก่ยี วกบั การประเมิน หนา้ ทบั ไดถ้ กู ตอ้ งและทนั ทว่ งทมี ากนอ้ ยเพยี งใด กลา่ วคอื นกั ดนตรตี อ้ งสามารถควบคมุ การขบั รอ้ ง ความสามารถทางดนตรี ในหัวขอความถกู ตอง หรอื บรรเลงให้ไดจ้ งั หวะคงทต่ี ามจังหวะหลกั และต้องจบั ทางใหไ้ ดว้ า่ จังหวะหน้าทบั หรอื ลักษณะ ในการขบั รองและบรรเลงตามท่ีไดศ กึ ษามา จงั หวะนนั้ ๆ ยดื หรอื ซอยออกมาจากจงั หวะหลกั อยา่ งไร จากนน้ั ครถู ามนักเรียนวา ๑.๓) ในการขบั รอ้ ง หรอื บรรเลงไดท้ นั กบั อตั ราความเรว็ (Tempo2) ของการดา� เนนิ จังหวะ ทัง้ จังหวะหลกั และจงั หวะหนา้ ทับ โดยพิจารณาวา่ นกั รอ้ งและนักดนตรสี ามารถปฏบิ ตั ไิ ด้ดี • การประเมนิ ความถกู ตองในการขบั รอง มากน้อยเพียงใด และบรรเลงจะตอ งประเมนิ จากองคป ระกอบใด ๒) ความแม่นย�าในการอ่านเครื่องหมายและสัญลักษณ คือ การประเมินความ (แนวตอบ ประเมินจากการควบคุมการดําเนิน แม่นย�าในการอ่านเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ ท่ีบันทึกไว้ในแผ่นโน้ตเพลง เครื่องหมาย จังหวะ การสวมจงั หวะหนาทบั และในการ และสัญลกั ษณ์สา� คญั ของดนตรีสากล นอกจากบรรทัด ๕ เสน้ โน้ตสากล เคร่ืองหมายพักเสยี ง ขบั รอ ง หรอื บรรเลงไดทันกบั อตั ราความเร็ว) เครื่องหมายก�ากับจังหวะ และเคร่ืองหมายแปลงเสียงท่ีผู้เรียนควรทราบ เพราะเป็นพ้ืนฐานของ 96 ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การประเมนิ ความถูกตองในการขับรอ งและบรรเลงตองประเมินในหลาย นักเรยี นควรรู องคประกอบ ยกเวน ขอใด 1. การสวมจังหวะหนาทับ 1 เครือ่ งจับจงั หวะ เครื่องมอื ท่ีมกี ลไกในการใหเสยี งบอกจังหวะทเี่ ท่ยี งตรง 2. การควบคมุ การดําเนินจังหวะ สามารถปรับระดับความเร็วไดตามตองการ ประดษิ ฐข ้ึนโดยชาวเยอรมนั 3. การขับรอง หรือบรรเลงไดอ ยางไพเราะ ช่ือจอหน แมลเซล (John Maelzel) ซงึ่ เครอื่ งจับจังหวะที่พบเหน็ กนั บอ ยคร้งั 4. การขับรอ ง หรอื บรรเลงไดท นั กับอัตราความเรว็ ของการดาํ เนนิ จงั หวะ คือ แบบเขม็ สามารถปรับความเร็วในการนบั ไดโดยการเลือ่ นหลักที่ติดอยกู ับเขม็ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะการประเมนิ ความถูกตอ ง 2 Tempo (เทมโป) หมายถึง ความเรว็ ในการเลน เครอื่ งดนตรี เปนองคประกอบ ในการขับรองและบรรเลง จะประเมนิ จากการควบคุมการดาํ เนินจงั หวะ สําคัญของการประพันธง านดนตรี ซง่ึ มีผลตอ อารมณแ ละความยากงายในการเลน การสวมจังหวะหนาทบั และการขับรอ ง หรือบรรเลงไดท ันกับอัตราความเรว็ ผลงานช้ินนน้ั ๆ งานประพันธดนตรแี ตละชนิ้ จะระบุเทมโปไวท่ตี อนตน ในปจ จุบัน ไมไ ดป ระเมินจากการขบั รอ ง หรือบรรเลงไดอยา งไพเราะเพียงอยางเดยี ว จะระบุเปน (คร้ังตอ วนิ าที) หมายความวา โนต แตล ะตัวจะตองถกู เลนดวย จาํ นวนกค่ี รง้ั ตอ นาที หากงานประพันธช น้ิ ใดมีคา เทมโปสงู โนตตัวนัน้ กจ็ ะตองเลน ดว ยความเรว็ สูงขน้ึ จาํ นวนคร้งั มากข้ึนในหนึ่งนาที 96 คูมอื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขาใา จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู การเรียนดนตรีสากลแล้ว ยังมีเคร่ืองหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ต้องเรียนรู้และฝึกปฏิบัติตาม ใหนกั เรยี นรวมกนั อภิปรายเก่ยี วกบั การ อกี มากมาย เชน่ เคร่ืองหมายประจา� กญุ แจเสียงท่ีมีอย ู่ ๒ ชนิด คอื เครื่องหมายจีเคลฟ (G Clef) ประเมนิ ความสามารถทางดนตรี ในหวั ขอ ความ แสดงให้รู้ว่าโน้ตแผ่นน้ันเป็นโน้ตส�าหรับเคร่ืองดนตรีเสียงแหลม เช่น ไวโอลิน (Violin) กีตาร ์ แมนยาํ ในการอา นเครื่องหมายและสัญลักษณ และ (Guitar) หรอื นกั ร้องเสยี งแหลม เปน็ ตน้ เครื่องหมายเอฟเคลฟ (F Clef) ทีแ่ สดงให้รวู้ า่ เป็นโนต้ การควบคมุ คณุ ภาพเสียงในการขับรองและบรรเลง นสา�ักหรอ้รับงเเสคียรง่ือทงดุ้มนตตา�่ รเเี ปสน็ยี งตเน้ บ สเค เรชื่อน่งห กมีตาายรปเ์ รบะสจ า� (จBังaหsวsะ 1 G(Tuiimtaer) Sดigบั nเaบtลิurเeบ)ส เช(Dน่ o 42u b, le43 ,B44a sเsป)็น ตห้นรือ ตามทีไ่ ดศ กึ ษามา จากนั้นครูถามนักเรียนวา ท้ังน้ี ก่อนการประเมินผู้ประเมินควรอ่านเครื่องหมายและสัญลักษณ์ให้ได้เสียก่อน และต้องปฏบิ ตั ิตามเครอ่ื งหมายและสัญลกั ษณ์อยา่ งเคร่งครดั ขณะฝกึ ด้วย • การประเมินความสามารถทางดนตรี มคี วามสําคญั อยางไร ๓) การควบคมุ คุณภาพเสียงในการขับรอ้ งและบรรเลง สามารถประเมินได้จาก (แนวตอบ การประเมินความสามารถทาง ดนตรี เปน เครอ่ื งมือที่ชว ยทาํ ใหผูป ระเมิน การขบั รอ้ งและบรรเลงของนกั รอ้ งและนกั ดนตรวี า่ สามารถรกั ษาลกั ษณะเสยี งขบั รอ้ ง หรอื บรรเลง รจู กั คุนเคย เขาใจ และเขา ถงึ ความงาม ให้สม�่าเสมอตลอดบทเพลงได้ดีมากน้อยเพียงใด มีส�าเนียงเพลงเหมาะสมกับสาระและอารมณ์ หรือสุนทรียะของผลงานทางดนตรไี ดอ ยาง ที่ควรจะเป็นของบทเพลงหรือไม่ มีเสียงเพี้ยนปรากฏสอดแทรกออกมาหรือไม่ ซึ่งการท่ีนักร้อง ถูกตอ ง จนสามารถตัดสนิ หรอื ประเมินคา และนกั ดนตรจี ะขบั รอ้ ง หรอื บรรเลงใหไ้ ดเ้ สยี งทมี่ คี ณุ ภาพนนั้ ยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั การฝกึ ฝนอยา่ งถกู วธิ ี ความงามของผลงานทางดนตรีไดอ ยาง และความขยันหมนั่ เพียร ฝกึ ซอ้ มปฏบิ ัติอยเู่ ป็นประจา� ดังท่ีไดอ้ ธิบายไว้แลว้ ในขา้ งต้น เทยี่ งตรง) • การประเมนิ ความสามารถทางดนตรี ในดานการแสดงออกนกั เรยี นจะตอง ยึดหลกั การใดมาใชใ นการประเมิน (แนวตอบ ในการประเมินดานการแสดงออก ใหป ระเมนิ โดยถามความคดิ เหน็ ของตนเอง ตอบตนเอง และใหร ะดับคะแนนดวย คําถาม ดงั ตอไปน้ี 1. ผขู ับรอ งสามารถใชคุณภาพเสยี งเปลง ถอ ยคําภาษาของบทรองดว ยลลี าทา ทาง ที่เหมาะสมกบั อารมณของบทเพลงไดดี มากนอยเพยี งใด 2. ผูขับรองสามารถขับรองไดผสมกลมกลืน กบั วงดนตรี (ถา ม)ี ไดด มี ากนอ ยเพยี งใด) ขยายความเขา ใจ E×pand 9๗ ใหนักเรยี นรวมกันสรปุ สาระสําคญั เกยี่ วกบั การประเมินความสามารถทางดนตรี ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครผู ูสอน กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรียนควรรู ใหน กั เรยี นสัมภาษณเพ่ือนรว มชน้ั เรียนเก่ยี วกบั การประเมิน 1 เคร่อื งหมายประจาํ จังหวะ เครื่องหมายท่ีใชส าํ หรับกําหนดอตั ราจงั หวะ ความสามารถทางดนตรี เขยี นสรปุ สาระสําคญั ลงกระดาษรายงาน ของเพลง โดยใชตัวเลขเปน เคร่อื งหมายเพื่อบอกคา ของจังหวะตา งๆ จะบันทกึ ไว นําสงครผู ูส อน ตอนหนาของบทเพลง เปน เลข 2 ตวั คือ มีตวั บนและตวั ลาง เลขตวั บน หมายถึง อัตราจังหวะใน 1 หอ งดนตรี วาจะมีทงั้ ตวั โนต หรือตวั หยดุ เมอ่ื รวมกันแลวจะเทา กบั กจิ กรรมทา ทาย ตัวเลขตัวนพ้ี อดตี อ 1 หอ ง สว นเลขตวั ลา ง หมายถึง คาของตวั โนต ทก่ี าํ หนดวา ตัวโนตตวั ใดจะมีคา เทา กบั 1 จงั หวะ คอื นับเปน 1 จงั หวะ รวมทัง้ ตัวหยดุ ประจํา ใหน ักเรียนเลือกฟง เพลงตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง ตัวโนตตวั นั้นดว ย จากน้ันนําเกณฑการประเมินความสามารถทางดนตรีมาใชในการประเมิน วาบทเพลงนม้ี ีความเหมาะสมหรือไม อยา งไร ลงกระดาษรายงาน โดยมีการกําหนดดงั ตอ ไปน้ี โนต ตวั กลม แทนดวยตวั เลข 1 โนตตวั ขาว นําสงครผู ูส อน แทนดวยตวั เลข 2 โนต ตวั ดํา แทนดว ยตวั เลข 4 โนต ตวั เขบต็ 1 ช้ัน แทนดว ย ตัวเลข 8 โนต ตัวเขบ็ต 2 ชนั้ แทนดว ยตวั เลข 16 โนต ตวั เขบต็ 3 ช้นั แทนดว ย ตวั เลข 32 โนตตัวเขบต็ 4 ช้ัน แทนดวยตวั เลข 64 ตัวโนต อ่ืนๆ กจ็ ะมกี ารบวกตัวเลข ข้ึนไปทลี ะเทาตวั ตามลําดบั คูม อื ครู 97

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครพู ิจารณาจากการสรุปสาระสําคัญเกย่ี วกับ กิจกรรม ศิลปปฏบิ ตั ิ ๕.๑ การประเมินความสามารถทางดนตรีของนักเรยี น หลักฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรมท่ี ๑ ให้นักเรียนเลือกเพลงไทยสากลท่ีเป็นเพลงร้องท่ีนักเรียนส่วนใหญ่ชอบมา ๑ เพลง กจิ กรรมท่ี ๒ และฝึกขับร้องตามตน้ แบบจนคล่อง จากนัน้ จงึ ไปทดสอบกบั ครูผสู้ อนเพือ่ ให้คะแนน 1. ผลการสรปุ สาระสาํ คัญเกย่ี วกบั ใหน้ กั เรยี นจบั คกู่ นั เลอื กเครอ่ื งดนตรตี ามความถนดั มาคลู่ ะ ๑ ประเภท พรอ้ มทง้ั เลอื ก การขบั รองเพลงสากล กจิ กรรมท่ี ๓ เพลง เพอื่ ทา� การซ้อมเลน่ ดนตรี ฝึกซ้อมเป็นคู่จนช�านาญ จากนัน้ จึงไปทดสอบกบั ครูผสู้ อน 2. ผลการปฏิบตั ิการขับรองเพลงสากล ให้นักเรยี นตอบค�าถามตอ่ ไปน�้ 3. ผลการสรุปสาระสาํ คัญเกีย่ วกับการบรรเลง ๑. การฝึกขับรอ้ งเพลงสากล หรือเพลงไทยสากลมแี นวทางการฝกึ อยา่ งไร ๒. การเรยี นรเู้ กย่ี วกบั จงั หวะและทา� นองเพลงมคี วามสา� คญั อยา่ งไรตอ่ การขบั รอ้ งเพลง เคร่ืองดนตรสี ากล ๓. ก ารเล่นรวมวงของดนตรีสากล แบ่งออกเป็นก่ีวิธีและแต่ละวิธีมีความแตกต่าง 4. ผลการฝกปฏบิ ัติการขบั รองเพลง Lula Lula หรือเหมือนกันอยา่ งไร จงเปรียบเทยี บใหช้ ัดเจน เพลง She'll be Coming Round the Montain เพลง Planting Rice เพลง Turkey in the Straw การฝกทักษะทางดานดนตรีสากลที่พัฒนาตอเนื่องมาจากความรูพ้ืนฐานเดิม และเพลง I Love the Compfififi re 5. ผลการสรปุ สาระสาํ คญั เก่ยี วกับการประเมนิ จะประกอบไปดว ยการเรยี นรเู กย่ี วกบั เทคนคิ การรอ งและบรรเลงเดยี่ ว และเทคนคิ การ- ความสามารถทางดนตรี รอ งและบรรเลงเปน วง ซงึ่ ในการศกึ ษาจะตอ งเรยี นรทู ง้ั ภาคทฤษฎแี ละเนน การฝก ปฏบิ ตั ิ ท่ีตองดําเนินการอยางสม่ําเสมอ ตามประเภทของการรองและเลนเคร่ืองดนตรีท่ีเรา มีความถนัด มีความสนใจ ขณะเดียวกันเม่ือฝกปฏิบัติแลวก็ตองสามารถท่ีจะประเมิน พัฒนาการของทักษะทางดานดนตรีของตัวเราเองไดดวย โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับ ความถูกตองในการบรรเลงเคร่ืองดนตรี ท้ังบรรเลงเดี่ยวและบรรเลงรวมวงกับผูอ่ืน ความแมน ยาํ ในการอา นเครอื่ งหมายและสญั ลกั ษณโ นต สากลไดถ กู ตอ ง การบรรเลงจะได ไมผ ดิ เพยี้ น รวมทงั้ ตอ งรจู กั ควบคมุ คณุ ภาพของเสยี ง ไมว า จะเปน การรอ ง หรอื บรรเลง ก็ตาม อันเปนแนวทางท่ีจะทําใหการศึกษาดนตรีสากลของผูเรียนเกิดประสิทธิภาพ มากท่สี ดุ 98 แนวตอบ กจิ กรรมศลิ ปปฏบิ ัติ 5.1 กิจกรรมท่ี 3 1. มีหลกั ในการฝก 4 วิธี คอื ฝกความพรอ ม ฝก ขบั รองเลยี นเสียงตนแบบ ฝกความจาํ ฝก ขับรองทาํ นองและเนอ้ื รอ ง 2. ทําใหส ามารถขบั รองเพลงไดตรงตามจงั หวะเพลง ซ่งึ จะทําใหบ ทเพลงมีความไพเราะมากยิง่ ข้นึ 3. มอี ยู 4 วิธี ซงึ่ มีความแตกตา งกนั ดังตอไปน้ี 1) การเลนรวมวงวิธที ี่ 1 คอื การใชเ คร่อื งดนตรที ่ตี นถนดั เลนทํานอง หรอื ขบั รองประสานเสียงแบบ 2 แนว อยางงายไปตามโนต โดยใชเ บส กลอง และกตี ารด ําเนิน คอรด ประกอบจงั หวะ 2) การเลน รวมวงวิธที ี่ 2 คือ การใชเครื่องดนตรีทีต่ นถนัดเลนทาํ นองและขบั รองไปตามโนต โดยใชเ บส กลอง และกตี ารด ําเนินคอรด ประกอบจงั หวะ 3) การเลนรวมวงวธิ ีที่ 3 คือ การใชเ ครอ่ื งดนตรที ตี่ นถนดั เลน ทาํ นองและขบั รอ งแบบซอ นทาํ นองไปตามตวั โนต โดยใชเ บส กลอง และกตี ารด าํ เนนิ คอรด ประกอบจงั หวะ 5) การเลน รวมวงวธิ ีที่ 4 คอื การใชเครอ่ื งดนตรที ่ตี นถนัดเลนทาํ นอง หรอื ขบั รอ งแบบวนไปตามโนต โดยใชเบส กลอง และกตี ารดําเนนิ คอรด ประกอบจงั หวะ 4) การเลนรวมวงวธิ ีท่ี 5 คือ การใชเครือ่ งเลน ดนตรีที่ตนถนัดเลน ทํานองและขับรองตามโนต เพลงทีผ่ ูเ ขยี นไดแ ยกโนตไวเ ปน กลางๆ โดยใชเ บส กลอง กีตาร ดําเนินคอรด ประกอบจังหวะ 98 คูมอื ครู

กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู ระบุงานอาชพี ตางๆ ท่เี ก่ียวของกบั ดนตรี และบทบาทของดนตรใี นธรุ กิจบันเทิง สมรรถนะของผูเรยี น 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค 1. มีวนิ ยั 2. ใฝเ รียนรู 3. มงุ ม่ันในการทํางาน öหนวยท่ี กระตนุ ความสนใจ Engage ดนตรีกบั อาชีพทางดานดนตรี ครูนําภาพนกั ดนตรี นักรอ ง นกั เรยี บเรียงเพลง นักเรยี บเรยี งเสียงประสาน นกั ประพันธเพลง ตัวชว้ี ดั ปจจบุ นั มอี าชพี ทส่ี งั คมใหค วามสนใจ นักอาํ นวยเพลง ครดู นตรี นกั วิชาการดนตรี มาใหนักเรยี นดู จากนั้นครถู ามนักเรยี นวา ■ ระบงุ านอาชพี ต่างๆ ที่เกย่ี วขอ้ งกบั ดนตรแี ละบทบาทของดนตรใี น ธรุ กิจบันเทงิ (ศ ๒.๑ ม.๒/๗) และใหก ารยอมรับมากมาย หนง่ึ ในน้นั คือ • นักเรยี นรูจ กั บคุ คลในภาพเหลา น้ีบา งหรอื ไม ถา รจู กั นกั เรยี นรจู ักใคร สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง อาชีพที่เกี่ยวของกับดนตรี ซึ่งเปนอาชีพที่ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ สรา งความสขุ ใหก บั สงั คม เปน อาชพี ทมี่ เี กยี รติ ไดอยางอสิ ระ) ■ อาชีพทางดา้ นดนตรี และผูคนใหการยอมรับ รวมท้ังมีเด็กรุนใหม ■ บทบาทของดนตรีในธรุ กจิ บันเทงิ ใฝฝ น ทจี่ ะมาทาํ อาชพี นเี้ ปน จาํ นวนมาก ในปจ จบุ นั • บุคคลเหลา นม้ี คี วามสาํ คญั ตอ วงการดนตรี อยางไร มีผูท่ีตองการบริโภคผลงานดนตรีที่มีคุณภาพ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ และมคี วามไพเราะเปน จาํ นวนมาก จงึ ทาํ ใหด นตรี ไดอยา งอิสระ) เขา ไปมบี ทบาทสาํ คญั อยา งมากในธรุ กจิ บนั เทงิ ตา งๆ หากนักดนตรีท่ีศึกษาและฝกฝมือจนมีความรู • ถาในวงการดนตรขี าดบคุ คลเหลา น้ไี ป ความสามารถดานดนตรีเปนอยางดี ก็จะมีโอกาสใน จะกอใหเกิดส่ิงใด การเลือกประกอบอาชีพทางดานดนตรีท่ีสรางรายได (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไมนอยไปกวาอาชีพอ่ืนๆ ในสงั คมได ไดอ ยางอสิ ระ) เกร็ดแนะครู การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรูนี้ ครูควรนําซีดี หรือดีวีดีการขับรองเพลง ของศลิ ปน ในปจ จบุ นั ทไ่ี ดร บั ความนยิ มมาเปด ใหน กั เรยี นชม พรอ มทง้ั อธบิ ายเพมิ่ เตมิ วาในปจจบุ นั บทเพลงเขา มามีสวนเกีย่ วขอ งในการดําเนนิ ชีวิตประจาํ วนั ของมนษุ ย เปน อยา งมาก มนษุ ยฟง เพลงเพอื่ สรางความสขุ สนกุ สนาน เพลิดเพลินใจ ลดความเจ็บปวด ผอนคลายความตงึ เครียด และลดความกงั วล ดงั นน้ั เราจึงเห็นวา มบี รรดาเหลาศิลปนเกดิ ขึ้นอยา งมากมายในปจจุบนั รวมถงึ อาชพี ทีเ่ กย่ี วของกับ ดนตรี เชน นกั ดนตรี นกั รอง นกั เรียบเรียงเพลง นกั เรียบเรยี งเสียงประสาน นกั อํานวยเพลง ครูดนตรี นกั วิชาการดนตรี เปนตน เพราะไดร ับการยอมรบั จากสังคมวา เปน อาชีพท่มี ีเกยี รตอิ าชีพหนงึ่ ทมี่ บี คุ คลสนใจและใฝฝนท่ีจะประกอบ อาชพี เหลาน้ี และเมือ่ มคี นเสพงานดนตรีมากขน้ึ จงึ ทําใหเกดิ ธรุ กจิ บันเทิงทางดนตรี มากมาย เพอื่ ตอบสนองความตอ งการของผบู รโิ ภคใหไ ดม ากยงิ่ ขน้ึ และเปน การรองรบั โอกาสในการสรางงานทางดานดนตรีใหก ับบุคคลท่สี นใจอีกดว ย คมู ือครู 99

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครนู าํ ภาพศลิ ปน ทไ่ี ดร บั ความนยิ มในปจ จบุ นั มา ๑. อาชีพดนตรี ใหน ักเรียนดู เชน แสตมป อภวิ ชั ร สงิ โต นาํ โชค พฒั นาการของดนตรเี รมิ่ ตน้ จากดนตรีในชมุ ชน หรอื วฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ กา้ วไปสดู่ นตรที ผ่ี คู้ นใน ฟล ม บงกช เปน ตน จากนัน้ ครถู ามนักเรยี นวา สงั คมสนใจเสพผลงานดนตรกี นั เพอ่ื ความสขุ เพอื่ ความบนั เทงิ ใจ จนเกดิ เปน็ อาชพี ทางดา้ นดนตรขี นึ้ และมีความหลากหลายตามลักษณะของการประกอบกจิ กรรมในอาชพี น้ันๆ ซึ่งถือไดว้ า่ อาชีพทาง • นกั เรียนรจู กั ศิลปนในภาพเหลาน้หี รอื ไม ด้านดนตรีเปน็ อาชพี ทส่ี ร้างความสุขให้กบั สังคมและเป็นทยี่ อมรับของผคู้ นอีกอาชพี หนึ่ง ถา รูจกั ศิลปนเหลา นีไ้ ดส รางสรรคผ ลงาน เพลงใดบาง ในทน่ี ้ี จะยกตวั อยา่ งอาชพี ทางดา้ นดนตรที ม่ี บี ทบาทในสงั คมไทยและเปน็ ทรี่ จู้ กั โดยทว่ั ไปมา (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ อธิบายให้ผู้เรียนเขา้ ใจพอสงั เขป ดงั นี้ ไดอยางอิสระ) สาํ รวจคน หา Explore ๑.๑ นักดนตรี นักดนตรี เป็นอาชีพที่แสดงความสามารถทางด้านทักษะท่ีดีเย่ียมของศิลปิน ซึ่งผู้ท่ีจะก้าว ใหนักเรยี นแบง กลุมออกเปน 7 กลมุ ใหนกั เรียน เขา้ สวู่ งการนกั ดนตรอี าชพี ตอ้ งผา่ นการฝก ฝนตนเองอยา่ งหนกั และตอ่ เนอ่ื ง เพอื่ พฒั นาเทคนคิ วธิ ี ศกึ ษา คน ควา หาความรเู พมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั อาชพี ดนตรี บรรเลงของตนใหม้ คี วามช�านาญ สามารถอ่านโน้ตเพลงได้อย่างคลอ่ งแคลว่ เพ่อื ส่ือความไพเราะ จากแหลงการเรียนรูตางๆ เชน หองสมุดโรงเรียน ของบทเพลงตามทีผ่ ปู้ ระพันธเ์ พลงไดส้ ร้างสรรค์ไว้ ซ่ึงนักดนตรีแตล่ ะคนอาจตอ้ งผา่ นการฝกฝนท่ี หองสมุดชมุ ชน อินเทอรเน็ต เปนตน ในหวั ขอที่ครู แตกต่างกัน โดยบางรายฝกจากครู หรอื นักดนตรที มี่ ีประสบการณ์ บางรายเรียนดนตรีจากสถาบนั กําหนดให ดังตอ ไปนี้ กลุม ที่ 1 นักดนตรี กลุม ท่ี 2 การศึกษาดนตรีเอกชนท่ีเปิดสอนทั่วไป บางรายเรียนดนตรีตามระบบในสถาบันการศึกษา ซึ่งมี นักรอ ง กลุมที่ 3 นักเรียบเรียงเพลงและเรียบเรียง ต้ังแต่ระดับมัธยมศึกษาจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เช่น โรงเรียนมัธยมสังคีต วิทยาลัยนาฏศิลป เสยี งประสาน กลุมท่ี 4 นักประพนั ธเพลง มหาวิทยาลัยทเี่ ปิดสอนหลักสตู รวิชาเอกดนตรี เชน่ คณะดุรยิ างคศาสตร์ วทิ ยาลัยดุริยางคศิลป กลมุ ท่ี 5 นักอาํ นวยเพลง กลมุ ท่ี 6 ครูดนตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ เป็นตน้ กลุมท่ี 7 นักวชิ าการดนตรี นักดนตรีอาชีพจ�านวนมากประสบความ- อธบิ ายความรู Explain ส�าเร็จและมีรายได้ค่าตอบแทนค่อนข้างสูง ซ่ึงนักดนตรีอาชีพท่ีประสบความส�าเร็จหลาย ต่อหลายท่าน ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 1 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ให้เป็นนักวัฒนธรรมดีเด่น บางท่านได้รับการ เพมิ่ เติมเกีย่ วกับอาชพี ดนตรี สง ตวั แทน 2 - 3 คน ยกยอ่ งใหเ้ ปน็ ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ เพราะทา่ นเหลา่ น้ี ออกมาอธิบายความรใู นหัวขอ นักดนตรี ตามทไ่ี ด ไดส้ รา้ งสรรคผ์ ลงานทเ่ี กย่ี วกบั ดนตรไี วม้ ากมาย ศึกษามาหนาชัน้ เรยี น จากนนั้ ครถู ามนักเรยี นวา ลม้นวนตรแี ลต้รวาแโตม่ททรแงจคง้ ุณคคล่า้ายดส้วที ยอก1งันสทง้ัง่าสอิ้นารัมเชภ่นีร2 3 รวงทอง ทองล่นั ทม สมเศยี ร พานทอง (ชาย • บุคคลท่ปี ระกอบอาชีพนักดนตรีจะตอง เมืองสิงห)์ เป็นต้น ปฏบิ ัตงิ านทมี่ ลี กั ษณะอยา งไร ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ เวชสภุ าพร (โต) นกั ดนตรอี าชพี ทม่ี คี วามสามารถ (แนวตอบ เปน ผปู ฏบิ ตั เิ ครอ่ื งดนตรตี ง้ั แต 1 เครอื่ ง ทางดา้ นการเลน่ เปยี โน ปจั จบุ นั เปน็ นกั รอ้ งและนกั ดนตรี ข้นึ ไป โดยไมค าํ นงึ วา เปนผูแ สดงเดยี่ ว ผเู ลน ทม่ี ชี อ่ื เสียงมากคนหนึง่ ของประเทศไทย แนวคลอ หรอื เปน นกั ดนตรปี ระจาํ วงดนตรใี ดๆ ฝก ฝนและหมนั่ ซอมตามบทเพลง รวู ธิ กี าร ๑00 เทยี บเสยี งใหถ กู ตอ งตามระดบั เสยี งของเครอ่ื ง- ดนตรีและเลนดนตรดี วยการอา นโนต เพลง) นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใด ไมใ ช คุณสมบตั ขิ องผปู ระกอบอาชพี ดนตรที ดี่ ี 1 แจง คลา ยสที อง ศลิ ปนผูมีความเช่ียวชาญในการขับรอ งเพลงไทย 1. มีความคิดริเริม่ สรา งสรรค และการขับเสภา จนไดรบั สมญาวา “ชางขับคาํ หอม” ไดรับการเชดิ ชเู กยี รตใิ หเ ปน 2. มีความขยันหมัน่ เพียร อดทน ศิลปน แหงชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง (คตี ศิลป) ประจําป พ.ศ. 2538 3. กลาแสดงออก มัน่ ใจในตัวเองสูง 2 สงา อารัมภรี นกั เขยี นและนักแตง ทํานองเพลงอมตะหลายเพลง ผลงาน 4. มมี นษุ ยสัมพนั ธดี คลอ งแคลว ทนั สมัย ทีม่ ีชอ่ื เสยี งท่ีสุดคือ “นาํ้ ตาแสงไต” และ “เรอื นแพ” ไดร ับการยกยอ งเชิดชเู กียรติ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะผูท่ีจะประกอบอาชีพดนตรีท่ีดีไดนน้ั ใหเ ปนศลิ ปน แหง ชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล) ประจําป พ.ศ 2531 จะตองเปนบุคคลท่ียอมรับความคิดเห็นของผูอื่นในการนํามาใชเพ่ือปรับปรุง 3 ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ เวชสภุ าพร (โต) เกดิ เมอื่ วนั ที่ 20 มกราคม ป พ.ศ. 2527 เปน บตุ รชาย ผลงานใหม ีคุณภาพทีด่ ที ี่สุด ไมค วรมีความมัน่ ใจในตนเองมากเกินไป คนโตของนคร เวชสุภาพร หัวหนาวงดนตรแี กรนดเอ็กซ เปนผูทีม่ ีความสามารถ เพราะอาจทาํ ใหการพัฒนาผลงานของตนเองทาํ ไดยาก หรอื ตองใชเวลานาน ในการเลนเปยโนเปนอยางมาก ผลงานเพลงชิน้ แรก คือ อลั บัมเพลงบรรเลง “Tor Saksit Vejsupaporn Play Boyd Kosiyabong's Song Book” ผลงานเพลง ประกอบละคร เชน ดาวหลงฟา ภผู าสีเงิน ใยเสนหา พระจันทรแสนกล พอตัวจริงของแท เปน ตน ผลงานดานโปรดิวซเพลง “บทเพลงในสายลม” และ “เสยี งในใจ” อัลบมั Dangerous Tata ของ อมิตา ทาทา ยัง เปน ตน 100 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑.๒ นักร้อง ใหนักเรยี นกลมุ ท่ี 2 - 3 ทไ่ี ดศึกษา คน ควา นกั รอ้ ง เปน็ อาชพี ทางดา้ นดนตรที สี่ รา้ งชอ่ื เสยี งใหแ้ กศ่ ลิ ปนิ อยา่ งมาก ในบางรายเมอื่ มชี อ่ื เสยี ง หาความรูเพ่ิมเติมเกยี่ วกบั อาชีพดนตรี สง ตวั แทน ทางด้านการขบั ร้องแลว้ ยงั มโี อกาสเข้าสูว่ งการละครและภาพยนตร์อกี ดว้ ย ซงึ่ ช่วยเสริมใหศ้ ิลปิน กลุมละ 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรูในหวั ขอ เหล่าน้ีมีรายได้จากการน�าเสนอผลงานการ นกั รอ ง นักเรยี บเรียงเพลงและนักเรียบเรียงเสยี ง- ขบั รอ้ งมากยง่ิ ขน้ึ บางรายกลายเปน็ ขวญั ใจของ ประสาน ตามที่ไดศ กึ ษามาหนา ชนั้ เรียน จากนั้น ประชาชน มีผู้คนติดตามผลงานเพลงมากมาย ครูถามนกั เรยี นวา นกั รอ้ งอาชพี ทม่ี ชี อื่ เสยี ง เชน่ ธงไชย แมคอนิ ไตย์ (เบิร์ด) สุกฤษฎ์ิ ว(เิเบศนษ)แกพ้วรพ(บรี้ รณเดอชะุนสตหาชร1ัย์) • คําวา “นักรอ ง” มคี วามหมายวา อยา งไร ชลาทิศ ตันติวุฒิ (แนวตอบ นักรอง คอื บคุ คลท่ีรอ งเพลง (เจนนิเฟอร์ ค้ิม) เป็นต้น และนักร้องอาชีพ เปน อาชพี นกั รอ งท่ีดีจะมนี ้ําเสยี งที่ไพเราะ หลายท่านมีผลงานการขับร้องเป็นท่ีประจักษ์ อนั จะสรา งความประทบั ใจใหผ ฟู ง เพลง จนไดร้ บั การยกย่องใหเ้ ปน็ ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ เชน่ เกิดความสขุ และความเพลดิ เพลิน) ชนิ กรไกรลาศศลิ ปนิ แหง่ ชาติสาขาศลิ ปะการแสดง (นกั รอ้ งเพลงลกู ทงุ่ ) ประจา� ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ชรนิ ทร์ พรพรรณ ชุนหชยั (เจนนเิ ฟอร์ ค้ิม) เป็นนกั ร้องอาชพี ที่มี • ถานักเรียนไดเปนนักรอง นกั เรยี นจะมวี ธิ ี นันทนาคร ศิลปินเห่งชาติ สาขาการแสดง นา�้ เสยี งโดดเดน่ และขบั รอ้ งเพลงไดห้ ลายแนว ปฏิบตั ติ นใหเ ปน นักรองทดี่ ีไดอ ยางไร (แนวตอบ ออกเสยี งใหเ ตม็ เสยี งตรงตามจงั หวะ (เพลงไทยสากล - ขบั ร้อง) ประจา� ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ เปน็ ต้น และทํานองของเพลง ซงึ่ จะตอ งมคี วาม ๑.๓ นักเรยี บเรยี งเพลงและนักเรียบเรยี งเสียงประสาน ตอ เนื่องสมาํ่ เสมอ ไมข าดชวง เปลง เสียง นกั เรยี บเรยี งเพลงและนกั เรยี บเรยี งเสยี งประสาน เปน็ อาชพี หนง่ึ ทม่ี คี วามสา� คญั ในวงการดนตรี ใหถ ูกตองตามอกั ขรวธิ ี โดยออกเสยี ง โดยเฉพาะทางด้านดนตรีแนวตะวันตก ผู้ประกอบอาชีพน้ีนอกจากจะต้องเป็นนักดนตรีที่มีทักษะ พยญั ชนะ วรรณยุกตใ หชดั เจนตามหลัก ดา้ นการปฏบิ ตั ดิ นตรอี ย่างดแี ลว้ ยงั ต้องมคี วาม การออกเสียง โดยเฉพาะคาํ ควบกล้าํ รอบรู้ทางด้านทฤษฎีดนตรีด้วย โดยจะต้อง ทา ทางในการรอ งเพลงมีความเหมาะสม มีความสามารถในการแยกแยะแนวดนตรี และใสอารมณกบั เพลง) แต่ละประเภท และทา� สกอร์ (Score) เพลงได้ อยา่ งชา� นาญ หนา้ ทหี่ ลกั ของนกั เรยี บเรยี งเพลง • การเรียบเรยี งเสียงประสานทด่ี ีจะประกอบ และนกั เรยี บเรยี งเสยี งประสาน คอื การนา� เพลง ไปดวยสง่ิ ใดบาง มาเรียบเรียงตามองค์ประกอบของดนตรี (แนวตอบ จะประกอบไปดวยทํานอง ใหเ้ หมาะสมกบั การบรรเลงของวงดนตรลี กั ษณะ ความไพเราะ ความกลมกลนื ของเสยี งดนตรี ต่างๆ เช่น วงซมิ โฟนอี อรเ์ คสตรา (Symphony ประสิทธิ์ พยอมยงค์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการ- และทาํ นองทเ่ี ขยี นขน้ึ มาใหม ที่เขา ได Orchestra) วงโยธวาทติ (MilitaryBand) เปน็ ตน้ แสดง (เพลงไทยสากล - เรยี บเรยี งเสยี งประสาน) ประจา� ปี กับคอรดและทาํ นองเดิมของเพลงนน้ั ) พ.ศ. ๒๕๓๒ เป็นเจ้าของบทเพลงท่ีโด่งดังหลายเพลง เช่น เพลงข้าวนอกนา เพลงฆา่ ฉนั ใหต้ ายดีกว่า เป็นต้น • นกั เรียนทราบหรือไมวา ใครเปน บุคคลแรก ทีบ่ กุ เบกิ วิชาการเรยี บเรยี งเสยี งประสาน ๑0๑ แบบ Big Band Jazz ในประเทศไทย (แนวตอบ ศาสตราจารย ดร. แมนรัตน ศรีกรานนท ศิลปนแหงชาติ สาขาศิลปะ การแสดง (ดนตรีสากล) ประจําป พ.ศ. 2535) กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ใหน กั เรยี นหาภาพศิลปนทนี่ ักเรยี นชน่ื ชอบ 1 ทาน พรอมบทเพลงท่ี ครูควรเนนใหเ หน็ วา การเรยี บเรียงเสียงประสาน สามารถเรยี กไดอีกอยา งหนงึ่ สรางความประทับใจใหแ กน ักเรียน 1 เพลง เขียนบรรยายความประทบั ใจ วา “การแยกและเรยี บเรยี งเสยี งประสาน” ซงึ่ จะแบง เปน “การแยก” คอื การนาํ ตวั โนต ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครผู ูสอน จากคอรด ที่ใสล งในทํานองไปใหเ ครื่องดนตรแี ตล ะเครือ่ ง และ “การเรียบเรียงเสยี ง ประสาน” คอื การจดั ใหต วั โนต ทมี่ รี ะดบั เสยี งตา งกนั มาบรรเลงรว มกนั ไดอ ยา งไพเราะ กจิ กรรมทา ทาย กลมกลืน ใหน กั เรยี นรองเพลงของศลิ ปนทน่ี กั เรยี นชืน่ ชอบ 1 ทาน พรอมคดิ นักเรียนควรรู ทา ทางประกอบเพลง จากนั้นออกมานําเสนอผลงานใหเ พือ่ นชม หนาชั้นเรยี น พรอ มกับอธิบายความรูสกึ ประทับใจในตัวศิลปน 1 พรพรรณ ชนุ หชยั หรอื (เจนนิเฟอร คม้ิ ) เปนนักรองชาวไทย เร่ิมเปนทร่ี จู ัก และผลงานเพลง โดยมคี รเู ปนผคู อยชแี้ นะความถูกตอ ง ในวงการเพลง เมือ่ ป พ.ศ. 2545 ในเพลง “คิดถงึ เธอทุกที (ที่อยูค นเดยี ว)” ในอัลบมั ของเศกพล อนุ สาํ ราญ แตง ขนึ้ โดยนมิ่ สฟี า ปจ จบุ นั มผี ลงานทเี่ ปน อลั บมั และผลงานเพลง ประกอบละครอยูห ลายเร่ือง คมู อื ครู 101

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 4 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู นอกจากนี้ หากจะต้องท�างานด้านการแยกเสียงเพื่อใช้ขับร้องประสานเสียง ก็ต้องมีความ เพ่ิมเตมิ เกี่ยวกบั อาชพี ดนตรี สงตวั แทน 2 - 3 คน รเู้ รอ่ื งการจ�าแนกเพื่อเรียบเรียงเสยี งประสานตามแนว ๒ แนว ๓ แนว และ ๔ แนว หรอื ตาม ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอนักประพันธเพลง แนวโครงสร้างเสียงโซปราโน (Soprano) อัลโต (Alto) เทเนอร์ (Tenor) และเบส (Bass) ที่ใช้ ตามทไี่ ดศึกษามาหนา ช้นั เรียน จากนั้นครถู าม ส�าหรับการขับร้องประสานเสียง ซึ่งนักเรียบเรียงเพลงและนักเรียบเรียงเสียงประสานท่ีมีชื่อเสียง นกั เรียนวา เช่น ประยงค์ ช่นื เยน็ ประสทิ ธิ์ พยอมยงค์ เปน็ ตน้ ๑.๔ นักประพันธเพลง • บทเพลงที่มีความไพเราะน้ันถูกสรางสรรคขึ้น จากบคุ คลใดเปน สําคญั เพราะเหตุใด นักประพันธ์เพลง เป็นอาชีพของนักดนตรีที่ต้องใช้จินตนาการและการสร้างสรรค์ จงึ เปนเชนนั้น นักประพันธ์เพลงหลายทา่ นมไิ ดป้ ระกอบอาชีพนักดนตรี หรือนักประพันธ์ แต่มคี วามสามารถใน (แนวตอบ นักประพันธเพลง เพราะเปนผูท ี่ การประพันธ์เพลง ในสังคมไทยยังมีนักประพันธ์เพลงท่ีอยู่ในบริษัท หรืองานผลิตส่ือบันเทิงที่จะ ประพนั ธท าํ นอง หรอื คาํ รอ ง นกั ประพนั ธเ พลง ท�าหนา้ ที่ประพันธเ์ พลงประกอบละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ หรอื สอ่ื บันเทงิ อื่นๆ อีกเป็นจ�านวนมาก จะสรา งสรรคผ ลงานเพลงโดยใชความคิด ซึ่งนักประพันธ์เพลงท่ีมีผลงานเพลงเป็นที่รู้จักกันดี เช่น เอ้ือ สุนทรสนาน นารถ ถาวรบุตร และจนิ ตนาการถายทอดออกมาเปนเพลงทีม่ ี พยงค์ มกุ ดา สลา คณุ วฒุ ิ นติ พิ งษ์ หอ่ นาค เปน็ ตน้ ทงั้ นี้ ยงั มนี กั ประพนั ธเ์ พลงทมี่ ผี ลงานไดร้ บั เนอ้ื หากนิ ใจ และสรา งความสขุ ความประทบั ใจ ประกาศยกยอ่ งใหเ้ ปน็ ศลิ ปินแห่งชาติ เชน่ ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ สาขาการแสดง ใหแกผ ฟู ง) (ดนตรสี ากล) ประจ�าปี พ.ศ. ๒๕๔๑ สมาน กาญจนะผลนิ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล) ประจา� ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ เป็นต้น • จากเนื้อเพลงนี้ผูประพันธเพลงตองการส่ือ ใหเหน็ ถึงเร่ืองใด คุณสมบัติของบุคคลท่ีจะเป็นนักประพันธ์เพลงท่ีดี ต้องมีความสามารถในการเล่นดนตรี “เราก็รู พอตองเหน่อื ยสักเพยี งไหน เปน็ อย่างดี มีความรอบรูใ้ นทฤษฎดี นตรี รู้ และชา� นาญโครงสรา้ งทางดนตรี สามารถบันทึกโน้ต ตอ งลําบากใจกายไมเคยส้นิ และอ่านโน้ตเพลงได้อย่างคล่องแคล่ว นอกจากความรู้ด้านการปฏิบัติดนตรีและการประพันธ์ เพราะพอ รู พอ คือพลงั แหง แผน ดิน ทา� นองเพลงแลว้ ตอ้ งมคี วามสามารถในการประพนั ธค์ า� รอ้ งดว้ ย เพราะคา� รอ้ งเปน็ สงิ่ ทส่ี อ่ื ความหมาย ใหเราพออยพู อกนิ กันตอไป อารมณ์ หรือพรรณนาเรื่องราวในบทเพลงได้เป็นอย่างดี ผู้ที่ใช้ภาษาได้ดี มีความสามารถทาง หากจะหาของขวัญใหพ อสกั กลอ ง วรรณศลิ ปจ ึงได้เปรยี บในเรื่องนี้ เราทั้งผองจะพรอ มกนั ไดไหม บวกกนั เปนดินเดยี วใหพอ ไดสขุ ใจ 1 1 ไมตอ งเหนอ่ื ยเกนิ ไปอยา งทีเ่ ปนมา” (แนวตอบ ผปู ระพนั ธเ พลงตอ งการสอื่ ใหเ หน็ ถงึ สลา คุณวุฒิ ครูเพลงท่ีมีความสามารถในการรังสรรค์ นิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงมืออาชีพที่มีพรสวรรค์ใน พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเดจ็ ถอ้ ยค�าทต่ี รงใจผ้ฟู ังเพลงลูกทุ่งรุ่นใหม่ การแตง่ เพลงไทยสากลให้ตรงใจวยั รนุ่ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทพ่ี ระองคท รง เหน็ดเหนื่อยตรากตรําพระวรกายทํางานหนัก ๑0๒ เพ่ือใหราษฎรมีความกินดีอยูดี เพลงนี้จึงถูก สรา งขน้ึ จากแรงบนั ดาลใจจากพระนาม “ภมู พิ ล” ซึ่งแปลวา “พลงั แหงแผน ดนิ ” เน้ือหาในเพลง จงึ สอ่ื ถงึ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ล อดลุ ยเดช วา ทรงเปน กาํ ลังของแผนดนิ ไทย และเปนศูนยร วมใจของคนไทยทงั้ ชาติ) นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET บทเพลงพระราชนิพนธเ พลงใดท่สี ามารถนํามาใชในกจิ กรรมวนั ส้ินป 1 สลา คณุ วฒุ ิ เกิดเมือ่ วนั ท่ี 2 เมษายน พ.ศ. 2505 ทจ่ี งั หวดั อบุ ลราชธานี 1. เพลงเมนไู ข เปน นักประพันธเพลงแนวลกู ทุง อสี าน อกี ทัง้ ยังเปนนักรอ ง นกั ดนตรี และ 2. เพลงพรปใ หม โปรดิวเซอร ของคายแกรมมี่โกลด (Grammy Gold) หนึง่ ในบริษทั ในเครือจีเอม็ 3. เพลงลมหนาว เอม็ แกรมม่ี (GMM Grammy) บทเพลงแรกทถ่ี ือเปนผลงานแจงเกดิ ในฐานะ 4. เพลงแสงเทยี น นักแตง เพลงมือทอง คือ เพลงชาวหอ (พ.ศ. 2526) ขบั รอ งโดยรงุ เพชร แหลมสงิ ห วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะเพลงพรปใหม เปนเพลงทพ่ี ระบาท ทา นมีลูกศษิ ยม ากมายท่มี ชี อื่ เสยี งโดงดัง เชน ไมค ภริ มยพร, ตาย อรทยั , ศริ ิพร สมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช มพี ระราชประสงคท จี่ ะพระราชทานพร อําไพพงษ, ไผ พงศธร, จนิ ตรา พูลลาภ, ตัก๊ แตน ชลดา เปนตน ปใ หมแ กบ รรดาพสกนกิ รไทย โดยในเนอื้ เพลงจะเปน คาํ กลา วอวยพรใหท กุ คน 2 นติ ิพงษ หอ นาค นักแตงเพลงชาวไทยที่มชี อ่ื เสยี ง เคยดาํ รงตาํ แหนง มคี วามสขุ ในวนั ขนึ้ ปใ หม เชน ในเนอ้ื เพลงทว่ี า “สวสั ดวี นั ปใ หมพ า ใหบ รรดา รองกรรมการผอู ํานวยการ สายงานธุรกิจดนตรี ของบริษทั จเี อ็มเอ็ม แกรมมี่ เราทา นรน่ื รมย ฤกษย ามดเี ปรมปรดี ช์ิ นื่ ชม ตา งสขุ สมนยิ มยนิ ดี ขา วงิ วอนขอพร (GMM Grammy) ในปจ จุบันเปน ผูบรหิ ารคายสหภาพดนตรี ผลงานการประพนั ธ จากฟา ใหบรรดาปวงทานสุขศรี โปรดประทานพรโดยปรานี ใหชาวไทยลวน ทมี่ ีช่อื เสียง เชน กอ นหนิ กอ นน้ัน (โรส ศิรนิ ทิพย) สายนํ้าไมไ หลกลับ (มาชา มโี ชคชัย” วัฒนพานชิ ) รกั แท. ..ยงั ไง (ชรี ณฐั ยูสานนท) สดุ ทาย (พซี เมกเกอร) เปนตน 102 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๑.๕ นกั อํานวยเพลง ใหน กั เรยี นกลุม ที่ 5 - 6 ทไ่ี ดศกึ ษา คนควา นกั อาํ นวยเพลง หรอื วาทยกร(Conductor) เปน็ อาชพี ทางดา้ นดนตรอี กี อาชพี หนงึ่ ทเี่ ปน็ ทร่ี จู้ กั หาความรเู พ่มิ เตมิ เกย่ี วกับอาชพี ดนตรี สงตัวแทน และประสบความสา� เรจ็ ทง้ั ในระดบั ประเทศและ กลมุ ละ 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอ ระดับโลก คนไทยทป่ี ระสบความส�าเร็จในฐานะ นกั อํานวยเพลงและครูดนตรี ตามที่ไดศึกษามา นักอ�านวยเพลง หรือวาทยกร เช่น พลเรือตรี หนาช้ันเรียน จากนน้ั ครูถามนกั เรยี นวา วีระพันธ์ วอกลาง บัณฑิต อ้ึงรังษี สมเถา สุจริตกุล เป็นต้น ทั้งน้ี ยังมีคนไทยอีกเป็น • อุปกรณชนดิ ใดท่ีมีความสาํ คญั สาํ หรบั จ�านวนมากท่ีมีความรู้ ความสามารถในการท�า ผทู ท่ี าํ หนา ทเ่ี ปน วาทยกรและอปุ กรณช นดิ นนั้ หนา้ ทีเ่ ป็นนักอา� นวยเพลง มีลักษณะอยางไร บทบาทของนกั อา� นวยเพลง คอื การกา� กบั (แนวตอบ ไมบาตอง (Baton) เปน อุปกรณ และควบคุมวงดนตรีขนาดใหญ่ให้ด�าเนินการ รปู ทรงกระบอก หรอื แบน ทาํ จากวสั ดุ บรรเลงเพลงได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ หลายรปู แบบ เชน ไม เหลก็ เปน ตน ซ่ึงนักอ�านวยเพลงแต่ละคนก่อนท่ีจะก้าวเข้าสู่ เปน อปุ กรณทม่ี นี ้าํ หนกั เบา มไี วส ําหรบั ให อาชีพนี้ได้ต้องผ่านการฝกปฏิบัติเคร่ืองดนตรี บัณฑติ องึ้ รงั ษี วาทยกรชาวไทยทม่ี ชี ่ือเสยี งในระดบั โลก วาทยกรใชใ นการควบคมุ การบรรเลงดนตรี ของวงออรเคสตรา หรอื วงประสานเสยี ง) เรยี นรทู้ า� นองเพลง อารมณเ์ พลง รวมทง้ั ศกึ ษาวตั ถปุ ระสงคข์ องนกั ประพนั ธเ์ พลง เพอื่ นา� สง่ิ ทม่ี อี ยใู่ น บทเพลงมาถา่ ยทอดตามกระบวนการบรรเลง เพอ่ื ใหผ้ ฟู้ งั ไดร้ บั อรรถรสของบทเพลงอยา่ งครบถว้ น • นกั เรียนรูจกั วาทยกรทมี่ ีชอ่ื เสียงของไทย ๑.6 ครูดนตรี บา งหรอื ไม ถารจู ัก นกั เรยี นรจู ักใครบา ง ครูดนตรี เป็นอาชีพที่มีความส�าคัญมาก (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคิด ของวงการดนตรี เพราะครดู นตรเี ปน็ ผทู้ า� หนา้ ที่ เห็นไดอยา งอิสระ ครูยกตัวอยางใหเหน็ วา ถ่ายทอดวิชาความรู้และทักษะกระบวนการ “วาทยกรของไทยท่ีมีชอื่ เสียงท่นี กั เรียน ทางดนตรีให้กับผู้เรียนดนตรีเป็นจ�านวนมาก ควรรูจักเพิม่ เติม เชน ดนู ฮันตระกูล ครูดนตรีจะปฏิบัติหน้าท่ีในสถาบันการศึกษา เดน อยูป ระเสรฐิ ทฤษฎี ณ พทั ลุง ทัง้ ภาครฐั และภาคเอกชน เชน่ โรงเรยี นมัธยม- นรอรรถ จนั ทรก ลํ่า บัณฑิต อึ้งรังษี สังคีต วิทยาลัยดุริยางคศิลป โรงเรียนสอน- ประทกั ษ ประทปี ะเสน ปย ะพนั ธ สนทิ วงศ - ดนตรีมีฟา เป็นต้น ครูดนตรีเป็นผู้มีความรู้ ณ อยุธยา วาณชิ โปตะวณิช และความเข้าใจในเรื่องการปฏิบัติเครื่องดนตรี สมเถา สจุ ริตกุล เปน ตน ”) หลักวิชาดนตรี มีความช�านาญในการสอน สามารถถ่ายทอดความรู้ด้านดนตรีให้แก่ศิษย์ • เพราะเหตใุ ดจงึ มคี าํ กลาววา “ครูดนตรี ไดอ้ ยา่ งถูกต้องครบถ้วน ครูดนตรีผู้ท�าหน้าท่ีถ่ายทอดวิชาความรู้และทักษะ คืออาชพี ท่มี ีความสาํ คัญตอ วงการดนตรี” กระบวนการทางดนตรีให้แกล่ ูกศษิ ย์ (แนวตอบ เพราะบุคคลท่จี ะสามารถประกอบ อาชพี ครดู นตรไี ดน น้ั จะตอ งเปน ผทู มี่ คี วามรู ๑0๓ ความเขา ใจ และความเชย่ี วชาญเกีย่ วกบั ทกั ษะกระบวนการทางดนตรีเปน อยา งมาก เพราะจะตอ งเปน ผทู ีถ่ ายทอดวชิ าความรู ทางดานดนตรีที่ถูกตอ งครบถว นใหแกศษิ ย) แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู “กนกวรรณ เปน ผมู คี วามรู ความเชย่ี วชาญในเรอ่ื งการปฏบิ ตั เิ ครอ่ื งดนตรไี ทย ครคู วรนําภาพครดู นตรที ม่ี ีชื่อเสยี งในอดตี มาใหนักเรยี นดู เชน หลวงประดิษฐ และเครือ่ งดนตรีสากลตามหลกั ทฤษฎีวิชาดนตรีและมีประสบการณในการ ไพเราะ (ศร ศลิ ปบรรเลง) พระยาประสานดรุ ยิ ศพั ท (แปลก ประสานศพั ท) สอนดนตรี” กนกวรรณควรประกอบอาชพี ใดจงึ จะเหมาะสม หลวงไพเราะเสยี งซอ (อนุ ดรู ยชวี นิ ) พระประดษิ ฐไ พเราะ (มี ดรุ ยิ างกรู ) พระยาเสนาะ- ดุรยิ างค (แชม สุนทรวาทนิ ) พระพิณบรรเลงราช (แยม ประสานศัพท) เปนตน 1. ครดู นตรี พรอ มทั้งเลาประวัตแิ ละผลงานทางดา นดนตรีใหน ักเรยี นฟง ซง่ึ จะทาํ ใหนกั เรยี น 2. นักอํานวยเพลง มคี วามรู ความเขาใจเกย่ี วกับประวัติและผลงานทางดานดนตรขี องครดู นตรี 3. นักประพนั ธเ พลง ที่มชี อ่ื เสียงในอดตี ไดด ียิง่ ขึ้น 4. นักวชิ าการดนตรี มมุ IT วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะบุคคลท่จี ะสามารถประกอบอาชีพ นกั เรยี นสามารถศกึ ษา คน ควา เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั ประวตั แิ ละผลงานทางดา นดนตรี ครดู นตรไี ดน นั้ จะตอ งเปน ผูที่มีความรู ความเขา ใจ และความเชยี่ วชาญ ของครดู นตรที ม่ี ีช่อื เสยี งในอดตี ไดจาก http://www.student.nu.ac.th เกย่ี วกบั ทกั ษะกระบวนการทางดนตรี เพราะจะตองเปนผทู ่ีถา ยทอดวิชา ใหแกศษิ ย ดงั นั้น เมื่อกนกวรรณมคี ณุ สมบัติเหมาะสมครบถว น จงึ เหมาะสมแกการประกอบอาชีพเปนครูดนตรี คมู อื ครู 103

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา าใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 7 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู สา� หรบั ครสู อนวชิ าดนตรีในสถาบนั การศกึ ษาดนตรเี อกชนทอี่ ยนู่ อกระบบการศกึ ษาภาคปกติ เพ่มิ เตมิ เกยี่ วกบั อาชีพดนตรี สงตวั แทน 2 - 3 คน จะมีลักษณะการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถเล่นดนตรีได้ แต่วิธีการสอนและวัตถุประสงค์ของ ออกมาอธบิ ายความรูในหัวขอ นักวชิ าการดนตรี การจัดการเรียนการสอนจะมีความแตกต่างไปจากการเรียนดนตรีในระบบการศึกษาภาคปกติ ตามทีไ่ ดศ กึ ษามาหนาชั้นเรียน จากนัน้ ครถู าม และในปัจจุบันยังมีครูดนตรีท่ีรับสอนดนตรีแบบตัวต่อตัว โดยจะเดินทางไปสอนผู้เรียนตามบ้าน นักเรยี นวา ซึ่งการสอนในลักษณะนี้จัดเป็นการสอนวิชาเฉพาะทาง ครูผู้สอนจ�าเป็นต้องมีความช�านาญและมี ความรอบรู้ด้านเทคนิควธิ ีการบรรเลงดนตรีเป็นอยา่ งดี • นกั วิชาการดนตรีมคี วามสาํ คญั อยางไร ๑.๗ นักวิชาการดนตรี ตอการศกึ ษาหาความรเู กี่ยวกับดนตรี (แนวตอบ เปน ผนู าํ เสนอองคค วามรูทางดาน นกั วชิ าการดนตรี มคี วามหมายครอบคลมุ ถงึ นกั วจิ ยั ดนตรี นกั วชิ าการดนตรมี บี ทบาทอยา่ งมาก ดนตรแี ละระบบการศกึ ษาดา นดนตรี ในการศกึ ษา หาความรูเ้ กย่ี วกบั ดนตรี เพือ่ เสนอองค์ความรู้ ให้ข้อมลู ทางดา้ นดนตรีและสว่ นตา่ งๆ ซึ่งจดั เปน เสมอื นคลงั ความรูด า นดนตรี ทอ่ี ยรู่ ายรอบแกร่ ะบบการศกึ ษาวชิ าดนตรี หรอื หนว่ ยงานทน่ี า� ดนตรไี ปประกอบกจิ การในดา้ นตา่ งๆ ใหแ กห นว ยงานตา งๆ ทป่ี ฏบิ ตั งิ านดา นดนตรี นักวิชาการดนตรีส่วนใหญ่จะอยูภ่ ายในมหาวทิ ยาลยั หรือสถาบันท่ีจดั การเรียนการสอนวชิ าดนตรี เชน สถาบันการศึกษาทางดนตรี เปน ตน บางส่วนเป็นนักวิจัยของส�านักวิจัย สถาบันวิจัย หรือศูนย์วิจัยต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ซงึ่ นักวิชาการดนตรสี ว นใหญจ ะอยภู ายใน บางสว่ นปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ีในหนว่ ยงานทจ่ี ดั รายการทางสอ่ื สารมวลชน เพอื่ ใหข้ อ้ มลู ดนตรีในแงม่ มุ ตา่ งๆ มหาวทิ ยาลัย หรอื สถาบันการศกึ ษาท่ีจัด ซึง่ ถือได้ว่านักวชิ าการดนตรเี ป็นอาชีพหน่ึงทมี่ ีความส�าคญั ตอ้ งผ่านการฝกฝนในการใช้กระบวน- การเรยี นการสอนเกยี่ วกับดนตรี บางสว น การ วธิ แี สวงหาความรู้ เพอ่ื ทา� หนา้ ทเ่ี ปน็ คลงั ความรดู้ า้ นดนตรีใหแ้ กห่ นว่ ยงานอน่ื ๆ ทปี่ ฏบิ ตั หิ นา้ ที่ จะเปน นักวิจยั ของสาํ นกั งานวจิ ยั ตางๆ ดา้ นดนตรี ทัง้ ภาครัฐ และเอกชน) ขยายความเขา ใจ E×pand ใหน กั เรยี นนาํ ขอ มลู เกย่ี วกบั อาชพี ดนตรมี ารว มกนั เกร็ดศลิ ปเกรด็ ศลิ ป คุณลักษณะท่ีดีของนกั ดนตรี จัดนิทรรศการเรื่อง “7 อาชีพ ผสู รา งงานดนตร”ี พรอ มหาภาพประกอบใหสวยงาม การประกอบอาชพี ดนตรใี ห้ไดด้ ีและสามารถน�าความกา้ วหน้ามาสู่นกั ดนตรไี ดน้ น้ั นักดนตรตี อ้ งปฏบิ ัติตน ๙ ข้อ ดงั น้ี ตรวจสอบผล Evaluate ๑. ตอ้ งมคี วามขยนั อดทน มคี วามเพยี รพยายามสม�า่ เสมอ ครพู จิ ารณาจากการจดั นทิ รรศการเรอ่ื ง “7 อาชพี ๒. ต้องมีวนิ ยั ในตนเอง เพื่อวางแผนการฝก ซ้อม ท้งั การซอ้ มส่วนตวั และการเข้ารว่ มฝกซอ้ มเป็นวง ผสู รางงานดนตรี” ของนักเรยี น โดยพิจารณาในดา น ๓. ตอ้ งปฏิบตั ิตามกฎกติกาของระบบการฝกซอ้ มในวงดนตรที ่ตี นสงั กดั ความถกู ตอ งของเนื้อหา การนาํ เสนอขอมลู ๔. ต้องมคี วามเชอื่ มนั่ ในตนเอง เพื่อท่จี ะไดพ้ ัฒนาฝมี อื ด้านดนตรีของตนให้มปี ระสทิ ธภิ าพมากท่สี ุด ความสวยงาม และความคิดริเร่ิมสรา งสรรค ๕. ตอ้ งมมี นุษยสัมพนั ธท์ ีด่ ี ทัง้ กับเพ่อื นร่วมงานและมติ รรกั แฟนเพลง ๖. ตอ้ งมคี วามคิดริเร่ิมสรา้ งสรรค์ อารมณด์ ี และกลา้ แสดงออก ๗. ต้องหมน่ั ศึกษา หาความรเู้ พิ่มเติมทางดา้ นดนตรแี ละสถานการณต์ า่ งๆ รอบด้าน ๘. ตอ้ งซ่ือสัตยต์ ่อตนเองและผู้อ่นื ในการใชด้ นตรสี ร้างความสขุ ถอื เป็นสดุ ยอดของวิชาชีพดนตรี ๙. ตอ้ งประหยดั อดออม อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง ละเวน้ อบายมขุ ทงั้ ปวง เพอ่ื นา� ไปสคู่ วามเจรญิ รงุ่ เรอื งของตนและ วงศต์ ระกูล ๑0๔ เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET คณุ ลกั ษณะทดี่ ีของนักดนตรที ่คี วรนาํ มาเปน แบบอยา งมีลกั ษณะอยา งไร ครคู วรยกตัวอยา งบุคคลซ่งึ ทําหนา ที่เปนนกั วิชาการดนตรีทน่ี กั เรยี นควรรจู ัก 1. ฝกซอมดนตรีอาทิตยละครั้ง เชน ศาสตราจารยเ กียรติคณุ นายแพทยพ นู พิศ อมาตยกุล ทา นเปนบตุ รคนท่ี 4 2. มีมนุษยสมั พนั ธที่ดตี อ แฟนเพลง ของรอ ยโทพิศและนางประเทือง อมาตยกุล เคยดาํ รงตาํ แหนง เปนมหาดเลก็ ของ 3. ทาํ ตนเองโดดเดน ทีส่ ุดในวง พระเจาบรมวงศเธอ พระองคเ จาเหมวดี มาเปนเวลากวา 30 ป ไดเรยี นรูเรื่องราว 4. ไมเลน รวมวงกับนกั ดนตรใี หมๆ เกย่ี วกับพระราชวงศแ ละเร่อื งราวเก่ียวกับดนตรีไทยมาจากในวงั นายแพทยพ ูนพศิ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะการเปน นักดนตรที ีด่ นี ้ัน จะตอ งมีการ เปน นักวชิ าการสาขาดนตรีวิทยา เปน ที่ปรกึ ษาวทิ ยาลัยราชสุดา มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล สรางมนุษยสัมพนั ธท่ดี ีตอ แฟนเพลง เพราะแฟนเพลงจัดเปน ปจจยั หนงึ่ เปน ผูท่มี ีความสามารถในการขบั รองเพลงไทยและประพนั ธบ ทรอ งเพลงไทย ท่สี ามารถแสดงใหเ หน็ วา นักรองทานนี้ไดร บั ความนยิ มมากนอ ยเพียงใด เปนนักจัดรายการเพลงทางวิทยุและโทรทศั น รายการวทิ ยุที่ผลติ แลว ยงั เก็บรกั ษาไว จากบุคคลทัว่ ประเทศ ในหองสมดุ ดนตรี เชน รายการพบครดู นตรีไทย สยามสงั คตี เพลงไทยจาก มหาวิทยาลัยมหิดล สงั คตี ภิรมย เพลงไทยสากลจากอดตี เปน ตน นอกจากนี้ ยงั เปน นกั เขยี นสารคดเี กยี่ วกบั ดนตรี เชน สยามสงั คตี ลาํ นาํ สยาม หนงั สอื รวมประวตั ิ สตรนี ักรอ งเพลงไทย นักระนาดเอกของไทย เปนตน 104 คมู ือครู

กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๒. บทบาทของดนตรใี นธรุ กจิ บันเทิง ครูชักชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับบทบาทของ กภาารพแยสบนดทตงบดรา3์นทตสขรถอีอางานดชเนีพรติงรรลีใมะนคยปร์ตจัโ่าทจงบุรๆทนั ัศไซดน1ึ่งพ้์ ลนฒั ะอคนกราจเกวาา้ ทกว2ีหนา้ เปน็ อยา่ งมาก โดยเฉพาะในธรุ กจิ บนั เทงิ เชน่ ดนตรีในธรุ กิจบนั เทิง จากนัน้ ครถู ามนกั เรยี นวา ธุรกิจบันเทิงโดยตรงแล้ว ดนตรียังมีบทบาท • เพราะเหตุใดงานดนตรีจึงตองมธี รุ กจิ เขามาเก่ยี วขอ ง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอิสระ) ในการขับเคลื่อนให้ธุรกิจต่างๆ ด�าเนินไปใน สาํ รวจคน หา Explore ทิศทางท่ีได้รับความนิยมจากผู้รับบริการด้วย เช่น ธรุ กจิ หอ้ งอาหาร สวนอาหาร สถานบริการ ใหน ักเรียนศึกษา คนควา หาความรูเพิ่มเตมิ ตา่ งๆ เชน่ โรงแรม โรงพยาบาล ศนู ย์ หรอื หนว่ ย เกยี่ วกับบทบาทของดนตรีในธุรกิจบนั เทิง ประชาสัมพันธ์ของสถานประกอบการ เป็นต้น จากแหลง การเรยี นรตู า งๆ เชน หองสมดุ โรงเรียน ปจั จบุ นั ความตอ้ งการดนตรขี องกลมุ่ ประชาชนที่ หองสมดุ ชมุ ชน อนิ เทอรเน็ต เปนตน ตอ้ งการเลอื กสรรไวร้ บั ฟงั เปน็ การเฉพาะสว่ นตวั ในหวั ขอ ที่ครกู ําหนดให ดังตอ ไปน้ี ในรูปแบบต่างๆ เช่น ตลับเทป (Compact ปจั จบุ นั ธรุ กจิ บนั เทงิ ตา่ งๆ ไดน้ า� ดนตรเี ขา้ มาเสรมิ ใหธ้ รุ กจิ Cassette) ซีดี (CD) เป็นต้น จึงท�าให้ดนตรี นา่ สนใจมากยง่ิ ขนึ้ โดยเฉพาะการนา� ดนตรมี าใชป้ ระกอบ 1. ธรุ กิจโรงเรยี นดนตรี การแสดงละครเวที 2. ธุรกิจหองบันทึกเสียง 3. ธรุ กจิ รบั งานดนตรี เขา้ ไปมบี ทบาทอยา่ งมากในธรุ กจิ บนั เทงิ ตา่ งๆ และในทางกลบั กนั กม็ ธี รุ กจิ หลายประเภททเี่ กดิ ขนึ้ 4. ธรุ กจิ ผลิตสื่อทางดนตรี จากความตอ้ งการบรโิ ภคผลงานดนตรขี องผูค้ นในสังคม 5. ธุรกิจผลิตรายการโทรทศั นด านดนตรี จากท่ีกล่าวมาข้างต้นเก่ียวกับความต้องการบริโภคผลงานด้านดนตรีของประชาชนและ ภาคธุรกิจต่างๆ ท�าให้เกิดการประกอบธุรกิจที่ใช้ดนตรีเข้าไปเป็นส่วนส�าคัญของการด�าเนินงาน และสอ่ื การแสดง ทีส่ ามารถพบเห็นในปจั จุบัน ได้แก่ 6. ธรุ กิจอตุ สาหกรรมผลติ เครอ่ื งดนตรี 7. ธรุ กิจจาํ หนา ยผลิตภัณฑด นตรี ๑) ธุรกิจโรงเรียนดนตรี เป็น ธุรกิจบันเทิงประเภทท่ีต้องด�าเนินการตามกฎ- ระเบยี บขอ้ กา� หนดของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร คอื อธบิ ายความรู Explain ต้องมหี ลกั สูตร มคี รูดนตรี มีกระบวนการเรยี น ใหนกั เรยี นรว มกนั อภิปรายเกยี่ วกบั บทบาท การสอน มสี ถานทปี่ ระกอบการ และกระทา� ตามกฎ ของดนตรใี นธุรกจิ บันเทงิ ในหวั ขอ ธรุ กจิ โรงเรียน ข้อก�าหนดอื่นๆ ท่ีกระทรวงศึกษาธิการได้ ดนตรี ตามทีไ่ ดศ ึกษามา จากนั้นครูถามนกั เรยี นวา ก�าหนดไว้ ซึง่ ในปัจจบุ ันมผี ู้เรียนจา� นวนไม่น้อย ที่ใช้เวลาว่างไปเรียนท่ีโรงเรียนดนตรีเอกชน • การเรยี นดนตรใี นสถาบันการศกึ ษา ซง่ึ มอี ยมู่ ากมายหลายแหง่ ทงั้ ในกรงุ เทพมหานคร โรงเรียนดนตรีท่ีมีคุณภาพต้องด�าเนินการตามระเบียบ จะสงผลใหนักเรียนมีความรูดา นดนตรี และตามจงั หวัดตา่ งๆ ข้อบงั คบั ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เพมิ่ ข้นึ หรอื ไม อยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งอสิ ระ) ๑0๕ กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู ใหนักเรยี นศึกษา คนควาเพ่มิ เตมิ เก่ยี วกับบทบาทของดนตรใี นธรุ กจิ 1 ละครโทรทัศน รายการทางโทรทัศนท มี่ บี ทละครและเรอ่ื งราวเขา มาเกย่ี วขอ ง บนั เทิงในดา นตางๆ นอกเหนือจากทีเ่ รยี นมา เขียนสรุปสาระสาํ คญั สวนมากจะมีหลายตอน เนน ความบนั เทิงเปน หลัก เพื่อการรับชมภายในครอบครวั ลงกระดาษรายงาน นําสง ครูผูสอน ละครโทรทัศนเร่ืองแรกของประเทศไทย คือ เรื่อง “สุรยิ านไี มยอมแตง งาน” บทประพนั ธข องประหยดั ศ. นาคะนาท ออกอากาศทางชอง 4 บางขุนพรหม กิจกรรมทาทาย 2 ละครเวที ละครท่เี นน การขับรองมากกวา การพูด เปนการแสดงสดบนเวทีทีม่ ี ฉาก แสง เสียงประกอบการแสดงละคร จุดเดน ของละครเวที คือ การสื่อสารระหวา ง ใหน กั เรียนไปสมั ภาษณผ ทู ่เี กีย่ วของกบั ธุรกจิ ดนตรมี า 1 ทาน ผูชมกบั นักแสดง ซงึ่ การสอื่ สารระหวา งผูชมและนกั แสดงจะเกิดขึ้นพรอมๆ กนั พรอมหาภาพประกอบบทสมั ภาษณ จัดทาํ เปนรปู เลม ใหส วยงาม 3 ภาพยนตร เปน กระบวนการบันทกึ ภาพดว ยฟลมแลว ฉายในลักษณะทีแ่ สดง นําสงครผู สู อน ใหเห็นภาพการเคล่อื นไหว ภาพที่ปรากฏหลังจากผานกระบวนการถายทาํ จะมลี ักษณะเปน ภาพนงิ่ จาํ นวนมากทม่ี อี ริ ิยาบถ หรือแสดงอาการเคลอ่ื นไหว เปลีย่ นแปลงไปทีละนอ ยตอเนือ่ งกนั เปนชว งๆ ตามเรื่องราวทไ่ี ดร บั การถา ยทาํ และตัดตอ มา คมู อื ครู 105

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาาใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู ใหน กั เรยี นรวมกนั อภปิ รายเกี่ยวกบั บทบาทของ ๒) ธรุ กจิ หอ้ งบนั ทกึ เสยี ง เปน็ สถานประกอบการทม่ี กี ารลงทนุ สงู นกั รอ้ งและนกั ดนตรี ดนตรใี นธรุ กิจบนั เทงิ ในหัวขอ ธุรกิจหอ งบนั ทึกเสียง ส่วนใหญต่ ้องการใช้ห้องบนั ทึกเสียงท่มี ีคุณภาพ เคร่ืองบนั ทกึ เสยี ง และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทันสมยั ธรุ กจิ รบั งานดนตรี ธรุ กจิ ผลติ สอื่ ทางดนตรี ธรุ กจิ ผลติ เพื่อให้ผลงานการบันทึกเสียงของตนเองมี รายการโทรทศั นดานดนตรแี ละส่ือการแสดง ธุรกจิ คณุ ภาพสงู และดีทส่ี ุด ดงั น้ัน ธรุ กิจหอ้ งบันทกึ - อุตสาหกรรมผลิตเครอ่ื งดนตรี และธุรกจิ จาํ หนา ย เสียงจึงจ�าเป็นต้องมีนักดนตรีที่มีความรู้ด้านนี้ ผลิตภณั ฑดนตรี ตามท่ีไดศึกษามา จากน้ันครูถาม มาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์งานในการ นกั เรยี นวา ประกอบธรุ กิจ ๓) ธุรกิจรบั งานดนตรี เปน็ ธรุ กิจ • ถา ในอนาคตนกั เรยี นตอ งการสรา งธรุ กจิ บนั เทงิ ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั การรบั จัดกจิ กรรมดา้ นดนตรแี ละ นกั เรยี นจะเลอื กสรา งธรุ กจิ บนั เทงิ ในรปู แบบใด จัดหานักดนตรี โดยมีเครือข่ายนักดนตรีของ เพราะเหตใุ ดจงึ เปนเชนนนั้ ตนเองในการรับงานบรรเลง หรือแสดงดนตรี (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ในงานลักษณะต่างๆ ตามที่หน่วยงานของ ไดอ ยา งอิสระ) ธรุ กิจห้องบันทึกเสยี ง ถอื เป็นธรุ กิจบนั เทิงที่มีการแขง่ ขนั รฐั บาล หรอื เอกชนจัดขึน้ เชน่ งานเลี้ยงรับรอง กันค่อนข้างสูง จึงต้องพยายามพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆ ให้ งานฉลองมงคลสมรส งานปีใหม่ เป็นต้น • นกั เรียนคิดวา ธุรกิจบนั เทงิ ประเภทใด มคี วามทนั สมยั ตอ่ ความตอ้ งการของนกั รอ้ ง หรอื นกั ดนตรี ทีไ่ ดร บั ความนยิ มเปน อยางมากในปจจุบัน อย่ตู ลอดเวลา ๔) ธรุ กจิ ผลติ สอื่ ทางดนตรี เปน็ เพราะเหตุใดจงึ เปนเชนน้ัน (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ธรุ กจิ ท่ีไดร้ บั ความนยิ มเปน็ อยา่ งมากจากประชาชน เพราะราคาไมส่ งู มากจนเกนิ ไป ตลาดดา้ นนจ้ี งึ ไดอยา งอสิ ระ) ขยายความเขา ใจ E×pand กวา้ งมาก เปน็ หนทางของนกั ดนตรี นกั รอ้ ง นกั แสดงไปรว่ มแสดงประกอบมวิ สกิ วดิ โี อ ซง่ึ สามารถ ใชเ้ ปน็ แหลง่ ประกอบอาชีพไดท้ างหนึง่ ใหนักเรียนรว มกนั สรุปสาระสําคัญเก่ียวกับ ๕) ธรุ กิจผลิตรายการโทรทศั นด์ า้ นดนตรีและสื่อการแสดง ลกั ษณะรายการเป็น บทบาทของดนตรใี นธรุ กจิ บนั เทงิ ลงกระดาษรายงาน ส่ือแสดงสาระทางดนตรีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างสูง ซึ่งในปัจจุบันมีช่องออกอากาศ นาํ สง ครูผูสอน ระบบดาวเทยี ม จงึ มชี อ่ งรายการเพม่ิ จา� นวนมากขน้ึ เปดิ โอกาสใหธ้ รุ กจิ ดา้ นนผ้ี ลติ งานออกรายการ ไดห้ ลากหลายช่อง เป็นหนทางให้นกั ดนตรมี ีปรมิ าณงานเพ่มิ ข้นึ ตามมาด้วย ตรวจสอบผล Evaluate ๖) ธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตเคร่ืองดนตรี เป็นธุรกิจท่ีน่าสนใจส�าหรับนักดนตรี ครพู ิจารณาจากการสรปุ สาระสาํ คญั เกยี่ วกับ และช่างท�าเครื่องดนตรี แม้ว่าอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องดนตรีในประเทศไทยยังมิได้พัฒนาไป บทบาทของดนตรใี นธรุ กจิ บนั เทิงของนกั เรียน สู่การผลิตเครื่องดนตรีสากลขนาดใหญ่ แต่อุตสาหกรรมที่ผลิตเคร่ืองดนตรีและอุปกรณ์ประกอบ เครื่องดนตรีก็ยงั มปี รากฏในหลายพืน้ ที่ บางแหล่งเป็นแหลง่ ผลิตเครือ่ งดนตรีเฉพาะทาง และเป็น ท่ที ราบในวงการดนตรี เชน่ แหล่งผลติ ขิมในจังหวดั ลา� ปาง แหลง่ ผลิตแคนในจังหวัดมหาสารคาม แหล่งผลิตจะเข้ในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แหล่งผลิตระนาดในจังหวัดชลบุรีและ จังหวดั เพชรบูรณ์ แหล่งผลิตกลองชนดิ ตา่ งๆ ในจงั หวัดอ่างทอง เป็นต้น ๑06 เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ดนตรกี บั ธรุ กิจมคี วามสัมพันธกนั อยางไร ครคู วรอธบิ ายความรเู พมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั คาํ วา มวิ สกิ วดิ โี อ หรอื เอม็ วี (MV) วา เปน การ 1. ทําใหธ รุ กิจบันเทิงเขาถงึ งายขน้ึ ถายทอดบทเพลงทมี่ ภี าพประกอบ โดยสมยั กอ นมวิ สกิ วดิ โี อถกู นาํ มาใชในการ 2. ชว ยในการเผยแพรศ ิลปวัฒนธรรมไทย เผยแพรบ ทเพลงทางโทรทัศน ซง่ึ มักเปน รปู แบบการถา ยภาพวงดนตรี หรือนกั รอง 3. ชว ยสรางสมั พันธภาพระหวา งธุรกิจตางๆ ทีร่ องเพลง ตอ มามกี ารนําภาพมาประกอบ และพฒั นามาเปนการนาํ เนอ้ื หาของ 4. ทาํ ใหเกิดการประกอบธุรกิจท่ใี ชด นตรเี ขาไปเปน สว นสาํ คญั บทเพลงมาสรา งเปน เร่ืองราวประกอบเพลง ในปจจบุ นั มวิ สกิ วิดโี อถกู นาํ มาซอ น วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะดนตรที ่เี ขา ไปมีความเกีย่ วพนั กับ กบั เนือ้ เพลงทาํ เปน คาราโอเกะทีค่ นนิยมนาํ มาขับรองกันเปน จํานวนมาก ธุรกจิ นัน้ ถอื เปน หวั ใจสาํ คัญในการดาํ เนินงานทางธรุ กิจ มบี ทบาทในการ ขับเคล่ือนใหธ รุ กจิ ตางๆ ที่เกดิ ขึ้นดําเนินไปในทศิ ทางท่ีไดร บั ความนิยม มมุ IT จากผบู รโิ ภค นักเรียนสามารถเลือกชมมิวสกิ วดิ ีโอของศลิ ปนตา งๆ ไดจาก http://www.youtube.com โดยคน หาจากช่ือเพลงตามดว ยชอ่ื ศลิ ปน เชน เพลง คือเธอ - บอย มารก ้ี (Ost.รอยมาร) เปนตน 106 คูม อื ครู

กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๗) ธุรกิจจําหนายผลิตภัณฑดนตรี เปนธุรกิจที่ไดรับความสนใจเปนอยางมาก ครเู ปดสือ่ อินเทอรเ นต็ เกี่ยวกับการแสดงดนตรี และวฒั นธรรม “สายสมั พนั ธสองแผน ดนิ ” คร้ังที่ 5 ในปจจุบัน เพราะเปนแหลงรวมสินคาท่ีลูกคาสามารถเลือกหาผลิตภัณฑดนตรีท่ีตนตองการได ใหนกั เรยี นชม จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา โดยผลติ ภัณฑด นตรที ี่มีการจําหนายอยทู ่ัวไป เชน เคร่อื งดนตรี อปุ กรณที่ใชต กแตงเครอ่ื งดนตรี สอ่ื ทางดนตรี หนงั สอื ดนตรี โนต เพลง ของทร่ี ะลกึ ทเี่ กยี่ วกบั ดนตรี เชน เสอ้ื ทมี่ ตี ราสญั ลกั ษณด นตรี • ดนตรเี ขา มามบี ทบาทตอ สงั คมไทยในดา นใด นาฬกาดนตรี พวงกุญแจ เคร่ืองดนตรีขนาดเล็กท่ีนําไปต้ังโชว เครื่องดนตรีขนาดเล็กที่ใชเปน (แนวตอบ ในดา นการชวยสรางความสมั พันธ เคร่ืองประดับ เปนตน และนอกจากการจําหนายแลวยังมีอาชีพที่เกี่ยวกับการบริการดวย เชน ระหวางประเทศ เศรษฐกิจ การเมอื ง การซอมเครอื่ งดนตรี การปรบั แตงเสียงเครอ่ื งดนตรี การเทยี บเสียงเครอื่ งดนตรี เปนตน การศกึ ษา การสรางสัมพนั ธภาพระหวาง นกั ศึกษา การประชาสมั พันธ การรกั ษา ๓. บทบาทของดนตรที ่ีมีตอ สงั คมและวัฒนธรรมไทย ทางการแพทย และการออกกําลังกาย) นอกจากดนตรีจะเขาไปมีบทบาทอยางมากในธุรกิจบันเทิงดังที่ไดกลาวมาแลวในขางตน สาํ รวจคน หา Explore ดนตรีท่ีผูเรียนไดศึกษายังมีบทบาทตอสังคมไทยอยางกวางขวาง แตเดิมดนตรีมีขอบขายจํากัด ใหน กั เรียนศึกษา คน ควา หาความรเู พ่มิ เติม อยูในความเช่อื พิธกี รรม กิจกรรมทางศาสนา กจิ กรรมบันเทงิ ท่ีประกอบเขากบั รูปแบบการแสดง เกย่ี วกับบทบาทของดนตรที ่มี ีตอสังคมไทย หรือดนตรีบางประเภทก็เปนของชนชั้นสูงเทาน้ัน ซ่ึงในหลายสังคมจํากัดไวเฉพาะสังคมของตน จากแหลง การเรยี นรูต างๆ เชน หอ งสมุดโรงเรียน ดงั พบไดใ นสงั คมกรกี จนี อนิ เดยี เปอรเ ซยี และไทย แตใ นปจ จบุ นั ไดเ ปลย่ี นแปลงไป ดนตรกี ลายเปน หอ งสมดุ ชุมชน อนิ เทอรเ น็ต เปน ตน สง่ิ ทที่ กุ คนสามารถเขา ถงึ ความงาม และความไพเราะ เพอ่ื ความสขุ ของตนเองและบคุ คลรอบขา งได โดยดนตรเี ขา มามีบทบาทตอสงั คมไทยดา นตางๆ ดงั น้ี อธบิ ายความรู Explain ๑. ชวยสรางสัมพันธภาพระหวาง ใหนักเรียนรวมกนั อภปิ รายเกีย่ วกับบทบาท ประเทศ เชน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ของดนตรที ีม่ ตี อสงั คมไทย ตามทไ่ี ดศ ึกษามา สยามบรมราชกุมารีไดทรงดนตรีเมื่อไปเจริญ จากน้นั ครูถามนักเรียนวา สัมพันธไมตรีกับประเทศจีนและประเทศลาว อสมัคเรดรจ็ าพชระกเุจมา าลรกู ีไเธดอทเจรางฟกาูเจจฬุ ิง1าแภลรณะทวลรยังลแกั สษดณง • เพราะเหตใุ ดจึงตองมกี ารแลกเปลีย่ น คอนเสริ ต ในงานสานสมั พนั ธไทย-จนี หนว ยงาน วัฒนธรรมทางดนตรี ของรัฐและองคกรเอกชนตางๆ ไดมีการจัด (แนวตอบ เพ่อื เปนการเชื่อมโยงสายสมั พันธ โครงการแลกเปล่ียนวัฒนธรรมดวยการเชิญ อนั ดงี ามระหวา งประเทศใหม คี วามแนน แฟน วงดนตรีและนักรองจากตางชาติมาแสดงการ- มากยง่ิ ข้ึน ท้ังน้ีการเรยี นรูในเรือ่ งของ รอ งเพลงประสานเสยี ง การแสดงดนตรพี นื้ เมอื ง สมเด็จพระเจาลูกเธอ เจาฟาจุฬาภรณวลัยลักษณ อัคร- วฒั นธรรมดนตรีของประเทศตางๆ ก็ทาํ ให การบรรเลงดนตรคี ลาสสกิ ในประเทศไทย เปน ตน ราชกมุ ารี ทรง “กเู จงิ ” ในงานแสดงดนตรแี ละวฒั นธรรม สามารถคดิ คนและพฒั นาเคร่ืองดนตรี “สายสมั พนั ธส องแผนดนิ ” ใหม ีความหลากหลายมากยง่ิ ข้นึ ) ๑๐๗ แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ นกั เรียนควรรู การแลกเปลยี่ นวัฒนธรรมทางดนตรีถือวา เปนบทบาทของดนตรี 1 กูเจิง เปนเครอื่ งดนตรีแบบด้งั เดมิ ของจีน จดั เปน เคร่อื งดนตรปี ระเภท ทีม่ ีตอสังคมไทยในดานใด เครอ่ื งสาย ใชมือดดี มีสาย 21 สาย ใชว างในแนวนอนเวลาเลน แตล ะสาย จะมีหยองรองรบั หยองของกเู จงิ สามารถเปล่ยี นตําแหนง ไดเ พื่อปรบั ระดบั เสยี ง 1. มีบทบาทตอระบบเศรษฐกจิ หรอื เปล่ียนคีย และมีเสียงแบบเพนตาโทนกิ สเกล โดยมเี สียง โด เร มี ซอล 2. ชวยใหธ รุ กจิ ดนตรีขยายกวา งขนึ้ และลา ตามลาํ ดบั 3. ชวยสรา งสมั พันธภาพระหวา งประเทศ 4. ชว ยในการประชาสมั พันธรูปแบบตา งๆ มุม IT วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะการแลกเปลี่ยนวฒั นธรรมทางดนตรี นกั เรยี นสามารถชมการบรรเลงดนตรีดวยเคร่ืองดนตรกี ูเจงิ ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคําวา กเู จิง ระหวา งประเทศนัน้ จัดเปน การชว ยสรา งสมั พันธภาพระหวา งประเทศ ซงึ่ เปน การแลกเปลย่ี นวฒั นธรรมทางดนตรี เพอ่ื กระชบั สายใยความผูกพนั ระหวาง 2 ประเทศ ใหย ืนนานมากยิง่ ข้นึ คูม อื ครู 107

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครสู ุมนักเรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ๒. มีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเป็นแหล่งงานท่ีส�าคัญของผู้ประกอบการธุรกิจ ดังตอ ไปนี้ บนั เทงิ เชน่ มสี นิ คา้ ทผ่ี ลติ จากงานดนตรีในประเทศไทย สง่ ออกไปจา� หนา่ ยยงั ตลาดโลก นกั ดนตร-ี ไทย หรือนักร้องไทยได้รับเชิญให้ไปแสดงดนตรีในต่างประเทศ รัฐมีรายได้จากการเก็บภาษีของ • ระบบเศรษฐกิจกับดนตรีมีความเกี่ยวของกัน สถานประกอบการด้านธุรกจิ บนั เทงิ เป็นต้น ในเร่อื งใด ๓. มบี ทบาทในกจิ กรรมทางการเมอื ง ใช้เป็นส่อื ในการปราศรยั หาเสียง หรอื เพื่อการ (แนวตอบ การประกอบธรุ กจิ บนั เทงิ ประชาสัมพันธ์นโยบายของพรรคการเมืองให้มีความน่าสนใจมากข้ึน โดยการใช้ดนตรีประกอบ หรอื การผลิตสินคา ทางดา นดนตรี การหาเสยี ง หรอื แตง่ เพลงประจ�าพรรคการเมือง สงจําหนายไปยังตา งประเทศ) ๔. ช่วยในการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะทางด้านเพลงไทยแบบแผน เพลงไทยสากล เพลงลกู ทงุ่ เพลงพน้ื บา้ น ฯลฯ เพอ่ื ใหค้ นไทยไดช้ นื่ ชมและภาคภมู ิใจในมรดกทาง • เพราะเหตใุ ดนโยบายของพรรครฐั บาล วฒั นธรรมของไทย และเมอื่ เผยแพรไ่ ปยงั ตา่ งประเทศกเ็ หมอื นกบั ชว่ ยประกาศความงดงามทางศลิ ป- จงึ ถกู นํามาแตง เปนเพลงเพือ่ ใชป ระกอบ วัฒนธรรมไทยใหช้ าวตา่ งประเทศได้รบั รดู้ ้วย การหาเสยี ง ๕. ช่วยรักษาองค์ความรู้และภูมิปัญญาไทยทางด้านดนตรีไว้ เพ่ือสืบสานต่อไป (แนวตอบ เพือ่ เปนการประชาสมั พันธน โยบาย ยังอนุชนรุ่นหลงั ช่วยให้เยาวชนไทยเกิดความตระหนักรู้ รวมท้ังเกิดความภาคภูมิใจในมรดกทาง ของพรรคใหป ระชาชนรบั ทราบผานทาง ศิลปวัฒนธรรมไทยด้านดนตรที ถ่ี ่ายทอดออกมาเป็นผลงานศลิ ปะให้เราไดย้ นิ ไดฟ้ งั เสยี งเพลง เพราะนโยบายสว นมากจะมเี นอ้ื หา ๖. มบี ทบาทในดา้ นการศกึ ษา ในการนา� นกั เรยี น นกั ศกึ ษาเขา้ ถงึ ความรทู้ งั้ ในสถาบนั ท่ีคอ นขา งจดจําไดยาก ดงั น้นั เมอ่ื นาํ มาแตง การศกึ ษาและผา่ นสอื่ อนิ เทอรเ์ นต็ โดยใชเ้ ปน็ กจิ กรรมประกอบการเรยี นการสอนและเปน็ วชิ าแขนง เปน เพลงและนํามาเปดประชาสัมพันธ หนึง่ โดยตรง พรรคการเมอื ง กจ็ ะทาํ ใหป ระชาชนจาํ นโยบาย ๗. ช่วยสร้างสัมพันธภาพระหว่าง ของพรรคไดงา ยยงิ่ ข้นึ ) นกั ศกึ ษา ทง้ั นกั ศกึ ษาตา่ งสถาบนั ในประเทศ หรอื เมอื่ ไปศกึ ษาตอ่ ตา่ งประเทศ ดนตรกี จ็ ะมบี ทบาท • เสยี งดนตรไี ดเ ขา มามบี ทบาทในดา นการศกึ ษา ในการเปน็ สอื่ กลางทช่ี ว่ ยเผยแพรว่ ฒั นธรรมไทย อยางไร ใหช้ าวตา่ งชาตไิ ดเ้ รยี นรแู้ ละเขา้ ใจ (แนวตอบ การนําเสยี งดนตรีมาใชประกอบ ๘. ช่วยในการประชาสัมพันธ์ ในการสอนแบบสรางสรรคท างศลิ ปะ ในรปู แบบตา่ งๆ ทั้งการประชาสัมพนั ธ์ทางวิทยุ ผลปรากฏวาเสยี งดนตรสี ามารถชวย กระจายเสียง วิทยุชุมชน แพร่ภาพทางสถานี สงเสริมพัฒนาการทางอารมณ เสริมสรา ง โทรทัศน์ และผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ความคิด จินตนาการ ชว ยกระตุน ใหมกี าร นอกจากนี้ สถานประกอบการและหนว่ ยราชการ แสดงออกอยา งสรา งสรรค สงเสริม ต่างๆ ก็ยังใช้เสียงเพลงเปิดให้ประชาชนฟัง ความสัมพนั ธระหวา งประสาทหู กลา มเนื้อมือ ใหสอดคลอ งกบั การใชความคิด ทําใหห ายเหนือ่ ยและผอ นคลาย ความตึงเครยี ด) ปจั จบุ นั มีการนา� ดนตรมี าใชใ้ นการออกกา� ลงั กาย โดยน�า ขณะรอรบั บรกิ ารด้วย ดนตรมี าใช้ประกอบการเต้นลีลาศ ๑0๘ บูรณาการอาเซียน บรู ณาการเช่ือมสาระ จากการศึกษาเก่ยี วกับบทบาทของดนตรที ี่มตี อสังคมไทยดา น จากการศกึ ษาเกย่ี วกบั ความรูพนื้ ฐานเกย่ี วกับบทบาทของดนตรที ี่มตี อ สงั คมไทย การออกกําลงั กาย สามารถเชอ่ื มโยงกับการเรยี นการสอนในกลมุ สาระ ในการสรางสมั พันธภาพระหวา งประเทศ สามารถเชือ่ มโยงกับประเทศสมาชกิ การเรยี นรูส ุขศึกษาและพลศึกษา ในเรือ่ งกิจกรรมนันทนาการ เชน การนาํ อาเซียน คอื ประเทศไทย ประเทศบรูไน และประเทศกัมพูชา ที่มลี ักษณะของ ดนตรมี าใชในการออกกาํ ลงั กาย การราํ มวย การรํากระบอง การเตนลลี าศ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่มีวิธีการเลนคลา ยกัน แตม ีช่อื เรียกท่ตี างกนั เปนตน ซง่ึ การออกกาํ ลังกายมีประโยชนดังน้ี ทาํ ใหกลา มเน้อื แข็งแรงขึ้น ดงั ตัวอยาง มีพลังทีส่ ามารถทาํ กจิ กรรมตา งๆ ไดด ขี ้ึน การออกกาํ ลังกายอยเู สมอ จะชวยใหท รงตวั ดขี ้ึน มีความกระฉบั กระเฉงวอ งไว ทรวดทรงดีข้นึ สัดสว น กลองสองหนา เกนดงั (Gandang) ซมั โฟ (Sampho) ของรา งกายมคี วามเหมาะสม ปอด หวั ใจ หลอดเลือด ทาํ งานไดดขี ้นึ ชะลอ (ประเทศไทย) (ประเทศบรไู น) (ประเทศกัมพชู า) ความเส่ือมของอวัยวะภายในรางกาย ชว ยใหม ีอายยุ นื ยาว เพราะกลา มเนื้อ แข็งแรง อวยั วะทกุ สว นของรางกายทําหนา ทีไ่ ดดีข้ึน และการออกกาํ ลังกาย เปนปจ จัยสําคญั ที่มีผลตอการเจรญิ เตบิ โต โดยเฉพาะในเด็กทอี่ อกกําลังกาย สม่าํ เสมอ รา งกายจะผลิตฮอรโ มนท่เี กยี่ วกับการเจริญเตบิ โตอยางถกู สว น นอกจากนี้ ดนตรยี งั มีสว นชวยพัฒนาจติ ใจใหมีความออ นโยน สรางความ สนุกสนาน เพลดิ เพลนิ ใจ และชว ยผอนคลายความตงึ เครยี ดไดอ ีกดว ย 108 คูม ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา ใา จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๙. ช่วยให้ประชาชนชาวไทยมีความสุขในผลงานเพลง โดยการรับผ่านส่ือที่มีการ ครูสุมนกั เรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม ถ่ายทอดออกมาและหากซื้อไปรบั ฟังทบ่ี า้ นกส็ ามารถกระท�าได้ เพราะในปัจจบุ ันธรุ กิจบันเทงิ ผลติ ดงั ตอ ไปนี้ และจา� หนา่ ยผลงานเพลงในราคาที่ไม่แพง ประชาชนสามารถเข้าถึงดนตรีได้อยา่ งสะดวกมากข้ึน • การนําเสียงดนตรีมาใชประกอบการรักษา ๑๐. ชว่ ยใหธ้ รุ กจิ ดนตรขี ยายวงกวา้ งขน้ึ นกั ดนตรี หรอื ผเู้ กย่ี วขอ้ งกบั งานดนตรมี งี านทา� ทางการแพทยมขี อ ดอี ยางไร นกั เรยี นและนกั ศกึ ษาวชิ าดนตรมี โี อกาสในการเขา้ สงู่ านอาชพี ดนตรอี ยา่ งกวา้ งขวาง ขณะเดยี วกนั (แนวตอบ ทาํ ใหสามารถวางแผนในการใช ก็มีการน�าดนตรีไปใช้อย่างกว้างขวางในธุรกิจบันเทิงแขนงต่างๆ ท�าให้งานดนตรีขยายวงกว้าง กิจกรรมทางดนตรคี วบคมุ ในกลุมของคน มากขึ้น จงึ ทา� ใหป้ ระชาชนมีความสขุ กับอรรถรสของดนตรีประเภทตา่ งๆ ตามท่ตี นพงึ พอใจ ทกุ วยั ไมวา จะเปนวยั เด็ก จนถงึ วัยสูงอายุ เพ่อื ใหเ กิดผลบรรลใุ นการรักษาโรคตางๆ ๑๑. ชว่ ยเสรมิ การรกั ษาทางการแพทย์ เพื่อบ�าบดั ผปู้ ่วย หรอื ทเี่ รียกวา่ “ดนตรบี ำ� บัด” ท่เี กดิ มาจากความบกพรอ งตา งๆ เชน ซึ่งในปัจจุบันก�าลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยแพทย์ได้นา� ดนตรีเข้ามาช่วยในการบ�าบัด ความผดิ ปกติทางดา นอารมณ รกั ษาโรคทางจติ ผอ่ นคลายความตงึ เครยี ด และกระตนุ้ การเคลอื่ นไหวรา่ งกายไปตามจงั หวะดนตรกี บั ทางดานรางกาย ทางดานสติปญญา ผปู้ ว่ ยที่ต้องทา� กายภาพบ�าบัด เปนตน นอกจากน้ี เสยี งดนตรียงั สามารถ ชวยปรบั เปล่ียนนสิ ยั กาวรา วของมนษุ ย ๑๒. ใชใ้ นการออกกา� ลงั กาย เชน่ การนา� ดนตรมี าใชป้ ระกอบการเตน้ แอโรบกิ การร�ามวย รกั ษาโรคสมาธิสั้น โดยเฉพาะในเดก็ การร�ากระบี่กระบอง การเต้นลีลาศ หรือใช้จังหวะ หรือท�านองเพลงประกอบการออกก�าลังกาย ซงึ่ จะทาํ ใหม สี มาธยิ าวขนึ้ ออ นโยนขน้ึ ตามปกติ เป็นตน้ โดยใชหลกั ทฤษฎอี ีธอสของดนตรี ซึง่ เช่ือวา ดนตรมี อี าํ นาจในการที่จะเปลยี่ นแปลง ดนตรมี บี ทบาทและความสา� คญั ตอ่ สงั คมและวฒั นธรรมเปน็ อยา่ งมาก ในอดตี มกี ารนา� ดนตรี นิสยั ของมนุษย จนกระท่งั ในบางกรณี มาใช้เพ่ือประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อทางศาสนา ซ่ึงก็ยังคงบทบาทนี้มาจนถึงปัจจุบัน ดังจะ สามารถรกั ษาโรคใหห ายได หรอื ทเี่ รยี กวา พบเห็นได้จากกิจกรรมตามความเช่ือทางศาสนาของผู้คนในประเทศไทยและทุกประเทศท่ัวโลก “ดนตรบี ําบัด”) การพฒั นาดนตรขี องบรรพบรุ ษุ ท่ีไดส้ รา้ งสรรคผ์ ลงานทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ดนตรี ทง้ั การสรา้ งเครอ่ื งดนตรี การประพนั ธเ์ พลง การคดั สรรนา� มาใชเ้ พอ่ื ใหเ้ หมาะสมสอดคลอ้ งกบั กจิ กรรมตา่ งๆ ไดส้ ง่ ผลใหด้ นตรี • นกั เรยี นเคยนาํ เสยี งดนตรมี าใชป ระกอบการ- มคี วามเจรญิ กา้ วหน้ามากกวา่ ในอดตี ออกกาํ ลงั กายหรือไม เพราะเหตุใด (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอสิ ระ) ขยายความเขา ใจ E×pand ใหน ักเรยี นรว มกนั สรุปสาระสําคญั เกยี่ วกบั บทบาทของดนตรีท่ีมีตอ สังคมไทย ลงกระดาษ รายงาน นําสงครผู สู อน ดนตรีชว่ ยรักษาองคค์ วามรแู้ ละภมู ิปญั ญาไทยทางด้านดนตรไี ว้ เพอื่ สืบสานต่อไปยังคนรุ่นหลงั ๑09 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ เกร็ดแนะครู ขอใด ไมใช บทบาทของดนตรีที่มตี อสงั คมและวฒั นธรรมไทย ครคู วรเนน ย้าํ ในเร่อื งอทิ ธิพลของดนตรีกับสงั คมใหนกั เรยี นเขา ใจวา 1. ชว ยใหธรุ กจิ ดนตรขี ยายตัว บคุ คลไมส ามารถแตกแยกออกมาจากสังคมได เพราะโดยธรรมชาติน้ันมนุษย 2. ทําใหค นไทยตนื่ ตัวดานดนตรี จะอยรู วมกนั เปน สงั คม ชอบกระทาํ กจิ กรรมรว มกนั เชน ลา สตั ว ทาํ กจิ กรรมประกอบ 3. ทาํ ใหเ ศรษฐกจิ ไทยเจริญกา วหนา พิธีกรรมตามความเช่อื การเฉลิมฉลองในงานประเพณที างศาสนา เปน ตน 4. ชว ยในการเผยแพรศ ิลปวัฒนธรรมไทย การรวมตัวกนั เชน นี้ ทําใหท ุกคนในกลมุ มโี อกาสแสดงตนตอสังคมและอารมณตา งๆ ออกมา เพื่อใชใ นการส่ือสารความรสู ึกนกึ คดิ กับบคุ คลอนื่ ๆ ทสี่ าํ คัญ ทกุ กจิ กรรม วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะการที่จะทาํ ใหคนไทยใชจ า ยเงนิ จะมกี ารบรรเลงดนตรี หรือการขบั รอ ง เพอ่ื ชว ยสื่อสารความเขา ใจระหวางกัน ของสมาชกิ ในสงั คมดวย อน่ึง ดนตรี คอื ศิลปะทบี่ คุ คลในสังคมสรา งสรรคขึน้ มา ฟุมเฟอ ยข้ึน นา จะมาจากปจ จยั อน่ื ๆ เชน ปจจัยทางดานเศรษฐกจิ ใชร ว มกัน ในบางครง้ั อาจมีผเู ตนราํ เพิ่มเตมิ เขา มาอกี ซ่งึ ทกุ ๆ คนตางลว นมีอารมณ การเมอื ง คานิยมในเรือ่ งการใชเ ทคโนโลยี การแตง กายดวยเส้ือผา รวมกับเสียงดนตรที งั้ สิ้น ดนตรีจงึ กลายเปน วัฒนธรรมอยา งหนึง่ ของสังคมมนุษย แบรนดเนม เปนตน ซึ่งไมไ ดสะทอ นใหเหน็ ในเร่อื งของบทบาทของดนตรี และวัฒนธรรมทางดนตรีของแตล ะสงั คมลวนเปนเครือ่ งชว ยชบ้ี อกลกั ษณะ ทีม่ ตี อ สงั คมและวฒั นธรรมไทย ของขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ภารกิจ กจิ กรรม คานิยมของผคู นในสงั คมนั้นๆ คูมือครู 109

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครพู ิจารณาจากการสรุปสาระสําคัญเกย่ี วกบั กิจกรรม ศลิ ปปฏบิ ัติ ๖.๑ บทบาทของดนตรีที่มตี อ สังคมไทยของนกั เรียน หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรมท ่ี ๑ ใหน้ กั เรยี นเขยี นบรรยายเกยี่ วกบั อาชพี ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ดนตรที น่ี กั เรยี นสนใจ พรอ้ มทงั้ กจิ กรรมที ่ ๒ ให้เหตุผลทีส่ นใจในอาชพี นม�้ าคนละ ๑ หน้ากระดาษรายงาน สง่ ครผู ู้สอน 1. ผลการจดั นิทรรศการเร่ือง กจิ กรรมท ่ี ๓ ให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันเก่ียวกับบทบาทของดนตรีท่ีมีต่อสังคมไทย แล้วสรุปลง “7 อาชีพ ผสู รา งงานดนตร”ี กระดาษรายงาน ส่งครผู ้สู อน ให้นกั เรียนตอบค�าถามต่อไปน้� 2. ผลการสรุปสาระสําคญั เก่ียวกบั บทบาท ๑. ดนตรมี ีบทบาทต่อธุรกิจบนั เทิงอยา่ งไร จงอธิบาย ของดนตรีในธุรกจิ บนั เทิง ๒. อาชพี ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั งานดนตรมี อี าชพี ใดบา้ ง ใหย้ กตวั อยา่ งมา ๑ อาชพี พรอ้ มอธบิ าย 3. ผลการสรุปสาระสาํ คัญเกย่ี วกบั บทบาท พอสงั เขป ของดนตรที ี่มีตอ สงั คมไทย ๓. งานดนตรสี ง่ ผลดีต่อสงั คมและวฒั นธรรมไทยอย่างไร คุณคา ของดนตรไี ดก า วมาสบู ทบาทในการดาํ เนนิ ชวี ติ ของผคู นในทกุ ชว งของการ ดาํ รงชพี ขณะเดียวกันศาสตรด า นดนตรกี ็ไดร ับการปรงุ แตง พฒั นาตามความตอ งการ ที่สอดคลองกับความรูสึกของผูคน ซึ่งสถานการณลักษณะน้ีกําลังพัฒนาตอไปอยาง ไมมีที่ส้ินสุด จนแพรกระจายไปในทุกประเทศ ทุกสังคม ทุกชุมชน อยางรวดเร็วตาม ความเจริญกาวหนาทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ซึ่งเปนปจจัยสําคัญท่ีมีผลตอการ พัฒนาดนตรีเปนอยางมาก เปนส่ิงท่ีเอื้ออํานวยใหดนตรีตองปรับปรุงเคลื่อนไหวให สอดคลองกับสังคม ขณะเดยี วกันก็มกี ารนาํ ดนตรไี ปใชอยางกวางขวางในธุรกิจบนั เทงิ แขนงตางๆ ทําใหงานดนตรีขยายวงกวางมากขน้ึ ๑๑0 แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปปฏิบตั ิ 6.1 กจิ กรรมที่ 3 1. มีบทบาทในการขบั เคลอื่ นใหธุรกิจตางๆ ทเี่ กดิ ข้นึ ดําเนนิ ไปในทิศทางทไี่ ดร บั ความนยิ มจากผบู รโิ ภค 2. นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เห็นไดอยางอสิ ระ โดยข้นึ อยูกับดลุ ยพนิ ิจของครผู สู อน 3. เปนการสบื สานและสรางสรรคผ ลงานทางดนตรีที่มอี ยใู นอดีตมาปรับใชใหม คี วามเหมาะสมในสภาพสังคมปจ จบุ นั ทาํ ใหดนตรมี ีรปู แบบที่หลากหลายมากขึน้ และมีความเจรญิ กาวหนา มากกวา ในอดตี ที่ผา นมา 110 คมู ือครู

กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู 1. อธบิ ายการบูรณาการศลิ ปะแขนงอ่นื ๆ กับการแสดง 2. วเิ คราะหก ารแสดงของตนเองและผอู ่นื โดยใชนาฏยศพั ท หรือศัพททางการละคร ทีเ่ หมาะสม 3. เช่อื มโยงการเรียนรรู ะหวา งนาฏศิลป และการละครกบั สาระการเรยี นรอู ืน่ ๆ สมรรถนะของผูเ รียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี ÷หนว ยที่ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค ความรทู้ ว่ั ไปเกีย่ วกบั นาฏศลิ ป์ 1. มีวินยั 2. ใฝเรยี นรู 3. มุงม่ันในการทํางาน 4. รักความเปน ไทย ตัวชว้ี ัด นาฏศลิ ปเปน วชิ าทวี่ า ดว ยการฟอ นราํ กระตนุ ความสนใจ Engage ■ อธิบายการบูรณาการศิลปะแขนงอื่นๆ กบั การแสดง (ศ ๓.๑ ม.๒/๑) ครูเปดซดี ี หรือดีวดี กี ารแสดงนาฏศิลปไ ทย ■ วิเคราะหก ารแสดงของตนเองและผูอนื่ โดยใชน าฏยศพั ท ทีเ่ ปน การแสดงระบาํ มาตรฐานและการแสดง หรอื ศัพทท างการละครทีเ่ หมาะสม (ศ ๓.๑ ม.๒/๓) และการละคร มจี ดุ ประสงคต รงทเี่ นน การ นาฏศิลปพ ืน้ เมือง อยางละ 1 ชุดการแสดง เคลื่อนไหวของรางกาย การใชภาษาทารํา ใหนักเรียนชม จากนัน้ ครถู ามนักเรยี นวา ■ เช่ือมโยงการเรียนรูร ะหวา งนาฏศลิ ปแ ละการละคร การตีบท โดยใชสรีระตางๆ ของรางกาย กับสาระการเรียนรอู ืน่ ๆ (ศ ๓.๑ ม.๒/๕) • เม่ือนักเรียนไดชมการแสดงนาฏศลิ ปแลว เกดิ ความรูสึกอยางไร สาระการเรยี นรแู กนกลาง เคลอื่ นไหวเพอ่ื สอื่ ความหมายแทนคาํ พดู ในรปู - (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ แบบของการแสดงเปน ชดุ ระบาํ ราํ ฟอ น หรอื การ- ไดอยางอิสระ) ■ ศิลปะแขนงอ่นื ๆ กับการแสดง แสดงโขน ละคร ซง่ึ การแสดงนาฏศลิ ปใ นรปู แบบ - แสง สี เสียง ตา งๆ นน้ั มหี ลกั วชิ านาฏศลิ ปท ป่ี รมาจารยไ ดก าํ หนด • นกั เรยี นสามารถปฏิบตั นิ าฏศลิ ปไ ดห รอื ไม - ฉาก (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ - เครื่องแตง กาย ไวอ ยา งชดั เจน โดยเนน ความเปน เอกภาพในลลี าทา ราํ ไดอ ยา งอิสระ) - อปุ กรณ การแตง กาย ลกั ษณะรปู แบบการแสดง แมแ ตก ารบรรจุ ■ หลกั และวิธกี ารวเิ คราะหก ารแสดง ■ ความสัมพันธข องนาฏศลิ ป หรอื การละคร กบั สาระการเรียนรูอ ื่นๆ เพลงทไ่ี ดค ดั สรรดว ยความประณตี ซงึ่ การแสดงระบาํ รํา ฟอน ก็จะมีเอกลักษณเฉพาะอยางที่แตกตางกัน ออกไป เกรด็ แนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรยี นรูน้ี ครูควรอธบิ ายเพมิ่ เตมิ เกยี่ วกับ การแสดงนาฏศลิ ปวา นาฏศิลปเปน วิชาท่ีวา ดว ยการฟอ นราํ ไมว าจะเปน การแสดง ประเภทระบาํ รํา ฟอ น ก็ลว นแตเ ปน การแสดงท่ใี ชล ีลาทา ทางในการฟอนราํ เพ่ือบง บอกความหมายของทาทาง เพื่อสอ่ื ความหมายแทนคาํ พดู ใหผชู มเขา ใจ เรอ่ื งราวของการแสดงบนเวทแี ละเกดิ ความประทบั ใจในการแสดง สามารถนาํ ความรู ไปใชในชีวติ ประจําวนั ได นอกจากนี้ นาฏศลิ ปย ังเปนเสมือนแหลง รวมศิลปะ และการแสดงหลากหลายรปู แบบเขา ไวด วยกนั โดยมีมนษุ ยเ ปน ศนู ยกลาง การมคี วามรู ความเขา ใจเกย่ี วกับพน้ื ฐานของนาฏศลิ ปไ ทยเปน สง่ิ ทีจ่ ะชว ยสงเสรมิ ใหเ ยาวชนไทยเหน็ คณุ คา ของภมู ปิ ญ ญาไทยและเกดิ ความภาคภมู ใิ จในความเปน ไทย รว มกนั สรางสรรค อนุรกั ษ สืบสาน เผยแพร และถายทอดใหกับอนุชนรนุ หลังสบื ไป คมู อื ครู 111

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงระบาํ กฤดาภนิ หิ าร ๑. หลักการและวธิ กี ารสร้างสรรค์การแสดงนาฏศลิ ป์ ใหนักเรียนชม จากนัน้ ครูถามนกั เรียนวา นาฏศลิ ป์ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของศลิ ปะสาขาวจิ ติ รศลิ ป์ มคี ณุ คา่ ในฐานะเปน็ แหลง่ รวบรวมของศลิ ปะ หลายแขนง ไดแ้ ก่ จติ รกรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม วรรณกรรม ดรุ ยิ างคศลิ ป์ และนาฏศลิ ป์ • นักเรียนเคยชมการแสดงนาฏศิลปชุดน้ี การสร้างสรรค์การแสดงนาฏศิลป์จึงมีความประณีตและละเอียดอ่อน เป็นการสร้างงานท่ีต้อง หรอื ไม ครอบคลุมแนวคิด ก�าหนดรูปแบบ ค�านึงถึงเอกลักษณ์เฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์ไทยแต่ละ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ประเภท เพราะการแสดงระบา� รา� ฟอ น โขน ละคร จะมรี ปู แบบและเอกลกั ษณเ์ ฉพาะทแ่ี ตกตา่ งกนั ไดอยา งอสิ ระ) สา� หรับหลกั การและวธิ ีการสร้างสรรค์การแสดงนาฏศิลป์ท่ผี ู้เรยี นควรทราบ มดี ังน้ี • นกั เรียนคดิ วา การแสดงชุดน้ีมจี ุดมุงหมาย ๑.๑ การกาํ หนดวัตถปุ ระสงค เพ่ือสง่ิ ใด ในการสรา้ งสรรคก์ ารแสดงนาฏศลิ ป์ วตั ถปุ ระสงคเ์ ปน็ เรอ่ื งสา� คญั ทผ่ี สู้ รา้ งงานจะตอ้ งทราบวา่ (แนวตอบ ระบาํ กฤดาภนิ หิ าร เปนระบํา สรา้ งงานเพอื่ เปา หมายใดเปน็ สา� คญั เชน่ หากเปน็ การสรา้ งงานนาฏศลิ ป์ หรอื นา� เสนอการแสดงใน มาตรฐานท่ีมจี ุดมงุ หมายสําคญั ในการ โอกาสตา่ งๆ ผสู้ รา้ งงานตอ้ งศกึ ษาบรบิ ทในชมุ ชน เชน่ การรา� ตอ้ นรบั แขกผมู้ าเยอื น เปน็ ตน้ ถา้ เปน็ อํานวยอวยพร นิยมนาํ มาใชแ สดง ในงานมงคลตางๆ) สาํ รวจคน หา Explore การสร้างงานนาฏศิลป์ หรือน�าเสนอการแสดงเพ่ือความบันเทิง ผู้สร้างงานก็จะต้องสร้างงานให้ สอดคลอ้ งกับรสนิยมและความต้องการของผู้ชม หรือถ้าเป็นการสร้างงานนาฏศลิ ป์ หรือนา� เสนอ ใหน ักเรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรเู พ่มิ เตมิ การเสนอการแ1สดงเพื่อการศึกษา ต้องค�านึงถึงระดับการศึกษาและวุฒิภาวะของผู้แสดงและผู้ชม เกี่ยวกับหลักการและวธิ กี ารสรา งสรรคก ารแสดง- เช่น ระบ�าไก่ ระบ�านก ควรจะอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษา ร�าวงมาตรฐาน ร�าสีนวล ควรอยู่ใน นาฏศลิ ป จากแหลง การเรยี นรูตา งๆ เชน หองสมุด ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษา เป็นต้น โรงเรยี น หอ งสมดุ ชมุ ชน อินเทอรเน็ต เปนตน ในหัวขอท่คี รกู าํ หนดให ดงั ตอไปนี้ ๑.๒ การกําหนดรูปแบบ ผู้สร้างงานนาฏศิลป์ต้องก�าหนดรูปแบบ 1. การกาํ หนดวตั ถปุ ระสงค การแสดงใหต้ รงตามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละบทบญั ญตั ิ 2. การกําหนดรปู แบบ ของการแสดงประเภทนน้ั ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ ระบา� รา� อธบิ ายความรู Explain ฟอน โขน ละคร โดยในท่ีนี้จะยกตัวอย่างการ สร้างงานในรูปแบบของระบา� รา� และฟอน มา ครูสุม นกั เรียน 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม อธบิ ายใหผ้ ูเ้ รยี นเขา้ ใจพอสังเขป ดังนี้ ดังตอ ไปนี้ ๑) การสรางงานในรูปแบบของ • นาฏศิลปไ ทยมคี วามหมายวา อยางไร ระบํา ก�าหนดให้มีผู้แสดงตั้งแต่ ๒ คนข้ึนไป (แนวตอบ ศลิ ปะการแสดงประกอบดนตรี ผู้แสดงต้องมีรูปร่างและฝมือในการร�าใกล้เคียง ของไทย ซึง่ ประกอบไปดวยระบาํ ราํ ฟอ น กัน การบรรจุเพลงร้องและบรรเลงจะมีบทร้อง โขน ละคร และการแสดงนาฏศิลปพนื้ เมอื ง) ระบํากฤดาภินิหาร เปนระบํามาตรฐานชุดหนึ่งท่ีพระ- หรอื ไมม่ กี ็ได้ สา� หรบั ทา่ รา� ไดน้ า� มาจากกระบวน นางจะแตง กายแบบยนื เครื่อง ทา่ รา� ในบทเรยี นเพลงชา้ เพลงเรว็ และเพลงแม-่ ๑๑๒ นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดกลา วถึงนาฏศลิ ปไ ทยไดถ กู ตอง 1 ระบาํ ไก เปน การแสดงนาฏศลิ ปช ดุ หนงึ่ ซง่ึ ปรากฏอยใู นบทละครเรอื่ งพระลอ 1. นาฏศิลปไทยสะทอนการดําเนนิ ชีวติ ของคนไทยได ตอนพระลอตามไก ทา ราํ เปน การเลยี นแบบอากปั กริ ยิ าของไก เนอื้ เรอ่ื งเปน บทประพนั ธ 2. นาฏศลิ ปไทยสามารถส่อื ความหมายใหแ กผ ูชมชาวไทย ของพระเจา บรมวงศเ ธอ พระองคเ จา วรวรรณากร กรมพระนราธปิ ประพนั ธพ งศ รบั รูไดช าตเิ ดยี วเทา นน้ั บรรเลงดว ยวงปพ าทยเ ครอ่ื งหา โดยใชท าํ นองเพลงลาวจอ ย ซง่ึ บทรอ งเพลงลาวจอ ย 3. นาฏศลิ ปไ ทยไดร บั อิทธิพลมาจากอารยธรรมของอินเดีย มดี งั ตอ ไปนี้ เพยี งอารยธรรมเดยี ว “สรอ ยแสงแดงพระพราย ขนเขยี วลายระยบั 4. จากหลักฐานทางประวัติศาสตรพบวา นาฏศิลปไทย ปก สลบั เบญจรงค เลอื่ มลายยงหงสบาท มมี าตั้งแตส มยั อยธุ ยา ขอบตาชาตพะพรง้ิ สงิ คลงิ้ หงอนพรายพรรณ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะการแสดงนาฏศลิ ปไทยจะนยิ ม ขนั ขานเสยี งเอาใจ เดอื ยหงอนใสศรรี ะรอง นําเอาเรอ่ื งราวท่ีสะทอ นใหเ ห็นถึงการดาํ เนนิ ชวี ติ ของคนในทองถ่นิ นนั้ ๆ สองเทา เทยี มนพมาศ เพยี งฉลชุ าดทารง มาใชเปน แนวทางในการประดิษฐทา ทางประกอบการแสดง เชน ปกู ใ็ ชใ หผ ลี ง ผกี ล็ งแกไ ก ระบาํ เก็บใบชา เซิ้งกระตบิ ขา ว เตนกาํ รําเคียว ระบาํ กรีดยาง เปนตน ไกแ กว ไซรบ ม กิ ลวั ขกุ ผกหวั องอาจ ผาดผนั ตปี ก ปอ ง รอ งเรอื่ ยเฉอื่ ยฉาดฉาน” 112 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Expand Evaluate Explain Explain อธบิ ายความรู บทใหญ่ โดยการเลอื กทา่ รา� ทป่ี ระณตี งดงามมารอ้ ยเรยี ง ตคี วามหมายตามบทรอ้ ง และทา� นองเพลง ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั การกาํ หนด กระบวนท่าร�าต้องเคล่ือนไหวด้วยความพร้อมเพรียง แปรแถวได้งดงามและมีความแปลกใหม่ วัตถุประสงคข องการแสดงและการกําหนดรปู แบบ มคี วามตระการตาดว้ ยการแตง่ กายและใชอ้ ปุ กรณต์ า่ งๆ ประกอบการแสดง เชน่ พดั รม่ ผา้ คลอ้ งคอ การแสดง ตามทไี่ ดศ ึกษามา จากนัน้ ครูถาม เปน็ ตน้ นกั เรยี นวา ๒) การสรา งงานในรปู แบบการราํ แบ่งออกเปน็ ๓ ประเภท คอื ร�าเดี่ยว รา� คู่ และ • เพราะเหตใุ ดจงึ มคี ํากลาววา รา� หมู่ ซง่ึ รปู แบบของงานจะมคี วามแตกตา่ งกนั “นาฏศลิ ปเ ปน สวนหน่ึงของงานศิลปะ” ในรายละเอียดบางประการ ดังนี้ (แนวตอบ นาฏศลิ ปเปนสว นหน่งึ ของงาน ๒.๑ ราํ เดยี่ ว กา� หนดใหม้ ผี แู้ สดง ศิลปะสาขาวิจติ รศิลป อนั ประกอบไปดวย เพยี งคนเดยี ว โดยผแู้ สดงจะตอ้ งมคี วามสามารถ จิตรกรรม สถาปตยกรรม วรรณกรรม และ ในการรา� เพราะตอ้ งอวดฝม อื มเี ทคนคิ ในการรา� ดรุ ิยางคศิลป ดังนน้ั การศกึ ษาในเร่ืองของ ทเี่ ปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ทา่ รา� ตอ้ งวจิ ติ ร พสิ ดาร นาฏศลิ ปจ ึงเปนการศึกษาศลิ ปวัฒนธรรม มีจุดเด่นเป็นพิเศษ การแต่งกายต้องถูกต้อง แขนงหน่งึ ) ตามแบบแผน ราํ เมขลา - รามสรู1เปน การราํ คทู จ่ี ะเนน การอวดฝม อื และ • ระบาํ และรํามคี วามแตกตางกนั อยางไร ๒.๒ รําคู ก�าหนดให้มีผู้แสดง ความสัมพนั ธของผแู สดง (แนวตอบ ระบาํ จะใชผ ูแสดงตงั้ แต 2 คน ขึ้นไป ไมม กี ารดําเนนิ เรือ่ ง ใชเ พลงบรรเลง ๒ คน ผสู้ รา้ งงานตอ้ งก�าหนดรูปแบบการร�าคู่ให้ชดั เจน เชน่ ชาย - หญิง พระ - นาง พระคู่ นางคู่ ประกอบ จะมีบทรอ ง หรอื ไมมีก็ได เปน็ ต้น การประดษิ ฐท์ า่ รา� ที่เปน็ คู่ ท่าร�าตอ้ งสมั พันธก์ ับค่รู า� ไมค่ วรเป็นทา่ รา� ทตี่ ่างคนตา่ งรา� และ มกี ารแปรแถวอยางพรอมเพรียง ต้องสอดคล้องกลมกลืนกับจังหวะ ท�านองเพลง และบทรอ้ ง ส่วนการแตง่ กายใหย้ ดึ รูปแบบของ เชน ระบําไก ระบาํ โบราณคดี เปน ตน การแสดงเป็นหลกั สวนการราํ เปนการแสดงทาทาง ๒.๓ ราํ หมู กา� หนดใหม้ ผี แู้ สดง การเคล่ือนไหวรางกายประกอบ มากกวา่ ๒ คน ข้นึ ไป หลักการสา� คัญของการ จังหวะเพลง เนนทว งทา การรา ยราํ ร�าหมู่ คอื ต้องคา� นงึ ถึงความพร้อมเพรียงของ ท่อี อนชอ ยงดงาม เชน รําฉุยฉายพราหมณ กระบวนทา่ รา� ความงดงามจะอยู่ท่ีการแปรแถว เปน ตน ) และการจดั ซมุ้ ในรปู แบบตา่ งๆ ทา่ รา� ตอ้ งสมั พนั ธ์ กับท�านองเพลง เช่น ท่ารา� ท่ีมีแตท่ า� นองเพลง • การฟอ นมจี ดุ มงุ หมายเพื่อสง่ิ ใดเปน สําคญั ต้องยึดอารมณ์เพลงเป็นหลักในการประดิษฐ์ (แนวตอบ เพอ่ื ใชประกอบพธิ ีกรรมตาม ท่าร�า เช่น เพลงปลุกใจท่ีมีท�านองคึกคกั เรา้ ใจ ความเชื่อและความศรัทธาตอ ส่งิ ศักด์ิสิทธิ์ ทา่ รา� กจ็ ะตอ้ งมคี วามทะมดั ทะแมง แสดงอารมณ์ เชน ฟอนแหค รวั ทาน ฟอนทานขาวใหม คกึ คกั กล้าหาญ ฮกึ เหิม เป็นต้น ระบําพิมายปุระ เปนการจําลองทารําจากภาพแกะสลัก เปน ตน และเพ่ือความสนุกสนาน ในปราสาทหนิ พิมาย จงั หวดั นครราชสีมา ความบันเทงิ ในกลมุ คน เชน งานปใหม งานขึ้นบา นใหม งานบวชลูกแกว เปน ตน) ๑๑๓ แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด นกั เรียนควรรู การแสดงนาฏศลิ ปไทยประเภทใดทีน่ ยิ มนํามาแสดงสลับฉาก 1 ราํ เมขลา - รามสรู นางเมขลา เทพธิดารกั ษามหาสมุทร มแี กวมณปี ระจาํ กาย 1. รําเดยี่ ว ครั้นถึงวสนั ตฤดกู ็ออกจากวิมาน ไปรวมรองราํ อยา งสาํ ราญกับเทพบุตร เทพธดิ า 2. รําคู ฝายรามสูร ซึ่งเปน อสูรเทพบตุ รเหาะผานมาเหน็ นางเมขลาโยนแกว มีแสงสวยงาม 3. รําหมู ก็อยากไดด วงแกวน้ัน จงึ ขอดวงแกว แตน างเมขลาไมย อมให และโยนดวงแกว 4. ฟอน ลอ อยไู ปมา รามสูรโกรธจึงขวางขวานเพชรไปยงั นางเมขลา ทําใหเกิดเสยี งกัมปนาท หวาดไหว จึงเกดิ เปน ตาํ นานฟา แลบฟา รองขึ้น วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เพราะเปน การราํ ทมี่ ีผแู สดงเพยี งคนเดียว มมุ IT มีจุดมงุ หมายเพยี งอวดฝม ือในการรา ยรํา หรอื เปนการแสดงสลับฉาก เพอื่ รอจัดฉาก หรือรอตัวละครอนื่ ๆ ทยี่ งั แตงกายไมเ รียบรอ ย การรําเดีย่ ว นกั เรียนสามารถชมการแสดงชดุ เมขลา - รามสูร ไดจ าก บางครั้งก็นํามาใชใ นการแสดง “เบิกโรง” ดวย http://www.youtube.com โดยคน หาจากคาํ วา เมขลา - รามสรู คมู อื ครู 113

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงโขน เรอื่ งรามเกยี รติ์ ๓) การสรางงานในรูปแบบการฟอน ก�าหนดให้มีผู้แสดงต้ังแต่ ๒ คนขึ้นไป ใหน กั เรยี นชม โดยใหนักเรยี นสงั เกตวาในการแสดง ดงั กลา วนอกจากการแสดงลลี าการรา ยราํ ของผแู สดง การฟอนเป็นนาฏศิลป์เฉพาะถ่ินของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการประดิษฐ์ แลว ยังมีศลิ ปะแขนงใดอกี บา งทีน่ กั เรยี นสามารถ ทา่ ฟอ นไมค่ วรนา� ทา่ รา� หรอื ทา่ ฟอ นของแตล่ ะทอ้ งถนิ่ มาปะปนกนั เพราะจะทา� ใหก้ ารแสดงนาฏศลิ ป์ พบเห็นไดจากการแสดงโขน ชุดน้ันขาดความมีเอกภาพ ดนตรีประกอบการแสดงต้องเป็นวงดนตรีพ้ืนเมือง การแต่งกายควร ถกู ตอ้ งตามวฒั นธรรมการแต่งกายของภาคเหนอื หรอื ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ สาํ รวจคน หา Explore ใหนกั เรยี นแบงกลุม ออกเปน 5 กลมุ ใหนักเรียนศกึ ษา คน ควา หาความรเู พ่ิมเตมิ เกยี่ วกบั ศิลปะแขนงอ่นื ๆ กบั การแสดงนาฏศลิ ป จากแหลง การเรยี นรูตางๆ เชน หองสมดุ โรงเรยี น หองสมดุ ชมุ ชน อินเทอรเน็ต เปนตน ในหวั ขอทีค่ รูกําหนดให ดงั ตอ ไปนี้ กลมุ ท่ี 1 บทประพันธ กลมุ ที่ 2 ดนตรี กลมุ ที่ 3 เครือ่ งแตงกาย กลมุ ที่ 4 ฉาก แสง สี เสียง กลุม ท่ี 5 อุปกรณป ระกอบการแสดง อธบิ ายความรู Explain 1 ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 1 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ฟอนภูไท เปนการแสดงทมี่ ีลีลาการแปรแถวคลา ยกบั ระบาํ เพมิ่ เตมิ เก่ียวกบั ศลิ ปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง นาฏศิลป สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู ๒. ศิลปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง ในหวั ขอ บทประพนั ธ ตามทไี่ ดศ กึ ษามาหนา ชนั้ เรยี น นาฏศลิ ป์ไทย มคี วามสมั พันธ์กับศิลปะแขนงอนื่ ๆ ดังจะอธบิ ายพอสังเขปดงั น้ี จากน้ันครถู ามนกั เรยี นวา ๑) บทประพันธ เน่ืองจากการแสดงนาฏศิลป์ไทยมีอยู่ด้วยกันหลากหลายประเภท ทง้ั ระบา� รา� ฟอ น โขน ละคร การแสดงพนื้ เมอื ง การแสดงบางประเภทมเี นอ้ื เรอื่ ง ซง่ึ เปน็ สาระสา� คญั • “อนจิ จาเจาเพ่อื นไร มาบรรลยั อยเู อองค ขขอองงเกราอ่ื รงแทสใี่ ชดใ้งนกเชาร่นแสกดางรเแพสอ่ื ดสงอื่ โถขงึนคโวรางมในคดิ เรอ่ือางรมราณม์ เจกติ ียใจรตร์ิวตมอไปนถพงึ รเะรรอ่ื างมร2าขวา้ ทมเ่ี สปมน็ ุทปรระหซนงึ่ งึ่ผโปู้ครระงพเรนัอื่ ธง์ พ่ีจะไดสิ่งใดปอง พระศพนองในหมิ วา” แไดต้ถเ่ นออ่ืดงคจวาากมผมแู้ าสจดางกโรขานมตเอ้กงียสรวตม์ิคห�าวัพโาขกนย3ไ์ มแส่ ลา้วมมาารรถ้อพยดู เปได็น้ จคงึวใาชมว้ เธิรตีียบีงทใตชา้เมปบ็นทบโทขเนจแรลจะานแา�ทบนทตพัวาโขกนย์ จากบทประพนั ธนีใ้ หความรูสึกอยา งไร มาปรับปรงุ เป็นคา� ประพันธป์ ระเภทกลอนบทละคร แลว้ บรรจุทา� นองเพลงทีเ่ หมาะสม สา� หรับใช้ (แนวตอบ แสดงใหเหน็ ถึงความโศกเศรา ประกอบการแสดงในโอกาสตา่ งๆ เสียใจของตวั ละคร) ๑๑๔ • “กลอนบทละคร” หมายถงึ สิง่ ใด (แนวตอบ คาํ กลอนทแี่ ตง ขึน้ เพื่อนํามาใช ประกอบการแสดงละครราํ เชน เรอ่ื งรามเกยี รต์ิ อเิ หนา อณุ รุท เปน ตน ) นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET 1 ฟอ นภไู ท เปน การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (อสี าน) “เคาโมงจบั โมงมองเมียง คูเคาโมงเคียง เปน ลกั ษณะการเซงิ้ การฟอ นแบบดงั้ เดมิ ไมม กี ารจบี มอื การฟอ นภไู ทนเ้ี ปน การละเลน เคียงคูอยปู ลายไมโ มง คอ ยยดุ ฉดุ โชลง พ้นื เมอื งของชาวภูไท เดมิ ทกี ารแสดงชนิดนจี้ ะใชแ สดงเพ่ือถวายพระธาตเุ ชิงชมุ เพียงอยางเดียว ตอมาจงึ นาํ มาใชแสดงในงานรนื่ เริงตา งๆ ดวย ลางลงิ ลิงเหนย่ี วลดาโยง 2 พระราม เปนตวั ละครเอกในเรือ่ งรามเกียรต์ิ ทรงมีพระวรกายเปนสเี ขยี ว โลดไลในกลางลางลงิ ” ทรงธนเู ปน อาวธุ มศี รวเิ ศษ 3 เลม คอื ศรพรหมาสตร ศรอคั นวิ าต และศรพลายวาต 3 หัวโขน หรอื หนา โขน ถูกสรา งข้นึ ดวยศลิ ปะชั้นสูง วงการนาฏศิลปไทยถอื วา บทประพันธนเ้ี ปนการพากยลกั ษณะใด หวั โขนเปน ครู การแสดงโขนเปนนาฏกรรมทีผ่ แู สดงตองสวมหวั โขน ซง่ึ มลี กั ษณะ 1. พากยเมือง ทแี่ ตกตางกนั ตามเรือ่ งรามเกยี รติ์ หวั โขนแบงออกเปน ประเภทตางๆ ไดแ ก ฤๅษี 2. พากยรถ มนุษย ยกั ษ วานร และสัตวต างๆ 3. พากยโ อ 4. พากยช มดง วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. เพราะในบทประพันธกลาวถงึ ภมู ปิ ระเทศ ปา เขาลาํ เนาไพร สตั วป า ซึ่งการพากยช มดงจะเปนการพากยเ กีย่ วกบั การชมปา เขาลําเนาไพร) 114 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒) ดนตรี เป็นศิลปะที่น�ามาใช้ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ เพ่ือใช้ในการก�าหนด ใหน ักเรยี นกลุม ท่ี 2 - 4 ที่ไดศ ึกษา คน ควา จังหวะ ถ่ายทอดความรู้สึกให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ต่างๆ บ่งบอกถึงวัฒนธรรมของชาติน้ันๆ รวมทั้ง หาความรเู พม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั ศลิ ปะแขนงอนื่ ๆ กบั การ- บ่งบอกฐานันดรศักด์ิของตัวละครและการแสดงกิริยาต่างๆ เช่น การบรรเลงวงปพาทย์ประกอบ แสดงนาฏศลิ ป สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย การแสดงโขน เพลงรวั เพลงเชดิ เพลงเชิดนอก ซ่ึงผบู้ รรเลงจะต้องมปี ระสบการณ์และมีความรู้ ความรูในหวั ขอ ดนตรี เครอ่ื งแตงกาย และฉาก เรอื่ งกระบวนท่าร�า จึงจะสามารถบรรเลงได้สอดคล้องกลมกลืนกันกบั ทา่ รา� เปน็ ต้น แสง สี เสยี ง ตามท่ีไดศ ึกษามาหนาช้นั เรยี น ทั้งนี้ ดนตรีประกอบการแสดงจะต้องสอดคล้องกับประเภทของการแสดง รวมทั้ง จากน้ันครูถามนักเรียนวา สอดคลอ้ งกบั เชอ้ื ชาตแิ ละบง่ บอกถงึ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เชน่ วงดนตรพี นื้ เมอื งภาคเหนอื จะใชบ้ รรเลง ประกอบการฟอ น วงดนตรพี น้ื เมอื งภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื จะใชบ้ รรเลงประกอบการเซงิ้ เปน็ ตน้ • ดนตรที ี่ใชประกอบการแสดงนาฏศิลปไทย ๓) เครอ่ื งแตง กาย ศลิ ปะดา้ นเครอื่ งแตง่ กายจดั เปน็ องคป์ ระกอบทมี่ คี วามสา� คญั มาก สามารถแบง ออกเปนกปี่ ระเภท อะไรบา ง ต่อการแสดงนาฏศลิ ป์ไทย เพราะนอกจากจะใช้สวมใส่เพอ่ื ความวจิ ติ รงดงามแลว้ เครอ่ื งแตง่ กาย (แนวตอบ ดนตรไี ทยทนี่ าํ มาประกอบการแสดง ยงั สามารถบ่งบอกถึงประเภทของการแสดง ประวตั ิ ทีม่ า บุคลกิ ลักษณะ เชอื้ ชาติ และฐานะของ นาฏศลิ ปไทย มีประเภทวงปพ าทยเครอื่ งหา ตวั ละครไดอ้ กี ด้วย เชน่ หนุมานแตง่ กายยืนเครื่องลงิ สีขาว สวมหัวโขนวานรสีขาว หวั โล้น ปากอา้ วงปพ าทยเ ครอื่ งคู และวงปพ าทยเ ครอื่ งใหญ สวมมาลัยทอง มดี าวเดอื นในปาก และมเี ขยี้ วอย่กู ลางเพดานปาก เปน็ ต้น ลกั ษณะของดนตรจี ะเปน ประเภทไมแข็ง ๔) ฉาก แสง ส ี เสียง เป็นศิลปะประกอบการแสดงที่สา� คญั ในการสื่อเรือ่ งราวได้ กับไมน วม สาํ หรับการแสดงท่เี ปนนาฏศิลป เปน็ อย่างดี เนอื่ งจากผ้ชู มจะเขา้ ใจเรือ่ งราวเชิงประจกั ษ์ โดยไม่ต้องจินตนาการและจะได้รบั ความ มาตรฐาน สว นนาฏศลิ ปพ้นื เมืองจะใช ประทับใจในการแสดงจากฉาก แสง สี เสียงประกอบการแสดงที่สมจริง เช่น ในการแสดงโขน วงดนตรีพืน้ เมอื ง) เรอ่ื งรามเกยี รติ์ ตอนพระรามขา้ มสมทุ ร บทโขน ได้อธบิ ายฉากไวช้ ัดเจนว่าต้องแบ่งเปน็ ๒ ส่วน • เพราะเหตใุ ดเครอื่ งแตง กายของตวั ละคร มคือหาสส่วมนทุ ทรีเ่ ปเพน็ รพา้ืนะดตนิามหเนรอ้ือื เบรนอ่ื ฝงงั สุคกรับีพส1่วหนนทุมีเ่ ปา็นน จงึ สามารถบง บอกประเภทและฐานะของ แลลงไะปพใวนกมลิงหาจสะมอุทยู่บรทนี่มฝีังนแาลงะสชุพ่วรยรกณันมขนัจหฉินา2แโยลนะ การแสดงได บริวารปลาอาศัยอยู่ ซึ่งนางสุพรรณมัจฉาและ (แนวตอบ เพราะการแสดงแตละชดุ ผูแสดง บริวารปลาก็จะช่วยกันขนก้อนหินที่พวกลิงโยน จะสวมเครื่องแตงกายท่ีแตกตา งกัน ซ่งึ จะ ลงมาเอาออกไป เปน็ ต้น เหน็ ไดช ดั จากการแสดงโขน เพราะตัวละคร นอกจากนี้ หากต้องการให้การแสดง จะสวมเครื่องแตง กาย หวั โขนท่มี ีสี และ นาฏศลิ ป์ไทยเกิดความงดงามและสรา้ งบรรยา- ลักษณะใบหนาท่ีแตกตา งกัน เชน อนิ ทรชติ กาศให้สมจริงตามจินตนาการ ก็ยังสามารถใช้ กายสเี ขยี ว หน่งึ หนา สองกร ตาโพลง แสง สี เสียงเข้ามาช่วยเพ่ิมบรรยากาศได้ เคร่ืองแตงกายเปนองคประกอบที่มีความสําคัญตอการ- เขย้ี วคดุ (เข้ียวดอกมะลิ) ปากหุบ ไมว่ า่ จะเปน็ การนา� แสง สี มาใชเ้ ปน็ เครอื่ งบง่ บอก แสดงนาฏศิลปไทย เพราะสามารถใชบงบอกฐานะของ ทรงชฎาเดินหน หรอื กาบไผย อดปด ผูแ สดงบทน้นั ๆ ได จอนหูมี 2 แบบ คือ จอนหูแบบมนุษย และจอนหแู บบยกั ษ เปนตน ) ๑๑๕ • การนําความรูเ รือ่ งฉาก แสง สี เสยี งมาใช ประกอบการแสดงนาฏศิลปช วยใหเ กดิ สิง่ ใด (แนวตอบ ทําใหก ารแสดงมคี วามสมจริง มากขน้ึ เน่อื งจากฉาก แสง สี เสยี ง เปน ศลิ ปะประกอบการแสดงทส่ี ําคัญ ในการส่อื สารเร่อื งราว ทําใหผชู ม มีจินตนาการและไดร บั ความประทบั ใจ จากการแสดง) แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด เกรด็ แนะครู การแสดงในขอ ใดทีส่ ีชุดของตวั ละครมสี วนสําคัญในการสื่อความหมาย ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี เี กยี่ วกบั การแสดงนาฏศลิ ปไ ทยทมี่ กี ารใช ฉาก แสง สี เสยี ง 1. ละครพันทาง ประกอบการแสดง เชน โขน เรื่องรามเกียรต์ิ ตอนนางลอย เปนตน หรอื อาจพา 2. อปุ รากรจีน นกั เรียนไปชมการแสดงนาฏศิลปไทยท่ีมกี ารใชฉาก แสง สี เสยี งประกอบการแสดง 3. ละครนอก ทจ่ี ัดขนึ้ ในงานวันสาํ คญั ตา งๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งจะทําใหน กั เรียนมคี วามรู 4. ละครเวที ความเขา ใจเกี่ยวกับการใชฉ าก แสง สี เสยี งประกอบการแสดงนาฏศิลป ไดด ีย่งิ ขนึ้ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะอุปรากรจนี ตัวละครสวมชุดสีขาว นักเรยี นควรรู บงบอกถึงความคดโกงและความโหดเหี้ยมของตัวละครที่แสดงเปน ขุนนาง ทคี่ ดโกง 1 สคุ รพี เปน หนึง่ ในตวั ละครทปี่ รากฏอยใู นเร่อื งรามเกียรต์ิ เปนพญาวานรมกี าย สีแดง เปนลูกของพระอาทิตยกบั นางกาลอัจนา ไดรบั การแตงตง้ั ใหเปน “พญาไวย- วงศามหาสุรเดช” ครองกรงุ ขีดขนิ 2 นางสุพรรณมัจฉา เปนหนงึ่ ในตัวละครทีป่ รากฏอยูในเรื่องรามเกยี รต์ิ เปน บุตร ของทศกัณฐ มีลกั ษณะครง่ึ คนครงึ่ ปลา คูมอื ครู 115

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาาใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 5 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู เวลาในทอ้ งเรอื่ ง เชน่ แสงอ่อนนวลในตอนเชา้ แสงสีสม้ ในตอนเย็น เปน็ ต้น หรอื การใช้เสยี งสร้าง เพ่มิ เติมเกย่ี วกบั ศิลปะแขนงอ่ืนๆ กบั การแสดง ความสมจริง เช่น เสยี งฟา ผ่า เสียงฟารอ้ ง เสียงระเบดิ เปน็ ตน้ นาฏศลิ ป สงตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู ๕) อุปกรณประกอบการแสดง ในหวั ขอ อปุ กรณป ระกอบการแสดง ตามทไี่ ดศ กึ ษามา ถือเป็นการน�าศิลปะแขนงอ่ืนๆ มาใช้ประกอบ หนา ช้ันเรียน จากนน้ั ครถู ามนกั เรียนวา การแสดงและเป็นส่วนส�าคญั ท่ชี ว่ ยใหก้ ารแสดง สมจรงิ และน่าประทับใจมากยง่ิ ขน้ึ โดยอุปกรณ์ • อุปกรณท ี่ใชในชีวิตประจาํ วนั ใดบา ง ที่น�ามาประกอบในการแสดงนาฏศิลป์ จะแบ่ง ท่นี ํามาใชป ระกอบการแสดงนาฏศลิ ปไ ด ออกไดเ้ ปน็ ๕ ประเภทหลกั ๆ ดังนี้ (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น ๑. อาวธุ จะใช้อาวุธทท่ี �าเทียม ไดอ ยา งอสิ ระ ครยู กตัวอยา งเพ่อื ใหน ักเรียน ขปน้ึลอมดาภมัยนี ขา้� อหงนผกั ู้แเสบดางเพเอช่ื คน่ วาทมวสนะ1ดดวากบแคลู่ะคกวราะบม่ี เขา ใจมากขน้ึ คอื อาวธุ เชน ทวน กระบี่ ดาบ กรชิ พลอง ง้าว หอก เปน็ ตน้ เปน ตน เครอ่ื งมือเครอ่ื งใช เชน กระตบิ ขาว ๒. เคร่ืองมือเครื่องใช้ท่ีใช้ เคียวเกย่ี วขาว เทียน เปน ตน เคร่อื งดนตรี อุปกรณประกอบการแสดงเปนสวนสําคัญที่ชวยให ประกอบการแสดง มักเป็นเคร่ืองมือประกอบ เชน ฉิ่ง กรบั กลองยาว เปน ตน พฤกษาชาติ การแสดงสมจรงิ และนาประทบั ใจมากย่งิ ข้นึ อาชีพและเคร่ืองใช้ในชีวิตประจ�าวันที่เป็นของ เชน ดอกไม ใบไม กิ่งไม เปนตน อปุ กรณ- ประกอบฉาก เชน กอ นหิน กอนเมฆทที่ าํ จากโฟม เปนตน) ขยายความเขา ใจ Expand จรงิ หรอื ใกลเ้ คยี งกบั ของจรงิ เชน่ กระตบิ ขา้ วเหนยี ว เคยี วเกย่ี วขา้ ว เปน็ ตน้ ซง่ึ เครอ่ื งมอื เครอ่ื งใช้ เหลา่ น้ีจะใช้ประกอบการแสดงเพือ่ สือ่ ความหมาย ครูเปดซีดี หรือดีวีดีการแสดงนาฏศิลปไทย เช่น ฉง่ิ ใชป้ ระก๓อ.บเกคารร่ือแงสดดนงตรระีบเา� ปฉ็นิ่ง2สก่ิงลทอี่ผงู้แยสาดวงใจชะป้ถรือะปกรอะบกกอาบรใแนสกดางรรแ�าสกดลงอบงายงาปวรเะปเภน็ ทตน้เท่านั้น ใหน กั เรยี นชม จากนน้ั ใหนกั เรยี นรว มกนั วเิ คราะหเ กย่ี วกบั ๔. พฤกษชาติ ในทน่ี ห้ี มายถึง ดอกไม้ ใบไม้ กิง่ ไม้ และตน้ ไม้ ทั้งทเี่ ปน็ ของแท้ ศลิ ปะแขนงอ่นื ๆ ทีป่ รากฏในการแสดง ในหวั ขอบท และของท่ที า� เทียมขน้ึ มา ประพันธด นตรี เคร่อื งแตง กาย ฉาก แสง สี เสยี ง ๕. อุปกรณ์เบ็ดเตล็ด เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการแสดงบางชุดเท่านั้น เช่น และอุปกรณป ระกอบการแสดง เขยี นสรุปผล ก้อนหินทีท่ า� ขนึ้ จากโฟมน�ามาใชป้ ระกอบการแสดงโขน เรอ่ื งรามเกยี รต์ิ ตอนพระรามขา้ มสมุทร การวิเคราะห ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครูผูส อน เปน็ ตน้ ตรวจสอบผล Evaluate จากท่ีกล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า การแสดงนาฏศิลป์ไทยจ�าเป็นต้องใช้ศิลปะหลากหลาย ครพู จิ ารณาจากการวเิ คราะหก ารแสดงนาฏศลิ ป แขนงเข้ามาใช้ประกอบการแสดง เพ่ือความสมจรงิ ตามเนอ้ื เรอ่ื ง เพอื่ ความวิจิตรงดงามและทา� ให้ ไทย เก่ียวกบั ศลิ ปะแขนงอืน่ ๆ ทป่ี รากฏในการแสดง ผู้ชมได้รบั อรรถรสในการชมการแสดงมากยิ่งขึ้น ซง่ึ การน�าศิลปะแขนงต่างๆ มาใช้ประกอบการ- ในหวั ขอ บทประพันธ ดนตรี เครื่องแตงกาย ฉาก แสดง สามารถสะทอ้ นให้เหน็ ถึงความสามารถของผู้จัดการแสดงเกี่ยวกับความร้ใู นเรอื่ งของศลิ ปะ แสง สี เสียง และอุปกรณประกอบการแสดง ไมว่ ่าจะเปน็ งานด้านฝม อื งานดา้ นเทคนคิ และสามารถนา� มาผสมกลมกลนื กนั อย่างลงตัว ของนักเรียน ๑๑๖ นกั เรยี นควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 ทวน อาวธุ ชนดิ หนง่ึ ท่มี ีลักษณะคลายหอก มขี นาดเรียวเล็ก นา้ํ หนกั เบา ใหน ักเรียนสืบคนภาพอุปกรณป ระกอบการแสดงนาฏศิลป พรอ มเขยี น และมดี า มยาว เปนอาวุธท่ีนํามาใชในการแทงและฟน นยิ มนํามาใชประกอบ คําบรรยายใตภาพ จัดทําเปน สมุดภาพ ตกแตง ใหส วยงาม นําสงครูผูสอน การแสดงบนหลังมา เพ่อื ใหเ กดิ ประสิทธภิ าพสูงสุด เพราะความเร็วของมา จะเพิม่ ความแรงในการแทง กจิ กรรมทาทาย 2 ระบําฉิง่ เปน ระบําท่ีมีลลี าการรายรําทีอ่ อ นชอยงดงาม ผูป ระดษิ ฐท า ราํ คือ นางลมลุ ยมะคปุ ต และนางเฉลย ศขุ ะวณชิ ทาํ นอง จังหวะเพลงระบําฉ่ิง ใหน กั เรยี นเขียนแนวทางการจดั การแสดงโขน โดยการนาํ ศิลปะ ประพนั ธโ ดยนายมนตรี ตราโมท ผแู สดงจะตองใชม ือทงั้ 2 ขาง ถอื ฉงิ่ รํา พรอ มกบั แขนงตา งๆ มาประกอบการแสดง ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครูผสู อน ตจี งั หวะเปนบางชว งตามทาํ นองเพลง ท้ังชา และเรว็ มุม IT นกั เรียนสามารถชมการแสดงระบําฉง่ิ ไดจาก http://www.youtube.com โดยคน หาจากคําวา ระบําฉงิ่ 116 คมู อื ครู

กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ ความสนใจ ๓. หลกั การวจิ ารณ์การแสดงนาฏศิลปไ์ ทย ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงโขนเรอื่ งรามเกยี รติ์ เนอื่ งจากการแสดงนาฏศลิ ป์ไทยเปน็ ศลิ ปะทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการผสมผสานศลิ ปะหลากหลายแขนง ใหนักเรยี นชม จากนน้ั ครถู ามนกั เรยี นวา เข้าไว้ด้วยกัน ซ่ึงผู้ชมการแสดงจะสัมผัสได้จากการชมและการฟัง ดังนั้น ผู้ชมจ�าเป็นจะต้องมี ความรู้พ้ืนฐานทางด้านนาฏศิลป์ไทย รวมท้ังเข้าใจหลักการวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ไทยด้วย • นกั เรยี นมหี ลักการในการวิจารณการแสดง เพื่อเพิ่มอรรถรสในการชมการแสดงให้มากย่ิงขึ้น ซ่ึงหลักการวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ไทย อยางไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ในดา้ นตา่ งๆ๑ม) ีดดังานนี้ บทประพันธ1การแสดงนาฏศิลป์ไทยส่วนใหญ่ จะเป็นการแสดงท่ีมีบทร้อง ไดอยางอิสระ ครอู ธบิ ายเพมิ่ เติมวา ควร วจิ ารณในเรอื่ งของบทประพันธ ลักษณะ และท�านองเพลงประกอบการแสดง ซึ่งผู้ประพันธ์จะร้อยเรียงถ้อยค�าไว้อย่างสละสลวย ไพเราะ รปู แบบการแสดง ลลี าทา รํา การแตง กาย มีสัมผัสนอก สัมผัสใน และสื่อความหมายของบทร้องด้วยลีลาท่าร�า โดยส่วนใหญ่จะหลกี เลยี่ ง และความเปนเอกภาพในการแสดง) การใชถ้ อ้ ยคา� ทมี่ คี วามหมายซา้� ซอ้ น เพราะจะทา� ให้ยากตอ่ การตบี ท สาํ รวจคน หา Explore ๒) ดา นลกั ษณะและรปู แบบการแสดง การวจิ ารณก์ ารแสดงนาฏศลิ ป์ไทย ผวู้ จิ ารณ์ ใหน กั เรียนศึกษา คน ควา หาความรูเ พิ่มเตมิ ควรเข้าใจลักษณะและรูปแบบของการแสดงให้ถ่องแท้เสียก่อน เช่น ร�าสีนวล เป็นการแสดง เก่ียวกบั หลักการวจิ ารณการแสดงนาฏศลิ ปไทย ประเภทรา� หมทู่ ต่ี อ้ งการอวดอริ ยิ าบถของหญงิ สาวทอี่ อ่ นชอ้ ย งดงาม ซง่ึ รปู แบบการแสดงจะไมเ่ นน้ จากแหลง การเรียนรตู า งๆ เชน หอ งสมุดโรงเรียน การดา� เนนิ เรอ่ื งราวเหมอื นโขน หรอื ละคร แตเ่ นน้ กระบวนทา่ รา� ทม่ี คี วามพรอ้ มเพรยี งและเนน้ การ หองสมุดชมุ ชน อินเทอรเ น็ต เปนตน ในหวั ขอ แปรแถวทสี่ วยงาม ดงั นนั้ หลกั การวจิ ารณก์ ารแสดงรา� สนี วลกจ็ ะตอ้ งพจิ ารณาทค่ี วามพรอ้ มเพรยี ง ทีค่ รูกําหนดให ดงั ตอไปน้ี ในการรา� และการแปรแถวทส่ี วยงาม ตระการตา และหลากหลาย อวดผู้แสดงได้ครบทุกคน 1. ดา นบทประพนั ธ เป็นตน้ 2. ดา นลกั ษณะและรปู แบบการแสดง 3. ดานลีลาทา ราํ ๓) ดา นลลี าทา ราํ พจิ ารณาไดจ้ าก 4. ดา นการแตงกาย 5. ดา นเอกภาพในการแสดง ลีลาท่าร�าที่จะต้องถูกต้องตามแบบแผน เน่ืองจากการแสดงนาฏศิลป์ไทยจะเน้นลีลา อธบิ ายความรู Explain ทา่ รา� ทม่ี ีความออ่ นชอ้ ย งดงาม และสือ่ ความ- หมายไดอ้ ยา่ งชดั เจน นอกจากนี้ ยงั เนน้ ทก่ี ารรา� การแสดงนาฏศลิ ปไ ทย จะเนน ลลี าทา ราํ ทอี่ อ นชอ ย งดงาม ครสู มุ นักเรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ตีบทให้สอดคล้องตามบทร้องและท�านองเพลง ดงั ตอ ไปนี้ เพ่ือสื่อความให้ผู้ชมเข้าใจและเกิดสุนทรียรส ฟแลอะนสส่ือาควไวหามม2หทม่ีมาที ยมี่ ไาดจอากยกางาชรัปดเรจะนกอ(บจอาากชภพี าทพอกผาาร)แสดง ในการชมด้วย ปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทย • นกั เรยี นเคยชมการแสดงนาฏศลิ ปไ ทยหรอื ไม จึงได้ประดิษฐ์ท่าร�าท่ีสื่อความหมายและเป็น ถา เคย หลังจากชมการแสดงเสร็จแลว แบบแผนไว้ ดังน้ัน ผู้แสดงมิควรพลิกแพลง นักเรียนเคยวิจารณการแสดงบา งหรือไม หรอื เปลีย่ นแปลงท่ารา� ดังกล่าว อยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอสิ ระ) ๑๑๗ ขอสอบ O-NET นกั เรยี นควรรู ขอ สอบป ’50 ออกเก่ียวกบั หลักการวเิ คราะหก ารแสดงนาฏศิลปไทย 1 บทประพันธ ทน่ี ยิ มนาํ มาแสดงนาฏศิลปไ ทย คอื กลอนบทละคร ขอ ใด ไมใ ช หลักในการวจิ ารณการแสดงชุดระบําอัศวลลี า หรอื กลอนแปด หากเปน การแสดงโขน เรือ่ งรามเกยี รติ์ จะมบี ทพากย 1. ผแู สดงจะตองราํ ใหออนชอ ยงดงามตามแบบแผนของนาฏศิลปไทย ซงึ่ ประพนั ธดวยกาพยยานี 11 และกาพยฉบัง 16 2. ผูแสดงควรถา ยทอดกริ ยิ าอาการของมา ใหชัดเจน 2 ฟอนสาวไหม เปนการแสดงทีด่ ดั แปลงมาจากวิถชี วี ติ ความเปน อยขู อง 3. คงรักษาไวซึ่งรูปแบบการแสดงและการแปรแถว ชาวบา นภาคเหนือทน่ี ิยมการทอผาฝา ย ทา รําจะแสดงใหเ ห็นถึงลักษณะ 4. ไมม ขี อใดถูก การเล้ยี งไหม สาวไหม กรอไหม และทอผาไหม ผูท่คี ดิ คน การฟอนสาวไหม คือ นายกุย สุภาวสทิ ธิ์ อดีตศลิ ปน ชางฟอน (ปจจบุ นั ไดลว งลบั ไปแลว) วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะการแสดงชุดระบําอัศวลลี า มุม IT จะมีทว งทาํ นองท่ีคึกคกั มีจังหวะท่กี ระตุกเหมือนการเคลอื่ นไหวรางกาย ของสัตว ทาํ นองเพลงเลียนแบบลกั ษณะทา ทางของมา ในยามทีเ่ ย้อื งยาง นกั เรยี นสามารถชมการแสดงฟอ นสาวไหม ไดจ าก http://www.youtube.com อยางสงา งาม โดยคนหาจากคําวา ฟอ นสาวไหม คูมือครู 117

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขาาใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู ใหน กั เรียนรวมกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั หลกั การ ๔) ดา นการแตงกาย แนวทางการวิจารณค์ วรพิจารณาจากการแต่งกายของผแู้ สดง วิจารณการแสดงนาฏศลิ ปไ ทยในดานตางๆ ตามทไี่ ดศกึ ษามา จากน้นั ครถู ามนกั เรยี นวา หากเป็นการแสดงประเภทโขน หรือละครจะแต่งกายตามบทบาทในเนื้อเร่ือง หากเป็นชุดระบ�า มาตรฐานจะแต่งกายยืนเครื่องพระ - นาง หากเป็นการร�าที่มาจากการแสดงโขน หรือละครแล้ว • เพราะเหตุใดจงึ ตอ งมีการวิจารณการแสดง น�ามาแสดงเป็นชุดเอกเทศก็จะแต่งกายตามลักษณะของตัวละครน้ันๆ แต่หากเป็นการแสดง- นาฏศิลปไทย พ้ืนเมืองก็จะแต่งกายตามแบบชาวไทยในภาคต่างๆ เช่น การแสดงนาฏศิลป์ไทย ชุดร�าสีนวล (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เห็น เป็นการแสดงพ้ืนเมืองภาคกลาง ผู้แสดงแต่งกายแบบหญิงไทยพ้ืนเมืองภาคกลาง ห่มสไบ ไดอ ยา งอิสระ) นุ่งโจงกระเบน ปล่อยผมยาว ทดั ดอกไมด้ ้านซ้าย สวมกา� ไลเท้า เป็นตน้ • การแตง กายในการแสดงมาตรฐานแตกตาง ๕) ดา นความเปน เอกภาพในการแสดง ผวู้ จิ ารณค์ วรคา� นงึ ถงึ ความเปน็ เอกลกั ษณ์ จากการแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมืองอยา งไร (แนวตอบ การแสดงนาฏศิลปมาตรฐาน เฉพาะของการแสดง เช่น หากจะวิจารณ์การแสดงละครใน ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ ผูแสดงจะแตงกายยืนเครื่องพระ - นาง ละครใน คือ เน้นความประณีตงดงามในกระบวนท่าร�า เคร่งครัดในจารีตประเพณี การแต่งกาย สว นการแสดงนาฏศลิ ปพ้ืนเมืองสวนใหญ ท่าร�าท่ีถูกต้องตามแบบแผน ไม่เน้นการด�าเนินเร่ือง ดังน้ัน ลีลาท่าร�า การแต่งกาย บทร้อง จะแตงกายดว ยชุดพ้ืนเมอื งของภาคตางๆ) ท�านองเพลง ฉาก แสง สี และเสียงจะต้องมีความประณีต วิจิตรงดงามตามแบบแผนอย่างมี เอกภาพดว้ ย • ถา ตองการวจิ ารณการแสดงละครในดาน ของความเปน เอกภาพ ในการแสดงจะตอ ง การวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ในด้านต่างๆ ท่ีได้กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นสิ่งท่ีผู้ชมและ วิจารณอยางไร ผู้วิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ไทย สามารถน�าไปใช้เป็นหลักในการวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ไทย (แนวตอบ การวจิ ารณการแสดงละคร แตล่ ะประเภทได้ แตเ่ นอื่ งจากการแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทยแตล่ ะประเภทลว้ นมคี วามเปน็ เอกลกั ษณ์ หากจะ ในดา นความเปน เอกภาพตอ งพจิ ารณาจาก วจิ ารณก์ ารแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทยชดุ ใดกค็ วรศกึ ษาถงึ เอกลกั ษณข์ องการแสดงประเภทนนั้ ๆ แลว้ ใชห้ ลกั ความเปน เอกลักษณเ ฉพาะของการแสดง การวจิ ารณข์ า้ งตน้ มาประกอบการพจิ ารณา จงึ จะกลา่ วไดว้ า่ เปน็ การวจิ ารณก์ ารแสดงนาฏศลิ ป์ไทย เชน ละครใน ความเปน เอกลกั ษณเ ฉพาะละคร อยา่ งสรา้ งสรรคแ์ ละสามารถประเมินคา่ การแสดงชดุ นั้นๆ อย่างไมล่ �าเอียง เพ่อื จะไดเ้ ปน็ ข้อมูลท่ี คอื เนน ความประณตี งดงาม เปน ตน ) จะใช้แก้ไขปรบั ปรุงการแสดงในโอกาสต่อไป ขยายความเขา ใจ Expand ใหนกั เรียนรว มกันสรุปสาระสาํ คัญเกีย่ วกับ หลกั การวจิ ารณก ารแสดงนาฏศลิ ปไ ทย ลงกระดาษ รายงาน นาํ สง ครผู สู อน ตรวจสอบผล Evaluate ครูพิจารณาจากการสรุปสาระสาํ คญั เกยี่ วกับ การแสดงทุกประเภทลวนมีเอกลักษณเฉพาะของการแสดง ดังน้ัน ผูชมและผูวิจารณจึงควรศึกษาถึงเอกลักษณของ หลกั การวิจารณก ารแสดงนาฏศลิ ปไ ทยของนักเรียน การแสดงชุดน้นั ๆ กอน เพอื่ เพ่มิ อรรถรสในการชมการแสดง ๑๑๘ บรู ณาการอาเซียน ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การวิจารณการแสดงนาฏศิลปไทยทีด่ มี หี ลักในการปฏิบตั อิ ยางไร จากการศกึ ษาเกย่ี วกบั หลกั การวจิ ารณก ารแสดงนาฏศลิ ปไ ทยสามารถเชอ่ื มโยง แนวตอบ ผวู จิ ารณจ ะตองพฒั นาความคิดเห็นของตนประกอบกับความรู กบั ประเทศสมาชกิ อาเซยี น คอื ประเทศพมา จากการทไี่ ทยไดน าํ รปู แบบการแสดง เรอื่ งหลักเกณฑต า งๆ มารองรับ สนบั สนุนความคดิ เหน็ ของตนในการตีความ นาฏศลิ ปข องพมา มาดดั แปลงใหเ ปน แบบฉบบั ของไทย เชน “ฟอ นมา นมยุ เชยี งตา” โดยผูวจิ ารณตอ งกลาวถึงผลงานนาฏศิลปโ ดยรวมวาผเู สนอผลงานพยายาม ทม่ี ีรปู แบบการแตง กายและการรา ยรําแบบพมา ซง่ึ เราสามารถนาํ มาวิเคราะห จะสอ่ื ความหมาย หรือเสนอแนะเรอื่ งใด ทั้งนี้ ผวู จิ ารณทด่ี ีตอ งตีความ โดยศกึ ษาจากการนาํ รปู แบบการฟอ นราํ ดงั้ เดมิ ของพมา และของไทยมาเปรยี บเทยี บกนั การแสดงผลงานนาฏศิลปนั้นใหเขา ใจอยางถอ งแท โดยการยดึ หลักการวิจารณใ นหัวขอบทประพันธ ลักษณะและรปู แบบการแสดง ลีลาการรายราํ การแตง กาย และความเปนเอกภาพของการแสดง โดยผูท ่วี จิ ารณ จะตอ งมคี วามเขา ใจในรปู แบบของการแสดงอยา งลกึ ซง้ึ และตอ งวางใจใหเ ปน กลาง จึงจะสามารถวจิ ารณการแสดงไดอ ยา งถูกตอ งและเปน ธรรม 118 คูมือครู

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Evaluate Engage Explore Expand Engage กระตนุ ความสนใจ กิจกรรม ศลิ ป์ปฏิบัติ ๗.๑ ใหน ักเรยี นดแู ผนผังตารางความสัมพนั ธ ของนาฏศิลปกับสาระการเรยี นรูอ่นื จากน้นั กจิ กรรมท ่ี ๑ ใหน้ ักเรยี นชมวดี ิทศั น์การแสดงโขน เรอ่ื งรามเกียรต์ิ ตอนพระรามขา้ มสมทุ ร แลว้ ครูถามนักเรยี นวา กจิ กรรมท ี่ ๒ อภิปรายรว่ มกนั เกี่ยวกบั การแสดงในหัวขอ้ ต่างๆ ดงั น้ี ๑. รปู แบบการแสดง • เพราะเหตใุ ดวชิ านาฏศิลปจ ึงสามารถนํามา ๒. การน�าศลิ ปะแขนงอืน่ ๆ มาใชก้ ับการแสดง บูรณาการกับวชิ าอนื่ ได ใหน้ กั เรยี นชมวดี ทิ ศั นก์ ารแสดงนาฏศลิ ป์ไทย ชดุ รา� วงมาตรฐาน แลว้ ใหร้ ว่ มกนั วจิ ารณ์ (แนวตอบ เพราะนาฏศลิ ปเปน วชิ าทมี่ ุงเนน การแสดงดังกล่าว โดยใช้หลักการวิจารณ์การแสดงด้านต่างๆ ตามท่ีได้เรียนมา ใหผ ูเ รยี นมีความคิดริเรม่ิ สรางสรรค ในหน่วยการเรยี นรู้น้ี และจนิ ตนาการ ซง่ึ มีผลตอคณุ ภาพชีวิต มนุษย วชิ านาฏศลิ ปจ งึ สามารถนาํ มา ๔. ความสมั พนั ธข์ องนาฏศลิ ปก์ ับสาระการเรียนรู้อืน่ เชอ่ื มโยงกับวชิ าอื่นได โดยเฉพาะ นาฏศิลป์ เป็นสาระหน่ึงในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความคิดริเร่ิม ในดา นการสง เสรมิ ศักยภาพทางรา งกาย สรา้ งสรรคท์ างศลิ ปะ มีจินตนาการ ชน่ื ชมความงาม ความมคี ณุ คา่ ซึง่ มผี ลตอ่ คุณภาพชีวติ มนษุ ย์ จิตใจ สงั คม และสติปญญา) ดว้ ยเหตนุ ก้ี ิจกรรมทางด้านนาฏศิลป์ สามารถนา� ไปผสมผสานสอดแทรกกับสาระอ่นื ๆ เพือ่ พัฒนา ผูเ้ รียนได้ โดยทางตรงและทางอ้อม ทั้งทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม และสติปัญญา สาํ รวจคน หา Explore หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ได้ก�าหนดกลุ่มสาระท่ีผู้เรียนจะต้องศึกษาไว้รวม ใหนักเรยี นแบงกลมุ ออกเปน 6 กลุม ๘ กลุ่ม คือ กลุ่มสาระภาษาไทย กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระ ใหน กั เรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรเู พมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลมุ่ สาระสขุ ศกึ ษาและพลศึกษา กล่มุ สาระศลิ ปะ กลุ่มสาระ ความสมั พันธข องนาฏศิลปกบั สาระการเรยี นรอู ื่น การงานอาชีพและเทคโนโลยี และกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ ซึ่งในท่ีน้ีจะขอยกตัวอย่างความ จากแหลง การเรียนรตู า งๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรยี น สมั พันธข์ องนาฏศลิ ป์กบั สาระอน่ื ๆ มาอธบิ ายให้เข้าใจพอสังเขป ดงั นี้ หองสมุดชุมชน อนิ เทอรเนต็ เปนตน ในหัวขอ ๔.๑ นาฏศิลป์กบั ภาษาไทย ทค่ี รกู ําหนดให ดงั ตอไปนี้ ความสัมพันธ์ของนาฏศิลป์กับสาระภาษาไทยที่ก�าหนดไว้ในหลักสูตร ส่วนใหญ่จะอยู่ใน กลมุ ที่ 1 นาฏศลิ ปกบั ภาษาไทย หนงั สอื เรยี นทต่ี ดั ตอนมาจากวรรณคดบี ทละครไทย เชน่ เรอื่ งสงั ขท์ อง เรอ่ื งอเิ หนา เรอ่ื งรามเกยี รติ์ กลุมที่ 2 นาฏศลิ ปก ับวิทยาศาสตร เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงครูผู้สอนสามารถนา� กิจกรรมนาฏศิลป์เข้ามาสอดแทรกในการเรียน จกัดารแสสอดนงภละาคษรารไา�ท1ยเไรด่ือ้งเอพเิ หื่อทนาา� ใหหผ้ รู้เือรกยี านรมนีค�าวโคามลงสนฉใจนั ใทน์ บกทาเพรียยน์ กมลาอกนย2ง่ิ ขน้ึนทิ าไนม่รสู้สภุ กึ าเบษ่ือติ หคนา�า่ พยงั เเพช่นย3 และเทคโนโลยี ในบทเรยี นมาจัดแสดงเปน็ ชุดการแสดงตอนสน้ั ๆ เปน็ ตน้ กลมุ ที่ 3 นาฏศิลปกบั สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลมุ ที่ 4 นาฏศิลปก บั ศลิ ปะ กลุมท่ี 5 นาฏศิลปกับสุขศึกษาและพลศึกษา กลุมท่ี 6 นาฏศิลปกบั การงานอาชพี และเทคโนโลยี ๑๑9 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรียนควรรู ในการใหนักเรียนศกึ ษาหาความรูเพมิ่ เตมิ เกี่ยวกบั วรรณคดีไทยทนี่ ยิ ม 1 ละครรํา เปน การใชก ระบวนทาราํ ในการแสดงเปนเรอ่ื งราว โดยใชก ารตีบท นาํ มาใชแสดงนาฏศิลป พรอมเขียนอธบิ ายความสัมพนั ธระหวา ง เพื่อสอื่ ความหมายแทนคําพูด ละครราํ สามารถแบง ออกเปน 2 ประเภท คือ วชิ านาฏศิลปกับวชิ าภาษาไทย ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครูผูสอน ละครรําแบบดงั้ เดิม เชน ละครชาตรี ละครนอก ละครใน เปน ตน และละครราํ ทีป่ รับปรงุ ข้ึนใหม เชน ละครดึกดาํ บรรพ ละครพันทาง ละครเสภา เปน ตน กิจกรรมทา ทาย 2 กลอน บทประพนั ธท แี่ ตงขน้ึ เพอื่ ใชในการแสดงละคร ซึ่งหลกั เกณฑ ในการแตง โดยท่ัวไปจะเหมือนกับการแตง กลอนสภุ าพ แตล ะวรรคมคี าํ ตั้งแต ใหนักเรยี นทาํ ตารางวเิ คราะหความสัมพันธระหวางวชิ านาฏศลิ ป 6 - 9 คาํ การนบั กลอน คือ 2 วรรค เทา กบั 1 คํากลอน การจะใชค ํามาก กับวิชาภาษาไทย ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครูผูส อน หรือนอ ยนนั้ ข้ึนอยกู ับทาํ นองรองและการตบี ทเปนสาํ คญั 3 คาํ พงั เพย ถอ ยคําอุปมาทใ่ี ชก ลา วกระทบกระเทยี บเสยี ดสี ซง่ึ เกดิ ขึ้นมาจาก เหตุการณ เรอื่ งราว หรือความเปน ไปในการดําเนนิ ชวี ิตของผคู นในอดตี เชน ปากปราศรัย (นา้ํ ใจ) เชือดคอ หมายถงึ คําพูดดแี ตใจคดิ ราย ขางนอกสกุ ใส ขางในเปนโพรง หมายถงึ ขางนอกอาจจะดูดมี ีราคา แตใ นความเปนจริงแลว ไมไ ดดูดตี ามท่ีเห็น เปนตน คูมอื ครู 119

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 1-3 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู นอกจากนี้ ในบทเรียนภาษาไทยและวรรณคดีบางเร่ือง จะมีบทร้องและท�านองเพลงไทย เพ่ิมเตมิ เก่ยี วกับความสัมพนั ธของนาฏศลิ ปกับ เพลงพนื้ เมอื ง การขบั เสภา หรอื การอา่ นทา� นองเสนาะ จงึ ควรนา� นาฏศลิ ปม์ าชว่ ยเสรมิ โดยการให้ สาระการเรยี นรอู น่ื สง ตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ าย ผเู้ รยี นฝก การตคี วามหมายตามบทรอ้ งทอ่ี ย่ใู นบทเรยี นและรา� ใชบ้ ท ซง่ึ จะชว่ ยทา� ใหบ้ ทเรยี นนา่ สนใจ ความรูในหัวขอนาฏศิลปกับภาษาไทย นาฏศิลป ผู้เรยี นจะมีความกระตอื รอื รน้ ทจี่ ะเรยี นมากขนึ้ เพราะตอ้ งการแสดงออกในการรา� และแสดงละคร กับวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี และนาฏศิลปกับ สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามทไี่ ดศึกษา ๔.๒ นาฏศลิ ป์กบั วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี มาหนาชน้ั เรียนจากนั้นครูถามนกั เรียนวา การจัดแสดงนาฏศิลป์บางชุดการแสดงต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ ท่ีช่วยสร้างอารมณ์และ บรรยากาศ เชน่ ฉาก แสง สี เสยี ง เปน็ ตน้ ซึ่งการแสดงในปจั จบุ นั ต้องการความอลังการในเร่ือง • การแสดงนาฏศิลปไ ดน าํ ความรู องคป์ ระกอบตา่ งๆ เหลา่ นี้ จงึ จา� เปน็ ตอ้ งพงึ่ พาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีในการสรา้ งความสมจรงิ ในวชิ าภาษาไทยมาใชใ หเกิดประโยชน เช่น การท�าเสียงพิเศษ เทคนิคการสร้างภาพให้ปรากฏบนเวที เพ่ือประกอบการแสดงนาฏศิลป์ ไดอยา งไร เชน่ ฉากฟา แลบในการแสดงชุดเมขลา - รามสรู ตอ้ งอาศยั ความเขม้ ของแสง ทิศทาง สีของแสง (แนวตอบ นํามาใชป ระโยชนใ นการถอด เขา้ มาชว่ ยสรา้ งอารมณร์ ว่ มใหก้ บั ผชู้ ม เปน็ ตน้ เทคโนโลยเี ปน็ ปจั จยั สา� คญั ทท่ี า� ใหร้ ปู แบบการแสดง คําประพนั ธท ี่นิยมนาํ วรรณคดไี ทยเร่อื งตา งๆ นาฏศิลป์พฒั นาขน้ึ เชน่ น�าคอมพวิ เตอรเ์ ข้ามามีบทบาทในการออกแบบฉาก ให้มีความงดงาม มาใชแ สดงละคร เชน เรอื่ งรามเกยี รติ์ อเิ หนา ตระการตา เช่น ฉากทม่ี นี ้า� ตก นา้� พุ พายุ ระเบดิ ฉากอวกาศ ฉากจ�าลองสถานทต่ี า่ งๆ เปน็ ตน้ สงั ขท อง พระอภยั มณี ขนุ ชา งขนุ แผน เปน ตน นอกจากน้ี ยังน�าเทคโนโลยีมาช่วยในการเผยแพร่นาฏศิลป์ไทยทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สร้าง ซงึ่ จะทาํ ใหม คี วามเขา ใจเกีย่ วกับเรื่อง เปน็ ซดี ี (CD) หรือดวี ดี ี (DVD) จงึ ทา� ให้มีผ้นู ิยมชมการแสดงนาฏศลิ ป์ไทยเพ่มิ มากขนึ้ และการราํ ตีบทไดดยี งิ่ ขนึ้ ) ๔.๓ นาฏศิลปก์ ับสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม • นาฏศลิ ปกบั วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี นาฏศิลป์ไทยจะมีความเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาหนึ่งในสาระการเรียนรู้กลุ่ม มคี วามเกีย่ วขอ งกนั ในดา นใด สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม เพราะนาฏศลิ ปเ์ ขา้ ไปมสี ว่ นสา� คญั ในการเปน็ หลกั ฐานทใ่ี หข้ อ้ มลู (แนวตอบ ในการแสดงนาฏศลิ ปจ ะใช ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา วิทยาศาสตรกับเทคโนโลยีเขามาสรา ง ความเชอื่ วฒั นธรรมวถิ ชี วี ติ และการแตง่ กายของ ความสมจรงิ ใหก บั ฉาก เชน แสง สี เสยี ง ผคู้ นในอดตี ซง่ึ จะศกึ ษาไดจ้ ากชดุ การแสดงตา่ งๆ อปุ กรณประกอบฉาก การทาํ เทคนิคพิเศษ เช่น “ระบําลพบรุ ”ี ท่ีประดษิ ฐ์ขึ้นโดยเลยี นแบบ ตางๆ เปนตน) จากลลี าทา่ ทางของภาพประตมิ ากรรมและภาพ แกะสลกั ทป่ี รากฏอยบู่ นทบั หลงั และหนา้ บนั ของ • เพราะเหตใุ ดนาฏศลิ ปก บั สงั คมศกึ ษา ศาสนา ปราสาทหินพิมายและปราสาทหินพนมรุ้ง อัน และวัฒนธรรมจงึ มคี วามสมั พันธกัน เปน็ ศิลปะขอมในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๗ (แนวตอบ เพราะการแสดงนาฏศลิ ปบางชุด นอกจากน้ี เนือ้ หาสาระท่อี ยู่ในกรอบของ มกี ารนาํ ขอมลู ทางประวัติศาสตรเกยี่ วกับ วชิ าสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม สามารถ ความเปน มา ความเช่ือ วถิ ีชีวติ และการ แตง กายของคนในอดตี มาดัดแปลงเปนทา ราํ ท่สี วยงาม เชน ระบําโบราณคดี เปนตน) ระบําศรีวิชัย เปนระบําท่ีประดิษฐข้ึนโดยเลียนแบบ น�ามาแต่งเป็นบทประพันธ์ประเภทค�ากลอน จากภาพจาํ หลักผสมกับทา ราํ ของนาฏศิลปช วา ให้ผู้เรียนแสดงได้ เช่น ประวัติบุคคลส�าคัญ ๑๒๐ เกรด็ แนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเก่ยี วกบั องคป ระกอบในการแสดง ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงนาฏศลิ ปไ ทยประเภทระบาํ โบราณคดใี หน กั เรยี นชม การผสมผสานองคประกอบในการแสดงตองคํานงึ ถึงอะไรนอ ยท่สี ดุ จากนน้ั ครอู ธิบายเพิ่มเติมวา ระบําโบราณคดี เปนระบําท่ีเกิดข้ึนจากการเลียนแบบ 1. ความสมดุลของสสี ันบนเวที ลกั ษณะทา ทางของเทวรปู ภาพเขยี น ภาพแกะสลกั รปู ปน รปู หลอ โลหะ และภาพศลิ า- 2. ความช่นื ชอบของสมยั นยิ มปจ จบุ ัน จาํ หลกั ตามโบราณสถานทข่ี ดุ พบในสมยั ตา งๆ ซงึ่ มอี ยดู ว ยกนั 5 ชดุ คอื ระบาํ เชยี งแสน 3. แหลง ท่มี าของวสั ดุ อปุ กรณทีจ่ ะใช ระบาํ ทวารวดี ระบาํ ศรวี ชิ ยั ระบาํ สโุ ขทยั และระบาํ ลพบรุ ี ซงึ่ จะทาํ ใหน กั เรยี นมคี วามรู 4. งบประมาณในการจดั การแสดง ความเขาใจเก่ยี วกบั ระบําโบราณคดีไดดียิง่ ขน้ึ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะการรบั รถู งึ แหลง ทมี่ าของวสั ดุ อปุ กรณ ทใ่ี ชใ นการแสดงมีความสําคัญนอ ยมาก มุม IT นกั เรยี นสามารถชมการแสดงระบาํ โบราณคดี ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคน หาจากคําวา ระบําโบราณคดี 120 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ในประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี สภาพความเป็นอยู่ เป็นต้น สามารถเรียนรู้ได้ ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 4 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ผ่านทางละครพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาถ่ายทอดสืบต่อกันมา เพื่อให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้ศึกษา เพ่มิ เตมิ เกย่ี วกับความสัมพนั ธของนาฏศลิ ปก บั และท�าความเขา้ ใจได้งา่ ยขึน้ สาระการเรยี นรอู น่ื สง ตวั แทน 2-3 คน ออกมาอธบิ าย ๔.๔ นาฏศิลปก์ ับศลิ ปะ ความรูในหัวขอนาฏศิลปกับศิลปะ ตามที่ไดศึกษา มาหนาช้นั เรียน จากน้นั ครถู ามนักเรียนวา นาฏศลิ ปเ์ ปน็ วชิ าหนง่ึ ในสาระการเรยี นรกู้ ลมุ่ ศลิ ปะ ซงึ่ สาระการเรยี นรกู้ ลมุ่ นจี้ ะประกอบไปดว้ ย วิชาทัศนศิลป์ ดนตรี และนาฏศิลป์ นาฏศิลป์มีความสัมพันธ์กับทัศนศิลป์ในการแสดงนาฏศิลป์ • เพราะเหตุใดนาฏศลิ ปก ับศิลปะ ทุกชุด เพราะทัศนศิลป์เป็นองค์ประกอบที่มีส่วนช่วยสร้างเสริมบรรยากาศให้ผู้ชมมีความรู้สึก จงึ ไมส ามารถแยกออกจากกันได คลอ้ ยตามไปกบั การแสดง เช่น ฉาก เคร่อื งแตง่ กาย การแต่งหนา้ แสง สี เสยี ง เปน็ ต้น นอกจากน้ี (แนวตอบ เพราะศลิ ปะเปน สวนหนง่ึ ของ ในการแสดงก็ต้องอาศัยความรู้เรื่องทัศนธาตุเกี่ยวกับจุด เส้น รูปทรง และสี ขณะเดียวกันการ การสรางบรรยากาศในการแสดงนาฏศลิ ป กา� หนดตา� แหนง่ การยนื ของผแู้ สดงกต็ อ้ งดูใหม้ คี วามสมดลุ มคี วามกลมกลนื ของทา่ รา� เครอ่ื งดนตรี ทําใหผ ูชมเกิดความรูส กึ คลอยตามไปกับ และเพลงรอ้ ง ซึง่ เป็นการนา� เอาหลกั การจัดองค์ประกอบศลิ ป์มาประยุกต์ใช้ได้อยา่ งเหมาะสม การแสดงได เชน ฉาก เคร่ืองแตง กาย การแตง หนา ทรงผม การใชแสง สี เสียง สา� หรบั นาฏศลิ ปแ์ ละดนตรกี ม็ คี วามสมั พนั ธก์ นั ในฐานะทด่ี นตรชี ว่ ยเสรมิ ใหก้ ารแสดงนาฏศลิ ป์ เปน ตน นอกจากน้ี ในการจดั การแสดง ชดุ ตา่ งๆ มคี วามนา่ สนใจมากยง่ิ ขน้ึ เพราะดนตรสี ามารถชว่ ยถา่ ยทอดความร1สู้ กึ ใหผ้ ชู้ มเกดิ อารมณ์ ยังตองมีความรเู ร่อื งทัศนธาตุเพ่ือนํามาใช ตา่ งๆ ตามการแสดงนนั้ ๆ ได้ นอกจากน้ี ดนตรยี งั สามารถบง่ บอกฐานนั ดรศกั ดขิ์ องตวั ละครและแสดง ในการสรา งความกลมกลนื ของการแสดง ใใกนนริ รรยิ ะะายยไะะปไใกมกลาลๆขๆ้ อขงขอตองวัตงลตวั ะลัวคะลคระดรคธว้รรยทรมีเ่เปชด็นน่ายถกักา้าษบรรบ์ หรรเรรลือเงลเเพงปเ็นลพงมลเสางรมเชทอดิ่ีสมูงาจศระ2ักสจดอื่ะสิ์ใเหอื่ ชใเ้ ่นหหเ้น็ หกถน็ุมงึ ถภลงึ กกัลรษกั รษณณณะ3กะทกาศรากเรดเณั ดนิ นิฐท์ทาเาปงงไน็ไปปต-น้-มมาา อกี ดวย) ทัศนศิลปด านฉาก เครอื่ งแตง กาย การแตงหนา แสง สี และเสยี ง เปนองคป ระกอบทีม่ ีสวนชวยสรา งเสริมบรรยากาศ ในการแสดงใหดสู มจริง ๑๒๑ บูรณาการเชอ่ื มสาระ นักเรียนควรรู จากการศกึ ษาเกย่ี วกับความสัมพันธของนาฏศลิ ปกบั ศลิ ปะ สามารถ 1 ฐานนั ดรศักด์ิ ระดับชน้ั หรอื ยศของพระบรมวงศานวุ งศใ นสมัยโบราณ เชอ่ื มโยงกับการเรยี นการสอนในกลมุ สาระการเรยี นรูภาษาตางประเทศ เมอ่ื นาํ มาใชกบั คาํ ภาษาองั กฤษจะใชค ําวา “Royal Title” ในเรอ่ื งของทศั นธาตทุ นี่ าํ มาใชใ นการแสดงนาฏศลิ ป ซง่ึ มกี ารใชค าํ ศพั ทง า ยๆ 2 เสมอมาร เปนเพลงหนา พาทยที่กลา วถงึ การเยอ้ื งกายและการเดิน ประกอบ คอื ทศั นธาตุ หรือ Visual Elements ในทางทัศนศลิ ป หมายถงึ ของตวั ละคร ใชในการเดนิ ทางระยะใกลๆ ของตวั ละครทเี่ ปนยกั ษ หรอื มารช้นั สูง สว นประกอบของศลิ ปะทม่ี องเหน็ ได ซง่ึ ประกอบไปดว ยจดุ (Dot) เสน (Line) นอกจากนี้ ยังนํามาบรรเลงประกอบในพธิ ไี หวครู เพ่ือเชญิ ครูยกั ษข ึน้ สทู ป่ี ระทบั รปู รา ง (Shape) รปู ทรง (Form) นา้ํ หนกั ออ น - แก (Value) พนื้ ทว่ี า ง (Space) 3 กุมภกรรณ เปน โอรสของทาวลัสเตยี นกับนางรัชฎา มศี ักดเ์ิ ปน นอ งแทๆ พื้นผิว (Texture) และสี (Colour) ของทศกณั ฐ มหี นา และกายสเี ขยี ว ชายาชอื่ นางจันทวดี เปนยักษท ม่ี ีฤทธม์ิ ากทีส่ ุด ตนหน่งึ อาวุธประจํากาย คือ หอกโมกขศักด์ิ ท่จี รงิ แลวกุมภกรรณเปน ยักษ ท่ีตั้งม่นั ในธรรม แตต อ งออกรบชวยทศกณั ฐ เพราะเห็นแกค วามเปน พนี่ อง ลักษณะหัวโขนของกมุ ภกรรณ คือ หนา ยกั ษ 4 หนา โดยเปน หนา ปกติ 1 หนา และเปน หนาเลก็ ๆ 3 หนา เรียงกนั อยูบ ริเวณทายทอย ปากแสยะ ตาโพลง หวั โลน สวมกระบังหนา ไมม ีมงกุฎ หนา มีสีเขยี วและสีทอง คมู ือครู 121

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหนกั เรยี นกลุมที่ 5 - 6 ท่ีไดศึกษา คนควา ๔.๕ นาฏศลิ ปก์ ับสุขศกึ ษาและพลศึกษา หาความรเู พมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั ความสมั พนั ธข องนาฏศลิ ป นาฏศิลป์มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา เพราะการท�ากิจกรรม กบั สาระการเรียนรอู ืน่ สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอ นาฏศลิ ปก ับสุขศึกษา นาฏศิลป์ เป็นการออกก�าลังกายทุกส่วนของร่างกาย เป็นการใช้พลังในร่างกายบังคับกล้ามเน้ือ และพลศึกษา และนาฏศลิ ปก บั การงานอาชพี ให้เคลือ่ นไหวไปในทศิ ทางที่ต้องการ ซ่งึ ถอื เป็นการสรา้ งเสรมิ ให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ และเทคโนโลยี ตามทไี่ ดศ กึ ษามาหนาชนั้ เรียน ผ่อนคลายความตึงเครียด ทา� ใหม้ ีสุขภาพจติ ดตี ามหลกั วชิ าสขุ ศึกษาและพลศกึ ษา จากน้นั ครูถามนกั เรียนวา ๔.๖ นาฏศิลปก์ บั การงานอาชพี และเทคโนโลยี • วชิ าสขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษามสี ว นชว ยผทู เ่ี รยี น ศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ เป็นศูนย์รวมของศิลปะหลายแขนง ซึ่งสามารถน�ามาหลอมรวม นาฏศลิ ปในดา นใด เชือ่ มโยงความสัมพันธ์กบั การงานอาชีพและเทคโนโลยี เพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรยี นรแู้ ละฝกทักษะในการ (แนวตอบ ชวยทําใหม รี า งกายท่ีแข็งแรง เสครรา้ อ่ืงงสแรตรคง่ กช์ าิ้นยงาชนดุ กซา่ึงรสแาสมดางรกถาเรปสน็ รพา้ งนื้ เฐคารนอ่ื ใงนปกราะดรปบั รกะากรอทบา� อหาวั ชโีพขนต่อกไาปรใสนรอา้ นงศาริคาตภไรดณ้ เ1์ชกน่ารสกราา้รงสฉรา้ากง สมบรู ณ ผอนคลายความตงึ เครียด การแตง่ หนา้ ทา� ผม การสรา้ งอปุ กรณป์ ระกอบการแสดง เปน็ ตน้ โดยครผู สู้ อนตอ้ งวางแผนรว่ มกนั และทาํ ใหมีสขุ ภาพจติ ด)ี เพื่อสอนให้ผู้เรียนรู้จักการประดิษฐ์อุปกรณ์ประกอบการแสดง โดยจะต้องยึดหลักความประหยัด และใช้วัสดทุ ่หี าได้ง่ายในท้องถน่ิ เป็นหลัก • จะเกิดสิง่ ใดขนึ้ เม่อื เรานาํ นาฏศลิ ป และการงานอาชีพและเทคโนโลยี มาเช่ือมโยงกนั (แนวตอบ เกดิ การสรา งสรรคเคร่ืองแตง กาย ชดุ การแสดง เครื่องประดับ หวั โขน ศริ าภรณ ทว่ี ิจติ รงดงาม) • จากภาพหมายถึงสิง่ ใด (แนวตอบ ถนิมพมิ พาภรณ คอื เครื่องประดับ รา งกาย เชน ทบั ทรวง สังวาล กาํ ไลขอ มอื เปนตน) • จากภาพหมายถงึ สิ่งใด การแสดงนาฏศลิ ปไ ทยสว นใหญจ ะตอ งมกี ารแตง หนา เพอื่ เนน ผแู สดงใหเ ดน ใหถ กู ตอ งตามบคุ ลกิ ภาพ และกลมกลนื กบั เครื่องแตงกาย (แนวตอบ พสั ตราภรณ คอื เครอื่ งแตงกาย ๑๒๒ ของตวั ละครประกอบดว ยผาปก และผานงุ ) ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET นกั เรยี นควรรู จากภาพจดั เปนศริ าภรณป ระเภทใด 1. เกี้ยว 1 ศริ าภรณ เปนคาํ ทปี่ ระกอบดว ย คาํ วา “ศริ ” แปลวา ศีรษะ และ “อาภรณ” 2. เทรดิ แปลวา เคร่ืองประดบั ดงั นัน้ คาํ วา “ศิราภรณ” จงึ หมายถึง เครื่องประดับศรี ษะ 3. รดั เกลา เชน มงกุฎ ชฎา เก้ียว รดั เกลา ปน จเุ หร็จ กระบงั หนา เปน ตน 4. กรรเจียกจอน ชฎาตวั พระ มงกฎุ ตวั นาง กระบงั หนา ปนจเุ หร็จ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะจัดเปน ศริ าภรณ ประเภทรดั เกลา มุม IT เปน เครอื่ งประดบั ศีรษะของสตรใี นราชสาํ นกั โบราณ และนาํ มาใชประดบั ศีรษะนางละครทีแ่ ตง กายยนื เคร่ือง ซ่ึงใชก ับสตรสี ูงศักดิ์ มีอยู 2 ลักษณะ คอื รดั เกลายอด มปี ลายยอดทรงกรวยแหลม ใชสําหรับนางกษตั รยิ  และรดั เกลา เปลว มียอดปกชอกนกเปลว ใชส าํ หรับนางสนม นักเรียนสามารถศกึ ษา คน ควาเพมิ่ เติมเกี่ยวกบั ศิราภรณ ไดจาก http://www.cp.eng.chula.ac.th 122 คูมือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขาใา จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู เสริมสาระ ใหนักเรียนศกึ ษาเร่อื งราวนาฏวรรณกรรม จากในหนงั สือเรยี น หนา 123 จากน้นั ครูถาม นาฏวรรณกรรม นกั เรียนวา นาฏวรรณกรรม หรอื วรรณกรรม หมายถงึ บทประพนั ธเ์ พอื่ การแสดงนาฏศลิ ป์ ซงึ่ แสดง ใหเ้ ห็นถงึ เรือ่ งราว ปรัชญา ความคิด จินตนาการ และตวั ละคร ใหผ้ ูร้ ว่ มแสดงได้ยึดถือไว้ด�าเนิน • จากขอความนีจ้ ดั เปน นาฏวรรณกรรม การรว่ มกนั ทา� ใหไ้ ดก้ ารแสดงมเี อกภาพ นาฏวรรณกรรมสามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ ๔ ประเภท ไดแ้ ก่ ประเภทใด ๑. เนื้อเร่ือง หมายถึง สาระส�าคัญของเร่ืองท่ีใช้แสดงนาฏศิลป์ แสดงถึงความคิด “ตางจบั ระบําราํ ฟอน อารมณ์ รวมไปถึงเร่ืองราวทีเ่ ป็นประหนึง่ โครงเรอื่ งของละคร ทอดกรกรีดกรายซา ยขวา ๒. บทระบ�า หมายถึง บทประพนั ธ์ท่ีประพนั ธ์ขนึ้ เพอ่ื แสดงระบา� โดยใช้ผแู้ สดงฟอ นรา� รายเรียงเคยี งคมประสมตา ไปตามค�า หรือตามความทปี่ ระพันธ์ไว้ เล้ยี วไลไขวค วาเปน ทาทาง ๓. บทประกอบ หมายถงึ บทประพันธ์ทั้งรอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรอง ท่ีนา� มาใชอ้ า่ น หรอื ใช้ ซอนจังหวะประเทา เคลาคลอ ง ขับร้องเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง โดยที่ผู้แสดงไม่จ�าเป็นต้องออกท่าทางให้สอดคล้องกับบท เลย้ี วลอดสอดคลองไปตามหวา ง ประกอบการแสดง วงเวยี นเหยี นหันกนั้ กาง ๔. บทละคร หมายถึง บทที่ใช้เพ่อื การแสดงละครโดยตรง มีตวั ละครในการด�าเนินเรื่อง เปนคคู อู ยกู ลางอัมพร ฯ” บทละครจะประกอบไปดว้ ยบทเจรจา บทบรรยายฉาก เครอื่ งแตง่ กาย เหตกุ ารณ์ กริ ยิ า และอารมณ์ (แนวตอบ จัดเปนนาฏวรรณกรรมประเภท ของตัวละคร บทละครสามารถแบ่งออกเปน็ ๒ ประเภท ดังนี้ บทระบํา ซึง่ ในทนี่ ี้ คอื การแสดงระบํา ชุดพรหมาสตร เปน ระบาํ ของเหลา เทวดา • บทละครไทย เชน่ บทโขน บทละครรา� บทละครรอ้ ง เปน็ ตน้ ซงึ่ จะประกอบไปดว้ ย นางฟา ใชประกอบการแสดงโขน บทเจรจาและบทบรรยายต่างๆ เรอื่ งรามเกยี รต์ิ ชดุ พรหมาสตร เปน การรา ยราํ ตามรปู แบบของขบวนเกยี รตยิ ศเคร่ืองสูง • บทละครพูด ซึ่งมีก�าเนิดและพัฒนามาจากตะวันตก นิยมแบ่งบทละครเป็นองก์ มกี ารเรียงลาํ ดับเพลง ดนตรี บทรอ ง และ เปน็ ฉาก ซ่งึ จะประกอบไปดว้ ยคา� พดู ของตัวละคร ไมน่ ิยมมบี ทบรรยาย กระบวนทารําเปนข้นั เปน ตอน คือ ขัน้ ที่ 1 ราํ ออกตามทํานองเพลงสรอ ยสน ข้นั ที่ 2 รําตามบทรอ งในเพลงสรอ ยสน ขั้นที่ 3 ราํ ตามทาํ นองเพลงเร็ว - ลา) ขยายความเขา ใจ Expand การแสดงโขน1สว นใหญ บทประพันธจ ะนาํ มาจากวรรณคดีเรือ่ งรามเกียรติ์ 2 ใหน ักเรยี นนาํ ขอมูลเก่ยี วกับความสัมพันธของ นาฏศิลปก บั สาระการเรยี นรอู ืน่ มารวมกนั จดั นทิ รรศการเรื่อง “ความสัมพนั ธข องนาฏศลิ ป กบั สาระการเรียนรูอืน่ ” พรอมจัดหาภาพประกอบ ใหส วยงาม ๑๒๓ แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ นกั เรียนควรรู “นาฏวรรณกรรม” และ “วรรณกรรม” มีความเหมอื น หรือแตกตางกันอยางไร 1 โขน จัดเปนนาฏศิลปช้นั สูงของไทย มมี านานตง้ั แตสมัยอยุธยา แนวตอบ นาฏวรรณกรรม คอื บทประพันธท ่ีสรา งข้ึน เพ่อื ใชในการแสดง ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุของลาลแู บร ที่ไดก ลาวถึงโขนวาเปน การเตน นาฏศิลป ทีส่ ะทอ นใหเหน็ เรอื่ งราว ปรชั ญา ความคิด จินตนาการ ออกทาทางเขา กบั เสียงซอ ผเู ตนสวมหนา กากและถืออาวธุ โขนนําวิธเี ลน มาจาก และตัวละคร ใหผูร วมแสดงไดยึดถอื และปฏิบัตริ วมกนั สวนวรรณกรรม คือ การเลนชักนาคดกึ ดําบรรพ กระบ่ีกระบอง และหนงั ใหญ งานเขียนทีแ่ ตง จากความคิดและจินตนาการ แลวเรียบเรยี งนํามาบอกเลา 2 รามเกียรติ์ วรรณคดที ่มี เี คาโครงมาจากวรรณคดอี นิ เดีย คอื บนั ทกึ ขับรอง หรอื สื่อออกมาดวยกลวธิ ตี างๆ แบง ออกเปน 2 ประเภท เร่อื งรามายณะ ที่ประพนั ธข ้นึ โดยฤๅษวี าลมกิ ิ โดยใชภาษาสนั สกฤต คือ วรรณกรรมลายลกั ษณแ ละวรรณกรรมมุขปาฐะ สาํ หรบั เรอ่ื งรามเกยี รติข์ องไทยนั้นมีมาตัง้ แตส มัยอยุธยา คร้ันพอถึงในสมัย รตั นโกสนิ ทร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา จฬุ าโลกมหาราช (รชั กาลที่ 1) ทรงพระราชนพิ นธเร่ืองรามเกียรต์ใิ หค รบถวน สมบูรณ ต้งั แตต น จนจบ และพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา นภาลยั (รชั กาลที่ 2) ไดนาํ วรรณคดี เร่ืองรามเกียรต์มิ าแตง เปนบทละคร เพ่ือใชใ นการแสดงละครใน คูมอื ครู 123

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครูพจิ ารณาจากการจดั นิทรรศการเร่ือง กิจกรรม ศลิ ปป์ ฏิบตั ิ ๗.๒ “ความสัมพันธของนาฏศิลปกับสาระการเรียนรูอื่น” ของนกั เรียน โดยพจิ ารณาในดา นความถูกตอง กิจกรรมท ่ี ๑ ใหน้ ักเรยี นสรปุ ความสัมพันธ์ของนาฏศิลป์กับสาระการเรียนรู้อ่นื ๆ มาคนละ ๑ หนา้ ของเนอื้ หา การนาํ เสนอขอ มูล ความสวยงาม กิจกรรมท ่ี ๒ กระดาษรายงาน ส่งครผู สู้ อน และความคิดริเรมิ่ สรา งสรรค ใหน้ ักเรยี นตอบค�าถามตอ่ ไปนี้ ๑. หลกั การสรา้ งสรรคก์ ารแสดงนาฏศลิ ป์มีส�งิ ใดบ้าง อธิบายมาพอสังเขป หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู ๒. เหตใุ ดจึงต้องมีการบูรณาการศิลปะแขนงอื่นๆ เขา้ กับการแสดงนาฏศิลป์ ๓. การวเิ คราะห์ วจิ ารณก์ ารแสดงนาฏศลิ ปม์ คี วามสา� คญั อยา่ งไรตอ่ การแสดงนาฏศลิ ป์ 1. ผลการสรุปสาระสําคัญเกยี่ วกับหลกั การ ๔. นาฏศิลป์มีความเช่ือมโยงกบั สาระการเรียนรอู้ นื่ ๆ อย่างไร และวธิ กี ารสรางสรรคก ารแสดงนาฏศิลป นาฏศลิ ปไ ทย เปน ศาสตรท มี่ รี ะเบยี บแบบแผน มขี น้ั ตอนในการฝก หดั ทตี่ อ งอาศยั 2. ผลการสรปุ ผลการวิเคราะหเกี่ยวกบั ศลิ ปะ แขนงอ่ืนๆ กบั การแสดง ในหัวขอ บทประพนั ธ ความขยนั หมนั่ เพยี รและสมา่ํ เสมอ มรี ะยะเวลาในการฝก ฝนตอ เนอื่ งและยาวนาน เพราะ ดนตรี เครื่องแตง กาย ฉาก แสง สี เสยี ง ในแตละขน้ั ตอนจะมีความละเอียดออ น ประณีต ซับซอ น มีระบบและกฎเกณฑท่ยี ดึ ถอื และอปุ กรณประกอบการแสดง เปน จารตี ซงึ่ ผทู จี่ ะเขา ฝก หดั นาฏศลิ ปต อ งเรยี นรเู กย่ี วกบั หลกั การทวั่ ไปของนาฏศลิ ปไ ทย ไมว า จะเปน หลกั การและวธิ กี ารสรา งสรรคก ารแสดงนาฏศลิ ป องคป ระกอบของนาฏศลิ ป 3. ผลการสรปุ สาระสําคัญเกย่ี วกบั หลักการวจิ ารณ การใชน าฏยศพั ทใ นการวเิ คราะห วจิ ารณน าฏศลิ ปท สี่ าํ คญั กค็ อื ตอ งรจู กั บรู ณาการความรู การแสดงนาฏศิลปไ ทย ศิลปะแขนงอ่ืนๆ ใหเขากบั การแสดงนาฏศิลปไ ด รวมทั้งสามารถจะเชือ่ มโยงการเรียนรู นาฏศิลปและการละครเขากับกลุมสาระการเรียนรูอ่ืน เพ่ือจะทําใหไดรับประโยชนจาก 4. ผลการจดั นิทรรศการเร่อื ง “ความสมั พันธข อง การศกึ ษานาฏศิลปอยางกวา งขวางมากย่ิงขน้ึ นาฏศลิ ปก ับสาระการเรียนรูอ่นื ” ๑๒๔ แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปปฏิบัติ 7.2 กจิ กรรมที่ 2 1. หลักการและวิธกี ารสรางสรรคก ารแสดงนาฏศิลปจะประกอบไปดวย การกําหนดวตั ถุประสงคแ ละการกําหนดรปู แบบ 2. เพราะตองการสรา งบรรยากาศใหสมจรงิ และทําใหผชู มเกดิ อรรถรสและความประทบั ใจเมอื่ ไดชมการแสดง 3. เพราะผูจัดการแสดงและทมี งานทกุ คนจะไดนําคําตชิ มมาใชในการพัฒนาการแสดงนาฏศิลปใ หม ีความสมบรู ณมากยิง่ ขึ้น 4. นาฏศลิ ปส ามารถเชือ่ มโยงกับสาระการเรยี นรอู ื่นๆ ได เชน • สาระการเรียนรภู าษาไทย นํากิจกรรมนาฏศลิ ปม าใชสอดแทรกในการเรียนภาษาไทยได เพราะจะทําใหนักเรยี นมคี วามสนใจบทเรยี นมากขนึ้ • สาระการเรยี นรวู ิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี นําเทคโนโลยมี าใชส รางอารมณแ ละบรรยากาศ เชน ฉาก แสง สี เสียง เปนตน เพ่อื ความสมจรงิ • สาระการเรยี นรสู ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม เขา ใจขอ มลู ทางประวตั ิศาสตรเ กย่ี วกับความเปน มา ความเชื่อ วิถีชีวติ และการแตง กายของคนในอดีต • สาระการเรียนรศู ลิ ปะ เปนสวนหน่งึ ของการสรางบรรยากาศ ทําใหผ ูชมเกดิ ความรูส ึกคลอ ยตามไปกบั การแสดงได เชน ฉาก เคร่อื งแตง กาย การแตงหนา ทรงผม การใชแ สง สี เสียง เปนตน • สาระการเรยี นรสู ุขศกึ ษาและพลศกึ ษา ทาํ ใหมีรา งกายทแ่ี ขง็ แรง สมบรู ณ ผอนคลายความตึงเครียด และทาํ ใหม ีสุขภาพจิตทดี่ ี • สาระการเรยี นรกู ารงานอาชพี และเทคโนโลยี เปนการฝกทกั ษะในการสรา งเครอื่ งแตง กาย ชุดการแสดง เครอื่ งประดบั หัวโขน ศริ าภรณ เปน ตน 124 คมู ือครู

กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรียนรู 1. สรางสรรคก ารแสดงโดยใชอ งคประกอบ นาฏศิลปแ ละการละคร 2. เสนอขอคดิ เหน็ ในการปรบั ปรุงการแสดง สมรรถนะของผเู รียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค 1. มีวนิ ัย 2. ใฝเรยี นรู 3. มงุ มั่นในการทาํ งาน 4. รักความเปนไทย øหนว่ ยที่ กระตนุ้ ความสนใจ Engage การแสดงนาฏศลิ ป์ไทยมาตรฐาน ครูเปดซีดี หรือดีวดี กี ารแสดงนาฏศลิ ปไ ทย ทงั้ ทีเ่ ปน มาตรฐานและแบบพน้ื เมอื งใหน กั เรียนชม ตวั ชว้ี ดั นาฏศิลปไทยมาตรฐาน เปนการ- จากนนั้ ครูถามนกั เรียนวา ■ สรางสรรคการแสดงโดยใชองคประกอบนาฏศิลปและการละคร • นักเรยี นเคยชมการแสดงนาฏศิลปไทยท้ังที่ (ศ ๓.๑ ม.๒/๒) แสดงนาฏศิลปไทยตามแบบแผนด้ังเดิม เปนมาตรฐานและแบบพื้นเมืองบางหรอื ไม ■ เสนอขอ คิดเห็นในการปรบั ปรงุ การแสดง (ศ ๓.๑ ม.๒/๔) ที่ปรมาจารยทางนาฏศิลปไทยไดกําหนดไว ถาเคย นกั เรยี นเคยชมการแสดงประเภทใด (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ สาระการเรียนรู้แกนกลาง เพอ่ื ใหป ฏบิ ตั สิ บื ทอดตอ กนั มาอยา งเครง ครดั ไดอยางอสิ ระ) ซงึ่ กระบวนทา ราํ ลกั ษณะการแตง กาย รปู แบบ ■ หลักและวิธีการสรางสรรคการแสดงโดยใชองคประกอบ การแสดงจะเปล่ียนแปลงมิได ดังนั้น ผูที่จะ • นกั เรียนทราบหรอื ไมวาการแสดงนาฏศลิ ป นาฏศลิ ปแ ละการละคร ฝกหัดนาฏศิลปทุกคนจึงจําเปนจะตองมีความรู ท่ีไดชมไปน้ัน การแสดงชุดใดเปน แบบ ความเขาใจเก่ียวกับพ้ืนฐานการแสดงและ มาตรฐานและการแสดงชุดใดเปนแบบ ■ วธิ กี ารวิเคราะห วจิ ารณก ารแสดงนาฏศิลปแ ละการละคร พืน้ เมอื ง ■ ราํ วงมาตรฐาน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอิสระ) เอกลักษณของการแสดงในแตละชุด เพ่ือจะได ปฏิบัติไดอยางถูกตอง นอกจากนี้ ผูเรียนควรมี ความรเู กยี่ วกบั หลกั การวเิ คราะห วจิ ารณก ารแสดง นาฏศิลปดวย เพราะหลักการดังกลาวจะชวยสราง ความเขา ใจตรงกันระหวางผูแ สดงและผูช มการแสดง เกร็ดแนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรยี นรูน้ี ครูควรนาํ ภาพการแสดงนาฏศลิ ปไทย มาตรฐานมาใหน ักเรียนดู พรอ มทั้งอธิบายเพมิ่ เตมิ วา นาฏศิลปไทยมลี กั ษณะ ความงามเฉพาะตัวที่แสดงใหเห็นถงึ เอกลักษณของความเปนไทย ถึงแมก ารแสดง บางอยา งจะไดรับอิทธพิ ลมาจากตา งชาติ แตก ็ไดมกี ารนาํ มาดัดแปลงใหเขากบั นาฏศลิ ปไทยไดอยา งกลมกลนื จนกลายเปนลกั ษณะเฉพาะแบบไทย การแสดง นาฏศลิ ปไ ทยมีอยูห ลายประเภท ไดแ ก ระบํา ราํ ฟอน โขน ละคร และการแสดง- พ้นื เมือง ซงึ่ การแสดงแตละประเภทกจ็ ะมีรปู แบบการแสดงท่แี ตกตางกันออกไป โดยอาจใชเร่อื งราวจากวรรณคดี นทิ านพื้นบาน หรือเร่ืองราวในชีวติ ประจําวนั มาประยกุ ตใชในการแสดง การแสดงนาฏศลิ ปไ ทยนับเปนศิลปะการแสดงทีง่ ดงาม ประณตี ซงึ่ เปน เอกลักษณข องความเปน ไทย ดังน้ัน ถาจะชมการแสดงนาฏศิลป ใหไดรบั ท้งั ความรูแ ละความเพลดิ เพลินแลว นกั เรยี นควรมคี วามรพู ้นื ฐานทางดาน นาฏศลิ ปพอสมควร คมู่ ือครู 125

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงนาฏศลิ ปม าตรฐาน ๑. การแสดงนาฏศลิ ป์ไทยมาตรฐาน ชดุ “ระบาํ กฤดาภนิ หิ าร” ชดุ “ระบํากฤดาภินิหาร” ใหน ักเรียนชม จากนั้น การฝกหัดนาฏศิลป์ไทย ผู้ฝกหัดจะต้องมีความเข้าใจพ้ืนฐานของการร�าและลักษณะของ ครถู ามนกั เรียนวา การแสดงแตล่ ะชดุ เช่น ระบ�ามาตรฐาน จะเน้น ความอ่อนช้อย งดงาม ใช้ภาษานาฏศิลป์ได้ • นักเรยี นคดิ วาการแสดงชุดนมี้ คี วามงดงาม ถูกต้องตามแบบแผน เป็นต้น ซึ่งการฝกหัด อยางไร แนลาะฏรศา� ิลวงปม์ใานตขรั้นฐนาน้ีจเะพฝลกงหคัดืนรเดะบือน�ากหฤงาดยา1ภินิหาร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอิสระ) สา� รวจคน้ หา Explore ระบ�ากฤดาภินิหาร เป็นระบ�ามาตรฐาน ใหน กั เรียนศกึ ษา คน ควา หาความรูเพมิ่ เตมิ ชุดหนึ่งท่ีเป็นการร�าคู่พระ - นาง จะแต่งกาย เกี่ยวกับการแสดงนาฏศิลปไทยมาตรฐาน ชุด ยืนเครื่องพระ - นาง ท่าร�าจะตีบทตามเนื้อร้อง “ระบาํ กฤดาภินิหาร” จากแหลงการเรียนรตู างๆ ดว้ ยทว่ งทลี ลี าทอ่ี อ่ นชอ้ ย งดงาม ความหมายของ เชน หอ งสมุดโรงเรยี น หองสมดุ ชมุ ชน อินเทอรเน็ต บทร้องระบ�ากฤดาภนิ หิ าร คอื การพรรณนาถึง เปนตน ในหวั ขอทค่ี รูกําหนดให ดงั ตอ ไปนี้ เหลา่ เทวดาและนางฟา้ ทม่ี าแซซ่ อ้ งสาธกุ ารดว้ ย ความชนื่ ชมโสมนสั ถงึ กฤดาภนิ หิ ารของชาตไิ ทย 1. ความเปน มาของระบํากฤดาภนิ หิ าร ระบํากฤดาภินิหาร เปนระบํามาตรฐานท่ีเปนการรําคู และรว่ มกนั โปรยดอกไม้ อา� นวยพรให้เกดิ ความ 2. การประยุกตศ ิลปะแขนงอื่นๆ กบั การแสดง พระ - นาง ทาราํ จะตีบทตามเนอ้ื รอ งในเพลงครวญหา เป็นสิรมิ งคลแกผ่ ชู้ ม 3. วธิ ีการฝกหัดทา ราํ ๑.๑ ความเปนมา 4. แนวทางวิเคราะห วิจารณก ารแสดง ระบา� กฤดาภนิ ิหาร เป็นระบ�ามาตรฐานในละครประวตั ิศาสตร์เรื่อง “เกยี รตศิ กั ด์ิไทย2” โดยมี อธบิ ายความรู้ Explain อาจารย์ลมลุ ยมะคุปต ์ ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านการสอนนาฏศิลป์ไทย และหมอ่ มต่วน (ศภุ ลกั ษณ ์ ภัทร- นาวิก) เปน็ ผู้ประดิษฐท์ ่าร�า มอี าจารย์สุดา บษุ ปฤกษ ์ เป็นผู้ประพันธบ์ ทร้อง ใหน กั เรียนรวมกนั อภิปรายเกีย่ วกับการแสดง- นาฏศลิ ปไ ทยมาตรฐาน ชดุ “ระบาํ กฤดาภนิ ิหาร” ๑.2 การประยุกต์ศิลปะแขนงอนื่ ๆ กบั การแสดง ในหัวขอ ความเปน มาของระบํากฤดาภินิหาร ๑) ลกั ษณะวธิ กี ารแสดง ระบา� กฤดาภนิ หิ าร มลี กั ษณะและวธิ กี ารแสดงเปน็ ชดุ ระบา� และการประยุกตศ ลิ ปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง มาตรฐาน มกี ารตบี ทตามเนอื้ รอ้ ง ผแู้ สดงถอื พานทองเปน็ อปุ กรณป์ ระกอบการแสดง มกี ารปรบั เปลยี่ น ตามทีไ่ ดศ ึกษามา จากน้นั ครูถามนักเรียนวา แถวรา� คูพ่ ระ - นาง และร�าเปน็ กลุ่ม ตอนจบผ้แู สดงจะโปรยดอกไม้ในพานเปน็ การอวยพรแก่ผชู้ ม • นกั เรยี นสามารถพบเหน็ การแสดง ๒) เครือ่ งแต่งกาย ผแู้ สดงระบา� กฤดาภินิหารจะแต่งกายยนื เครอื่ งพระ - นาง โดยมี ระบํากฤดาภินหิ ารในกจิ กรรมใดบา ง รายละเอียดของเครื่องแตง่ กายตัวพระและตวั นาง ดังนี้ (แนวตอบ ในงานมงคลตา งๆ หรืองานร่ืนเรงิ การแตง่ กายยนื เครอื่ งพระ จะประกอบไปดว้ ยกา� ไลเทา้ สนบั เพลา ฉลององค ์ พระภษู า ทั่วไป เชน งานวันปใหม งานมงคลสมรส หรือภูษา เข็มขดั หรอื ปัน้ เหนง่ สังวาล กรองคอ ทบั ทรวง อินทรธนู รัดสะเอว ตาบทศิ หอ้ ยหนา้ เปนตน เพือ่ เปน การอวยชัยใหพ ร ห้อยขา้ ง แหวนรอบ ปะวะหล่า� ทองกร ธ�ามรงค ์ ชฎา ดอกไมท้ ดั อุบะ หรอื พวงดอกไม้ แกผูท ่ีมารวมงาน) ๑2๖ นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอใดเปนเอกลักษณใ นการแสดงชุดระบํากฤดาภินหิ ารทีแ่ ตกตาง 1 เพลงคนื เดอื นหงาย จดั เปน การแสดงนาฏศลิ ปท อี่ ยใู นชดุ การแสดงราํ วงมาตรฐาน จากการแสดงชุดอืน่ ๆ ประพันธคํารอ งโดยจม่นื มานติ ยนเรศ (เฉลิม เศวตนนั ทน) ทาํ นองประพันธ 1. การถือเทียน โดยอาจารยม นตรี ตราโมท ซ่งึ เน้ือหาของเพลงจะกลา วถงึ เวลากลางคืน 2. การถือพวงมาลยั เปนคืนเดือนหงาย มีลมพัดมาเยน็ สบายใจ แตกย็ งั ไมส บายใจเทา กับการทีไ่ ด 3. การถอื พดั 2 มือ ผูกมติ รกบั ผูอ นื่ และท่รี ม เย็นไปท่ัวทกุ แหง ย่งิ กวา นา้ํ ฝนทโ่ี ปรยลงมา ก็คอื การที่ 4. การถือพานดอกไม ประเทศไทยเปนประเทศทม่ี ีเอกราช มีธงชาตไิ ทยเปนเอกลักษณ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. เพราะในเนื้อเพลงกลา วถงึ การยอพระเกยี รติ 2 เกยี รตศิ ักด์ไิ ทย เปน บทละครอิงประวัตศิ าสตรท ีถ่ ูกแตง ขน้ึ ในป พ.ศ. 2486 พระมหากษตั ริย ผทู รงพระราชกฤดาภนิ ิหารอนั ย่ิงใหญของไทยทพี่ ระเกยี รติ ประพันธคํารอ งโดยธนิต อยูโพธิ์, มนตรี ตราโมท และสุดา บุษปฤกษ ลอื กระฉอนถึงเทวดาชัน้ ฟา ผแู สดงชาย - หญงิ จะสวมเครอื่ งแตง กายแบบ ดนตรีประกอบโดยพระเจนดุริยางค, มนตรี ตราโมท, โฉลก เนตตะสูต ยืนเครือ่ งพระ - นาง สมมตวิ าเปน เปนเหลา เทวดา นางฟา รายราํ ตามเนื้อรอ ง และวีณพรตั รา หตุ ะโชค เนอ้ื หาของบทละครเรือ่ งน้จี ะเกี่ยวกับปญหาหวั เมือง ในตอนทายจึงถือพานดอกไมออกมาโปรย แสดงถึงการอวยชยั ใหพ ร ทางภาคใต โดยผแู ตง สมมตใิ หเ หตกุ ารณเกิดขนึ้ ในชว งรชั กาลสมเดจ็ พระรามาธิบดี ท่ี 2 ซึ่งอยรู าวป พ.ศ. 2034 - 2072 (ตอจากรชั สมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) 126 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ดแห หอรอืกวพนไม รร้ทอะภบัด5ษู ปอกาะุบ าวเระขะ แห็มหตลขรง่ า�่ือัดก พก าหาย�วไรยงลือดืนตปอเะค้ันกขรเไาห่อืมบงน้1 ตก่งัว า� สนไะลาองส ้งิวจ มหะ ปรหรอื ระสอื กรทอ้ออบยงไตกปวัร3ด ธผ้วา�ยา้ มหกรม่�างไนคลา ์เมงท ง้านก วฎุเสม ื้อจนอใานนงน หหา ู งหร ือรผอืก้ากรนอร่งุรง เศหจอยีร ือกจภจนี้ อูษานาง2 4 1. ครูสุมนักเรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ดังตอไปน้ี ๓) อปุ กรณป์ ระกอบการแสดง ฉาก แสง ส ี และเสยี ง ระบา� กฤดาภนิ หิ าร เปน็ การ • คาํ วา “ตวั นาง” หมายถึงสิง่ ใด (แนวตอบ นกั แสดงทีแ่ สดงเปนผหู ญงิ แสดงระบ�า บทจะร้องพรรณนาถึงการชื่นชมโสมนัสต่อกฤดาภินิหารของชาติไทย ซึ่งในตอนจบ ในการแสดงโขน ตวั นางจะแตง กายแบบ ของการแสดง ผูแ้ สดงจะโปรยดอกไม้อ�านวยอวยพร ดังนั้น อปุ กรณ์ที่ใช้ประกอบการแสดงจงึ เปน็ ยืนเคร่ืองนางทั้งหมด จะตา งกนั ตรงที่ พานทองใสด่ อกไมส้ า� หรบั ไวโ้ ปรย ดา้ นฉาก แสง ส ี และเสยี งตอ้ งสอ่ื ใหเ้ หน็ ถงึ ความสวยงามตระการตา เครื่องสวมศรี ษะ คือ พระชนนที ัง้ 3 ของ ของสรวงสวรรค ์ เนื่องจากเปน็ การรา� ของเทวดา นางฟา้ ทา� ให้เกดิ ความประทบั ใจแก่ผู้ชม ส�าหรบั พระราม นางสีดา นางมณโฑ นางเทพอปั สร บทเพลงประกอบการแสดง คอื เพลงครวญหา ซง่ึ มีบทร้อง ดังน้ี นางวานรินทร นางบุษมาลี และนางสพุ รรณ- มัจฉาสวมมงกฎุ กษตั ริย นางสุวรรณกันยมุ า บทรอ้ งเพลงครวญหา นางตรชี ฎาสวมรดั เกลา ยอด นางเบญกาย สวมรัดเกลา เปลว นางกาลอคั คสี วมมงกุฎ ปราโมทย์แสน องคอ์ ัปสรอมรแมนแดนสวรรค์ ยอดนาค และนางกํานลั สวมกระบังหนา) ยนิ กฤดาภนิ หิ ารมหัศจรรย ์ เกยี รติไทยลนั่ ลอื เล่อื งเรืองรูจี • การแสดงระบํากฤดาภนิ หิ ารนยิ มนาํ ตา่ งเต็มตนื้ ชม่ื ชมโสมนัส โอษฐเ์ อ้อื นอรรถอวยพรสุนทรศรี วงดนตรชี นิดใดมาบรรเลง และนิยมบรรเลง แจว้ จ�าเรยี งเสียงเพลงสดุดี ดนตรีรีเร่ือยประโคมประโลมลาน ดว ยเพลงใด แล้วลลี าศเรงิ รา� ระบา� ร่าย กรกรีดกรายโปรยมาลศี รีประสาน (แนวตอบ นยิ มนาํ วงปพ าทยไ มน วมมาบรรเลง พรมน้า� ทพิ ย์ปรุงปนสคุ นธาร จกั รวาลฉา�่ ชื่นรื่นรมย์ครัน ประกอบการแสดง และเพลงทใ่ี ช คือ เพลงรัวดกึ ดําบรรพ เพลงครวญหา ๑.๓ วธิ กี ารฝึกหดั ท่ารำา และเพลงจนี รวั ) ระบา� กฤดาภินิหาร เป็นการรา� คู่พระ - นาง หันหนา้ ตามทิศทงั้ ๔ ทศิ ดังน้ี • ถา นกั เรยี นตอ งการออกแบบฉากประกอบ การแสดงระบาํ กฤดาภินิหาร นักเรยี นจะ ทิศ ๓ ออกแบบเปน รปู ใด เพราะเหตใุ ดจงึ เปน เชน นนั้ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ทิศ ๒ ทศิ ๔ ไดอยา งอสิ ระ) ทศิ ๑ 2. ใหน กั เรียนศกึ ษาเนอ้ื เพลงครวญหา จากในหนังสอื เรียน หนา 127 ๑27 3. ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี เี พลงครวญหาใหน กั เรยี นฟง พรอ มท้งั สาธิตวิธีการขับรอ งเพลงครวญหา ท่ีถกู ตองใหน ักเรียนฟง แลว ใหนักเรียน ฝกปฏบิ ัติตาม จากนั้นครูสุมนักเรียน 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ ีการขบั รองเพลงครวญหา ที่ถูกตองใหเพ่อื นชมหนา ชัน้ เรยี น โดยมคี รเู ปน ผคู อยชี้แนะความถูกตอง กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรียนควรรู ครูสาธติ การขบั รอ งเพลงครวญหาทถี่ กู ตอ งใหน กั เรียนฟง จากนน้ั 1 ยนื เครือ่ ง เคร่ืองแตงกายโขน ละครทีใ่ ชเปน ประจาํ สาํ หรับบอกลักษณะ ใหนักเรียนฝก ปฏบิ ัติตาม โดยมีครูเปนผูคอยชแี้ นะความถกู ตอ ง ตัวละคร แสดงถงึ ยศถาบรรดาศกั ด์ิและตําแหนง โดยเลียนแบบมาจากเคร่อื งทรง ของพระมหากษตั รยิ  กจิ กรรมทาทาย 2 จีน้ าง เครอื่ งประดบั อก ทาํ จากโลหะ ประเภทเงนิ ประดบั เพชร มคี วามแตกตา ง กบั ทับทรวงตัวพระ เพราะจ้นี างจะเรยี วแผอ อกดา นขา ง ดานท่มี คี วามยาวเรียวจะอยู ใหนักเรยี นทม่ี ีความสามารถดา นการขบั รอ งเพลงไทย ออกมาสาธติ ดา นลาง การขบั รอ งเพลงครวญหาท่ถี ูกตอ งใหเ พอื่ นฟงหนา ชัน้ เรยี น โดยมคี รู 3 ทองกร กาํ ไลสวมขอ มอื มลี กั ษณะเปน แผงโคง มบี านพบั ตรงกลางทาํ ดว ยโลหะ เปนผคู อยชแี้ นะความถูกตอง ชบุ เงนิ หรอื ทอง ประดบั ดว ยพลอยสขี าว 4 กรรเจียกจอน เคร่อื งประดบั ท่ีตดิ อยูก ับเครื่องสวมศีรษะประเภทชฎา มงกุฎ รดั เกลา กระบงั หนา ปน จุเหรจ็ และศรี ษะโขน นิยมทําจากโลหะประเภทเงนิ 5 ดอกไมท ัด เครอ่ื งประดับทต่ี ิดกบั ชฎาและมงกฎุ เปน ดอกไมสีแดง ตวั พระ ทดั ทางดานขวา ตวั นางทัดทางดา นซา ย คูม่ อื ครู 127

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ๑2๘ 1. ใหนักเรียนรว มกนั อภิปรายเกี่ยวกับการแสดง ๑ ทาออก นาฏศลิ ปไ ทยมาตรฐาน ชดุ “ระบาํ กฤดาภนิ หิ าร” เทา : กา วหนา เทา ซา ย เปดสน เทาขวา ในหวั ขอวิธีการฝก หัดทา ราํ ตามทไ่ี ดศึกษามา มือ : มือขวาถือพานระดับคิว้ ยน่ื แขนออกไปทางดานขา งของ ลําตัว งอศอกเล็กนอย มือซายจบี หงายระดบั ชายพก 2. ใหนักเรียนศึกษาทารําเพลงระบํากฤดาภินิหาร ศีรษะ : เอยี งศรี ษะซาย จากหนงั สอื เรยี น หนา 128 ในทา ออก ทา ปอ งหนา ในทอ นเพลง “ปราโมทยแ สน องคอ ปั สรอมรแมน ๒ ทา ปอ งหนา แดนสวรรค” เทา : กาวขางเทาขวา กระดกหลงั เทาซาย มือ : มอื ขวาถือพานระดับไหล ย่ืนแขนออกไปทางดานขา ง 3. ใหนกั เรียนแบง กลุม กลมุ ละ 8 คน แลว จบั คู ของลําตัว งอศอกเลก็ นอ ย มอื ซา ยปอ งหนา ยื่นแขนออกไป พระ - นาง ครสู าธติ การรายรําเพลงระบาํ ทางดานหนา ของลาํ ตวั หกั ขอมอื ลง กฤดาภนิ หิ ารในทา ออก ทา ปอ งหนา และในทอ น ศีรษะ : เอยี งศีรษะขวา เพลง “ปราโมทยแสนองคอัปสรอมรแมนแดน สวรรค” ทถี่ กู ตอ งใหน กั เรยี นดู จากนนั้ ใหน กั เรยี น ๓ “ปราโมทยแสน” ฝก ปฏบิ ตั ติ าม แลว ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ผลดั กนั เทา : กา วหนา เทา ซาย เปด สน เทา ขวา (นาง) ออกมาสาธติ การรายรําเพลงระบํากฤดาภินิหาร กาวหนาเทาซาย เทา ขวาวางหลงั (พระ) ในทาออก ทาปองหนา และในทอนเพลง มือ : มอื ขวาถือพานระดบั ชายพก มือซายจบี ระดับปาก “ปราโมทยแ สน องคอ ปั สรอมรแมนแดนสวรรค” ศรี ษะ : เอยี งศรี ษะซาย ทถ่ี ูกตอ งใหเพือ่ นชมหนา ชั้นเรียน โดยมีครูเปน ผู คอยชแี้ นะความถกู ตอ ง จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา ๔ “องคอ ัปสรอมรแมน” • จากบทรอ งทีว่ า “องคอ ปั สรอมรแมน เทา : จรดเทา ขวา เทา ซายวางหลงั แดนสวรรค” คาํ วา “อปั สร” มคี วามหมาย มือ : มือขวาถอื พานระดบั ไหล ย่นื แขนออกไปทางดานขางของ วา อยา งไร ลาํ ตัวแขนตึง มอื ซายตั้งวงบัวบานระดบั แงศีรษะ (แนวตอบ อัปสร หรือนางอปั สร จัดเปน ศีรษะ : เอียงศีรษะซาย ชาวสวรรคจ าํ พวกหนงึ่ เปน เพศหญงิ สามารถ เรยี กไดอ กี อยา งหนง่ึ วา “นางฟา ” เปน อมนษุ ย ๕ “แดนสวรรค” เกิดข้ึนเม่ือคร้ังกวนเกษยี รสมุทร เพือ่ นํา เทา : กา วหนาเทาขวา กระดกหลังเทา ซาย น้ําอมฤตขึน้ มา ซ่ึงปรากฏอยใู นมหากาพย มือ : มอื ขวาถือพานระดบั ไหล ยื่นแขนออกไปทางดา นขา งของ มหาภารตะของอนิ เดยี นอกจากนี้ ยงั มตี าํ นาน ลาํ ตวั แขนตงึ มอื ซายตงั้ วงบวั บานระดบั แงศีรษะ กลา ววา นางอปั สรเปนชายาของคนธรรพ ศีรษะ : เอยี งศรี ษะขวา ซง่ึ เปน นกั ดนตรใี นสวรรค นางอปั สรจะเตน ราํ ทํานองเพลง เน้ือรอง ตามเสียงเพลงทีส่ ามีบรรเลง โดยท่ัวไป มีความเช่ือวานางอัปสรเปน เครอ่ื งหมาย แหงความเจรญิ งอกงาม) เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอ ใดกลา วถูกตองเก่ียวกบั ทารํา “สอดสรอ ยมาลา” ครคู วรอธบิ ายความรเู พม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั เพลงครวญหาใหน กั เรยี นฟง วา เปน เพลงทม่ี ี 1. เปน ทา รําทีป่ ระกอบไปดว ยการตั้งวงหนา และจบี สงหลัง อัตราจงั หวะ 2 ชั้น ทาํ นองเกา สมัยอยธุ ยา มี 3 ทอน เปน เพลงประเภทหนา ทับสองไม 2. เปน ทารําทีป่ ระกอบไปดวยการตง้ั วงบวั บานและจบี สง หลัง ประจําเพลงเรื่องเขมรใหญและบรรเลงรวมอยูในเร่ืองบัวลอย จัดเปนเพลงพวกเดียว 3. เปนทารําที่ประกอบไปดว ยการตง้ั วงบนและจบี หงายชายพก กับเพลงนางโหย นางไห และนางหนาย นอกจากนี้ ยงั มีนกั ดนตรีนําเพลงครวญหา 4. เปนทาราํ ที่ประกอบไปดว ยการตง้ั วงลา งและจีบหงายชายพก 2 ชั้นมาแตงเปนเพลงเถาหลายทางดวยกนั ซง่ึ ทางทนี่ ิยมนาํ มาบรรเลง คือ ทางของ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะทา สอดสรอ ยมาลา คือ ทาราํ หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) โดยแตง ไวเ ปนเพลงเถาเม่อื ป พ.ศ. 2480 ทีป่ ระกอบไปดวยการตั้งวงบน คอื การวางแขนไวท างดานขางของลําตัว นิ้วทงั้ 4 วางเรยี งชิดติดกนั นวิ้ หวั แมมอื งอเขาหักเขาหาฝามอื ความสูง มมุ IT ระดับหางควิ้ หักขอศอกเขาหาลําตัวเลก็ นอ ย และจบี หงายชายพก คอื การหงายฝามอื ขน้ึ นาํ นิ้วหัวแมม อื มาจรดขอ ที่ 2 ของน้ิวชี้ น้วิ ทเี่ หลอื นกั เรยี นสามารถฟง การบรรเลงดนตรไี ทยในเพลงครวญหา ไดจ าก กรีดออกตึง แลววางมอื ที่ระดับชายพก (สะดือ หรอื ใตเ ข็มขดั ) http://www.youtube.com โดยคน หาจากคาํ วา เพลงครวญหา 128 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๖ “ยินกฤดาภนิ หิ าร” 1. ใหนกั เรียนศึกษาทารําเพลงระบาํ กฤดาภินิหาร เทา : กา วหนาเทาซา ย เปด สนเทา ขวา (นาง) ในหนังสือเรยี น หนา 129 ในทอ นเพลง หันหลงั กา วหนา เทาซา ย เทาขวาวางหลัง (พระ) “ยนิ กฤดาภนิ ิหารมหศั จรรย เกยี รตไิ ทยลนั่ ลอื เล่อื งเรืองรจู ี ตางเต็มตืน้ ชืน่ ชมโสมนสั ” มือ : ลมาํือตขัววแาขถนอื ตพงึานมรอื ะซดาับยไตห้งั ลวง1ยบ่ืนวั แบขานนอรอะกดไับปแทงาศ งรี ดษา ะนขางของ 2. ครูสาธติ การรา ยราํ เพลงระบาํ กฤดาภินิหาร ศีรษะ : เอียงศีรษะซา ย ในทอนเพลง “ยนิ กฤดาภนิ ิหารมหัศจรรย เกยี รติไทยลนั่ ลอื เลือ่ งเรอื งรูจี ตา งเตม็ ต้ืน ๗ “มหศั จรรย” ชืน่ ชมโสมนัส” ทีถ่ กู ตอ งใหนกั เรียนดู เทา : กาวขา งเทาขวา กระดกหลงั เทา ซาย (นาง) จากนนั้ ใหน กั เรียนฝกปฏบิ ัติตาม แลว ให กาวขา งเทาซาย กระดกหลังเทาขวา (พระ) นกั เรยี นแตล ะกลุม ผลัดกันออกมาสาธิต มือ : มอื ขวาถอื พานระดบั แงศ ีรษะ ย่ืนแขนออกไปทางดานขา ง การรา ยราํ เพลงระบาํ กฤดาภนิ หิ าร ในทอ นเพลง ของลาํ ตัว งอศอกเลก็ นอ ย มอื ซายตั้งวงกลางหงายลาํ แขน “ยินกฤดาภินหิ ารมหัศจรรย เกียรตไิ ทยล่นั ลือ ระดับเอว ย่นื แขนออกไปทางดา นขางของลําตวั งอศอก เลอื่ งเรืองรูจี ตางเต็มตื้นชน่ื ชมโสมนสั ” เล็กนอย (นาง) มือขวาถือพานระดบั เอว ย่ืนแขนออกไป ท่ีถูกตองใหเ พ่ือนชมหนาชน้ั เรียน โดยมคี รู ทางดานขางของลําตวั งอศอกเล็กนอย มือซา ยต้งั วงบน เปน ผคู อยชแี้ นะความถกู ตอง จากนัน้ ครูถาม ระดับแงศรี ษะ (พระ) นักเรยี นวา ศีรษะ : เอยี งศีรษะซาย (นาง) เอียงศีรษะขวา (พระ) • ในการแสดงรําวงมาตรฐาน 10 เพลง ของไทยน้ัน นกั เรียนคดิ วา มีทาราํ ใดบา ง ๘ “เกียรตไิ ทยลั่นลอื เลื่อง” ท่มี คี วามคลา ยคลึงกนั กบั ทา ราํ ในระบํา เทา : หันหนา เขา หากัน จรดเทา ซา ย เทาขวาวางขาง กฤดาภินหิ าร มอื : มือขวาถอื พานระดบั ไหล ยน่ื แขนออกไปทางดา นขา งของ (แนวตอบ ทาสอดสรอยมาลา ในเพลงงาม- ลําตัว งอศอกเล็กนอ ย มือซายจีบระดบั ปาก ยื่นลาํ แขน แสงเดือน ทาสอดสรอยมาลาแปลง ออกมาทางดา นหนาของลําตวั หักขอ มอื ในเพลงคนื เดือนหงาย และทาผาลา- ศีรษะ : เอียงศรี ษะขวา เพียงไหล ในเพลงดวงจันทรว นั เพญ็ ) ๙ “เรอื งรจู ี ตา งเตม็ ตนื้ ชน่ื ชม” เทา : หนั หลงั กา วหนา เทา ขวา เปดสน เทา ซา ย (นาง) หันหนา กาวหนา เทาขวา เปดสน เทาซาย (พระ) มอื : มอื ขวาถือพานระดบั แงศรี ษะ ยน่ื แขนออกไปทางดา นขาง ของลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอ ย ประสานมอื กนั ระหวา งพระ - นาง มอื ซายจีบสงหลงั ศีรษะ : เอยี งศีรษะขวา ๑๐ “โสมนัส” เทา : กาวหนา เทาซาย เปดสนเทา ขวา (นาง) กา วขา งเทา ขวา เทา ซา ยวางขา ง (พระ) มอื : มอื ขวาถอื พานระดบั ชายพก มอื ซา ยจบี ระดบั ปาก ศรี ษะ : เอยี งศีรษะซาย ๑29 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นักเรียนควรรู ใหน ักเรียนทบทวนทา รํา ในทอ นเพลง “ปราโมทยแ สน องคอัปสรอมร 1 ตง้ั วง เปนนาฏยศพั ทท ีม่ คี วามสําคัญอยา งยง่ิ เนอ่ื งจากนาฏศิลปไทยมีทาราํ แมนแดนสวรรค ยินกฤดาภนิ ิหารมหศั จรรย เกียรตไิ ทยล่นั ลือเล่อื งเรอื งรจู ี ทเ่ี ปนหลัก ไดแ ก การตงั้ วง และการจบี ซง่ึ จะนํามาใชใ นการรา ยราํ ทาตางๆ ดงั นนั้ ตางเตม็ ตนื้ ช่ืนชมโสมนัส” โดยมคี รเู ปน ผูคอยชี้แนะความถูกตอ ง การตั้งวงจงึ มีความสําคัญ หากต้ังวงสวยก็จะทําใหทารําตา งๆ มีความสวยงาม การตั้งวง แบงออกไดเปน 3 ระดบั ดงั ตอไปนี้ กจิ กรรมทา ทาย 1. ระดับวงบน ปฏิบัติไดโ ดยน้ิวทงั้ 4 เรยี งชิดตดิ กนั สวนนวิ้ หัวแมม ือหกั ใหน ักเรียนเขยี นชอ่ื ทาราํ ทีพ่ บในทอนเพลง “ปราโมทยแ สน องคอปั สร เขาหาฝา มอื ยกลําแขนขนึ้ ใหเปนวงโคง ยกแขนใดแขนหนึง่ ขน้ึ แลว งอแขนใหไ ด อมรแมนแดนสวรรค ยินกฤดาภินหิ ารมหศั จรรย เกยี รติไทยลั่นลือเล่อื ง สว นโคง สง ลาํ แขนออกไปขา งลําตวั วงบนของพระจะอยูระดับแงศ ีรษะ สวนวงบน เรอื งรูจี ตางเตม็ ต้นื ช่ืนชมโสมนสั ” วามีทาราํ ใดบา งท่นี าํ มาจาก ของนางจะอยูระดบั หางคิว้ วงพระจะกนั วงกวา งกวา วงนางเลก็ นอย การรําแมบ ทเล็ก หรอื การรําแมบทใหญ และทารํานั้นมีลกั ษณะอยา งไร ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผสู อน 2. ระดับวงกลาง ปฏิบัติไดโ ดยใหน ้วิ ท้งั 4 เรียงชิดตดิ กัน สว นน้ิวหัวแมมอื หกั เขา หาฝา มอื ยกลาํ แขนขน้ึ ใหเปน วงโคง ปลายนิว้ อยูร ะดับไหล 3. ระดบั วงลา ง ปฏบิ ตั ไิ ดโ ดยใหน ว้ิ ทงั้ 4 เรยี งชดิ ตดิ กนั สว นนวิ้ หวั แมม อื หกั เขา หา ฝา มอื ใหปลายนว้ิ อยูระดบั เอว หรือชายพก แตว งลา งของพระตอ งกันขอศอกออก ไปดา นขา งสะเอว สว นวงลา งของนางใหห นบี ขอ ศอกเขา หาลาํ ตวั ปลายนว้ิ จะอยรู ะดบั เอว คมู่ อื ครู 129

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหนกั เรยี นศึกษาทา รําเพลงระบาํ กฤดาภนิ หิ าร ๑๑ “โอษฐเอ้ือนอรรถ” จากในหนังสอื เรียน หนา 130 ในทอนเพลง เทา : กา วหนาเทา ซา ย เปด สน เทาขวา (นาง) “โอษฐเอื้อนอรรถอวยพรสุนทรศรี แจว จําเรยี ง กาวหนา เทา ขวา เทาซายวางหลัง (พระ) เสยี งเพลงสดุดี ดนตรีรีเ่ รอ่ื ยประโคม” มอื : มือขวาถอื พานระดับชายพก ยน่ื แขนออกไปทางดา นหนา ของลาํ ตวั แขนตงึ มอื ซายจีบระดบั ชายพก (นาง) มอื ซา ย 2. ครสู าธิตการรายรําเพลงระบํากฤดาภินหิ าร แตะบริเวณหนา ขาของเทา ทก่ี า วอยูด านหลังแขนตึง (พระ) ในทอ นเพลง “โอษฐเ อื้อนอรรถอวยพรสนุ ทร ศรี ษะ : เอียงศีรษะซาย ศรี แจวจําเรียงเสยี งเพลงสดุดี ดนตรรี ี่เร่ือย ประโคม” ทีถ่ กู ตองใหน กั เรยี นดู จากนั้น ๑๒ “อวยพร” ใหน ักเรยี นฝกปฏบิ ตั ิตาม แลว ใหน ักเรยี น เทา : กา วหนา เทาขวา เปดสน เทา ซา ย (นาง) แตละกลมุ ผลัดกันออกมาสาธติ การรายราํ กาวหนาเทาซาย เทาขวาวางหลงั (พระ) เพลงระบาํ กฤดาภินิหารในทอ นเพลง “โอษฐ มือ : มือขวาถอื พานระดับเอว ยน่ื แขนออกไปทางดานขา ง เอือ้ นอรรถอวยพรสนุ ทรศรี แจวจําเรียงเสยี ง ของลําตัว งอศอกเล็กนอย มือซายตั้งวงบัวบาน เพลงสดดุ ี ดนตรรี ่เี รอื่ ยประโคม” ท่ถี กู ตอง ระดบั เอว ชอนมือทั้ง ๒ ขาง ยกข้ึนพรอ มกัน ใหเ พอ่ื นชมหนา ช้นั เรยี น โดยมีครู เปนผคู อย ศีรษะ : เอียงศรี ษะขวา ชแ้ี นะความถูกตอง จากนนั้ ครถู ามนักเรยี นวา • คําวา “ประโคม” ในทางดนตรีคือสงิ่ ใด ๑๓ “สุนทรศรี” (แนวตอบ ในทางดนตรี หมายถงึ เทา : กา วหนาเทาขวา กระดกหลงั เทาซาย การบรรเลงดนตรดี ว ยวงประโคม ซง่ึ เปน วงดนตรี มือ : มอื ขวาถอื พานระดบั ไหล ยื่นแขนออกไปทางดานขา งของ ท่ใี ชประกอบในงานพระราชพิธแี ละแสดงถงึ ลาํ ตัวแขนตงึ มอื ซายต้ังวงบน พระราชอสิ ริยยศของพระมหากษัตริย ศรี ษะ : เอยี งศีรษะขวา และพระบรมวงศานวุ งศ มอี ยูดวยกนั 3 วง คือ วงสงั ขแตร วงปไ ฉนกลองชนะ และวงกลองสี่ปห น่ึง) ๑๔ “แจว จาํ เรยี งเสยี งเพลงสดดุ ี ดนตรรี เี่ รอื่ ย ประโคม” เทา : รวมเทา มือ : มือขวาถอื พานระดับไหล ยน่ื แขนออกไปทางดา นขางของ ลาํ ตวั งอศอกเล็กนอย มือซา ยจบี ระดบั แงศีรษะ ศีรษะ : เอยี งศีรษะขวา ๑๓0 ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET “มอื ซา ยตัง้ วงบน มือขวาตง้ั วงกลางเหยยี ดแขนตงึ ” เปนการปฏบิ ัติทา รํา เกร็ดแนะครู ท่มี ชี ่ือเรยี กวา อยา งไร 1. ทา พรหมสี่หนา ครคู วรอธบิ ายความรูเพ่มิ เตมิ เกย่ี วกับการจดั แถวในการแสดงระบําวา 2. ทา ชางประสานงา การเคลื่อนตวั แปรแถวระบาํ จะตองยึดหลกั ดังตอไปน้ี 3. ทาจันทรทรงกลด 4. ทาพสิ มัยเรียงหมอน 1. เคล่ือนท่เี พอ่ื ไมใ หปก หลกั อยกู บั ที่นานจนเกินไป วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะเปน การปฏิบัติทาราํ ในทาพสิ มัย 2. กระทาํ แตพอควร ไมวง่ิ วน หรือวิ่งบอยๆ จนดูขวกั ไขว เรยี งหมอน คอื มอื ซา ยตงั้ วงบน ความสงู ระดบั หางควิ้ และมอื ขวาตง้ั วงกลาง 3. คาํ นงึ ถงึ ระยะใกล - ไกล ใหพ อดกี บั คํารอ งและทํานองเพลงในวรรค ความสูงระดับไหล เหยียดแขนออกไปทางดานขา งลําตวั แขนตึง เพอื่ ไมใ หล ุกลน 4. คํานึงถงึ ความสงู - ตํา่ นักแสดง 5. คาํ นงึ ถงึ สขี องเครอื่ งแตง กายทต่ี อ งสลบั สกี นั หรอื ตอ งการรวมกลมุ สเี ดยี วกนั 6. การแปรแถว รูปแถวไมค วรซํา้ รูปเดียวกนั ถงึ 3 ครงั้ ถา ไมซ า้ํ ไดย ิ่งดี 7. การแปรแถวตองแปรใหมีความกลมกลนื ยง่ิ ผชู มไมท ันสงั เกตไดย ่งิ ดี 8. ดกู ารกาวเทาใหเ ปน เทาเดียวกัน คอื เทาซา ย - เทา ขวา 9. ระยะชอ งไฟจากคนหน่งึ ถงึ อกี คนหนงึ่ ตองเทากัน 130 คูม่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๑๕ “ประโลมลาน แลว ลีลาศ เริงรํา” 1. ใหนักเรยี นศกึ ษาทา ราํ เพลงระบาํ กฤดาภินหิ าร เทา : พระซอ นหลังนาง กาวหนาเทาซาย เปด สน เทา ขวา จากในหนงั สือเรยี น หนา 131 ในทอนเพลง มือ : มอื ขวาถอื พานระดบั แงศ รี ษะ ยืน่ แขนออกไปทางดา นขาง “ประโลมลาน แลวลลี าศเรงิ รําระบาํ ราย ของลําตวั งอศอกเลก็ นอ ย มือซา ยต้ังวงกลาง ยื่นแขน กรกรดี กราย โปรยมาลีศรีประสาน” ออกไปทางดา นขางของลาํ ตัวแขนตึง มือของพระจับมือ ของนาง 2. ครสู าธิตการรา ยราํ เพลงระบํากฤดาภนิ หิ าร ศีรษะ : เอยี งศรี ษะซาย ในทอนเพลง “ประโลมลาน แลวลีลาศเริงรํา ระบาํ รา ยกรกรดี กราย โปรยมาลีศรีประสาน” ๑๖ “ระบํารา ย” ท่ถี กู ตอ งใหน กั เรยี นดู จากน้นั ใหน ักเรียน เทา : จรดเทา ขวา เทาซายวางหลงั (นาง) ฝก ปฏบิ ัตติ าม แลวใหน ักเรยี นแตล ะกลุม จรดเทา ซา ย เทา ขวาวางหลงั (พระ) ออกมาสาธติ การรา ยราํ เพลงระบาํ กฤดาภนิ หิ าร มอื : มือขวาถือพานระดับไหล ยนื่ แขนออกไปทางดา นขา งของ ในทอนเพลง “ประโลมลาน แลวลีลาศเริงรํา ลําตวั แขนตึง มอื ซายตง้ั วงบวั บานระดับไหล (นาง) ระบาํ รา ยกรกรดี กราย โปรยมาลีศรีประสาน” มือซายตง้ั วงกลางแขนตงึ ยื่นแขนออกไปทางดานซา ยของ ทถี่ กู ตอ งใหเ พอื่ นชมหนา ชน้ั เรยี น โดยมคี รเู ปน ผู ลาํ ตัว (พระ) คอยชแี้ นะความถกู ตอ งจากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา ศีรษะ : เอียงศีรษะซาย (นาง) เอียงศีรษะขวา (พระ) • ถานักเรยี นตองการปฏบิ ัติทา ประเทา ท่ถี กู ตอ ง นักเรียนควรปฏิบัตอิ ยา งไร ๑๗ “กรกรีดกราย” (แนวตอบ การประเทาจะประเทาใดกอ นกไ็ ด เชน สมมตวิ า จะประเทา ซา ย กอ นอนื่ ใหย อ ตวั เทา : กมาือวขหวนาถาอืเทพาาซนารยะเดปับดแสงนศ เีรทษา ะขวยาืน่ แขน1ออกไปทางดา นขาง ลงเล็กนอย นาํ้ หนักตวั ลงทขี่ าขวา ลงนาํ้ มือ : ของลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอย มอื ซายจีบสงหลัง หนักเทาซายนอยท่ีสุด เมอ่ื จะเริม่ ประเทาให ยืดข้ึน เทา ซา ยเตรยี มประใหปลายนิ้วตงึ ศรี ษะ : เอียงศีรษะขวา และงอนขึน้ ท้ัง 5 นว้ิ สว นของเทา ซาย ทีว่ างบนพนื้ อยขู ณะนี้ คอื สน เทา ๑๘ “โปรยมาลี ศรปี ระสาน” และจมกู เทา เม่อื ยบุ ตวั พรอ มกันนน้ั เทา : กา วหนาเทา ซา ย กระดกหลังเทาขวา ใหใชจ มกู เทา แตะพ้ืนเบาๆ แลว ยกเทา ขนึ้ มอื : มอื ซา ยถอื พานระดบั หนาอก ย่นื แขนออกไปทางดานหนา กิริยาของการใชจ มกู เทา แตะพนื้ น้ี ของลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอ ย มอื ขวากาํ มือ (โปรยดอกไม) เรยี กวา “ประ”) ศรี ษะ : เอียงศีรษะขวา ๑๓๑ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด นักเรียนควรรู การต้งั วงของตัวพระและตวั นางมีความแตกตา งกนั อยางไร 1 จบี เปนการใชน ้ิวหวั แมมอื กับนว้ิ ช้จี รดเขา หากัน ดว ยการใชปลายนิ้วหัวแม 1. การงอขอ ศอก มือจรดกบั ขอแรกของน้วิ ชี้ โดยนบั จากปลายนว้ิ ลงมา สวนน้วิ กลาง นิว้ นาง นิว้ กอย 2. การทอดลาํ แขน กรดี ตงึ ออกไปคลา ยใบพดั นว้ิ หวั แมม อื งอเพยี งเล็กนอย การจบี จะตอ งหักขอ มือ 3. ตําแหนง ของฝามือ เขา หาลาํ แขนเสมอ โดยหกั เขา ดา นฝา มอื การจบี แบง ออกเปน 2 ลกั ษณะ ดงั ตอ ไปนี้ 4. ตาํ แหนงของปลายนวิ้ 1. จบี หงาย ปฏิบตั ิไดโ ดยใหน ว้ิ หวั แมมือหักเขา จรดขอแรกของน้วิ ชี้ จากน้ัน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะในการตง้ั วงของตวั พระและตวั นาง กรดี ทง้ั นว้ิ 3 ใหตงึ ออกเปน รปู พดั หงายขอ มอื ขึ้นแลวหักขอมือเขาหาลําแขนให ปลายจบี ชี้ข้นึ ขา งบน จะมีความแตกตางกนั ในการวางตําแหนง ของปลายน้วิ เชน ในทาตั้งวงบน ตวั พระปลายนว้ิ มอื จะอยรู ะหวา งแงศ รี ษะ สว นตวั นางจะอยตู รงหางคว้ิ เปน ตน 2. จบี ควาํ่ ลกั ษณะการจบี จะปฏบิ ัติคลายกับจีบหงาย เพยี งแตจบี ควาํ่ ใหควา่ํ ตวั จบี ลง ลาํ แขนจะงอ หรอื ตงึ ขึน้ อยูกบั ทา ราํ หักขอมือเขาหาลําแขน คู่มอื ครู 131

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหนักเรียนศึกษาทา รําเพลงระบาํ กฤดาภนิ ิหาร ๑๙ “พรมนา้ํ ทพิ ยป รงุ ปน สคุ นธาร จกั รวาลฉา่ํ ชน่ื ” จากในหนังสือเรียน หนา 132 ในทอ นเพลง เทา : รวมเทา “พรมนา้ํ ทิพยป รุงปน สุคนธาร จักรวาลฉํ่าชน่ื มือ : มอื ขวาถือพานระดับไหล ย่นื แขนออกไปทางดานขางของ รื่นรมยค รัน” และทา จบ ลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอ ย มือซายจบี ควา่ํ ระดบั แงศ รี ษะ (นาง) มอื ขวาถือพานระดับแงศ ีรษะ ย่ืนแขนออกไปทางดา นขา ง 2. ครสู าธติ การรา ยรําเพลงระบํากฤดาภินิหาร ของลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอ ย มอื ซา ยตงั้ วงกลาง แขนตงึ (พระ) ในทอนเพลง “พรมนา้ํ ทพิ ย ปรงุ ปนสคุ นธาร ศีรษะ : เอยี งศรี ษะขวา (นาง) เอียงศีรษะซาย (พระ) จกั รวาลฉาํ่ ชนื่ รนื่ รมยค รนั ” และทา จบทถี่ กู ตอ งให นกั เรยี นดู ๒๐ “รน่ื รมยค รนั ” จากนน้ั ใหนกั เรยี นฝกปฏิบตั ติ าม แลว ให นกั เรยี นแตละกลุมผลดั กันออกมาสาธติ เทา : กาวหนา เทาซา ย เปดสน เทาขวา (นาง) การรายราํ เพลงระบาํ กฤดาภนิ หิ ารในทอ นเพลง กา วขา งเทา ขวา เทา ซา ยวางขา ง (พระ) “พรมน้ําทพิ ย ปรงุ ปนสุคนธาร จักรวาลฉ่าํ ชื่น ร่นื รมยค รัน” และทา จบ ท่ถี กู ตอ งใหเพ่ือนชม มอื : มือขวาถือพานระดับชายพก มือซายต้งั วงลาง ยน่ื แขนออก หนาชนั้ เรยี น โดยมีครูเปนผูคอยช้ีแนะ ไปทางดานขา งของลําตวั แขนตึง (นาง) มือซา ยตั้งวงลาง ความถูกตอ ง ย่ืนแขนออกไปทางดา นหนาของลาํ ตัว แขนตงึ (พระ) มือของพระจับมือของนาง ศีรษะ : เอียงศีรษะซา ย ทาจบ ๑ทาที่ ทาภมรเคลา เทา : กา วหนา เทาซา ย เปด สนเทาขวา มอื : มอื ขวาถอื พานระดับอก ยน่ื แขนออกไปทางดา นหนา ของ ลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอ ย มอื ซา ยตงั้ วงกลาง ยน่ื แขนออกไป ทางดา นหนา ของลําตัว งอศอกเลก็ นอ ย ศีรษะ : เอียงศรี ษะซาย ๑๓2 ทาที่ ๒ ทามวนจบี สลบั กนั ระดบั วงกลาง เกรด็ แนะครู เทา : กาวหนา เทา ขวา เปดสนเทา ซาย (นาง) กาวหนา เทาขวา เทาซายวางหลงั (พระ) ครคู วรนาํ ภาพรูปแบบการแปรแถวในลักษณะตา งๆ มาใหนกั เรยี นดู เพื่อใหน กั เรียนมีความรู ความเขาใจในรปู แบบการแปรแถวมากย่ิงขึ้น เชน มือ : มือขวาถือพานระดับไหล ยนื่ แขนออกไปทางดานหนาของ ลาํ ตัว งอศอกเล็กนอ ย มือซา ยต้ังวงหนา ยนื่ แขนออกไป ตงั้ 4 แถว แถวหนากระดาน (คูสับหวา ง) ทางดา นขางของลําตวั งอศอกเล็กนอ ย ครึง่ วงกลม ทแยงมุม ศรี ษะ : เอียงศรี ษะซา ย คูม่ อื ครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ใหน กั เรียนทบทวนทารําในทอนเพลง “โอษฐเอ้ือนอรรถอวยพรสนุ ทรศรี แจวจําเรยี งเสียงเพลงสดุดี ดนตรีร่เี ร่อื ยประโคมประโลมลาน แลวลีลาศ เรงิ ราํ ระบาํ รา ย กรกรดี กรายโปรยมาลีสีประสาน พรมนํ้าทิพย ปรุงปนสคุ นธาร จกั รวาลฉ่าํ ชน่ื รนื่ รมยค รัน” โดยมีครูเปนผูค อยช้แี นะ ความถูกตอ ง กิจกรรมทาทาย ใหน ักเรียนท่ีมคี วามสามารถในการแสดงนาฏศิลปไทย ฝกการแสดง ระบําตามความสนใจของตนเอง 1 ชุด จากนั้นออกมานาํ เสนอผลงาน ใหเพ่อื นชมหนาชั้นเรยี น โดยมคี รเู ปน ผูค อยชแ้ี นะความถกู ตอง 132

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๓ทาที่ ทา สอดสร1อยมาลาแปลง 1. ใหนักเรียนศึกษาทารําเพลงระบํากฤดาภินิหาร จากในหนังสอื เรียน หนา 133 - 134 เทา : กาวหนาเทา ซา ย เปด สน เทา ขวา (นาง) เปลี่ยนทา รําทํานองเพลงจนี รัว หนั หลงั กาวหนา เทา ซาย เปด สนเทา ขวา (พระ) 2. ครูสาธติ การรา ยรําเพลงระบาํ กฤดาภนิ หิ าร มือ : มือขวาถอื พานระดับชายพก มือซายตง้ั วงบน ประสาน ในทา ราํ ทาํ นองเพลงจนี รวั ทถี่ กู ตอ งใหน กั เรยี นดู มอื กนั ระหวา งพระ - นาง จากนน้ั ใหน ักเรียนฝกปฏบิ ัตติ าม แลวให นกั เรยี นแตล ะกลมุ ผลัดกันออกมาสาธติ ศีรษะ : เอยี งศรี ษะซาย การรา ยรําเพลงระบํากฤดาภนิ ิหารในทา รํา ทํานองเพลงจนี รัวที่ถกู ตอ งใหเ พ่ือนชม เทา : กาวหนา เทา ซา ย เปดสนเทา ขวา (นาง) หนา ชนั้ เรียน โดยมคี รเู ปนผูค อยชแ้ี นะ หันหลัง กา วหนา เทาซาย เปดสนเทา ขวา (พระ) ความถูกตอ ง จากนัน้ ครูถามนกั เรียนวา • นกั เรยี นรูสกึ อยา งไรเมื่อไดป ฏิบตั ทิ า รํา มอื : มอื ขวาถอื พานระดบั ไหล ย่นื แขนออกไปทางดานขางของ เพลงระบํากฤดาภนิ ิหาร ลําตัวแขนตึง มือซา ยตงั้ วงบน ประสานมือกันระหวาง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ พระ - นาง ไดอยา งอสิ ระ) • นักเรยี นสามารถนําทา รําในเพลงระบาํ ศีรษะ : เอยี งศีรษะซาย กฤดาภนิ หิ ารไปใชร าํ ในเพลงอนื่ ๆ ไดห รอื ไม อยางไร ๔ทา ที่ ทาพิสมยั เรียงหมอน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอิสระ) เทา : รวมเทา มือ : มอื ขวาถอื พานระดับไหล ยื่นแขนออกไปทางดา นขา งของ ลําตัวแขนตึง มือซา ยต้งั วงบน ศีรษะ : เอียงศีรษะขวา เทา : หนั หนาเขาหากนั รวมเทา มอื : มอื ขวาถือพานระดับชายพก มอื ซา ยตัง้ วงบน ศรี ษะ : เอียงศีรษะขวา ๑๓๓ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรยี นควรรู วิธีฝกปฏิบัติทักษะเบ้ืองตนในการแสดงนาฏศิลปไทยน้ันมีข้ันตอนใน 1 กา ว ในทน่ี คี้ อื การกา วเทา เปน กริ ยิ าของเทา ทตี่ อ จากการยกเทา การกา วเทา จะ การฝกปฏิบัติอยา งไร แบง ออกเปน 2 ลกั ษณะ คอื กา วหนา กบั กา วขา ง ซง่ึ ทง้ั ตวั พระและตวั นางจะมลี กั ษณะ แนวตอบ วธิ ีฝก ปฏิบัตทิ กั ษะเบือ้ งตนในการแสดงนาฏศิลปไทยน้นั การกา วเทา ทแ่ี ตกตา งกนั จะตอ งเร่มิ ตน จากการฝก หัดดดั มอื ดดั แขน การตงั้ วง การจีบ การน่งั การยนื การประเทา การยกเทา ฯลฯ เพราะเปน การฝก ใหร จู กั การเคลอื่ นไหว การกา วเทา แบง ออกไดเ ปน 4 ลกั ษณะ ดงั ตอ ไปนี้ ทกุ สว นของรางกายอยางมแี บบแผนกอ นการปฏบิ ตั ทิ ารํา 1. การกา วเทา แบบพระ ปฏบิ ตั ไิ ดโ ดยวางสน เทา ทก่ี า วใหต รงกบั ปลายเทา หลงั ที่ วางอยใู นลกั ษณะเปด สน เทา แบะเขา ออก ยอ เขา ลง 2. การกา วเทา แบบนาง ปฏบิ ตั ไิ ดโ ดยวางสน เทา ทกี่ า วใหต รงกบั ปลายเทา หลงั ท่ี วางอยใู นลกั ษณะเปด สน เทา แตใ หห นบี เขา เขา หากนั 3. การกา วขา งแบบพระ ปฏบิ ตั ไิ ดโ ดยวางสน เทา ทก่ี า วใหต รงกบั ปลายเทา ทย่ี นื เตม็ เทา ในลกั ษณะเปน เสน ตรงดา นขา ง แลว ยอ เขา ทง้ั 2 ลง ใหน า้ํ หนกั อยกู บั ขาทก่ี า ว 4. การกา วขา งแบบนาง ปฏบิ ตั ไิ ดโ ดยวางสน เทา ทก่ี า วใหต รงกบั ปลายเทา ทยี่ นื อยู แลว พลกิ ขอ เทา หกั ลาํ เขา เขา หานอ งของขาทกี่ า วขา ง ยอ เขา ทง้ั 2 ลง คมู่ ือครู 133

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นรวมกันอภปิ รายเกีย่ วกับการแสดง- ๕ทาท่ี ทา ไหว ๔ ทศิ นาฏศลิ ปไ ทยมาตรฐาน ชดุ “ระบํากฤดาภินหิ าร” ในหวั ขอ แนวทางวเิ คราะห วจิ ารณก ารแสดง เทา : รวมเทา ตามท่ีไดศึกษามา จากนั้นครถู ามนักเรยี นวา มอื : มอื ขวาถอื พานระดับแงศ รี ษะ ยน่ื แขนออกไปทางดานหนา • ถา นกั เรยี นตอ งการวเิ คราะหอ งคป ระกอบตา งๆ ของลําตัว งอศอกเลก็ นอย มอื ซา ยแตะทพี่ าน (ทาไหว) ในผลงานการแสดงนาฏศลิ ปไ ทย ศีรษะ : ศรี ษะตั้งตรง นกั เรยี นจะตอ งยึดหลักการในขอใด (แนวตอบ การวิเคราะหอ งคป ระกอบตา งๆ ๖ทาท่ี ทากรายมอื ในผลงานการแสดงนาฏศิลปไทย จะตอ งยึดหลกั การ ดังตอ ไปนี้ เทา : กา วหนาเทาซา ย กระดกหลังเทาขวา 1. รปู แบบของนาฏศลิ ปไ ทย เชน ระบํา มือ : มือขวาถอื พานระดบั แงศีรษะ ยนื่ แขนออกไปทางดา นขา ง ราํ ฟอน โขน เปน ตน 2. ความเปนเอกภาพของนาฏศลิ ปไ ทย โดย ของลาํ ตวั งอศอกเลก็ นอ ย มือซา ยจบี สงหลัง ผแู สดงตองมคี วามเปนอันหนึง่ อนั เดียวกนั ศีรษะ : เอียงศรี ษะขวา 3. ความงดงามของการรา ยราํ และองคป ระกอบ อนื่ ๆ ไดแ ก ความถกู ตอ งตามแบบแผน ๗ทา ท่ี ทาภมรเคลา ความงดงามของลลี าทา รํา ความงดงาม ดา นวรรณกรรม ความงามของตวั ละคร เทา : กา วหนาเทาซา ย เปด สนเทาขวา ลกั ษณะพเิ ศษในทว งทาลีลา เทคนิค มอื : มือขวาถือพานระดับไหล ยืน่ แขนออกไปทางดานขางของ เฉพาะตวั ผแู สดง บทรอ ง และทาํ นองเพลง) ลาํ ตวั งอศอกเล็กนอ ย มือซายจบี ยน่ื แขนออกไปทางดาน • ผูวิจารณก ารแสดงนาฏศิลปทีด่ ี หนาของลําตวั งอศอกเล็กนอ ย หักขอ มือ ควรมคี ุณสมบตั อิ ยางไร ศีรษะ : เอยี งศรี ษะขวา (แนวตอบ 1. ควรมคี วามรเู กยี่ วกบั การแสดงนาฏศลิ ปไ ทย ๑.๔ แนวทางวเิ คราะห์ วจิ ารณ์การแสดง ที่เปนศิลปะประจําชาติ ระบา� กฤดาภินหิ าร ถอื เป็นชดุ นาฏยประดษิ ฐท์ ปี่ รมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทยได้สร้างสรรค์ข้ึน 2. ควรมีความรเู ก่ียวกับประวัติความเปนมา เฉพาะกิจ โดยใช้กระบวนท่าร�าตีบทตามบทร้องที่อาจารย์สุดา บุษปฤกษ์ ได้ประพันธ์เนื้อร้องไว้ ของการแสดงนาฏศิลปไทย ลักษณะกระบวนท่าร�าใช้ภาษานาฏศลิ ป ์ หรอื นาฏยภาษาตบี ทตามบทร้องในบางชว่ ง และบางช่วง 3. ควรมคี วามรูเก่ยี วกับสนุ ทรยี ศาสตร ก็ใช้กระบวนท่าร�าเป็นท่าเชื่อม ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่ได้มีการตีบทท้ังหมด ดังน้ัน หากจะวิเคราะห์ ชวยใหร ูแงมุมของความงาม ระบา� กฤดาภนิ ิหาร จงึ ต้องใชแ้ นวทางในการวเิ คราะห ์ ดงั นี้ 4. ตองมีวิสัยทัศนกวางไกลและไมคลอยตาม คนอนื่ ๑) วิเคราะห์ประเภทของการแสดง ระบา� กฤดาภินิหาร เป็นระบ�ามาตรฐานทเี่ ป็น 5. กลา ท่ีจะแสดงออกทงั้ ทีเ่ ปน ไปตาม หลกั วชิ าการ ตามความรูสึก นาฏกรรมหลวง ดังน้ัน กระบวนท่าร�าจะน�ามาจากเพลงแม่บทใหญ่ ซึ่งเป็นท่าแม่บทพื้นฐาน และประสบการณ) ดังนัน้ ลลี าท่ารา� จะออ่ นชอ้ ย งดงาม มกี ระบวนทา่ ร�าทว่ี จิ ิตรสวยงาม การวเิ คราะห์กระบวนทา่ รา� ๑๓๔ เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การแสดงนาฏศิลปไทยประเภทระบาํ ชุดใดท่ี ไม จัดเปนการแสดงแบบ ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารราํ แมบ ทใหญใ หน กั เรยี นชม พรอ มกบั อธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา ระบาํ แบบมาตรฐาน แมบ ทใหญ คอื เพลงที่มกี ระบวนทา ราํ ท่ีเปนแบบแผน เนอ่ื งจากปรมาจารยดาน 1. ระบําสีบ่ ท นาฏศลิ ปไดกาํ หนดกระบวนทารําและระบุช่อื ทา รําไวเปนทา รําแมบ ททมี่ คี วามหมาย 2. ระบําดาวดงึ ส ของแตละทา ไว เพอ่ื เปนพน้ื ฐานใหเยาวชนไดใชในการฝก หดั ใหถูกตองตรงตาม 3. ระบําพรหมาสตร แบบแผน ทา รําสว นใหญจะเลยี นแบบทา ธรรมชาตขิ องมนษุ ย แตนาํ มาปรบั ปรุง 4. ระบาํ อวยพรออ นหวาน ใหสวยงาม ออ นชอ ย สว นบทขับรอ งน้ันมีท้ังอยางเตม็ และอยางยอ เรียกกนั วา วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะราํ อวยพรออ นหวาน จดั เปน การแสดง “แมบทใหญ” และ “แมบ ทเล็ก” ประเภทระบาํ เบด็ เตลด็ ที่ใชในโอกาสทเ่ี ปนมงคลทวั่ ไป โดยใชท ํานองเพลง สรอ ยสนตัดประกอบบทรองเพลงอวยพรออ นหวาน ซงึ่ เปน การอวยชัยใหพ ร มุม IT ใหมีความสุข ความเจริญกา วหนา นกั เรียนสามารถชมการแสดงนาฏศิลปไ ทยการรําแมบทใหญ ไดจาก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคําวา ราํ แมบทใหญ 134 ค่มู ือครู

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ตอ้ งวเิ คราะหก์ ารตบี ทเปรยี บเทยี บความสอดคลอ้ งกบั ความหมายของทา่ รา� แมบ่ ทเปน็ หลกั ซง่ึ ทา่ รา� ครูสมุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม แมบ่ ทไดก้ า� หนดความหมายของทา่ แตล่ ะท่า และไดก้ �าหนดชอื่ เรยี ก ตลอดจนการน�ามาใชไ้ วเ้ ป็น ดังตอไปน้ี มาตรฐาน ดังน้ัน ผู้ชมการแสดงจะต้องมีความรู้ในเพลงแมบ่ ทดว้ ย จึงจะสามารถแปลความหมาย ของการตีบทไดถ้ กู ตอ้ ง และสามารถวเิ คราะห ์ วจิ ารณก์ ารแสดงน้ีได้ • เพราะเหตใุ ดในการชมการแสดงนาฏศิลป แตล ะชดุ ผชู มจงึ ควรมพี น้ื ฐานและความเขา ใจ ๒) วเิ คราะหร์ ปู แบบการแสดง เนอื่ งจากระบา� กฤดาภนิ หิ ารเปน็ การแสดงชดุ อวยพร ลกั ษณะเฉพาะของการแสดงชดุ นน้ั ๆ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ กระบวนท่าร�าจะว่าด้วยการอ�านวยอวยพร อีกท้ังผู้แสดงจะต้องมีการโปรยดอกไม้อวยพรให้แก่ ไดอ ยา งอสิ ระ) ผู้ชมในตอนท้าย ผู้แสดงจึงร�าได้เพียงมือเดียว ส่วนอีกมือหนึ่งจะต้องถือพานดอกไม้ ดังน้ัน ผแู้ สดงจะต้องมีทักษะและศิลปะในการถอื พาน เนือ่ งจากการถือพานจะต้องไมท่ �าให้กระบวนท่ารา� • เพราะเหตใุ ดการวิจารณแ สดงนาฏศลิ ป และความหมายของท่าเสียไป เช่น หากถือพานมือขวา จีบหงายระดับอก มือซ้ายปล่อยออก จงึ ตองมกี ารตีความและการประเมนิ ผล ไปตั้งวงบน มือขวาถือพานแขนตึง คือ ท่าพิสมัยเรียงหมอน ที่มีความหมายว่าสุขสวัสด ์ิ เขามาเก่ยี วของ ในคา� รอ้ งทวี่ ่า “สนุ ทรศร”ี มือที่ถือพานเปรยี บเสมือนการต้งั ขอ้ มือ เปน็ ตน้ (แนวตอบ เพราะตอ งการใหผจู ดั การแสดง- นอกจากน ี้ ผแู้ สดงยงั ตอ้ งมที กั ษะการบงั คบั ขอ้ มอื ในการถอื พาน โดยตอ้ งตงั้ พานอยู่ใน นาฏศลิ ปน าํ คาํ ตชิ มทไ่ี ดร ับจากผวู ิจารณ แนวต้ัง อย่าใหพ้ านลม้ หรือตะแคง มิฉะนั้นจะท�าใหก้ ลีบดอกไมใ้ นพานหกและไม่สอดคล้องตาม ไปปรับปรงุ แกไขผลงานใหมคี วามสมบรู ณ ความหมายของการรา� ทม่ี งุ่ ใหจ้ บลงในทา่ ทผี่ แู้ สดงทา� ทา่ ภมรเคลา้ และหยบิ กลบี ดอกไมโ้ ปรยอวยพร มากยง่ิ ขน้ึ ) ผชู้ มในทา่ เขา้ ซง่ึ ผชู้ มการแสดงตอ้ งเขา้ ใจลกั ษณะเฉพาะดงั กลา่ วของการแสดงระบา� กฤดาภนิ หิ าร ดว้ ย • การวเิ คราะห วิจารณก ารแสดงนาฏศลิ ป ใหประโยชนอ ยางไร ๓) วเิ คราะหเ์ ครอ่ื งแตง่ กาย ผชู้ มจา� เปน็ ตอ้ งศกึ ษาประเภทของการแสดง เนอ่ื งจาก (แนวตอบ 1. ฝกใหผ ูท ีส่ รา งสรรคผลงานนาฏศลิ ป ระบ�ากฤดาภินหิ ารเป็นระบ�ามาตรฐาน ดงั นน้ั ผแู้ สดงจะแต่งกายยนื เคร่อื งพระ - นางเทา่ นัน้ จึงจะ ยอมรบั คําติชม วพิ ากษ วิจารณ ถือว่าถกู ตอ้ ง 2. เปน การเสนอแนะแนวทางการแกไข ปรับปรุงพัฒนางานนาฏศิลปใหมีคณุ คา ๔) วเิ คราะหล์ ลี าทา่ รา� ดงั ท่ีไดก้ ลา่ วมาแลว้ วา่ ระบา� กฤดาภนิ หิ ารเปน็ นาฏกรรมหลวง สอดคลอ งกับเปาหมาย 3. สงเสรมิ ใหผทู ส่ี รา งสรรคผ ลงาน ท่ีปรมาจารย์ทางด้านนาฏศิลป์ไทยได้สร้างสรรค์เป็นชุดเฉพาะกิจท่ีใช้ภาษานาฏศิลป์ หรือ นาํ ความรทู ไี่ ดม าพฒั นาผลงานใหม ี นระาบฏ�ายกภฤาดษาาภ ินเหิปา็นรกจรงึ ะมบลี วักนษทณ่าะรเ�าปตน็ ีบกทาตราตมีบบท1ทสอ่ืร้อคงวแามลหะบมาางยชต่วางมจบะทใชร้ทอ้ ง่า เแชล่ือะมก าลรักตษบี ณทเะปขน็ อทง่ากเาชรือ่ รม�า ความแปลกใหมแ ละทนั สมัยมากยิ่งข้นึ ) แต่ไม่สื่อความหมายซ่ึงจะเป็นเช่นน้ีไปตลอดท้ังเพลง จบลงด้วยการร�าเพลงจีนรัวไหว้ ๔ ทิศ แลว้ โปรยดอกไม้อวยพรแกผ่ ้ชู ม จะเห็นได้ว่า แนวคิดในการประดิษฐ์ท่าร�าของปรมาจารย์เป็นความวิจิตรงดงาม ยในังกเปรน็ะบกวานรเทนา่ ้นแกลาะรกเาลรน่ ตเบีทท้า สแอื่ ตคะวเาทมา้ ห ขมยาั่นยเดทว้ ้าย2 ภกาาษรเาคนลาื่อฏนศทลิ ่ี ปก ์าหรรเอืขน้าพาฏรยะ ภ- าเขษ้าานเปาน็ง3 หคลวกัาม นสอมั กพจนัากธนค์ ีู้่ พระ - นาง ทา� ให้มีลีลางดงามดจุ ดงั มเี ทวดาและนางฟา้ มารา่ ยรา� อวยพรให้ ๑๓5 ขอ สอบ O-NET นักเรียนควรรู ขอสอบป ’50 ออกเกย่ี วกบั การวิจารณผ ลงานนาฏศลิ ปไ ทย 1 การตีบท หรอื การรําทําบท การราํ ตามบทรอ ง บทพากย และบทเจรจา ในการวิจารณผ ลงานนาฏศลิ ป ไม ควรพดู ถึงเรอ่ื งใด โดยใชภาษาทา ภาษานาฏศลิ ป และภาษาโขน เพอื่ ส่อื ความหมายใหผ ชู มเขา ใจ 1. บทและดนตรปี ระกอบการแสดง การตบี ทนัน้ จะมีความสัมพนั ธส อดคลอ งกับเน้ือรอง จังหวะ และทํานองเพลง 2. ทา ทางการแสดงและการแตงกาย 2 ขย่นั เทา เปนกิริยาของการใชเทาคลา ยกบั การซอยเทา จะตา งกันท่ีการขยัน่ 3. หนา ตาและนิสยั ของผูแสดง ตองไขวเ ทากัน น้าํ หนกั ตัวจะอยทู ่เี ทาท่ีไขวอยูข า งหนา แลวทาํ กริ ยิ าเหมอื นการ 4. ไมม ขี อใดถูก ซอยเทา ถา ขยั่นเคล่อื นที่ไปทางขวา เทาซายจะอยูหนา ถา ขยนั่ เคลื่อนที่ไปทางซา ย เทา ขวาจะอยูหนา วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะหนาตาและนิสัยของผูแสดงจัดเปน 3 การเขา พระ - เขานาง การแสดงบทเกยี้ วพาราสี เลาโลมดวยความรัก ความเสนหาของตัวละครทเ่ี ปน ตัวพระและตัวนาง นิยมใชเ พลงโลมคูกบั เพลง- บุคลิกและลักษณะเฉพาะบุคคล ซ่ึงไมมีความเก่ียวของในการวิจารณผลงาน ตระนอน เชน การแสดงละครในเรือ่ งอิเหนา ตอนอเิ หนาลกั พาตวั นางบษุ บาไปไว นาฏศิลป ในถาํ้ เปนตน คู่มือครู 135

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขข้าา้ใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ ใหน ักเรียนศึกษาเรอ่ื งระบํา จากในหนงั สือเรียน เสริมสาระ หนา 136 จากน้ันครถู ามนกั เรียนวา ระบาํ • เพราะเหตใุ ดระบาํ มาตรฐานจึงไมสามารถ ระบ�า เป็นชุดการแสดงทป่ี ระดิษฐ์ขนึ้ เพ่ือประกอบการแสดงละคร หรือเพอื่ แสดงในโอกาส เปล่ยี นแปลงทาราํ ได ตา่ งๆ ระบา� แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท คอื ระบา� มาตรฐานและระบา� เบด็ เตลด็ ซงึ่ ระบา� ทงั้ ๒ ประเภท (แนวตอบ เพราะเปน ระบําทป่ี รมาจารยท าง นี้จะมรี ปู แบบและลักษณะตา่ งกนั ดังนี้ นาฏศิลปไดคดิ ประดษิ ฐทารําขึ้นไว ๑) ระบา� มาตรฐาน เปน็ การแสดงประเภทระบา� ท่ี อยางสวยงาม สอดคลอ งกับบทรอ ง มลี กั ษณะเฉพาะ กลา่ วคอื มกี ารแตง่ กายยนื เครอื่ งพระ- และการบรรเลงเหมาะสมเปน แบบฉบบั ) นางเช่นเดียวกับการแต่งกายของละครหลวง และเป็น ชุดระบ�าท่ีปรมาจารย์ทางด้านนาฏศิลป์ไทยได้ประดิษฐ์ ขยายความเขา้ ใจ E×pand ขน้ึ เปน็ แบบแผน มกี ารถา่ ยทอดและสบื สานเปน็ รปู แบบ มาจนถงึ ปจั จบุ นั กลา่ วคอื มกี ารอนรุ กั ษท์ า่ รา� สบื ทอดมา 1. ใหนักเรยี นสรปุ สาระสาํ คัญเก่ียวกับการแสดง จนถงึ กรมมหรสพ และมกี ารจดั หลกั สตู รการเรยี นการสอนในวทิ ยาลยั นาฏศลิ ปในปจั จบุ นั ตวั อยา่ ง นาฏศลิ ปไ ทยมาตรฐานชดุ “ระบาํ กฤดาภนิ หิ าร” ระบ�ามาตรฐาน เชน่ ระบ�าเทพบนั เทงิ ระบ�ากฤดาภินหิ าร ระบ�าพรหมาสตร์ เป็นตน้ ลงกระดาษรายงาน นําสงครูผสู อน ๒) ระบา� เบด็ เตลด็ เปน็ ระบา� ทป่ี รมาจารยท์ างดา้ น 2. ใหน ักเรียนแตล ะกลมุ ผลดั เปล่ยี นกันออกมา นาฏศิลป์ไทยได้ประดิษฐ์ท่าร�าขึ้นเป็นแบบแผน โดย ปฏบิ ตั ทิ า ราํ เพลงระบาํ กฤดาภนิ หิ าร ใหเ พอื่ นชม ประดิษฐ์ท่าร�าจากภาพจ�าหลัก หรือภาพประติมากรรม หนาช้ันเรียน โดยมคี รูเปนผูคอยชี้แนะ ขโบอรงานณาคงอดัปตี สา่ งรๆ หไดรแ้ือกพ ่รระะพบุทา� ทธวราูปรปวาดง ี ตระ่าบงา�ๆศ รเวีชชิ่นยั 1 รระะบบา��า ความถกู ตอง ลพบรุ ี ระบา� สโุ ขทยั และระบา� เชยี งแสน นอกจากน ี้ ยงั มี ระบ�าไก ่ ระบา� เงอื ก ระบา� มฤคระเริง (ระบ�ากวาง) ระบ�า ตรวจสอบผล Evaluate ดอกบวั เป็นตน้ ชุดการแสดงบางชดุ มีรูปแบบและวิธีการแสดงแบบระบา� แตจ่ ะเรยี กวา่ “ฟอน” เช่น ฟ้อนภูไท 1. ครพู ิจารณาจากการสรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกับ ฟ้อนแคน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฟ้อนเทียน การแสดงนาฏศิลปไ ทยมาตรฐาน ฟอ้ นเลบ็ ในภาคเหนอื เปน็ ตน้ รปู แบบลกั ษณะวธิ กี ารแบบ ชดุ “ระบาํ กฤดาภนิ ิหาร” ของนักเรียน ระบา� จะใชผ้ แู้ สดงมากกวา่ ๒ คน ขนึ้ ไป ผแู้ สดงมรี ปู รา่ ง ใกลเ้ คยี งกนั มีการแตง่ กายแบบเดียวกนั และเนน้ ความ 2. ครพู ิจารณาจากการปฏบิ ัติทา รํา สวยงามจากทว่ งทลี ลี าและการแปรแถว สว่ นฟอ้ นจะเปน็ เพลงระบํากฤดาภินหิ ารของนกั เรียน ชดุ การแสดงทีม่ ีความเชอ่ื งช้า เน้นลลี าออ่ นชอ้ ยงดงาม และเป็นการเรียกเฉพาะการแสดงของภาคตะวันออก- ๑๓๖ เฉียงเหนือและภาคเหนือเท่านน้ั นักเรยี นควรรู บรู ณาการเช่อื มสาระ จากการศกึ ษาเกีย่ วกบั ระบาํ โบราณคดี สามารถเชื่อมโยงกบั การเรียน 1 ระบําศรวี ชิ ัย เปน การรําหมปู ระกอบดวยผแู สดง 6 คน ทา ราํ ประดษิ ฐข ึน้ โดย การสอนในกลมุ สาระการเรียนรสู ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม เลียนแบบจากภาพจาํ หลกั ผสมกบั ทา ราํ ของนาฏศิลปชวา ทําใหเ กดิ ความสวยงาม วิชาประวตั ศิ าสตร ในเรอ่ื งอาณาจกั รโบราณในดนิ แดนของไทย ของทาราํ ท่ีมคี วามผสมกลมกลืนและมลี ักษณะเฉพาะของการใชมือ เทา และศีรษะ ซงึ่ มวี ฒั นธรรมความเปน อยทู แี่ ตกตา งกนั และเมอื่ มกี ารคดิ คน การแสดงระบาํ โบราณคดขี ึน้ มา ก็เปนการสะทอ นใหเ หน็ ถึงอารยธรรมตา งๆ ในอดตี การรําแบง เปน ขัน้ ตอนตางๆ ไดดังตอ ไปนี้ ผา นลลี าการรา ยรํา การแตงกายทเ่ี ปน ของยคุ สมยั นน้ั เชน ระบาํ ทวารวดี ข้ันตอนที่ 1 ราํ ออกมาตามทํานองเพลง มีทารํา ซ่ึงดัดแปลงมาจากหลกั ฐานทางโบราณวตั ถุ ภาพจิตรกรรม ข้ันตอนที่ 2 ทาํ ทา รําตามกระบวนเพลงชาและเพลงเร็ว จนจบกระบวนทา และประตมิ ากรรม ตามหลักฐานทางประวัติศาสตรพบวา ชาวทวารวดี ขั้นตอนที่ 3 ทําทา จบดวยการไหวใ นชว งทายของเพลง แลวรําเขาเวที เปนมอญ หรอื เผา ชนทีพ่ ูดภาษามอญ ดังนัน้ ทา รําและดนตรี ตลอดจน เครื่องแตงกายของระบาํ ศรีวิชัย จะประกอบไปดวยเสอื้ รัดอกสีเนอื้ นุงโสรงปาเตะ เครอื่ งแตงกายในระบาํ ชดุ นี้ จึงมลี ลี า สําเนียง และแบบอยา งท่เี ปน มอญ จบี หนา นาง แถวหนงึ่ สเี ขยี ว อกี แถวหนงึ่ สแี ดง มผี า คาดรอบสะโพก นงุ ผา สแี ดงจะ ระบาํ ลพบรุ ี ไดเ ลยี นแบบลลี าทาราํ มาจากประติมากรรมและภาพสลกั คาดสเี ขยี ว และนงุ ผา สีเขียวจะคาดสีแดง ทปี่ รากฏบนทพั หลงั และหนาบนั ของปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรงุ อันเปนศิลปะแบบขอม ดงั น้ัน ทาราํ และดนตรี ตลอดจนเครอ่ื งแตงกาย 136 คมู่ อื ครู ในระบําชดุ นี้ จึงมลี ลี า สําเนยี ง และแบบอยา งทีเ่ ปน เขมร เปน ตน

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๒. การแสดงราํ วงมาตรฐาน เพลง “คนื เดอื นหงาย” ครเู ปดซดี ี หรือดวี ดี กี ารแสดงรําวงมาตรฐาน 2ร�า.ว๑ง มปาตรระฐวานตั 1 ิคมวีวาิวมัฒเนปานกามรมา าจากการ “เพลงคืนเดือนหงาย” ใหน ักเรยี นชม จากนน้ั รา� โทน ซงึ่ เป็นการละเลน่ พ้นื บา้ นของภาคกลาง ครูถามนักเรยี นวา • เพลงคืนเดอื นหงายใชท า รําใด (แนวตอบ ทา สอดสรอยมาลาแปลง) ทนี่ ยิ มเลน่ ในฤดกู าลตา่ งๆ เนอ่ื งจากการฟอ้ นรา� สา� รวจคน้ หา Explore ชนิดน้ีจะใช้โทนตีประกอบจังหวะเป็นหลัก จงึ เรยี กวา่ “ราํ โทน” เพลงร�าโทนเพลงแรก คอื ใหน กั เรียนศึกษา คนควา หาความรู “เพลงใกลเ ขา มาอกี นดิ ” ตอ่ มาไดม้ กี ารประพนั ธ์ เพิ่มเติมเกี่ยวกับการแสดงราํ วงมาตรฐาน เพลงขึ้นใหม่อีก ๔ เพลง ในสมัยจอมพล “เพลงคืนเดอื นหงาย” จากแหลง การเรียนรูตางๆ ป. พบิ ลู สงคราม เปน็ นายกรฐั มนตร ี หนงึ่ ในนน้ั คอื เชน หอ งสมดุ โรงเรยี น หอ งสมดุ ชมุ ชน อนิ เทอรเ นต็ เพลง “คืนเดอื นหงาย” พร้อมท้งั มีการปรบั ปรุง เปน ตน ในหัวขอ ท่ีครกู าํ หนดให ดังตอไปนี้ ดนตรีเป็นวงปีพาทย์และวงดนตรีสากลบรรเลง ประกอบ สว่ นทา่ รา� ไดก้ า� หนดทา่ รา� แบบมาตรฐาน 1. ความเปนมาของรําวงมาตรฐาน : มที า่ รา� เฉพาะเพลงแตล่ ะเพลง เชน่ เพลงชาวไทย เพลงคืนเดอื นหงาย ใชท้ า่ รา� ชกั แปง้ ผดั หนา้ เพลงดอกไมข้ องชาติใช้ ตัวอยางการแตงกายประกอบการแสดงรําวงมาตรฐาน ทา่ ร�าย่วั เปน็ ตน้ เพลงคืนเดอื นหงาย 2. การประยกุ ตศ ลิ ปะแขนงอน่ื ๆ กบั การแสดง 3. วธิ ีการฝก หัดทา รํา 4. แนวทางวเิ คราะห วิจารณก ารแสดง ตอ่ มาทา่ นผหู้ ญงิ ละเอยี ด พบิ ลู สงคราม ไดป้ ระพนั ธเ์ พลงเพม่ิ ขนึ้ อกี ๖ เพลง ปรบั ปรงุ ทา� นอง อธบิ ายความรู้ Explain เพลงและใช้เคร่ืองดนตรีเข้ามาบรรเลงประกอบการขับร้อง จัดท่าร�าวงให้งดงามถูกต้องตามแบบ นาฏศลิ ป์ไทย ใช้ทา่ ร�าแมบ่ ทมากา� หนดไวเ้ ป็นแบบฉบบั ท่าร�ามาตรฐาน และเปลยี่ นชอื่ รา� โทนมา เป็นรา� วง ตอ่ มากรมศิลปากรได้เรยี กการร�าวงทมี่ ีแบบแผนเดยี วกนั นี้วา่ “ราํ วงมาตรฐาน” ใหน กั เรยี นรวมกันอภปิ รายเกยี่ วกบั การแสดง รําวงมาตรฐาน “เพลงคืนเดือนหงาย” ในหวั ขอ 2.2 การประยกุ ต์ศิลปะแขนงอน่ื ๆ กับการแสดง ความเปน มาของราํ วงมาตรฐาน : เพลงคนื เดอื นหงาย ๑) ลกั ษณะและวธิ กี ารแสดง จากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ วา่ เพลงท่ีใชใ้ นการรา� วงมาตรฐาน และการประยกุ ตศลิ ปะแขนงอื่นๆ กับการแสดง ตามทไี่ ดศ กึ ษามา จากน้นั ครถู ามนกั เรยี นวา มีทัง้ หมด ๑๐ เพลง และมที า่ รา� ท่ีเป็นมาตรฐานเฉพาะในแต่ละเพลง แตล่ กั ษณะและวิธกี ารแสดง จะเหมอื นกัน คือ เป็นการร�าคู่และเดินย�่าเท้าเป็นวงกลมทวนเข็มนาฬกิ าตลอดท้ังเพลง • การแสดงราํ วงมาตรฐานท่ถี กู ตอ ง ควรปฏิบัตอิ ยางไร ๒) เครื่องแต่งกาย ผู้แสดงร�าวงมาตรฐานสามารถแต่งกายได้หลายแบบ เช่น (แนวตอบ จับคูชาย - หญิง กอ นเร่ิมรํา ชาย - หญงิ ทาํ ความเคารพกันดวยการไหว แบบพ้ืนบ้าน ผู้ชายจะนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลมลายดอก หรือเสื้อผ้าแพร มีผ้าคาดเอว ดนตรจี ะนาํ 1 วรรค เพอื่ ใหก ารเดนิ เทา ใน ส่วนผู้หญิงจะนุ่งโจงกระเบน ห่มสไบ ทัดดอกไม้ หากเป็นแบบไทยพระราชนิยม ผู้ชายจะนุ่ง จงั หวะแรกพรอ มเพรียงกนั ระยะคูไ มห า ง โจงกระเบน สวมเสอ้ื ราชปะแตน สวมถงุ เทา้ รองเทา้ สว่ นผหู้ ญงิ จะนงุ่ ผา้ โจงกระเบน สวมเสอ้ื ลกู ไม้ หรอื ชิดกันเกินไป ใชท ารําตามทีก่ ําหนดไว แขนพองใชผ้ า้ แพรสะพายไหล ่ มผี า้ คาดเอว สวมถงุ นอ่ ง รองเทา้ หรอื แตง่ ชดุ ไทยเรอื นตน้ เปน็ ตน้ ในแตล ะเพลงและพนมมอื ไหวซ งึ่ กนั และกนั กอ นทจี่ ะออกจากวงรํา) ๑๓7 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด นักเรยี นควรรู ขอใดแสดงความสัมพนั ธก นั ไดอยางถกู ตอ ง 1 ราํ วงมาตรฐาน ท้ังหมดมี 10 เพลง คือ เพลงงามแสงเดอื น ทาสอดสรอ ยมาลา 1. ราํ โทน กับ รําวงมาตรฐาน เพลงชาวไทย ทา ชักแปงผัดหนา เพลงราํ ซมิ าราํ ทาราํ สา ย เพลงคืนเดอื นหงาย 2. รําเถิดเทงิ กับ ราํ วงมาตรฐาน ทา สอดสอยมาลาแปลง เพลงดวงจนั ทรว นั เพญ็ ทา แขกเตา เขา รงั และทา ผาลาเพยี งไหล 3. เพลงดวงจนั ทรข วญั ฟา กบั กรมศิลปากร เพลงดอกไมของชาติ ทา รํายัว่ เพลงดวงจนั ทรข วญั ฟา ทาชางประสานงา 4. เพลงรําซมิ าราํ กับ ทานผหู ญงิ ละเอียด พบิ ูลสงคราม และทา จนั ทรท รงกลดแปลง เพลงหญงิ ไทยใจงาม ทา พรหมสหี่ นา และทา ยงู ฟอ นหาง เพลงยอดชายใจหาญ ชาย ทาจอเพลิงกาฬ หญิง ทา ชะนีรา ยไม และเพลงบชู านักรบ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะในสมัยกอ นไมม ีคาํ วา “มาตรฐาน” ชาย ทาจนั ทรท รงกลดและทาขอแกว หญิง ทาขดั จางนางและทา ลอแกว จะเรียกกนั เพียงวา “ราํ วง” เทา นน้ั การรําวงน้ีเปนการละเลนพนื้ เมอื งอยา ง มมุ IT หนงึ่ ของชาวไทย ทบ่ี ง บอกถึงความสนกุ สนาน จะเลน กันในบางทอ งถน่ิ และ บางเทศกาลของแตล ะจังหวัดเทา น้นั รําวงมาตรฐานมีวิวัฒนาการมาจาก นกั เรยี นสามารถชมการแสดงราํ วงมาตรฐาน ไดจ าก http://www.youtube.com การรําโทน ซงึ่ เปน การละเลนพ้ืนเมอื งของไทย หรืออาจพดู ไดวา “รําวง” โดยคน หาจากคาํ วา ราํ วงมาตรฐาน เรียกอกี ช่ือหนึง่ วา “รําโทน” ค่มู ือครู 137

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหนกั เรยี นรวมกันอภิปรายเก่ียวกับการแสดง ๓) องค์ประกอบด้านฉาก แสง สี และเสียง ร�าวงมาตรฐานจะเน้นที่ฝีไม้ลายมือ ราํ วงมาตรฐาน “เพลงคนื เดือนหงาย” ในหวั ขอ วธิ ีการฝกหดั ทาราํ ตามท่ีไดศึกษามา ของผู้ร�าว่าสามารถร�าได้ลงจังหวะและถูกต้องตามแบบแผนนาฏศิลป์ไทยหรือไม่ แต่จะไม่เน้นที่ องค์ประกอบด้านฉาก แสง สี หรือเสียงมากนัก ส�าหรับเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบร�าวง 2. ใหนกั เรยี นศกึ ษาเนื้อเพลงคืนเดือนหงาย มแลาตะโรทฐนา1น เเมพอ่ื ลมงกีคานื รเพดอืฒั นนหางกาายร รแา� ตขเ่ นึ้ดมิ จมงึ เีไคดรพ้ อื่ ฒั งดนนาตเครรที อื่ ี่ใชงดบ้ นรรตเรลที ง่ีใปชรเ้ะปกน็ อวบงกปาพี รแาทสดยแ์ง ลคะอื ว งฉดง่ิ น ฉตารบสี ากกรบัล จากในหนงั สือเรียน หนา 138 บรรเลงประกอบการแสดง สว่ นบทรอ้ งและทา� นองเพลงไดป้ ระพนั ธข์ นึ้ มาใหมโ่ ดยกรมศลิ ปากร ดงั น้ี 3. ครเู ปด ซีดี หรือดวี ดี ีเพลงคืนเดือนหงาย บทรอ้ งเพลงคนื เดือนหงาย ใหน กั เรียนฟง พรอ มท้ังสาธิตวิธกี ารขับรอ ง เพลงคืนเดอื นหงายทถ่ี กู ตอ งใหน กั เรียนฟง ยามกลางคืนเดือนหงาย เยน็ พระพายโบกพลวิ้ ปลิวมา และใหน ักเรียนฝก ปฏิบัติตาม จากนนั้ ครสู มุ เยน็ อะไรก็ไมเ่ ย็นจติ เท่าเยน็ ผกู มิตรไมเ่ บอื่ ระอา นักเรียน 2 - 3 คน ออกมาสาธิตวธิ ีการขับรอ ง เย็นรม่ ธงไทยปกไทยทั่วหล้า เยน็ ยิ่งน�า้ ฟา้ มาประพรมเอย เพลงคืนเดือนหงายที่ถกู ตองใหเพอื่ นชม หนาชนั้ เรียน โดยมคี รูเปนผูคอยช้ีแนะ 2.๓ วิธฝี ึกหัดทา่ ราำ ความถกู ตอ ง ทา่ รา� ทใี่ ชร้ า� วงมาตรฐานเพลงคนื เดอื นหงาย คอื ทา่ สอดสรอ้ ยมาลาแปลง เปน็ การรา� คชู่ าย - หญงิ 4. ใหนักเรียนศกึ ษาทา รําเพลงคืนเดือนหงาย ทา่ ร�าวงมาตรฐานประกอบเพลง “คืนเดือนหงาย” จากในหนงั สือเรียน หนา 138 ทา่ ท่ี ๑ ท่าท่ ี ๒ 5. ใหน กั เรียนแบง กลุม กลมุ ละ 8 คน แลว จับคู ชาย-หญงิ ครสู าธติ การรา ยราํ เพลงคนื เดอื นหงาย ๑๓๘ ทีถ่ ูกตอ งใหนกั เรียนดู จากนนั้ ใหน ักเรียน ฝก ปฏบิ ตั ติ าม แลว ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ผลดั กนั ออกมาสาธติ การรา ยราํ เพลงคืนเดือนหงาย ทถ่ี กู ตองใหเพือ่ นชมหนาชนั้ เรยี น โดยมคี รู เปน ผูค อยชแ้ี นะความถูกตอง จากน้ันครู ถามนกั เรียนวา • การปฏบิ ตั ทิ า ราํ สอดสรอ ยมาลาแปลงทถ่ี กู ตอ ง ควรมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ ทาสอดสรอ ยมาลาแปลง เปนทา รํา ทด่ี ดั แปลงมาจากทา สอดสรอ ยมาลา ในเพลง- งามแสงเดอื น ผรู าํ จะยืนเทา ชดิ ตดิ กัน มือซายต้งั วงบน มอื ขวาจีบหงายท่ชี ายพก เอยี งศีรษะขวา พอเพลงเร่ิมมอื ขวาทจี่ ีบหงาย ทช่ี ายพกใหโ บกขนึ้ ไปตง้ั วงบน โดยไมต อ งสอด หรอื มว นมอื และมอื ซา ยลดวงลง พลกิ ขอ มอื เปน จบี หงายทช่ี ายพก เปลยี่ นมาเอยี ง ศรี ษะซาย) เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครูควรเชิญวิทยากรที่มคี วามเชย่ี วชาญในเรอ่ื งการแสดงนาฏศิลปไ ทย ครูสาธติ วธิ กี ารขบั รองเพลงคนื เดอื นหงายท่ถี ูกตอ งใหนักเรยี นฟง มาอธิบายเพิ่มเตมิ เกีย่ วกบั การแสดงราํ วงมาตรฐาน 10 เพลง คือ เพลงงามแสงเดือน จากนน้ั ใหนักเรยี นฝกปฏิบตั ิตาม แลว ออกมาสาธิตการขับรอ ง เพลงชาวไทย เพลงรําซมิ าราํ เพลงคนื เดือนหงาย เพลงดวงจนั ทรวนั เพญ็ เพลงคืนเดอื นหงายท่ถี กู ตองใหเ พ่อื นชมหนาชัน้ เรียน โดยมีครเู ปน ผูคอย เพลงดอกไมข องชาติ เพลงจนั ทรข วญั ฟา เพลงหญงิ ไทยใจงาม เพลงยอดชายใจหาญ ชแี้ นะความถูกตอง และเพลงบชู านกั รบ พรอ มทง้ั เปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงราํ วงมาตรฐานใหน กั เรยี นชม จากน้นั ครูเปด โอกาสใหน กั เรยี นไดซกั ถามในสง่ิ ท่ีสงสยั และแสดงความคดิ เห็น กิจกรรมทาทาย นกั เรยี นควรรู ใหนักเรยี นท่มี ีความสามารถดา นการขบั รองเพลงไทยและการแสดง นาฏศลิ ป ออกมาสาธติ วธิ กี ารขบั รอ งเพลงคนื เดอื นหงาย ประกอบ 1 โทน เปน ชอ่ื ของเคร่อื งดนตรีประเภทเครอ่ื งหนงั ที่ขึงหนงั หนาเดยี ว มสี ายโยง การฟอ นราํ ในทาสอดสรอ ยมาลาแปลงท่ีถกู ตองใหเ พือ่ นชมหนาชน้ั เรยี น เรง เสียงจากขอบหนังถงึ คอ มหี างยื่นออกไปและบานปลาย โดยลักษณะรปู รา งน้นั โดยมคี รเู ปน ผูคอยช้ีแนะความถูกตอ ง จงึ ทําใหโทนมชี ื่อเรียกตามรปู รางทป่ี รากฏ 2 ชนิด คือ โทนชาตรแี ละโทนมโหรี 138 คู่มอื ครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเข้าใา้ จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ก่อนจะร�าชาย - หญิงจะท�าความเคารพซ่ึงกันและกันด้วยการไหว้ ดนตรีจะบรรเลงท�านอง ใหนักเรยี นรวมกันอภปิ รายเกีย่ วกบั การแสดง เพลง ๓ วรรค เพอื่ ใหผ้ รู้ า� ตง้ั ตน้ จงั หวะได ้ จากนน้ั ชาย - หญงิ เดนิ ยา่� เทา้ ตามกนั เปน็ วงกลมทวนเขม็ ราํ วงมาตรฐาน “เพลงคืนเดือนหงาย” ในหัวขอ นาฬิกา โดยต้องรักษาชอ่ งไฟและเสน้ รอบวงใหก้ ลมไม่ใหเ้ บี้ยว ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งชาย - หญิง แนวทางวเิ คราะห วิจารณก ารแสดงตามที่ได ให้กลมกลนื ไมย่ ืนชดิ กัน หรือหา่ งกันจนเกนิ ไป ศึกษามา จากนนั้ ครถู ามนักเรียนวา ผู้หญิงยืนวงนอก ผู้ชายยืนซ้อนเหล่ือมด้านหลัง หันหน้าออกมานอกวง มือขวาตั้งวงบน มอื ซา้ ยจีบหงายระดับวงล่าง กา้ วเทา้ ซ้าย เอยี งศรี ษะซ้าย เมื่อเพลงข้นึ เนื้อร้องท่วี ่า “ยามกลางคืน • เพราะเหตใุ ด ชาย - หญิงที่รว มกนั เดอื นหงาย” ให้ยกจมูกเท้าวางหลงั ในค�าร้องท่ีว่า “หงาย” และยา�่ เท้าขวาหมนุ ตวั มาหันหน้าเข้าวง รําวงมาตรฐาน จงึ ตอ งแสดงความเคารพ ยา่� เทา้ ซ้าย ก้าวไขว้เท้าขวา แล้ววางหลังเทา้ ซา้ ยในคา� รอ้ งท่ีว่า “ปลวิ มา” เปลยี่ นมือขวาลดลงมา ซึ่งกันและกันท้ังกอนและหลังการรํา จีบหงายระดับวงล่าง มือซ้ายตั้งวงบน ศีรษะเอียงขวา ผู้ชายจะเดินย�่าเท้าซ้อนเหลื่อมด้านหลัง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ผหู้ ญงิ ตลอดท้งั เพลงและเดนิ เคลอ่ื นเป็นวงกลมทวนเข็มนาฬิกา ไดอยา งอสิ ระ) 2.๔ แนวทางวิเคราะห ์ วจิ ารณ์การแสดง แนวทางในการวิเคราะห ์ วิจารณก์ ารแสดงรา� วงมาตรฐานเพลงคืนเดอื นหงาย ต้องพจิ ารณา • นักเรียนสามารถวเิ คราะห วจิ ารณก ารแสดง จากองค์ประกอบตา่ งๆ ของการแสดง ดงั นี้ รําวงมาตรฐานเพลงคนื เดอื นหงาย ไดจากสง่ิ ใดบา ง ๑) วเิ คราะหป์ ระเภทของการแสดง รา� วงมาตรฐานเพลงคนื เดอื นหงาย เปน็ การรา� ค ู่ (แนวตอบ สามารถวิเคราะห วจิ ารณ โดยพจิ ารณาจากองคประกอบตางๆ ซ่ึงเน้นท่ีลีลาและกระบวนท่าร�าท่ีอ่อนช้อย งดงาม แสดงอารมณ์ ความรู้สึกสัมพันธ์คู่ให้ผู้ชม ของการแสดง คือ เขา้ ใจ สามารถรา� ไดล้ งจงั หวะดว้ ยลลี าเฉพาะตวั และถกู ตอ้ งตามแบบแผนนาฏศลิ ป์ไทย ซงึ่ ผแู้ สดง 1. วิเคราะหป ระเภทของการแสดง ไมส่ ามารถดดั แปลงทา่ ร�าได้ 2. วเิ คราะหรปู แบบของการแสดง 3. วิเคราะหเครอ่ื งแตง กายของผูแสดง ๒) วเิ คราะหร์ ปู แบบการแสดง ลกั ษณะและรปู แบบการแสดงประเภทรา� วงมาตรฐาน 4. วเิ คราะหล ีลาการรา ยรํา) ตอ้ งเปน็ การรา� คชู่ าย - หญงิ เดนิ ตามกนั เปน็ วงกลมทวนเขม็ นาฬกิ า ใชท้ า่ รา� สอดสรอ้ ยมาลาแปลง ขยายความเขา้ ใจ E×pand ตลอดทั้งเพลง เร่ิมต้นการแสดงและจบการแสดงด้วยการท่ีชาย - หญิงไหว้ซึ่งกันและกัน ดังนั้น หากลักษณะรปู แบบการแสดงเปน็ ไปในรปู แบบอื่น จะไม่เรยี กวา่ รา� วงมาตรฐาน 1. ใหน ักเรียนสรุปสาระสาํ คัญเก่ยี วกับการแสดง รําวงมาตรฐาน “เพลงคืนเดอื นหงาย” ๓) วิเคราะห์เคร่ืองแต่งกาย ร�าวงมาตรฐานท้ัง ๑๐ เพลง จะมีการแต่งกายที่ ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครูผสู อน ปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ได้ก�าหนดไว้แล้ว คือ การแต่งกายแบบชาวบ้าน การแต่งกายแบบไทย 2. ใหน กั เรียนแตล ะกลมุ ผลัดเปลีย่ นกันออกมา พระราชนยิ ม และการแตง่ กายแบบไทยสากล ผชู้ มการแสดงตอ้ งพจิ ารณาลกั ษณะการแตง่ กายของ ปฏิบัติทาราํ เพลงคนื เดอื นหงาย ใหเ พื่อนชม ผแู้ สดงชายและหญงิ วา่ แตง่ กายไดก้ ลมกลนื กบั คขู่ องตนและเปน็ ไปตามยคุ สมยั หรอื ขดั กนั หรอื ไม่ หนา ช้นั เรยี น โดยมีครูเปนผูค อยชแ้ี นะ ความถกู ตอ ง ๔) วิเคราะห์ลีลาท่าร�า ร�าวงมาตรฐานมีลีลาท่าร�าที่ปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทย ได้ก�าหนดไว้เป็นแบบแผน โดยเพลงคืนเดือนหงายจะใช้ท่าร�าท่าสอดสร้อยมาลาแปลง ซ่ึงท่าร�า ดังกล่าวเป็นภาษานาฏศิลป์ หรอื นาฏยภาษา ทา่ ร�าไม่ไดส้ ่อื ความหมาย หรือไมเ่ ป็นการตีบทตาม เน้ือเพลง แต่เปน็ การร�าประกอบเน้ือรอ้ ง ท�านองเพลงด้วยทา่ ร�า ใช้การส่ืออารมณ ์ ความรูส้ ึกดว้ ย การใชส้ ายตา ลีลาทา่ รา� ได้ก�าหนดไวเ้ ปน็ มาตรฐาน ๑๓9 ชอ่ื ของรําโทนมีทีม่ าจากสิง่ ใด แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู 1. จาํ นวนของผรู ํา 2. เครื่องดนตรีทใ่ี ช ครคู วรนาํ ภาพลักษณะการแตงกายในการแสดงราํ วงมาตรฐานมาใหน ักเรยี นดู 3. แหลง กําเนดิ การแสดง พรอ มอธบิ ายเพม่ิ เติมวา การแตงกายรําวงมาตรฐานสามารถแตง ได 3 แบบ คอื 4. บทรองประกอบการรายราํ 1. แบบพ้นื เมือง วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะการราํ โทน จะใชโทนตีประกอบ ชาย นงุ ผาโจงกระเบน สวมเสอ้ื คอกลม มีผาคาดเอว หญงิ นุงผาโจงกระเบน หม สไบอดั จีบ คาดเขม็ ขดั จงั หวะในการรํา ตอมาจึงมกี ารเพมิ่ กรบั และฉ่งิ แตยังไมมกี ารขับรอง ประกอบในการรํา จะราํ ไปตามจงั หวะโทนเพยี งอยา งเดยี ว 2. แบบไทยพระราชนยิ ม ชาย สวมกางเกงขายาว ใสเ สอ้ื พระราชทาน (แขนยาว หรอื สั้นกไ็ ด) สวมรองเทา หรอื นุง ผา โจงกระเบน ใสเ สือ้ ราชปะแตน สวมรองเทา ถุงเทา ยาว หญิง แตงชดุ ไทยเรือนตน และชุดไทยสมัยรชั กาลท่ี 5 สวมรองเทา 3. แบบสากลนยิ ม ชาย แตงชุดสูทสากล สวมเสอื้ เชติ้ แขนยาว ผกู เนกไท สวมรองเทา หญงิ ชุดไทย คู่มือครู 139

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. ครพู จิ ารณาจากการสรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกบั ทงั้ น ี้ การรา� ค ู่ เปน็ การแสดงทมี่ งุ่ ใหเ้ หน็ ถงึ ความสามารถของผแู้ สดง ทมี่ ที ว่ งทลี ลี างดงาม การแสดงราํ วงมาตรฐาน “เพลงคนื เดอื นหงาย” มีความช�านาญ ต้องการอวดฝีมือของผู้ร�า ความประณีตในการแต่งกายที่สวยงาม และมีการร�า ของนักเรียน ท่ีลงจงั หวะ มที ่วงทา่ เปน็ มาตรฐาน เปน็ แบบแผน ซง่ึ ผ้ชู มการแสดงควรศึกษาและทา� ความเขา้ ใจ องคป์ ระกอบต่างๆ ของการแสดง เพ่ือจะไดช้ มการร�าวงมาตรฐานด้วยความเข้าใจ 2. ครูพิจารณาจากการปฏิบตั ิทา รํา “เพลงคืนเดอื นหงาย” ของนักเรยี น หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู กิจกรรม ศิลปป์ ฏิบตั ิ ๘.๑ 1. ผลการสรุปสาระสาํ คญั เกี่ยวกบั กจิ กรรมท ่ี ๑ ใหน้ กั เรยี นชมวดี ทิ ศั นก์ ารแสดงระบา� ชดุ กฤดาภนิ หิ าร แลว้ ใหน้ กั เรยี นลองปฏบิ ตั ติ าม การแสดงนาฏศิลปไ ทยมาตรฐาน กจิ กรรมที ่ ๒ จากนน้ั ใหจ้ บั กลมุ่ กลมุ่ ละ ๖ คน ออกมาแสดงทา่ ทางท่ไี ดท้ า� ตามวดี ทิ ศั นห์ นา้ ชน้ั เรยี น ชุด “ระบาํ กฤดาภนิ หิ าร” ใหน้ กั เรยี นตอบคา� ถามตอ่ ไปน้ี ๑. ระบ�าชุดกฤดาภนิ ิหารมจี ดุ มงุ่ หมายในการแสดงอย่างไร 2. ผลการปฏบิ ัตทิ าราํ เพลงระบํากฤดาภนิ หิ าร ๒. ร�าวงมาตรฐานเพลงคืนเดือนหงายมีลักษณะและวธิ กี ารแสดงอยา่ งไร 3. ผลการสรปุ สาระสําคัญเกี่ยวกบั ๓. ให้นักเรียนระบุลักษณะพิเศษของการร�าเพลงกฤดาภินิหารและร�าวงมาตรฐาน การแสดงรําวงมาตรฐาน “เพลงคนื เดอื นหงาย” เพลงคนื เดอื นหงาย มาพอสงั เขป 4. ผลการปฏบิ ัตทิ าราํ เพลงคืนเดือนหงาย การฝกึ หดั นาฏศลิ ปไ์ ทย เปน็ สงิ่ จาำ เปน็ ทเี่ ยาวชนไทยควรจะเรยี นรู้ สมั ผสั และได้ รบั ประสบการณต์ รงจากโรงเรยี น โดยเฉพาะการฝกึ หดั การแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทยมาตรฐาน ในบางชุด เน่ืองจากเป็นชุดท่ีมีปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ไทยได้กำาหนดท่ารำาที่เป็น แบบแผนไวแ้ ลว้ สงิ่ แรกทผี่ เู้ รยี นตอ้ งเรยี นรู้ คอื พนื้ ฐานเกย่ี วกบั นาฏศลิ ปไ์ ทยมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นประวัติ ความเป็นมา รูปแบบ และลักษณะวิธีการแสดง การแต่งกาย องค์ประกอบด้านฉาก แสง สี และเสียง เขา้ ใจความหมายของเนอ้ื ร้องและทำานองเพลง เคร่ืองดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดง เพื่อที่จะได้ฝึกปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตาม แบบแผนและมีความงดงาม นอกจากน้ี ผู้แสดงและผู้ชมการแสดงจะต้องมีความเข้าใจในเอกลักษณ์ของ การแสดงแต่ละชุด แต่ละประเภท จึงจะสามารถชมการแสดงด้วยความเข้าใจ รวมท้ัง สามารถให้ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการแสดงของ ผเู้ กีย่ วขอ้ งในโอกาสตอ่ ๆ ไป ๑๔0 แนวตอบ กิจกรรมศิลปป ฏิบตั ิ 8.1 กจิ กรรมท่ี 2 1. ระบาํ ชดุ กฤดาภินิหาร มีจุดหมายในการแสดงเพื่อเปนการอวยชัยใหพร 2. ราํ วงมาตรฐานเพลงคนื เดือนหงาย มีลักษณะและวิธีแสดง ดงั ตอไปนี้ 1) เปน การราํ วงคชู าย - หญงิ 2) ลีลาทารําใชทาสอดสรอ ยมาลาแปลงท่กี าํ หนดไวเปน มาตรฐาน สื่ออารมณด วยการใชส ายตาและลลี าทาทาง 3) ลักษณะการแตง กายแบบไทยโบราณและสากล 4) ลกั ษณะการแสดงเดนิ ตามกนั ไปเปน วงกลม 3. ลกั ษณะพิเศษของการแสดงรํากฤดาภนิ ิหาร ผูแ สดงจะตองมที กั ษะในการถอื พานดอกไม รําเพียงมือเดียว ลักษณะพิเศษของรําวงมาตรฐานเพลงคืนเดือนหงายมที า ราํ ที่เรียกวา “สอดสรอ ยมาลาแปลง” ท่ีปรมาจารยบญั ญตั ิไวเ ฉพาะเพลง 140 คู่มือครู

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู 1. เปรียบเทยี บลักษณะเฉพาะของการแสดง นาฏศลิ ปจ ากวฒั นธรรมตา งๆ 2. ระบุ หรือแสดงนาฏศลิ ป นาฏศิลปพ น้ื บา น ละครไทย ละครพน้ื บานหรอื มหรสพอืน่ ทเี่ คยนยิ มกันในอดตี สมรรถนะของผูเรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี ๙หนว่ ยที่ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค การแสดงนาฏศลิ ป์พ้ืนเมอื ง 1. มวี ินยั 2. ใฝเรยี นรู 3. มุงมั่นในการทํางาน 4. รักความเปน ไทย กระตนุ้ ความสนใจ Engage ตวั ชวี้ ัด การแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งในแตล่ ะ ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง ทง้ั 4 ภาค ใหน กั เรยี นชม จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา ■ เปรียบเทียบลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลป์จากวัฒนธรรม ต่างๆ (ศ ๓.๒ ม.๒/๑) ภาคจะสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ศลิ ปะ วฒั นธรรม • นักเรยี นชอบการแสดงนาฏศิลปพืน้ เมอื ง ■ ระบ ุ หรอื แสดงนาฏศลิ ป ์ นาฏศลิ ปพ์ น้ื บา้ น ละครไทย ละครพน้ื บา้ น ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และเอกลกั ษณ์ ของภาคใดมากทีส่ ดุ เพราะเหตุใดจึงเปน ประจา� ทอ้ งถนิ่ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป การแสดง เชนน้ัน หรอื มหรสพอน่ื ทเ่ี คยนิยมกันในอดตี (ศ ๓.๒ ม.๒/๒) (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอิสระ) สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง นาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งของแตล่ ะทอ้ งถนิ่ จะประกอบ ไปด้วยเพลงพ้ืนเมืองและการฟ้อนร�าพื้นเมือง • นกั เรยี นเคยปฏบิ ตั กิ ารแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง ■ นาฏศิลปพ์ ื้นเมอื ง บางหรือไม ถาเคย นักเรยี นเคยปฏิบัติ - ความหมาย การแสดงนาฏศิลปพื้นเมืองชดุ ใด - ที่มา ดงั นั้น การเรยี นรูแ้ ละการฝกึ หดั แสดงนาฏศิลป์ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ - วัฒนธรรม พนื้ เมอื ง จะชว่ ยทา� ใหเ้ ราเขา้ ใจลกั ษณะเฉพาะของ ไดอยา งอสิ ระ) - ลกั ษณะเฉพาะ การแสดงนาฏศิลป์ในแต่ละภูมิภาค รวมท้ังจะช่วย ■ รปู แบบการแสดงประเภทตา่ งๆ ให้เกิดความเข้าใจเก่ียวกับการแสดงนาฏศิลป์ไทย - นาฏศิลปพ์ น้ื เมอื ง มาตรฐาน นาฏศลิ ปพ์ นื้ เมอื ง หรอื มหรสพอนื่ ๆ ทเ่ี คย นยิ มกนั ในอดตี อกี ดว้ ย เกรด็ แนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรยี นรนู ้ี ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงนาฏศลิ ป- พ้นื เมอื ง 4 ภาค ใหน กั เรยี นชม เพื่อเปน การเปดโลกทัศนใหแ กน ักเรียน ซ่ึงนกั เรยี น จะไดฝกการเปรยี บเทยี บลักษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศลิ ปจ ากวฒั นธรรมตา งๆ และสามารถระบุ หรือแสดงนาฏศลิ ป นาฏศลิ ปพ้ืนเมอื ง ละครไทย ละครพืน้ บาน หรอื มหรสพอืน่ ท่ีเคยนิยมกันในอดีต ครอู าจอธิบายเพม่ิ เตมิ วา การแสดงพน้ื เมอื ง คือ การแสดงของแตล ะทองถิ่นทไ่ี ดส ืบทอดตอ ๆ กนั มาต้งั แตส มยั โบราณจนถึง ปจจุบัน การแสดงบางอยา งจะแฝงไวซ ่งึ ศิลปวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และเอกลักษณประจาํ ทอ งถ่นิ ซงึ่ สามารถแบง ออกเปน 2 ประเภท คอื 1. เพลงพืน้ เมอื ง คือ เพลงที่ชาวบา นในทอ งถ่ินแตงขึ้น โดยใชส าํ เนียงภาษาพดู เฉพาะถิ่น 2. นาฏศลิ ปพ้ืนเมือง คือ การแสดงในทอ งถิน่ ตา งๆ ซง่ึ จะมคี วามสวยงาม แตกตา งกนั ไปตามลกั ษณะของสภาพแวดลอ มภายในทอ งถน่ิ และมเี อกลกั ษณเ ฉพาะ เปน ของตัวเอง ทไ่ี มสามารถลอกเลียนแบบได ค่มู อื ครู 141

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครนู าํ ภาพการแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งภาคตา งๆ ๑. ความหมายและทีม่ าของนาฏศิลปพ์ ้นื เมือง มาใหนกั เรียนดู จากนั้นครูถามนกั เรียนวา ๑.๑ ความหมาย ความหมายของ “นาฏศิลป์พื้นเมือง” ได้มีผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ให้ค�านิยามไว้ • นกั เรยี นเคยชมการแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง อยา่ งหลากหลาย เช่น ตามภาพที่ไดด ูบา งหรอื ไม ถา เคย นักเรียน ทราบหรอื ไมว า เปน การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง นาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื ง เปน็ การฟอ้ นรา� ทแี่ สดง ของภาคใดและมีชอ่ื เรยี กวาอยา งไร อยู่ในแตล่ ะท้องถนิ่ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ นาฏศิลป์พื้นเมือง เป็นการฟ้อนร�าตาม ไดอ ยา งอสิ ระ) ประเพณีนิยมของท้องถ่ิน เน้นการร้องร�ากัน ระหวา่ งชาวบา้ น เพือ่ ความร่นื เรงิ ไมเ่ ป็นอาชพี • เพราะเหตุใดเราจงึ ตอ งเรียนรใู นเรอื่ งของ หรือเพอ่ื หารายได้ การแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมือง นาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื ง เปน็ การฟอ้ นรา� ทชี่ าวบา้ น (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งอสิ ระ) สา� รวจคน้ หา Explore ได้รับการสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน มีการร้องร�ากันอย่างแพร่หลาย ซึ่งแสดงถึง ใหนกั เรยี นศึกษา คนควา หาความรูเพิ่มเติม เอกลักษณ์เฉพาะหมู่บ้าน ถือเป็นวัฒนธรรม เกยี่ วกบั ความหมายและทม่ี าของการแสดงนาฏศลิ ป- ฟอ้ นสาวไหม นาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งของภาคเหนอื เลยี นแบบ ทางด้านการแสดงความบันเทิงของชาวบ้านใน พืน้ เมือง จากแหลง การเรียนรูตา งๆ เชน หอ งสมุด มาจากการทา� งานในชีวติ ประจ�าวนั ของคนพืน้ เมอื ง ทอ้ งถนิ่ โรงเรยี น หองสมดุ ชมุ ชน อนิ เทอรเน็ต เปน ตน ในหัวขอ ท่คี รกู าํ หนดให ดงั ตอ ไปน้ี จากที่ได้กล่าวมาขา้ งต้น พอจะสรปุ ได้ว่า “นาฏศลิ ปพ์ นื้ เมือง” หมายถงึ การฟอ้ นร�าซง่ึ เป็นที่ นิยมในท้องถ่ินและสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ 1. ความหมายของการแสดงนาฏศิลปพนื้ เมือง หมบู่ า้ น เป็นวฒั นธรรมดา้ นความบันเทงิ เริงรมย ์ ไม่จัดเปน็ อาชพี หรือเพือ่ หารายได้ 2. ทีม่ าของการแสดงนาฏศิลปพน้ื เมอื ง ๑.๒ ทีม่ า นายสุจติ ต์ วงษ์เทศ ศิลปนิ แหง่ ชาต ิ สาขา อธบิ ายความรู้ Explain วรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) ประจ�าปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ใหนักเรียนรวมกันอภปิ รายเก่ียวกบั ความหมาย ลกะลเ่าลวน่ ไพวน้ื้วบ่า า้ นน1 าเกฏดิ ศขิลน้ึ ปเ์พพ้ือื่นสเมรา้ืองงคมวีทามี่มสานจกุาสกนกาานร และท่มี าของการแสดงนาฏศลิ ปพ้นื เมอื ง ตามท่ีได ความบนั เทงิ และผอ่ นคลายความเครยี ด ต่อมา ศึกษามา จากนนั้ ครถู ามนักเรียนวา เมื่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ การเมือง และสงั คมเปลยี่ นแปลงไป ลกั ษณะการละเลน่ ก็ • การแสดงนาฏศลิ ปพ ื้นเมอื งมคี ณุ คา การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมอื งภาคกลาง ชุดร�ากลองยาว เคน่ออื่ ยงๆจ ากปแรับตเ่เดปมิลจ่ียะนเมขา้าใเจปว็นา่ กกาารรแลสะเดลงน่ ม2 าหกมยาิ่งยขถ้ึนงึ และความสาํ คัญทีเ่ ราควรรวมมือรว มใจกนั สืบสานอยางไร ๑4๒ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอสิ ระ) นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การแสดงพนื้ เมืองในแตล ะภาคถกู สรา งขนึ้ มาเพื่อจุดประสงคใด 1 การละเลน พืน้ บาน แบง ออกเปน 2 ประเภท คอื การแสดงพืน้ เมอื ง หมายถงึ แนวตอบ การละเลน ทมี่ ีการแสดง การรา ยราํ มีดนตรปี ระกอบที่ไดว างไวเ ปนแบบแผน 1. เพอื่ บวงสรวง หรือบูชาเทพเจา เปน การแสดงเพอ่ื แสดงความเคารพ และนิยมเลน หรอื ถา ยทอดสบื ตอกนั มาจนเปนทีแ่ พรห ลาย เพลงพื้นเมอื ง ตอส่งิ ศักด์ิสทิ ธิ์ หรอื บวงสรวงดวงวิญญาณท่ีลวงลบั หมายถึง เพลงทชี่ าวบานในทอ งถิน่ นนั้ ๆ ประดษิ ฐแบบแผนและใชสาํ เนยี งภาษาพูด 2. เพื่อความสนุกสนานในงานเทศกาลตางๆ เปน การรําเพอื่ สรางความ ในทอ งถ่นิ นยิ มรองเลน กนั ในงานเทศกาลของทองถน่ิ รนื่ เริงของกลุมชนตามหมบู าน หรือเพ่ือเกี้ยวพาราสีกันระหวาง 2 การละเลน การกระทาํ หรือกิจกรรมใดๆ ที่กอใหเกดิ ความสนกุ สนาน ชาย - หญิง รนื่ เริง บันเทิงใจ มักมีกติกาการเลน หรือการแขงขันกันอยางงา ยๆ ไมส ลับซบั ซอ น 3. เพอ่ื ความเปนสิรมิ งคล เปน การรําเพื่อแสดงความยินดใี นโอกาสตา งๆ หรือใชในโอกาสตอ นรบั แขกผมู าเยือน มมุ IT 4. เพ่ือสื่อถึงเอกลักษณของทอ งถนิ่ อนั เกี่ยวของกบั การประกอบอาชพี วฒั นธรรม และประเพณี เพื่อสรางชอ่ื เสยี งใหเปนทรี่ จู ัก นักเรียนสามารถศึกษา คนควา เพมิ่ เติมเก่ยี วกบั การละเลน ไดจ าก http://www.student.swu.ac.th 142 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา้ ใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain การรอ้ งรา� ทา� เพลง อนั เปน็ การละเลน่ พน้ื ฐานทมี่ อี ยู่ในกลมุ่ ชนทกุ เผา่ พนั ธ ์ุ ปจั จบุ นั เรยี กการรอ้ งรา� ครูสุมนกั เรียน 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม ทา� เพลง หรือขบั ล�า ฟ้อน ระบา� รา� เต้น ดดี ส ี ต ี เปา่ ว่า “ดนตรีและนาฏศลิ ป”์ ดังตอ ไปน้ี จึงอาจกล่าวได้ว่า นาฏศิลป์พ้ืนเมืองเกิดจากการละเล่นของชาวบ้าน เพ่ือความสนุกสนาน เพ่ือประกอบในพิธีกรรมและประเพณีต่างๆ ของท้องถิ่น ต่อมาเมื่อสภาพแวดล้อมของสังคม • การแสดงนาฏศลิ ปพ ้ืนเมอื งใหคณุ คา แก เปลย่ี นแปลงไป การละเลน่ ของแตล่ ะทอ้ งถนิ่ จงึ มกี ารปรบั เปลยี่ นและสรา้ งเอกลกั ษณป์ ระจา� ทอ้ งถนิ่ มนุษยอยางไร ของตนเองข้ึน จนกลายเป็นการแสดงประจ�า (แนวตอบ สามารถสรางคณุ คาใหแ กมนษุ ย ทอ้ งถิ่นเรียกว่า “นาฏศิลปพ์ ืน้ เมอื ง” ในหลายๆ ดา น เชน คณุ คา ดา นความบนั เทงิ ส�าหรับนาฏศิลป์พื้นเมืองในประเทศไทย นบั วาเปน จดุ มุงหมายสําคัญของการแสดง ส่วนใหญ่เป็นศิลปะการฟ้อนร�าท่ีเกิดข้ึนจาก ทกุ ประเภท เพราะการแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง วิถีชีวิตของคนในชุมชน สอดแทรกอยู่ใน ทําใหเกดิ ความสนุกสนาน เพลดิ เพลิน ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ ค่านิยม และ ทัง้ จากลีลาทา ทางของผแู สดง ความงดงาม การประกอบอาชพี ต่างๆ ของชาวบ้าน ทสี่ ัง่ สม ของเครือ่ งแตง กาย และความสวยงามของ สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ในอดีตจะ ฉาก คณุ คา ดา นศลิ ปวฒั นธรรม การแสดง ประดิษฐ์ท่าร�าจากพ้ืนฐานความเป็นอยู่ของ นาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งเปน ศนู ยร วมของงานศลิ ปะ ชาวบ้านทด่ี า� รงชีวิตตามธรรมชาติจนกลายเป็น ฟอ้ นเล็บ เป็นนาฏศลิ ปอ์ นั มชี ื่อเสยี งของภาคเหนือ มลี ีลา หลากหลายสาขา เชน ดรุ ยิ างคศิลป เอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่น จึงไม่มีหลักฐาน ออ่ นชอ้ ย งดงาม สะทอ้ นความเปน็ คนเมอื งไดเ้ ปน็ อยา่ งดี นาฏศลิ ป วรรณศิลป มณั ฑนศิลป วิจติ ร- ศิลป เปนตน คณุ คา ดานการศกึ ษา ปรากฏแน่ชดั วา่ เกดิ ข้นึ ในสมัยใด แตส่ ันนิษฐานไดว้ ่านา่ จะเกดิ ขนึ้ พร้อมกบั การเลน่ เพลงพน้ื เมอื ง การแสดงนาฏศิลปพืน้ เมืองของภาคตา งๆ ทีพ่ บในสมัยต่างๆ เชน่ สมัยอยธุ ยา ปรากฏเพลงเรือ เพลงเทพทอง สมัยรัตนโกสนิ ทร ์ ปรากฏ ใหประโยชนตอ การศึกษาคนควา ทง้ั ในดาน เพลงปรบไก ่ เพลงเกยี่ วขา้ ว เพลงฉอ่ ย ลเิ ก ลา� ตดั ประวัติศาสตร วถิ ชี วี ติ ความเปน อยู สงั คม เป็นต้น แต่เดิมเพลงพื้นเมืองจะเน้นการร้อง ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี วฒั นธรรม และความเชื่อของผูคนในแตล ะทองถน่ิ ) โตต้ อบกันไปมา จึงได้มกี ารวิวฒั นาการออกมา ขยายความเขา้ ใจ E×pand เป็นท่าทาง ร้อง ร�า เก้ียวพาราสี โต้ตอบกัน ระหวา่ งชายและหญิง มีลกู คู่รับ ซึ่งลลี าทา่ รา� ก็ ใหน กั เรยี นสรปุ สาระสาํ คญั เกยี่ วกบั ความหมาย เกิดขึน้ จากการรอ้ งโตต้ อบกนั นัน่ เอง ตอ่ มาลลี า และทมี่ าของการแสดงนาฏศลิ ปพน้ื เมือง ทา่ รา� ดงั กลา่ วไดม้ กี ารปรบั ปรงุ พฒั นาใหส้ วยงาม ลงกระดาษรายงาน นําสงครผู สู อน และมีความประณีตวิจิตรสวยงามมากย่ิงขึ้น การแตง่ กายกพ็ ถิ พี ถิ นั สวยงาม ทา� ใหก้ ารฟอ้ นรา� ตรวจสอบผล Evaluate ดูงดงามและมีความเป็นเอกลักษณ์ แสดงถึง ลกั ษณะเฉพาะของทอ้ งถนิ่ ทถี่ า่ ยทอดสบื ตอ่ กนั มา ล�าตัด เป็นการละเล่นพ้ืนเมืองที่สันนิษฐานได้ว่าน่าจะ ครพู จิ ารณาจากการสรปุ สาระสําคญั เก่ียวกับ เกดิ ข้นึ ในสมยั รตั นโกสินทร์ ความหมายและทม่ี าของการแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง ของนักเรียน ๑43 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ใหน กั เรยี นศกึ ษาเพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั การเลน เพลงพน้ื เมอื ง ตามความสนใจ ครูเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี ี หรือส่ืออินเทอรเนต็ การเลน เพลงปรบไกใ หน กั เรยี นชม ของตนเอง 1 ประเภท เขยี นอธิบายที่มาและวิธีการเลน พรอมหาภาพ พรอ มอธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา เพลงปรบไก เปนเพลงรอ งโตตอบกัน มมี าตัง้ แตสมยั โบราณ ประกอบ ลงกระดาษรายงาน ตกแตง ใหส วยงาม นาํ สง ครูผสู อน คกู บั เพลงเทพทอง วิธกี ารเลนเพลงปรบไกน้ัน จะแบง ผูเลน ออกเปน 2 ฝา ย คอื ชาย - หญงิ แตล ะฝา ยจะมีพอเพลง แมเพลง ฝา ยละ 1 คน มลี กู คูอ ีกประมาณ กิจกรรมทาทาย ฝา ยละ 4 คน รองโตตอบกนั ไปมา การรอ งรบั มกั มคี าํ วา “เอช า ไฮ” หรอื “ฉา ชา เอชา” สามารถเลนไดไมจาํ กัดเทศกาล เชน งานฉลอง งานโกนจุก งานแกบ น เปนตน ใหนักเรยี นทีม่ ีความสามารถดานการแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมือง มุม IT ออกมาสาธิตการเลนเพลงพ้นื เมอื งตามความสนใจ 1 ประเภท ใหเพ่ือนชมหนา ช้ันเรียน โดยมีครเู ปน ผคู อยช้ีแนะความถกู ตอง นกั เรียนสามารถชมการเลนเพลงปรบไก ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคน หาจากคําวา เพลงปรบไก คมู่ ือครู 143

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูชักชวนนกั เรยี นสนทนาเกย่ี วกับปจจยั ท่ีมี ๒. ปจจัยท่ีมอี ิทธิพลตอ นาฏศิลป์พืน้ เมอื ง อทิ ธพิ ลตอ นาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง จากนน้ั ครถู ามนกั เรยี นวา การแสดงนาฏศลิ ป์พื้นเมืองของไทย แบง่ ออกเป็น ๔ ภาค ไดแ้ ก ่ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ภาคเหนอื ภาคกลาง และภาคใต ้ ซงึ่ ในแตล่ ะภาคจะมลี กั ษณะทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะของภาคนน้ั ๆ • เพราะเหตใุ ดการแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื งแตล ะ แตกตา่ งกันออกไป ทง้ั ในรปู แบบของเพลงพ้นื เมอื งและการแสดงพื้นเมอื ง โดยสิ่งเหลา่ นเ้ี กิดจาก ภาคจงึ มรี ปู แบบการแสดงทแ่ี ตกตา งกนั ออกไป ปจั จยั หลายประการ ดังน้ี (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอ ยา งอิสระ) สา� รวจคน้ หา Explore ๑) สภาพทางภมู ศิ าสตร  มอี ทิ ธพิ ล ตอ่ การสบื ทอดวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ของแตล่ ะภาค ใหน กั เรียนแบงกลุมออกเปน 6 กลมุ ใหนกั เรียน เนื่องจากในอดีตการคมนาคม หรือการติดต่อ ศึกษา คนควา หาความรเู พ่มิ เตมิ เก่ียวกบั ปจ จัยท่ีมี กบั สว่ นกลางคอ่ นขา้ งยากลา� บาก ภูมิภาคท่ีอยู่ อทิ ธิพลตอนาฏศลิ ปพ ื้นเมือง จากแหลง การเรียนรู ห่างไกลจึงมักจะได้รับวัฒนธรรมจากประเทศที่ ตางๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรียน หอ งสมดุ ชุมชน อยู่ใกล้เคียง เช่น ภาคเหนือ เป็นภาคท่ีมี อินเทอรเ นต็ เปน ตน ในหวั ขอท่ีครูกําหนดให ป่าและภูเขา ตลอดจนลุ่มน้�าต่างๆ มากมาย ดังตอไปนี้ ประชากรจึงเข้าไปอาศยั เกือบทกุ พ้ืนท่ ี ในพื้นท่ี ฟอ้ นเงยี้ ว เปน็ การแสดงนาฏศลิ ปพ์ นื้ เมอื งของชาวไทยใหญ่ สงู ๆ ก็จะเป็นทีอ่ ยขู่ องชาวเขา ส่วนท่รี าบกจ็ ะมี กลุมที่ 1 สภาพทางภูมศิ าสตร ทม่ี ีถนิ่ ฐานอยทู่ างภาคเหนือของประเทศไทย คนไทยอาศัยอยู่ท่ัวไป จึงเป็นเหตุให้ภาคเหนือ กลุมท่ี 2 ขนบธรรมเนียม ประเพณี กลมุ ที่ 3 ศาสนา ได้รบั อิทธพิ ลจากวัฒนธรรมแบบผสมผสานระหว่างไทยน้อย ไทยใหญ ่ เงยี้ ว พมา่ ฯลฯ กลุมที่ 4 ความเช่อื กลมุ ท่ี 5 คา นิยม ๒) ขนบธรรมเนยี ม ประเพณ ี เปน็ อกี ปจั จยั หนงึ่ ทท่ี า� ใหเ้ กดิ การละเลน่ หรอื การแสดง- กลมุ ท่ี 6 การประกอบอาชีพ นาฏศิลป์พื้นเมืองขึ้น ทั้งนี้ เพราะไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ย่อมต้องมีขนบธรรมเนียม ประเพณี หรอื แบบแผนเปน็ ของตนเอง ดงั นน้ั การแสดง- นาฏศิลป์พื้นเมืองของแต่ละท้องถิ่นจึงมีความ อธบิ ายความรู้ Explain แตกต่างกนั ออกไป ใหนักเรยี นกลุมท่ี 1 - 3 ทีไ่ ดศึกษา คน ควา ๓) ศาสนา เปน็ สงิ่ สา� คญั มากสง่ิ หนง่ึ หาความรูเ พม่ิ เติมเก่ยี วกบั ปจจัยทม่ี ีอทิ ธิพลตอ ที่ท�าให้การละเล่นพ้ืนเมืองแตกต่างกันไปใน นาฏศิลปพ ้ืนเมอื ง สงตวั แทนกลมุ ละ 2 - 3 คน แต่ละท้องถิ่น หรือในแต่ละภูมิภาค ส�าหรับ ออกมาอธบิ ายความรูในหวั ขอ สภาพทางภมู ิศาสตร ประเทศไทยนับเป็นประเทศหนึ่งท่ีมีความเป็น ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และศาสนา ตามทีไ่ ด ประชาธิปไตยในเรื่องของการนับถือศาสนา ศกึ ษามาหนา ชั้นเรยี น จากนน้ั ครถู ามนกั เรียนวา ผลของการนับถอื ศาสนาต่างๆ น้นั มกั มีสว่ นท่ี เกยี่ วขอ้ งกบั ประเพณ ี ความเชอ่ื อนั เปน็ ผลใหเ้ กดิ • การทแี่ ตล ะทอ งถนิ่ มขี นบธรรมเนยี ม ประเพณี ประเพณีร�าบวงสรวงพระธาตุพนมของจังหวัดนครพนม ความแตกตา่ งของการละเล่นพนื้ เมืองอกี ดว้ ย ท่ตี า งกันนั้น จะสง ผลตอ การแสดงนาฏศิลป- จะจดั ข้ึนในวันข้นึ ๑๕ ค่า� เดอื น ๓ ของทกุ ป พืน้ เมืองหรือไม อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ๑44 ไดอ ยางอสิ ระ) บรู ณาการอาเซียน ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใด ไมใช การแสดงทเี่ รียกไดวา เปน “มหรสพ” จากการศกึ ษาเกย่ี วกับปจ จัยที่มอี ทิ ธิพลตอการแสดงนาฏศลิ ปพื้นเมือง ในหวั ขอ 1. งว้ิ สภาพภมู ศิ าสตรส ามารถเชอื่ มโยงกับประเทศสมาชกิ อาเซยี น คือ ประเทศพมา 2. ลเิ ก ซ่ึงมีอาณาเขตติดตอ กบั ภาคเหนอื ของไทย กลาวคอื ทศิ เหนือทีอ่ าํ เภอแมสาย 3. หนงั ใหญ จงั หวัดเชียงราย ทิศตะวนั ตก ทอ่ี าํ เภอแมส ะเรยี ง จงั หวัดแมฮ อ งสอน มอี าณาเขต 4. ผตี าโขน ตดิ ตอ กบั ประเทศพมา ดงั นนั้ ภาคเหนอื ของไทยจงึ ไดร บั อทิ ธพิ ลจากวฒั นธรรมของพมา เขา มาผสมผสาน ดงั จะเหน็ ไดจ ากการแสดงนาฏศลิ ปไ ทย ชดุ “ฟอ นมา นมยุ เชยี งตา” วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะมหรสพ คือ การแสดงทจ่ี ะตอง ซึ่งเปน ฟอ นท่พี ระราชชายาเจา ดารารศั มไี ดค ดิ ขึ้น โดยมชี า งฟอ นคมุ หลวงรว มกับครู ชาวพมาชื่อ “โมนโหย” คิดทา ราํ จากทาการฟอ นของพมา ซงึ่ เรียกวา “เหวยเสยี นตา ” ขออนญุ าตจากฝา ยบา นเมอื งกอ นจึงจะสามารถจัดแสดงได เชน ละครไทย หรอื “เหวย เสียนตานา นโยง” ซึ่งเปนทา ฟอ นของพมา มาผสมผสานกบั ทา ฟอนรํา งิว้ หนุ ไทย หนังไทย หนงั ตะลงุ ลเิ ก กลองยาว เปน ตน สว นผีตาโขนนน้ั ของไทย ผแู สดงจะแตง กายแบบหญงิ ในราชสาํ นกั พมา ดนตรแี ละเพลงประกอบจะใช จดั เปน ประเพณหี น่ึงในงานบุญประเพณใี หญ หรอื ที่เรียกวา “งานบญุ หลวง” วงปพ าทยม อญ หรอื วงปาดฆอง เพลงท่ใี ชป ระกอบมเี พลง “เหวยเชียนตา” ของพมา หรอื “บุญผะเหวด” ซ่ึงตรงกบั เดอื น 7 เปนการละเลนทีถ่ อื เปนประเพณี แตมีบางตอนทีเ่ ปนเพลงไทย เชน เพลงมอญดดู าว เปน ตน ทีม่ คี วามเกี่ยวโยงกับงานบุญพระเวส หรอื เทศนม หาชาติ จดั ทอ่ี าํ เภอ ดานซาย จงั หวัดเลย 144 คู่มอื ครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเข้าใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain ๔) ความเชอื่ เปน็ เรอื่ งทม่ี คี วามผกู พนั กบั วถิ ชี วี ติ ของคนไทยมาอยา่ งชา้ นาน ความ- ใหนักเรยี นกลุมท่ี 4 - 6 ทีไ่ ดศกึ ษา คน ควา เชื่อมีผลท�าให้เกิดรูปแบบของประเพณีต่างๆ อันเป็นผลต่อการละเล่นพื้นเมืองในแต่ละท้องถิ่น หาความรูเพ่มิ เติมเกี่ยวกับปจจยั ท่มี อี ิทธพิ ลตอ ๕) คา่ นยิ ม เปน็ อกี หนง่ึ ปจั จยั ทมี่ คี วามสา� คญั มากตอ่ การแสดงนาฏศลิ ปพ์ นื้ เมอื ง ทงั้ นี้ นาฏศิลปพนื้ เมอื ง สง ตัวแทนกลุมละ 2 - 3 คน เพราะคา่ นยิ มเปน็ สงิ่ สา� คญั ขน้ั พน้ื ฐานในการทา� ความเขา้ ใจถงึ พฤตกิ รรมของบคุ คล เพราะพฤตกิ รรม ออกมาอธบิ ายความรูในหัวขอ ความเชื่อ คา นิยม หรอื การแสดงออกตา่ งๆ ของบคุ คลยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั คา่ นยิ มทเ่ี ขามอี ย ู่ เชน่ คา่ นยิ มเกยี่ วกบั ความเชอ่ื และการประกอบอาชพี ตามที่ไดศ กึ ษามา และการบชู าสงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธ ิ์ ซง่ึ การแสดงตา่ งๆ นนั้ ลว้ นมคี ร ู ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งไหวค้ รเู พอื่ แสดงความกตญั ญู หนา ช้นั เรยี น จากนนั้ ครูถามนกั เรียนวา รคู้ ุณ เปน็ ต้น ๖) การประกอบอาชพี เปน็ ปจั จยั • เพราะเหตใุ ดคา นยิ มจงึ มสี ว นเขา มาเกย่ี วขอ ง หนึ่งที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของ ในการแสดงนาฏศลิ ปพ้นื เมอื ง แต่ละท้องถิ่น ซ่ึงอาจจะมีการประกอบอาชีพ (แนวตอบ คา นิยมเปนสงิ่ สําคัญขัน้ พนื้ ฐาน เหมือนหรือแตกต่างกัน ส่งผลให้เกิดรูปแบบ ในการทาํ ความเขา ใจในพฤตกิ รรมของมนษุ ย การแสดงนาฏศิลป์พ้ืนเมืองท่ีอาจเหมือน เพราะมนษุ ยจะแสดงออกถงึ พฤติกรรมนน้ั ๆ หรือแตกต่างกันตามไปด้วย เช่น นาฏศิลป์- ตามคา นยิ มทม่ี ี เชน คานยิ มในเร่อื ง พ้ืนเมืองของภาคเหนือที่ได้รับอิทธิพลมาจาก การศกึ ษา ความมนั่ คง ความเช่อื เปนตน) การประกอบอาชพี ทอผา้ ไดแ้ ก ่ ฟอ้ นสาวไหม และ ฟ้อนปั่นฝ้าย นาฏศิลป์พ้ืนเมืองของภาคใต้ท่ี • นักเรยี นคิดวาคานิยมในดา นใดทม่ี ีอิทธิพล ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากการประกอบอาชพี ท�าสวนยาง 1 ตอการแสดงนาฏศิลปพ นื้ เมอื งมากทีส่ ุด เพราะเหตุใดจึงคิดวา เปน คานิยมในดานน้ี (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอสิ ระ) ท�าประมง ท�าเหมืองแร่ เช่น ระบ�ากรีดยาง ระบ�าร่อนแร่ เป็นระบ�าท่ีปรับปรุงข้ึนตามลีลาท่าทางใน ขยายความเขา้ ใจ E×pand ระบา� ชาวเล ระบ�าร่อนแร ่ เปน็ ตน้ การประกอบอาชพี ของชาวไทยในภาคใต้ กจิ กรรม ศิลป์ปฏิบตั ิ ๙.๑ ใหนักเรียนสํารวจการแสดงนาฏศิลปพ้ืนเมือง ท่ีมีอยูในทองถ่ินของตนเองที่ถูกสรางสรรคข้ึนมา กจิ กรรมท่ี ๑ ให้นักเรียนแบง่ กล่มุ ออกเป็น ๔ กล่มุ แล้วใหแ้ ตล่ ะกล่มุ มาอภิปรายร่วมกันเกย่ี วกับ จากสภาพทางภูมศิ าสตร ขนบธรรมเนียม ประเพณี กจิ กรรมท่ี ๒ ปจั จยั สา� คญั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งในภาคตา่ งๆ ทก่ี ลมุ่ รบั ผดิ ชอบ ศาสนา ความเชอ่ื คานิยม และการประกอบอาชีพ โดยจดั ทา� เปน็ รายงาน นา� สง่ ครผู สู้ อน โดยเขียนอธบิ ายและสรุปสาระสาํ คัญของการแสดง ให้นักเรียนชมวีดิทัศน์การแสดงนาฏศิลป์พ้ืนเมืองของภาคต่างๆ แล้วให้นักเรียน มาอยางนอ ย 3 การแสดง ลงกระดาษรายงาน วเิ คราะหร์ ว่ มกนั วา่ การแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งของแตล่ ะภาคทน่ี กั เรยี นไดช้ มจบไปนน้ั นาํ สง ครูผูส อน ไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากปจั จยั ใดบา้ ง ตรวจสอบผล Evaluate ๑45 ครูพิจารณาจากการสาํ รวจการแสดงนาฏศลิ ป- พืน้ เมอื งทมี่ ีอยใู นทองถิ่นและการเขียนสรปุ สาระ สาํ คัญของนักเรยี น ขอ สอบ O-NET นกั เรยี นควรรู ขอ สอบป ’51 ออกเกี่ยวกบั การแสดงนาฏศิลปพืน้ เมอื ง 1 ระบํารอ นแร เปนระบาํ ที่ปรับปรุงข้นึ ตามลีลาทา ทางในการประกอบอาชพี ขอใดกลา ว ไมถ ูกตอง เกย่ี วกบั นาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง ของชาวภาคใต เปน การแสดงประกอบทาทางการออกจากบานไปหาแร รอ นแร 1. สะทอนวัฒนธรรมทอ งถิน่ และตากแร แลว พากันกลับบาน จดั แสดงถวายแดพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทร- 2. ไมมงุ เนนแบบแผนทป่ี ระณตี มหาภมู พิ ลอดุลยเดช เมือ่ ครั้งเสด็จพระราชดําเนินเยอื นภาคใตเ ปนครั้งแรกในป 3. ไมส ามารถปรับเปลย่ี นทารําได พ.ศ. 2502 ตอมาจึงมกี ารปรับปรุงและเรยี บเรียงทารําข้นึ ใหม โดยใชเ พลง 4. ไมม ีขอ ถูก “ตลุงราษฎร” ซ่งึ นายประสทิ ธ์ิ ถาวร ผูเชย่ี วชาญดนตรไี ทยและศลิ ปน แหง ชาติ (สาขาดนตรไี ทย) ประจาํ ปพ ทุ ธศกั ราช 2531 เปน ผแู ตง ทาํ นองเพลง วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะการแสดงนาฏศลิ ปพ ้ืนเมอื ง ไมไ ดจ ดั อยใู นหมวดหมขู องระบาํ ทเี่ ปน แบบมาตรฐาน จงึ สามารถมกี ารปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลงทาราํ ไดต ามความเหมาะสม มมุ IT นักเรยี นสามารถชมการแสดงนาฏศิลปพ้ืนเมอื งชดุ ระบาํ รอ นแร ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคน หาจากคําวา ระบํารอ นแร คู่มอื ครู 145

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูนําภาพการแสดงนาฏศิลปพ้นื เมือง 4 ภาค ๓. ลกั ษณะเฉพาะของนาฏศลิ ปพ์ ืน้ เมืองในแตล ะภาค มาใหน กั เรยี นดู จากนั้นครถู ามนักเรยี นวา นาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื ง เปน็ การแสดงทส่ี รา้ งสรรคข์ นึ้ เพอ่ื ความสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ และเพอื่ ความ บันเทิงในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะมลี กั ษณะแตกต่าง • นักเรยี นคิดวา การแสดงนาฏศลิ ปพืน้ เมอื ง กันออกไปตามสภาพภูมิประเทศ สังคม และ แตล ะภาคนนั้ มีเอกลกั ษณทีโ่ ดดเดน ตา งกัน วัฒนธรรมของแตล่ ะทอ้ งถน่ิ นาฏศลิ ป์พ้นื เมอื ง อยางไร ของไทยแบ่งออกเปน็ ๔ ภาค คือ ภาคเหนือ (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอ ยา งอสิ ระ) สา� รวจคน้ หา Explore ภาคกลาง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคใต ้ ซึ่งนาฏศิลป์พ้ืนเมืองในแต่ละภูมิภาคจะมี ใหนกั เรียนศกึ ษา คน ควา หาความรเู พ่มิ เติม ลกั ษณะเฉพาะทแ่ี ตกตา่ งกันออกไป ดังนี้ เกย่ี วกบั ลักษณะเฉพาะของนาฏศลิ ปพนื้ เมือง ในแตละภาค จากแหลง การเรียนรูตางๆ เชน 3.๑ ภาคเหนือ หอ งสมดุ โรงเรยี น หอ งสมุดชุมชน อินเทอรเนต็ ฟอ้ นมา่ นมุ้ยเชยี งตา หรอื ฟ้อนก�าเบ้อ นาฏศิลป์พ้นื เมอื ง ภาคเหนือ มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็น เปนตน ทางภาคเหนือ ท่ีปัจจุบนั หาชมไดย้ าก ปา่ เขา อดุ มไปดว้ ยทรพั ยากรธรรมชาต ิ การทา� มา หากนิ สะดวกสบาย ชาวเหนือส่วนใหญจ่ ึงมนี ิสัยอ่อนโยน ยิ้มแยม้ แจ่มใส มนี �้าใจไมตร ี สง่ ผลให้ นาฏศลิ ป์พ้นื เมอื งภาคเหนือมลี ีลาอ่อนช้อย งดงาม และอ่อนหวาน ตามอุปนสิ ยั ของชาวเหนือ อธบิ ายความรู้ Explain นาฏศิลป์พ้ืนเมืองทางภาคเหนือของไทย เป็นลักษณะศิลปะที่มีการผสมผสานกันระหว่าง ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั ลกั ษณะเฉพาะ ชนพน้ื เมอื งชาตติ ่างๆ ไม่วา่ จะเป็นไทยล้านนา ไทยใหญ ่ เง้ยี ว และพม่า ทา� ใหน้ าฏศิลป์พื้นเมือง ของนาฏศิลปพื้นเมอื งในแตละภาค ในหวั ขอ ภาคเหนอื มคี วามหลากหลาย แตย่ งั คงมีเอกลกั ษณ์เฉพาะทแ่ี สดงถึงความนมุ่ นวลของทว่ งท่าและ ลักษณะเฉพาะของนาฏศลิ ปพ ้นื เมืองภาคเหนอื ทา� นองเพลง ประกอบกบั ความไพเราะของเสยี งเครอื่ งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งดดี ส ี ต ี และเปา่ ทมี่ คี วาม และภาคกลาง ตามท่ไี ดศึกษามาหนา ชั้นเรียน เด่นชัด ไม่ว่าจะเป็นพิณเปียะ สะล้อ ซอ ซึง และกลอง ท่ีปรากฏอยู่ในการฟ้อนประเภทต่างๆ จากนั้นครถู ามนักเรียนวา รวมทั้งการแสดงท่มี คี วามเข้มแขง็ หนกั แนน่ ในแบบฉบบั ของการตกี ลองสะบดั ชยั • การแสดงนาฏศลิ ปพืน้ เมืองภาคเหนือ 3.๒ ภาคกลาง และการแสดงนาฏศลิ ปพ ืน้ เมอื งภาคกลาง ภาคกลาง มีภมู ิประเทศสว่ นใหญเ่ ปน็ พนื้ ที่ราบลมุ่ มีแม่น�้าหลายสายไหลผ่าน มีความอุดม- มลี กั ษณะเฉพาะทแี่ ตกตา งกนั หรอื ไม อยา งไร สมบรู ณ ์ เหมาะกบั การทา� เกษตรกรรม ผคู้ นมคี วามเปน็ อยทู่ สี่ ขุ สบาย จงึ มเี วลาทจ่ี ะคดิ ประดษิ ฐ ์ หรอื (แนวตอบ แตกตา งกัน เพราะภาคเหนอื สรา้ งสรรคส์ ง่ิ ทสี่ วยงามไดอ้ ยา่ งมากมาย ศลิ ปะการแสดงสว่ นใหญข่ องภาคกลางจะมคี วามสอดคลอ้ ง มลี กั ษณะลลี าการรา ยราํ จะเนน ความออ นชอ ย กบั วิถีชวี ิตและมกั สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อความบนั เทิง ความสนุกสนาน เพื่อเปน็ การพกั ผ่อนหย่อนใจ งดงามเปน หลัก สวนภาคกลาง มลี กั ษณะ รจา�ากกลกอารงทยา�างว1า นเป หน็ รตอื น้ เ มอ่ื เสรจ็ สน้ิ จากฤดกู าลเกบ็ เกยี่ ว และเพอื่ เลน่ รนื่ เรงิ ในโอกาสตา่ งๆ เชน่ รา� โทน การแสดงท่ีเรยี บงา ยสวนใหญจะเปน การราํ นาฏศลิ ปพ์ นื้ เมอื งภาคกลางมลี กั ษณะการแสดงทมี่ คี วามเรยี บงา่ ย ใชค้ า� สา� นวนโวหาร มศี พั ท์ ประกอบการขับรอง ลลี าการรา ยรําจะเนน ภาษาถิ่นโต้ตอบกันระหว่างชายและหญิง มีการร�าท�าท่าทางเลียนแบบธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะ ความออ นชอ ย งดงามเปนหลกั เชนเดยี วกับ ภาคเหนอื ) ๑46 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ศลิ ปะการแสดงทม่ี คี วามสอดคลอ งกบั วถิ ีชีวิตของคนในภาคกลางคือขอ ใด ครูควรเชญิ วทิ ยากรทม่ี คี วามเช่ียวชาญในเร่ืองการแสดงนาฏศิลปพน้ื เมอื ง 1. ระบาํ เกบ็ ใบชา มาอธิบายความรเู พม่ิ เตมิ เกีย่ วกับลกั ษณะเฉพาะของนาฏศิลปพ ้ืนเมือง 2. เตนกาํ รําเคียว ในแตล ะภาค พรอมทงั้ เปดซดี ี หรอื ดวี ีดีการแสดงนาฏศิลปพื้นเมอื งในแตล ะภาค 3. เซิ้งแหยไ ขม ดแดง ใหนกั เรยี นชม จากน้ันครเู ปดโอกาสใหน ักเรียนไดซ กั ถามในสง่ิ ทสี่ งสัยและแสดง 4. ระบํารอนแร ความคดิ เห็น ซึง่ จะทําใหน ักเรยี นมคี วามรู ความเขาใจในเรอ่ื งลกั ษณะเฉพาะ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. เพราะเตน กํารําเคียว เปน เพลงพืน้ เมอื ง ของนาฏศลิ ปพนื้ เมอื งในแตล ะภาคไดด ยี ่ิงข้นึ ของชาวไทยภาคกลาง ซ่ึงชาวนานิยมรอ งเลนกันตามทองนาในฤดู เก็บเก่ยี วขาว เพ่ือสรา งความบนั เทิงและความสนุกสนาน โดยผเู ลน จะเปน นกั เรียนควรรู ชาย - หญงิ มอื หนง่ึ ถือเคียว มือหน่ึงถอื รวงขาว รองรํากันอยา งสนุกสนาน โดยพอ เพลงจะรองชวนแมเพลงกอน แลว ลกู คจู งึ รองรบั 1 ราํ กลองยาว หรอื ราํ เถดิ เทิง นิยมนํามาแสดงหนา ขบวนแหต า งๆ โดยผชู าย ตีกลองราํ คูกบั ผหู ญิงและมผี ตู ีกลองเถิดเทิงประกอบจงั หวะ พรอ มกบั ตฉี ่งิ ฉาบ กรบั และโหมง 146 คมู่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ เเชปน่็น กเพารลรง�าเปรอืร ะเกพอลบงกรา�าพรขาับขา้รว้อสงาโตร ้ตลอา� บตกดั 1ัน เตปาน็ มตอน้ ุป นนอิสกัยจขาอกงนค ้ี นกาภราแคสกดลงานงาทฏี่เปศลิ็นปคพ์นน้ืเจเ้ามบอื ทงภเจา้าคกกลลอานง ใหนักเรยี นรว มกนั อภปิ รายเก่ยี วกับลกั ษณะ บางชดุ ยงั ไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากนาฏกรรมหลวงอกี ดว้ ย เชน่ รา� สนี วล ทมี่ ลี ลี าทา่ รา� ออ่ นชอ้ ย งดงาม เฉพาะของนาฏศิลปพ ้ืนเมอื งในแตล ะภาค และมกี ารตบี ทโดยการใชน้ าฏยภาษา เป็นตน้ ในหัวขอ ลกั ษณะเฉพาะของนาฏศิลปพ น้ื เมอื ง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (อสี าน) ตามทไ่ี ดศ กึ ษามา 3.3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หนาช้นั เรยี น จากนัน้ ครูถามนักเรียนวา ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มลี กั ษณะภมู ปิ ระเทศเปน็ ทรี่ าบสงู คอ่ นขา้ งแหง้ แลง้ เพราะพน้ื ดนิ ไมเ่ กบ็ นา�้ ฤดแู ลง้ จะกนั ดาร ฤดฝู นนา้� จะทว่ ม คนอสี านมอี ปุ นสิ ยั เปน็ คนรกั สนกุ มนี า้� ใจ ขยนั อดทน • ลกั ษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง ส่วนใหญจ่ ะประกอบอาชีพท่เี กี่ยวขอ้ งกบั เกษตรกรรมเป็นหลกั ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื (อีสาน) คอื สงิ่ ใด การแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื จะมลี กั ษณะคอ่ นขา้ งกระชบั รวดเรว็ (แนวตอบ เปน ศลิ ปะการรา ยราํ และการละเลน และสนกุ สนาน เพอ่ื ผอ่ นคลายความไมส่ บายใจจากความทกุ ขย์ าก อนั เนอ่ื งมาจากสภาพธรรมชาติ ของชาวพืน้ บา นทีแ่ บง ออกเปน 2 กลุม ท่าร�าส่วนใหญ่จะมาจากท่าแม่บทอีสานและมาจากการเลียนแบบท่าทางธรรมชาติ ส่ือถึงความ วฒั นธรรม คือ กลมุ อสี านเหนือ มวี ัฒนธรรม ตรงไปตรงมา ความจรงิ ใจ ความซ่ือตรง ฯลฯ ลักษณะการร�าจะคล้ายการเต้น เรยี กว่า “เซ้ิง” เชน่ ไทย - ลาวทเี่ รยี กกวา “เซงิ้ ฟอ น และหมอราํ ” เซงิ้ ตงั หวาย เซงิ้ โปงลาง เซิง้ กระหยงั เซงิ้ กระตบิ ข้าว เปน็ ต้น เชน เซิง้ บัง้ ไฟ เซ้งิ สวงิ ฟอ นภไู ท ลํากลอน ศลิ ปะการรา� และการละเลน่ พนื้ เมอื งของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของไทย แบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ กลมุ่ เกยี้ ว ลาํ เตย เปน ตน กลมุ อีสานใต ทไี่ ด ใหญๆ่ คอื กลมุ่ อสี านเหนอื ทไี่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากวฒั นธรรมไทย - ลาว ไดแ้ ก ่การเซง้ิ ฟอ้ น และหมอลา� เชน่ รบั อทิ ธพิ ลมาจากเขมร มกี ารละเลน ทเ่ี รยี กวา เซง้ิ บงั้ ไฟ เซงิ้ สวงิ ฟอ้ นภูไท ลา� เตย้ เปน็ ตน้ เครอ่ื งดนตรพี นื้ เมอื งทน่ี า� มาบรรเลงประกอบการแสดง “เรือม” หรอื “เร็อม” เชน เรอื มลูดอันเร (ราํ กระทบสาก) เรือมกะโนบตงิ ตอง (ระบาํ ไดแ้ ก ่ แคน พณิ ซอ กลองยาวอสี าน ฉงิ่ ฉาบ ฆอ้ ง ตกั๊ แตนตาํ ขาว) รําอาไย เปน ตน ทํานอง และกรับ ภายหลังจึงเพ่ิมเติมโปงลางกับโหวด เพลงพน้ื เมอื งอสี านทใี่ ชป ระกอบการแสดงนนั้ เข้ามาดว้ ย และกลมุ่ อสี านใตท้ ่ีไดร้ บั อทิ ธพิ ลจาก จะมที ง้ั ทํานองทเ่ี ศรา และสนกุ สนาน มวฒัากนมธารยร มเชไนท่ ยร ะ-บ เขา� ตมกั๊ร แมตกี นาตราล� ขะาเ้ 2ลวน่ รพา� อน้ื าเไมยอ3ื เงปตน็ า่ ตงน้ๆ ทํานองเพลงจะเรยี กวา “ลาย” เชน ลายแม- เครื่องดนตรีท่ีใช้บรรเลงประกอบการแสดงของ ฮางกลอ มลกู ลายนกไสบินขา มทงุ ลายลม- กลุ่มนี้ โดยส่วนใหญ่จะใช้วงมโหรีอีสานใต้ มี พดั พรา ว ลายน้าํ โตนตาด เปนตน ดนตรี เคร่อื งดนตรสี �าคัญ คือ ซอด้วง ซอตรัว (เอก) กระชับ รวดเร็ว เนนความสนกุ สนาน กลองกนั ตรมึ พณิ ระนาดเอก ปไ่ี สล กลองรา� มะนา เปน หลกั เพือ่ ผอ นคลายความไมสบายใจ และเคร่ืองประกอบจงั หวะ ส�าหรบั การแตง่ กาย จากความทุกขยาก อันเนอ่ื งมาจาก ประกอบการแสดงจะเป็นไปตามวัฒนธรรม สภาพธรรมชาติ ลกั ษณะลลี าการรายราํ ของแต่ละทอ้ งถน่ิ จะนาํ มาจากแมทา บทอสี านและมาจาก เซง้ิ โปงลาง เปน็ นาฏศลิ ปพ์ นื้ เมอื งภาคอสี าน ลกั ษณะการ การเลยี นแบบทาธรรมชาต)ิ รา� จะคลา้ ยการเตน้ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากวฒั นธรรมไทย - ลาว • นกั เรียนเคยชมการแสดงนาฏศิลปพ ืน้ เมือง ๑4๗ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (อสี าน) บา งหรอื ไม ถาเคย นักเรียนเคยชมการแสดงชุดใดและ เกิดความรสู ึกอยางไรกบั การแสดงชุดน้ัน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอสิ ระ) แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด นักเรยี นควรรู เซิง้ แหยไขม ดแดง ไมไ ด สื่อถึงภูมิปญญาทองถน่ิ ขอใด 1 ลําตัด เปน การวาเพลงรับฝป ากของฝา ยชายและฝายหญงิ โดยตรง มีทัง้ บท 1. ลกั ษณะนิสยั ของชาวอสี าน เกยี้ วพาราสี ตอวา เสยี ดสี แทรกลูกขัด ลูกหยอด ใหเกิดความตลกขบขนั สาํ นวน 2. วิถชี วี ติ ของชาวอสี าน กลอนมีนัยออกเปน สองแงส องงา ม เคร่อื งดนตรที ี่ใช คอื กลองราํ มะนาและฉ่ิง 3. อาชีพของชาวอสี าน 2 ระบําตก๊ั แตนตาํ ขาว หรือเรือมกะโนบติงตอง เปน การแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมือง 4. ภาษาทอ งถนิ่ อสี าน ชาวไทยเขมรในจังหวัดสุรนิ ทร จดั เปนการละเลนทม่ี คี วามสนกุ สนาน ลีลาทา รํา เลียนแบบมาจากการขยับตวั และการกระโดดของต๊กั แตน มจี ังหวะที่สนุกสนาน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะในการแสดงเซง้ิ แหยไ ขมดแดงนน้ั เรา ใจ เปน ท่ีนยิ มทวั่ ไปในแถบอีสานใตและแถบจังหวดั ใกลเ คียง 3 ราํ อาไย เปนการละเลน เบ็ดเตลด็ ของชาวอสี านใต การละเลน ชนิดน้ี จะใชเ คร่ืองดนตรีพื้นเมอื งทําทํานองเพลงประกอบการแสดง คือ ไดรบั อิทธิพลมาจากประเทศกัมพูชา มีลกั ษณะคลายกบั ลาํ ตัดและอแี ซว ลายสดุ สะแนนและลายเซง้ิ บั้งไฟ ไมมเี นอ้ื รอ ง จงึ ไมไดสื่อถงึ ภมู ปิ ญ ญา ของภาคกลาง จะมีบทโตต อบกนั ระหวางชาย - หญิงในเชงิ เก้ยี วพาราสี ทองถ่นิ ในเร่ืองภาษาทองถิน่ อีสาน คูม่ อื ครู 147

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา้ า้ใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ ใหนกั เรยี นรว มกันอภปิ รายเกยี่ วกับลักษณะ 3.4 ภาคใต เฉพาะของนาฏศลิ ปพ ืน้ เมืองในแตล ะภาค ในหัวขอ ภาคใต้ มีภูมปิ ระเทศสว่ นใหญ่ตดิ ทะเล ท้ังทางด้านทศิ ตะวันตกและทศิ ตะวนั ออก ส่วนพื้นท่ี ลกั ษณะเฉพาะของนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งภาคใต ตามทไี่ ด ทางตอนใต้ติดต่อกับประเทศมาเลเซีย จึงได้รับวัฒนธรรมของมาเลเซียท่ีเป็นวัฒนธรรม ศกึ ษามาหนา ชน้ั เรียน จากน้ันครูถามนักเรียนวา อสิ ลามเขา้ มาผสมผสานดว้ ย วถิ ชี วี ติ ของชาวไทย ภาคใตส้ ว่ นใหญป่ ระกอบอาชพี ทา� การประมง ปลกู • การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมืองภาคใต สวนยาง ปลกู ขา้ ว และทา� สวนปาลม์ ซงึ่ นาฏศลิ ป-์ มลี กั ษณะเฉพาะท่แี ตกตา งจากการแสดง พชา้นื วเเมลอื รงะทบ่ีไดา� ก้รรบั ดี อยิทาธงิพ 1เลปจ็นาตก้นอาชีพ เชน่ ระบา� - นาฏศลิ ปพ น้ื เมืองภาคอื่นๆ อยา งไร ทั้งนี้ นาฏศิลป์พ้ืนเมืองภาคใต้จะสะท้อน (แนวตอบ เน่ืองจากภาคใตมภี ูมิประเทศตดิ ตอ บุคลิกลักษณะของผู้คนด้วย คือ มีลีลากระชับ กบั มลายู จึงทาํ ใหรบั เอาศลิ ปะของมลายู รรวะดบเ�ารรว็ อ มงกีเงา็งร ยรกั ะยบา้ ย�าสนา่ายรสีศะรโีนพคกรแ ลระะเลบน่ �าเตทันา้ หเชยน่ง2 มาผสมผสานกบั ศิลปะทองถนิ่ นาฏศิลป- เป็นตน้ พน้ื เมืองจึงมลี ักษณะเปน การเตน รําตาม การแสดงพืน้ เมืองภาคใต้ ชดุ ระบ�ารองเงง็ การแสดงพื้นเมืองภาคใต้ เป็นศิลปะ จงั หวะดนตรี เนนลีลาการเคลอ่ื นไหวของมือ และเทา ประกอบกับจังหวะทีเ่ รงเรา การรา� และการละเลน่ อาจแบง่ ออกเปน็ ๒ รปู แบบ คอื การแสดงพนื้ เมอื งและระบา� พนื้ เมอื ง สามารถ กระฉบั กระเฉง เนน จงั หวะมากกวา ทว งทาํ นอง แบง่ ออกตามลกั ษณะของพืน้ ท่ีได ้ ดงั นี้ โดยมลี ักษณะทีเ่ ดน ชดั ของเคร่อื งดนตรี • ภาคใตต้ อนบน เชน่ โนรา เพลงบอก เพลงเรือ เพลงชานอ้ ง เป็นตน้ ประเภทเครอ่ื งตใี หจ งั หวะเปน สาํ คญั สว นลลี า • ภาคใต้บริเวณลมุ่ น้า� ทะเลสาบสงขลา เชน่ โนรา หนงั ตะลงุ กาหลอ เพลงเรือ เป็นต้น ทา ราํ จะมคี วามคลอ งแคลว วอ งไว สนกุ สนาน มลี ลี าทกี่ ระชบั รวดเร็ว และมกี ารยกั ยา ย สายสะโพก) ขยายความเขา้ ใจ E×pand • ภาคใตช้ ายฝง่ั ทะเลอนั ดามนั เชน่ ลเิ กปา่ รองเงง็ ชาวเล รองเงง็ ตนั หยง กาบง กาหยง ดาระ เป็นต้น ใหน ักเรยี นเขียนแผนผังความคดิ ด เิ กรฮ์• ลู ภ ู สาลี คะใ 3ตม้ตะอโยนง่ ล (่าบงอื ดเกี ชา่น) บราอนงอเ งเ็งปปน็ ัตตตน้ าน ี (Mind Mapping) สรุปสาระสําคัญเกยี่ วกับ ส่วนระบ�าพ้ืนบ้าน เช่น ระบ�าตารีกีปัส ลักษณะเฉพาะของนาฏศิลปพ ้ืนเมืองในแตละภาค ระบา� รอ่ นแร่ ระบ�ากรดี ยาง เปน็ ตน้ และเคร่อื ง- ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครูผสู อน ตรวจสอบผล Evaluate ดนตรีท่ีใช้บรรเลงประกอบการแสดงนาฏศิลป์- พ้นื เมืองภาคใต้ทีส่ �าคญั เชน่ โทน ทบั กรบั พวง ครูพิจารณาจากการเขยี นแผนผังความคดิ โหม่ง ปี่กาหลอ ปี่ไฉน ร�ามะนา กลองโนรา (Mind Mapping) สรปุ สาระสําคัญเกยี่ วกับ ระบ�าตารีกีปัส เป็นระบ�าพ้ืนบ้านภาคใต้ท่ีใช้พัดเป็น เป็นต้น ลักษณะเฉพาะของนาฏศิลปพน้ื เมอื งในแตละภาค อปุ กรณ์สา� คัญประกอบการแสดง ของนกั เรียน ๑4๘ นักเรียนควรรู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเกย่ี วกบั ระบาํ พน้ื เมอื ง 1 ระบาํ กรีดยาง เปน การแสดงทีด่ ัดแปลงมาจากการทาํ สวนยาง โดยเรมิ่ จาก ระบําพ้นื เมืองของภาคใตเดด็ ขาด คมชดั เพราะไดรับอทิ ธพิ ลมาจากอะไร การออกไปกรีดยาง นาํ นํา้ ยางไปผสมกบั นํา้ ยา แลว กวนจนนํ้ายางแข็งตัว 1. ดนตรที ช่ี ดั เจน รวดเรว็ ใชกลองแขกและรํามะนาเปน หลกั จึงนําไปนวดและรดี เปนแผน แลวนําออกตากแดดสุดทาย คือ การเก็บแผน ยาง 2. ภาษาพูดทร่ี วดเร็ว 2 ตันหยง เปนการขับรองประกอบทา รํา นิยมนํามาเลนเพ่อื สรางความ 3. วฒั นธรรมผสมผสานระหวางไทยและมลายู สนกุ สนานและการมสี ว นรว มของคนในชมุ ชน เปน การผอ นคลายหลงั เสรจ็ ภารกจิ จากการ 4. ดนิ แดนชายทะเล ทาํ ใหศ ิลปะแสดงออกถึงคล่ืนลมพายุท่ีรนุ แรง ทํานา ทาํ สวนของชาวบา น หรอื ไวแ สดงในงานเทศกาล งานบญุ งานประเพณตี า งๆ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะภาคใต เปนดินแดนทต่ี ิดกบั มลายู 3 สีละ เปนศลิ ปะการตอ สูปอ งกนั ตวั ของชาวไทยมุสลิมในแถบจงั หวดั ชายแดน ทาํ ใหร บั วฒั นธรรมของมลายมู าผสมผสาน ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี วฒั นธรรม ภาคใต และบุคลิกบางอยา งจะคลายคลึงกัน คอื พูดเร็ว อุปนสิ ยั วอ งไว ตดั สนิ ใจ รวดเรว็ เดด็ ขาด การแตง กาย การแสดง เพลง และดนตรมี คี วามคลา ยคลงึ กนั มาก มุม IT จงึ ทําใหระบําพน้ื เมืองของภาคใตม ลี ักษณะเด็ดขาด คมชดั นกั เรยี นสามารถชมการแสดงนาฏศิลปพน้ื เมืองชดุ ระบํากรดี ยาง ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคน หาจากคําวา ระบาํ กรดี ยาง 148 คู่มอื ครู

กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ เกร็ดศลิ ปเ์กรด็ ศลิ ป์ การแสดงพน้ื เมือง ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง 4 ภาค ใหนักเรียนชม จากน้นั ครูถามนกั เรยี นวา การแสดงพ้นื เมือง สามารถแบง่ ออกเป็น ๓ ประเภท คือ การแสดงประเภทลา� นา� ทา� นอง การแสดงเปน็ ชดุ เบ็ดเตล็ด และการแสดงเป็นเร่ืองเป็นราว การแสดงแต่ละประเภทมีลักษณะและรูปแบบการแสดงท่ีต่างกัน • การแสดงท่ีนักเรยี นไดช มไปนัน้ ตามวิถีชีวิต ความเช่ือ ค่านิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณีในแต่ละท้องถ่ิน ซ่ึงจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น มีลักษณะเฉพาะ หรือมจี ดุ เดนอยา งไร การแสดงพ้ืนเมืองประเภทล�าน�าท�านองจะมีความเรียบง่าย ใช้ค�าส�านวนโวหาร ใช้ภาษาในแต่ละท้องถ่ิน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ เน้นความตลกขบขัน กระแทกกระท้ัน ใช้ปฏิภาณไหวพริบในการโต้ตอบกัน ส่วนใหญ่จะกล่าวเสียดสีสังคม ไดอ ยางอิสระ) พูดสองแง่สองง่าม ใช้ส�าเนียงภาษาแต่ละท้องถ่ิน ส่วนการแสดงพ้ืนเมืองประเภทชุดเบ็ดเตล็ด จะมีลีลาท่าร�า เลยี นแบบมาจากวิถีชีวิตของคนในชมุ ชนน้นั ๆ เชน่ เพลงเก่ียวขา้ ว เพลงแมศ่ ร ี ฟ้อนเมอื ง ระบา� ชาวนา เปน็ ตน้ สา� รวจคน้ หา Explore ๔. การแสดงนาฏศิลปพ์ ้นื เมืองแตละภาค ใหน กั เรยี นแบง กลมุ ออกเปน 4 กลมุ ใหน กั เรยี น ศกึ ษา คน ควา หาความรเู พม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั การแสดง- การแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งของแตล่ ะภมู ภิ าคนน้ั มอี ยเู่ ปน็ จา� นวนมาก ทงั้ ทเี่ ปน็ แบบของเดมิ นาฏศลิ ปพ นื้ เมอื งภาคตา งๆ จากแหลง การเรยี นรตู า งๆ และแบบท่ีประยุกต์ขึ้นใหม่ เพื่อเป็นตัวอย่างในการศึกษาถึงประวัติความเป็นมา เครื่องแต่งกาย เชน หอ งสมดุ โรงเรยี น หอ งสมดุ ชมุ ชน อนิ เทอรเ นต็ ลกั ษณะและวธิ กี ารแสดง เพลงรอ้ ง เครอ่ื งดนตร ี และลลี าทา่ รา� จงึ ขอนา� การแสดงนาฏศลิ ปพ์ นื้ เมอื ง เปน ตน ในหวั ขอทคี่ รูกาํ หนดให ดงั ตอ ไปนี้ ในแต่ละภมู ภิ าคมาอธบิ ายใหผ้ ู้เรียนทราบพอสังเขป ดงั นี้ 4.๑ นาฏศลิ ปพ์ ืน้ เมืองภาคเหนอื ชุด “ฟอ นเทยี น” กลมุ ที่ 1 การแสดงนาฏศิลปพ นื้ เมอื ง ภาคเหนอื ชุดฟอ นเทยี น ๑) ประวัติความเป็นมา แต่เดิมฟ้อนเทียนเป็นการฟ้อนสักการบูชาส่ิงศักดิ์สิทธิ์ กลมุ ที่ 2 การแสดงนาฏศลิ ปพ ้ืนเมือง ประกอบพิธีเฉพาะในงานส�าคัญในเขตพระราชฐาน ในคุ้มเจ้าหลวง ผู้ฟ้อนล้วนเป็นเจ้านายเช้ือ- ภาคกลางชดุ รําวงมาตรฐาน พระวงศ์ฝ่ายใน ความสวยงามของการฟ้อนอยู่ที่ความงามของแสงเทียนท่ีส่องใบหน้าผู้แสดง และความออ่ นชอ้ ยงดงามของกระบวนทา่ รา� การฟอ้ นเทยี นครง้ั สา� คญั ทม่ี หี ลกั ฐานปรากฏ คอื เมอื่ กลุมที่ 3 การแสดงนาฏศิลปพ ืน้ เมอื ง คราวทพ่ี ระราชชายาเจา้ ดารารศั มที รงฝก หดั หญงิ สาวชาวเหนอื ใหฟ้ อ้ นถวายรบั เสดจ็ พระบาทสมเดจ็ - ภาคตะวนั ออกเฉียงหนอื (อสี าน) พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท ่ี ๗) เมอ่ื คราวเสดจ็ ประพาสมณฑลฝา่ ยเหนอื เมอื่ ป ี พ.ศ. ๒๔๖๙ และ ชดุ เซง้ิ สวิง ครนู าฏศิลปข์ องกรมศลิ ปากรก็ได้ฝก จ�าน�ามาแสดง กลมุ ท่ี 4 การแสดงนาฏศิลปพ้นื เมอื ง ๒) เครอ่ื งแตง่ กาย ผแู้ สดงจะแตง่ กายแบบชาวไทยภาคเหนอื สมยั โบราณ คอื เกลา้ มวย- ภาคใตชดุ ตารีกีปส สงู คอ่ นไปดา้ นหลงั ทดั ดอกไมล้ อ้ มมวยผม และหอ้ ยอบุ ะยาวลงมาประบา่ นงุ่ ผา้ ซนิ่ ลายขวางปา้ ยขา้ ง อธบิ ายความรู้ Explain สวมเสื้อคอกลมแขนกระบอก ห่มสไบเฉียง โดยปล่อยชายด้านหน้าประมาณครึ่งล�าตัวและชาย ดา้ นหลงั ยาวประมาณคร่ึงน่อง สวมเครอื่ งประดับ เช่น ตา่ งห ู สร้อยคอ สร้อยขอ้ มือ และเข็มกลดั ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 1 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู กลดั บนสไบฐานไหล่ด้านซา้ ยของผู้แสดง เปน็ ตน้ เพิม่ เติมเก่ยี วกับการแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง ภาคตา งๆ สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ าย ๓) ลกั ษณะและวธิ ีการแสดง การฟ้อนเทยี นเปน็ การฟ้อนในท่ีรโหฐาน เพอ่ื ต้อนรบั ความรใู นหวั ขอ การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งภาคเหนอื ชดุ ฟอนเทียน ตามท่ไี ดศ กึ ษามาหนา ช้ันเรยี น แขกบา้ นแขกเมอื ง หรอื บคุ คลสา� คญั ของชาวไทยภาคเหนอื มเี ทยี นเปน็ อปุ กรณป์ ระกอบการแสดง จากนั้นครถู ามนักเรยี นวา ๑4๙ • การแสดงฟอนเทยี นสะทอนใหเห็นถึงสง่ิ ใด (แนวตอบ สะทอนใหเห็นขนบธรรมเนียม ประเพณขี องผูค นในทองถน่ิ ภาคเหนือ) แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู ขอใด ไมใ ช ปจ จยั ทีท่ าํ ใหก ารแสดงนาฏศิลปพ ้นื เมืองของแตล ะภาค ครคู วรเนน ใหเ หน็ วา การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งภาคเหนอื เปน ลกั ษณะของศลิ ปะทมี่ ี มีลักษณะท่ีแตกตางกัน การผสมผสานกันระหวางชนพ้ืนเมืองชาติตา งๆ ไมว า จะเปน ไทยลา นนา ไทยใหญ เงีย้ ว รวมถึงพมา จึงทาํ ใหก ารแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมอื งภาคเหนอื มคี วามหลากหลาย 1. ศาสนา แตยังคงเอกลักษณเฉพาะทแ่ี สดงถงึ ความนมุ นวล ออ นหวานของผูคนในภาคเหนอื 2. ประเพณี ซึ่งการแสดงของภาคเหนือจะเรยี กวา “ฟอน” สามารถแบงออกเปน 5 ประเภท คอื 3. ประชากร ฟอนทีส่ บื เนอ่ื งมาจากการนับถอื ผี เชน ฟอนผบี า นผเี มอื ง เปน ตน ฟอนแบบเมือง 4. ภูมิศาสตร เปน การฟอนท่ีมลี ีลาการแสดงเปน แบบฉบบั ของคนเมือง เชน ฟอ นเล็บ ฟอ นเทยี น ฟอนสาวไหม เปนตน ฟอ นแบบมาน เปน การฟอ นท่ผี สมผสานกันระหวางศิลปะ วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะประชากรไมใชปจจยั ที่ทาํ ให การฟอ นของพมา กบั ไทยลานนา เชน ฟอนมา นมยุ เชยี งตา เปน ตน ฟอนแบบเง้ยี ว เปนการฟอ นท่ีรับอทิ ธิพลมาจากชาวไทยใหญผสมกับชาวไทยลานนา เชน การแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมอื งของแตล ะภาคมีลกั ษณะที่แตกตา งกนั ฟอ นเงย้ี ว ฟอนไต มองเซิง เปน ตน และฟอ นที่ปรากฏในบทละคร เปนการฟอน เพราะการแสดงนาฏศลิ ปพ้ืนเมอื งแตละภาคจะมีรูปแบบที่แตกตาง ท่ีมผี คู ิดสรางสรรคข ้ึน เพื่อใชป ระกอบการแสดงละคร เชน ฟอนลาวแพน กันออกไปตามวิถชี ีวิต ความเชื่อ คา นิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ฟอ นมา นมงคล เปน ตน การนับถือศาสนา สภาพทางภมู ิศาสตร ซงึ่ สิ่งเหลาน้ี ลว นเปน ปจจยั ทีท่ าํ ให การแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมืองมีความแตกตา งกนั คูม่ อื ครู 149

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหน กั เรียนศกึ ษาเนอื้ เพลงฟอนเทียน ใชผ้ ู้แสดงเปน็ ค ู่ จา� นวน ๓ คู่ขึ้นไป สว่ นใหญ่จะนิยมแสดง ๔ คู ่ หรอื ๘ คน กระบวนทา่ รา� มคี วาม จากในหนงั สอื เรยี น หนา 150 ออ่ นชอ้ ย งดงาม จงั หวะเนบิ นาบและตอ่ ทา่ ใหส้ มั พนั ธก์ นั เพอ่ื อวดแสงเทยี นและใบหนา้ อนั งดงาม 2. ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี เี พลงฟอ นเทยี นใหน กั เรยี นฟง ของผู้ฟ้อน ลักษณะการถือเทียนให้น้ิวชี้กับ พรอ มทั้งสาธิตวิธีการขับรองเพลงฟอนเทียน นวิ้ กลางคบี ลา� เทยี น นว้ิ หวั แมม่ อื รองกน้ ลา� เทยี น ทถ่ี ูกตอ งใหนกั เรียนฟง แลว ใหนกั เรยี นฝก ดนั ปลายเทียนขึ้น บงั คบั เทยี นให้สอดคลอ้ งกบั ปฏบิ ัติตาม จากน้นั ครูสมุ นกั เรียน 2 - 3 คน ขอ้ มือ ลา� แขน และกระบวนท่ารา� ออกมาสาธิตวิธีการขบั รอ งเพลงฟอนเทยี น ทถี่ ูกตองใหเพอ่ื นชมหนาช้ันเรียน โดยมีครู ๔) เพลงร้อง บทร้องของเพลง เปนผูคอยชแ้ี นะความถูกตอง ฟ้อนเทียนที่ใช้ประกอบการร�านั้น มีท้ังบท1 3. ครสู าธติ การรา ยราํ เพลงฟอนเทยี นทถี่ กู ตอง พระราชนิพนธ์ของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ใหนกั เรียนดู จากน้ันใหนักเรยี นฝก ปฏบิ ตั ติ าม และบทที่ได้ประพันธ์ขึ้นใหม่โดยอาจารย์ แลวใหนกั เรียนแตละกลุมผลดั กันออกมาสาธิต มนตร ี ตราโมท ซ่งึ ประพันธ์โดยอาศัยเคา้ โครง วธิ กี ารรา ยราํ เพลงฟอ นเทยี นทถ่ี กู ตอ งใหเ พอื่ นชม การฟอ้ นเทยี น ความสวยงามอยทู่ กี่ ระบวนทา่ รา� ทม่ี คี วาม ของเกา่ หนาช้ันเรียน โดยมคี รเู ปน ผคู อยชีแ้ นะ ความถูกตอง จากน้นั ครูถามนกั เรียนวา อ่อนชอ้ ย งดงามประกอบกับลลี าการถือเทยี นทส่ี ่องสวา่ ง • การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมืองภาคเหนอื ชดุ “ฟอนเทยี น” มีลกั ษณะเดนอยา งไร บทร้องเพลงฟอ้ นเทยี น (แนวตอบ ฟอ นเทยี น เปน ระบาํ ทมี่ คี วามออ นชอ ย ลกั ษณะการราํ จะกา วเทา เรยี งตามกนั อยา งชา ๆ บทรอ้ ง : มนตรี ตราโมท ผฟู อ นจะถอื เทยี นในมอื และจดุ เทยี นมอื ละเลม นยิ มนาํ มาแสดงในเวลากลางคนื ความสวยงาม สรวมชีพขอนมัสการ โยนก พระทรงญาณชินศรี ของการฟอ นเทียนอยูท คี่ วามเปน ระเบยี บและ ไหวพ้ ระธรรมล�า้ ธรณี ซอยิ้น อัญชลพี ระสงฆ์เจ้า ความพรอมเพรียง แสงเทยี นจะมคี วามระยิบ ขอจงพระเดช พระปกเกศเกล้า ระยับในขณะท่ีผูฟอนกําลงั รายรํา การรายราํ เหลา่ ขา้ ผูร้ �า ฟ้อนสราญ จะเคลอื่ นทอี่ ยา งชา ๆ เพ่ือไมใหเ ทียนดับ) • ถานกั เรียนตอ งการนําการแสดงฟอนเทยี น ปวงขา้ เจ้า ยินดที ่ีเนา ในถิ่นไทยสถาน ติสขุ นานา ไปจัดแสดงในงานสาํ คญั นกั เรยี นจะเลือก ระเริงระร่นื ช่มุ ช่นื ใจบาน ทกุ ส่ิงเทดิ ศาน - พาใจใฝช่ ม จัดแสดงในงานประเภทใด เพราะเหตใุ ด เบ่ิงดอกไม ้ ก็งามวิไล ลออพอตา โอบออ้ มอารี (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น หลายสีเลอสวรรค ์ หลากพนั ธ์ผุ กา กล่ินร่นื นาสา ตรงึ ชาติปวงชนฯ ไดอยางอิสระ) ปวงประชา ยอพกั ตร์ลกั ขณา ทรงงามข�าคม หนา้ ตาชื่นบาน สา� ราญอารมณ์ จติ นอ้ มนยิ ม มั่นรกั ษา พุทธศาสนา แนบดวงฤดี สง่ เสรมิ ศลิ ปะ บล่ ะประเพณ ี ผกู มติ รไมตรี ๑50 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใดตอ ไปนี้ ไมจัด อยูในประเภทเดยี วกัน 1 พระราชชายาเจาดารารศั มี พระชายาในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา - 1. ฟอนแหครวั ทาน ฟอนผี ฟอนปน ฝาย เจาอยหู ัว (รัชกาลที่ 5) พระองคทรงเปนเจาหญงิ แหง ราชวงศฝายเหนอื ผมู บี ทบาท 2. ฟอ นกิงกะหรา ฟอ นกายลาย ฟอ นโต สาํ คญั ยง่ิ ตอ การรวมลา นนาเขา กบั สยาม ทรงสนพระทยั ในการสง เสรมิ ศลิ ปวฒั นธรรม 3. ฟอ นสาวไหม ฟอนกําเบอ ฟอนเชียงแสน ลา นนา โดยเฉพาะอยา งย่งิ ในเรือ่ งดนตรแี ละการแสดงพ้นื เมือง โดยการใหร วบรวม 4. ฟอ นมา นมุย เชยี งตา ฟอนมเู ซอ ฟอนโยคีถวายไฟ ศลิ ปน ลา นนามาเปน ครผู ถู า ยทอดวชิ าใหแ กพ ระญาตริ วมถงึ ประชาชน นอกจากนี้ วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะฟอ นสาวไหม จัดเปน ฟอนบาเกา ยงั ทรงรบั เปน องคอ ปุ ถัมภโ รงเรยี นและโปรดใหครชู างฟอ นเมืองและฟอ นมานมุย- (ฟอ นโบราณ) ฟอนกําเบอ จดั เปนฟอ นประดษิ ฐใ นพระราชสํานัก เชียงตาในวงั มาสอนนกั เรยี นดว ย และฟอ นเชียงแสน จดั เปนฟอ นประยกุ ต (ฟอ นท่ีประดิษฐข้นึ ในระยะหลัง) มุม IT นักเรียนสามารถชมการแสดงนาฏศิลปพ น้ื เมอื งชดุ ฟอนเทียน ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคําวา ฟอนเทียน 150 คมู่ อื ครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๕) เครอื่ งดนตรี ที่ใชบ้ รรเลงประกอบการแสดงฟอ้ นเทยี นม ี ๒ ประเภท คอื วงดนตรี ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 2 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู เพม่ิ เตมิ เกี่ยวกับการแสดงนาฏศิลปพ้ืนเมอื ง พื้นเมืองภาคเหนอื จะประกอบไปด้วยซึง สะลอ้ ตะโลด้ โป๊ด และกลองแอว และวงดนตรีปี่พาทย์ ภาคตา งๆ สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย เครอื่ งหา้ จะประกอบไปดว้ ยป่ีใน ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ กลองทดั ตะโพน และฉ่งิ ความรใู นหวั ขอ การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งภาคกลาง ชดุ รําวงมาตรฐาน ตามที่ไดศึกษามาหนาชนั้ เรยี น ๖) ลกั ษณะและลลี าทา่ รา� การฟอ้ นเทยี น เปน็ การแสดงทว่ี วิ ฒั นาการมาจากฟอ้ นเมอื ง จากน้นั ครถู ามนักเรียนวา ซง่ึ เปน็ การฟอ้ นทมี่ กี ระบวนทา่ เปน็ ทา่ แมบ่ ทภาคเหนอื กระบวนทา่ รา� ของฟอ้ นเทยี นจะมกี ระบวนทา่ • ราํ โทนเปนการแสดงท่ีมีลกั ษณะอยา งไร ท่ีเคล่ือนไหวค่อนขา้ งชา้ เนบิ นาบ กา้ วเท้าเดนิ เรยี งเทา้ ไปขา้ งหน้า หนั หน้าดา้ นขวาและด้านซา้ ย (แนวตอบ เปน การแสดงทส่ี รา งขน้ึ เพอื่ เปน การ ใชก้ ระบวนทา่ แมบ่ ท เชน่ ทา่ จบี สง่ หลงั ทา่ พระจนั ทรท์ รงกลด ทา่ มว้ นไหว ้ เปน็ ตน้ นอกจากน ี้ หากมี ผอ นคลายความตงึ เครยี ด หลงั จากสิ้นภาวะ เน้ือร้องก็จะตีบทไปตามบทร้องด้วยการใช้ภาษาท่าร�าและภาษานาฏศิลป์ หรือนาฏยภาษา และ สงคราม บทรอ งและทาํ นองเพลงจะแตง จะจบลงด้วยการเข้าซุ้มต่อเทียน ลักษณะเด่นของการฟ้อนเทียน คือ การอวดลีลาของการฟ้อน ใหเ ขากบั จังหวะหนา ทบั ของโทน บทรอ ง อวดแสงเทยี นทเ่ี ชอ่ื มต่อสมั พันธ์กันด้วยกระบวนทา่ ร�า ทา� ให้เกิดความวิจิตรงดงาม จะเปนบทเชญิ ชวน สัพยอก หยอกเยา 4.๒ นาฏศลิ ป์พ้นื เมอื งภาคกลาง ชดุ “รำ�วงม�ตรฐ�น” และบทชมโฉม บทรําพันรักระหวาง หนุม - สาว เปนบทรองท่ีจะใชคาํ ที่จดจํางาย ๑) ประวตั คิ วามเปน็ มา รา� วงมาตรฐานเปน็ ศลิ ปะแหง่ การรา� วงทงี่ ดงาม ซง่ึ ในสมยั กอ่ น ในระหวา งสงครามโลกครงั้ ท่ี 2 ประชาชน นยิ มเลนราํ โทนกันมาก โดยจะดดั แปลง ยังมิได้มีค�าว่า “มาตรฐาน” จะเรียกกันเพยี งวา่ “รา� วง” ทสี่ บื เนอ่ื งมาจากการรา� โทน อนั เปน็ การ เนื้อเพลงใหเขา กบั สภาวะสงคราม ละเลน่ พนื้ เมอื งของชาวบา้ นภาคกลาง ซงึ่ นยิ มเลน่ กนั อยา่ งแพรห่ ลาย รฐั บาลจอมพล ป. พบิ ลู สงคราม เพือ่ สรางความรกั ใครส ามัคคกี ันในกลุม ชน ในขณะน้ันได้เล็งเห็นความสวยงาม ความส�าคัญ และต้องการเชิดชูร�าโทนให้มีระเบียบแบบแผน รวมถงึ การสรา งความสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ ) จงึ มอบหมายใหก้ รมศลิ ปากรเปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบในการปรบั ปรงุ และพฒั นาการรา� โทนขน้ึ ใหม ่ ทง้ั ทาง ดา้ นเนอ้ื รอ้ ง ทา� นอง และเครอ่ื งแตง่ กาย โดยกรมศลิ ปากรไดม้ อบหมายใหจ้ มนื่ มานติ ยน์ เรศ (เฉลมิ • คาํ วา “ราํ วงมาตรฐาน” มคี วามหมายวา อยา งไร เศวตนนั ท)์ เปน็ ผปู้ ระพนั ธค์ า� รอ้ งประกอบการรา� ขน้ึ ใหม ่ ๔ เพลง คอื เพลงงามแสงเดอื น เพลงชาวไทย (แนวตอบ ราํ วงมาตรฐาน หมายถงึ ศลิ ปะแหง เพลงรา� ซมิ ารา� และเพลงคนื เดอื นหงาย พรอ้ มทง้ั ประดษิ ฐท์ า่ รา� ตามแบบนาฏศลิ ปไ์ ทยขน้ึ ใชเ้ ฉพาะเพลง การฟอ นราํ ใหเ ขา กบั จงั หวะหนาทับ ใชท าราํ เเ พพลลงงยด อวดงชจาันตยทใ่อจรมห์วาาันทญเ่าพ แน็ญลผะ ู้หเเพญพลิงลงลงบะดชูเออานกียกไดั มร บ้ขพ2 อซิบงงึู่ลชเพสางลตคงิ ตรเาา่พมงๆล งดไหดงั ญก้แลติงา่่งไวทบนทย ี้ กใรจร้อมงงาศขมลิ้ึน1 ปมาเาพกใรลหไงมดดป้่อวรีกงบั จป๖ันร ทงุ เใรพห์ขมลว ่งโัญ ดฟยคมือ้าี ท่ีเปนแบบฉบับมาตรฐาน โดยรําเปนวงกลม อาจารยศ์ ภุ ลกั ษณ ์ ภทั รนาวกิ (หมอ่ มตว่ น) อาจารยม์ ลั ล ี คงประภศั ร ์ และอาจารยล์ มลุ ยมะคปุ ต ์ รว่ มกนั หันหนา ทวนเขม็ นาฬก า) ปรับปรุงตามแนวทางแบบนาฏศิลป์ไทย และเรียกร�าวงท่ีมีศิลปะเป็นแบบฉบับมาตรฐานน้ีว่า “ร�าวงมาตรฐาน” สบื มาจนถึงปัจจุบนั • นกั เรียนสามารถนาํ การแสดงราํ วงมาตรฐาน ไปใชในกิจกรรมใดไดบาง ๒) ลกั ษณะและวธิ กี ารแสดง เพลงทใ่ี ชใ้ นรา� วงมาตรฐานมที ง้ั สนิ้ ๑๐ เพลง ซงึ่ แตล่ ะเพลง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งอสิ ระ) จะมีท่าร�ามาตรฐานที่ใช้เฉพาะกับเพลงแต่ละเพลงไม่ปะปนกัน ส�าหรับวิธีการแสดงจะร�าเป็นคู่ ชาย - หญงิ จา� นวนคขู่ นึ้ อยกู่ บั สถานทที่ จ่ี ดั การแสดง โดยจะเดนิ รา� เปน็ วงกลมทวนเขม็ นาฬกิ า มดี นตรี และการขบั ร้องเพลงประกอบการรา่ ยร�า ๑5๑ แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด นักเรยี นควรรู ทา รํา “ชางประสานงา” ใชกับเนื้อเพลงใด 1 เพลงหญงิ ไทยใจงาม ใชท า ราํ คอื ทา ยงู ฟอ นหางและทา พรหมสหี่ นา เนอ้ื หาของ 1. ดวงจันทรขวัญฟา ช่นื ชวี าขวัญพ่ี เพลงจะกลาวถงึ ดวงจนั ทรที่สองแสงอยูบ นทอ งฟา มีความงดงามมาก และยิ่งได 2. โอยอดชายใจหาญ ขอสมานไมตรี แสงอนั ระยิบระยบั ของดวงดาวดวยแลว ยิ่งทําใหด วงจันทรน นั้ งามเดน ย่งิ ขึน้ 3. งามแสงเดือนมาเยอื นสอ งหลา งามใบหนามาอยวู งราํ เปรยี บเหมอื นกับดวงหนาของหญงิ สาวที่มีความงดงามอยแู ลว ถามคี ุณความดดี วย 4. เดอื นพราวดาวแวววาวระยบั แสงดาวประดับสองใหเดือนงามเดน กจ็ ะทาํ ใหห ญงิ ผนู นั้ งามเปน เลศิ ผหู ญงิ ไทยนเี้ ปน ขวญั ใจของชาติ เปน ทเ่ี ชดิ หนา ชตู า ของชาติ รปู รา งก็งดงาม จิตใจก็กลาหาญ ดังทม่ี ชี อื่ เสยี งปรากฏอยทู วั่ ไป วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะทา ราํ ชางประสานงา เปนทา รําท่ใี ช 2 เพลงบชู านกั รบ ใชท า ราํ คอื ทา ขดั จางนาง, ทา จนั ทรท รงกลด, ทา ลอ แกว และทา - ขอแกว เน้ือหาของเพลงจะกลาวถึงนองรกั และบชู าพี่ เพราะมีความกลาหาญ คกู บั ทาจันทรทรงกลดในเพลงดวงจนั ทรข วญั ฟา จากในเนอ้ื เพลงท่ีวา เปนนกั สทู เ่ี กงกลาสามารถสมกับเปน ชายชาตนิ กั รบทม่ี ีความมานะอดทน แมว าจะ “ดวงจนั ทรข วญั ฟา ชื่นชีวาขวญั พ่ี จนั ทรประจาํ ราตรี แตขวัญพี่ประจาํ ใจ ยากเย็นแสนเข็ญ พ่กี ต็ อ สูจนช่ือเสยี งเลอ่ื งลือไปท่ัว นอกจากนี้ ยังขยนั ขันแขง็ ในงาน ทเ่ี ทิดทูนคอื ชาติ เอกราชอธปิ ไตย ถนอมแนบสนิทใน คอื ขวัญใจพเี่ อย” ทกุ อยา ง อตุ สาหส รางหลกั ฐานใหม ั่นคงและพย่ี งั มคี วามรักในชาตบิ านเมอื งยง่ิ กวา ชวี ิต ยอมสละไดแ มชวี ิตและเลอื ดเนอ้ื เพ่อื ใหชาติไทยคงอยูคโู ลกตอ ไป คู่มือครู 151

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหนักเรียนศกึ ษาเนอ้ื เพลงรําซิมารํา ในระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๒ น ้ี ใหผ้ เู้ รยี นฝก รา� วงมาตรฐานเพลง “รา� ซมิ ารา� ” สนุ ทรยี ะ จากในหนงั สอื เรียน หนา 152 ของร�าวงมาตรฐานเพลงร�าซิมาร�า คือ ลีลาท่าร�าส่ายสัมพันธ์คู่ชาย - หญิง ซึ่งต้องให้อ่อนช้อย และสวยงามตามแบบแผนของนาฏศลิ ป์ไทยทมี่ ี 2. ครูเปดซดี ี หรอื ดวี ดี เี พลงราํ ซิมารําใหนกั เรยี นฟง ความกลมกลนื ตามรปู แบบวัฒนธรรมไทย พรอมทั้งสาธติ วิธกี ารขบั รอ งเพลงรําซมิ ารํา ๓) เครอ่ื งแตง่ กาย สามารถแตง่ ได้ ทีถ่ กู ตองใหน ักเรยี นฟง แลวใหน ักเรียนฝก หลายแบบ เช่น แบบพ้ืนเมือง แบบพ้ืนบ้าน ปฏิบตั ิตาม จากน้ันครสู ุม นกั เรยี น 2 - 3 คน ภาคกลาง โดยผชู้ ายจะนงุ่ ผา้ โจงกระเบน สวมเสอื้ ออกมาสาธติ วิธกี ารขบั รองเพลงรําซมิ ารํา คอกลมลายดอก หรอื เส้อื ผา้ แพร มีผ้าคาดเอว ทถี่ ูกตอ งใหเพือ่ นชมหนาช้นั เรยี น โดยมคี รู ส่วนผู้หญิงจะนุ่งผ้าโจงกระเบน ห่มสไบอัดจีบ เปนผคู อยชี้แนะความถกู ตอ ง คาดเขม็ ขดั ทดั ดอกไมด้ า้ นซา้ ย และแบบสากล- นยิ ม ผชู้ ายจะสวมชดุ สทู สากล เสอ้ื เชต้ิ แขนยาว 3. ครูสาธิตการรายรําเพลงรําซมิ าราํ ท่ถี กู ตอง ผกู เนกไท สวมรองเท้า ผ้หู ญิงจะสวมกระโปรง ใหนกั เรียนดู จากนน้ั ใหน ักเรียนฝกปฏิบตั ติ าม ใสถ่ ุงนอ่ ง รองเทา้ เปน็ ต้น แลวใหน กั เรยี นแตละกลมุ ผลัดกนั ออกมาสาธติ ๔) เครื่องดนตรี ที่ใช้บรรเลง การรา ยราํ เพลงรําซิมารําท่ถี ูกตองใหเ พือ่ นชม ประกอบการแสดงรา� วงมาตรฐานเพลงรา� ซมิ ารา� หนาชั้นเรยี น โดยมคี รูเปนผคู อยชแ้ี นะ การแต่งกายแบบสากลนิยม เดมิ มเี ครอ่ื งดนตรปี ระกอบ คอื ฉง่ิ กรบั ฉาบ และ ความถูกตอง จากน้ันครถู ามนกั เรยี นวา • การรําในเพลงรําซมิ าราํ ท่ีถูกตอ ง โทน เมอ่ื มกี ารพฒั นาการรา� ขนึ้ จงึ ไดพ้ ฒั นาเครอ่ื งดนตรที ใี่ ชเ้ ปน็ วงปพ่ี าทยแ์ ละวงดนตรสี ากลบรรเลง จะตองปฏิบัติอยา งไร เศวตนนั ท)์ ห๕วั )หนเพา้ กลองงรก้อางรส งับคทตี เ1 พกรลมงศร�ลิาซปิามการร (�าป รปะพระนั พธัน์ในธน์คา�ามรก้อรงมโดศลิยปจมากื่นรม) าแนลิตะปยร์นะเพรนัศธ ท์(เา�ฉนลอิมง (แนวตอบ เหยยี ดแขนทง้ั 2 ขา ง ตงึ โดยมอื ซา ย โดยอาจารย์มนตร ี ตราโมท อยรู ะดับไหล มือขวาคว่ําอยรู ะดับเอว มือซาย วาดแขนลงอยรู ะดับเอว พรอ มกับพลกิ มือขวา บทร้องเพลงรา� ซมิ าร�า หงายขนึ้ ระดบั ไหล สลับกนั เชนนีจ้ นจบเพลง สวนเทา กา วตามจังหวะเมอื่ ถงึ เนือ้ เพลงทวี่ า ร�ามาซมิ ารา� เริงระบ�ากนั ใหส้ นุก “เลนอะไรใหม ีระเบียบใหง ามใหเรยี บจึงจะ ยามงานเราท�างานจริงจริง ไมล่ ะไมท่ ้งิ จะเกิดเขญ็ ขกุ คมขํา” ใหฝ า ยหญงิ กลบั หลงั หันตาม ถึงยามวา่ งเราจึงร�าเลน่ ตามเชิงเช่นเพื่อให้สรา่ งทุกข์ จังหวะเพลง หมุนตวั ทางซา ยเดินเปล่ียนทกี่ บั ตามเย่ยี งอยา่ งตามยุค เล่นสนุกอยา่ งวฒั นธรรม ฝา ยชายเปนรูปครึง่ วงกลม เมอ่ื ถึงเนอื้ เพลง เล่นอะไรใหม้ ีระเบียบ ให้งามให้เรยี บจงึ จะคมขา� “มาซมิ าเจา เอย มาฟอ นราํ มาเลน ระบาํ ของไทย มาซมิ าเจา้ เอย มาฟ้อนรา� มาเลน่ ระบา� ของไทยเราเอย เราเอย” ใหฝา ยหญงิ หมนุ ตัวกลับหลงั หนั ทางดา นขวาเดินกลับทเี่ ดิม ฝายชายกเ็ ดนิ ตามฝายหญงิ ตอไป) ๑5๒ เกรด็ แนะครู บรู ณาการเช่ือมสาระ จากการศึกษาเก่ยี วกับการแสดงรําโทน สามารถเช่ือมโยงกบั การเรียน ครคู วรเปดซดี ี หรอื ดวี ดี ีการแสดงรําวงมาตรฐานในเพลงรําซมิ าราํ ใหนักเรยี นชม การสอนในกลมุ สาระการเรยี นรสู งั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พรอ มกบั อธิบายความหมายของเนอื้ เพลงวา ขอพวกเรามาเลน รําวงกันใหส นกุ สนาน ในเรอ่ื งการเมืองและการปกครอง กลาวคอื การเกดิ สงครามโลกครง้ั ท่ี 2 เพลดิ เพลนิ ในยามวา ง จะไดผ อนคลายจากความทุกข เมอ่ื ทํางานเรากจ็ ะทํางานกนั จอมพล ป. พิบลู สงคราม นายกรฐั มนตรี ไดตดั สนิ ใจใหป ระเทศญป่ี นุ ดว ยความอตุ สาหะ เพื่อจะไดไ มล าํ บาก การราํ ก็จะรําอยา งมรี ะเบยี บแบบแผน เขามาตงั้ ฐานทัพในไทย เพราะเกรงวาหากปฏิเสธคงจะถูกปราบปราม ตามวฒั นธรรมไทยของเรา ดูแลว งดงาม ไทยจงึ ไดรับผลกระทบจากการรุกรานของฝายพันธมิตร ประชาชนจึงไดห า วิธีผอนคลายความตึงเครยี ดดว ยการรําโทน คํารอง ทาํ นอง และการแตง นักเรียนควรรู กายมคี วาม เรยี บงาย เพลงท่นี ิยมขบั รอ ง เชน เพลงใกลเขา ไปอกี นดิ ชอ มาลี ตามองตา ยวนยาเหล เปนตน ตอ มาจอมพล ป. พบิ ูลสงคราม จึงไดมอบให 1 กองการสงั คตี ปจจบุ ัน คือ สาํ นกั การสงั คตี ซึ่งมพี นั ธกจิ ในการสํารวจ กรมศิลปากรเปนผูปรับปรงุ และพฒั นาการรําโทนใหมีระเบยี บแบบแผน รวบรวมองคค วามรูในดานศลิ ปวฒั นธรรม ในเร่อื งนาฏศลิ ปและดนตรี ทง้ั ไทย และความประณตี งดงามมากขึ้น ท้งั ทางดา นเนือ้ รอ ง ทาํ นอง การแตง กาย และสากล การบรหิ ารจดั การโรงละครแหง ชาติ เพ่ืออนุรักษ พน้ื ฟู สืบทอด เผยแพร ราํ โทนจงึ ถูกพฒั นาข้นึ มาเปนราํ วงมาตรฐาน โดยนยิ มนาํ มาแสดง สงเสริม สนับสนุนใหแ กประชาชนและหนว ยงานท้งั ภาครฐั และเอกชน ในงานรืน่ เริงทว่ั ๆ ไป 152 คูม่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๖) ลักษณะและลีลาทา่ รา� ร�าวงมาตรฐานเพลงรา� ซมิ าร�า มีลลี าทา่ ร�าส่ายสมั พันธ์คู่ ครูสมุ นกั เรียน 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ดังตอไปน้ี ชาย - หญิง ซ่งึ เปน็ ภาษานาฏศิลป ์ หรอื นาฏยภาษาทอ่ี าจารยศ์ ุภลกั ษณ์ ภทั รนาวิก (หมอ่ มตว่ น) และอาจารยล์ มุล ยมะคปุ ต์ ปรมาจารย์ทางดา้ นนาฏศิลป์ไทยได้ประดิษฐท์ า่ รา� ไว ้ และกรมศลิ ปากร • การใชเ ทา ทถี่ กู ตอ งในการราํ วงเพลงราํ ซมิ าราํ กไ็ ดย้ ดึ ถอื เปน็ แบบแผนมาจนถงึ ปจั จบุ นั ลกั ษณะและลลี าทา่ รา� เปน็ การเดนิ รา� คชู่ าย - หญงิ เดนิ วงกลม ควรมีลกั ษณะอยางไร ทวนเข็มนาฬิกา ในลกั ษณะการเดินร�าซอ้ น ๒ วง คกู่ ันไป โดยผู้ชายจะยืนซอ้ นเหลื่อมหลงั ผูห้ ญงิ (แนวตอบ ลักษณะการเดิน จะเป็นการเดินเรียงเท้า (ถัดเท้า) ไปตามวงกลมทวนเข็มนาฬิกา 1. กาวเทาซา ยและถดั เทาขวา โดยเรม่ิ ตน้ ทก่ี ารกา้ วเทา้ ซา้ ยตรงค�ารอ้ งทว่ี า่ “ร�า” แลว้ ยอ่ เขา่ ลง ถดั เทา้ ขวาตรงค�ารอ้ งทวี่ า่ “มาร�า” ตามจังหวะเพลง เดนิ เปน วงกลม แลว้ เดนิ เรยี งเทา้ ทวนเขม็ สลบั หนั หนา้ ออกนอกวงและเขา้ ในวงจนถงึ คา� รอ้ งทวี่ า่ “เลน่ อะไรใหม้ รี ะเบยี บ” 2. เนือ้ เพลงบรรทัดท่ี 1, 3 หนั หนา จะรา� สา่ ยควงคกู่ นั เป็นวงกลม โดยชาย - หญิงจะยืนขนานหันหน้าเข้าหากัน เอียงศีรษะเข้าหากัน ออกนอกวง เอียงศีรษะขวา เดนิ ถดั เทา้ ควงคสู่ ลบั ทก่ี นั แลว้ กลบั หลงั หนั ในคา� รอ้ งทว่ี า่ “มาซมิ าเจา้ เอย๋ มาฟอ้ นรา� ” แลว้ เดนิ เรยี งเทา้ 3. เนอ้ื เพลงบรรทดั ที่ 2, 4 หนั หนา เขา ผชู้ ายซอ้ นเหลอ่ื มผหู้ ญงิ หนั หนา้ ออกนอกวงตรงคา� รอ้ งทว่ี า่ “มาเลน่ ระบา� ของไทยเราเอย” ลกั ษณะ ในวง เอียงศีรษะซา ย การเดนิ ตามแผนผงั ๑ ๒ และ ๓ เรยี งตามลา� ดับ ดงั นี้ 4. เน้อื เพลงบรรทัดท่ี 5 เดินหมนุ ตัวสลับกนั ระหวา งชาย - หญิง โดยฝายหญิงหมนุ ตวั แผนผงั ที่ ๑ หนั หน้าออกนอกวง แผนผงั ที่ ๒ หันหนา้ เขา้ ในวง กลับดานซา ย แลวเบี่ยงตัวออกนอกวง หางจากชายเล็กนอย เดนิ ไปแทนท่ี แผนผงั ที่ ๓ รา� ส่ายควงคู่กัน = ผู้ชาย ฝายชายในวงและฝายชายเดินไปแทนที่ = ผหู้ ญงิ ฝายหญงิ นอกวง เอยี งศรี ษะเขา หากนั 5. เนือ้ เพลงบรรทัดที่ 6 ทั้งฝายชาย ๑53 และฝายหญิงหมุนตัวกลับ เดนิ ควงกนั ไป ท่เี ดมิ ของตนเอง เอยี งศรี ษะเขา หากัน) • ถานกั เรยี นตอ งการสรปุ ลกั ษณะเดนของ การแสดงนาฏศิลปพ ืน้ เมืองภาคกลาง นกั เรยี นจะสามารถสรุปไดว าอยา งไร (แนวตอบ นาฏศลิ ปพ ้ืนเมอื งภาคกลาง จะมีลักษณะการแสดงทม่ี ีความเรยี บงา ย ใชค าํ สาํ นวนโวหาร มคี าํ ศพั ทส แลงโตต อบกนั ระหวางชาย - หญิง มีการทาํ ทา ทาง เลียนแบบธรรมชาติ สว นใหญจ ะเปนการรํา ประกอบการขับรองโตต อบกนั ตามอปุ นสิ ยั ของคนไทยภาคกลางทเี่ ปน คนเจา บทเจา กลอน นอกจากน้ี การแสดงพน้ื เมืองภาคกลาง บางชุดก็ยังไดร บั อทิ ธิพลมาจาก นาฏกรรมหลวงอกี ดว ย) กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ใหน ักเรียนศกึ ษาเพ่ิมเติมเกีย่ วกบั การแสดงราํ วงมาตรฐานนอกเหนือ ครคู วรอธิบายความรเู พิม่ เติมเกยี่ วกบั นาฏยศพั ทในเพลงรําซมิ าราํ ไดแก ราํ สาย จากทีเ่ รียนมาตามความสนใจของตนเอง 1 เพลง ฝก ขับรอ งและฟอนรํา คอื ยกลําแขนทัง้ 2 ขางขึน้ เสมอไหล มอื หนงึ่ แบควาํ่ อกี มอื หน่งึ แบหงาย มือคว่าํ ในทา ท่ถี ูกตอง จากนน้ั ออกมานาํ เสนอผลงานใหเ พือ่ นชมหนา ชัน้ เรียน วาดแขนลงเล็กนอ ย มอื หงายวาดแขนขึ้นเล็กนอย แลวพลกิ ขอมอื พรอมกนั ท้ัง 2 ขาง โดยมคี รูเปน ผูคอยช้ีแนะความถกู ตอง ปฏบิ ตั สิ ลบั กนั ตามจงั หวะเพลง ถดั เทา คอื การใชจ มกู เทา เชด็ ไปกบั พน้ื เบาๆ โดยเรม่ิ จากการกา วเทา ซา ย ถดั เทา ขวาแลว กา วเทา ขวา จมกู เทา คอื สว นเนอื้ ตรงปลายฝา เทา กิจกรรมทา ทาย ตรงโคนน้วิ เทา ขณะถดั เทา ใชเ ฉพาะสวนจมูกเทา ฉะน้ัน ตอ งเชดิ ปลายนวิ้ เทาขน้ึ ใหนักเรียนทม่ี คี วามสามารถดานการแสดงนาฏศิลป ออกมาสาธิต มุม IT การแสดงรําวงมาตรฐาน 10 เพลง ในทา ทถี่ ูกตองใหเ พ่อื นชมหนาชนั้ เรียน โดยมีครเู ปน ผูคอยชี้แนะความถกู ตอง นกั เรียนสามารถศึกษา คน ควา เพ่มิ เติมเก่ยี วกบั รําวงมาตรฐาน ไดจาก http://www.lks.ac.th คู่มอื ครู 153

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหนักเรียนกลมุ ที่ 3 ทไ่ี ดศ ึกษา คน ควา หาความ ดังนั้น จะเห็นได้วา่ ลกั ษณะเฉพาะของการร�าเพลงร�าซิมาร�า จะคอ่ นข้างยากและต้องใช้ รูเพม่ิ เติมเกยี่ วกับการแสดงนาฏศิลปพ น้ื เมอื ง เวลาในการฝกหัด หากผู้เรียนไม่เข้าใจก็จะเดินสับสนกัน แต่ถ้าเข้าใจกระบวนแถวก่อนแล้วก็จะ ภาคตางๆ สง ตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย ไม่ยากต่อการฝก รา� ความรใู นหวั ขอ การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง 1 ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (อีสาน) ชดุ เซงิ้ สวงิ 4.3 น๑)าฏปศระลิ วปตั ิค์พวื้นามเมเปอื ็นงมภาา เคซต้ิงสะววงิ2นัเปอ็นอกการเแฉสยี ดงงชเหุดหนนือง่ึ ทช่เี ปุดน็ ก“าเรซล้งิ ะสเลวน่ งิ ข”องชาวบา้ น ตามท่ีไดศกึ ษามาหนา ชั้นเรียน อา� เภอยางตลาด จงั หวดั กาฬสนิ ธ ์ุ กรมศลิ ปากรไดน้ า� ทา่ รา� ทา่ ฟอ้ นของทอ้ งถนิ่ มาปรบั ปรงุ ใหก้ ระชบั กระฉบั กระเฉง โดยจัดกระบวนท่าฟ้อนให้เป็นระบบ เช่น หาปลา ช้อนปลา จบั ปลาใสข่ อ้ ง เป็นต้น 2. ครเู ปดซีดี หรอื ดีวดี เี พลงเซงิ้ สวิง ใหนกั เรียนฟง ๒) ลกั ษณะและวิธกี ารแสดง การแสดงเซ้ิงสวิงเป็นการรา� คู่ชาย - หญงิ ในลกั ษณะ ครแู นะนาํ วธิ กี ารนบั จงั หวะในหอ งเพลงทถี่ กู ตอ ง ของชดุ ศลิ ปาชพี คอื ประกอบอาชพี จบั สตั วน์ า�้ ในทนี่ ค้ี อื อาชพี หาปลา ผหู้ ญงิ จะถอื สวงิ ชอ้ นปลาสง่ ใหน กั เรยี นฟง เนื่องจากเพลงเซิ้งสวิงน้ันไมมี ให้ผู้ชายจับปลาใสข่ ้อง เมื่อสง่ ปลาแลว้ กจ็ ะสะบัดดินโคลน หรือหญ้าทต่ี ิดมากับสวิงแลว้ ช้อนปลา เนื้อรอง จึงตองฝกการจบั จงั หวะแทน ใหม ่ เมือ่ จับปลาได้พอประมาณก็จะหยอกลอ้ เกีย้ วพาราสีกนั ดังนั้น ลักษ๓ณ)ะกเคารรแอื่ ตงแ่งกตาง่ ยกจาึงยเป เซ็นงิ้เคสรว่ืองิ เงปแน็ ตก่งากราแยสพด้ืนงนเมาือฏงศใลิ นปทพ์ ้อน้ื งเถมิ่นอื งผภู้ชาคาตยะจวะนัสอวมอกเสเฉ้ือยีมง่อเหฮ่อนมอื 3 3. ครสู าธิตการรา ยราํ เพลงเซิง้ สวิงทถี่ ูกตอง นุ่งกางเกงขากวย ผ้าขาวม้าคาดเอ4ว ใช้ข้องสะพายไหล่ประกอบการแสดง ส่วนผู้หญิงจะสวม ใหนกั เรยี นดู จากน้ันใหนกั เรียนฝก ปฏบิ ัตติ าม เสื้อคอกลม แขนกระบอก นุ่งผ้าซ่ินป้ายข้างยาวคลุมเข่า ห่มสไบพาดไหล่ ปล่อยชายข้างหน้า แลว ใหน ักเรยี นแตล ะกลุมผลดั กนั ออกมาสาธติ เกล้าผมมวย ติดดอกไม้ สวมเครอ่ื งประดบั เงนิ เชน่ ต่างห ู สรอ้ ยคอ กา� ไลมือ กา� ไลเทา้ เป็นต้น การรา ยรําเพลงเซง้ิ สวิงทีถ่ กู ตอ งใหเ พือ่ นชม ๔) เครอื่ งดนตร ี การแสดงเซง้ิ สวงิ ใชเ้ พลงทม่ี จี งั หวะรวดเรว็ สนกุ สนาน เครอื่ งดนตรี หนา ชั้นเรยี น โดยมคี รเู ปน ผคู อยชแ้ี นะ ที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงจะเป็นเครื่อง- ความถูกตอง จากนั้นครูถามนักเรยี นวา ดนตรีพ้ืนเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น • เอกลักษณส ําคญั ท่ที ําใหการแสดงนาฏศิลป แคน กรบั กลองเถิดเทงิ โหม่ง ฉาบ เป็นตน้ พน้ื เมืองภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื (อีสาน) ๕) ลกั ษณะและลลี าทา่ รา� การแสดง มคี วามแตกตา งจากภมู ิภาคอน่ื ๆ คอื สงิ่ ใด เซง้ิ สวงิ เปน็ การรา� คชู่ าย - หญงิ ทอ่ี อกไปหาปลา (แนวตอบ จะมลี กั ษณะคอ นขา งกระชบั รวดเรว็ โดยมีสวิงและข้องเป็นอุปกรณ์ในการจับปลา และสนกุ สนาน เพื่อผอ นคลายความ ลกั ษณะการแสดงจะมกี ารแปรแถวสมั พนั ธค์ แู่ ละ ไมส บายใจจากความทุกขยาก อนั เนื่องจาก สัมพนั ธก์ ล่มุ เนน้ การเตน้ สง่ จังหวะและท�านอง สภาพแวดลอมทางธรรมชาติ ทา ราํ สวนใหญ เพลงท่ีกระชับ รวดเร็ว ยงั คงอนุรกั ษ์ความเปน็ จะมาจากทา แมบ ทอีสานและมาจากการ เลยี นแบบทา ทางธรรมชาติ ส่อื ถงึ ความตรง ไปตรงมา ความจริงใจ ซ่อื ตรง ลกั ษณะการ ราํ จะคลา ยการเตน ที่เรยี กวา “เซ้ิง”) เซง้ิ คอื ทา่ เตน้ เขยง่ เทา้ ใชจ้ มกู เทา้ ยา�่ ไปกบั พน้ื เซิ้งสวิง เป็นการแสดงนาฏศิลปพ์ ื้นเมอื งภาคตะวันออก- แสดงออกถงึ ความสนกุ สนาน รน่ื เรงิ ดว้ ยทว่ งทา่ เฉียงเหนือ ทแ่ี สดงถึงการดา� รงชวี ิตดา้ นการจบั ปลา อันรวดเร็ว ๑54 นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET การแสดงเซ้งิ ชุดใดทเ่ี กิดขึน้ จากการประกอบอาชีพของชาวอีสาน 1 เซง้ิ ศิลปะการแสดงของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ (อีสาน) ท่มี ลี ีลาจงั หวะ 1. เซงิ้ กะโป การรา ยราํ ทรี่ วดเรว็ เพลงท่ีใชประกอบการเซงิ้ นนั้ จะเปน เพลงทมี่ ีจงั หวะสนกุ สนาน 2. เซง้ิ กระหยัง 2 สวงิ เปน เครอ่ื งมอื จบั สตั วน า้ํ ซงึ่ ผหู ญงิ นยิ มใช โดยใชส วงิ ชอ น หรอื ตวดั วนไปมา 3. เซ้ิงสัมพนั ธ เพอ่ื จบั สตั วน าํ้ เชน กงุ ฮวก (ลกู ออ ด) แมงระงาํ (ตวั ออ นของแมลงปอ) ปลาตวั เลก็ ๆ 4. เซ้ิงบ้งั ไฟ เปน ตน วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะเซิง้ สมั พนั ธ เปนการแสดงนาฏศลิ ป 3 มอฮอ ม หรือมอ หอ ม ผา ทีท่ าํ จากฝายมสี ีนํ้าเงนิ เขม ทไี่ ดม าจากการยอ ม พ้ืนเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อสี าน) ทมี่ ลี ีลาของการเซง้ิ ที่คลอ งแคลว ดว ยตน หอมในหมอดนิ มอ ฮอ มจดั เปน เครื่องแตงกายพื้นเมืองของไทย ตงั้ แต วองไว กระฉับกระเฉง งดงาม และแปลกตา ลลี าการแสดงจะเปน การนํา ไทลือ้ ในสบิ สองปนนา ลาวในประเทศลาว และไทยลานนาทางภาคเหนือของไทย เซ้งิ สวงิ และเซงิ้ กระตบิ ขา วมาแสดงใหสอดคลอ งสัมพันธกัน โดยผหู ญงิ 4 ซนิ่ เปนผานุงของผูหญงิ มลี ักษณะทแ่ี ตกตา งกนั ไปตามทองถนิ่ ทั้งขนาด จะนํากระตบิ ขา วสะพายบา สวนผูช ายจะถือสวิง การนุง และลวดลายบนผืนผา อนั เนื่องมาจากวฒั นธรรมการทอผา ในแตละทอ งถิน่ มคี วามแตกตางกนั ผาซนิ่ ทีพ่ บในประเทศไทย จึงมคี วามหลากหลาย เชน ผา ซิ่นมดั หม่ี ผา ซนิ่ ตีนจก ผา ซ่ินลายแตงโม ผาซ่นิ เชยี งแสน ผา ซ่นิ ทวิ มุก เปนตน 154 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ดว้ ยเหตทุ เ่ี ซง้ิ สวงิ มพี นื้ ฐานทา่ รา� มาจากการละเลน่ ของชาวบา้ นทท่ี า� มาหากนิ ดว้ ยอาชพี 1. ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 4 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู การจับปลา ดังน้ัน ท่าร�าจึงมีความเรียบง่าย กระชับ สื่อความหมายได้อย่างชัดเจน โดยมีการ เพ่ิมเตมิ เกย่ี วกบั การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง จัดกระบวนท่าร�าท่ีเรียงล�าดับของการประกอบอาชีพการจับปลาด้วยการใช้สวิงและข้องประกอบ ภาคตา งๆ สง ตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย การแสดง ซงึ่ ผชู้ มจะตอ้ งจนิ ตนาการทา่ รา� ประกอบการแสดงไปดว้ ย จงึ จะทา� ใหเ้ กดิ อรรถรสในการชม ความรใู นหวั ขอ การแสดงนาฏศลิ ปพ นื้ เมอื งภาคใต เนอื่ งจากเปน็ ชดุ การแสดงศลิ ปาชพี มที า� นองและจงั หวะของเพลงทกี่ ระชบั ผแู้ สดงตอ้ งไดร้ บั การฝก ชุดตารีกีปส ตามท่ีไดศกึ ษามาหนาชั้นเรียน มาอยา่ งดแี ละปฏบิ ตั ทิ า่ รา� ดว้ ยความคลอ่ งแคลว่ วอ่ งไว มอี ารมณส์ นกุ สนาน รา่ เรงิ เมอ่ื ชมแลว้ กจ็ ะ เขา้ ใจการประกอบอาชีพหาปลาดว้ ยการใช้สวงิ เปน็ อุปกรณ์ไดด้ ี 2. ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี เี พลงตารกี ปี ส ใหน กั เรยี นฟง 4.4 นาฏศลิ ป์พื้นเมอื งภาคใต ชุด “ต�รกี ีปส ” ครแู นะนําวิธีการนบั จงั หวะในหอ งเพลงท่ี ถกู ตอ งใหน กั เรยี นฟง เนอ่ื งจากเพลงตารกี ปี ส นนั้ ๑) ประวัติความเป็นมา ตารีกีปัสเป็นระบ�าพื้นเมืองของชาวไทยมุสลิมทางภาคใต ้ ไมมีเนอื้ รอง จงึ ตองฝก การจับจงั หวะแทน ใชพ้ ดั ประกอบการแสดง ไดร้ ับการฟนฟูโดยคณะครูโรงเรียนยะหร่ิง อ�าเภอยะหริง่ จังหวัดปตั ตานี 3. ครูสาธิตการรายราํ เพลงตารกี ปี สทถ่ี กู ตอง ควบคุมการฝกซ้อมโดยนายสุนทร ปิยะวสันต์ ซ่ึงได้ไปชมการแสดงในประเทศมาเลเซียเมื่อป ี ใหนักเรียนดู จากนน้ั ใหน ักเรยี นฝกปฏิบัติตาม พ.ศ. ๒๕๑๘ แลว้ ไดน้ า� รปู แบบการแสดงมาปรกึ ษากบั ผเู้ ฒา่ ผแู้ ก่ในจงั หวดั ปตั ตาน ี และพบวา่ มกี าร แลวใหนักเรียนแตละกลมุ ผลดั กนั ออกมาสาธิต แสดงท่ีคล้ายคลึงกัน จึงได้ฟนฟูชุดการแสดงขึ้นใหม่ โดยน�ามาแสดงคร้ังแรกในงานเกษียณอายุ การรายราํ เพลงตารกี ปี ส ที่ถูกตองใหเพอื่ นชม ขา้ ราชการครูโรงเรยี นยะหรง่ิ ตอ่ มาไดม้ กี ารถา่ ยทอดไปสปู่ ระชาชนทว่ั ไป โดยเปดิ สอนใหค้ ณะลกู เสอื หนา ช้นั เรยี น โดยมีครเู ปนผคู อยชแ้ี นะ ของจงั หวดั ปตั ตาน ี เพอื่ นา� ไปแสดงในงานชมุ นมุ ลกู เสอื แหง่ ชาต ิ ณ จงั หวดั ชลบรุ ี เมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๕๒๒ ความถกู ตอง ซง่ึ ตอ่ มาไดร้ บั การคดั เลอื กใหเ้ ปน็ ชดุ เปดิ สนามกฬี าเขตแหง่ ประเทศไทย ครงั้ ท ่ี ๑๔ ของจงั หวดั ปตั ตานี เมอื่ ป ี พ.ศ. ๒๕๒๕ ทา� ใหร้ ะบา� ตารกี ปี สั ไดเ้ ผยแพร่ ไปทั่วประเทศไทยและเป็นท่ีรู้จักของคนท่ัวไป อย่างกว้างขวางนบั ตั้งแตน่ นั้ มา ๒) การแตง่ กาย ระบา� ชดุ นใ้ี ชผ้ แู้ สดง เป็นหญิงล้วน การแต่งกายจะแต่งได้ในหลาย หลกัรษอื โณสะร ง่ เ ชผน่ า้ ซสอวแมกเะส1 ื้อสใอนดนดานิ้ งเสงีดนิ า� - นทุ่งอโงสปรร่งะปปารเาตยะ แบบมาเลเซยี ตดั เยบ็ แบบจบี หนา้ นาง ใชผ้ า้ สไบ คลมุ ไหลจ่ บั จบี ผกู เปน็ โบดา้ นหนา้ หรอื สวมเสอ้ื แขนกระบอก มีผ้าคาดเอว สวมเคร่ืองประดับ เชน่ เขม็ ขดั สรอ้ ยคอ ตา่ งห ู ประดบั ดอกไมท้ อง เป็นต้น ลักษณะการแตง่ กายชุดระบา� ตารีกปี ัส ๑55 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ใหน ักเรยี นออกแบบเครอื่ งแตง กายประกอบการแสดงระบาํ ตารีกีปส ครคู วรเนน ใหเ ห็นถงึ รูปแบบและลกั ษณะการแสดงระบาํ ตารีกปี สวา มรี ูปแบบ ตามความคดิ และจนิ ตนาการของตนเอง 1 ชุด พรอ มเขยี นแรงบันดาลใจ การแสดงเปนระบําหมู ซ่งึ รปู แบบการแสดงมีอยู 2 ลักษณะ คอื การแสดงเปนคู ในการสรางสรรคผ ลงาน จากน้ันออกมานาํ เสนอผลงานใหเพือ่ นชม ระหวา งผชู าย - ผหู ญงิ และการแสดงเปน ระบาํ หมโู ดยใชผ หู ญงิ แสดงลว น ซงึ่ จะทาํ ให หนาชนั้ เรียน โดยมีครูเปน ผชู ้แี นะความถูกตอ ง นกั เรยี นมีความรู ความเขา ใจเก่ียวกบั รูปแบบและลกั ษณะการแสดงระบําตารกี ีปส ไดด ยี ่งิ ขึ้น กจิ กรรมทาทาย นักเรยี นควรรู ใหน กั เรยี นนําทาราํ ท่ีเคยไดศ กึ ษามาในชั้นมธั ยมศกึ ษาปที่ 1 มาดัดแปลงขนึ้ ใหม โดยใชทาํ นองเพลงตารีกีปส พรอมกบั หาอปุ กรณ 1 ผาซอแกะ หรอื ผายกเงินทอง ซึ่งสตรชี าวมุสลมิ ทางภาคใตของไทยจะนิยม มาประกอบใหเหมาะสม จากน้ันออกมานําเสนอผลงานใหเ พื่อนชม สวมใสเ ม่อื ตอ งไปงานเล้ยี งทห่ี รหู รา โดยจะใสกับเส้อื กรู ง ซ่ึงมลี กั ษณะเปน หนาชนั้ เรียน โดยมีครเู ปนผชู ้แี นะความถูกตอง เส้ือคอกลมตดิ คอ ผาหนา พอสวมศรี ษะได ติดกระดมุ ทค่ี อ 1 เมด็ หรอื เข็มกลดั 1 ตัว แขนกระบอกยาวเกอื บจรดท่ขี อมือ หรอื ตํ่ากวา ศอก ระหวา งตวั เสอื้ และแขน ตอ ดว ยผาสีเ่ หลย่ี มเลก็ ๆ ตวั เสอ้ื หลวมยาวคลมุ สะโพก ค่มู ือครู 155

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครูสุม นกั เรียน 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม ๓) ลักษณะวิธีการแสดง ตารีกีปัสเป็นระบ�าพื้นเมืองภาคใต้ตอนล่างท่ีมีลีลาท่าร�า ดังตอไปน้ี เป็นลักษณะเฉพาะ คอื การเล่นเทา้ และแตะเทา้ เขา้ ใจว่านา่ จะเป็นชดุ นาฏศลิ ป ์ ทสี่ ร้างสรรค์โดย • นกั เรยี นคิดวา เพลงที่ใชป ระกอบการแสดง ใช้ทา่ รา� รองเงง็ เปน็ พ้ืนฐาน เนือ่ งจากมกี ารเล่นเท้า ยกั ย้ายสา่ ยสะโพก ผแู้ สดงเปน็ หญงิ ลว้ น และ ตารีกีปส มกี ารผสมผสานทางดานดนตรี ใช้พดั เป็นอปุ กรณ์ประกอบการแสดง มกี ารแตะเทา้ และเล่นเท้าใหล้ งตามจงั หวะและทา� นองเพลง กับชนชาติใด ท่ีบรรเลง (แนวตอบ เพลงท่ีใชป ระกอบการแสดง เปน ทํานองเพลงที่ไดร ับอทิ ธพิ ลมาจาก ๔) เครอ่ื งดนตร ี ใชเ้ ครอ่ื งดนตรขี องวงดนตรพี นื้ เมอื งภาคใตต้ อนลา่ ง ผสมกบั เครอื่ ง- ประเทศมาเลเซีย คอื อนิ งั ตังลุง เปนเพลง ผสมผสานระหวา งมลายกู บั จีน) ดนตรสี ากล ไดแ้ ก ่ ไวโอลนิ (Violin) แมนโดลนิ (Mandolin) มาราคา (Maraca) ขลยุ่ รา� มะนา และฆอ้ ง บทเพลงท่ีใช้ประกอบการแสดง คือ เพลงตารีกีปัส เป็นเพลงที่บรรเลงดนตรีเพียงอย่างเดียว • ลกั ษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื ง ไม่มีเน้ือรอ้ ง ท่วงทา� นองเพลงมีความไพเราะ ออ่ นหวาน แตก่ แ็ ทรกไวด้ ว้ ยความสนุกสนาน เรา้ ใจ ภาคใตค ือสงิ่ ใด ความไพเราะของเพลงตารีกปี สั อยู่ท่กี ารบรรเลงเสียงเครื่องดนตรแี ต่ละช้ิน (แนวตอบ นาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งภาคใตก จ็ ะสะทอ น บคุ ลิกลกั ษณะของผูค นดวย คือ มีลีลากระชับ ๕) ลักษณะและลีลาท่าร�า ลักษณะเฉพาะของระบ�าตารีกปี สั ที่เด่นชดั คอื เปน็ การ รวดเร็ว มีการยักยา ยสายสะโพกและเลนเทา การแสดงนาฏศิลปพื้นเมืองภาคใตเปนศิลปะ เต้นร�า โดยการยักย้ายส่ายสะโพกและการแตะเท้า เล่นเท้าตามจังหวะและท�านองเพลงดังท่ีได้ การรําและการละเลน อาจแบงออกเปน 2 กล่าวมาแล้วข้างต้น และยังมศี ิลปะของการใชพ้ ดั ต่อกันเปน็ รปู ต่างๆ รวมทง้ั การต่อพัดสมั พันธค์ ่ ู รปู แบบ คอื การแสดงพน้ื บา นและระบาํ พน้ื บา น หรือต่อพัดสัมพันธ์กลุ่ม ท�าให้การแสดงตระการตา ดูอลังการ และเกิดความประทับใจแก่ผู้ชม เครอ่ื งดนตรที ใี่ ชบ รรเลงประกอบการแสดง การตอ่ พดั เปน็ รปู มหี ลายลกั ษณะ จะเหน็ ไดว้ า่ ระบา� ตารกี ปี สั มงุ่ เนน้ การเตน้ รา� ทก่ี ระชบั เขา้ กบั จงั หวะ นาฏศลิ ปพ น้ื เมืองภาคใตทีส่ ําคญั เชน และท�านองเพลง ท่ีมีความสนุกสนาน ลีลาท่าเต้นมีการยักเยื้อง เล่นเท้า แตะเท้า ดูเรียบง่าย กลองโนรา กลองโพน กลองปด โทน ทับ แตแ่ ฝงไวด้ ้วยความสง่างาม ราํ มะนา เปน ตน) พดั เป็นอปุ กรณ์สา� คญั ในการแสดงชุดตารกี ีปสั ท่ชี ่วยเสริมให้การแสดงชุดนม้ี ีความโดดเด่น ๑56 เบศรู ณรากษารฐกจิ พอเพยี ง ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ลกั ษณะวธิ ีการแสดงระบาํ ตารกี ีปส มคี วามคลา ยคลงึ กับการแสดงชุดใด การแสดงนาฏศิลปพื้นเมืองของแตละภาคนั้นมีเปนจํานวนมาก ทั้งที่เปนแบบ 1. ระบาํ รอ นแร ของเดิมและแบบท่ีประยุกตขึ้นใหม ซึ่งการแสดงนาฏศิลปพื้นเมืองในแตละภาคน้ัน 2. ระบํากรีดยาง ก็จะมีรูปแบบการแสดงที่สวยงามแตกตางกันออกไป และเพ่ือกระตุนความคิด 3. ระบําซมั เปง สรา งสรรคข องนกั เรยี น ครแู บง นกั เรยี นเปน กลมุ กลมุ ละ 8 คน ประดษิ ฐช ดุ การแสดง 4. ระบาํ รองเงง็ นาฏศิลปพื้นเมือง กลุมละ 1 ชุด ท่ีสะทอนใหเห็นเอกลักษณทางวัฒนธรรมที่มี วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะระบาํ ตารกี ปี ส จะมลี ลี าทา ราํ ทมี่ ลี กั ษณะ อยูภายในทองถิ่น พรอมทั้งจัดทําอุปกรณประกอบการแสดงที่นําวัสดุท่ีมีอยูใน เอกลกั ษณเฉพาะ คือ การเลน เทา แตะเทา ซง่ึ มคี วามเขา ใจกันวา ทองถิ่นมาสรางสรรคตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทําใหเกิดชุดการแสดงที่มี นาจะเปน ชุดการแสดงท่ีสรา งสรรคข น้ึ โดยใชท า ราํ ของรองเงง็ เปนพน้ื ฐาน ความสวยงาม เนอ่ื งจากมีการเลนเทา ยักยายสา ยสะโพกเชนเดยี วกนั 156 คมู่ ือครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเข้าใา้ จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ เสรมิ สาระ ใหนักเรียนศึกษาเรื่องความหมายของคําวาเซ้ิง และฟอ น จากในหนังสอื เรยี น หนา 157 ความหมายของคําวา “เซ้งิ ” และ “ฟอ น” • เพราะเหตุใดการแสดงนาฏศิลปพ น้ื เมอื ง ของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (อสี าน) บางชดุ ตามความเขา้ ใจของคนทว่ั ไปคิดว่า “รา� ” หรอื “ระบ�า” เป็นการรา่ ยรา� หรือฟ้อนของคน จงึ เรยี กวา “ฟอ น” เหมอื นการแสดงนาฏศลิ ป ภาคกลาง ฟอ้ นเปน็ การรา่ ยรา� ของคนภาคเหนอื เซง้ิ เปน็ การรา่ ยรา� ของคนภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื พ้ืนเมืองของภาคเหนือ แตค่ วามจรงิ หาเปน็ เชน่ นน้ั ไม ่ เพราะการฟอ้ นของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื นน้ั มมี านานและเรยี กวา่ (แนวตอบ เพราะคาํ วา “ฟอน” ในภาคอีสาน “ฟ้อน” มาโดยตลอด เช่น ในวรรณคดอี สี านหลายเรือ่ งจะใช้ค�าว่า “ฟอ้ น” ตลอด ไม่ปรากฏคา� ว่า ใชแทนคําวา “ราํ ” มานานแลว แตค นทว่ั ไป “รา� ” ใหเ้ หน็ เลย อยา่ งคา� วา่ “ยามยามฟอ้ น ระทวย เขาใจวา คําวา “ฟอ น” ใชเฉพาะนาฏศิลป- พนื้ เมอื งภาคเหนือเทา น้ัน) ฟอ้ น ลงิ โขนฟอ้ น กนิ รหี ยอ่ งฟอ้ น ทงั้ ลา� และฟอ้ น ขยายความเขา้ ใจ E×pand ฟ้อนหย่อนขา…” ก ารเ ซิ้งบ้ังสไว่ฟ1นจคะา� เวปา่ ็น “เกซาง้ิ ร” ฟน้อยิ นมใปชรใ้ ะนกงาอนบบกญุ ารบขงั้ ัไบฟ- 1. ใหน ักเรียนสรุปสาระสาํ คญั เก่ยี วกบั กาพย์เซิง้ ลกั ษณะขึน้ - ลงตามจังหวะชา้ ๆ ของ การแสดงนาฏศิลปพ ืน้ เมืองแตละภาค กลองตมุ้ พงั ฮาด หรอื ในบางครง้ั กม็ โี ทนประกอบ ลงกระดาษรายงาน นําสงครผู ูส อน นิยมเซ้ิงกันเป็นกลุ่มๆ ต้ังแต่ ๓ - ๔ คนข้ึนไป จะมีหัวหน้าเป็นคนขับกาพย์เซ้ิงน�า แล้วคนอื่น 2. ใหนักเรียนแตล ะกลุมฝกซอ มการแสดง เซง้ิ กระตบิ จะรอ้ งรับไปเรอื่ ยๆ นาฏศิลปพ นื้ เมอื งภาคตา งๆ คือ ฟอ นเทียน รําวงมาตรฐาน เซ้งิ สวิง และตารีกีปส ทง้ั น ี้ การทม่ี คี วามเขา้ ใจวา่ “เซง้ิ ” หมายถงึ การฟอ้ นของคนอสี านนน้ั นา่ จะมาจากการประดษิ ฐ์ จากนนั้ เลือกการแสดงตามความสนใจ ทา่ รา� “เซิ้งกระติบ” ขน้ึ โดยนา� เพลงมาจากหมอลา� และใชเ้ คร่ืองดนตรีซึ่งจะประกอบไปดว้ ยกลอง ของสมาชิกในกลมุ 1 เพลง ฝกซอ มจนเกิด แคน ซึง กรบั และโปงลาง ซงึ่ ในคร้ังน้ันผแู้ สดงทุกคนแต่งกายนุ่งผา้ ซนิ่ ห่มผา้ สไบ เกลา้ ผมสูง ความชํานาญ จากนนั้ ใหนักเรียนแตล ะกลุม และนา� กระตบิ ขา้ วมาใชใ้ นการแสดง เพราะเหน็ วา่ กระตบิ ขา้ วเปน็ สญั ลกั ษณข์ องคนอสี าน ซง่ึ การเซง้ิ ผลัดกนั ออกมานําเสนอผลงานใหเพอ่ื นชม ครงั้ แรกนนั้ ทา่ นผหู้ ญงิ มณรี ตั น ์ บนุ นาค เปน็ ผตู้ งั้ ชอื่ หนาชน้ั เรียน โดยมคี รูเปน ผคู อยชี้แนะ ความถูกตอง ใหว้ า่ “เซง้ิ อสี าน” ตอ่ มาไดม้ กี ารนา� ไปแสดงกนั อยา่ ง แพรห่ ลาย และเปลยี่ นชอื่ ใหมเ่ ปน็ “เซง้ิ กระตบิ ขา้ ว” นอกจากน้ี ได้มีการดัดแปลงท่าร�าอีกมากมาย เช่น เซ้งิ สวิง เซง้ิ สาวไหม เซิ้งขา้ วปนุ้ เซ้ิงกระด้ง เซิ้งกระหยัง เซ้ิงสาละวัน เซิ้งแหย่ไข่มดแดง เป็นต้น แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วจะเป็นลักษณะ ของการฟ้อนมากกว่าการเซิ้งดังท่ีได้กล่าวมา แล้วข้างตน้ ฟอ้ นภไู ท ๑5๗ แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ นกั เรยี นควรรู ขอ ใด ไมใช การแสดงนาฏศลิ ปพ ้ืนเมอื งภาคเหนอื 1 เซิ้งบ้ังไฟ เปนประเพณีและพธิ กี รรมทสี่ ืบทอดตอกนั มา ตามคตนิ ิยม 1. ฟอ นวี และความเชื่อเร่ืองตํานานพญาคนั คาก (คางคก) วรรณกรรมมขุ ปาฐะ 2. ฟอ นภูไท และวรรณกรรมจารึก และตํานาน “ทา วผาแดง - นางไอค าํ ” ซ่ึงปราชญช าวอสี าน 3. ฟอ นเจิง ไดแตงวรรณกรรมจากสังคมและความเปน อยขู องชุมชนชาวขอม การเซิง้ บง้ั ไฟ 4. ฟอนดาบ เปนการบวงสรวงออ นวอนแดพญาแถน เพ่ือขอใหฟ า ฝนตกตองตามฤดกู าล เพ่อื ใหชาวบา นไดทาํ ไรท ํานากัน บทเซิ้งทใ่ี ชเปนคาํ กลอนภาคอสี านชนิดหนึ่ง วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะการฟอนภูไท เปน การละเลน ทเี่ รยี กวา “กาพย” พืน้ เมอื งอยางหน่ึงของชาวผูไท ซึง่ เปนกลุมชาตพิ ันธทุ ใี่ หญรองลงมาจาก มมุ IT ไทยและลาว อาศัยอยูใ นแถบจงั หวดั นครพนม สกลนคร เลย และกาฬสนิ ธุ แตเดิมการฟอนภูไทเปนการรายรําเพ่ือถวายพระธาตุเชิงชุมเพียงอยางเดียว นกั เรยี นสามารถชมการแสดงนาฏศลิ ปพ ้ืนเมอื งชดุ เซ้ิงบั้งไฟ ไดจาก ตอ มาจงึ ใชแ สดงในงานสนกุ สนาน งานรน่ื เรงิ ตา งๆ ดว ย http://www.youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา เซ้งิ บั้งไฟ คมู่ อื ครู 157

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. ครูพจิ ารณาจากการสรุปสาระสาํ คัญเกยี่ วกบั กิจกรรม ศลิ ป์ปฏบิ ัต ิ ๙.๒ การแสดงนาฏศลิ ปพ น้ื เมอื งแตล ะภาค ของนักเรียน กจิ กรรมท่ี ๑ ให้นักเรียนวิเคราะห์เปรียบเทียบการแสดงนาฏศิลป์พ้ืนเมืองในภูมิภาคต่างๆ ตาม หัวขอ้ ต่อไปน�้ 2. ครพู จิ ารณาจากการปฏบิ ัตทิ า ราํ การแสดง- ๑. การแตง่ กาย ๒. เครอ่ื งดนตรี นาฏศิลปพ้นื เมอื งภาคตา งๆ คือ ฟอนเทียน กิจกรรมท่ี ๒ ราํ วงมาตรฐาน เซงิ้ สวงิ และตารกี ปี ส ของนกั เรยี น ๓. ลลี าทา่ รา� ๔. ลกั ษณะเฉพาะ ใหน้ กั เรยี นตอบคา� ถามตอ่ ไปน้� หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู ๑. เ พราะเหตใุ ดถงึ แมจ้ ะอย่ใู นประเทศไทยเหมอื นกนั แตก่ ารแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื ง ของแตล่ ะภมู ภิ าคจงึ แตกตา่ งกนั 1. ผลการสรปุ สาระสําคญั เกย่ี วกับความหมาย ๒. ให้นักเรียนอธิบายเอกลักษณ์ หรือความสวยงามของการแสดงนาฏศิลป์พ้นื เมือง และทม่ี าของการแสดงนาฏศลิ ปพ ้นื เมือง ในภาคทจ่ี งั หวดั ของนกั เรยี นอาศยั อยมู่ า ๑ ชดุ ๓. ล กั ษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งในภาคตา่ งๆ เปน็ อยา่ งไร จงอธบิ าย 2. ผลการสํารวจการแสดงพน้ื เมอื ง พอสงั เขป ท่มี ีอยูในทองถิ่น นาฏศิลปพื้นเมืองของไทย เกิดขึ้นมาจากปจจัยตางๆ อันไดแก สภาพทาง 3. ผลการเขียนแผนผงั ความคิด (Mind Mapping) สรปุ สาระสาํ คญั เก่ียวกับลกั ษณะเฉพาะของ ภมู ศิ าสตร ประเพณี ศาสนา ความเชอ่ื คา นยิ ม และการประกอบอาชพี ซง่ึ นาฏศลิ ปพ นื้ เมอื ง นาฏศลิ ปพื้นเมืองในแตล ะภาค ของไทยในแตละภูมิภาคจะมีเอกลักษณเฉพาะ ทั้งลักษณะลีลาทารํา เครื่องแตงกาย เครื่องดนตรี เมื่อชมแลวจะสามารถทราบไดทันทีวามีรากฐานความเปนมาจากภาคใด 4. ผลการสรุปสาระสําคญั เกย่ี วกบั รวมท้งั สามารถเปรยี บเทยี บลกั ษณะเฉพาะของการแสดงในแตล ะภาคได โดยภาคเหนือ การแสดงนาฏศิลปพ น้ื เมอื งแตละภาค จะมีลักษณะลีลาทารําท่ีเนิบนาบ ออนชอย งดงาม ภาคกลางจะมีลักษณะลีลาทารํา ท่เี นน ความคึกคกั สนุกสนาน และในบางชดุ อาจจะมีการใชส าํ นวนโวหารรองโตต อบกนั 5. ผลการปฏิบตั ทิ า ราํ การแสดงนาฏศลิ ป- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีลักษณะลีลาทารําท่ีกระชับ รวดเร็ว สนุกสนาน เราใจ พ้ืนเมืองภาคตา งๆ คอื ฟอนเทียน เชนเดยี วกับภาคใต แตภาคใตจะเนนการยักเยอื้ งสา ยสะโพก เลน เทา แตะเทา โดยในการ รําวงมาตรฐาน เซ้งิ สวงิ และตารีกปี ส ฝกหัดนาฏศิลปพื้นเมือง เราควรฝกหัดนาฏศิลปในชุดการแสดงของภาคตนเองกอน เพอ่ื จะไดท ราบถงึ คณุ คา ของนาฏศลิ ปช ดุ นน้ั ๆ และเปน การชว ยสบื ทอดการแสดงนาฏศลิ ป- พ้นื เมอื งไว ๑5๘ แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปปฏิบตั ิ 9.2 กจิ กรรมที่ 2 1. เหตุทีก่ ารแสดงนาฏศิลปพ น้ื เมืองแตละภาคแตกตา งกนั เปนผลมาจาก 1) สภาพภูมิศาสตร 2) ขนบธรรมเนยี ม ศาสนา ความเชอ่ื คา นิยม 3) การประกอบอาชีพ 2. นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอิสระ โดยข้นึ อยกู ับดลุ ยพนิ ิจของครผู ูส อน 3. ลกั ษณะเฉพาะของการแสดงนาฏศิลปพืน้ เมือง คือ ภาคเหนือ จะมที ง้ั นุมนวล เช่ืองชา และเขมแขง ภาคกลาง คึกคัก สนกุ สนาน ใชสาํ นวนโวหารโตค ารมระหวางชาย - หญงิ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (อีสาน) ลลี ากระชับ รวดเรว็ เราใจ ภาคใต เนน การสา ยสะโพก เลนเทา มีลีลาในการเตน ใหเขากับจังหวะและทํานองเพลง 158 คูม่ อื ครู

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู 1. สรา งสรรคการแสดงโดยใชองคป ระกอบ นาฏศลิ ปและการละคร 2. เช่ือมโยงการเรียนรูร ะหวา งนาฏศิลป และการละครกับสาระการเรียนรอู น่ื ๆ สมรรถนะของผูเรยี น 1. ความสามารถในการสอื่ สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเ ทคโนโลยี คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค 1. มีวนิ ยั 2. ใฝเรยี นรู 3. มงุ ม่ันในการทํางาน ๑๐หน่วยท่ี กระตนุ้ ความสนใจ Engage ความร้ทู ่ัวไปเกย่ี วกบั การละคร ครเู ปด ซีดี หรอื ดีวีดีการแสดงละครไทย และละครสากลใหน กั เรยี นชม จากน้ันครูถาม ตัวช้ีวดั ละครเป็นศิลปะการแสดงที่มนุษย์ นกั เรยี นวา ■ สร้างสรรค์การแสดง โดยใช้องค์ประกอบนาฏศลิ ปแ์ ละการละคร • นกั เรยี นรสู กึ อยา งไรเมอ่ื ไดช มการแสดงละคร (ศ ๓.๑ ม.๒/๒) สรา้ งสรรคข์ น้ึ จากการนา� ภาพประสบการณ์ ทั้ง 2 ประเภท ■ เชอื่ มโยงการเรยี นรู้ระหวา่ งนาฏศิลป์และการละคร และจินตนาการของมนุษย์มาผูกเป็นเรื่อง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ และน�าเสนอในรูปแบบของการแสดง โดยมี ไดอ ยางอิสระ) กบั สาระการเรียนรู้อ่นื ๆ (ศ ๓.๑ ม.๒/๕) ผู้แสดงเป็นผู้สื่อความหมายที่เป็นเร่ืองราว • ระหวางละครไทยกับละครสากล นกั เรยี น สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ชืน่ ชอบละครแบบใดมากกวา กนั เพราะเหตใุ ดจงึ เปน เชน น้ัน ■ หลักและวิธีการสร้างสรรค์การแสดงโดยใช้องค์ประกอบ ต่อผู้ชม นอกจากนี้ ละครยังท�าหน้าท่ีสืบสาน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ นาฏศิลปแ์ ละการละคร ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของชาติ ไดอ ยางอิสระ) แสดงใหเ้ หน็ แนวคดิ ของประชาชน โดยเฉพาะละคร ■ ความสมั พันธ์ของนาฏศิลป์ หรอื การละครกับ สาระการเรยี นรูอ้ ื่นๆ พื้นเมืองของแต่ละประเทศย่อมมีเอกลักษณ์ ท่ีแตกต่างไม่ซ�้ากัน แม้จะได้รับอิทธิพลจากต่างชาติ ผคู้ นกน็ า� มาดดั แปลงใหเ้ ขา้ กบั รสนยิ มในสงั คมของตน เกร็ดแนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรยี นรนู ี้ ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงละครไทย และละครสากล หรอื หาโอกาสพานกั เรียนไปชมการแสดงละครในงานสําคัญตา งๆ ทมี่ กี ารจดั การแสดงขนึ้ เพอื่ เปน การเปด โลกทศั นใ หแ กน กั เรยี น ครอู าจอธบิ ายเพมิ่ เตมิ วา “ละคร” คือ ศิลปะการแสดงท่ไี ดนําเอาประสบการณและจนิ ตนาการของมนุษย มาผูกเปน เร่อื งราว แลว นํามาเสนอตอผชู ม โดยมีนักแสดงเปน สอ่ื กลาง ซึง่ ละคร สามารถแบงออกเปน 2 ประเภท คือ การแสดงละครแนวเหมอื นจริง มีเน้อื หาเปน สภาพจรงิ ตามธรรมชาติ การดาํ เนนิ เรอ่ื งเปนไปตามปกตินสิ ยั ของมนษุ ย อาจเปน เรอื่ งราวในอดตี หรือปจจุบันก็ได และการแสดงละครแนวไมเ หมอื นจริง เปนละคร ทีน่ าํ เสนอเนอ้ื หาทแี่ ตกตางออกไปจากชวี ติ จริงและมีตวั ละครท่แี ปลกประหลาด ไปจากมนษุ ยธ รรมดา การศกึ ษาเกี่ยวกับละครจะทาํ ใหน กั เรียนสามารถสรา งสรรค การแสดงโดยใชองคประกอบนาฏศลิ ปและการละคร โดยการเชื่อมโยงการเรยี นรู ระหวางนาฏศลิ ปและการละครกบั สาระการเรยี นรอู นื่ ๆ ได ค่มู อื ครู 159

กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครนู าํ ภาพการแสดงละครไทยและละครสากล ๑. หลกั การสร้างสรรคก์ ารแสดงละคร1 มาใหน ักเรียนดู จากนน้ั ครูถามนกั เรยี นวา กฎเกณฑ์ในการสรา้ งสรรคง์ านละคร จะตอ้ งมกี ารปรบั เปลย่ี นไปตามรปู แบบ ประเภท และชนดิ ของการแสดงทนี่ า� เสนอ ละครไทยในอดตี เปน็ ละครทแี่ สดงเพอื่ ความบนั เทงิ และแสดงความเปน็ เลศิ • นกั เรียนเคยชมการแสดงละครไทย ทางด้านศิลปะ เนือ้ เรอ่ื งมักจะแสดงแนวคดิ ในอุดมคติ ผู้ชมจะชื่นชมกบั ตวั ละครทม่ี อี ทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ์ และละครสากลบางหรือไม ถา เคย นักเรยี นเคยชมละครประเภทใด ถา้ เปน็ ละครรา� จะเนน้ ลลี าทา่ รา� ทีง่ ดงาม เคร่ือง- (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเหน็ แต่งกาย และฉากที่วิจิตรตระการตา ผู้ชมจะ ไดอ ยางอสิ ระ) เพลดิ เพลนิ ไปกบั ฉาก ระบา� รา� ฟอ้ น และบทตลก ขบขัน • ในชีวติ นกั เรยี นเคยมปี ระสบการณ สว่ นละครสากลจากตะวนั ตก เปน็ การจา� ลอง หรือพบเห็นเหตุการณใ ดบา ง ภาพชวี ติ จรงิ และสงั คม เพอื่ ใหผ้ ชู้ มเกดิ ความคดิ ที่นาจะนาํ มาสรา งสรรคงานละครได มคี วามรสู้ ึกรว่ ม และรับรู้ปัญหาของตวั ละคร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์จะพบว่า ไดอยา งอิสระ) ชาติที่มีอารยธรรมเก่าแก่ จะมีต�านานแสดงถึง ผลงานการสร้างสรรค์ละคร โดยมีจุดมุ่งหมาย สา� รวจคน้ หา Explore ละครไทยจะเนน้ ลลี าทา่ รา� เครอ่ื งแตง่ กายทวี่ จิ ติ รสวยงาม เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเพื่อ ใหน ักเรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรเู พมิ่ เติม รบั ใชส้ งั คม ใหค้ วามร ู้ ใหบ้ ทเรยี น กระตนุ้ จติ สา� นกึ ของผชู้ มละครใหต้ ระหนกั ในภารกจิ หนา้ ทข่ี องตน เกีย่ วกับหลักการสรา งสรรคการแสดงละคร ปัจจุบันมีการน�าละครมาเป็นส่ือรับใช้สังคมมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการท่ีงานละครเข้าไป จากแหลง การเรยี นรตู า งๆ เชน หองสมุดโรงเรยี น มบี ทบาทในโครงการพฒั นาสงั คม ดงั นน้ั ละครจงึ มอี ทิ ธพิ ลทจ่ี ะเปลยี่ นแปลงแนวคดิ และพฤตกิ รรม หอ งสมุดชุมชน อินเทอรเน็ต เปน ตน ในหวั ขอ มนษุ ย์ในสงั คมไดเ้ ปน็ อยา่ งด ี ดว้ ยการรบั หนา้ ที่ ทคี่ รูกาํ หนดให ดังตอไปนี้ เปน็ ครทู างออ้ ม โดยการสอดแทรกบทเรยี นตา่ งๆ ผ่านบทบาทของตวั ละครแต่ละตวั 1. กระบวนการสรางสรรคง านละคร สา� หรบั ในประเทศไทย หลกั สตู รการศกึ ษา 2. วธิ กี ารสรา งสรรคง านละครใหเ กดิ สนุ ทรยี ภาพ ไดบ้ รรจวุ ชิ าการละครไวใ้ นทกุ ระดบั ชนั้ ใหผ้ เู้ รยี น ได้มีโอกาสฝกฝนทักษะเบ้ืองต้นในการแสดง อธบิ ายความรู้ Explain ละคร เพอ่ื ใหเ้ กิดกระบวนการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง ไดม้ โี อกาสสา� รวจทศั นคต ิ คา่ นยิ ม ประสบการณ ์ ครสู มุ นักเรียน 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม ละครตะวันตกหลายเร่ืองนิยมจ�าลองภาพให้เห็นปญหา คน้ พบความถนดั ความสามารถในทางสรา้ งสรรค ์ ดังตอไปน้ี ของสังคมและความเปน็ จรงิ แห่งชวี ติ มนษุ ย์ เน้นที่กระบวนการและผลผลิต โดยต้องเรียนรู้ เก่ียวกับหลักการกวา้ งๆ ในการสร้างสรรค ์ ดงั น้ี • นักเรยี นมวี ธิ สี รางสรรคก ารแสดงละคร ใหเกิดสนุ ทรยี ภาพไดอ ยา งไร ๑6๐ (แนวตอบ บทประพันธตองมีภาษาท่ีไพเราะ ดนตรแี ละการขบั รอ งตอ งกลมกลนื กบั บทบาท ของนกั แสดง นกั แสดงตีบทละครแตก เครอื่ งแตง กายทันสมัย องคป ระกอบอน่ื ๆ สามารถนํามาชวยสรางบรรยากาศใหส มจริง) เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ถา นกั เรยี นไดร บั มอบหมายใหเ ปน ตวั เอกของละคร 1 เรอ่ื ง สงิ่ แรกทน่ี กั เรยี น ครูควรอธิบายความรเู พม่ิ เตมิ กบั นักเรยี นวา การแสดงละครไทยทุกประเภท จะตอ งทาํ คอื ส่ิงใด ตอ งมตี ลกทาํ หนาที่สรา งความขบขันใหแกผ ูชม อันเนอ่ื งมาจากอปุ นิสยั ของคนไทย 1. ศกึ ษาบทละครใหเขา ใจ ที่ชอบความสนกุ สนาน มอี ารมณข ัน ศลิ ปะการแสดงตลกในการแสดงโขน ละครราํ 2. ศกึ ษาประวตั ิความเปน มาของผูเ ขยี นบท หรือมหรสพทุกชนดิ จะตองแสดงอยา งมีแบบแผน ยดึ เรอ่ื งทีแ่ สดงเปน สําคัญ 3. ทาํ ความรจู ักกบั ทมี งานผูส รางละครทกุ คน เลนลอ เลียนเหตุการณท่ผี ูชมกาํ ลังสนใจ ไมใชเลนไปตามใจชอบ และอยูใ นขอบเขต 4. เตรียมออกแบบเคร่อื งแตง กายประกอบการแสดงท่ีเหมาะสม ที่สมควร วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะบทละครเปนสง่ิ ท่ีนักแสดงทกุ คน ควรศกึ ษาใหเ ขา ใจอยา งถอ งแท เพื่อใหส ามารถแสดงบทบาทไดอ ยาง นักเรยี นควรรู ถกู ตอ งตรงตามลักษณะของตวั ละครทผ่ี ูประพันธไดแ ตงไว 1 การแสดงละคร เปนกจิ กรรมทางนาฏศิลปป ระเภทหนึง่ ซงึ่ นกั แสดงจะตองใช ความสามารถในการเคลอื่ นไหวและใชคาํ พดู บางโอกาส เพ่ือสื่อสารใหผชู มได เขา ถงึ ความหมายและรบั รอู ารมณค วามรูสกึ ของตัวละคร ดังนนั้ นกั แสดงตองมี ความรพู น้ื ฐานในการแสดงเบอ้ื งตน จงึ จะสามารถแสดงละครออกมาไดเปน อยา งดี 160 ค่มู อื ครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา้ ใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain ๑.๑ กระบวนการสรา้ งสรรค์งานละคร ใหนักเรยี นรว มกันอภิปรายเกีย่ วกับหลักการ ผสู้ รา้ งสรรคง์ านละครจะตอ้ งเรยี นรกู้ ระบวนการทา� งานละคร ซง่ึ ประกอบไปดว้ ยสง่ิ ตา่ งๆ ดงั นี้ สรางสรรคก ารแสดงละคร ในหัวขอ กระบวนการ สรา งสรรคง านละครและวธิ กี ารสรา งสรรคง านละคร ๑) วตั ถปุ ระสงค์และเปา้ หมาย เชน่ จดั การแสดงขนึ้ เพอ่ื สงิ่ ใด จดั ใหใ้ ครชม เปน็ ตน้ ใหเ กดิ สนุ ทรยี ภาพ ตามทไี่ ดศ กึ ษามา จากนนั้ ครถู าม ซ่ึงผู้สร้างสรรค์ละครควรค�านึงถึงอายุ เพศ พ้ืนฐานความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับละครของผู้ชม นกั เรียนวา เพื่อจะไดส้ อื่ สารทางดา้ นความคิด อารมณ์ และโสตสมั ผสั ได้ตรงกับความตอ้ งการ ๒) ขน้ั ตอนการปฏบิ ตั งิ านของทกุ ฝา่ ย เพราะละครเปน็ ทร่ี วมของศลิ ปะแขนงตา่ งๆ • คําวา “โสตสมั ผัส” ทางการละคร ที่ต้องอาศัยผู้เช่ียวชาญในด้านศิลปะเกือบทุกสาขา เพ่ือให้ทีมงานทุกฝ่ายประสานสัมพันธ์ไปใน มีความหมายวา อยา งไร เทคศิ รทอ่ื างงแเตดง่ยี กวากยนั1 ฉผาสู้ กร า้ แงสงงา นสจี เงึ คจรา� อื่เปงน็ปตระอ้ กงอรขู้บนั้ฉตาอกน เแปลน็ ะตวน้ธิ ปี จฏะบติ อ้ตั งงิ มานีคขวอามงทสกุามฝา่ายรถ เใชนน่ ก ผารอู้ เอลกอื แกบใชบ้วฝัสา่ ดยุ (แนวตอบ การฟง เสยี งในการแสดงละคร เชน อุปกรณ์ทเี่ หมาะสมกลมกลนื กนั เพือ่ ช่วยทา� ให้ละครเรอื่ งน้นั มบี รรยากาศทส่ี มจรงิ การฟงบทสนทนาทต่ี ัวละครพูด การฟง เสียง ดนตรี เสยี งขบั รองของผูแสดง เปน ตน ) ๑.๒ วิธกี ารสร้างสรรคง์ านละครให้เกิดสนุ ทรียภาพ การรู้และเข้าใจวิธีการสร้างสรรค์ผลงานการแสดง ท่ีจะท�าให้เกิดคุณค่าทางความงาม • เพราะเหตุใดจึงมคี าํ กลา ววา ต้องใชห้ ลกั สนุ ทรียภาพของการแสดงละคร ดงั น้ี “ละครเปนทร่ี วบรวมศลิ ปะแขนงตางๆ” ๑) สุนทรียภาพด้านบทประพันธ์ ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ต้องมีความงามทาง (แนวตอบ เพราะตองอาศัยผเู ชย่ี วชาญในงาน ด้านภาษา มคี วามไพเราะ สามารถส่อื ความหมายได้ชดั เจนตรงกบั จุดมุ่งหมายของการแสดง ศิลปะสาขาตางๆ มาเปน ผูท่ีสรา งสรรค ผลงาน ผทู ี่สรา งละครจาํ เปนตองเขาใจ ๒) สุนทรียภาพด้านดนตรีและการขับร้อง ดนตรีเป็นปัจจัยหลักของการแสดง วิธีการปฏบิ ัตงิ านของฝายตา งๆ ละคร ท่ีจะช่วยสร้างอารมณ์ตามบทบาทของ เพ่อื ประสานงานใหเกิดความสมั พนั ธ ตวั ละคร เชน่ อารมณเ์ ศรา้ โศก เสยี ใจ อารมณต์ น่ื - และเปนไปในทิศทางเดยี วกัน) เตน้ เรา้ ใจ เปน็ ตน้ ทงั้ การบรรเลงและการขบั รอ้ ง ถา้ ผสมกลมกลนื กบั บทบาทของตวั ละคร จะทา� ให้ • นกั เรียนคดิ วา ผูท ี่สามารถสรางสุนทรียภาพ เกดิ สนุ ทรยี ภาพในการแสดง ผชู้ มกจ็ ะเกดิ ความ ดา นบทประพันธน ้ัน จะตอ งเปน ผูท่มี ี เขา้ ใจ ซาบซ้ึงไปกบั การแสดง ลกั ษณะเดนอยางไร ๓) สุนทรียภาพจากตัวผู้แสดง (แนวตอบ เขาใจในบทรอยแกว และ บทรอยกรอง มีความงามทางดา นภาษา สามารถสอ่ื ความหมายไดอยางชัดเจน) คือ ผู้แสดงต้องมีบุคลิกลักษณะผสมกลมกลืน ขยายความเขา้ ใจ E×pand ไปกับบทบาทท่ีแสดง มีความสามารถในการ ส่ือความหมาย ท�าให้ผู้ชมเกิดความเชื่อ และ ใหนกั เรียนสรุปสาระสําคัญเก่ยี วกบั หลักการ รูส้ ึกคล้อยตามบทบาท ทั้งนี้ ผแู้ สดงที่ได้รบั การ สรา งสรรคก ารแสดงละคร ลงกระดาษรายงาน ยกย่องว่ามีความสามารถจะต้องเป็นผู้ท่ีสร้าง นําสงครูผูสอน ความสะเทอื นอารมณ์ใหแ้ ก่ผู้ชมได้ ผู้แสดงที่มีบุคลิกลักษณะกลมกลืนกับบทบาทท่ีได้รับ จะท�าใหผ้ ู้ชมมีความรูส้ ึกคลอ้ ยตาม ตรวจสอบผล Evaluate แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ ๑6๑ ครพู จิ ารณาจากการสรปุ สาระสาํ คญั เกยี่ วกบั หลักการสรา งสรรคก ารแสดงละครของนกั เรยี น ขัน้ ตอนแรกของการวเิ คราะหก ระบวนการสรา งสรรคล ะครตรงกบั ขอ ใด 1. คิดบทละคร เกร็ดแนะครู 2. กาํ หนดวตั ถุประสงค 3. ออกแบบเคร่อื งแตงกาย ฉาก แสง สี เสยี ง ครคู วรเนนใหเห็นวา การสรางงานละครใหประสบความสาํ เร็จนั้น ผูสรา งจะตอง 4. เลอื กนักแสดงใหเหมาะสมกบั บทบาทตวั ละครในเรอื่ ง ทราบขอ มลู ของผชู มละคร เพราะผชู มละครทมี่ เี พศ อายุ ความรพู นื้ ฐานในเรอื่ งละคร ท่แี ตกตา งกันยอมทําใหมคี วามนิยมชมชอบทแ่ี ตกตางกนั เชน เด็กจะชอบละคร วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เพราะผสู รางงานละครจะตองมี ที่มเี น้ือหาสนกุ สนาน วยั รนุ จะใหความสนใจในเร่ืองของความรกั เปนตน ดังนนั้ การจัดการแสดงละครจึงตอ งจัดใหถกู กบั รสนิยมของผูชมละครดวย วัตถุประสงคและเปา หมายในการสรา งละคร เชน จัดการแสดงข้นึ เพ่อื สง่ิ ใด จัดใหใครชม เปน ตน เพอื่ จะไดสรางสรรคผ ลงานออกมาได นกั เรยี นควรรู ตรงตามรสนยิ มของผชู มละคร 1 ผอู อกแบบฝายเคร่ืองแตงกาย ผูท ่ีทาํ หนา ที่ออกแบบเครือ่ งแตงกายใหก บั นักแสดง ซงึ่ จะตอ งมีความรู ความเขาใจวา ฉากใดใชน ักแสดงจาํ นวนกี่คน ในฉาก แตละฉากควรสวมเครอ่ื งแตงกายแบบใด ละครเรอื่ งน้เี กดิ ข้นึ ในยคุ สมัยใด ทง้ั นี้ ยังตอ งมีความรเู รอื่ งผา และสี เพอ่ื จะไดน ํามาตดั ชุดไดอ ยางเหมาะสมกบั นักแสดง คมู่ อื ครู 161

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูชักชวนนักเรียนสนทนาเก่ียวกับองคประกอบ ของตวั ละคร1๔ให)เ้ หสน็ุนฐทารนียะทภาางพสจงั คามก เรคสรนื่อยิ งมแ มตคี่งวกาามยส งเา่ คงรา่ือมง แแลตะ่งตกอ้างยผขสอมงผกู้ลแมสดกงลจนื ะไตป้อกงบั เฉนา้นกบลุคะลคิกร ของละคร จากน้ันครูถามนกั เรียนวา ๕) สุนทรียภาพจากองค์ประกอบอ่นื ๆ เช่น ฉาก แสง ส ี เสียง เปน็ ต้น ตอ้ งมี • ถา ละครขาดองคประกอบของละคร ความประณตี ในการตกแตง่ เพราะตอ้ งกลมกลนื กบั ตวั ละครและเครอ่ื งแตง่ กาย ตอ้ งใหถ้ กู ตอ้ งตาม บางประการไป การแสดงจะมคี วามสมบรู ณ ขนบธรรมเนียม ประเพณี และยุคสมัย รวมท้ังต้องเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของผู้ประพันธ์ด้วย หรอื ไม อยางไร สนุ ทรียภาพของการแสดงละครจะเกดิ ขนึ้ ได้กต็ อ่ เมอ่ื มผี ชู้ ม โดยผูช้ มจะพิจารณาบทละคร ดนตร ี (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ บุคลิกลักษณะของตัวละคร บทบาท และองค์ประกอบอ่ืนๆ ต้องประสานกันอย่างกลมกลืน ไดอ ยางอสิ ระ) สรุปได้ว่า ในการสร้างสรรค์การแสดงละคร บุคคลผู้สร้าง ผู้ผลิตจะต้องเป็นผู้ที่ได้ มีโอกาสเห็นผลงานต่างๆ ผ่านตามาอย่างมากมาย รู้จักสังเกตจากส่ิงท่ีรับรู้ มีจินตนาการ และ สา� รวจคน้ หา Explore ประสบการณ ์ ร ู้ และเขา้ ใจกระบวนการ อนั ไดแ้ ก ่ วตั ถปุ ระสงค ์ เปา้ หมาย ขน้ั ตอนในการปฏบิ ตั งิ าน ของทุกฝ่าย ตลอดจนรู้วิธีสร้างสรรค์ผลงานการแสดงให้เกิดคุณค่าทางความงามตามหลัก ใหน ักเรียนแบงกลมุ ออกเปน 4 กลุม ใหน กั เรยี น สุนทรยี ศาสตร์ จึงจะสามารถสรา้ งงานละครออกมาไดเ้ ป็นอยา่ งดี ศกึ ษา คนควา หาความรเู พิ่มเตมิ เก่ยี วกับ องคประกอบของละคร จากแหลงการเรียนรูตางๆ ๒. องคป์ ระกอบของละคร เชน หองสมุดโรงเรยี น หองสมุดชุมชน อินเทอรเ นต็ เปน ตน ในหวั ขอ ท่ีครูกาํ หนดให ดังตอไปนี้ การแสดงทเ่ี ป็นละครจะต้องมอี งค์ประกอบครบ ๔ ประการ ดงั นี้ กลุมที่ 1 เร่ือง (Story) จากบทเจรจ๑าข)อเงรต่ือวั งละ(คSร2t oผrปู้ yร)ะ พลนัะคธบ์รตท้อลงะมคีเรรจื่อะงตรอ้ างวม คี ผวู้ชามมลสะาคมราจระถรใู้เนรก่ือางรขบอรงรลยะาคยรบไดคุ ้โลดกิ ยลกกั าษรณฟังะ กลุมท่ี 2 เนอ้ื หาสรปุ หรอื แนวคิด และนสิ ัยของตวั ละครไดอ้ ยา่ งชัดเจน บทเจรจา (Subject or Theme) ของตัวละครทุกตอนจะต้องมีความหมายและมี กลมุ ท่ี 3 นิสัยตวั ละคร (Characterization) ความส�าคัญตอ่ การดา� เนินเร่อื ง กลมุ ท่ี 4 บรรยากาศ (Atmostphere) ๒) เนอ้ื หาสรปุ หรอื แนวคดิ (Sub- อธบิ ายความรู้ Explain ject or Theme) ผู้ประพันธ์บทละครจะต้อง ใหนักเรยี นกลมุ ที่ 1 - 2 ทไ่ี ดศึกษา คน ควา มีแนวคิดท่ีจะน�าพาให้เร่ืองด�าเนินไปสู่จุดหมาย หาความรเู พิ่มเติมเก่ียวกับองคประกอบของละคร จดุ ประสงคข์ องการใหแ้ นวคดิ กเ็ พอื่ ใหเ้ นอ้ื เรอ่ื ง สงตัวแทนกลุม ละ 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู ของละครเกิดความประทบั ใจแก่ผูช้ ม ในหวั ขอ เรอ่ื ง (Story) และเนอ้ื หาสรปุ หรือแนวคดิ แนวคดิ ของเรอ่ื งจงึ ทา� หนา้ ทเ่ี ปน็ ศนู ยก์ ลาง (Subject or Theme) ตามทไี่ ดศ กึ ษามาหนา ชน้ั เรยี น ของบทละคร ซ่ึงมีหลายแนว เช่น การเสยี สละ จากนัน้ ครถู ามนกั เรยี นวา พลชี วี ติ เพอื่ ชาต ิ ธรรมะยอ่ มชนะอธรรม เปน็ ตน้ • ละครท่ีดีควรมีเนอ้ื เร่อื งอยางไร บทเจรจาสามารถแสดงนิสัยของตัวละครและช่วยในการ (แนวตอบ มเี นอ้ื เรอื่ งทใี่ หแ นวคดิ และคตสิ อนใจ ด�าเนนิ เร่อื งใหผ้ ู้ชมเขา้ ใจ แกผูช ม เพ่อื ใหน ําแนวคดิ น้นั มาปรบั ใชใน ชีวติ ประจําวันได) ๑6๒ นักเรียนควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 ตวั ละคร เปนผูส รา งและดําเนนิ เหตกุ ารณตามโครงสรา งของเรอื่ ง โดยใช ใหน กั เรียนเขยี นแผนผงั ความคดิ (Mind Mapping) ความสัมพันธของ บทเจรจา การกระทํา และพฤติกรรมตา งๆ ซึง่ มคี วามสอดคลอ ง สมเหตุสมผล องคประกอบละคร ลงกระดาษรายงาน นําสง ครูผูส อน กบั บุคลกิ ลักษณะ และอุปนิสัยใจคอของแตละคน บทบาทของตัวละครแตล ะตวั จะมอี งคป ระกอบเปน ตวั กาํ หนดในการสรา งลกั ษณะของตวั ละคร คอื สภาพรา งกาย กจิ กรรมทา ทาย สภาพสังคม และสภาพทางจติ วทิ ยา 2 บทเจรจาของตัวละคร นยิ มใชบ ทเจรจาส้นั ๆ เขา ใจงาย ใชภาษาที่สภุ าพ ใหนกั เรยี นแตง บทละครสนั้ ตามความสนใจของตนเอง 1 เรอื่ ง และเปน คําท่สี ละสลวย สามารถสอ่ื ความหมายของคาํ ไดอยา งชัดเจน โดยนําองคป ระกอบของละคร คอื เร่อื ง (Story) และเน้อื หาสรปุ หรือแนวคดิ (Subject or Theme) มาใชอยางถูกตองและครบถวน มุม IT ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครผู สู อน นักเรียนสามารถศึกษา คนควา เพิ่มเติมเก่ยี วกับความรพู ื้นฐานเกีย่ วกบั ละคร ไดจาก http://www.tmr.ac.th 162 คู่มือครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ เนอ้ื หาสรปุ หรอื แนวคดิ เปน็ การใหค้ ตเิ ตอื นใจ ในขณะเดยี วกนั กส็ อดแทรกใหผ้ ชู้ มรบั รู้ ใหนักเรียนกลมุ ที่ 3 - 4 ท่ไี ดศ ึกษา คน ควา เจตคตทิ ดี่ ี เชน่ ความรกั ชาต ิ ศาสนา พระมหากษัตริย ์ การไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เป็นตน้ หาความรูเพิ่มเตมิ เกย่ี วกับองคป ระกอบของละคร ๓) นิสัยตัวละคร (Characterization) ตวั ละครจะท�าหน้าที่ให้กา� เนดิ โครงเร่อื งและ สงตัวแทนกลมุ ละ 2 - 3 คน ออกมาอธิบาย เน้ือเรอื่ ง ผ้ปู ระพนั ธ์บทละครจะต้องสร้างตัวละครใหต้ รงกับเนื้อหาสรุป เชน่ เนอ้ื หาของละครเป็น ความรใู นหวั ขอ นิสยั ตวั ละคร (Characterization) แนวสมจรงิ กต็ อ้ งสรา้ งตวั ละครใหเ้ ปน็ มนษุ ยธ์ รรมดาตามธรรมชาตขิ องตวั ละครทยี่ งั มคี วามตอ้ งการ และบรรยากาศ (Atmostphere) ตามทไ่ี ดศ ึกษามา อาหาร ทพ่ี กั อาศัย เครอื่ งนุ่งหม่ มีเกดิ แก ่ เจบ็ ตาย เป็นตน้ สา� หรบั เรือ่ งราวทม่ี ีบทบาทมาก หนา ชัน้ เรียน จากนนั้ ครูถามนักเรยี นวา ทส่ี ดุ ในละคร ไดแ้ ก่ เรอื่ งราวท่ีเก่ียวกบั ความรกั ไม่วา่ จะเปน็ ความรกั ระหว่างครอบครัว หรอื คู่รัก ซ่ึงจะส่งผลไปยังองค์ประกอบอื่นๆ และมีอิทธิพลต่อผู้ชมมากท่ีสุด ถ้าเนื้อเร่ืองเป็นแนวคิดที่ • ตัวละครสามารถแบงออกเปน ก่ีประเภท เหนอื จรงิ ผดิ ไปจากธรรมชาต ิ ตวั ละครกจ็ ะถกู สรา้ งใหม้ พี ฤตกิ รรมทต่ี า่ งจากมนษุ ยธ์ รรมดา เชน่ เหาะได ้ อะไรบาง หายตวั แปลงกายได ้ มอี ิทธิฤทธ์ ิ ปาฏิหาริย ์ เปน็ ต้น (แนวตอบ สามารถแบงออกเปน 2 ประเภท ทง้ั นี้ ลักษณะนิสัยของตวั ละคร สามารถแบ่งออกเปน็ ๒ ฝ่าย คือ ตวั ละครประเภท คอื ตัวละครเอก เปน ตัวละครทมี่ ีบทบาท ท่ีเป็นตวั เอกของเรื่องเรียกว่า “โพรแทกโอนิสต”์ (Protagonist) และตัวละครทเ่ี ป็นผูร้ า้ ย เรียกวา่ สําคัญในการดาํ เนนิ เร่ือง หรอื ตวั ละคร “แอนแทกโอนสิ ต”์ (Antagonist) ท่ีเปน ศนู ยกลางของเหตกุ ารณที่เกดิ ขน้ึ นอกจากนี ้ การสร้างลักษณะนิสัยของตัวละครจะต้องใชเ้ คร่ืองประกอบ (Props) ชว่ ย ท้ังหมด และตวั ละครประกอบ เปนตัวละคร เชน่ ฉากทแี่ สดงวา่ เจา้ ของสถานทเี่ ปน็ แมบ่ า้ นทด่ี ี ตอ้ งจดั วางของใหเ้ ปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย ซง่ึ เครอ่ื งใช้ ทม่ี ีบทบาทรองลงมาจากตัวละครเอก บางอย่างสามารถจะแสดงบุคลิกลักษณะของตวั ละครได ้ เช่น แว่นตา ถา้ ผูส้ วมใส่เปน็ หญิงสาวจะ เปน ตัวละครท่ีทาํ ใหเ รื่องราว หรือเหตกุ ารณ ดูเป็นคนหวั โบราณ เข้มงวด เจา้ ระเบยี บ เป็นต้น ตา งๆ ท่ีเกยี่ วขอ งกบั ตัวละครเอกเคล่ือนไหว ๔) บรรยากาศ (Atmostphere) ไปสจู ุดหมายปลายทาง) การสร้างบรรยากาศที่เก่ียวข้องกับตัวละคร จะต้องกลมกลืนกับบทบาทของตัวละคร • ถานักเรียนตองการสรา งตวั ละครใหเปน ซ่ึงนับเป็นกลวิธีอันส�าคัญอย่างหนึ่งของการ- ตาํ รวจ หรือนางพยาบาล นักเรยี นมเี กณฑ แสดงละคร ในการกําหนดลักษณะนสิ ัยของตัวละคร การประดับตกแต่งฉาก แสง สี อยา งไร เทคนคิ พิเศษ และเครอ่ื งแตง่ กาย เป็นการช่วย (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ สอื่ ความหมายและอารมณ์ ชว่ ยสรา้ งบรรยากาศ ไดอ ยางอสิ ระ) ในการแสดง เชน่ ฉากปา่ เขาลา� เนาไพร จะมตี น้ ไม ้ ดอกไม้ น้�าตก มีเสียงนกร้อง สัตว์นานาชนิด • การสรา งบรรยากาศทเ่ี หมาะสมในฉากละคร ฉากเหลา่ นจ้ี ะชว่ ยสร้างบรรยากาศให้ผ้ชู มละคร แตล ะฉากมีความสาํ คญั หรอื ไม อยา งไร มีความรสู้ ึกคลอ้ ยตามไปกับภาพทเ่ี ห็น เปน็ ตน้ (แนวตอบ สําคัญ เพราะบรรยากาศทเ่ี กิดขึน้ ในฉากแตล ะฉากจะชวยสรา งความสมจรงิ ใหก ับการแสดงละคร ทําใหผูชมคลอยตาม ไดงาย) การสรา้ งบรรยากาศบนเวทเี ปน็ เวลากลางคนื จะใชแ้ สงนอ้ ย เพอ่ื สรา้ งความสมจรงิ ๑63 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด เกร็ดแนะครู การแปลงบทละครทเี่ ปนอกั ษรใหเ ปน การแสดง จัดเปนองคป ระกอบ ครูควรแนะนาํ เทคนคิ ในการเขยี นบทละครแบบงายๆ ใหกับนักเรียน คือ ของการแสดงละครดา นใด 1. การสรา งโครงเร่อื ง เพอ่ื กาํ หนดเรอื่ งราวและเหตกุ ารณตางๆ ตอ งคํานึงถึงความสมเหตสุ มผล 1. การสมมติ 2. ฉากมคี วามสอดคลอ งกับเนือ้ เรอ่ื ง 2. จนิ ตนาการ 3. ตวั ละครของเร่ืองตอ งแสดงตามบทใหส มบทบาท 3. การสรางสมาธิ 4. จดุ เรมิ่ ตนของเร่อื งจะตองทําใหเ กดิ ความนาสนใจและนา ตดิ ตาม 4. การสอื่ สารสัมพันธ 5. สถานการณด งึ ดูดชวนใหต ิดตามจนถงึ ตอนจบ 6. จุดจบสรางความประทบั ใจใหผ ชู ม เกดิ ความซาบซง้ึ เสียดาย วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะในการสรา งละคร ผปู ระพนั ธจ ะตอ ง ไมตองการใหจบ 7. ขอ คิดทีไ่ ดจากเร่ืองควรเปนประโยชนที่ไดร ับจากเรือ่ งท่แี สดง แปลงบทละครทเี่ ปน ตวั อักษรใหเปน การแสดง โดยตอ งสรา งจินตนาการ ซ่ึงจะทําใหน กั เรียนมีความรู ความเขา ใจเกี่ยวกับเทคนคิ ในการเขียนบทละคร เขามาเปน สวนประกอบเพอ่ื ใหการแสดงสามารถถา ยทอดเร่ืองราวออกมา แบบงา ยๆ ไดดียิง่ ข้ึน ไดอ ยา งสมบูรณ ค่มู ือครู 163

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครูสุมนักเรียน 2 - 3 คน ใหตอบคาํ ถาม สา� หรบั แสง1 นอกจากจะใหค้ วามสวา่ งแลว้ ยงั ชว่ ยบอกเวลา สรา้ งอารมณ ์ แสงนวลออ่ นใน ดงั ตอ ไปน้ี เวลากลางคนื หรอื แสงสวา่ งจา้ ในเวลากลางวนั จะมคี วามเขม้ ของแสงตา่ งกนั เปน็ การสรา้ งบรรยากาศ ทแี่ ตกตา่ งกนั เชน่ แสงทมี่ ดื สลวั ทา� ใหเ้ กดิ บรรยากาศทนี่ า่ สะพรงึ กลวั บรรยากาศแจม่ ใส สตี อ้ งสดใส • ดนตรีเขา มามบี ทบาทในการแสดงละคร ภาพและสีในแตล่ ะฉากจงึ เปน็ การสรา้ งเสรมิ บรรยากาศใหด้ ูสมจรงิ เปน็ ต้น อยางไร “ เพลง ภูมหิ ลนงั อ”ก(Bจาaกcนkgี้ rอoงuคn์ปd ร ะMกuอsบicส)2�า เคปัญ็นทเพ่ีขลาดงทไม่ีไม่ได่ม้ใเีนนกือ้ ารรอ้สงร ้ามงแีบตรร่ทยา� านกอางศเ พคลือง ไเมพ่เลกงี่ยทว่ีเกรบัียกกวา่าร (แนวตอบ ในการแสดงละครไทยนั้น จะมเี พลง ด�าเนิน เรื่อง สแ�าตหช่ รว่ับยลสะรค้ารงไอทารยมนณั้น์ คจวะามมีเรพู้สลกึ งใทห่ีแ้ใชก้เ่ผพชู้ ่ือมแสดงอารมณ์ตามบทบาทของตัวละคร3อยู่ ที่ใชเ พอ่ื แสดงอารมณต ามบทบาทของ หลายเพลง เป็นต้นว่าเพลงอารมณ์เศร้า เช่น เพลงโอด เพลงนางครวญ เพลงธรณีกรรแสง ตวั ละครอยู ดังนนั้ ดนตรีจึงเขา มามบี ทบาท เป็นต้น เพลงอารมณ์รื่นเริง เช่น เพลงกราวร�า เพลงแขกบรเทศ เพลงประสิทธ์ิ เป็นต้น ในการแสดงละคร มีสว นสัมพนั ธเกยี่ วของ เพลงอารมณ์โกรธ เช่น เพลงเทพทอง เพลงนาคราช เพลงลิงโลด เป็นตน้ กบั เนอ้ื เรอื่ งทน่ี ํามาจดั แสดง ละครแตละ ประเภทกจ็ ะใชด นตรมี าประกอบ เรือ่ ง นสิ ยั ตัวละคร มากนอ ยตา งกนั เชน ในการแสดงอุปรากร หรอื ละครเพลง ดนตรจี ะมสี ว นสมั พันธก ับ ละคร เน้ือเร่อื ง หรอื ใชด นตรดี ําเนนิ เร่ืองแสดง ลักษณะนิสัย ตลอดจนอารมณของตัวละคร เนื้อหาสรปุ บรรยากาศ การแสดงบางประเภทกจ็ ะใชดนตรี ในการเราอารมณใหเ ขม ขนข้ึน เปนตน ) กจิ กรรม ศลิ ปป์ ฏบิ ตั ิ ๑๐.๑ • การใหแ สงบนเวทสี ามารถบอกอารมณ ของตวั ละครไดหรอื ไม อยางไร (แนวตอบ ได เชน ถาตวั ละครอยใู นอารมณ โกรธ จะปรบั แสงสีบนเวทีเปน แสงสีแดง ถาตัวละครอยใู นอารมณต่นื เตน สนกุ สนาน จะปรบั แสงสีบนเวทีเปนแสงสสี ม ถาตวั ละคร อยใู นอารมณเ ศรา หรอื ผดิ หวงั จะปรบั แสงสบี นเวทเี ปน แสงสีน้าํ เงิน ถา ตวั ละคร อยใู นอารมณแ หงความรัก จะปรับแสงสี บนเวทีเปนแสงสีเขยี ว เปนตน) กิจกรรมท่ี ๑ เชิญวิทยากรมาบรรยายใหค้ วามร้เู ก่ียวกับหลกั การสรา้ งสรรค์การแสดงละคร กิจกรรมที่ ๒ ใหน้ ักเรยี นจดบนั ทึกขอ้ มูลจากการรับฟังไว้ ใหน้ กั เรยี นชมตวั อยา่ งละครจากซดี ี (CD) ดวี ดี ี (DVD) หรอื จากเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ แลว้ ร่วมกนั อภปิ รายถึงองค์ประกอบตา่ งๆ ท่ปี รากฏอยู่ในละครดังกลา่ ว ๑64 นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดเปนบรรยากาศที่เหมาะสมท่ีสดุ ในการจดั การแสดงละครเวที 1 แสง ในการแสดงละครนั้นจะมีการใชแสงสีเพือ่ สรา งบรรยากาศในการแสดง เรือ่ งแผลเกา ใหม ีความเหมาะสม เชน แสงสีเหลอื งออ น แสดงใหเ ห็นถึงบรรยากาศในยามเชา 1. ฉากวถิ ชี ีวติ ชาวชนบท มกี ระทอ ม ทงุ นา วัว ควาย แมน้าํ เวลารุง อรณุ การเปดไฟใชแ สงสีเหลอื ง 75 เปอรเ ซ็นตและแสงสีขาว 25 เปอรเ ซน็ ต 2. ฉากในสนามรบ มปี นใหญ มดี ดาบ กาํ แพง ทงุ หญา กอ นหนิ แสงสชี มพู แสดงใหเหน็ ถงึ บรรยากาศในยามบา ย การเปด ไฟใชแ สงสีแดง 3. ฉากชุมชนแออัด มบี า นเรอื นตัง้ หนาแนน ลาํ คลอง สะพานไม 75 เปอรเ ซน็ ต และแสงสีขาว 25 เปอรเซ็นต แสงสมี วงนํา้ เงินแสดงใหเห็นถึง 4. ฉากปาเขาลาํ เนาไพร มีตน ไม เสยี งนกรอง นํ้าตก สตั วนานาชนดิ บรรยากาศในยามคาํ่ การเปดไฟใชแสงสนี ํา้ เงนิ 75 เปอรเซ็นต และแสงสีแดง วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะแผลเกา คือ ละครท่ีสะทอ นใหเ หน็ ถงึ 25 เปอรเ ซ็นต เปน ตน ความรักของหนมุ สาวที่ไมส มหวัง ในบทละครจะกลา วถึงทอ งทุงบางกะป 2 “เพลงภมู หิ ลงั ” (Background Music) ดนตรีทีใ่ ชประกอบ เพ่อื สรา ง มตี ัวละครทส่ี ําคญั คือ ขวญั และเรยี ม ฉากวิถีชีวิตชาวชนบท มีกระทอ ม บรรยากาศ สรางอารมณแ ละนํามาเชอ่ื มการแสดงระหวางฉาก ทงุ นา วัว ควาย แมนา้ํ จึงมคี วามเหมาะสมมากท่สี ุด 3 เพลงทใ่ี ชเ พ่ือแสดงอารมณต ามบทบาทของตวั ละคร ในการแสดงละครไทย จะมกี ารนําเพลงมาใชเพอ่ื แสดงใหเห็นอารมณต า งๆ ของตวั ละคร เชน เพลงโลม สาํ หรบั การเขา พระเขา นาง การเลา โลมดวยความรกั เพลงทยอย สาํ หรับอารมณ เสียใจ เศราใจขณะทเ่ี คล่อื นท่ไี ปดว ย เชน เดินพลาง รองไหพลาง เปน ตน 164 คมู่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเข้าใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain เสริมสาระ ใหนักเรียนศกึ ษาเร่ืองเวทีละครจากใน หนงั สอื เรียน หนา 165 จากนัน้ ครูถามนักเรียนวา เวทลี ะคร เวทลี ะครแหง่ แรกของโลก คอื เวทลี ะครกรกี โดยขดุ เวทลี งไปในภเู ขา ทนี่ ง่ั ดลู าดขนึ้ เปน็ ชน้ั ๆ • คาํ วา “เวที” มีความหมายวา อยา งไร เปน็ อฒั จนั ทร ์ กลางโรงเปน็ แทน่ กลม เรยี กวา่ “ออรเ์ คสตรา” (Orchestra) ขา้ งบนมแี ทน่ ๑ แทน่ สา� หรบั (แนวตอบ ที่วา งหลงั มาน โดยมากจะแบงออก ให้ตัวละครยนื ดา้ นหลังเวทเี ปน็ อาคารยาว ตามเวทีมีประตูเขา้ ออก ๓ ประตู ตวั ละครจะออกจาก เปน 6 สว น แตละสวนจะมีทางเขาออก ประตูกลาง ลกู คอู่ อกจากประตูข้าง เวทหี มนุ ได้เรียกว่า “เอกซเี คลมา” (Eccyclema) ของตนเองทงั้ ดา นซา ยและดา นขวา คาํ วา ซา ย ในปจั จบุ นั เวทลี ะคร โดยทว่ั ไปจะแบง่ ออกเปน็ ๖ สว่ น แตล่ ะสว่ นจะมที างเขา้ - ออกทางดา้ นซา้ ย หรอื ขวานั้น หมายถงึ ซา ย หรอื ขวาของ และดา้ นขวา มพี นื้ ทว่ี า่ งหลงั มา่ น ซง่ึ ในแตล่ ะสว่ น ตัวละครไมใ ชข องผูชม) ของเวทีจะมลี ักษณะการใช้งาน ดังนี้ • นักเรียนเคยชมการแสดงละครเวทบี าง สว่ นที่ ๑ กลางหนา้ เปน็ การแสดงบทบาท หรอื ไม ถาเคย นกั เรียนคดิ วาละครเวที เด่นของตัวละคร ท่ีต้องการอวดบทบาท อวด มคี วามแตกตา งจากละครโทรทศั นอ ยา งไร ฝมือการต่อสู้ประจันหน้า แสดงฝมือต่างๆ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ผ้แู สดงจะใชพ้ ้นื ทส่ี ว่ นนี้ของเวที ไดอ ยางอสิ ระ) ส่วนที่ ๒ ขวาหน้า ใช้แสดงบทบาทของ ขยายความเขา้ ใจ E×pand ตัวละครท่ีต้องการแสดงอารมณ์ สีหน้าท่าทาง แสดงบทรกั และความเมตตา 1. ใหน ักเรยี นสรปุ สาระสําคัญเกี่ยวกบั องคประกอบของละคร ลงกระดาษรายงาน สว่ นท่ี ๓ ซา้ ยหนา้ ใชแ้ สดงบทบาททอ่ี อ่ นกวา่ สว่ นท ี่ ๑ สว่ นท ่ี ๒ และการแสดงบทเกย้ี วพาราส ี นําสง ครูผูส อน ตัดพ้อต่อวา่ 2. ใหน ักเรยี นแตละกลุมแสดงละครส้ันตามความ ส่วนท่ี ๔ กลางหลงั เปน็ สว่ นท่ีไกลผชู้ ม ใชแ้ สดงการเขา้ พระ - เขา้ นาง เปน็ การเรม่ิ ตน้ บทสา� คญั สนใจของกลมุ กลุมละ 1 เรื่อง โดยใช ของตัวละคร ก่อนจะเล่ือนมาดา้ นหนา้ เวที องคประกอบของละครเปนหลัก ไดแก เร่อื ง (Story) เนื้อหาสรุป หรือแนวคิด (Subject or ส่วนท่ี ๕ ขวาหลัง ส�าหรบั ผแู้ สดงบทฆาตกรรม ภูตผปี ศาจ และตวั ประกอบท่ีไม่มีบทพูด Theme) นสิ ยั ตัวละคร (Characterization) ส่วนที่ ๖ ซา้ ยหลงั ส�าหรับแสดงบทท่ีโลดโผน หวาดเสยี ว และบรรยากาศ (Atmostphere) พรอ มทง้ั ฝก ซอ มการแสดง จากนน้ั ใหแ ตล ะกลมุ ผลัดกนั ออกมานาํ เสนอผลงานใหเ พอ่ื นชมหนา ชน้ั เรยี น โดยมคี รูเปนผชู แี้ นะความถกู ตอง ตรวจสอบผล Evaluate ๑6๕ 1. ครูพิจารณาจากการสรปุ สาระสําคญั เกยี่ วกบั องคประกอบของละครของนกั เรยี น 2. ครพู จิ ารณาจากการแสดงละครสน้ั ของนกั เรยี น กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ใหนกั เรยี นฟง เพลงประกอบละครทีน่ ักเรยี นสนใจ 1 เพลง ครคู วรอธบิ ายความรเู พม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั โรงละครแหง ชาติ (The National Theatre) จากน้นั วเิ คราะหบทเพลงวา มคี วามเหมาะสมกบั ละครเรือ่ งน้ี ซง่ึ เปน โรงละครแหงแรกของประเทศไทย ตงั้ อยใู นบรเิ วณพระราชวงั บวรสถานมงคล หรอื ไม อยางไร ลงกระดาษรายงาน นําสง ครูผสู อน หรอื พระบวรราชวงั (เดมิ ) ขางสะพานพระปน เกลา แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2508 เปน วันทีเ่ ปด กิจกรรมทาทาย โรงละครวันแรกและไดรับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภูมพิ ลอดลุ ยเดช ท่ีไดท รงพระกรุณาโปรดเกลา ฯ เสด็จพระราชดําเนินทอดพระเนตร ใหนกั เรยี นชมละครทนี่ ักเรียนสนใจ 1 เรอ่ื ง จากนนั้ วิเคราะห การแสดงนาฏศิลปไทย ในวโรกาสพิธีเปดโรงละครแหงชาติ ซึ่งไดมีการจัดแสดง องคป ระกอบของละครในดานตา งๆ คือ เรื่อง เนอื้ หาสรุป หรือแนวคดิ รวม 3 ชุด คือ รําดอกไมเงินทองถวายพระพร การแสดงละคร เร่ืองสังขศิลปชัย นสิ ยั ตวั ละคร และบรรยากาศ วา มีความเหมาะสมกบั ละครเรื่องน้ี ตอนชุบสังขศิลปชัย และการแสดงโขนเร่ืองรามเกียรติ์ ชุดรามาวตาร ซ่ึงจะทําให หรอื ไม อยา งไร ลงกระดาษรายงาน นําสง ครผู สู อน นักเรียนมีความรู ความเขา ใจเกย่ี วกับโรงละครแหง ชาติไดด ียิง่ ข้ึน คมู่ ือครู 165

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครเู ปดซีดี หรือดีวดี ีการแสดงละครไทย ๓. หลักการวเิ คราะห์ วจิ ารณก์ ารแสดงละคร ใหนกั เรียนชม จากนั้นครถู ามนักเรียนวา การวจิ ารณ ์ เป็นการเปดิ โอกาสใหผ้ ้ชู มละครไดแ้ สดงความคิดเห็นต่อการแสดง ซง่ึ ผวู้ ิจารณ์ ควรมหี ลกั เกณฑ์ในการวจิ ารณอ์ ยา่ งเปน็ ธรรมและสรา้ งสรรค ์ เพอ่ื นา� มาใชเ้ ปน็ แนวคดิ ใหผ้ สู้ รา้ งสรรค์ • การแสดงทนี่ กั เรยี นไดช มไปนนั้ มคี วามงดงาม ผลงานนา� ไปปรบั ปรงุ พฒั นา และสรา้ งสรรคผ์ ลงานทีม่ ีคณุ คา่ ได้มาตรฐานตอ่ ไป หรอื ไม อยางไร ละครของไทย สามารถแบง่ ออกเปน็ ละครรา� และละครทไี่ ม่ใชท้ า่ รา� การวจิ ารณก์ ารแสดงละคร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเหน็ จงึ มหี ลกั การวจิ ารณท์ ่ีแตกต่างกนั ออกไปในละครแตล่ ะประเภท ไดอยา งอิสระ) 3.๑ หลักการวิเคราะห ์ วจิ ารณล์ ะครรำา กอ่ นการวจิ ารณ ์ ผวู้ จิ ารณค์ วรวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบในการแสดงละครรา� ในดา้ นตา่ งๆ ดงั น้ี สา� รวจคน้ หา Explore ๑) รูปแบบของการแสดง เปน็ การวิเคราะหร์ ูปแบบการแสดงว่าเปน็ แบบมาตรฐาน ใหน ักเรียนแบง กลมุ ออกเปน 2 กลุม ใหนกั เรียน ศกึ ษา คน ควา หาความรเู พิ่มเตมิ เก่ยี วกับหลกั การ หรอื แบบพ้นื บ้าน ซง่ึ การแสดงจะมหี ลายรปู แบบ ไดแ้ ก่ ระบ�า รา� ฟอ้ น โขน และละคร วเิ คราะห วจิ ารณก ารแสดงละคร จากแหลง การเรยี นรู ตางๆ เชน หองสมุดโรงเรยี น หอ งสมุดชุมชน ๒) ความเป็นเอกภาพ การแสดงในชุดหน่ึงๆ ผู้แสดงจะต้องมีความเป็นอันหน่ึง- อินเทอรเน็ต เปนตน ในหวั ขอ ทีค่ รูกาํ หนดให ดังตอ ไปน้ี อนั เดยี วกนั เชน่ ผแู้ สดงละครรา� ทกุ คนตอ้ งมลี ลี าในการรา่ ยร�าใหถ้ กู ตอ้ งและสอดคลอ้ งกบั ละครแตล่ ะ ประเภท เปน็ ตน้ ความเป็นเอกภาพ หมายความวา่ การแสดงแต่ละชุดต้องมีลลี าทา่ ร�าเหมือนกนั กลุมท่ี 1 หลักการวเิ คราะห วิจารณละครราํ เช่น กลุมที่ 2 หลกั การวเิ คราะห วิจารณละคร • ระบา� กวาง ผแู้ สดงต้องเลียนแบบลีลาทา่ ทางของกวาง • ระบ�ามา้ ผแู้ สดงต้องเลียนแบบลลี าท่าทางของม้า ทไ่ี มใ ชทา ราํ • การแสดงละครร�า ผู้แสดงทุกคนต้องมีลีลาท่าร�าเหมือนกันตามแบบจารีตของ ละครแต่ละชนดิ เชน่ ละครชาตร ี ละครนอก ละครใน ละครดกึ ดา� บรรพ ์ เป็นต้น อธบิ ายความรู้ Explain ๓) การรา่ ยรา� และองคป์ ระกอบอน่ื ๆ ไดแ้ ก ่ ความถกู ตอ้ งตามแบบแผนของทา่ รา� แมท่ า่ ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 1 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู เพ่ิมเตมิ เกี่ยวกับหลกั การวิเคราะห วิจารณก ารแสดง ลลี าทา่ เชอ่ื ม ความคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ในการประดษิ ฐท์ า่ รา� ความสามารถในการรา� ลกั ษณะพเิ ศษใน ละคร สง ตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู ทว่ งทา่ ลลี า และเทคนคิ เฉพาะตวั ของผรู้ า� เชน่ การวเิ คราะหล์ ะครใน เรอ่ื ง “อณุ รทุ ” ในหัวขอหลกั การวเิ คราะห วจิ ารณล ะครราํ ตามท่ไี ด ศกึ ษามาหนาชน้ั เรียน จากน้นั ครูถามนกั เรยี นวา ตัวอย่าง การวิเคราะห์ วจิ ารณ์ละครร�า • หากการแสดงละครขาดความเปน เอกภาพ ระบ�าครุฑ1 จากละครในเรอ่ื ง “อณุ รทุ 2” จะสง ผลใหละครเปนเชน ไร (แนวตอบ ละครอาจไมไ ดร บั ความนยิ มจากผชู ม ๑) รปู แบบของการแสดง จากภาพเปน็ การแสดงระบา� ครฑุ ในละครรา� เรอื่ ง “อณุ รทุ ” เนือ่ งจากขาดความมเี อกภาพ เชน ผแู สดง ซ่ึงจัดว่าเป็นละครใน เพราะในอดีตจะแสดงแต่ในเขตพระราชฐานและนิยมแสดงเพียง ราํ ไมพ รอ มเพรยี งกนั การดาํ เนนิ เรอื่ งไมร าบรนื่ ๓ เรอื่ ง ได้แก่ เรอ่ื งอุณรุท เรอ่ื งอเิ หนา และเร่อื งรามเกยี รต์ิ ทาํ ใหผ ูชมรสู ึกเบ่ือหนา ย เปนตน) ๒) ความเปน็ เอกภาพ จากภาพจะเห็นวา่ • ผู้แสดงท้ังหมดในภาพ มลี ลี าท่าร�าทเ่ี ป็นมาตรฐานแบบละครใน • ผู้แสดงแต่งกายยืนเคร่อื งพระ - นาง ตามขนบนิยมของการแสดงละครใน ๑66 นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ถานักเรยี นจะวเิ คราะห วจิ ารณองคประกอบของการรายราํ 1 ระบําครุฑ เปนระบําทป่ี รับปรุงมาจากบทรอ งชมครฑุ ในการแสดงละคร ควรเลอื กวิเคราะห วิจารณเรื่องใดจึงจะเหมาะสม เรื่องอณุ รทุ ซงึ่ เปน บทพระราชนิพนธใ นพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟาจฬุ าโลก- 1. รปู แบบของการแสดง มหาราช (รชั กาลที่ 1) โดยมคี รอู รา ม อนิ ทรนฏั เปน ผปู ระดษิ ฐท า ราํ เลยี นแบบทา ทาง 2. การแตง กายของนกั แสดง ของพญาครุฑพาหนะของพระนารายณแ ละใชทํานองเพลงเกา ในสมัยอยธุ ยา คือ 3. ความเปน เอกภาพของผูแสดง เพลงตงุ ต้ิง บรรเลงประกอบการแสดง 4. ความถูกตองตามแบบแผนของทา ราํ 2 อุณรทุ บทพระราชนิพนธใ นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา จุฬาโลก- วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะในการแสดงชดุ หนึ่งๆ ผแู สดง มหาราช (รัชกาลท่ี 1) นิยมนาํ มาแสดงเปน ละครในควบคกู บั การแสดงละคร จะตองมีความเปนอนั หนง่ึ อันเดียวกัน เชน การรายรํามีความสวยงาม เรอ่ื งรามเกยี รติแ์ ละอิเหนา มคี วามพรอ มเพรยี งกัน เปน ตน 166 คู่มือครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๓) การร่ายร�าและองค์ประกอบอ่ืนๆ ผู้แสดงมีทักษะ สุนทรียะ ท่าร�าถูกต้อง ครูสมุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม ตามแบบแผนละครในทกุ ประการ ดงั ตอ ไปน้ี ลีลาท่าร�าถูกต้องตามนาฏยศพั ท์ เชน่ ผแู้ สดงท่ีเป็นพญาครุฑ มเี หล่ียมท่งี ดงาม • จากภาพนกั เรยี นสามารถนําหลักการ ถูกต้องตามแบบแผนของนาฏยศัพท์ (ค�าว่า “เหล่ียม” หมายถึง ระยะเข่าท้ัง ๒ ข้าง วิเคราะห วจิ ารณละครราํ มาวเิ คราะห กางออก) สามารถเปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ เหลยี่ มพระ (พระนารายณ)์ ซง่ึ จะกวา้ งพอประมาณ การแสดงไดหรอื ไม อยา งไร สว่ นเหล่ียมที่กว้างที่สดุ คอื เหล่ียมยกั ษ์ ซงึ่ ผู้แสดงเป็นพญาครฑุ จะต้องนา� เหลีย่ มยักษ์ มาปฏิบัติได้อยา่ งสวยงาม การแสดงระบํา ชุดศุภลักษณอุมสม ท่าร�าขององค์พระนารายณ์ ขึ้นท่าใหญท่ ี่เรยี กวา่ “ทา่ นภาพร” บ่งบอกถงึ ความ (แนวตอบ สามารถนาํ หลกั การวิเคราะห เปน็ ใหญ่ มอื ซา้ ยถอื สงั ขส์ อดสูง มือขวาก�าพระขรรค์เหยยี ดแขนตงึ ระดบั ไหล่ ลา� ตัวตรง วิจารณละครราํ มาวิเคราะหการแสดง เปดไหลท่ ัง้ ๒ ขา้ ง ดันเอว ใบหนา้ เงย เป็นการจดั ระเบยี บรา่ งกายท่ีได้มาตรฐานถกู ตอ้ ง ได ดังตอ ไปนี้ ตามต�าแหน่งของนาฏยศัพท์ 1. รูปแบบการแสดง จากภาพเปนการแสดง ส่วนองค์ประกอบอน่ื ๆ ที่ปรากฏอยใู่ นการแสดง ไดแ้ ก่ ระบําชุดศภุ ลกั ษณอมุ สม ในละครรํา • การแตง่ กาย ผู้แสดงแต่งเคร่ืองพระถูกต้องตามขนบนยิ มของละครใน เร่อื งอณุ รทุ ซงึ่ จัดวาเปน ราํ มาตรฐาน • ความสมดุลของทางสรีระ เช่น ท่าขึ้นลอยขององค์พระนารายณ์ ผู้แสดง 2. ความเปน เอกภาพ ผแู สดงทงั้ หมดในภาพ สอดสงู มอื ซา้ ย ยกเทา้ ซา้ ยเหยยี บบนบา่ พญาครฑุ ทา� ใหม้ นี า้� หนกั ทางดา้ นซา้ ยมาก ถว่ งดลุ มีลีลาการรา ยรําทเี่ ปนมาตรฐานถูกตอง โดยการเอียงศีรษะมาทางขวา ตามนาฏยศัพท • รปู รา่ งของผแู้ สดงทเี่ ปน็ ครฑุ มลี กั ษณะเขม้ แขง็ สว่ นผแู้ สดงเปน็ พระนารายณ์ 3. องคประกอบอื่นๆ ผแู สดงแตง ยืนเครื่อง ซ่ึงเป็นเทวดา จะตอ้ งมีรูปรา่ งบอบบางเหมาะสมกบั ตัวละครในเรื่อง ตามขนบนยิ มของระบาํ มาตรฐาน • การแสดงหมมู่ ีความงามผสมกลมกลืนกันในจังหวะลีลาทา่ รา� รูปรางของผแู สดงมีความงดงามถูกตอง • การต้ังซุ้มมีความสมดุลกันอย่างงดงามไม่ขัดตา ผู้แสดงจะจับกลุ่มเป็นซุ้ม ตามลกั ษณะของพระ - นาง เปน การราํ หมู รูปสามเหลี่ยม ตรงกลางจะเป็นท่าขึ้นลอยสูง จะมีลีลาท่าร�าที่เหมือนกันทั้งซ้าย - ขวา ท่มี ีความสมดุลกันในทว งทีลลี าทเ่ี ปน เปน็ ทา่ นงั่ ตง้ั เขา่ ลดหลน่ั ลงมา นบั เปน็ การตงั้ ซมุ้ ทม่ี ลี กั ษณะงดงามโดดเดน่ มคี วามสมดลุ บทเก้ยี ว) ทง้ั ฝง ซา้ ยและฝง ขวา • นอกจากการวเิ คราะห วจิ ารณละครรํา ในเรื่องรูปแบบการแสดง ความมีเอกภาพ ระบ�าครฑุ ที่มาของภาพ : http:// www.bpi-salayacampus.webiz.co.th การรา ยรํา และองคประกอบอนื่ ๆ นกั เรียน สามารถวิเคราะห วจิ ารณใ นเรื่องใด ๑67 ไดอกี บาง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอิสระ) ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอ สอบป ’50 ออกเกย่ี วกบั การวิจารณก ารแสดง ครคู วรอธิบายความรเู พมิ่ เติมเกยี่ วกบั หลักการวจิ ารณล ะครไทยวา ละครไทย ส่ิงใดทผ่ี ูว จิ ารณการแสดงไม จําเปนตอ งกลา วถึงในการวิจารณก ารแสดง มสี ่งิ ท่ตี องวิจารณอ ยู 5 ประเภท ดังตอ ไปน้ี 1. การเลาเรือ่ งยอการแสดงนั้นๆ 2. วิธีการเดนิ ทางไปสถานทท่ี ช่ี มการแสดง 1. ทารํา จะตอ งพิจารณาถงึ ความสวยงามและความถกู ตองของทา รํา 3. มมุ มองท่ีผสู รา งสรรคตอ งการนาํ เสนอสูผชู ม 2. ตัวละคร จะตอ งพจิ ารณาวาตวั ละครแสดงไดเ หมาะสมกบั บทบาท 4. ความสวยงามของแสง สีประกอบการแสดง ทไ่ี ดรับหรอื ไม 3. ดนตรี ตอ งพจิ ารณาถงึ ความเหมาะสมของบทเพลง ความไพเราะของ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะวธิ กี ารเดนิ ทางไปสถานทที่ ช่ี มการแสดง บทประพนั ธวา มีความสอดคลอ งกบั บรรยากาศของเน้อื เรอ่ื ง หรอื บทละครหรอื ไม 4. คํารอง ทํานอง จังหวะ ตอ งคาํ นงึ ถึงความถูกตอ งและการนํามาใช เปน สงิ่ ผวู จิ ารณการแสดงไมจําเปน ตอ งกลาวถงึ ในการวิจารณการแสดง เพ่อื ความสะดวกสบายในการฟอ นรํา เน่ืองจากไมไดม ีความเกย่ี วขอ งกับการวิจารณการแสดง 5. การแตง กาย ตอ งคาํ นงึ ถงึ ความถูกตองของยุคสมัย ในการออกแบบ เครอื่ งแตงกายตอ งมีความเหมาะสมกับการแสดง ซ่งึ จะทําใหน กั เรียนมีความรู ความเขา ใจเก่ยี วกบั หลักการวจิ ารณล ะครไทย ไดด ยี ิง่ ข้ึน คมู่ อื ครู 167

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 2 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู 3.๒ หลกั การวเิ คราะห ์ วจิ ารณล์ ะครทไี่ มใ่ ชท้ า่ ราำ เพมิ่ เตมิ เก่ียวกบั หลักการวเิ คราะห วิจารณก ารแสดง สนุ ทรียะของละครจะข้นึ อยู่กับรสนยิ มและพ้นื ฐานความรขู้ องผ้ชู มแต่ละยคุ สมัย ในการทจ่ี ะ ละคร สง ตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรู ยอมรบั ว่าอะ๑ไ)รดโี คอระไงรเงราอื่ มง1 สห่ิงมทาผี่ ยวู้ถจิ ึงา รโคณร์คงวสรรย้าึดงขถออื งเปล็นะคแรนทวง้ัทเารงอื่ ใงน กกาารรววิจจิ าารรณณ ์์โคมรดี งังเนร่ือี้ ง มีดงั นี้ ในหัวขอหลักการวเิ คราะห วจิ ารณละครท่ีไมใช • เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ ในละครชดั เจนหรอื ไม่ ทาราํ ตามท่ไี ดศ กึ ษามาหนาชัน้ เรียน จากนนั้ ครถู าม • สิง่ ใดทท่ี �าใหเ้ รื่องมีความนา่ สนใจมากทส่ี ุด เช่น โครงเรือ่ ง ตวั ละคร เป็นตน้ นกั เรียนวา • การจบเร่ืองเหมาะสมหรอื ไม่ • นกั เรยี นคิดวา สง่ิ ใดบางทท่ี าํ ใหรสนยิ ม ๒) แนวความคดิ ทเ่ี ปน็ แกน่ ของเรอื่ ง มขี อ้ ทคี่ วรพจิ ารณาเพอ่ื ใชใ้ นการวจิ ารณ ์ ดงั นี้ ของผชู มละครเปลยี่ นแปลงไปในแตล ะยคุ สมยั (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น • ดแู ลว้ ไดป้ ระสบการณ ์ แนวคดิ ปรชั ญาใดบา้ ง มโี อกาสเกดิ ขนึ้ ในชวี ติ จรงิ ไดห้ รอื ไม่ ไดอ ยางอสิ ระ) • บทเจรจาของตัวละคร มีคติ ค�าคมทนี่ ่าจดจ�าบ้างหรือไม่ • เนอ้ื เรื่อง ฉาก ตวั ละครมีความสอดคล้องเหมาะสมกันหรือไม่ • นกั เรยี นไดร บั ประโยชนจ ากแนวความคดิ ทเ่ี ปน แกน ของเรอื่ งอยา งไร ๓) ตวั ละคร วเิ คราะหด์ า้ นบทบาทของตวั ละครและการสรา้ งตวั ละคร โดยการวจิ ารณ์ (แนวตอบ 1. ทาํ ใหร จู กั วถิ กี ารดาํ รงชวี ติ ของผคู นสมยั ตา งๆ ตัวละครมขี อ้ ที่ควรพิจารณา ดงั น้ี 2. ทําใหตระหนักถึงหลักธรรมท่ีเปนสัจธรรม แหงชีวิต ฉากและอุปกรณ์ประกอบฉากของละครโอเปรา (Opera) เรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลาย (Madame Butterfly) 3. ทาํ ใหตระหนกั ถึงปญ หาของชีวติ มนุษย ท่มี าของภาพ : http://www.theredist.com สงั คม และโลก 4. ทาํ ใหส ามารถยกระดับสตปิ ญ ญาทไ่ี ดจาก • การสร้างบุคลิกลักษณะของตัวละคร มีชีวิต จิตใจคล้ายมนุษย์จริงหรือไม ่ การซึมซบั การรบั รแู กนความคิดทด่ี ขี อง (ละครประเภทสมจริง ตัวละครจะมีบคุ ลกิ ลักษณะทเี่ หมอื นมนุษย์ปกติ) บทละคร) • ตวั ละครสามารถดงึ ดดู ให้ผ้ชู มมีอารมณ์คลอ้ ยตามได้มากน้อยเพยี งใด • ตวั ละครแสดงไดส้ มบทบาทเพียงใด ตบี ทแตกหรอื ไม่ • การวิเคราะหล กั ษณะนสิ ยั ของตัวละคร จะตอ งพจิ ารณาในดา นใด ๑68 (แนวตอบ พจิ ารณาไดห ลายประเด็น เชน ตัวละครตัวใดมีความสําคัญกับเนื้อเร่อื ง หรอื กับความคดิ เห็นของผูประพนั ธ ตวั ละครใดทาํ ใหเ นอื้ เรอ่ื งมรี สชาตเิ พมิ่ มากขนึ้ ตวั ละครใดควรถอื เปน ตวั ละครเอก เกยี่ วเนอ่ื ง กบั ช่อื เรอ่ื งหรอื ไม ตัวเอก หรือฝายตรงขาม กบั ตวั ละครเอกมขี อ ทนี่ า ชมเชย หรอื ตําหนิ อยางไร เปนตน ) นักเรยี นควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 โครงเรือ่ ง ลาํ ดบั หรือทศิ ทางของเร่ืองทวี่ างไวเ ปน กรอบ ใหนักเรยี นศกึ ษาเพ่ิมเติมเกีย่ วกบั หลกั การวิเคราะห วิจารณล ะคร เปนแนวทางในการสรา งเร่ือง ซึ่งประกอบไปดว ย ทีไ่ มใชท าราํ เขยี นสรุปสาระสาํ คญั ลงกระดาษรายงาน นําสงครผู สู อน 1. การเริม่ เรื่องควรกระชบั เพ่ือใหผูชมทราบวาใคร ทาํ อะไร ทีไ่ หน กิจกรรมทาทาย 2. เหตุการณแ รกมคี วามสาํ คัญทีจ่ ะโยงไปสเู หตุการณอืน่ ๆ 3. เหตุการณน าํ อารมณผูชมไปสู “จุดวกิ ฤต” ซึง่ จะทําใหผูชมทราบวา ใหนักเรยี นทําตารางวเิ คราะหค วามแตกตา งของหลักการวิเคราะห วิจารณล ะครรําและหลกั การวเิ คราะห วจิ ารณละครทีไ่ มใ ชทารํา ตวั ละครสาํ คัญจะแกป ญหาไดห รอื ไม วา มีรปู แบบทค่ี ลายคลึงกนั หรือไมอ ยา งไร ลงกระดาษรายงาน 4. เหตุการณท ่ีเปนจุดคลคี่ ลายปญ หา ใหความกระจางจนจบเรอ่ื ง นําสงครูผสู อน มุม IT นักเรียนสามารถศกึ ษา คน ควา เพม่ิ เตมิ เกีย่ วกับโครงเร่ือง ไดจ าก http://www.nmt.ac.th 168 คมู่ ือครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๔) ทัศนองค์ประกอบต่างๆ จะต้องสอดคล้องกับตัวละคร ช่วยสร้างบรรยากาศ ครูสุม นักเรยี น 2 - 3 คน ใหต อบคําถาม ดงั ตอไปนี้ ได้อยา่ งเหมาะสม สรา้ งอารมณท์ ีส่ อดคลอ้ ง เชน่ ฉาก เครอ่ื งแตง่ กาย แสง ส ี เป็นต้น ขอ้ ที่ควร น�ามาพจิ ารณาเพอื่ ใช้ในการวิจารณ ์ มีดังน้ี • จากภาพนกั เรยี นสามารถนําหลกั การ • ทัศนองค์ประกอบตา่ งๆ นัน้ ลว้ นสอดคลอ้ งกับตวั ละคร ดงั น้ัน จงึ ต้องพจิ ารณาดู วเิ คราะห วิจารณละครทไ่ี มใชท า ราํ วา่ ทศั นองค์ประกอบตา่ งๆ ชว่ ยสร้างอารมณ์ และสรา้ งบรรยากาศได้สมเหตสุ มผลหรอื ไม่ มาวเิ คราะหโ ครงเร่ืองของละครไดหรอื ไม อยา งไร • ฉาก อุปกรณ์ประกอบฉาก ชว่ ยสรา้ งบรรยากาศให้ละครดสู มจริงได้หรอื ไม่ • เคร่ืองแต่งกาย ฉาก และอุปกรณ์ประกอบฉาก ถูกต้องตามขนบธรรมเนียม ประเพณ ี ยคุ สมัยตามเนอื้ เร่อื งหรอื ไม่ ผ้วู เิ คราะห ์ วจิ ารณ์ การแสดงละครตอ้ งแยกใหอ้ อกระหวา่ งคา� ว่า “วเิ คราะห”์ และ “วิจารณ”์ กอ่ นทจ่ี ะวจิ ารณค์ วรวเิ คราะหล์ ะครเรอื่ งนน้ั ๆ กอ่ น การวเิ คราะห ์ หมายถงึ การแยกแยะองคป์ ระกอบ ส่วนการวิจารณ์ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลเพ่ือชมละครเรื่องน้ันแล้วบอกว่าดีหรือ (แนวตอบ สามารถนําหลกั การวเิ คราะห ไม่ดีเพราะเหตุใด เช่น การวิเคราะห์ละครเรื่อง “เจาหญิงแสนหวี” บทประพันธ์ของพลตรี วิจารณละครทีไ่ มใชท ารํามาวเิ คราะห หลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลยี ง วฒั นปฤดา) โครงเร่ืองของละครไดด ังนี้ โครงเรอื่ งละคร เรอ่ื งสาวเครอื ฟา เปน ละครสมจรงิ แบบ ตัวอยา่ ง การวเิ คราะห์ วิจารณล์ ะครทไ่ี ม่ใชท า่ ร�า โศกนาฏกรรม เนอื้ เรื่องกลา วถึงความรัก ของรอยตรพี รอ มกบั เครอื ฟา ที่มคี วามรกั ละครเรือ่ ง “เจา หญงิ แสนหว”ี ละครท่ไี ม่ใชท้ ่าร�า เร่อื งเจ้าหญงิ แสนหวี บทประพันธ์ ท่ีม่ันคงใหแ กกนั แตเมอ่ื เกดิ สงครามโลก ๑) โครงเร่ือง เป็นละครประเภท ของพลตรีหลวงวจิ ิตรวาทการ ครง้ั ที่ 1 รอ ยตรพี รอมออกไปรบและไดรับ บาดเจ็บสาหสั จนจําอะไรไมไ ด จําปา สมจริงแบบโศกนาฏกรรม เน้ือเรื่องอิง นางพยาบาลสาว จงึ เปน ผดู แู ลและกอ ใหเ กดิ ประวตั ศิ าสตร์ ระหวา่ งไทยนอ้ ยกบั ไทยใหญ่ เปน ความรกั จนไดแ ตง งานกนั ซงึ่ ในขณะนนั้ สถานการณท์ เี่ กิดขนึ้ คอื ตัวเอกของเรื่อง เครือฟา ก็กาํ ลงั ตั้งทอ งอยู เมือ่ รูวารอ ยตรี มาพบและเกดิ รกั กนั ขน้ึ ทา� ใหพ้ บจดุ จบ คอื พรอ มเดมิ ทางมาเชยี งใหมก ไ็ ปรอ เมอื่ พบกนั ความตาย ผชู้ มมีจุดสนใจท่เี หตุการณ์ต่างๆ กท็ ราบวารอยตรีพรอ มแตง งานแลวพาจาํ ปา ในเร่ืองชวนให้ติดตาม และปล่อยอารมณ์ มาดว ย แตรอ ยตรพี รอมจําเครือฟา ไมได ใ ห ้ ค ล ้ อ ย ต า ม ไ ป กั บ เ ห ตุ ก า ร ณ ์ ใ น เ รื่ อ ง ทง้ั ยังโดนจําปาไลและดูหมิน่ ดแู คลนตางๆ ด้วยความเศร้าสลดใจไปกับตัวละคร คือ นานา เครือฟาเสยี ใจมาก จงึ ใชมีดแทง เจ้าหญิงแสนหวี และผู้ชมจะคาดเดา ตวั ตาย ดวยหัวใจที่แตกสลาย แตเม่อื รอ ย เหตุการณ์ไปต่างๆ ว่าเจ้าหญิงจะตัดสินใจ ตรีพรอ มจาํ ไดกส็ ายเกินไป เปน ตอนจบที่ อย่างไร ในท่ีสุดก็ต้องตัดสินใจเสียสละ เหมาะสมกับละครแบบโศกนาฏกรรม ทาํ ให ชีวิตตนเอง เป็นการจบเรื่องที่เหมาะสม ละครมจี ดุ สนใจทีโ่ ครงเร่ืองชวนใหติดตาม ตรงกบั แนวคดิ ของเรอ่ื ง เพราะผชู มจะคาดเดาเหตกุ ารณว า เครือฟา จะตดั สนิ ใจอยางไร ซึง่ ในท่สี ดุ ก็ตดั สนิ ใจ ๑6๙ ฆา ตัวเองตาย) ขอสอบ O-NET เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’50 ออกเกยี่ วกบั เอกลกั ษณของศิลปะการแสดง ครูควรนําภาพฉากการแสดงละครมาใหนักเรียนดู พรอมกับอธิบายเพิ่มเติมวา เอกลกั ษณของความงามในศลิ ปะการแสดงท่พี เิ ศษจากความงาม ฉากละคร คอื ภาพพน้ื หลงั สาํ หรบั การแสดงละคร กอ ใหเ กดิ ความสวยงาม บง บอกถงึ สถานทท่ี เ่ี กดิ ขนึ้ ตามทอ งเรอ่ื ง ฉากสามารถเขยี นลงบนผา หรอื กระดาษกไ็ ด ขน้ึ อยกู บั ของศิลปะอนื่ ๆ คืออะไร ความตอ งการของผเู ขยี นฉาก การแสดงละครจะมฉี าก หรอื ไมม ฉี ากกไ็ ด ในการแสดง 1. เปนความงามท่ีแสดงออกผานการเคลือ่ นไหว ละครชาตรจี ะไมม กี ารสรา งฉากละครประกอบการแสดง เรม่ิ มกี ารสรา งฉากประกอบ 2. เปน ผลงานศลิ ปะทีร่ วบรวมการสรา งสรรคศลิ ปะทุกแขนงเขาไวดวยกนั การแสดงละครดึกดําบรรพในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว 3. เปน การแสดงออกทางอารมณ ความรสู ึกท่ีผชู มสามารถมสี วนรว มได (รัชกาลท่ี 5) ซึ่งฉากละครมี 2 ลกั ษณะ คือ แบบแขวน เปนการสรางฉากโดยการ ในขณะท่ีชมเลย เขียนภาพลงบนผืนผา เปนภาพสถานทต่ี างๆ ตามเน้อื เรอื่ ง แลวนํามาแขวนเปน ฉาก 4. ไมม ขี อ ถกู ไวทางดานหลงั ของเวที เชน ฉากลิเก เปนตน และแบบตง้ั ผูส รา งฉากจะออกแบบลง บนแผงหลายๆ ชิ้น แลว นํามาประกอบเขา ดวยกนั ต้งั บนเวทีการแสดงก็จะเปนฉาก วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะตอ งอาศยั ผเู ชี่ยวชาญในงานศิลปะ ละครตามเนื้อเรื่อง เชน ฉากละครโทรทัศน เปนตน ซึ่งจะทําใหนักเรียนมีความรู ความเขา ใจเกี่ยวกบั ฉากการแสดงละครไดด ยี ิง่ ขึน้ แขนงตา งๆ มาเปน ผูทีส่ รางสรรคผ ลงาน ผทู ี่สรา งการแสดงจงึ จาํ เปน ตอ ง เขาใจวิธกี ารปฏบิ ัตงิ านของฝา ยตางๆ เพอื่ ประสานงานใหเกิดความสมั พนั ธ และเปนไปในทิศทางเดยี วกัน คมู่ ือครู 169

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขข้าา้ใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ ครสู มุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม ๒) แนวคิดท่ีเป็นแก่นของเรื่อง คือ การพลีชีวิตเพ่ือชาติ ผู้ชมจะได้แนวคิด ดงั ตอ ไปน้ี ในความรักและเสียสละเพื่อชาติ ซ่ึงเป็นแนวคิดท่ีสามารถน�ามาใช้ได้ในชีวิตประจ�าวัน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลในสาขาอาชีพใด ก็ควรยึดแนวคิดในการเสียสละประโยชน์ส่วนตน • จากภาพสะทอ นใหเห็นแนวคิดท่ีเปน เพ่อื ประโยชน์สว่ นรวมทง้ั สิน้ แกนของเรอ่ื งอยา งไร บทเจรจาของตัวละครมีคติที่น่าจดจ�า ได้แก่ “ความรักอันใด แม้รักเท่าไหน (แนวตอบ เร่อื งบางระจัน มแี นวคิดในการ ไมเ่ ทา่ รกั ชาติ” เสยี สละชพี เพ่ือปกปอ งประเทศชาติ จดั เปน ละครองิ ประวตั ศิ าสตรท มี่ คี ณุ คา มากเรอื่ งหนง่ึ ๓) การสรา งบคุ ลกิ ลกั ษณะของตวั ละคร มชี วี ติ จติ ใจคลา้ ยมนษุ ยป์ กติ เหมาะสม ซึ่งมีเนื้อหากลา วถึงการรบทีบ่ างระจนั กับละครประเภทสมจริง บทเจรจาถูกต้องตามเช้ือชาติและฐานะของตัวละคร เปน การรบเพอ่ื ปอ งกันตวั เองของชาวบาน การกระท�าแสดงให้เห็นนิสัยของตัวละคร เช่น เจ้าชายและเจ้าหญิงต่างก็มีหน้าท่ีต้อง เมอื งสงิ หบ รุ แี ละเมอื งตา งๆ ทพ่ี ากนั มาหลบภยั รักชาติบ้านเมืองของตน มากกว่าที่จะเห็นแก่ความรักของตน ท�าให้ตัวละครมีลักษณะ กองทัพพมา เม่ือครัง้ ทีเ่ สยี กรงุ ศรอี ยธุ ยา เด่นชัดตามเนื้อเรื่อง ส�านวน หรือศัพท์ที่ใช้ตรงกับความเป็นจริง เป็นภาษาพูดที่ใช้ แนวคดิ ในการรักและเสียสละชีพเพื่อชาติ ในสมยั นน้ั ๆ ตรงกับความเปน็ จริงเหมาะสมกบั อารมณ์และวัย เปน แนวคดิ ท่สี ามารถนํามาใชไ ดกบั สงั คม ในยุคปจ จุบนั ไดเปนอยา งดี) ๔) ทศั นองคป์ ระกอบตา่ งๆ ทชี่ ว่ ยสง่ เสรมิ ดา้ นอารมณข์ องผชู้ ม เปน็ การชว่ ยสรา้ ง บรรยากาศในการแสดงละครใหด้ สู มจริง ไดแ้ ก่ • ฉากและอปุ กรณ์ประกอบฉาก มีความวจิ ติ รงดงามเหมาะสมกับสถานทีแ่ ละ เหตุการณ์ในเรอ่ื ง • การแต่งกาย สามารถแต่งได้ถูกต้องตามเช้ือชาติ ฐานะของตัวละคร ขนบธรรมเนียม ประเพณี มีความผสมกลมกลืนกับแสง สี รวมท้งั การแต่งหน้า ท�าผม มีความเหมาะสมกบั เนอื้ เรือ่ งตามยุคสมยั ขยายความเขา้ ใจ E×pand เกร็ดศิลปเกรด็ ศลิ ป “ความเปน จรงิ ” กับ “ความสมจรงิ ” ใหนักเรียนชมการแสดงละครตามความสนใจ เราคงไดย้ นิ ไดฟ้ ง มาบา้ งแลว้ วา่ เรอื่ งทล่ี ะครนา� มา ของตนเอง 1 เรอื่ ง จากน้นั วิจารณบ ทละคร โดยใช แสดงไมเ่ ป็น “ความจริง” แต่ “สมจรงิ ” ซึ่งทั้ง ๒ ค�านี้ หลักวิเคราะห วจิ ารณก ารแสดงละคร ลงกระดาษ มนี ัยทแี่ ตกต่างกนั กล่าวคือ รายงาน นําสง ครูผูสอน ผแู้ ตง่ บทละครจะตอ้ งผกู เรอื่ งและสว่ นตา่ งๆ ทเ่ี ปน็ ตรวจสอบผล Evaluate องค์ประกอบของเร่ืองให้ผู้ชมละครรู้สึกว่าเป็นจริงได้ แตไ่ มใ่ ชก่ ารถอดแบบมาจากธรรมชาตเิ หมอื นจติ รกรรม ครพู จิ ารณาจากการวจิ ารณบ ทละครของนกั เรยี น การวาดภาพ การระบายสี ดังท่ี จอรจ์ เบอรน์ ารด์ ชอว์ 1 (George Bernard Shaw) นักเขียนบทละครช่ือดัง ชาวไอริช กล่าวไวว้ า่ “ถา แตงบทละครตามพฤติกรรม จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (George Bernard Shaw) ท่ีเปนจริง จะไมมีใครไปชมละคร เพราะเขาอยูที่บาน นักเขียนบทละครชื่อดัง ชาวไอรชิ เขาก็เห็นประจักษอยูแลว” ฉะน้ัน การสร้างบทละคร ท่ีจะน�ามาใช้ในการแสดง ผู้ประพันธ์จึงจะต้องผกู เรอ่ื ง ใหผ้ ชู้ มละครรสู้ กึ วา่ เปน็ จรงิ ใหจ้ งได้ จงึ ใชค้ า� วา่ “สมจรงิ ” ๑7๐ นกั เรียนควรรู ขอสอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเก่ียวกับการเขียนบทวิจารณก ารแสดง 1 จอรจ เบอรน ารด ชอว (George Bernard Shaw) นักเขยี นบทละครชาวไอริช สง่ิ ใดทผี่ วู จิ ารณก ารแสดงควรทาํ ในการเขยี นบทวจิ ารณก ารแสดงเรอ่ื งหนงึ่ เขาเรม่ิ งานเขยี นดว ยการประพนั ธเ พลงและเขียนบทวิจารณวรรณกรรม ตอ มาจงึ 1. ใชภ าษาที่รุนแรง เราใจ เพอ่ื ใหผอู า นเขา ถึงอารมณของผวู ิจารณ หนั มาเขียนบทละคร เขามคี วามชํานาญมากในการประพันธบทละครแนวชวี ิต 2. อานบทวจิ ารณข องคนอน่ื กอ นเขยี นของตนเอง ผลงานสว นใหญจะมเี นอื้ หาท่ีสะทอนถึงปญหาสังคม ผลงานบทละครของเขา 3. ขณะชมการแสดงอยูท ันทีทเ่ี ขา ใจการแสดงรีบออกมาเขยี นบทวจิ ารณ มีมากกวา 60 เรอื่ ง ผลงานทม่ี ชี ื่อเสียง ไดแ ก เร่ือง Man and Superman ดา นนอกเลย เร่อื ง Pygmalion และเรื่อง Saint Joan นอกจากน้ี เขาไดรับรางวลั ออสการ 4. ศกึ ษาเพ่มิ เติม เชน อานสูจิบตั รการแสดง บทละคร หรือวรรณกรรม สาขาบทภาพยนตรดดั แปลงยอดเยยี่ มในป ค.ศ. 1938 อีกดวย เรื่องนั้นๆ เปนตน วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะการจะวจิ ารณก ารแสดงเรอ่ื งหนึ่ง มุม IT ใหไ ดคณุ ภาพการแสดงที่ดีน้ัน ผูวจิ ารณควรชมการแสดงจนจบเรอ่ื ง แลวทาํ ความเขาใจกบั การแสดงกอน จึงคอยออกมาเขยี นคาํ วิจารณ นกั เรียนสามารถศกึ ษา คน ควา เพ่มิ เติมเกีย่ วกบั ประวตั ิจอรจ เบอรน ารด ชอว ซง่ึ จะทําใหส ามารถวิจารณไดค รบทกุ หัวขอ (George Bernard Shaw) ไดจ าก http://www.pirun.ku.ac.th 170 ค่มู อื ครู

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๔. ความสมั พันธข์ องการละครกับสาระการเรียนรอู้ ื่น ครนู ําภาพการแสดงในงานกจิ กรรมตา งๆ ศิลปะการแสดงละครนับว่าเป็นสื่อที่ดีท่ีสุดแบบหน่ึงท่ีจะน�ามาใช้ในการเรียนการสอนได้ ของโรงเรียนมาใหน กั เรียนดู จากน้นั ครถู าม ทกุ สาระ เชน่ สาระภาษาไทย สาระสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม สาระศลิ ปะ สาระคณติ ศาสตร์ นกั เรยี นวา สาระวิทยาศาสตร ์ สาระสุขศึกษาและพลศกึ ษา สาระการงานพ้ืนฐานอาชพี และเทคโนโลยี เปน็ ตน้ การเรียนรู้ท่ีเช่ือมโยงเนื้อหาวิชาต่างๆ ท่ีมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน จะท�าให้ผู้เรียน • การเรยี นรเู รอ่ื งการแสดงละครสามารถนาํ ไป เกิดการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย สามารถน�าไปประยุกต์ใช้ในชิีวิตประจ�าวันได้ รู้เท่าทันเหตุการณ์ใน ประยุกตใ ชในชวี ิตประจําวันไดอยา งไร สังคมปัจจุบัน รู้จักวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การนา� กจิ กรรมการละครเขา้ มาสอดแทรกในการเรยี น (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ การสอนสาระตา่ งๆ จะทา� ใหผ้ เู้ รยี นมคี วามสขุ สนุกสนานไปกบั เนือ้ หาสาระของแตล่ ะวชิ า รวมทง้ั ไดอ ยางอิสระ) เป็นการปลูกจิตส�านึกให้เยาวชนได้รู้จักคุณค่าของการละครที่ถือว่าเป็นส่วนหน่ึงของวัฒนธรรม ของสงั คมไทย สา� รวจคน้ หา Explore 4.๑ ละครกับสาระภาษาไทย ใหนักเรียนแบง กลมุ ออกเปน 7 กลุม สาระภาษาไทยมวี รรณคด ี วรรณกรรมเดน่ ๆ อยหู่ ลายเรอื่ ง ซง่ึ การละครไดน้ า� เนอ้ื หาบางตอน ใหนักเรยี นศึกษา คนควา หาความรูเพ่มิ เติม มาดดั แปลงเป็นบทละคร ไดแ้ ก่ หนังสอื ทกี่ า� หนดตามหลักสตู รสว่ นมากจะเปน็ การตดั ตอนมาจาก เกยี่ วกบั ความสมั พนั ธข องละครกบั สาระการเรยี นรอู น่ื บทละครไทย เช่น จากแหลงการเรยี นรูตางๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรียน • ลละะคครรรพา� ดู เชเชน่ น่ เรเรอ่ื ่อื งงอหเิ หวั ในจาน กัเรรอ่ื บง1 รเาปม็นเตก้นยี รติ ์ เร่อื งสงั ขท์ อง เรอ่ื งขนุ ชา้ งขุนแผน เปน็ ต้น หองสมดุ ชุมชน อนิ เทอรเ น็ต เปนตน ในหวั ขอ • ท่ีครูกําหนดให ดังตอไปน้ี • ลละะคครรรหอ้ ลงว งเวชิจน่ ิต รเรว่ือาทงสกาาวรเ คเชรือน่ ฟ เ้าร ่ือเปงเน็ลตอื ้นดสุพรรณ2 เปน็ ต้น • กลุมที่ 1 ละครกบั สาระภาษาไทย ในการเรียนการสอนสาระภาษาไทย กลุมท่ี 2 ละครกับสาระสงั คมศึกษา ควรให้ผู้เรียนน�าบทละครเหล่านี้มาฝกอ่านให้ ถูกต้องตามอักขระ วิธีฝกพูด ฝกเจรจา โดย ศาสนา และวัฒนธรรม การใส่อารมณ์ ตีความตามบทละคร หรือ กลมุ ที่ 3 ละครกับสาระศลิ ปะ น�าโครงเร่ืองมาจากนิทานสุภาษิต เช่น นิทาน กลุมท่ี 4 ละครกบั สาระการงานอาชพี และเทคโนโลยี กลุมที่ 5 ละครกบั สาระสขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา กลุมท่ี 6 ละครกับสาระวทิ ยาศาสตร กลมุ ท่ี 7 ละครกับสาระคณิตศาสตร เรอื่ งชาวนากบั งเู หา่ เรอื่ งกระตา่ ยกบั เตา่ เปน็ ตน้ อธบิ ายความรู้ Explain โดยใหเ้ ปน็ ทง้ั ผแู้ สดงและผชู้ มละคร เพอ่ื ฝก แสดง ความคดิ เห็น วิเคราะห์ วิจารณเ์ รื่องทจี่ ะแสดง ครูสุม นกั เรียน 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม รวมทัง้ ฝก ความร่วมมอื ในการจดั การแสดง ดงั ตอ ไปน้ี การแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ เป็นการน�าเน้ือหา วรรณคดไี ทยมาใชใ้ นการแสดงละครร�า • เพราะเหตุใดจึงมกี ารนาํ ละครมาใชก ับ ทีม่ าของภาพ : คลังภาพ ACT. การเรยี นในกลุมสาระตางๆ (แนวตอบ เพราะจะชวยใหผ เู รียน ๑7๑ เกิดความสนกุ สนานในเนื้อหาของเรอ่ื ง ที่เรียนเพมิ่ มากขึน้ ) แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด นักเรยี นควรรู การจัดการเรียนรแู บบบูรณาการมีความหมายวาอยางไร 1 หวั ใจนกั รบ บทพระราชนพิ นธใ นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูห ัว แนวตอบ การเรยี นรทู เ่ี ชอ่ื มโยงกับเนอื้ หาวิชาตางๆ ทมี่ คี วามสัมพันธ (รัชกาลที่ 6) ทนี่ ยิ มนํามาแสดงเปน ละครพูด จดั เปน บทละครท่แี สดงใหเกดิ เกีย่ วของกันในเนื้อหาสาระ เพอื่ ใหเ กดิ ความรทู ีห่ ลากหลายและสามารถ ความรกั ชาติ โดยเนอื้ เรอ่ื งจะกลา วถึงคุณประโยชนของคณะเสอื ปาและลูกเสือ นําไปประยุกตใ ชใ นชีวติ ประจําวันได เพราะในชวี ติ จรงิ จําเปนตอ งใชค วามรู ทีเ่ ปนกําลังสวนหนึ่งของชาติ ที่สามารถกูชาติ หรือชวยเหลอื ชาติไดแ มในเวลาสงบ และทกั ษะหลายๆ ดาน หลายสาขาวชิ ามารวมกนั เพื่อแกป ญ หาทเี่ กดิ ขน้ึ และเวลาสงคราม ในชีวติ ประจาํ วนั การบรู ณาการเปน การจดั การเรียนรูท ีช่ ว ยเชอื่ มโยง 2 เลอื ดสพุ รรณ บทประพันธของพลตรีหลวงวิจติ รวาทการ จดั เปน บทละคร สิง่ ทเ่ี รยี นใหสัมพันธกบั ชวี ติ จริง รูเทา ทนั เหตกุ ารณในสังคมปจ จบุ ัน องิ ประวัตศิ าสตร การแสดงละครจะเปน แบบผสม คอื มีทงั้ บทพูดแบบละครพดู นกั เรียนจะมีความสุข สนกุ สนานในการทํากิจกรรมตางๆ ในบทเรยี น และการรําแบบละครรํา มกี ารรองเพลงท้งั เพลงไทยเดมิ และเพลงไทยสากล โดยไมรูสกึ เครยี ดกบั กรอบเน้ือหาสาระของวิชาตางๆ นกั เรยี นจะได เนือ้ เรื่องมีความเกี่ยวของกบั การทําศึกสงครามระหวางไทยกับพมา โดยมีเน้อื หา มโี อกาสใชค วามคิด ประสบการณต รงอันเปน การศกึ ษาหาความรทู ดี่ กี วา มุง เนน ปลกุ ใจใหคนไทยเกดิ ความรกั ชาติ การทอ งจําเพยี งอยางเดยี ว คู่มือครู 171

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นกลุมที่ 1 - 3 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา การน�าบทละครในสาระภาษาไทยมาแสดง จะท�าให้จ�าเรื่องราวในบทละครได้อย่างแม่นย�า หาความรเู พ่มิ เติมเกย่ี วกับความสัมพนั ธข องละคร อีกท้ังในบทละครแตล่ ะเรอื่ งยงั มแี นวคดิ คตสิ อนใจ สา� นวนทเ่ี ปน็ สภุ าษติ คา� พงั เพย ผเู้ รยี นจะได้ กบั สาระการเรียนรอู น่ื สงตัวแทนกลมุ ละ 2 - 3 คน นา� มาประยกุ ต์ใช้ในการแสดง สนุ ทรพจน ์ อภปิ ราย เล่านิทาน ขับเสภา หรอื อ่านทา� นองเสนาะ ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอ ละครกบั สาระภาษาไทย นอกจากน้ี ผู้เรียนยังสามารถท่ีจะน�ากิจกรรมของการละครเข้ามาสอดแทรกแสดงให้เพื่อนชม ละครกบั สาระสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม เป็นการผ่อนคลายความเครยี ดและเรียนบทเรยี นดว้ ยความสนกุ สนาน ไมน่ ่าเบอ่ื หนา่ ยไดอ้ กี ด้วย และละครกับสาระศิลปะ ตามท่ไี ดศ กึ ษามา หนาช้ันเรียน จากนน้ั ครถู ามนกั เรยี นวา 4.๒ ละครกบั สาระสงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ละครมบี ทบาทหนา้ ทรี่ บั ใชส้ งั คม มอี ทิ ธพิ ลทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงทศั นคต ิ แนวคดิ พฤตกิ รรมของ • นักเรียนสามารถนาํ ละครมาใชกบั สาระ มนษุ ย์ไดเ้ ปน็ อยา่ งด ี ทงั้ น ้ี เพราะมนษุ ยม์ กั จะไมช่ อบใหใ้ ครมาสงั่ สอนแบบตรงๆ เพราะถอื เปน็ ความ ภาษาไทยไดอ ยา งไร น่าเบอื่ นา่ รา� คาญ ละครจงึ รบั หน้าทเี่ ป็นครูของสังคมทางอ้อม ด้วยวิธกี ารสอดแทรกบทเรียนไว้ (แนวตอบ นํามาประยกุ ตใ ชโ ดยการนํานทิ าน ในบทบาทของตวั ละคร ถงึ แมจ้ ะมกี ารสอนแบบตอกยา้� ซา�้ ทวนสกั เทา่ ใด ผชู้ มละครกจ็ ะไมเ่ บอ่ื หนา่ ย สภุ าษติ มาเปน โครงเรอ่ื งของละคร เชน บางคนดูละครเรื่องเดียวกันซ�้าแล้วซ�้าอีกด้วยความซาบซึ้งและช่ืนชอบ ขณะเดียวกันผู้ชมก็อาจ นิทานเรอ่ื งชาวนากับงูเหา กระตา ยกบั เตา จดจา� พฤติกรรมท่ดี ขี องตัวละคร แลว้ นา� มาเป็นแบบอยา่ งในการดา� เนินชวี ิต เปนตน ท้งั ยงั สามารถฝก เขยี นบทละคร เน้ือหาท่ีอยู่ในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมท่ีสามารถน�ามาแต่งเป็น และนาํ บทละครนนั้ มาฝก พดู โดยการออกเสยี ง บทละครให้ผู้เรียนแสดงได้มีอยู่มากมายหลายเรื่อง เช่น ประวัติบุคคลส�าคัญ วีรบุรุษ วีรสตร ี ใหถ กู ตอ งชดั เจนตามอกั ขรวธิ ี หรอื นาํ ไปแสดง เหตกุ ารณ์ส�าคัญของประเทศชาต ิ ประเพณ ี วฒั นธรรมทส่ี �าคัญ เป็นตน้ ในกิจกรรมของโรงเรยี นก็ได) นอกจากน ้ี ขนบธรรมเนยี ม ประเพณ ี สภาพชวี ติ ความเปน็ อยขู่ องผคู้ น การเมอื ง การปกครอง ในอดตี เรากส็ ามารถเรยี นรไู้ ดผ้ า่ นทางละคร โดยเฉพาะละครพน้ื บา้ นจะมภี มู ปิ ญั ญาไทยท่บี รรพบรุ ษุ • นอกจากละครจะมบี ทบาทหนา ที่ในการรบั ใช สง่ั สม สบื ทอดต่อๆ กันมาสอดแทรกไว้อยูด่ ้วยเสมอ สังคมแลว นกั เรยี นคิดวาละครยังมีบทบาท 4.3 ละครกบั สาระศลิ ปะ หนาทอ่ี ืน่ ๆ ตอสังคมอยางไรอกี บาง การแสดงละคร ถอื เปน็ ศนู ยร์ วมของศลิ ปะ (แนวตอบ มอี ทิ ธพิ ลในการเปลยี่ นแปลงทศั นคติ ทกุ สาขา สา� หรบั ความสมั พนั ธข์ องการละครกบั แนวคดิ และพฤตกิ รรมของมนษุ ยใหเปนไป ทัศนศิลป์น้ันจะปรากฏในละครทุกเรื่อง เพราะ ตามรูปแบบของสงั คม เพอื่ ใหมนุษยส ามารถ องค์ประกอบของละครจะต้องสร้างบรรยากาศ อยใู นสังคมไดอ ยางมีความสขุ ) เพื่อช่วยให้ผู้ชมมีความรู้สึกคล้อยตามไปกับ เรอ่ื งได ้ เชน่ ฉาก เครอ่ื งแตง่ กาย การแตง่ หนา้ • เพราะเหตุใดจึงมคี ํากลา ววา การใหแ้ สง ส ี และการแสดงบทบาทของตวั ละคร “ละครเปนศนู ยรวมของศลิ ปะทุกแขนง” ตอ้ งอาศยั การนา� องคป์ ระกอบศลิ ป ์ เชน่ จดุ เสน้ (แนวตอบ เพราะในการแสดงละครทกุ เรอื่ ง การแต่งหน้าผู้แสดงให้เหมาะสมกับบทบาท จะต้องน�า รูปรา่ ง รูปทรง สี มาประยุกต์ใช้ เป็นต้น ตอ งมีการสรางบรรยากาศใหเหมาะสม ความรดู้ า้ นศลิ ปะมาประยุกตใ์ ช้ ตามทอ งเรอ่ื ง เพอื่ ดงึ ดดู ใหผ ชู มเกดิ ความสนใจ ท่ีมาของภาพ : http://www.suchabooknerd.word- และคลอ ยตามไปกบั การแสดงละคร press.com จึงมีการนําศลิ ปะมาใชใ นการสรา งสรรค งานตางๆ เชน ฉาก เครือ่ งแตงกาย ๑7๒ การแตงหนา แสง สี เสยี ง เปนตน) เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอ ใดเปน การนําละครมาประยุกตใ ชกับสาระภาษาไทยไดถ ูกตอ ง ครคู วรนําภาพการแตง หนาตัวละครในแบบตางๆ มาใหน กั เรยี นดู เชน 1. มกี ารนาํ เอาบทละครมาฝกอานใหถ กู ตองตามอกั ขระ การแตง หนา ตวั ละครทแี่ สดงเปน สตั ว การแตง หนา ตวั ละครแนวแฟนตาซี การแตง หนา 2. มีการยืดหยุน รางกายทุกครง้ั เพ่อื เตรียมความพรอ มกอ นเร่ิมฝก การแสดง ตัวละครที่แสดงเปน ภตู ผี เปนตน พรอมท้ังอธบิ ายเพม่ิ เตมิ วาการแตง หนา ในลกั ษณะ 3. มกี ารสรา งฉาก เครื่องแตง กาย โดยนําความรเู รือ่ งองคป ระกอบศิลปม าใช ตา งๆ นั้น ชางแตงหนา จะตองมคี วามรู ความเขา ใจเก่ยี วกบั การใชท ัศนธาตุ 4. มีการนําเศษวสั ดเุ หลือใชม าประดษิ ฐอ ปุ กรณส าํ หรบั ใชป ระกอบการแสดง ซึง่ เปน องคป ระกอบของงานทัศนศิลป ไดแ ก จดุ เสน สี แสง - เงา รปู รา ง รูปทรง วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เพราะวิชาภาษาไทย เปน วชิ าที่เก่ียวกบั และพน้ื ผวิ มาใชเ ปน หลกั ในการออกแบบการแตง หนา ของนกั แสดงใหม คี วามเหมาะสม การอา น ดงั น้ัน การนําเอาบทละครมาฝก อา นใหถ กู ตองตามอักขระ กบั บทบาททไี่ ดรับ เพ่อื สรา งความสมจรงิ ทําใหละครนาชมมากย่งิ ขนึ้ จึงเปน คาํ ตอบทถ่ี ูกตอง 172 ค่มู อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 4 - 5 ท่ีไดศ ึกษา คน ควา หาความรเู พมิ่ เติมเกีย่ วกบั ความสมั พันธข องละคร การจัดต�าแหน่งของผู้แสดงบนเวที การเคล่ือนไหวของตัวละคร ด้านหน้า ด้านข้าง กบั สาระการเรียนรอู ื่น สง ตวั แทนกลมุ ละ 2 - 3 คน ดา้ นเฉยี ง ยอ่ มแสดงความรสู้ กึ อารมณ ์ ส ี และนา�้ หนกั การจดั ฉาก ผแู้ สดงบนเวทจี ะอยู่ในตา� แหนง่ ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอ ละครกบั สาระการงาน- ทน่ี า้� หนกั มคี วามสมดลุ กนั ทง้ั ๒ ดา้ น สว่ นทเ่ี บาจะเปน็ บรเิ วณทม่ี สี อี อ่ น หรอื ใชอ้ ปุ กรณป์ ระกอบฉาก อาชพี และเทคโนโลยีและละครกบั สาระสขุ ศึกษา มาตั้งถ่วงดุล ซ่ึงการน�าองค์ประกอบต่างๆ มารวมกัน ผู้สร้างสรรค์ต้องค�านึงถึงความมีเอกภาพ และพลศึกษา ตามทีไ่ ดศ ึกษามาหนาช้ันเรยี น ความสมดุล ความกลมกลนื และความแตกต่างอนั เป็นองคป์ ระกอบทางด้านทศั นศลิ ป์ จากนัน้ ครูถามนักเรยี นวา นอกจากนี้ ดนตรีก็เป็นสิ่งจ�าเป็นมากส�าหรับการแสดงละคร โดยเฉพาะเพลงภูมิหลัง เป็นเพลงท่ีจะให้อารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ไปตามบทบาทของตัวละคร รวมทั้งในการแสดง • เทคโนโลยเี ขา มามสี ว นชว ยในการสรา งสรรค นาฏศลิ ป ์ จา� เปน็ ตอ้ งมดี นตรีบรรเลงประกอบ เพื่อสรา้ งบรรยากาศและกา� กบั จงั หวะในการรา่ ยรา� งานละครอยา งไร ให้มีความพรอ้ มเพรียงกันไดอ้ ยา่ งลงตัว (แนวตอบ เพราะในปจ จุบันมีการนาํ นา� ทา่ ใรนา� ดมา้านปนระาดฏษิศฐลิ เ์ปป ์ น็ถา้รเะปบน็า� เลพะคอ่ื ปรรรา�ะกกจ็อะบตเอ้รงอื่ นง า� หหรลอื กั แวสชิ ดางมสาลปบั รฉะดากษิ ฐเชท์ น่า่ ร รา� ะ แบลา� ะอถธา้ษิ เปฐาน็ นล1 ะรคะบรสา� ารกะฆลกงั ็ คอมพิวเตอรก ราฟก เขา มาชว ยเสรมิ สรา ง ระบ�าในน�้ามปี ลาในนามขี า้ ว ทปี่ รากฏในเรื่องอานภุ าพพ่อขนุ รามคา� แหง เปน็ ตน้ ใหล ะครดมู ีความสมจรงิ มากยิง่ ขึน้ 4.4 ละครกบั สาระการงานพื้นฐานอาชพี และเทคโนโลยี โดยเฉพาะการสรา งฉากทมี่ คี วามอลังการ สาระการงานพน้ื ฐานอาชพี และเทคโนโลย ี มคี วามสมั พนั ธก์ บั สาระของการละคร เพราะการแสดง หรอื สอดคลอ งกบั บรบิ ทของเรื่อง แทนการ ละครจะตอ้ งประกอบไปดว้ ยการสรา้ งฉาก สร้างเคร่อื งแตง่ กาย เครอ่ื งประดับ การแตง่ หนา้ ทา� ผม ใชช า งวาดอยา งสมยั กอ น เพราะทาํ ไดร วดเรว็ การจัดสร้างอุปกรณ์ประกอบฉาก และอุปกรณ์ประกอบการแสดง ส่ิงเหล่านี้ถือเป็นผลงานการ ประหยัดเวลาและคาใชจ ายไดมาก ประดษิ ฐท์ งั้ สนิ้ ซง่ึ ในการประดษิ ฐเ์ ครอื่ งแตง่ กาย เครอ่ื งประดบั อปุ กรณป์ ระกอบฉาก และอุปกรณ์ และในขณะเดียวกันก็สามารถปรับเปลย่ี น ประกอบการแสดง จะตอ้ งประดษิ ฐ์ใหส้ อดคลอ้ งเหมาะสมกบั ละครเรอ่ื งทแ่ี สดงและควรคา� นงึ ถงึ หลกั ฉากไดบ อ ยคร้ัง) ความพอเพียง โดยเลือกใช้วัสดุทม่ี ีอยู่ในทอ้ งถนิ่ นอกจากน ี้ อปุ กรณ์ประกอบในการเรยี น อาจจ�าเป็นต้องอาศัยเคร่อื งยนตก์ ลไก ไฟฟ้า ระบบ • เพราะเหตใุ ดการละครจงึ จัดเปน อิเล็กทรอนิกส์ หรือใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย เพื่อให้ปฏิบัติงานได้ง่าย สะดวกในการก�ากับ กิจกรรมนันทนาการ และท�าให้เกิดความสมจริง ซ่ึงต้องอาศัยพ้ืนฐานวิชาความรู้จากสาระการงานพ้ืนฐานอาชีพและ (แนวตอบ เพราะเปนกิจกรรมทส่ี ามารถ เทคโนโลยีเขา้ มาประยกุ ต์ใช้ เขารวม หรือกระทาํ โดยความพึงพอใจ ในเวลาวาง กอ ใหเกิดความสนุกสนาน 4.๕ ละครกบั สาระสขุ ศกึ ษาและพลศึกษา เพลิดเพลิน ผอนคลายความตึงเครยี ด ท้ังรา งกายและจิตใจ ชวยพฒั นาทกั ษะ ตางๆ โดยเฉพาะทกั ษะทางดา นรางกาย ในกลมุ่ สาระน ี้ วชิ าทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การละครอยา่ งมากกค็ อื วชิ าพลศกึ ษา ไดแ้ ก ่ การเคลอ่ื นไหว จติ ใจ อารมณ และสังคม) รา่ งกาย การออกกา� ลงั กาย และกจิ กรรมนนั ทนาการ กลา่ วคอื การละครถอื เปน็ กจิ กรรมนนั ทนาการ • การเตรียมความพรอ มมีความสาํ คัญ ไดอ้ ยา่ งหนง่ึ เนอื่ งจากไดใ้ ชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ปน็ ประโยชน ์ อกี ทง้ั การละครยงั ชว่ ยสรา้ งความพงึ พอใจตอ่ ตอ การแสดงละครอยา งไร (แนวตอบ นักแสดงทกุ คนจะตองมสี ุขภาพ ความต้องการของมนษุ ย์ เปน็ การเสรมิ สร้างสขุ ภาพทงั้ กายและใจ เป็นการผอ่ นคลายความเครยี ด รา งกายทแี่ ขง็ แรง คลอ งแคลว มบี คุ ลกิ ภาพดี เพราะการแสดงบางฉากตอ งใชค วามแขง็ แรง ๑73 ของรา งกาย ดงั นนั้ จะตอ งมกี ารเตรยี มความ พรอ มกอ นทกุ ครงั้ เพอ่ื ไมใ หเ กดิ การผดิ พลาด เพราะอาจไดร ับบาดเจ็บได) กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู ใหนักเรยี นเขียนแผนผังความคดิ (Mind Mapping) บูรณาการการ 1 ระบาํ อธิษฐาน เปน ระบาํ ทีม่ าจากบทละครเรอื่ ง “อานภุ าพพอขนุ รามคาํ แหง” สรางสรรคง านละครกบั สาระวชิ าตา งๆ ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครผู สู อน ประพันธโดยหลวงวิจติ รวาทการ เน้อื รองจะเปนการกลา วปลกุ ใจใหค นไทย มคี วามรกั ชาติ สมัครสมานสามัคคี นิยมนํามาเปน การแสดงเปน ชุดเบด็ เตลด็ กิจกรรมทา ทาย สาํ หรบั รําโดยทัว่ ไป ซึ่งมีบทรอ ง ดงั น้ี ใหนักเรียนแตงบทละคร 1 เรือ่ ง โดยใหบ ทละครเร่ืองนัน้ สามารถ “อธิษฐานเอย สองมอื จับพาน ประดับพวงพทุ ธชาด บรู ณาการรวมกบั การเรียนในวิชาตา งๆ ไดอ ยา งครบถว น จากนน้ั ออกมา ขอกุศลผลบญุ จงมีแตผ ูทําคุณ ประโยชนไวในชาติ นาํ เสนอผลงานใหเ พอ่ื นชมหนา ชน้ั เรยี น โดยมคี รูเปน ผูช แี้ นะความถกู ตอง อยามใี ครคดิ ราย มงุ ทําลายชาติไทย ขอใหทุกคนสนใจ หว งใยประเทศชาติ ใหไ ทยเรานี้ มคี วามสามารถ ชวยตวั ชว ยชาติ ทําใหไทยเปน เมอื งทอง อธษิ ฐานเอย สองมือจับพาน ประดับพวงผกากรอง ขอไทยรักไทย รว มเปน มิตรมัน่ ใจ ถือไทยเปน พนี่ อ ง อยามีการยแุ ยก อยา ทําใหแ ตกราวฉาน ขอใหชว ยกนั สมาน เพ่อื นไทยท้งั ผอง มุงสามคั คี เหมอื นพ่เี หมอื นนอ ง กลมเกลยี วเกยี่ วขอ ง รกั กนั ทั่วทกุ คน” คูม่ ือครู 173

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 6 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา ขณะเดียวกัน การละครน้ันนอกจากเราจะเข้าร่วมในฐานะเป็นผู้แสดง หรือเป็นทีมงานจดั หาความรเู พมิ่ เติมเกย่ี วกบั ความสมั พันธข องละคร การแสดงแลว้ เรากย็ งั สามารถเขา้ รว่ มในฐานะผชู้ มไดอ้ กี ดว้ ย นบั เปน็ กจิ กรรมนนั ทนาการทเี่ หมาะสม กบั สาระการเรียนรูอ่นื สง ตัวแทนกลุมละ 2 - 3 คน กบั บุคคลทกุ เพศทุกวัย ออกมาอธบิ ายความรใู นหัวขอ ละครกบั สาระ สา� หรบั วชิ าพลศกึ ษากม็ คี วามสมั พนั ธก์ บั ละครอยา่ งใกลช้ ดิ ในดา้ นการเตรยี มความพรอ้ มของ วทิ ยาศาสตรตามทไี่ ดศกึ ษามาหนาชั้นเรยี น รา่ งกาย เพ่ือฝก ให้ร่างกายมคี วามยดื หย่นุ และแข็งแรง ข้นั ตอนในการเตรยี มความพรอ้ มทางดา้ น จากน้ันครถู ามนกั เรียนวา รา่ งกาย มีดังน้ี ๑. ยืนตรง เขยง่ ปลายเทา้ ทง้ั ๒ ข้าง นบั ๑ ถึง ๑๐ แลว้ วางส้นเทา้ ลงบนพนื้ ท�าสลับ • การแสดงละครสามารถนาํ ความรเู ก่ียวกับ ไปมาประมาณ ๗ - ๘ คร้งั วิทยาศาสตรเ รอื่ งใดมาใชป ระโยชน ๒. บริหารไหล ่ โดยยกไหล่ทั้ง ๒ ข้างขึ้นให้สูงและลดลง (แนวตอบ เรอื่ งแสง สี เสียง และอุปกรณเ สริม ๓. บริหารคอ โดยการก้มและเงยอย่างช้าๆ และเอียงศีรษะไปด้านข้างทางซ้ายและ ตา งๆ ท่จี ะชว ยใหก ารแสดงละครมคี วาม ทางขวา โดยท�าสลับกนั สมจรงิ และนาติดตามมากยง่ิ ขึน้ ) ๔. บริหารเอว โดยการเอียงตัวไปดา้ นข้างทางซ้ายและทางขวา ๕. บรหิ ารหัวเข่า โดยการย่อตัวลงและยดื ตวั ข้นึ • นกั เรียนทราบหรือไมวา เทคนคิ ทางเคมี ๖. การท�าร่างกายใหเ้ กดิ ความอบอุ่นโดยการวิง่ เหยาะๆ อย่กู บั ที่ ทเี่ ราพบเหน็ ไดบ อ ยในการแสดงละครคอื สงิ่ ใด นอกจากน ี้ เกมทางดา้ นพลศกึ ษากส็ ามารถนา� มาใชช้ ว่ ยฝก ทกั ษะ เพอื่ พฒั นาการแสดงใหแ้ ก่ (แนวตอบ เคร่ืองทาํ ควัน (Dry Ice) นํามาสรา ง ผแู้ สดง เชน่ เกมรบั สง่ ลกู บอล เกมตกุ ตาลม้ ลกุ เปน็ ตน้ เพอื่ ฝก ความคลอ่ งตวั และปฏภิ าณไหวพรบิ เปนหมอกในฉากทีต่ องแสดงใหเ ห็นถึง 4.6 ละครกับสาระวทิ ยาศาสตร์ ดนิ แดนแหงสรวงสวรรค หรอื ส่อื ถึงลกั ษณะ ชวนฝน เคลิบเคลิ้ม ลึกลับ ซง่ึ เปน การชว ย สรา งบรรยากาศใหด มู คี วามสมจรงิ มากยง่ิ ขนึ้ ) อปุ กรณเ์ คร่อื งมอื ทางวิทยาศาสตร ์ โดยเฉพาะแสง ส ี เสียง และอปุ กรณเ์ สริมต่างๆ จะชว่ ย สนบั สนนุ ใหก้ ารแสดงมคี วามสมจรงิ ตระการตา ช่วยสอ่ื ความหมายและอารมณ์ ท�าให้การแสดง นา่ ดู นา่ ชม ชวนให้ติดตามมากขึ้น แสงมีความส�าคัญ เพราะให้ความสว่าง บง่ บอกเวลา และชว่ ยสรา้ งอารมณ ์ พนื้ ท่ีใหแ้ สง ความเขม้ ของแสง ทศิ ทางของแสง สขี องแสง และ ความสมจริง จะตอ้ งนา� ความรทู้ างวิทยาศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ เทคนิคพิเศษท่ีช่วยสร้างความ ต่ืนเต้นและเทคนิคทางเคมี ไฟฟ้ามาประยุกต์ เชน่ ฉากฝนตก ไฟไหม ้ ฟา้ แลบ การเหาะเหนิ การใชส้ ะเกด็ ไฟ เปน็ เทคนคิ พเิ ศษทสี่ รา้ งความตนื่ ตาตน่ื ใจ เดนิ อากาศ เป็นต้น ให้ผู้ชม โดยการใชค้ วามรทู้ างวิทยาศาสตร์ ๑74 เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET สีของแสงมีอทิ ธพิ ลตอการแสดงละครหรือไม อยา งไร ครคู วรอธบิ ายความรูเพม่ิ เตมิ เกี่ยวกับเทคนคิ การทาํ เสียง เพ่ือใชป ระกอบการ- แนวตอบ มี เพราะในการแสดงละครจะมีการใชสีเขาไปเปน สวนเกยี่ วขอ ง แสดงละครวา ในการแสดงละครจะมกี ารสรา งฉากทม่ี บี รรยากาศแตกตา งกนั ออกไป เสมอ เชน ในการสรางฉาก เคร่ืองแตง กาย การแตงหนา เปน ตน ซง่ึ สีแตละสี ซง่ึ ข้นึ อยูก ับเนอ้ื เรื่องท่ีปรากฏอยูในแตล ะฉาก สง่ิ ที่ทําใหผูช มไดรบั ความสขุ จาก จะใหความรสู กึ ท่แี ตกตา งกนั ท้งั น้ี ข้ึนอยูก บั ประสบการณและภูมหิ ลัง เชน การชมการแสดงนนั้ ยงั มสี ง่ิ สาํ คญั ในการสรา งฉากทข่ี าดไมไ ด คอื เทคนคิ ของเสยี ง เชน สีแดง หมายถึง ความเขม แข็ง, แข็งกรา ว, เปนผนู าํ , ตื่นเตน , ความรอน, เสียงคลน่ื จะใชถว่ั เขยี วเทลงบนหนา กลอง แลวจบั กลองโยกไปมา ทาํ ใหขางหน่งึ สูง รุนแรง, การดึงดดู ความสนใจ, โรแมนตกิ สเี หลอื ง หมายถงึ จนิ ตนาการ, อกี ขา งหนงึ่ ตาํ่ ถั่วจะว่ิงบนหนากลอง ทาํ ใหเกิดเสียงดงั คลา ยเสียงคล่นื เสียงฝนตก ความสุข, กระตือรือรน , อบอุน, เฉียบแหลม, อารมณข ัน, เพอฝน, จะใชถวั่ ขาวสาร ทรายเทรวมกนั แลว รอ นดวยตะแกรงลงบนแผนโลหะ คือ ชาม ความคิดสรางสรรค สีเขยี ว หมายถงึ อดุ มสมบรู ณ, การเติบโต, สดชนื่ , ในจงั หวะทส่ี มา่ํ เสมอจะเกดิ เปน เสยี งฝนตก เสยี งฟา ผา จะใชแ ผน โลหะชนดิ บางสะบดั ธรรมชาต,ิ สิ่งแวดลอ ม, เงยี บสงบ, สมดลุ , แบง ปน, มติ รภาพ เปนตน อยางแรงแลวตกี ลอง หรือแผน สังกะสีตดี วยไมตีกลองพรอ มกับเปด สวิตชไฟแลบ จะทําใหเกดิ เสียงฟาผา เปนตน ซงึ่ จะทําใหนักเรียนมีความรู ความเขาใจเกย่ี วกบั เทคนคิ การทําเสยี งเพ่อื ใชประกอบการแสดงละครไดด ีย่ิงข้นึ 174 คูม่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเข้าใา้ จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ขณะเดยี วกนั การใช้เสียงประกอบกช็ ว่ ยสรา้ งบรรยากาศ เร้าอารมณผ์ ู้ชม เชน่ เหตกุ ารณ์ ครใู หนกั เรยี นกลุม ท่ี 7 ท่ไี ดศกึ ษาคนควา ตอนฟา้ ผา่ ถา้ มแี สงฟา้ ผา่ แตไ่ มม่ เี สยี ง ละครกค็ งไมน่ า่ ตดิ ตาม แตถ่ า้ มเี สยี งฟา้ ผา่ ดงั ๆ บรรยากาศ หาความรูเพ่ิมเตมิ เกยี่ วกับความสัมพนั ธของละคร ก็จะมคี วามต่นื เตน้ มากขนึ้ กับสาระการเรยี นรูอ่นื สงตวั แทนกลมุ ละ 2 - 3 คน 4.7 ละครกบั สาระคณติ ศาสตร ์ ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอละครกบั สาระ ผอู้ า� นวยการสรา้ งจะตอ้ งกา� หนดวงเงนิ เพอื่ ใชเ้ ปน็ งบประมาณในการผลติ ฝา่ ยเหรญั ญกิ จะตอ้ ง คณติ ศาสตร ตามท่ีไดศึกษามาหนา ช้ันเรยี น จดั ทา� บญั ชรี ายจา่ ยของฝา่ ยตา่ งๆ และบนั ทกึ ไวเ้ ปน็ หลกั ฐาน เชน่ ฝา่ ยเทคนคิ ตอ้ งออกแบบสรา้ งฉาก จากนั้นครถู ามนกั เรียนวา เคร่อื งแตง่ กาย แสง สี เสยี งก็ต้องจัดทา� งบประมาณให้ชดั เจน เปน็ ต้นวา่ การสรา้ งฉากมีจา� นวน กฉี่ าก จา� นวนคนผทู้ า� หนา้ ทสี่ รา้ งฉาก ทาส ี ขนยา้ ยฉาก ซงึ่ ตอ้ งใชเ้ งนิ ทงั้ สน้ิ เทา่ ใด ฝา่ ยเครอ่ื งแตง่ กาย • ความรูในกลุมสาระคณิตศาสตรสามารถนํา ต้องค�านวณว่าเส้ือผ้าในการแสดงจะใช้ทั้งหมดก่ีชุด จะขอยืม เช่า หรือต้องตัดเย็บใหม่ รวมถึง มาใชใ นการจดั การแสดงละครไดอยางไร ค่าใช้จ่ายในการแต่งหน้า ท�าผม ซื้อส่ิงของเคร่ืองใช้ต่างๆ ซึ่งแต่ละฝ่ายต้องจัดท�าบัญชีรายจ่าย (แนวตอบ นาํ มาใชใ นการกําหนดวงเงนิ มาเสนอ เพือ่ จะไดเ้ หน็ ภาพรวมของงบประมาณทจี่ ะใช้ทัง้ หมด เพ่ือนํามาใชเปนคาใชจายสาํ หรับฝา ยตางๆ นอกจากน้ี ความรู้ทางคณิตศาสตร์ยังน�ามาใช้ค�านวณถึงความเป็นไปได้ในการวางแผน และใชในการคํานวณพ้นื ท่ีการแสดง การแสดงในแตล่ ะฉาก เชน่ การคา� นวณพน้ื ทหี่ นา้ เวท ี เพอ่ื จะไดก้ า� หนดจา� นวนผแู้ สดงและอปุ กรณ์ เพอื่ จะไดก าํ หนดจาํ นวนนกั แสดงและอปุ กรณ ประกอบฉากทเี่ หมาะสม ไมม่ ากไปจนแน่น หรอื วา่ งไปจนดูไม่สวยงาม เป็นต้น ประกอบฉากไดอ ยา งถกู ตองเหมาะสม) ขยายความเขา้ ใจ E×pand กจิ กรรม ศลิ ปป์ ฏิบัต ิ ๑๐.๒ ใหน ักเรียนนาํ ขอมูลเก่ียวกับความสัมพนั ธ ของละครกบั สาระการเรียนรอู ่ืนมารว มกัน กจิ กรรมท่ี ๑ ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ ๓ - ๕ คน ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ หาภาพการแสดงละคร จดั นิทรรศการเร่อื ง “ละครกบั การเรยี นร”ู (จะเปน็ ละครรา� หรอื ละครที่ไม่ใชท้ า่ รา� ก็ได)้ จา� นวนภาพทจี่ ะใชแ้ ลว้ แตค่ วามเหมาะสม พรอ มหาภาพมาประกอบใหสวยงาม กจิ กรรมท่ี ๒ แลว้ ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ จดั ทา� รายงานวเิ คราะห ์ วจิ ารณล์ ะครดงั กลา่ ว แลว้ นา� มาสง่ ครผู สู้ อน กิจกรรมท่ี ๓ ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคนเขยี นอธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการละครกบั สาระการเรยี นรตู้ า่ งๆ มา ๑ สาระ ความยาวประมาณ ๑ หนา้ กระดาษรายงาน แลว้ น�าส่งครูผูส้ อน ใหน้ กั เรียนตอบคา� ถามตอ่ ไปนี้ ๑. การแสดงท่ีเป็นละครจะต้องมอี งค์ประกอบใดบ้าง จงอธบิ าย ๒. ในการวเิ คราะห์ วิจารณ์ละคร ผวู้ ิจารณต์ อ้ งมีคุณสมบตั อิ ย่างไร ๓. การละครมคี วามสมั พันธก์ บั สาระการเรยี นร้อู ่ืนๆ อยา่ งไร ให้อธบิ ายมาพอสังเขป ๑7๕ แนวตอบ กิจกรรมศิลปปฏบิ ัติ 10.2 กจิ กรรมที่ 3 1. องคประกอบของละคร ไดแก เร่ือง เนือ้ หาสรปุ หรือแนวคิด นิสยั ตัวละคร และบรรยากาศ 2. คณุ สมบตั ิผูวจิ ารณการละคร ไดแ ก 1) เรอ่ื ง (Story) ละครตองมเี รอ่ื งราว ผูช มละครจะรเู รือ่ งของละครไดโ ดยการฟง จากบทเจรจาของตวั ละคร 2) เน้อื หาสรปุ หรอื แนวคิด (Subject or Theme) ผูประพนั ธบทละครจะตอ งมีแนวคิดท่จี ะนาํ พาใหเรื่องดําเนินไปสูจุดหมาย จดุ ประสงคข องการใหแนวคิด ก็เพอื่ ใหเนื้อเรอ่ื งของละครเกดิ ความประทบั ใจแกผ ูช ม 3) นสิ ยั ตวั ละคร (Characterization) ตัวละครจะทําหนาทใ่ี หกําเนดิ โครงเรอ่ื งและเน้อื เร่อื ง ผเู ขยี นบทละครตองสรา งตัวละครใหตรงกบั เนื้อหาสรปุ 4) บรรยากาศ (Atmostphere) การสรางบรรยากาศท่ีเกยี่ วขอ งกับตัวละครจะตองกลมกลนื กบั บทบาทของตัวละคร ซงึ่ นบั เปน กลวธิ อี นั สําคัญอยา งหน่ึง ของการแสดงละคร 3. การละครมคี วามสมั พนั ธก บั สาระการเรยี นรอู น่ื ๆ ไดแ ก ละครกบั สาระภาษาไทย ละครกบั สาระสงั คม ศาสนา และวฒั นธรรม ละครกบั สาระศลิ ปะ ละครกบั สาระการงานอาชพี และเทคโนโลยี ละครกับสาระสุขศกึ ษาและพลศึกษา ละครกับสาระวทิ ยาศาสตร และละครกับสาระคณิตศาสตร เชน ละครกับภาษาไทย นาํ กิจกรรมการแสดงละคร มาสอดแทรกในบทเรยี น ละครกบั สาระสังคม ศาสนา และวฒั นธรรม ละครสะทอ นสภาพสังคมใหเ ยาวชนไดเ รยี นรู ละครกบั สาระศลิ ปะ การละครถอื เปนศูนยรวมของ ศลิ ปะ เปน ตน ค่มู ือครู 175

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครูพิจารณาจากการจดั นทิ รรศการเรอ่ื ง กลาวโดยสรุป ละครถือเปนศิลปะแขนงหนึ่งท่ีชวยสรางสรรคสุนทรียภาพ “ละครกับการเรยี นรู” ของนักเรียน โดยพจิ ารณา ในดานความถกู ตองของเนื้อหา การนําเสนอขอ มูล ใหเ กดิ แกม นษุ ย แตก ารจะสรา งสรรคล ะครทด่ี มี คี ณุ ภาพขนึ้ มาไดน นั้ จาํ เปน จะตอ งอาศยั ความสวยงาม และความคิดริเร่มิ สรางสรรค ประสบการณ ทกั ษะ ฝม อื และวชิ าความรแู ขนงตา งๆ มาประมวลเขา ดว ยกนั รวมทงั้ ละคร แตละประเภทก็มีหลกั ในการสรา งสรรคต างกนั ออกไป ซ่งึ ผสู รา งจะตองมคี วามเขาใจใน หลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู องคประกอบตา งๆ อยางครบถวน ผลงานทสี่ ือ่ ออกมาจงึ จะดมี คี ุณภาพ ขณะเดยี วกนั ก็ตองนอมรับคําวิจารณติชมจากผูชมดวย โดยผูที่จะวิเคราะห วิจารณละครจะตอง 1. ผลการสรุปสาระสําคญั เก่ยี วกบั หลักการ มคี ณุ สมบตั กิ ารเปน ผวู จิ ารณท ด่ี แี ละรหู ลกั การวเิ คราะหล ะครแตล ะประเภทอยา งถอ งแท สรางสรรคก ารแสดงละคร ท้ังนี้ การละครนอกจากจะเปนสื่อเพ่ือความบันเทิงแลว ยังสามารถจะนํามาใช 2. ผลการสรปุ สาระสําคัญเก่ยี วกับองคประกอบ เปน เครอื่ งมอื ในการถา ยทอดสาระความรูใ นกลมุ สาระตา งๆ ไดดอี กี ดวย เพราะสามารถ ของละคร เขาถงึ ไดง าย ขณะเดียวกนั ในการสรางสรรคละครแตล ะเรอ่ื งกจ็ ําเปนตอ งใชวิชาความรู จากกลมุ สาระตา งๆ เขามาประยกุ ตใชเ ชน เดียวกนั 3. ผลการปฏบิ ัติการแสดงละครสัน้ 4. ผลการวจิ ารณบทละคร 5. ผลการจัดนิทรรศการเร่ือง “ละครกบั การเรยี นร”ู ๑76 เกร็ดแนะครู บรู ณาการเชอ่ื มสาระ จากการศึกษาเกีย่ วกบั ฉากการแสดงละคร สามารถเช่อื มโยงกับ ครคู วรแนะนาํ นักเรียนวานอกจากละครจะสามารถนาํ มาบรู ณาการกับสาระ การเรยี นการสอนในกลุมสาระการเรยี นรูศ ลิ ปศกึ ษา วิชาทัศนศลิ ป วชิ าตางๆ ไดแลว ยงั สามารถนาํ มาบูรณาการกับสาระวชิ าภาษาองั กฤษไดอ ีกดว ย ในเร่ืองจิตรกรรม เพราะการสรา งฉากการแสดงละคร ผูสรางฉากจาํ เปน เนอ่ื งจากวิชาภาษาอังกฤษ เปนวิชาทีใ่ ชทักษะในการทองจาํ คําศพั ทและศกึ ษา ตองมีความรูในเรือ่ งของจติ รกรรม ซึง่ เปน งานศลิ ปะท่แี สดงออกดว ย ไวยากรณ เพอื่ เรยี บเรยี งการพดู และการสอ่ื ความหมาย ซง่ึ ในการแสดงละครสามารถ การวาดภาพ ระบายสี และการจัดองคประกอบความงามอนื่ ฯ เพือ่ ใหเกิด นําความรูใ นเรอ่ื งภาษาองั กฤษมาใชใ นการรองเพลง หรือทําทาทางประกอบเพลง ภาพ 2 มติ ิ ที่ไมม คี วามลกึ หรอื นูนหนา และตองมคี วามรูใ นการนําหลัก เพ่ือชวยทาํ ใหจ ดจําคาํ ศัพทภาษาองั กฤษไดด ยี งิ่ ข้ึน โดยอาจเลือกใชเพลงทีม่ คี ําศพั ท องคป ระกอบในการออกแบบดานความงามทางศิลปะ เชน เสน รูปราง งา ยๆ กอน เชน เพลง Old MacDonald ของ Elvis Presley เปน ตน ซ่งึ จะทาํ ให รปู ทรง สัดสว น พืน้ ผวิ สี เปน ตน มาใชไดอยางถกู ตอ งและเหมาะสม นกั เรียนจดจาํ คําศพั ทตางๆ ได ยกตวั คําศพั ทใ นเน้ือเพลง Old Macdonald had ภาพจติ รกรรมท่เี ราสามารถพบเห็นไดจากฉากการแสดงละครอาจเปน ภาพ a farm, ee - i - ee - i - o And on that farm he had some chicks, ee - i - ee - i - o หนุ นิง่ ภาพคนท่ัวไป ภาพสตั ว ภาพทวิ ทศั น ภาพประกอบเรื่อง นกั เรียนจะสามารถจาํ ศพั ทคาํ วา Old หมายถงึ เกา หรือแก Farm หมายถงึ สถานที่ ภาพองคประกอบ ภาพลวดลายตกแตง ที่บง บอกถึงสถานทที่ เ่ี กดิ ขึ้น เพาะปลกู และเลย้ี งสัตว Chicks หมายถึง ลกู ไก เปน ตน ตามทองเรือ่ ง หรือตามเหตุการณที่เกดิ ข้นึ ในเนื้อเรือ่ ง 176 คู่มือครู

กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรียนรู 1. อธบิ ายการบูรณาการศลิ ปะแขนงอ่ืนๆ กับการแสดง 2. วิเคราะหก ารแสดงของตนเองและผูอ ่ืน โดยใชน าฏยศพั ท หรือศัพททางการละคร ท่ีเหมาะสม 3. อธบิ ายอทิ ธพิ ลของวัฒนธรรม ทีม่ ีผลตอเนอื้ หาของละคร สมรรถนะของผูเ รียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี ๑๑หนว่ ยท่ี คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค การแสดงละคร 1. มวี นิ ัย 2. ใฝเรยี นรู 3. มงุ มั่นในการทาํ งาน 4. รักความเปน ไทย ตัวช้ีวดั การแสดงละคร เป็นการรวบรวม กระตนุ้ ความสนใจ Engage ■ อธบิ ายการบรู ณาการศลิ ปะแขนงอน่ื ๆ กบั การแสดง (ศ ๓.๑ ม.๒/๑) ครใู หน กั เรียนดูภาพหนาหนวยจาก ■ วเิ คราะหก์ ารแสดงของตนเองและผอู้ น่ื โดยใชน้ าฏยศพั ท์ หรอื ศพั ท์ ศิลปะหลายแขนงท่ีเกิดข้ึนจากการน�าภาพ ในหนงั สอื เรยี น หนา 177 จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา ทางการละครท่ีเหมาะสม (ศ ๓.๑ ม.๒/๓) ประสบการณ์ หรอื จนิ ตนาการของมนษุ ยม์ า ผกู เรอื่ ง และน�าเสนอต่อผู้ชมในรูปแบบของ • เมอื่ นักเรยี นดูภาพนี้แลว เกดิ ความรูส กึ ■ อธิบายอิทธิพลของวฒั นธรรมที่มีผลตอ่ เนอื้ หาของละคร อยา งไร (ศ ๓.๒ ม.๒/๓) (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอิสระ) สาระการเรียนรแู้ กนกลาง การแสดง โดยมนี ักแสดงเปน็ ผสู้ ือ่ ความหมาย ละครเร่ืองหน่ึงๆ จะเกิดข้ึนได้ต้องอาศัยผู้มี • ภาพนีต้ อ งการสอ่ื ใหเ หน็ ถึงสิ่งใด ■ ศลิ ปะแขนงอ่ืนๆ กับการแสดง ความรู้ ความสามารถในด้านศิลปะหลายแขนง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ - แสง สี เสียง ทา� งานรว่ มกนั ทง้ั ผปู้ ระพนั ธบ์ ทละคร ผกู้ า� กบั การ- ไดอ ยา งอิสระ) - อุปกรณ์ - ฉาก แสดง นกั แสดง ผอู้ อกแบบฝา่ ยผลติ นกั ดนตรี ฯลฯ - เคร่ืองแตง่ กาย นอกจากน้ี การเรียนรู้เก่ียวกับละครในสมัยต่างๆ ■ หลกั และวธิ กี ารวิเคราะห์การแสดง หลกั และวธิ กี ารวเิ คราะหก์ ารแสดงจะชว่ ยใหเ้ ราเขา้ ใจ ■ การละครสมยั ต่างๆ ถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมท่ีมีต่อเน้ือหาของละคร สามารถวเิ คราะห์การแสดงของตนเองและผ้อู นื่ ได้ เกร็ดแนะครู การเรยี นการสอนในหนวยการเรยี นรนู ี้ ครูควรอธิบายความรูเ พม่ิ เตมิ กับนกั เรียน วา ละครเปน การแสดงอยา งหนง่ึ ซงึ่ นอกเหนอื จากจะใหสาระและความบนั เทิงแลว ยังมีความสาํ คัญตอประวัตศิ าสตร สงั คม และวฒั นธรรมเปน อยา งยง่ิ สามารถนาํ มา บรู ณาการเขา กบั ศลิ ปะแขนงอนื่ ๆ ได การศกึ ษาหาความรเู กยี่ วกบั ละคร เทคนคิ ตา งๆ ในการสรา งงานละคร ตลอดจนการฝกทักษะเบ้อื งตน ในการแสดงละคร นับเปน ความรูพ้ืนฐานทีม่ คี วามจําเปนในการสรา งสรรคง านละครใหม สี ุนทรียภาพ นาดู นาชม ไดรบั ประโยชน รวมทัง้ สามารถนาํ แนวคิดที่ไดจ ากการรับชมไปประยกุ ตใช ใหสอดคลองกับชวี ติ ประจาํ วัน พรอ มทง้ั สามารถอธบิ ายอทิ ธิพลของวฒั นธรรม ทมี่ ผี ลตอ เนอ้ื หาของละครดว ยการใชห ลกั การวเิ คราะหก ารแสดงของตนเองและผอู นื่ คู่มือครู 177

กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงละครราํ ในยคุ สมยั ๑. ละครในยคุ สมัยตา่ งๆ ตางๆ ใหนักเรียนชม จากนัน้ ครถู ามนกั เรยี นวา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทุกชาติ ทุกภาษาจะมีการละครเกิดขึ้นพร้อมกับมนุษย ์ • ความงามของการแสดงละครไทยอยทู ี่สง่ิ ใด ดว้ ยเหตทุ มี่ นษุ ยม์ ชี วี ติ จติ ใจ มคี วามตอ้ งการพกั ผอ่ นหลงั จากการทา� มาหากนิ จงึ แสวงหาการละเลน่ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ในท้องถ่ินท่ีตนอาศัยอยู่ จากการละเล่นของชาวบ้านก็ได้พัฒนารูปแบบมาเป็นการแสดงละคร ไดอ ยา งอสิ ระ) ทม่ี กี ารดา� เนนิ เรอื่ ง สา� หรบั การแสดงละครของไทยไดม้ พี ฒั นาการสบื ทอดมาจากอดตี หลายยคุ สมยั ซ่งึ สามารถจา� แนกได้ ดงั นี้ • นักเรยี นคิดวา การท่ีละครในยุคสมัยตางๆ ๑.๑ สมัยกอ่ นสโุ ขทยั และสมยั สุโขทยั มีความแตกตา งกนั สบื เนื่องมาจากส่งิ ใด ในสมยั กอ่ นสโุ ขทยั บรเิ วณพน้ื ทที่ เี่ ปน็ ปร1ะเทศไทยปจั จบุ นั ไดม้ กี ารแสดงในรปู แบบของละคร (แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น เกิดขึน้ แล้ว โดยมขี อ้ สันนิษฐานวา่ “มโนราห์” นา่ จะเปน็ ละครเรอื่ งแรกทีม่ กี ารนา� มาแสดง ไดอยา งอสิ ระ) ตอ่ มาเมอ่ื คนไทยรวมตวั กนั สรา้ งอาณาจกั รสโุ ขทยั ขนึ้ กย็ งั ไมม่ หี ลกั ฐานแนช่ ดั วา่ มกี ารแสดง นาฏศลิ ป์เปน็ เรอื่ งราวแบบละคร มีเพียงหลักฐานเกี่ยวกับการละเล่นพ้ืนบ้านท่ัวๆ ไปในศิลาจารกึ สา� รวจคน้ หา Explore หลกั ที่ ๑ ของพอ่ ขนุ รามคา� แหง ท่ีได้กล่าวถึงการละเลน่ ในเทศกาลกฐนิ ว่า ใหน ักเรยี นแบงกลมุ ออกเปน 3 กลมุ ใหน ักเรียน “ดงบงคมกลองด้วยเสียงพาด เสียงพณิ เสียงเลอ่ื น เสียงขับ ศกึ ษา คน ควา หาความรูเ พิ่มเตมิ เกย่ี วกับละคร ใครจกั มักเลน่ เล่น ใครจกั มักหัว หัว ใครจกั มักเลอ้ื น เลอ้ื น” ในยคุ สมยั ตางๆ จากแหลง การเรียนรตู า งๆ เชน หองสมดุ โรงเรยี น หอ งสมดุ ชุมชน อินเทอรเ นต็ จนกระท่งั ในสมยั พระมหาธรรมราชาลิไทย มขี อ้ ความปรากฏในศลิ าจารึกหลักท่ ี ๘ ว่า เปน ตน ในหวั ขอ ทีค่ รกู ําหนดให ดังตอไปนี้ “ระบา� ร�า เตน้ เหลน้ ทุกฉัน” กลุม ที่ 1 ละครสมยั กอ นสโุ ขทยั และสมยั สโุ ขทยั ท�าใหเ้ กดิ ข้อสันนษิ ฐานวา่ การแสดงในสมยั นม้ี แี บบแผนแล้ว และระบา� ท่กี ล่าวถึงในจารกึ นี้ กลุม ที่ 2 ละครสมัยอยุธยา กถ็ ือเป็นรากฐานของนาฏศิลป์ไทยได้ กลุมท่ี 3 ละครสมยั รตั นโกสนิ ทร ๑.๒ สมยั อยธุ ยา สมัยอยุธยาไดม้ ีการจดั ระเบยี บแบบแผนในการแสดงละคร โดยมกี ารตั้งช่ือการแสดงละครท่ี อธบิ ายความรู้ Explain เกิดขึ้นในสมัยน้ันๆ ดงั น้ี ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 1 ทไี่ ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ๑) ละครชาตร ี ถอื กา� เนดิ มาจากละครพน้ื บา้ นทเี่ ปน็ มหรสพประจา� ทอ้ งถน่ิ มลี กั ษณะ เพิม่ เตมิ เกยี่ วกบั ละครในยคุ สมัยตางๆ สง ตัวแทน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายความรใู นหัวขอ ละครสมัย- เปน็ ละครเร ่ มตี วั ละครหลกั เพยี ง ๓ ตัว คือ ตัวพระ (ตวั นายโรง) ตัวนาง และตัวตลก เครือ่ งดนตรี กอนสุโขทัยและสมยั สโุ ขทยั ตามท่ีไดศกึ ษามา ประกอบจะมนี อ้ ยชนิ้ เนอ้ื เรอ่ื งทแ่ี สดงเปน็ เรอ่ื งจกั รๆ วงศๆ์ ซงึ่ นา� มาจากนทิ านชาดก หรอื เปน็ เรอ่ื ง หนา ช้ันเรียน จากนัน้ ครูถามนกั เรยี นวา ท่ีชาวบ้านแต่งขึ้นเอง • ละครทเ่ี กดิ ขึ้นในสมัยสโุ ขทัย คือละครประเภทใด (แนวตอบ ละครแกบ นและละครเรื่องมโนราห) ๑78 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET “ดงบงคมกลองดวยเสียงพาด เสยี งพณิ เสียงเลอ่ื น เสยี งขับ ครคู วรอธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา การละครสมยั กอ นสโุ ขทยั นนั้ คอื สมยั นา นเจา ซงึ่ พบวา ใครจกั มักเลน เลน ใครจักมกั หวั หัว ใครจกั มักเลอ้ื น เลอื้ น” ไทยมีนยิ ายเร่ืองหนึ่ง คือ เรื่อง “มโนราห” เปน นยิ ายของพวกไต พวกไต คอื คนไทย จากขอ ความขางตนสะทอนใหเห็นถงึ การแสดงละครไทยอยางไร ท่ีไมไดอพยพลงมาจากดินแดนเดิม เรื่องมโนราหนี้จะนํามาเลนเปนละครหรือไมน้ัน 1. การแสดงละครไทยมมี าชานาน ยงั ไมมีหลกั ฐานปรากฏเดนชัด สว นการละเลน ของไทยในสมัยนานเจา นน้ั 2. ประชาชนทุกคนตองแสดงละครได มกี ารแสดงจาํ พวกระบาํ อยูแ ลว คอื ระบาํ หมวกและระบาํ นกยงู 3. ประชาชนทุกคนชอบดกู ารแสดงละคร 4. การแสดงละครไทยตอ งมีเคร่อื งดนตรีประกอบ นกั เรยี นควรรู วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะการละครไทยมีมาต้ังแตสมัยโบราณ เปนศลิ ปะและเปน สัญลกั ษณท ่แี สดงเห็นถงึ ความเปนไทย ถงึ แมวา 1 มโนราห หรือโนรา สันนษิ ฐานวา ไดร ับอทิ ธพิ ลมาจากการรา ยรําของอินเดีย การแสดงนน้ั ๆ จะไดร ับอิทธพิ ลมาจากตางชาติ แตก ไ็ ดมกี ารดัดแปลง โบราณกอ นสมยั ศรวี ิชัย โดยไดร ับมาจากพอ คาชาวอินเดยี ซ่งึ สังเกตไดจาก และปรบั ปรุงพัฒนาจนมลี ักษณะเปน แบบของไทย เครอ่ื งดนตรที ี่เรียกวา “เบญจสงั คตี ” ซึง่ ประกอบไปดวยโหมง ฉ่งิ ทับ กลอง และปใ น อีกทัง้ ทาราํ กล็ ะมา ยคลายคลึงกบั การรา ยรําของอินเดีย 178 ค่มู อื ครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ละครชาตร1ี เป็นต้นแบบของละครร�า นิยมแสดงเรื่องพระสุธน - มโนราห์ ภาคใต้ ใหน ักเรยี นกลมุ ที่ 2 ที่ไดศ กึ ษา คนควา จะเรียกว่า “โนรา” ทางภาคกลางจะเรยี กวา่ “ชาตร”ี หรือ “โนราหช์ าตรี” เรอื่ งราวท่นี า� มาแสดง หาความรูเพิ่มเติมเก่ยี วกบั ละครในยคุ สมัยตางๆ ส่วนใหญ่จะสะท้อนความเป็นอยู่ วิถีชีวิต และ สงตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู ขนบธรรมเนียม ประเพณี เช่น วัฒนธรรม ในหวั ขอ ละครสมยั อยธุ ยา ตามทไ่ี ดศ กึ ษามา การแต่งกายท่ีผู้ชายจะไม่สวมเสื้อในการแสดง หนาชัน้ เรียน จากน้นั ครถู ามนักเรยี นวา ละครชาตรี หรือวัฒนธรรมของไทยท่ีมีความ- เคารพต่อครูอาจารย์และสิ่งศักด์ิสิทธิ์ เป็นต้น • บทรอ งในการแสดงละครชาตรมี ลี กั ษณะ ดงั นน้ั ในการแสดงละครชาตรจี ะตอ้ งมปี ระเพณี ท่ีแตกตางจากละครชนดิ อื่นอยางไร ร�าซัดไหวค้ รู และยงั เป็นการแสดงเพ่ือบชู าและ (แนวตอบ ตวั ละครมกั เปน ผดู นกลอนและรอง บนบานส่ิงศักด์ิสิทธิ์ให้ช่วยอ�านวยความส�าเร็จ เปน ทํานองเพลงรา ย แตป จ จุบนั บทรอง ในการประกอบกิจการตา่ งๆ อกี ดว้ ย มกั มคี ําวา “ชาตร”ี นําหนา เชน รา ยชาตรี ต่อมาการแสดงละครชาตรีแบบ- 2 รายชาตรีกรับ รําชาตรี ชาตรตี ะลุง เปน ตน) พ้ืนเมืองก็วิวัฒนาการมาเป็น “ละครชาตรี ในการแสดงละครชาตรี จะตอ้ งมกี ารรา� ซดั ชาตรี เพอ่ื บชู า เครอื่ งใหญ”่ การแตง่ กายจะเป็นแบบละครนอก สง่ิ ศกั ดิ์สทิ ธกิ์ ่อนแสดงทุกครั้ง • ละครชาตรที น่ี ยิ มแสดงอยใู นปจ จบุ นั สามารถ ที่มา : ทะเบียนขอมูลวิพิธทัศนา ชุดระบํา รํา ฟอน แบงออกเปนก่รี ูปแบบ คือ แต่งเข้าเครือ่ ง หรอื ยืนเครือ่ ง กรมศลิ ปากร (แนวตอบ ในปจจุบนั มีการแสดงละครชาตรี เพียง 2 รูปแบบ คอื ละครชาตรพี ื้นบา น โตต้ อบกนั เช๒น่ ) เพลละงคปรรนบอไกก ่ เถพอื ลกงา� พเนวดิงมมาาจลายั ก3 เกปาน็ รตลน้ะเ ลตน่อ่ พมน้ืาปเมรอืบั งปทรมี่งุ ใผี หชู้ ก้ าายรแเลละน่ ผเพหู้ ญลงงิ จเลดั น่เปเพน็ เลรงอ่ื พงนื้ราเวมขอื น้ึง ทจี่ ดั แสดงตามสถานทศี่ ักด์สิ ทิ ธิท์ วั่ ไป เรื่องที่แสดงเป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องกับชีวิตภายในครอบครัว โดยน�าเคา้ โครงมาจากนทิ านพนื้ เมือง และละครชาตรีเครอ่ื งใหญ ซึง่ ปรับปรงุ และปญั ญาสชาดกมาแตง่ เปน็ บทละคร บทละคร ใหมีมาตรฐานในสมัยพระบาทสมเด็จ ในสมยั อยธุ ยาคา� กลอนจะเหมอื นบทละครชาตร ี พระมงกฎุ เกลา เจาอยูหวั (รัชกาลท่ี 6)) แตถ่ า้ เปน็ บทละครทแ่ี ตง่ ขน้ึ ภายหลงั สมยั อยธุ ยา จะมีลักษณะเป็นกลอนแปด ลักษณะการแสดง • “ละครตลาด” หมายถงึ สิง่ ใด ละครนอก มีจุดมุ่งหมายในการแสดงเร่ืองราว (แนวตอบ ละครนอกท่คี นธรรมดาสามัญ มากกว่าการแสดงความประณีต งดงาม หรือ เลน กนั ตามบา น กิรยิ า วาจาของตัวละคร แสดงทา่ รา� ของตวั ละคร มงุ่ ดา� เนนิ เรอื่ งใหร้ วดเรว็ เปนแบบคนธรรมดาสามญั แมวาในเรื่อง โลดโผน ตลกขบขัน ไม่เคร่งครัดต่อระเบียบ จะเปน พระมหากษตั รยิ  แตก็ไมไดใช แบบแผน โดยขนบนิยมในการด�าเนินเรื่อง คาํ ราชาศัพท) ผู้แสดงละครนอกจะเป็นชายล้วน เป็นละครท่ี • บทละครเรอื่ งใดท่ไี มสามารถนํามาแสดง เปน ละครนอกได (แนวตอบ มอี ยู 3 เรือ่ ง คอื เรื่องอเิ หนา เรือ่ งอุณรุท และเรื่องรามเกยี รต์ิ) คนธรรมดาสามญั เลน่ กันตามบ้าน หรอื ตามวดั ละครนอก เร่ืองไกรทอง ตอนข้ึนหงึ วิมาลา ๑79 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด นกั เรยี นควรรู ขอใดกลาว ไมถ ูกตอง เกยี่ วกบั ละครชาตรีเครอื่ งใหญ 1 ละครชาตรี ไดรับอทิ ธพิ ลมาจากละครเรข องอนิ เดยี ที่เรยี กวา “ยาตร”ี 1. นิยมนํามาแสดงเปนละครแกบ นตามสถานท่ีตางๆ หรอื “ยาตรา” ซ่ึงแปลวา การเดินทางทอ งเที่ยว ละครชาตรีเปนละครพนื้ เมอื ง 2. เปนการนาํ เอาละครนอกมาผสมผสานกบั ละครชาตรี ของชาวเบงคลใี นประเทศอนิ เดีย นยิ มแสดงเรอื่ ง “คตี โควนิ ท” เนอื้ เรือ่ งจะกลาวถึง 3. การแสดงเนนความสนุกสนานแบบละครนอกและไมตองราํ ซดั เบกิ โรง การอวตารของพระวษิ ณุ 4. ดนตรีทีใ่ ชเปน เครอื่ งดนตรีของละครชาตรผี สมวงปพ าทยของละครนอก 2 ราํ ซดั ชาตรี เปน การแสดงทไี่ ดรบั การปรบั ปรงุ ทารํามาจากรําซดั ไหวค รู ซง่ึ ในการแสดงละครชาตรี มีประเพณีทป่ี ฏิบัติสืบตอกันมาวาตองมีรําเบกิ โรง วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะการแสดงละครชาตรเี ครอื่ งใหญ กอ นการแสดงละคร โดยใหต ัวพระ 1 คน รําไหวค รูทีเ่ รียกกนั วา “รําซัด” คือ ราํ ซัดไปตามทว งทํานองและจงั หวะเพลง ซึ่งมีการดดั แปลงใหมผี รู าํ ทัง้ ชาย - หญิง จะเริ่มดวยการรําซดั ชาตรี แลวลงโรง จับเรอื่ งดว ย “เพลงวา” โดยจะรําใหเขา กับจังหวะของเครือ่ งดนตรีทีบ่ รรเลง คือ โทน กลอง และกรบั แบบละครนอก สวนเพลงและวธิ กี ารแสดงกใ็ ชทัง้ ละครชาตรี 3 เพลงพวงมาลยั เปน เพลงท่ีสามารถพบไดท ่ัวไปในทองถิน่ ภาคกลาง มีลักษณะ และละครนอกปนกนั คลา ยเพลงกลอมเดก็ ใชเ ปน เพลงรบั ในการเลนลูกชวง จะข้ึนตน ดว ยคําวา “เออระเหยลอยมา” และลงทา ยดว ยคําวา “เอย” ค่มู อื ครู 179

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครสู มุ นักเรียน 2 - 3 คน ใหต อบคําถาม บทเจรจาของตัวละครทุกตัว หรือแม้กระท่ังกษัตริย์จะไม่ใช้ค�าราชาศัพท์ อิริยาบถของตัวละคร ดังตอไปน้ี และภาษาที่ใช้จะเป็นแบบคนธรรมดาสามัญ ลักษณะท่าร�าว่องไว กระฉับกระเฉงเหมือนกิริยา ของชาวบา้ น ทา� ใหก้ ารดา� เนนิ เรอ่ื งรวดเรว็ ทนั ใจผชู้ ม จนชาวบ้านเรยี กละครนอกว่า “ละครตลาด” • ละครในเปน ละครทไ่ี ดร บั ความนยิ มเปน อยา งมาก การแต่งกายละครนอกในสมัยอยุธยา จะแต่งแบบคนธรรมดาสามัญ ต่อมาได้มี ในยคุ ใดและไดร บั ความนยิ มลดนอ ยลงในยคุ ใด การปรบั ปรุงการแตง่ กายโดยเลียนแบบละครใน คอื แต่งแบบยืนเคร่ืองพระ - นาง (แนวตอบ ไดร ับความนยิ มมากในสมยั ๓) ละครใน เป็นละครท่ีมุ่งเน้นศิลปะการร่ายร�าเป็นส�าคัญ แสดงเฉพาะภายใน พระเจา อยูห วั บรมโกศ ซงึ่ แสดงมาจนถึง เขตราชฐาน ลกั ษณะการแสดงมขี นบนยิ มเครง่ ครดั มรี ปู แบบเฉพาะทเี่ ปน็ เอกลกั ษณข์ องละครใน สมัยธนบุรแี ละสมยั รตั นโกสินทร คอื ผแู้ สดงเปน็ หญงิ ลว้ น เรอ่ื งที่นิยมน�ามาแสดงมเี พียง ๓ เร่อื งเท่าน้ัน ได้แก ่ เรื่องรามเกียรต ิ์ ตอ มาภายหลงั ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมง- เร่อื งอเิ หนา และเร่ืองอณุ รุท กุฎเกลา เจาอยูหวั (รชั กาลที่ 6) ไมไ ดม ี ละครในมจี ดุ มงุ่ หมายเพอื่ แสดงศลิ ปะชน้ั สงู ของนาฏศลิ ป ์ จงึ ไมน่ ยิ มแสดงบทตลกขบขนั ละครในจัดแสดงในเมืองหลวงอีก เนอื่ งจาก ผปู้ ระพนั ธบ์ ทละครในตอ้ งพถิ พี ถิ นั ในการเลอื กใชถ้ อ้ ยคา� ทสี่ ละสลวย ไมม่ บี ทเจรจาทเ่ี ปน็ ภาษาตลาด มลี ะครสมัยใหมเ กดิ ข้นึ เปน จํานวนมาก) เพลงรอ้ งและดนตรปี พ่ี าทยป์ ระกอบการแสดงตอ้ งมจี งั หวะนมุ่ นวล สละสลวย ทง้ั น ้ี เพอ่ื ใหต้ วั ละคร ไดอ้ วดฝมี อื ในการรา่ ยรา� ผแู้ สดงละครในจะตอ้ งเปน็ ผทู้ ีไ่ ดร้ บั การฝกึ ฝนจนเกดิ ความชา� นาญ สามารถ • “ทีทาวทีพญา” หมายถงึ ส่ิงใด ตบี ทไดค้ ลอ่ ง มีท่าทสี ง่างาม ดงั คา� กลา่ วทวี่ ่า “ทีท้าวทีพญา” จะแต่งกายแบบยืนเครอื่ งพระ - นาง (แนวตอบ ผูแ สดงละครในท่ีจะตอ งมีลกั ษณะ ละครในเจริญสงู สดุ ในแผน่ ดนิ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งมพี ระราชธิดา ๒ พระองค์ คือ ทสี่ งา งาม กริ ยิ ามารยาทตอ งไดร บั การฝก ฝนจน เจา้ ฟา้ กณุ ฑลและเจา้ ฟา้ มงกฎุ ทง้ั ๒ พระองค ์ ไดท้ รงพระนพิ นธบ์ ทละครเรอื่ งอเิ หนาขนึ้ มา ๒ แบบ เกดิ ความชาํ นาญ มีฝมอื ในการราํ ท่ปี ระณตี งดงาม) • จากภาพหมายถึงการแสดงชนิดใด เจ้าฟ้ากุณฑลนิพนธ์เร่ืองอิเหนาใหญ่ (ดาหลัง) ส่วนเจ้าฟ้ามงกุฎนิพนธ์เรื่องอิเหนาเล็ก ซึ่งเป็น เร่อื งราวท่นี า� มาแสดงในรปู แบบละครใน ๔) โขน จัดอยู่ในประเภทละครใน โดยโขนได้พัฒนามาจากการแสดงชักนาค- ดกึ ดา� บรรพ ์ หนงั ใหญ ่ และกระบก่ี ระบอง ลกั ษณะ การแสดงโขนจะแบ่งออกเป็น ๕ ชนิด คือ โขนนงั่ ราว โขนกลางแปลง โขนหนา้ จอ โขนโรงใน และโขนฉาก ซง่ึ โขนโรงในเปน็ การแสดงโขนทเี่ ปน็ ละครในมีบทพากย์เจรจาอย่างโขน มีต้นเสียง (แนวตอบ การแสดงนาฏศิลปอนิ เดียทีม่ ชี ื่อวา และลกู ครู่ บั แบบละคร ลกั ษณะการแสดงสา� หรบั “กถกั กฬ” (Kathakali) การแสดงจะเนน ตัวละครท่ีเป็นมนุษย์จะมีลีลาท่าร�าเหมือนกับ การใชม อื สว นมากจะแสดงเรอ่ื งรามเกยี รต์ิ ละครใน เรอื่ งทนี่ ยิ มนา� มาแสดง คอื เรอื่ งรามเกยี รต์ิ เหมือนการแสดงโขนของไทยและนิยมแสดง ผู้แสดงจะแต่งกายยนื เครือ่ งพระ นาง ยักษ์ ลงิ เร่อื งมหาภารตะ มีคนพากยยนื อยดู า นขาง ภาพการแสดงละครในเร่ืองอเิ หนา ตัวละครท่ีไม่ใช่มนษุ ยจ์ ะสวมหวั โขน ตวั ละคร ซง่ึ ทําทา ทางไปตามบท มกี ารแสดง สีหนา และการเคล่อื นไหวอวัยวะของรางกาย ๑8๐ เปน ทาทางตา งๆ ตามบทพากยท่เี ปน กาพย) กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงโขนประเภทตา งๆ ใหน กั เรยี นชม พรอ มอธบิ าย ใหนักเรียนศกึ ษาเพม่ิ เติมเกย่ี วกับการแสดงละครในสมยั อยธุ ยา เพิม่ เติมวา โขนสามารถแบงออกเปน 5 ประเภท คือ โขนกลางแปลง การแสดงโขน ตามความสนใจของตนเอง 1 ประเภท จัดทําเปนแผนพับ บนพนื้ ดนิ ไมม กี ารสรา งโรง โขนโรงนอก หรอื โขนนง่ั ราว เปน การแสดงโขนทแี่ สดงบนโรง พรอ มหาภาพประกอบ ตกแตง ใหส วยงาม นําสงครูผูสอน มหี ลงั คา มรี าวพาดตามสวนยาวของโรงสําหรบั ใหตัวละครนั่งแทนเตยี ง โขนหนาจอ เปน การแสดงโขนทม่ี กี ารปลอ ยตวั โขนออกมาเลน สลบั กบั การเชดิ หนงั ใหญ เรยี กกนั วา กจิ กรรมทาทาย “หนงั ติดหวั โขน” เม่ือไมคอยมีคนนิยมจึงปลอยโขนออกมาเลน หนา จอหนัง เพียงอยางเดยี ว โขนโรงใน การแสดงโขนท่นี าํ เอาศลิ ปะของละครในมาผสมผสาน และโขนฉาก การแสดงโขนที่มกี ารเปลี่ยนฉากไปตามทองเร่ือง มมุ IT ใหน ักเรียนวิเคราะหความแตกตางของละครนอกและละครใน ในเร่ืองประวตั คิ วามเปนมา นกั แสดง การแตง กาย เรื่องท่ีนาํ มาแสดง นักเรยี นสามารถศกึ ษา คนควาเพม่ิ เติมเกี่ยวกบั การแสดงโขน ลกั ษณะการแสดง ดนตรปี ระกอบการแสดง เพลงรอ ง สถานทจี่ ดั การแสดง ไดจ าก http://www.nsru.ac.th ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครผู สู อน 180 คูม่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 3 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู เพ่ิมเติมเก่ยี วกับละครในยุคสมยั ตางๆ สง ตวั แทน ๑.๓ สมยั รัตนโกสนิ ทร์ 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรูในหวั ขอละคร ในสมยั รตั นโกสนิ ทรม์ ลี ะครรปู แบบใหมๆ่ เกดิ ขน้ึ หลายประเภท สามารถแบง่ ววิ ฒั นาการของ สมยั รตั นโกสินทร ตามท่ไี ดศ กึ ษามาหนา ชนั้ เรยี น การละครตามรชั สมยั ตา่ งๆ ได้ดังน้ี จากน้ันครูถามนักเรยี นวา รชั สมยั วิวฒั นาการของละคร • ตาํ ราฟอ นราํ ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอด- ฟาจุฬาโลกมหาราช (รชั กาลที่ 1) โปรดใหมี พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลก • มกี ารรวบรวมต�าราฟอ้ นร�าและมกี ารฝึกหดั โขนทั้งวังหน้า การรวบรวมไวเ ปนหลกั ฐานมีการบันทกึ มหาราช (รชั กาลท ่ี ๑) และวังหลวง ละครเร่ืองใดไวบ าง • พเรรื่อะงรดาาชหนลพิ ัง1นธ์บทละครเร่ืองรามเกยี รติ ์ เรือ่ งอณุ รุท และ (แนวตอบ มบี ทละครท่ปี รากฏตามหลักฐาน • ละครผูห้ ญงิ ถือเป็นเครอื่ งราชปู โภคสา� หรับพระมหากษตั ริย์ อยู 4 เร่อื ง คือ อณุ รุท รามเกียรต์ิ ดาหลงั และอเิ หนา) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย • เป็นยุคทองของนาฏศลิ ปแ์ ละการละคร • การละครไทยในสมยั พระบาทสมเดพ็ ระพทุ ธ- (รัชกาลท ี่ ๒) • พระราชนพิ นธบ์ ทละครรา� เรอื่ งอเิ หนา และบทเสภาเรอื่ งขนุ ชา้ ง- ขนุ แผน ๔ ตอน ทั้งยงั ทรงริเร่ิมการขบั เสภาประกอบปพ่ี าทย์ เลศิ หลา นภาลยั (รชั กาลที่ 2) มจี ดุ เดน อยา งไร • มีการรับอิทธิพลจากนาฏศิลป์ในเอเชียมาประดิษฐ์ท่าร�าและ (แนวตอบ สมยั นม้ี กี ารกวดขนั ในเร่ืองของ เร่มิ ใช้ผู้หญิงแสดงละครนอก โดยแต่งกายแบบโขน ฝม ือการรา ยราํ มกี ารฝก ท้ังละครนอก ละครใน และโขน การฝกนาฏศิลปไ ทย พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยูห่ วั • ยกเลิกละครหลวง จึงฝก ไดอ ยา งครบถวน ทง้ั พระ นาง ยักษ ลงิ (รชั กาลท ี่ ๓) โดยยดึ ถือเปนแบบฉบับมาจนถงึ ปจจุบนั • เกดิ คณ2ะละครของเจา้ นายและเอกชนขน้ึ หลายคณะ เชน่ ละคร มกี ารรับอทิ ธพิ ลของนาฏศลิ ปเอเชีย ไดแ ก การแสดงชดุ “ฝรงั่ รําเทา ” ซึ่งเปนการ เจา้ กรบั แสดงละครนอก ตัวละครเป็นชายลว้ น เปน็ ตน้ ผสมผสานทาราํ ของแขก ฝรัง่ และจนี นํามาแสดงในเร่อื งอเิ หนา ตอนอณุ ากรรณ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว • ละครหลวงไดร้ ับการฟนื้ ฟูขึ้นใหม่ ลงสวนและการแสดงระบาํ ดาวดงึ ส) (รัชกาลท ่ี ๔) • เอกชนฝึกหัดละครผหู้ ญิงได ้ ชาย - หญิงจงึ เล่นละครผสมโรง • การแสดงละครในสมัยรัตนโกสินทรเรมิ่ มี กนั ได ้ และมกี ารบญั ญตั ขิ อ้ หา้ มการจดั การแสดงของเอกชนขนึ้ รวมทง้ั ได้ประกาศกฎหมายภาษมี หรสพข้นึ เปน็ คร้ังแรก • รวบรวมช�าระพิธีไหว้ครูและได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ตราข้ึน เปน็ ฉบบั หลวง พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว • ยกเลกิ กฎหมายภาษมี หรสพ การเปลยี่ นแปลงมากขึ้นในสมยั ใด (รชั กาลท ี่ ๕) • การละครไทยได้รับอิทธิพลจากตะวันตกและมีละครเกิดใหม่ และเพราะเหตุใดจงึ เปนเชน นัน้ หลายประเภท ดงั นี้ (แนวตอบ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจลุ - ๑. ละครพนั ทาง ปรบั ปรงุ มาจากละครนอก โดยใหแ้ ตง่ กายตาม จอมเกลา เจาอยหู ัว (รัชกาลท่ี 5) เชือ้ ชาติของละครที่เล่น การละครเรม่ิ มกี ารเปล่ียนแปลงมากข้นึ ๒. ละครดกึ ดา� บรรพ ์ เปน็ ละครทปี่ รบั ปรงุ ใหค้ ลา้ ยละครโอเปรา เน่ืองจากการละครตะวนั ตกไดเ รม่ิ เขามา (Opera) ของตะวนั ตก แพรห ลายในประเทศไทย จงึ ทาํ ใหเกิดละคร แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด ๑8๑ ประเภทตา งๆ ขน้ึ มากมาย เชน ละครพนั ทาง ละครดึกดาํ บรรพ ละครรอง ละครพดู ลิเก เปน ตน ) นกั เรยี นควรรู เพราะเหตใุ ดในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัย (รัชกาลท่ี 2) 1 ดาหลงั เปนบทพระราชนิพนธข องเจา ฟา กณุ ฑล พระธิดาในพระเจา อยหู ัว- จงึ ถอื เปน ยคุ ทองแหง ศลิ ปะการแสดง บรมโกศ มีลกั ษณะเน้ือเรื่องคลา ยกบั เรอื่ งอเิ หนา แตจ ะมคี วามแตกตางกัน คอื ระเดน มนตรี (อเิ หนา) ไปหลงรกั สาวชาวไร ทาํ ใหท า วกเุ รปน โกรธถงึ กบั สง คน 1. ไดอทิ ธพิ ลจากชาตติ ะวนั ตก ไปลอบสงั หารนาง ระเดน มนตรีเสยี ใจมาก จงึ ออกทอ งเที่ยวไปอยางไรจดุ หมาย 2. มกี ารดดั แปลงการแสดงละครจนเกิดการแสดงรูปแบบใหมๆ ขึน้ และทําการรบกบั เมอื งอ่ืนๆ จนไดเมืองขนึ้ มากมาย สวนนางบุษบาจะแปลงกายเปน 3. มบี ทละครเกิดขน้ึ มากมาย เชน อเิ หนา ไกรทอง คาวี ไชยเชษฐ ชายชื่อ “มสิ ากระหมังกุหนงิ ” และจะกลายเปน หญงิ เม่ือพบระเดน มนตรี สวนระเดนมนตรไี ดป ลอมตัวเปนดาหลัง หรือคนเชิดหนัง เม่ือไดมาพบกับนางบุษบา เปน ตน กก็ อ ใหเ กิดความรักและไดอภิเษกสมรสกนั ในทส่ี ดุ 4. เกิดละครรปู แบบใหมห ลายประเภท เชน ละครพันทาง ละครเสภา 2 เจา กรบั เปนบคุ คลทมี่ ชี อื่ เสียงดานละครไทย สามารถแสดงไดท ง้ั ละครนอก และละครใน ซ่งึ เจา กรบั ไดฝ กหัดละครอยกู บั ครูทองอยู ตอมาจงึ ไดแ สดงละครนอก ละครรอ ง เปนตน ของครบู ญุ ยัง จนครบู ุญยังเสยี ชวี ติ จงึ ไดต ง้ั คณะของตนเองข้นึ โดยจะแสดงเปน ตวั นายโรง จดั วา เปน บคุ คลทม่ี ชี อ่ื เสยี งมากในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา เจา อยหู วั วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะมีนกั ปราชญร าชกวี 3 ทาน คอื กรมหมน่ื เจษฎาบดนิ ทร กรมหลวงพิทกั ษมนตรี และสนุ ทรภู มีบทละครใน และละครนอกเกดิ ขน้ึ หลายเรื่อง คอื บทละครใน เรอื่ งอเิ หนาและรามเกยี รติ์ บทละครนอก เรอื่ งไกรทอง คาวี ไชยเชษฐ สังขทอง และมณีพิชัย (รัชกาลที่ 3) คมู่ ือครู 181

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครสู ุมนักเรียน 2 - 3 คน ใหต อบคําถาม รชั สมยั ววิ ฒั นาการของละคร ดังตอ ไปน้ี ๓. ละครเสภา เป็นละครที่มีคนขับเสภาและเครื่องปี่พาทย ์ ตัวละครจะร�าตามค�าขับเสภาและเจรจาตามเน้ือเรื่อง • เพราะเหตใุ ดจงึ มคี าํ กลา ววา “ในสมยั พระบาท- แตง่ กายแบบละครพันทาง นยิ มแสดงเรอ่ื งขนุ ช้างขุนแผน สมเด็จพระมุงกฎุ เกลา เจา อยูห ัว (รัชกาลที่ 6) ๔. ละครรอ้ ง ดดั แปลงมาจากละครตะวนั ตก ผแู้ สดงเปน็ หญงิ ลว้ น เปนสมยั ที่การละครไดเ จริญรุงเรืองถงึ ขดี สดุ ” มเี พียงตวั ตลกเท่าน้นั ที่ใช้ผู้ชายแสดง (แนวตอบ เพราะพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา - ๕. ละครพูด จะด�าเนินเรื่องด้วยการพูดและแสดงท่าทาง เจาอยหู วั (รชั กาลที่ 6) ไดทรงพระกรณุ า ประกอบ มกี ารเปลย่ี นฉากตามทอ้ งเรอ่ื ง ตวั ละครแตง่ กาย โปรดเกลา ฯ ใหต ัง้ กรมมหรสพขึ้น และทรง แบบคนธรรมดา พระราชนิพนธบ ทโขน ละคร ฟอ นราํ ไว เปน จาํ นวนมาก นบั ไดวา เปน ยคุ ทองแหง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว • โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ งั้ กรมมหรสพและโรงเรยี นฝกึ หดั นาฏศลิ ป์ ศลิ ปะการแสดงละครยุคท่ี 2 ตอจากสมัย (รชั กาลท ่ี ๖) • ดดั แปลงการแสดงละคร จนเกิดการแสดงรปู แบบใหม่ๆ ดงั น้ี พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา นภาลัย ๑. โขนบรรดาศักดิ์และโขนเชลยศักดิ์ คือ โขนที่ฝึกหัดให้ (รัชกาลที่ 2)) มหาดเลก็ แสดงและโขนส�าหรับประชาชนทว่ั ไปแสดง ๒. ละครดกึ ดา� บรรพเ์ รื่องรามเกียรต ิ์ คือ การน�าโขนไปแสดง • ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกลาเจาอยูหัว บนเวที (รชั กาลท่ี 7) การละครมรี ปู แบบทเี่ ปลย่ี นแปลง ไปอยา งไร พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั • ยกเลิกกรมมหรสพ (แนวตอบ เนอ่ื งจากเกิดภาวะสงครามโลก (รชั กาลท ี่ ๗) • โอนกรมปพ่ี าทยแ์ ละโขนหลวงไปอยู่ในกระทรวงวัง ครงั้ ท่ี 2 จงึ โปรดใหม กี ารยบุ กรมมหรสพ • ตงั้ กรมศลิ ปากร เพ่ือดแู ลศลิ ปะการแสดงนาฏศลิ ป์ และจํานวนขา ราชการลง มีการจัดตั้งกรม ศิลปากรข้นึ แทนกรมมหรสพและไดม ีการ พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหา- • กา� เนดิ ละครหลวงวจิ ติ รวาทการ ซง่ึ เปน็ ละครปลกุ ใจทม่ี ลี กั ษณะ กอตั้งวทิ ยาลยั นาฏศิลป เพ่อื สบื ทอดศลิ ปะ อานันทมหดิ ล พระอัฐมรามาธบิ ดนิ ทร เฉพาะ ดงั น้ี ดา นนาฏศลิ ป และการละคร) (รัชกาลท ี่ ๘) ๑. ดนตรปี ระกอบใช้ทั้งดนตรีไทยและดนตรสี ากล ๒. มกี ารแสดงระบ�าสลบั ฉาก • ละครหลวงวจิ ิตรวาทการเปนละครท่ตี อ งการ ๓. ฉากสดุ ทา้ ยตวั ละครทกุ ตวั ตอ้ งออกแสดงหมด สะทอ นใหเห็นถงึ สิ่งใด • กรมศลิ ปากรปรับปรงุ การรา� โทนใหเ้ ป็นรา� วงมาตรฐาน (แนวตอบ ละครหลวงวิจติ รวาทการ เปน ละคร ปลุกใจใหเ กิดความรกั ชาติ โดยเนือ้ หาจะ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ล- • โปรดเกล้าฯ ให้มีการบันทึกภาพยนตร์ส่วนพระองค์เกี่ยวกับ นาํ มาจากประวัติศาสตรตอนใดตอนหนึ่ง อดลุ ยเดช (รัชกาลท ่ี ๙) เทพา่ ลรา�งเหพนลา้งพหนาทา้ พยา์อทงยคต์์พา่ รงะๆพ จริ นาถพงึ1เพลงหนา้ พาทยช์ นั้ สงู คอื ทา่ รา� บทละครจะมีทั้งรกั รบ อารมณสะเทือนใจ ความรกั ทีม่ ีตอครู กั ถึงแมจ ะมากมายเพยี งใด • รูปแบบละครแพร่หลายจนเป็นละครโทรทัศน์ ละครวิทย ุ ก็ไมเทากับความรกั ชาต)ิ ละครเวท ี มลี ะครตามแนวของชาติอ่นื ๆ เข้ามาเผยแพร่ • เปดิ หลกั สตู รการเรยี นการสอนนาฏศลิ ป์ไทยในทกุ ระดบั ชน้ั • เชิดชูเกียรติบุคคลในวงการศิลปะการแสดง โดยก�าหนดให้ วันท่ี ๒๔ กุมภาพันธ ์ ของทุกป ี เปน็ วนั ศลิ ปนิ แห่งชาติ 182 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET การละครในสมัยใดท่ี ไม มีการเปลีย่ นแปลงรปู แบบของการแสดงละคร ครูควรอธบิ ายเพ่มิ เตมิ วาทาราํ เพลงหนา พาทยทีป่ รากฏอยใู นตาํ ราไหวครโู ขน ไปจากเดมิ มากนัก ละครท่คี รูทองสขุ ทองหลิม เปน ประธานในพิธีไหวค รู จะประกอบไปดว ยเพลง- 1. สมยั สุโขทัย หนา พาทยจ ํานวน 7 เพลง คือ เพลงพราหมณเ ขา เพลงพราหมณออก เพลงเสมอเถร 2. สมยั อยุธยา เพลงเสมอสามลา เพลงเชิด เพลงโปรยขา วตอก และเพลงกราวรํา 3. สมัยธนบุรี 4. สมัยรตั นโกสินทร นกั เรียนควรรู วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะสมยั กรุงธนบุรี เปน ชวงตอเน่อื ง หลังจากท่กี รงุ ศรอี ยธุ ยาเสยี แกพ มา บรรดาศลิ ปนไดกระจดั กระจาย 1 เพลงหนาพาทยอ งคพ ระพิราพ เปนเพลงหนา พาทยช้นั สงู บรรเลงในพิธี ไปยังสถานที่ตางๆ เพราะผลจากสงคราม บางสว นก็เสียชีวิต บางสว นถูก ไหวค รู เพอื่ เปน การเชญิ องคพ ระพิราพลงมาสถิต ณ มณฑลพิธี ทา ราํ เพลง- กวาดตอ นไปอยพู มา รูปแบบของการแสดงละครจงึ ไมตางไปจากเดิม หนา พาทยอ งคพ ระพิราพ เปน ทาราํ ทีม่ คี วามศกั ด์ิสทิ ธิ์ มีระเบยี บแบบแผน มากนัก บงบอกถงึ อริ ยิ าบถขององคพ ระพิราพ สันนษิ ฐานวา ผทู ่ีเปนคนคิดคนและประดิษฐ ทา รําเพลงหนา พาทยองคพ ระพิราพ คือ พระยานัฏกานุรักษ (ทองดี สุวรรณภารต) 182 คู่มอื ครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา้ ใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ Explain เสรมิ สาระ เกม1เพ่ือพัฒนาการแสดง 1. ใหน กั เรียนศกึ ษาเรือ่ งเกมเพื่อพัฒนา การแสดงจากในหนังสอื เรียน หนา 183 เกมทชี่ ว่ ยในการฝกึ การแสดง มดี ังน้ี ๑. เกมรบั -สง่ ลกู บอล เปน็ เกมทช่ี ว่ ย 2. ใหน ักเรียนแตละกลมุ สง ตัวแทนออกมา จับฉลากเกมทค่ี รูกาํ หนดไว คอื ฝึกสมาธิและความสนใจต่อคู่ท่ีรับ - ส่งลูกบอล หมายเลข 1 เกมรบั - สง ลกู บอล โดยใชล้ ูกบอล ๑ ลูก ใหผ้ ู้แสดงคนหนึ่งโยนและ หมายเลข 2 เกมตุก ตาลม ลกุ ใหผ้ แู้ สดงอกี คนหนง่ึ รบั โดยพยายามไมใ่ หล้ กู บอล หมายเลข 3 เกมเงาในกระจก ตกถงึ พื้น ใหแ ตละกลมุ ฝก เลน เกมท่ีกลุมจบั ได จากนน้ั ออกมาสาธติ วิธกี ารเลนเกมใหเ พือ่ นชม ๒. เกมตกุ ตาลม้ ลกุ เปน็ เกมทจี่ ะสอน หนาชั้นเรียน พรอ มอธบิ ายขน้ั ตอนวิธีการเลน ใหผ้ แู้ สดงไวว้ างใจซง่ึ กนั และกนั เกมตกุ ตาลม้ ลกุ น้ี และประโยชนท ไ่ี ดรบั จากการเลน เกมนี้ สามารถปฏิบัติได้โดยแบ่งผู้เล่นออกเป็น ๓ คน โดยมีครเู ปนผูคอยช้แี นะความถูกตอง ใหค้ นหนง่ึ เปน็ ตกุ ตาอยตู่ รงกลาง อกี ๒ คน เปน็ คนรบั และคนสง่ คนทเ่ี ปน็ ตกุ ตาลม้ ลกุ จะตอ้ งทา� ตวั จากนั้นครถู ามนกั เรียนวา ตามสบาย ผอ่ นคลาย ไมเ่ กรง็ สว่ นคนทเ่ี ปน็ ผรู้ บั และผสู้ ง่ จะตอ้ งมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ ความปลอดภยั • จากการท่นี กั เรียนไดเลน เกมเพอื่ พัฒนา ของเพอ่ื นทเี่ ปน็ ตกุ ตาตลอดการเลน่ เกม อยา่ ใหเ้ กดิ อบุ ตั เิ หต ุ เรม่ิ เกมดว้ ยการทค่ี นหนงึ่ ๆ ผลกั ตกุ ตา การแสดง นกั เรยี นไดป ระโยชนในดา นใด จากข้างหลังและส่งไปหาคนข้างหน้ารับ คนที่มีหน้าท่ีรับต้องมีสมาธิ รับด้วยความระมัดระวัง มากทส่ี ุด แลว้ ผลักกลบั มาทคี่ นส่ง ทา� สลบั กันไปเรอ่ื ยๆ ประมาณ ๑๐ ครง้ั (แนวตอบ เกมเพอื่ พัฒนาการแสดงนจี้ ะชวย ในเรอ่ื งของการฝก สมาธิ การสงั เกต ๓. เกมเงาในกระจก ใหผ้ เู้ ลน่ จบั คกู่ นั และการทาํ งานรวมกนั เปนกลุม) สมมติให้คนหนึง่ เปน็ เงาในกระจกของอกี คนหนึง่ ผทู้ ย่ี นื อยหู่ นา้ กระจกเคลอื่ นไหวอยา่ งชา้ ๆ และผทู้ ี่ ขยายความเขา้ ใจ E×pand รับหน้าท่ีเป็นเงาในกระจกท�าท่าเลียนแบบผู้ส่อง กระจกใหเ้ หมอื นภาพสะทอ้ นในกระจกเงา จากนนั้ ใหนักเรยี นนาํ ขอ มูลเกยี่ วกบั ละครในยุคสมยั เปลี่ยนบทบาทกัน โดยให้เงาในกระจกมาเป็น ตางๆ มารวมกนั จัดนทิ รรศการเรื่อง “ววิ ฒั นาการ ผู้ส่องกระจกบ้าง ซ่ึงเกมน้ีจะช่วยในเรื่องการฝึก การละครของไทย” พรอมหาภาพมาประกอบ สมาธิและการสงั เกต ใหส วยงาม ตรวจสอบผล Evaluate ๑8๓ ครพู ิจารณาจากการจดั นิทรรศการเร่ือง “วิวัฒนาการการละครของไทย” ของนกั เรยี น โดยพจิ ารณาในดานความถกู ตองของเนอื้ หา การนาํ เสนอขอ มลู ความสวยงาม และความคิด รเิ ร่ิมสรางสรรค กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ใหนกั เรียนเขยี นบรรยายประโยชนท ี่ไดร บั จากการเลนเกม ครคู วรยกตวั อยา งเกมเพอื่ ชว ยพฒั นาในการฝก ทกั ษะการแสดงใหแ กน กั เรยี นเพมิ่ เตมิ เพ่ือพฒั นาการแสดง ลงกระดาษรายงาน นําสงครผู สู อน คือ เกมปรศิ นา ซ่งึ สามารถปฏิบัตไิ ดโ ดยใหนักเรยี นคนหนึง่ ออกมาแสดงทาทาง การกระทาํ ตา งๆ เลา เรอ่ื งจากนทิ าน ตวั ละครในโทรทศั น ภาพยนตร หรอื อาชพี ตา งๆ กจิ กรรมทา ทาย เชน แมคากลวยปง คนบา หอบฟาง คนพกิ าร คนขอทาน เปนตน จากน้นั ใหเ พ่ือนๆ ทายวาผูนนั้ ออกมาแสดงเปน อะไร เกมปริศนานจ้ี ะชวยฝก การเคลือ่ นไหวรางกาย อยางอิสระ ใหนักเรียนคิดเกมเพื่อพัฒนาการแสดงตามความคดิ ของตนเอง 1 เกม นกั เรยี นควรรู พรอ มเขยี นบรรยายข้นั ตอนในการเลน เกม และประโยชนทจ่ี ะไดรับจาก การเลนเกมน้ี ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครผู ูสอน 1 เกม กจิ กรรมทางพลศึกษาอยางหน่งึ ทีจ่ ัดใหเดก็ หรอื เยาวชน หรือบุคคลทัว่ ไป ทกุ เพศ ทกุ วัยไดอ อกกําลงั กาย เพอื่ เปนการสง เสรมิ ใหม ีการพฒั นาทางดา นรางกาย จติ ใจ อารมณ และสงั คม โดยอยภู ายใตก ฎกติกาท่ไี มย ุง ยากซบั ซอ นมากนกั ทําให ผูเลนเกิดความสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ และผอ นคลายความเครยี ด คมู่ อื ครู 183

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครูอานกลอนบทละครเรอื่ งพระอภัยมณี ๒. การสรา้ งสรรค์ละครรำา ตอนพระอภัยมณเี ก้ียวนางละเวงใหนักเรียนฟง ละครรา� เปน็ ศลิ ปะทป่ี ระณตี งดงาม มรี ปู แบบทเ่ี ปน็ มาตรฐาน ซงึ่ นบั วา่ เปน็ เอกลกั ษณท์ างดา้ น ศลิ ปวฒั นธรรมประจา� ชาตไิ ด้อย่างหนง่ึ โดยดา� เนินเรอื่ งดว้ ยศลิ ปะการร่ายร�าเปน็ หลกั “ถงึ มวยดินสน้ิ ฟา มหาสมทุ ร ๒.๑ หลักการแสดงละครราำ ไมส น้ิ สุดความรกั สมัครสมาน หลักการแสดงละครร�า จะประกอบไปดว้ ยสงิ่ ตา่ งๆ ดังนี้ แมเกดิ ในใตฟ าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไมคลาดคลา” หน้าพาทย1์ป๑ร)ะกบอทบบลทะคบรา ทบขอทงลตะัวคลระรค�าจร ะแบตท่งลเะปค็นรกรล�าจอะนนบ�าทเรลื่อะงคดร้ว ยมบีทท�าไนหอวง้คเรพู ลซงึ่งรส้อะงท ้อแนลใะหเพ้เหล็นง จากนนั้ ครถู ามนกั เรียนวา • กลอนบทนีต้ อ งการสอื่ ใหเ ห็นถึงสงิ่ ใด วฒั นธรรมไทยทม่ี กี ารเคารพบชู าพระรตั นตรยั พระมหากษตั รยิ ์ บดิ า มารดา ครอู าจารย ์ ดงั ตวั อยา่ ง บทละครในเรอ่ื งอเิ หนา ตอนอิเหนาเก้ียวนางจนิ ตหรา (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น ไดอยา งอิสระ) สา� รวจคน้ หา Explore ใหนักเรยี นศึกษา คนควา หาความรูเ พ่ิมเติม “เสียแรงพต่ี ามมาดว้ ยความยาก สูล้ �าบากบกุ ป่าพนาสณฑ์ เกีย่ วกบั หลกั การแสดงละครราํ จากแหลง การเรียนรู มไิ ด้คิดแค่ชวี ติ จะวายชนม์ หวังจะได้นฤมลมายาใจ ตางๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรยี น หองสมดุ ชมุ ชน พ่ีตงั้ ใจสุจริตจติ วง ว่าจะเล้ยี งโฉมยงใหเ้ ป็นใหญ่ อินเทอรเนต็ เปนตน ในหัวขอ ทค่ี รูกาํ หนดให แม้มสิ มดงั จติ ท่คี ดิ ไว ้ อันนางอน่ื พี่ไม่ไยดี ดงั ตอ ไปน้ี คือ บทละคร ดนตรีและการขบั รอ ง ถงึ ตปี ัตทราจะกรวิ้ โกรธ ลงโทษกจ็ ะรับใส่เกศี การตคี วามหมายทา ราํ ตามบทละคร และการแตง กาย จะอย่ชู มสมสดู่ ว้ ยเทวี อันดาหาธานีพ่ีไม่ไป” อธบิ ายความรู้ Explain ๒) ดนตรีและการขับร้อง การบรรเลงดนตรีใช้วงปี่พาทย์ท�าหน้าที่บรรเลงเพลง ใหน กั เรียนรว มกบั อภิปรายเก่ยี วกับหลักการ หเพนล้างพเชาดิท2 ยเพ์ปลระงกเสอมบออ3 หิริยราอื บเพถลแงลพะญอาารเมดนิณ4 ์ขเมออ่ื งตตวััวลละะคครรด เีใชจจน่ ะ บเมรื่อรเตลัวงลเพะคลรงเกดรินาวทราา� ง5 ปเป่พี น็ าตทน้ ย นจ์ ะอบกรจราเกลนง้ี แสดงละครรํา ในหวั ขอบทละครตามท่ีไดศ ึกษามา วงปี่พาทยย์ ังทา� หนา้ ทีบ่ รรเลงตามเพลงขับร้องอีกด้วย จากนัน้ ครถู ามนักเรียนวา ละครร�าจะมีผู้ที่ขับร้องเป็นต้นเสียงร้องน�า และมีลูกคู่ร้องรับในวรรคหลังของกลอน บทละคร ท้ังนี้ การบรรเลงและขับร้องประกอบการแสดงละครร�าน้ัน ผู้ขับร้องจะต้องใส่อารมณ์ • กลอนบทละครมีลักษณะที่แตกตา ง ไปตามบทบาทของตัวละคร จะรอ้ งเหมอื นการร้องส่งดนตรปี พ่ี าทยธ์ รรมดาไมไ่ ด้ เพราะจะทา� ให้ จากกลอนชนิดอ่นื หรือไม อยา งไร การแสดงละครขาดคณุ คา่ ในดา้ นสนุ ทรียะ (แนวตอบ มลี ักษณะบงั คบั เหมอื นกลอนสภุ าพ สว่ นการบรรเลงปพ่ี าทย ์ ผบู้ รรเลงจะตอ้ งรทู้ า่ รา� ของตวั ละคร การบรรเลงจะเรม่ิ ตน้ ดว้ ย แตจ ะขน้ึ ตนวา “เมื่อนน้ั ” สําหรบั ตวั ละคร การโหมโรง เม่อื จบการแสดงจะตอ้ งบรรเลงเพลงสรรเสรญิ พระบารม ี ถ้าเปน็ การบรรเลงประกอบ ท่เี ปนกษตั รยิ  หรอื ผูม บี รรดาศกั ด์ิสงู “บัดน้นั ” ละครพนั ทางตอ้ งเพม่ิ เครอ่ื งภาษาสา� เนยี งจนี มอญ เขมร ฝรงั่ พมา่ ฯลฯ ไปตามเนอ้ื เรอ่ื งทแี่ สดงดว้ ย สาํ หรบั ตัวละครที่เปน เสนา หรือคนทว่ั ไป “มาจะกลาวบทไป” ใชส ําหรับนําเร่ือง ๑84 เกริ่นเร่ือง) นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET กลอนบทน้ีเหมาะสาํ หรับนํามาใชก บั บทละครประเภทใด 1 เพลงหนา พาทย เพลงทมี่ ที าํ นองและลกั ษณะการบรรเลงตายตวั จดั เปน บทเพลง “วา พลางโอบอมุ อรทัย ขึน้ ไวเหนอื ตกั สะพักชม ทม่ี คี วามศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ นาํ มาใชป ระกอบพธิ กี รรมการไหวค รแู ละใชป ระกอบกริ ยิ าอาการ เอนองคลงแอบแนบนอ ง เชยปรางพลางประคองสองสม เคลอ่ื นไหวของตวั ละครในการแสดงละครประเภทโขน คลึงเคลา เยา ยวนสํารวลรมย เกลียวกลมสมสวาทไมคลาดคลาย 2 เพลงเชิด ใชส าํ หรับตวั ละครทีไ่ ป - มาในระยะทางไกล หรอื รีบดวน การโลดไล กรกอดประทับแลวรบั ขวัญ อยาตระหนกอกส่ันนะโฉมฉาย ติดตาม ตลอดจนการตอ สู รบราฆา ฟน กนั ฤดีดาลซานจับเนตรพราย ดังสายสนุ ีวาบปลาบตา” 3 เพลงเสมอ ใชประกอบกิริยาไป - มาใกลๆ เชน เดนิ ออกจากทอ งพระโรง 1. บทโอโ ลม เปน ตน 2. บทพาทยเมอื ง 4 เพลงพญาเดนิ ใชสาํ หรบั การไป - มาของตวั เอก ตัวละครผสู งู ศักด์ิ 3. บทพากยบ รรยาย หรือพระมหากษตั ริยในลกั ษณะเด่ยี ว หรือหมู 4. บทพาทยชมดง 5 เพลงกราวรํา ใชใ นความหมายเยาะเยย ฉลองความสาํ เรจ็ หรือสนุกสนาน ไดร ับชัยชนะ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะบทกลอนมเี นอื้ หาเกี่ยวกบั 184 ค่มู ือครู การเก้ียวพาราสีกนั ของตัวละคร จงึ จดั เปนกลอนบทละครประเภทโอโ ลม

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๓) การตคี วามหมายทา่ รา� ตามบทละคร ทา่ รา� ของละครม ี ๒ ลกั ษณะ คอื รา� หนา้ พาทย์ ใหน กั เรียนรวมกนั อภปิ รายเกี่ยวกบั หลักการ แสดงละครรํา ในหวั ขอ ดนตรี และการขับรอ ง กบั รา� บท (ตบี ท) รา� หนา้ พาทย ์ หมายถงึ การรา� ท่ีไมเ่ กยี่ วกบั เนอื้ หาของบทละคร เปน็ แตเ่ พยี งรา� ให้ การตคี วามหมายทา ราํ ตามบทละคร และการแตง เขา้ กบั จงั หวะเพลงหน้าพาทยเ์ ท่านั้น ซึ่งปรมาจารยท์ างดา้ นนาฏศลิ ป์ไทยได้ประดษิ ฐท์ ่ารา� ประจา� กายตามทไี่ ดศ ึกษามา จากน้ันครูถามนักเรียนวา เพลงหนา้ พาทย์ไวเ้ ปน็ แบบแผน สว่ นการรา� บท หมายถงึ การนา� ทา่ รา� มาตคี วามหมายตามบทละคร เพ่ือสื่อความหมายให้ผู้ชมละครเข้าใจบทบาทของตัวละคร โดยใช้ท่าร�าแทนค�าพูดและการแสดง • เครอื่ งดนตรีทน่ี าํ มาบรรเลงประกอบ อารมณ ์ การร�าตามบท หรือการร�าตีบทเปน็ การสื่อความหมายด้วยกริ ยิ าท่าทาง นบั ว่าเป็นภาษา การแสดงละครแตล ะประเภท ใชว งดนตรี อย่างหนึ่งท่เี รยี กว่า “ภาษานาฏศลิ ป”์ เดยี วกันท้ังหมดหรือไม อยางไร ดว้ ยเหตทุ ลี่ ะครรา� แบง่ ออกเปน็ ๖ ชนดิ คอื ละครชาตร ี ละครนอก ละครใน ละครดกึ ดา� บรรพ ์ (แนวตอบ ตา งกัน คือ ละครพันทาง และละครเสภา การตีความหมายท่าร�าตามบทละครจึงมีความแตกต่างกันออกไป วงปพาทยชาตรี นาํ มาใชบรรเลงประกอบ ในละครรา� แตล่ ะชนดิ การแสดงละครชาตรี วงปพ าทยเ ครอ่ื งหา นาํ มาใชบ รรเลงประกอบ ประเภท ลีลาทา่ ร�า การแสดงละครนอก ละครใน และละครเสภา ละครชาตรี การตีความหมายท่าร�าตามบทร้องของละครชาตรีจะไม่ วงปพ าทยดกึ ดําบรรพ นํามาใชบ รรเลง ประณตี เหมอื นละครใน โดยเปน็ ทา่ รา� งา่ ยๆ ซา�้ ๆ มรี า� หนา้ พาทย์ ประกอบการแสดงละครดึกดาํ บรรพ กบั รา� บทและมกี ารร�าซดั ไหว้ครูซึง่ ใชท้ า่ “รา� ซัดแบบชาตรี” วงปพ าทยไมนวม นํามาใชบรรเลงประกอบ การแสดงละครพันทาง ละครรอง ละครนอก ลีลาท่ารา� ของละครนอก ต้องปรบั ใหเ้ ข้ากบั ท�านองเพลงท่ี และละครสังคีต มีความว่องไว กระฉับกระเฉง ต้องปรับเปล่ียนไปตามความ วงดนตรีไทยและวงดนตรีสากลผสมกนั มงุ่ หมายและบคุ ลกิ ลกั ษณะของตวั ละคร เชน่ ลลี าทา่ รา� ของเจา้ เงาะ นาํ มาบรรเลงประกอบการแสดงละคร ในละครนอก เร่ืองสงั ข์ทอง จะมีทงั้ ทา่ ลงิ ยกั ษ์ มนษุ ย์ เปน็ ตน้ หลวงวจิ ติ รวาทการ วงดนตรีสากล นาํ มาบรรเลงประกอบ ละครใน มีแบบแผนของลีลาท่าร�า การตีบท เชอ่ื งชา้ และกระชบั การแสดงละครเพลง) ตามบทรอ้ ง การตบี ทตอ้ งดตู า� แหนง่ ของตวั ละคร โดยจะต้องตีบท ให้ผสมกลมกลืนกับต�าแหน่งของตัวละคร เช่น นั่ง ยืน เดิน • การตีความหมายทารําตามบทละคร บทเขา้ พระ - เข้านาง เป็นต้น มปี ระโยชนอยางไร (แนวตอบ มีประโยชนใ นการส่ือความหมาย ละครดึกด�าบรรพ์ การตีบทละครดึกด�าบรรพ์ ต้องประดิษฐ์ท่าร�าให้ตรงกับ ใหผชู มเขา ใจบทบาทของตวั ละครมากยง่ิ ข้ึน คา� พดู และกริ ยิ าของตวั ละคร จะตดั หรอื เตมิ ทา่ รา� ไดบ้ า้ ง เนอ่ื งจาก โดยใชท า ราํ แทนคาํ พดู และการแสดงอารมณ) ตวั ละครรอ้ งเอง จงึ ปรบั ทา่ รา� ใหเ้ ข้ากบั บทรอ้ งไดง้ า่ ย บทละคร- ดกึ ดา� บรรพจ์ ะตดั บททบ่ี รรยายกริ ยิ าของตวั ละครออก เพราะถอื วา่ • “ยืนเคร่ือง” เปน การแตงกายของละคร ผู้ชมเห็นกิริยาการเคล่ือนไหวของตัวละครอยู่แล้ว ส่วนท่าร�า ประเภทใด จะมคี วามประณีตเหมือนละครใน (แนวตอบ ละครใน เพราะเปนละครทีแ่ สดง ในวงั เคร่ืองแตงกายจึงเลยี นแบบมาจาก ๑85 เครอื่ งทรงของกษตั ริยท ม่ี ีความสวยงาม วจิ ติ รตระการตา ตอ มาละครนอกกพ็ ฒั นาขน้ึ ในเรื่องของการแตง กาย คอื แตง กาย ยืนเครือ่ งแบบละครใน) แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู การแสดงละครในขอใดแตกตางจากขออ่ืน ครคู วรอธบิ ายเพิ่มเตมิ เก่ยี วกับคาํ วาภาษาทา รํา หรือภาษานาฏศิลปวา ภาษา 1. ละครชาตรี ก็เปรียบเสมอื นภาษาพูด แตไ มต อ งเปลง เสียงออกมา โดยจะใชอ วยั วะตา งๆ 2. ละครเพลง ของรา งกายแสดงออกมาเปนทา ทาง โดยเลยี นแบบทา ทางธรรมชาติ ซึง่ สามารถ 3. ละครพันทาง แบง ออกเปน 3 ประเภท คอื ภาษาทา ใชแ ทนคําพูด เชน ฉัน เธอ ทาน ปฏิเสธ 4. ละครดึกดําบรรพ ทาเรียก ทา ไป เปน ตน ภาษาทาใชแทนอิรยิ าบถ หรือกริ ยิ าอาการ เชน ทา ยืน ทาเดิน ทา นัง่ เปนตน และภาษาทาที่ใชแ สดงอารมณความรูสกึ เชน ดใี จ เสยี ใจ วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. เพราะละครเพลงไมม กี ารตคี วามหมาย โกรธ เศรา โศก เปนตน ซ่ึงจะทาํ ใหน ักเรยี นมคี วามรู ความเขา ใจเกีย่ วกับภาษาทารํา หรอื ภาษานาฏศลิ ปไ ดดยี งิ่ ข้ึน ของทาราํ ตามบทละคร การแสดงจะดาํ เนนิ เรือ่ งดวยบทเพลงท่แี ตง ขึน้ ใหม ซงึ่ เปนเพลงไทยสากลและใชทาทางทเ่ี ปนธรรมชาติประกอบบทรอง มมุ IT นกั เรียนสามารถศกึ ษา คนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษาทา หรอื ภาษานาฏศลิ ป ไดจาก http://www.cdaat.bpi.ac.th คมู่ อื ครู 185

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครเู ปด ซีดี หรอื ดีวดี ีการฝกปฏบิ ัติการแสดง ประเภท ลีลาทา่ รา� นาฏศลิ ปเบ้ืองตนใหน ักเรียนชม จากนน้ั ครถู าม ละครพนั ทาง พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ วรรณากร กรมพระนราธปิ - นักเรยี นวา ประพันธ์พงศ์ ทรงดัดแปลงลีลาท่าร�าใหม่ให้เป็นท่าร�าท่ีมาจาก กริ ยิ าทา่ ทางของชาตติ า่ งๆ ประกอบกบั ทา่ ทางสามญั ชนในบางเรอื่ ง • การฝก ปฏบิ ัตกิ ารแสดงนาฏศิลป กิริยาเคลื่อนไหวของตัวละครและดนตรีที่บรรเลงประกอบ มีประโยชนอ ยางไรบา ง การแสดง จะใชเ้ พลงหนา้ พาทยต์ ามเชอื้ ชาต ิ เชน่ เพลงเสมอลาว (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น เพลงเสมอพม่า เปน็ ตน้ ทา่ ร�าละครพันทางตอ้ งปรบั เปลย่ี นลลี า ไดอยางอสิ ระ) ใหเ้ ข้ากบั จังหวะและทา� นองเพลงของชาตติ ่างๆ สา� รวจคน้ หา Explore ละครเสภา เน้นลีลาท่าร�าให้เข้ากับบทเสภาท่ีมีส�าเนียงภาษาต่างๆ ใหน ักเรียนแบง กลมุ ออกเปน 5 กลมุ ใหน ักเรยี น เชน่ เสภาลาว เสภามอญ เปน็ ตน้ ทา่ รา� กต็ อ้ งปรบั ไปตามเชอ้ื ชาต ิ ศึกษา คนควา หาความรูเพ่ิมเตมิ เกย่ี วกบั แนวการ การตคี วามหมายทา่ รา� ของละครเสภานนั้ จะเหมอื นละครนอก คอื ฝก ปฏิบัติการแสดงนาฏศิลป จากแหลง การเรยี นรู มีแบบแผนท่งี ดงามเหมอื นกนั น่ันเอง ตางๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรยี น หอ งสมดุ ชมุ ชน อนิ เทอรเน็ต เปน ตน ในหัวขอ ที่ครูกาํ หนดให ๔) การแต่งกาย การแตง่ กายของละครรา� 1จะแต่งตามประเภทของละครร�าชนิดนั้นๆ ดังตอ ไปน้ี คอื ละครชาตร ี ละครนอก ละครใน ละครดกึ ดา� บรรพ ์ จะแตง่ กายยนื เครอื่ งพระ - นาง ละครพนั ทางจะ แตง่ กายตามลักษณะเชอื้ ชาติ และละครเสภาจะแตง่ กายตามท้องเรื่องคลา้ ยกับละครพนั ทาง กลุมที่ 1 คุณสมบัติของผูฝก ปฏบิ ตั ิ กลมุ ที่ 2 วิธีการคัดเลือกตวั พระ - ตัวนาง ๒.๒ แนวทางการฝึกปฏิบัติ กลมุ ท่ี 3 ขน้ั ตอนการฝก ปฏิบัติ ละครรา� มกี ารฝกึ ปฏบิ ตั ทิ เ่ี ปน็ ระเบยี บแบบแผน ตอ้ งอาศยั ความขยนั หมนั่ เพยี รและความอดทนสงู กลุมท่ี 4 การฝกอวัยวะ ทง้ั ผสู้ อนและผฝู้ กึ เปน็ การฝกึ ทกั ษะทตี่ อ้ งการความสมา�่ เสมอ มรี ะยะเวลาในการฝกึ ฝนทย่ี าวนาน กลมุ ที่ 5 บทเรยี นทีน่ ํามาฝกปฏิบัติ แนวทางในการฝกึ ปฏิบัติ ได้มวี ิธีถ่ายทอดสืบต่อกันมาอย่างมีระบบตามหลกั เกณฑ์ ดังนี้ อธบิ ายความรู้ Explain ๑) คณุ สมบัติของผ้ฝู ึกปฏิบตั ิ มีดังน้ี • มีความพรอ้ มทางด้านรา่ งกาย คอื มีรปู งามและมีทรวดทรงสณั ฐานสมสว่ น • มีพรสวรรค์ คอื มคี วามสามารถตดิ ตัวมาแตก่ า� เนิด ใหน ักเรยี นกลุมท่ี 1 - 2 ทไี่ ดศ กึ ษา คนควา • มปี ระสาทรับรูจ้ งั หวะทีถ่ กู ต้อง หาความรูเพ่ิมเติมเก่ียวกับแนวการฝกปฏิบัติ • มคี วามฉลาดในการแสดงท่ารา� การแสดงนาฏศลิ ป สง ตวั แทนกลมุ ละ 2-3 คน ออกมา • มีความสนใจและใส่ใจตอ่ การแสดงนาฏศิลป์ อธิบายความรใู นหวั ขอ คุณสมบตั ิของผูฝกปฏบิ ตั ิ และวิธีการคัดเลือกตัวพระ - ตัวนาง ตามท่ีไดศึกษา ๒) วธิ ีการคดั เลือกตัวพระ - ตวั นาง ในการฝึกปฏบิ ตั จิ ะแบ่งผูฝ้ ึกออกเปน็ ๒ พวก มาหนาชัน้ เรยี น จากนั้นครถู ามนักเรยี นวา คอื ตวั พระและตวั นาง ผทู้ จี่ ะไดร้ บั การฝกึ เปน็ ตวั พระจะตอ้ งมรี ปู รา่ งสงู โปรง่ ใบหนา้ รปู ไข ่ ชว่ งคอยาว ไหลล่ าด ขาทงั้ ๒ ข้าง ไมโ่ ก่ง ผวิ พรรณขาวสะอาดหมดจด ส่วนผู้ที่จะได้รับการฝึกเปน็ ตัวนาง • นักเรียนคิดวา รปู หนา และสรรี ะของตนเอง จะต้องมสี ัดส่วนสนั ทัด ต่�ากว่าตวั พระ ใบหนา้ กลม หรอื รปู ไข ่ สว่ นอ่นื ๆ ใชเ้ กณฑเ์ ดียวกบั ตวั พระ เหมาะสมทจ่ี ะฝก เปน ตวั ละครใด เพราะเหตใุ ด จึงเปน เชน นน้ั ๑86 (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยา งอสิ ระ) นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET รปู หนาในขอใดท่ีเหมาะสําหรับแสดงเปนตวั นาง 1 การแตงกายของละครรํา ในการแสดงละครแตละประเภท นักแสดงจะสวม เคร่ืองแตงกายท่ีแตกตางกนั เชน ละครชาตรี ในสมยั โบราณไมน ิยมใสเ สื้อ 1. 2. 3. 4. เพราะจะใชผ ูช ายแสดงทั้งหมด ตวั ยนื เครอ่ื งนุง สนับเพลา คาดเจยี ระบาด วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะผูท่จี ะแสดงเปน ตัวนางนน้ั มีหอยหนา หอยขาง สวมสงั วาล ทบั ทรวง กรองคอ สวมเทรดิ ในปจจบุ ัน ควรมรี ปู หนาท่ีกลม ชว งคอยาว ไหลลาด ขาท้งั 2 ขาง ไมโกงงอ จะแตงเครอื่ งละครสวยงาม ละครนอก จะแตง กายแบบสามัญชน ตวั นางจะนํา ผิวพรรณสะอาด และตองมสี ดั สวนท่สี นั ทดั กวา ตัวพระ ผา ขาวมามาหมเปนสไบ ตอมาจงึ ดัดแปลงรูปแบบการแตง กายใหด ูงดงามมากขึ้น โดยเลยี นแบบจากละครใน ละครใน จะแตงกายสวยงามตามแบบของกษตั รยิ  ที่เรียกวา “ยืนเครอ่ื ง” ละครดึกดําบรรพ จะแตงกายแบบละครใน นอกจาก การแสดงบางเรอื่ งจงึ จะดัดแปลงเพือ่ ความเหมาะสมตามทองเรือ่ ง ละครพันทาง จะแตง กายตามลกั ษณะเชื้อชาติที่แสดง เชน แสดงเกย่ี วกับเร่อื งมอญ ก็จะแตง แบบมอญ แสดงเก่ยี วกับเร่อื งพมา กจ็ ะแตง แบบพมา เปน ตน ละครสงั คตี จะแตง แบบสมยั นยิ ม โดยคํานึงถึงฐานะของตัวละครตามทองเร่อื ง เปน ตน 186 ค่มู อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๓) ขนั้ ตอนในการฝกึ ปฏบิ ตั ิ ผทู้ เ่ี ขา้ ฝกึ ปฏบิ 1ตั ทิ า่ รา� จะตอ้ งเขา้ พธิ ไี หวค้ รเู พอ่ื มอบตวั ใหนกั เรยี นกลมุ ที่ 3 - 4 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรเู พม่ิ เติมเกย่ี วกับแนวการฝกปฏิบัติ เปน็ ศษิ ย ์ ขออนญุ าตฝกึ ทา่ รา� และขอพรตอ่ เทพเจา้ แหง่ ศลิ ป ์ ครอู าจารย์ใหป้ ระสทิ ธปิ์ ระสาทความจา� การแสดงนาฏศิลป สง ตัวแทนกลมุ ละ 2 - 3 คน ความคิดสร้างสรรค์ ปกป้องภัยพิบัติ และขอ ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอ ขนั้ ตอนการฝก ปฏบิ ตั ิ ขมา ถา้ หากเกิดความผดิ พลาด หรอื ล่วงเกินใน และการฝกอวยั วะ ตามท่ไี ดศึกษามาหนาชั้นเรยี น ขณะฝกึ การฝกึ จะเริ่มต้นในวนั พฤหสั บดี ซงึ่ ถือ จากนน้ั ครถู ามนักเรยี นวา กนั วา่ เปน็ วนั ครทู มี่ ฤี กษง์ ามยามด ี ครจู ะจบั มอื ให้ ศษิ ยเ์ ร่มิ ตน้ ดว้ ยการดดั มอื ดดั แขน ดดั ขา เพือ่ • การเขา พิธไี หวครมู คี วามสําคัญอยา งไร ใหพ้ รอ้ มในการฝึกซ้อมละครร�าตอ่ ไป และกอ ใหเกิดประโยชนอยา งไร (แนวตอบ เปน การปฏิบตั ทิ ีแ่ สดงใหเหน็ ถงึ ๔) การฝกึ อวยั วะ เมอื่ ทา� พธิ ไี หวค้ รู ความเคารพตอเทพผูอ บรมครูแหงศิลปะ การแสดงทัง้ มวล ระลกึ ถึงพระคณุ ของ และเรม่ิ ดดั มอื ดดั แขน ดดั ขาแลว้ ผแู้ สดงจงึ เรมิ่ ครูบาอาจารย ผซู ่ึงประสทิ ธิประสาทความรู ฝึกอวยั วะทกุ สว่ นของรา่ งกาย เพ่อื ให้เกดิ ทกั ษะ การฝกึ หดั นาฏศลิ ป์ ผฝู้ กึ ควรเรม่ิ ตน้ จากการฝกึ ตงั้ วง จบี มอื ทางนาฏศิลปใ ห ทั้งครใู นปจจุบันและครูที่ ในการแสดง โดย•ฝ เึกรม่ิอวตยัน้ วจะาตกา่กงาๆร ฝดกึ งั ตนง้ั ี้มอื ตงั้ วง จบี มซงึ่อื เป มน็ ว้สนว่ นมสอื�าค คัญลทา่ที ย�าใมหอื ้ท2 ่ากรรา� ถากูยตมอ้ อื งต แามทตง�ามแอืหน อ่งนั เปน็ ลวงลับไปแลว ประโยชนท่ีไดร บั จากพธิ ี ส่วนสา� คัญเพื่อให้ท่ารา� ถกู ต้องตามตา� แหนง่ ไหวครู คือ สามารถทําใหเ กดิ ความสามคั คี เปน อนั หนงึ่ อันเดยี วกันและนาํ วิชาความรู • ฝกึ การเคล่ือนไหว รจู้ ักการใชพ้ ลังควบคุมกลา้ มเนื้อให้เคล่ือนไหวตามตอ้ งการ ทเ่ี รียนมาไปถา ยทอดไดดว ยความมนั่ ใจ ได้ฝึกให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ยืดหยุ่น รู้จักการทรงตัว รู้จักจังหวะ เพื่อให้การเคลื่อนไหวร่างกาย โดยไมต อ งกลวั วา “ผดิ คร”ู เปน การสรา งศษิ ย ประสานสัมพนั ธก์ บั จงั หวะ ใหม คี วามเชื่อม่นั ในวิชาความรทู ไ่ี ดเ รยี นมา และเกิดความสบายใจหากไดทําสิง่ ใด • ฝึกการใช้ล�าตัว เพ่ือให้ผู้ฝึกมีล�าตัวอยู่ในลักษณะตรง ตึงตัว ตึงเอว (ดันเอว) ผดิ พลาดไปก็เปน การขอขมาคร)ู ทับหน้า (เก็บหน้าท้อง) หย่อนอก ไหล่ และอกผาย แต่ไม่แอ่นจนเกินไป ศีรษะตรง เปิดคาง (ใบหน้าเงย) ทกุ สว่ นของรา่ งกายจะอยู่ในลกั ษณะพองาม ไม่ตงึ หรอื หย่อนจนเกินไป • “การมว นมอื ” สามารถปฏิบตั ไิ ดอยางไร (แนวตอบ สามารถปฏิบตั ิพรอมกนั ได 2 มือ • ฝกึ การเคลอื่ นไหวลา� ตวั สว่ นเหนอื บน้ั เอวขน้ึ ไป โดยการเอยี งตวั ทางซา้ ย - ทางขวา หรือทีละมอื กไ็ ด เชน ตอ งการมวนมือขวา เรียกวา่ “กล่อมตวั ” การใช้กลา้ มเนอื้ ส่วนใตอ้ ก ตึงเอว (เกลียวหน้า) การยกั ตวั โดยวธิ ีเคลือ่ นไหว ใหใชมือขวาจบี หงายระดับวงหนา ตอ ไป อย่างน่มุ นวล ด้านข้างของลา� ตวั สว่ นบน (เกลยี วขา้ ง) ยักเอวเขา้ - ออก ทงั้ ซ้ายทั้งขวา ตอ้ งฝกึ คอ ยๆ เคลอื่ นจีบหงายนัน้ ใหค วาํ่ ลง กระท�าอย่างตอ่ เนื่อง แลวคอยๆ ปลอ ยจบี มือต้งั ข้ึนระดบั วงหนา กิริยาของการมวนมอื จะเร่ิมตน ดว ยการ • ฝึกการใช้เท้าขั้นพื้นฐาน โดยเร่ิมจากการประเท้า รู้จักการยืด - ยุบ การย่อตัว จบี หงายทกุ ครง้ั แลว จงึ ตอ ดว ยทา ราํ เปน ตน ) เป็นการควบคุมกล้ามเนอื้ การยกเท้า กา้ วเท้า จรดเทา้ กระทุ้งเท้า กระดกเท้า และถดั เทา้ ๕) บทเรียนที่น�ามาฝึกปฏิบัต ิ บทเรียนที่น�ามาฝึกปฏิบัติท่าร�าจะต้องมีท้ังเพลงช้า เพลงเรว็ เพราะจะทา� ใหผ้ ฝู้ กึ สามารถปฏบิ ตั ทิ า่ รา� ไดถ้ กู ตอ้ งตามแบบแผน บทเรยี นเพลงชา้ - เพลงเรว็ มคี วามส�าคัญและเป็นประโยชน์ ดงั น้ี ๑87 บูรณาการเชอื่ มสาระ เกร็ดแนะครู จากการศกึ ษาเกย่ี วกับข้ันตอนการฝกปฏบิ ัติและการฝก อวัยวะ สามารถ ครูควรเนน ใหเ ห็นวาการดัดมอื ดัดแขน ดัดขาเปน การฝก แสดงโขนขนั้ แรก เช่ือมโยงกบั การเรียนการสอนในกลมุ สาระการเรียนรสู ขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ซ่งึ ในขัน้ ตอนนี้ ผูฝ ก จะตอ งใชความอดทนและมีความพยายามมาก เพือ่ ใหเกิด ในเรื่องการเคลอื่ นไหวรางกายและการฝกอวัยวะในการรา ยราํ โดยฝกอวยั วะ ความออ นตัวของกลามเน้ือ ตางๆ ของรา งกาย เริม่ จากการตงั้ มือในลกั ษณะตางๆ ฝก การเคล่อื นไหว ยดื หยนุ กลา มเนือ้ การทรงตัว ฝกการใชล าํ ตวั เพอื่ ใหมลี าํ ตวั ตงั้ ตรง ไหล นกั เรียนควรรู และอกผายออก ฝกการเคล่ือนไหวลาํ ตวั สวนเหนอื บ้นั เอวขนึ้ ไป โดยการ เอยี งซาย เอยี งขวา การยกั ตัว และฝก การใชเทาข้ันพ้ืนฐาน โดยเรม่ิ จาก 1 เทพเจาแหงศลิ ป เทพเจาซึง่ เปนทเ่ี คารพบชู าของบุคคลทอี่ ยใู นวงการนาฏศลิ ป การประเทา ยืด - ยบุ การยอ ตวั เพ่อื เปน การควบคุมกลามเนอ้ื ซึง่ สง่ิ เหลา น้ี ไดแก พระอศิ วร พระนารายณ พระพรหม พระอินทร พระพฆิ เนศ พระวษิ ณกุ รรม ผูฝ กปฏบิ ัตจิ ะตองกระทาํ เปนประจําอยา งตอ เนื่อง เพราะจะทาํ ใหอ วยั วะ พระปรคนธรรพ พระปญ จสีขร และพระพิราพ ทกุ สว นสามารถทาํ งานไดอ ยา งเตม็ ทแ่ี ละมปี ระสทิ ธภิ าพมากยง่ิ ขน้ึ ซง่ึ จะตอ ง อาศัยความขยันหม่นั เพยี รและความอดทนเปนอยางมาก เม่ือนํามาประกอบ 2 คลายมือ สามารถทาํ พรอ มกันท้ัง 2 มือ หรอื มือเดียวก็ได เชน การคลายมอื การรายราํ แลว กจ็ ะไดท าราํ ทม่ี ีความสวยงาม พรอมกนั 2 มอื เร่ิมจากการจีบคว่าํ แลวคอยๆ พลิกขอมอื มาทางนิ้วหัวแมมือ จนมอื ท้งั 2 ขาง หงายข้นึ จงึ ปลอยมือออกจากกัน ซ่งึ การคลายมือจะเริ่มตนดว ย การจบี คว่ําเสมอ คมู่ อื ครู 187

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นกลมุ ที่ 5 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู • มปี ระโยชน์ในการจัดรปู ทรง สดั สว่ น สณั ฐานใหไ้ ดม้ าตรฐาน มีความงามตาม เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั แนวการฝก ปฏบิ ตั กิ ารแสดงนาฏศลิ ป แบบแผนนาฏศลิ ป์และละครร�า สงตัวแทนกลมุ ละ 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู • ฝึกอวัยวะทุกส่วนให้ถูกต้อง ในหวั ขอ บทเรยี นทน่ี าํ มาฝก ปฏบิ ตั ิ ตามทไ่ี ดศ กึ ษามา ตามแบบแผนของทา่ รา� และใหม้ คี วามสมั พนั ธก์ นั หนาชัน้ เรียน จากน้ันครถู ามนักเรียนวา เชน่ การตงึ เอว ตงึ ไหล ่ การทรงตวั แขน ขา มอื เปน็ ตน้ • ผทู ีเ่ รมิ่ ตนการเรียนนาฏศลิ ปค วรเลอื กใช • การฝกึ อยา่ งสมา�่ เสมอจะทา� ให้ เพลงใดมาฝก ปฏิบัติ เพราะเหตใุ ด วงและเหลี่ยมเคยชิน ได้สัดส่วน เกิดทักษะใน จึงเปนเชนนนั้ การรา� (แนวตอบ เพลงชา - เพลงเร็ว ซ่ึงเปน เพลง • สามารถฟงั และวเิ คราะหบ์ ท- ทจี่ ดั อยใู นประเภทเพลงฝก หดั การราํ นาฏศลิ ป เพลง ดนตรี จงั หวะหน้าทับไดอ้ ยา่ งถูกต้อง เบอ้ื งตน โดยเฉพาะผฝู กหดั ท่ไี ดร บั คดั เลอื ก • สามารถปฏบิ ตั ทิ า่ รา� ไดถ้ กู ตอ้ ง ใหเ ปนตัวพระ - นาง จะตอ งผานการฝกหดั ผู้ฝึกหัดนาฏศิลป์เบื้องต้นจะต้องฝึกหัดท่าร�าอย่าง งดงามตามแบบแผน เบือ้ งตนในการราํ เพลงชา - เพลงเรว็ กอ น สมา่� เสมอ เพื่อให้วงและเหลี่ยมไดส้ ัดส่วนสวยงาม นอกจากเพลงทเ่ี ลอื กมาเปน็ บทเรยี น ผเู รยี นราํ จะตอ งฝก หดั ราํ ใหค ลอ งแคลว แมน ยาํ และสวยงาม เพ่ือเปนพื้นฐานในการเรียน เกพ็คื่อือฝทึก่าทร�าักแษมะ่บกทาร รซ�า่ึงในหลมะาคยรถรึง�า แทล่า้วร �าสท่ิง่ีใสช�า้ปครัญะกทอ่ีจบะบตท้องรเ้อรง1ียทน่ีขรึ้นู้เพต้น่ือกดา้วรยร �า“ทเท่ีถพูกนตม้อปงอฐีกมปพรระหกมาสรห่ีหนนึ่้าง เพลงอนื่ ๆ ตอ ไป) สอดสรอ้ ยมาลาเฉดิ ฉนิ …” ซงึ่ ทา่ รา� แมบ่ ทนส้ี บื เนอื่ งมาจากภาพลายเสน้ ในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ - พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช (รัชกาลท ี่ ๑) ที่มีบทรอ้ งแตกต่างกนั อยู่ ๓ บท ไดแ้ ก่ • “เบิกโรง” หมายถงึ ส่ิงใด • แมบ่ ทเลก็ หรอื แมบ่ ทนางนารายณ ์ ซง่ึ จะอยใู่ นระบา� เบกิ โรง ชดุ นารายณป์ ราบนนทก (แนวตอบ การแสดงชุดสนั้ ๆ กอ นการแสดง มเปา็นตทรฐ่าารน�าทมจ่ีาะตตรอ้ฐงาฝนกึ รหา� ใรหือค้ แลมอ่ ่ทงก่าอ่ นใชไป้ทฝ�ากึนทอา่งรเา�พในลงระชดมบั ตสลงู า แดม บ่มทีลเีลลาก็ อจ่อะปนรชะ้อกยอ บนดุว่ม้ ยนทวา่ลร า� เ๑ป๘็น ทท่าา่ รรา��า2 ชุดใหญท่ีเปน เร่ืองราว ถือเปนประเพณนี ิยม • แม่บทใหญ่ เป็นท่าร�ามาตรฐาน ผู้ท่ีฝึกร�าแม่บทเล็กได้ดีแล้ว ก็จะมาฝึกร�า มาแตสมยั โบราณ โดยมีจุดมงุ หมาย แมบ่ ทใหญ ่ ผฝู้ กึ จะรา� ตามบทขบั รอ้ ง ขณะเดยี วกนั กต็ อ้ งใชส้ ว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย ตง้ั แตศ่ รี ษะจรด เพื่อใหเ กดิ ความเปนสริ มิ งคลแกผชู ม ปลายเทา้ ใหส้ อดคลอ้ งกลมกลนื ไปกบั ทว่ งทา� นองและจังหวะของเพลงบรรเลง โดยแม่บทใหญ่จะ และผูแ สดง สามารถแบงออกเปน 2 ประเภท ประกอบไปด้วยทา่ รา� ๖๖ ท่า คือ เบกิ โรงดว ยการละเลน และเบกิ โรงดว ย • แมบ่ ทนาฏราช เปน็ แมบ่ ทจากเรอื่ งพระภรตเบกิ โรง พระราชนพิ นธ์ในพระบาท- ระบาํ รํา ฟอน) สมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว (รชั กาลท ่ี ๖) ในการฝึกท่าร�าเบื้องต้น จะน�าท่าร�าแม่บทเล็กและแม่บทใหญ่มาเป็นบทเรียน เพ่ือ • ทา รําเบอ้ื งตน ในการราํ เพลงชา - เพลงเรว็ ฝึกการใชบ้ ท หรือตีบท และใหผ้ ฝู้ กึ ท่ารา� ในชุดแมบ่ ทสามารถน�าไปประยุกต์ใชใ้ นการคดิ ประดษิ ฐ์ ราํ แมบ ทเลก็ และราํ แมบทใหญ สามารถนํามา ประยกุ ตใ ชกบั การแสดงนาฏศิลปช ดุ อ่นื ๆ ไดหรือไม อยางไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ไดอยา งอิสระ) ทา่ ร�าใหเ้ หมาะสมกบั บทบาทของตัวละครในการแสดงละครรา� ได้ ๑88 นกั เรียนควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ 1 บทรอง ที่นิยมนํามาใชรองประกอบระบํา ราํ ฟอน ประกอบการแสดงโขน ใหน กั เรยี นรวบรวมทาราํ ทงั้ 18 ทา ในการแสดงรําแมบทเล็ก ละคร สามารถจําแนกออกเปน 3 ประเภท คือ มาจัดทาํ เปนสมดุ ภาพ พรอ มเขียนอธิบายทา รํา ลงกระดาษรายงาน ตกแตง ใหส วยงาม นาํ สงครูผูส อน 1. บทรอ งทคี่ ดั เลอื กและตดั ตอนมาจากบทละคร หรอื บทวรรณคดี เปน บทรอ ง ท่มี กี ารนํามาเปน บทรอ งมากกวาบทประพนั ธป ระเภทอ่นื ๆ กจิ กรรมทา ทาย 2. บทรอ งทีเ่ ปน ของเกา ไมท ราบนามผแู ตง ใหนักเรียนท่มี ีความสามารถดา นนาฏศิลปออกมาสาธิตการรายรํา 3. บทรอ งทีม่ ีการประพนั ธข ้ึนใหมแ ละเปน ไปตามเจตนารมณข องผูประพันธ ในเพลงชา - เพลงเร็ว แมบ ทเลก็ หรือแมบ ทใหญ ตามความถนัด 1 เพลง 2 18 ทารํา ทาราํ ท่ปี รากฏอยใู นการรําแมบทเล็ก ซึ่งเปน การแสดงท่ตี ัดตอน ใหเ พือ่ นชมหนา ชัน้ เรยี น โดยมคี รูเปน ผูชี้แนะความถกู ตอ ง มาจากบทละครในเร่ืองรามเกียรติ์ ตอนนารายณป ราบนนทก ซง่ึ ประกอบไปดวย ทารํา ดังตอ ไปนี้ ทา เทพนม ทา ปฐม ทา พรหมส่หี นา ทาสอดสรอยมาลา ทา กวาง- เดนิ ดง ทา หงสบ นิ ทากินรนิ เลยี บถ้ํา ทาชานางนอน ทา ภมรเคลา ทา แขกเตา - ทา ผาลาเพยี งไหล ทาเมขลาลอ แกว ทา มยุเรศฟอน ทาลมพดั ยอดตอง ทา พรหมนมิ ติ ทาพิสมยั เรียงหมอน ทา มจั ฉาชมสาคร และทาพระสี่กรขวางจกั ร 188 คมู่ อื ครู

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๒.๓ การประยุกต์ศลิ ปะแขนงอ่นื ๆ กับการแสดง ครเู ปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงลเิ กใหน กั เรยี นชม การแสดงละคร เปน็ ศนู ยร์ วมของศลิ ปะหลายแขนงทน่ี า� มาเปน็ องคป์ ระกอบทส่ี า� คญั ไดแ้ ก ่ ฉาก จากนน้ั ครถู ามนักเรยี นวา เคร่ืองแต่งกาย แสง ส ี เสยี ง และอุปกรณต์ ่างๆ เปน็ เครือ่ งช่วยสรา้ งบรรยากาศ ส่อื ความหมาย และอารมณข์ องการแสดง เปน็ การประยกุ ตศ์ ลิ ปะแขนงตา่ งๆ มาสนบั สนนุ ใหล้ ะครเกดิ ความนา่ สนใจ • นกั เรยี นคดิ วาความสวยงามของ และสมจรงิ มากย่งิ ข้ึน ดงั นี้ การแสดงลเิ กอยทู ่ีส่งิ ใดบาง (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยางอิสระ) ๑) ฉาก ละครรา� แตเ่ ดมิ ไมไ่ ดส้ นใจ สา� รวจคน้ หา Explore เร่อื งฉากมากนกั มงุ่ แสดงแตท่ า่ รา� การขับรอ้ ง และการบรรเลงดนตร ี สว่ นฉากเปน็ เพยี งเขตกน้ั ระหว่างเวทีแสดงและหลังเวทีเท่านั้น โดยใช้ ใหนกั เรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรูเ พิ่มเตมิ ผนื ผา้ วาดเปน็ รปู คฤหาสน ์ พระราชวงั ในการแสดง เกย่ี วกบั การประยกุ ตศ ลิ ปะแขนงอน่ื ๆ กบั การแสดง ครง้ั หนงึ่ มเี พยี งฉากเดยี วกส็ ามารถเลน่ ไดต้ ลอด ฉากละครควรมีรูปแบบท่ีสัมพันธ์กับประเภทของละคร จากแหลง การเรยี นรูตา งๆ เชน หอ งสมุดโรงเรยี น ท้ังเรื่อง ไม่ว่าเหตุการณ์ในละครนั้นจะเกิดข้ึน และเคร่ืองแตง่ กาย หองสมดุ ชุมชน อนิ เทอรเน็ต เปนตน ในหวั ขอ ที่ ณ สถานทแี่ หง่ ใดกต็ าม ซง่ึ คลา้ ยกบั ฉากของลเิ ก ทม่ี าของภาพ : คลงั ภาพ ACT. ครกู ําหนดให ดงั ตอไปนี้ ปัจจุบันฉากละครต้องมีรูปแบบท่ีสัมพันธ์กับการแสดงละครแต่ละประเภทและเครื่อง- แตง่ กาย เช่น การแสดงละครพันทาง ต้องจัดฉากตามเน้ือเรอ่ื งที่แสดงถึงชนชาติต่างๆ ถ้าตัวละคร 1. ฉาก แต่งกายแบบพม่า ฉากละครก็ต้องจัดเป็นศิลปะแบบพม่า ทั้งนี้ ในการจัดฉากและการให้สี 2. เคร่อื งแตงกาย เครือ่ งตกแตง่ ฉาก ตอ้ งระวงั อย่าใหต้ วั ละครแต่งกายสเี ดยี วกับฉากละคร หรอื เครอื่ งเรือน เพราะ 3. แสง สี เสยี ง 4. อุปกรณที่ใชในการแสดง ฉากจะกลืนกับตัวละคร ต้องใช้สตี ดั กนั เพือ่ ใหต้ วั ละครเด่น สามารถมองเหน็ ไดใ้ นระยะไกล อธบิ ายความรู้ Explain นอกจากฉากจะช่วยบอกสถานที่ ภายในเร่ืองแล้ว ฉากยังมีหน้าท่ีช่วยสร้าง ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั การประยกุ ต บรรยากาศใหแ้ กก่ ารแสดง ดว้ ยการชว่ ยสนบั สนนุ ศิลปะแขนงอนื่ ๆ กบั การแสดง ในหวั ขอฉาก ตามที่ ใหก้ ารแสดงดสู มจรงิ นา่ ตน่ื เตน้ ตระการตา เชน่ ไดศึกษามา จากนัน้ ครูถามนกั เรยี นวา ฉากพระราชวงั น�้าตก ลา� ธาร ถ้า� ป่าไม ้ เปน็ ต้น ๒) เครอื่ งแตง่ กาย ละครรา� แตเ่ ดมิ • นกั เรยี นคดิ วา การแสดงละครควรมีการนํา ตัวละครจะแต่งกายอย่างคนธรรมดาสามัญ ฉากเขา มาประกอบการแสดงหรอื ไม อยา งไร ถ้าเป็นตัวนางจะใช้ผ้าขาวม้าห่มสไบเฉียง (แนวตอบ ควร เพราะฉากจะแสดงใหเ ห็นถงึ ผแู้ สดงเป็นตวั ประกอบจะเขียนหน้า เชน่ เขียน สถานทที่ ก่ี ลา วถงึ ในเนอื้ เรอ่ื งวา เปน สถานทใ่ี ด หนา้ ยกั ษ์ เขยี นหน้าลงิ เปน็ ตน้ เกดิ ในยคุ สมยั ใด และจะชว ยสรา งบรรยากาศ เครื่องแต่งกายของตัวละคร สามารถช่วยบ่งบอกฐานะ ในการแสดงใหม ีความสมจริงมากยงิ่ ขึ้น) ของตัวละครได้ ทีม่ าของภาพ : คลงั ภาพ ACT. ๑89 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกรด็ แนะครู จากภาพเหมาะแกการนาํ ไปใชเ ปนฉากแสดงละครประเภทใด ครคู วรเนนใหเ หน็ วาการแสดงละครท่ดี ีนอกจากจะมีเน้อื เร่ืองท่ีดแี ลว 1. ละครใน สว นประกอบสาํ คญั อีกอยางหน่งึ ท่ขี าดไมได กค็ อื “ฉากละคร” เพราะฉากละคร 2. ละครพดู ทสี่ รางข้นึ อยา งสมจริงตามเหตกุ ารณทีป่ รากฏอยูในเน้ือเรอ่ื ง ถูกตอ งตามกาลเวลา 3. ละครเสภา และยุคสมยั จะทาํ ใหผชู มไดร ับอรรถรสจากการแสดงละครอยา งเต็มท่ี พรอมท้ัง 4. ละครสังคีต ยกตวั อยา งฉากละครในรปู แบบตา งๆ ใหน กั เรยี นดู เพอื่ สรา งความเขา ใจใหแ กน กั เรยี น มากย่ิงขึน้ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เพราะฉากมีความสวยงามและยง่ิ ใหญ อลงั การ เหมาะสําหรับนํามาใชประกอบการแสดงละครใน เชน การแสดง เรอื่ งรามเกียรต์ิ เปน ตน นอกจากน้ี การแตงกายของการแสดงละครใน ยงั มคี วามสวยงามตระการตา ถานาํ มารวมกันแลว กจ็ ะทาํ ใหก ารแสดง มีความสวยงามมากย่ิงขึ้น คมู่ อื ครู 189

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั การประยกุ ต การแสดงละครชาตรคี รง้ั สมยั อยธุ ยา มตี วั ละครเพียง ๓ ตัว คอื ตัวพระ (ตวั นายโรง) ศลิ ปะแขนงอน่ื ๆ กบั การแสดง ในหวั ขอ เครอ่ื งแตง กาย ตัวนาง และตัวตลก ซ่ึงจะใช้ตัวละครเป็นชายล้วน ตัวพระแต่งกายแบบยืนเคร่ือง นุ่งสนับเพลา แสง สี เสียง และอปุ กรณท ่ใี ชใ นการแสดง ตามท่ีได เชงิ กรอมถงึ ขอ้ เท้า นงุ่ ผา้ จีบโจงหางหงส ์ ไม่สวมเส้ือ สวมเครือ่ งอาภรณ์ ศรี ษะสวมเทรดิ สา� หรบั ศกึ ษามา จากน้นั ครถู ามนักเรียนวา ตวั นางใชผ้ า้ พาดหลงั เพอื่ ใหท้ ราบวา่ เปน็ ตวั นาง เนอื่ งจากละครชาตรผี แู้ สดงเปน็ ชายลว้ น สว่ นตวั - ตลกแตง่ กายแบบธรรมดา ในยคุ ปจั จบุ นั จะแตง่ เครอื่ งละครประณตี งดงาม เรยี กตามภาษาชาวบา้ นวา่ • เพราะเหตใุ ดการแสดงโขนจงึ ตอ งมกี ารจาํ แนก “เข้าเครือ่ งหรือยืนเคร่อื ง” โดยในรชั กาลพระเจ้าอย่หู วั บรมโกศ มกี ารแสดงละครผ้หู ญิงซึ่งเรียกว่า สขี องตวั ละครใหมสี ีสนั ที่แตกตางกันออกไป “ละครใน” การแต่งกายยนื เครื่องจึงให้ตวั ละครสวมเส้ือ (แนวตอบ เพราะเปนการจาํ แนกหวั โขนตามสี เครอ่ื งแตง่ กายโขนละครทเ่ี รยี กวา่ “แตง่ ยนื เครอื่ ง” ไดม้ กี ารเลยี นแบบมาจากเครอ่ื งทรง ของสกี ายและใบหนา เพ่ือใหช างทาํ หัวโขน ของพระมหากษตั รยิ แ์ ละพระบรมวงศานวุ งศต์ ามลกั ษณะของตวั ละครรา� ไดแ้ ก ่ ตวั พระ ตวั นาง ตวั ยกั ษ ์ สามารถรชู อื่ รปู แบบ และเครือ่ งประดบั ของ ตัวลิง และตัวประกอบ นอกจากนี้ เครื่องแต่งกายของละครยังมีเคร่ืองสวมศีรษะด้วย กล่าวคือ หวั โขนทีม่ เี ปนจํานวนมาก ดว ยการเขยี น เครอ่ื งสวมศรี ษะสา� หรบั ละครตวั พระ ไดแ้ ก ่ ชฎา ตวั นาง ไดแ้ ก ่ มงกฎุ รดั เกลา้ และกะบงั หนา้ ระบายสีพื้นลงบนสวนใบหนาของหัวโขน เคร่อื งสวมศรี ษะโขน ไดแ้ ก่ ศรี ษะเทพเจา้ พระฤๅษี ยักษ์ ลงิ และศรี ษะสตั ว์ต่างๆ สว่ นตวั ละคร เพอื่ ใหส ามารถแยกแยะไดงายขึ้น) ทเี่ ป็นมนษุ ยจ์ ะสวมศีรษะอย่างละครใน และมธี รรมเนยี มจารีตในการกา� หนดสขี องเครื่องแตง่ กาย พเชรน่ ะ รตาวั มล1แะตค่งรสทีเเ่ี ขปยีน็ วต วั พเอระกลนกั ยิ ษมมแณต2ง่ แ์ สตแี ง่ ดสงีเ หตลวั อืละงค นรทางเี่ ปสดีน็ าพ3แรตะง่มสหแี าดกงษ ตัทรศยิ กน์ ัณยิ มฐ4์แแตต่งง่ สสีเมี ขว่ ียงว ห เรปอื ็นสตนี ้นา้� เงนิ • นกั เรียนรูจกั เครอื่ งสวมศีรษะในภาพหรือไม ถา รจู กั สามารถพบเหน็ ไดจากการแสดง ๓) แสง สี เสยี ง เปน็ การใชอ้ ปุ กรณแ์ ละความรทู้ างดา้ นเทคนคิ มาชว่ ยสรา้ งบรรยากาศ ประเภทใด และเวลาใหเ้ ข้ากับท้องเรอ่ื งในแตล่ ะฉาก แสง ตอ้ งประสานกบั ส ี เพราะมหี นา้ ท่ี ให้ความสว่าง เช่น การแสดงละครร�าจะมี (แนวตอบ จากภาพเปนเครื่องสวมศีรษะที่ สปอตไลต์ฉายเคลื่อนที่ตามตัวละครไปขณะท่ี เรยี กวา “เทรดิ ” เปน เครือ่ งสวมศรี ษะ ตัวละครก�าลังร่ายร�าอยู่บนเวที หรือสาดแสง ประเภทหนงึ่ ที่นํามาใชประกอบการแสดง เฉพาะจดุ หรอื เฉพาะตวั ละครทตี่ อ้ งการใหเ้ ดน่ ชดั โนราของภาคใต การปรับแสงเพื่อสร้างบรรยากาศ • จากภาพนักเรยี นมองเหน็ ถงึ สงิ่ ใด เชน่ การกะพริบไฟ ลดไฟ ถา้ ตัวละครมีบทท่ีจะ ตอ้ งปิดไฟ แสงท้ังเวทจี ะลดวูบลง แต่จะดับไฟ ทั้งหมดจนมืดไม่ได้ ต้องหร่ีไฟเพ่ือให้ผู้ชม มองเห็นตัวละครบนเวทไี ด้ เปน็ ตน้ แสงท่ีใช้ประกอบการแสดงจะช่วยสร้างบรรยากาศ และ (แนวตอบ ความสวยงามของฉาก แสง สี ทน่ี าํ มา อารมณ์ในการแสดงละคร ใชประกอบการแสดงละครท่ีมีความสวยงาม ที่มาของภาพ : คลงั ภาพ ACT. ดึงดูดใหผ ชู มสนใจและมอี ารมณรว มไปกับ การแสดง) ๑9๐ นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอ ใดกลาวถกู ตอ งเกีย่ วกับคําวา “ถนมิ พมิ พาภรณ” 1 พระราม มีพระวรกายสเี ขยี ว อาวุธประจําพระองค คอื ศรวเิ ศษ 3 เลม ไดแ ก 1. เครอ่ื งประดบั ศีรษะ เชน ชฎา มงกุฎ รดั เกลา กระบังหนา เปน ตน ศรพรหมมาตร ศรอัคนิวาต และศรพลายวาต สวมมงกฎุ เดนิ หน มงกฎุ ชยั 2. เสือ้ ผา เครอ่ื งนุง หมของตัวละครทเี่ ลยี นแบบมาเครอื่ งทรงของกษัตรยิ  หรือพระมหามงกุฎ และตอนทรงพรตสวม “ชฎายอดฤๅษ”ี 3. เครอ่ื งประดับตามแตฐ านะของตวั ละคร เชน แหวนรอบ ทองกร เปน ตน 2 พระลักษมณ มพี ระวรกายสที อง อาวธุ ประจาํ พระองค คอื ตรีศลู 4. อาวธุ ท่ใี ชในการตอสกู ัน เชน ศร พระขรรค จักร ตรศี ูล คทา เปน ตน (หลาวสามงาม) พาหนะของพระองค คอื โคอุศุภราช สวมมงกุฎเดินหน มงกุฎชยั หรอื พระมหามงกฎุ ตอนทรงพรตสวม “ชฎายอดฤๅษี” วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. เพราะคาํ วาถนิมพิมพาภรณ มาจากคาํ วา 3 นางสีดา เปน ตวั ละครในเร่ืองรามเกยี รติ์ เปนบตุ รของทศกณั ฐกับนางมณโฑ และเปน มเหสขี องพระราม “พิมพา” และ “อาภรณ” ซ่งึ หมายถึง เครอื่ งประดับตกแตงตามรา งกาย สวนใหญจ ะเปนเคร่อื งประดบั ถมและลงยา เชน กรองคอ สะอ้งิ พาหรุ ดั กาํ ไลเทา เปน ตน 4 ทศกัณฐ เปนยักษร ูปงาม มี 10 หนา 20 มือ มพี ระวรกายสเี ขยี ว อาวธุ ประจาํ พระองค คือ ศร พระขรรค จักร หอก ตรีศลู คทา งาว พะเนิน (คอ นขนาดใหญ ใชส าํ หรับตีเหล็ก หรือหิน) โตมร (อาวุธสําหรบั ซัด, หอกซัด, สามงามทมี่ ปี ลอกรปู ใบโพสวมอย)ู และเกาทัณฑ (ลกู ธน)ู สวมมงกุฎชัย 190 คู่มอื ครู

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ นอกจากแสงจะสร้างบรรยากาศและอารมณ์ในการแสดงละครแล้ว แสงยังช่วยสร้าง ครชู กั ชวนนกั เรยี นสนทนาเกย่ี วกบั การวเิ คราะห ความมีชีวิตชีวาให้แก่ฉากและการแสดง ซ่ึงสามารถกระตุ้นการตอบสนองทางอารมณ์ของมนุษย์ วจิ ารณก ารแสดงละครราํ จากนนั้ ครถู ามนกั เรยี นวา ไดเ้ ปน็ อย่างดี แสงสามารถบอกเวลาได้วา่ เวลานี้เปน็ เวลาเชา้ สาย บา่ ย เยน็ หรือกลางคนื หรือ ฉากนี้เกดิ ขน้ึ ในฤดกู าลใด เช่น บรรยากาศในฤดูหนาว แสงสที ี่ปรากฏบนเวทีบางทีอาจจะเปน็ โทน • นกั เรียนเคยวิเคราะห วิจารณ สฟี า้ หรอื สนี า�้ เงนิ แตถ่ า้ เปน็ ฤดรู อ้ นจะใชโ้ ทนสสี ม้ หรอื สแี ดง เปน็ ตน้ นอกจากน ี้ แสงยงั ชว่ ยนา� เสนอ การแสดงละครรําบา งหรอื ไม อยา งไร อารมณ์ของตัวละครในชว่ งนน้ั ๆ ด้วย เชน่ เศร้า เสียใจ ตืน่ เต้น ดีใจ เปน็ ต้น (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอิสระ) “ส”ี กเ็ ปน็ สง่ิ ทม่ี อี ทิ ธพิ ลมากสง่ิ หนงึ่ ในการจดั แสงสา� หรบั เวทกี ารแสดง สสี ามารถสรา้ ง บรรยากาศและบอกอารมณ์ของการแสดงละครในช่วงนั้นๆ ได้ เช่น แสงสีอ่อนๆ จะช่วยสร้าง สา� รวจคน้ หา Explore บรรยากาศทเี่ ป็นสุข สบายใจ แสงสเี ข้มอาจสร้างบรรยากาศทรี่ อ้ นแรง หรือเยอื กเย็นได้ เป็นตน้ สว่ น “เสียง” ประกอบการแสดง จะชว่ ยทา� ใหก้ ารแสดงดูสมจริงและผ้ชู มจะมอี ารมณ์ ใหนักเรยี นแบงกลุมออกเปน 6 กลุม ร่วมกับการแสดงมากข้ึน โดยเสียงท่ีน�ามาประกอบการแสดงจะมีอยู่ด้วยกันหลากหลายรูปแบบ ใหน กั เรยี นศกึ ษา คน ควา หาความรเู พมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั เช่น เสียงนกร้อง เสียงไกข่ นั เสยี งฝนตก เสียงควบมา้ เสยี งฟ้าร้อง เสยี งน้า� ตก เป็นตน้ การวิเคราะห วจิ ารณการแสดงละครราํ จากแหลง การเรยี นรูต า งๆ เชน หองสมุดโรงเรียน หองสมุด ๔) อุปกรณท์ ่ีใช้ในการแสดง จะช่วยสร้างบรรยากาศและความสมจริง เชน่ เครอื่ ง- ชมุ ชน อนิ เทอรเ นต็ เปน ตน ในหวั ขอ ทคี่ รกู าํ หนดให ดงั ตอไปน้ี ราชูปโภค เตียง หมอนอิงรูปสามเหลี่ยม กลด ราชรถ พาหนะ อาวุธที่ใช้ประกอบการแสดง เชน่ ดาบ โล ่ กริช หอก ทวน ธนู เป็นต้น กลุมท่ี 1 ละครชาตรี ๒.4 การวเิ คราะห์ วิจารณก์ ารแสดงละครรำา กลุมที่ 2 ละครนอก การวเิ คราะห ์ วจิ ารณก์ ารแสดงละครรา� โดยรวมจะพจิ ารณาจากรปู แบบของการแสดง ความเปน็ กลมุ ท่ี 3 ละครใน เอกภาพของการแสดง รวมทงั้ ความงดงามของการรา่ ยรา� และองคป์ ระกอบอนื่ ๆ ในละครรา� เรอ่ื งนน้ั ๆ กลมุ ท่ี 4 ละครดกึ ดาํ บรรพ แต่เนื่องจากละครร�ามีหลายประเภท ได้แก่ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละครดึกด�าบรรพ์ กลุมท่ี 5 ละครพนั ทาง ละครพนั ทาง และละครเสภา ดงั นนั้ การวเิ คราะห ์ วจิ ารณล์ ะครรา� ประเภทตา่ งๆ จงึ จะใชห้ ลกั เกณฑ์ กลมุ ที่ 6 ละครเสภา ทแี่ ตกต่างกนั ออกไป ดังนี้ อธบิ ายความรู้ Explain ๑) ละครชาตรี ใหน กั เรยี นกลมุ ท่ี 1 ทไ่ี ดศ กึ ษา คน ควา หาความรู ๑. ลกั ษณะการแสดง ต้องวิเคราะห์วา่ การแสดงถูกต้องตามแบบแผนหรือไม ่ เชน่ เพมิ่ เตมิ เกี่ยวกับการวิเคราะห วิจารณการแสดง การโหมโรง การร�าซดั ไหว้คร ู การบอกบท เป็นตน้ ละครรํา สง ตวั แทน 2 - 3 คน ออกมาอธิบายความรู ๒. ความสามารถของผแู้ สดง ในการรา� ซดั ไหวค้ ร ู รวมทงั้ ความสามารถในการเจรจา ในหวั ขอ ละครชาตรี ตามทไ่ี ดศ กึ ษามาหนา ชน้ั เรยี น ๓. การแต่งกาย การแต่งกายยืนเครื่องพระ - นาง ต้องพิจารณาว่าถูกต้องตาม จากนั้นครูถามนกั เรยี นวา มาตรฐานหรอื ไม ่ เคร่อื งแต่งกายเหมาะสมกบั ลกั ษณะตวั ละครตัวนน้ั หรือไม่ ๔. ดนตรีและเพลงร้อง ผู้แสดงต้องร้องเพลงให้ระดับเสียงตรงกับเครื่องดนตรี • ถานกั เรยี นจะวจิ ารณก ารแสดงละครชาตรี ทา� นองและเนอ้ื รอ้ งควรจะกระชบั ตรงกบั ทา่ รา� และมคี วามไพเราะในการขบั รอ้ ง เก่ยี วกับความสามารถของนักแสดง นกั เรยี นจะสามารถวเิ คราะหต วั ละครใดไดบ า ง ๑9๑ (แนวตอบ ตัวพระ (ตวั นายโรง) ตัวนาง และ ตวั ตลก เพราะเนอ่ื งจากละครชาตรีมีตัว ละครหลกั ท่ีแสดงเพยี ง 3 ตัว เทานน้ั ) กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู ใหน กั เรยี นเขยี นบรรยายเหตุผลทผ่ี ชู มการแสดงทุกคนควรวเิ คราะห ครคู วรเปด ซดี ี หรอื ดวี ดี กี ารแสดงละครราํ ประเภทตา งๆ ใหน กั เรยี นชม พรอ มกบั วจิ ารณก ารแสดงละครรํา ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครผู ูสอน อธิบายเพิม่ เติมวา การบรรเลงดนตรี ตองมคี วามเหมาะสมกับการแสดงแตล ะชนิด และตอ งเหมาะสมกบั อารมณเ พลง กลมกลนื กบั การรอ งและการราํ ถา เปน การบรรเลง กิจกรรมทาทาย ดนตรปี ระกอบการราํ ตอ งบรรเลงใหพ อเหมาะพอดตี ามทาํ นอง จะชา หรอื เรว็ ไปตาม ผูท่ีทําหนา ที่ขบั รองไมได เพราะผรู ําตองราํ ใหเปน ไปตามอารมณแ ละในการขบั รอ ง ใหน กั เรียนชมการแสดงละครราํ 1 เรือ่ ง จากน้ันฝกวิเคราะห วิจารณ แสดงละคร ตองใหไดอ ารมณต ามบท เสียงดี รอ งชัดเจน การขบั รอ งตอ งสมั พนั ธ การแสดงละครราํ ในหัวขอลกั ษณะการแสดง ความสามารถของนักแสดง กบั ดนตรี การแบง วรรคตอนทถ่ี ูกตอ ง การแตงกาย ดนตรี และเพลงรอง ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ครผู สู อน มมุ IT นักเรียนสามารถชมการแสดงละครรําไดจ าก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา ละครราํ คมู่ อื ครู 191

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรียนกลุมท่ี 2 - 4 ทไ่ี ดศึกษา คนควา ๒) ละครนอก หาความรูเ พิม่ เตมิ เกีย่ วกับการวเิ คราะห วจิ ารณ การแสดงละครราํ สง ตวั แทนกลมุ ละ 2 - 3 คน ออกมา ๑. ลักษณะการแสดง ดา� เนนิ เรื่องได้รวดเรว็ โลดโผน ตลกขบขันหรือไม่ อธบิ ายความรใู นหวั ขอ ละครนอก ละครใน และละคร ๒. บทประพันธเ์ หมาะสมที่จะนา� มาแสดงละครนอกหรอื ไม่ ดึกดาํ บรรพ ตามทไ่ี ดศ กึ ษามาหนาชัน้ เรยี น จากนน้ั ครูถามนกั เรียนวา ๓. ความสามารถของผแู้ สดง ตบี ทไดว้ อ่ งไว กระฉบั กระเฉง ใสอ่ ารมณ์ไดเ้ หมาะสม ตามบทบาทหรอื ไม่ • เพราะเหตุใดการวิเคราะห วจิ ารณละครนอก ๔. การแต่งกาย ผู้แสดงแต่งกายถูกต้องตามแบบแผนและเหมาะสมกับบทบาท กับละครในจงึ มีความแตกตางกนั ในเร่อื ง ของตวั ละครหรือไม่ ลกั ษณะการแสดง ๕. ดนตรแี ละเพลงรอ้ ง เหมาะสมกบั เนอ้ื เรอื่ ง สถานการณ ์ บคุ ลกิ ของตวั ละครหรอื ไม่ (แนวตอบ เพราะมลี กั ษณะการดาํ เนินเรอื่ ง ผู้บรรเลงและผู้ขับร้องมีความสามารถเหมาะสมในการบรรเลงและขับร้องประกอบการแสดง ทต่ี า งกนั กลา วคอื ละครนอก จะดาํ เนนิ เรอื่ ง ละครนอกมากน้อยเพียงใด อยา งรวดเร็ว ตลกขบขนั ไมพิถพี ิถนั ในเรอ่ื ง ของขนบธรรมเนียม ประเพณี การใชถ อยคํา ๓) ละครใน แบบชาวบา น สว นละครใน จะเนน ความ สวยงามในการรายรําและตองรักษาแบบแผน ๑. ลักษณะการแสดง ถูกต้องตามแบบแผนของละครในหรอื ไม่ และจารีตประเพณไี ว จงึ ทําใหการวิจารณ ๒. บทประพันธ์ ผู้วิเคราะห์ วิจารณ์จะต้องพิจารณาบทประพันธ์และกลอนว่า มีความแตกตางกนั ท้ังน้ี ผวู ิจารณจ ะตองมี มีความไพเราะเพยี งใด ความรูใ นเร่ืองของการแสดงละครนอก ๓. ความสามารถของผแู้ สดง ผแู้ สดงละครในมฝี มี อื ทงั้ ในการรา� ทสี่ วยงามเหมาะสม และละครในเปนอยางดี) กับการแสดงละครในหรือไม่ ๔. การแตง่ กาย ตวั ละครแตง่ กายยนื เครอื่ งพระ - นางหรอื ไม ่ มคี วามประณตี งดงาม • สงิ่ ทส่ี ามารถนาํ มาเปนประเด็นหลกั มีมากนอ้ ยเพยี งใด เหมาะสมกบั บทบาทของตัวละครทุกตัวหรอื ไม่ ในการวจิ ารณละครดึกดาํ บรรพคอื สง่ิ ใด ๕. ดนตรแี ละเพลงรอ้ ง วงปพ่ี าทยบ์ รรเลงเพลงทม่ี คี วามไพเราะ นมุ่ นวล สละสลวย เพราะเหตใุ ดจึงเปน เชน น้นั (แนวตอบ ความสามารถของนกั แสดง เนอ่ื งจาก ไม่รวดเร็วเห๔ม)อื นลละะคครรดนกึ อดกา�หบรรอื รไมพ่1์ เปนสิ่งทสี่ ามารถสังเกตเห็นไดงา ยที่สุด เน่อื งจากผทู ่ีจะสามารถแสดงละคร- ๑. ลักษณะการแสดง ถูกตอ้ งตามแบบแผนของละครดกึ ดา� บรรพห์ รอื ไม่ ดกึ ดาํ บรรพไดน ั้น จะตองเปน ผูท่ีมเี สียงดี ๒. ความสามารถของผู้แสดง มฝี ีมอื ท้ังในการร้องและรา� ไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด สามารถขับรองเพลงไทยไดอยางไพเราะ ๓. การแต่งกาย แต่งกายได้ถกู ต้องตามแบบแผนของการแสดงละครดึกด�าบรรพ์ มีรปู รางสวยงาม และมลี ลี า การรายราํ ท่ี หรอื ไม่ ออ นชอย จึงเปนสง่ิ ที่ผวู ิจารณสามารถ ๔. ดนตรีปี่พาทยแ์ ละเพลงร้อง มีความไพเราะเหมาะสมกบั เร่อื งทแี่ สดงหรอื ไม่ วิจารณไดว า ความสามารถของนักแสดงมี ๕. ฉากและอปุ กรณป์ ระกอบฉาก การตกแตง่ ฉากมคี วามงดงามหรอื ไม ่ และอปุ กรณ์ ฝมอื ทงั้ ในการขบั รอ งและการรา ยรําไดดีมาก ประกอบฉาก ระบบแสง ส ี ชว่ ยเสรมิ สรา้ งบรรยากาศใหส้ มจรงิ และกระตนุ้ ใหผ้ ชู้ มตนื่ ตาตน่ื ใจเพยี งใด นอ ยเพยี งใด) ๑9๒ เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET ขอสอบป ’50 ออกเกี่ยวกับละครดกึ ดําบรรพ ครเู นนใหเห็นวาการราํ ทส่ี วยงามในการแสดงละครนั้น จะประกอบไปดวย ทาํ ไมละครดกึ ดําบรรพจงึ ไมไดร ับความนยิ มในปจ จบุ ัน การเลอื กทารํามาใชไ ดอ ยา งถูกตองตรงตามแบบแผน การเช่ือมทาตอทา ราํ มลี ลี า 1. รปู แบบการแสดงไมนาสนใจ ทก่ี ลมกลนื ประสานสัมพนั ธก ันกบั คํารอ งและดนตรี รวมทัง้ การแสดงอารมณของ 2. เรอ่ื งท่แี สดงซา้ํ ซาก ตัวละครตรงตามบทบาทท่ีไดร บั ดวย 3. ผแู สดงตองมที กั ษะทั้งรองและรําเปนอยา งดี 4. ขาดผอู ุปถมั ภ นักเรียนควรรู วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะผูทีจ่ ะสามารถแสดงละครดกึ ดาํ บรรพ ไดจ ะตอ งมคี วามสามารถพเิ ศษหลายดา น คอื เปน ผทู มี่ เี สยี งดี ขบั รอ งเพลงไทย 1 ละครดกึ ดาํ บรรพ เปน ละครทเี่ กดิ ขนึ้ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา - ไดอ ยา งไพเราะ เปน ผทู ม่ี รี ปู รา งงาม ราํ สวย ยงิ่ ผทู จ่ี ะแสดงเปน ตวั เอกของเรอื่ ง เจา อยูหวั (รัชกาลท่ี 5) ซ่ึงเจา พระยาเทเวศรว งศว ิวฒั นไดดดั แปลงมาจากการ ดวยแลว ตอ งใชความพินจิ พเิ คราะหเปน อยา งมาก ดงั นน้ั การแสดงละคร- แสดงละครโอเปรา (Opera) ของยโุ รปผแู สดงตอ งรอ งเอง ราํ เอง ใชว งปพ าทยด กึ ดาํ - ดกึ ดาํ บรรพจ งึ ไมค อ ยไดร บั ความนยิ มดงั เชน อดตี ทผ่ี า นมา เนอ่ื งจากตดิ ปญ หา บรรพม าบรรเลงประกอบการแสดงเร่ืองทีน่ ยิ มนํามาแสดง เชน เร่อื งสังขท อง ที่นักแสดงมคี ุณสมบัติไมค รบถวนนัน่ เอง เร่อื งคาวี เร่ืองทา วแสนปม เร่ืองศกลุ ตลา เรอ่ื งสองกรวรวกิ เปนตน 192 คู่มือครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๕) ละครพันทาง1 ใหน ักเรยี นกลุมท่ี 5 ทีไ่ ดศ กึ ษา คนควา หาความรูเ พมิ่ เติมเกี่ยวกบั การวิเคราะห วจิ ารณ ๑. ลักษณะการแสดง ถกู ต้องตามแบบแผนของละครพันทางหรอื ไม่ การแสดงละครรํา สง ตัวแทน 2 - 3 คน ออกมา ๒. ความสามารถของผแู้ สดง การใชล้ ลี าทา่ รา� ทม่ี าจากกริ ยิ าทา่ ทางของเชอื้ ชาตติ า่ งๆ อธิบายความรูในหวั ขอ ละครพนั ทาง ตามทไ่ี ด เหมาะสมหรอื ไม่ และท่าร�าเหมาะกบั บคุ ลกิ ลกั ษณะของผแู้ สดงเพยี งใด ศึกษามาหนาชั้นเรียน จากน้นั ครูถามนกั เรยี นวา ๓. การแตง่ กาย ถกู ตอ้ งตามเชือ้ ชาตแิ ละบทบาทของตวั ละครหรอื ไม่ ๔. ดนตรีและเพลงร้อง มีส�าเนียงภาษาตามเน้ือเร่ือง และบทบาทของตัวละคร • ถา นักแสดงละครพันทางไมไดแ ตง กาย หรอื ไม ่ ผบู้ รรเลงและผขู้ บั รอ้ งมคี วามสามารถในการบรรเลงและขบั รอ้ งประกอบการแสดงเพยี งใด ตามเช้ือชาติ นักเรียนคิดวาถกู ตองหรอื ไม ๕. องคป์ ระกอบอนื่ ๆ เชน่ ฉาก แสง ส ี เสยี ง อปุ กรณต์ า่ งๆ เปน็ ตน้ ชว่ ยสรา้ งบรรยากาศ อยางไร (แนวตอบ ไมถกู ตอ ง เพราะการแสดงละคร ท่ีเหมาะแก่เ๖น)้ือเลระื่อคงรแเลสะภสาา2มารถสร้างอารมณ์ให้สอดคล้องและสมเหตุสมผลหรือไม่ อย่างไร พันทางจะแตงกายตามลักษณะเชอ้ื ชาติ เชน แสดงเกี่ยวกับเร่อื งมอญ กจ็ ะแตงแบบมอญ ละครเสภาท่ีน�ามาแสดงเรียกว่า “เสภาร�า” ข้อส�าคัญในการวิจารณ์ละครเสภาร�าก็คือ แสดงเก่ยี วกับเรื่องพมา ก็จะแตง แบบพมา ความสามารถของผู้ขบั เสภา ผูข้ บั รอ้ งเพลงเสภาร�ามนี ้า� เสียงไพเราะ สามารถใสอ่ ารมณ์ให้เป็นไป เปนตน ) ตามบทบาทการแสดงของตัวละครได้หรือไม่ ส่วนองค์ประกอบอ่ืนๆ จะเหมือนกับละครพันทาง เชน่ การแตง่ กาย ลลี าทา่ รา� ทศั นองค์ประกอบตา่ งๆ เปน็ ต้น • จากภาพนกั เรียนสามารถวเิ คราะห จากหลักการวิเคราะห์ขา้ งต้น สามารถนา� มาใช้วเิ คราะห์ละครร�าได้ดงั ตัวอยา่ งต่อไปนี้ วิจารณก ารแสดงไดอ ยางไร ที่มาของภาพ : http://www.oknation.net (แนวตอบ จากภาพเปน ละครพันทาง เรือ่ งราชาธิราช ชดุ สมงิ พระรามอาสา จากภาพเป็นการแสดงละครใน เรื่องอิเหนา 3บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ- ตอนสมงิ พระรามรบกบั กามะนี ลักษณะ พระพุทธเลศิ หล้านภาลัย (รชั กาลที ่ ๒) การวิเคราะหจ์ ะพจิ ารณาตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ การแสดงถกู ตอ งตามแบบแผนของการแสดง ๑. ลักษณะการแสดง ถูกต้องตามแบบแผนของการแสดงละครใน ละครพนั ทาง ผูแ สดงมีฝมอื ในการรา ยราํ ๒. บทประพนั ธ ์ เปน็ บทพระราชนพิ นธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ทสี่ วยงามและเหมาะสม การแตงกายของ (รชั กาลที่ ๒) พระองคท์ รงดดั แปลง รอ้ ยกรองใหเ้ หมาะกับการเลน่ ละคร ในเชงิ ร�าสามารถตบี ท ตวั ละครแตงกายไดอ ยางถูกตอ งตาม เช้อื ชาติ) ๑9๓ แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด นักเรียนควรรู การประเมินผลการแสดงมีประโยชนในดานใดมากทีส่ ุด 1 ละครพนั ทาง บทละครที่นยิ มนาํ มาแสดงสวนมากเปน พงศาวดารของ 1. เพื่อนํามาใหค ะแนนได ชาตติ า งๆ ตลอดจนเรอ่ื งราวทางประวัตศิ าสตร เชน เร่ืองราชาธริ าช สามกก 2. เพอื่ คดั เลือกตวั แสดงใหเหมาะสม พระลอ ขุนชางขนุ แผน พระอภัยมณี เปนตน 3. เพอ่ื วัดความนยิ มของผชู ม 2 ละครเสภา บทละครที่นยิ มนาํ มาแสดงสวนมากเปน นิทานพ้นื บา น เชน 4. เพ่ือปรับปรุงแกไขการแสดงในคร้งั ตอไป เรือ่ งขุนชางขุนแผน ไกรทอง เปน ตน หรือจากบทพระราชนิพนธในพระบาทสมเด็จ- พระมงกุฎเกลาเจาอยหู วั (รัชกาลท่ี 6) เชน เรอื่ งพญาราชวงั สัน สามัคคีเสวก เปน ตน วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะการประเมนิ ผลการแสดงจะสามารถ 3 อเิ หนา เปน วรรณคดเี กาแกเ รื่องหน่ึงของไทย เขา ใจวานาจะเกดิ ขึ้นในชวง ปลายสมัยอยุธยา ผา นมาทางหญงิ เชลยชาวปตตานี ทีเ่ ปน ขา หลวงรบั ใช ทาํ ใหผ ูจ ดั การแสดงนาํ ขอติชมตา งๆ มาใชเพื่อพัฒนา ปรบั ปรุง แกไ ข พระราชธิดาของสมเดจ็ พระเจา อยหู วั บรมโกศ ไดเ ลา ถวายเจา ฟา กณุ ฑล การแสดงใหมคี วามสมบรู ณแบบมากยิ่งขึ้น และเจาฟามงกฎุ จากน้นั พระราชธดิ าท้ัง 2 พระองค ก็ไดท รงแตงบทละครขนึ้ มา องคละเรอื่ ง เรยี กวา “อเิ หนาเล็ก” (อิเหนา) และ “อเิ หนาใหญ” (ดาหลงั ) คู่มอื ครู 193

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา้ า้ใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Engage Explain Explain Expand Evaluate อธบิ ายความรู้ ใหนักเรยี นกลมุ ที่ 6 ท่ีไดศ ึกษา คนควา ไดอ้ ย่างงดงาม การจัดหมู่ผูแ้ สดงสามารถจดั ได้เป็นภาพสวยงามเป็นการเลน่ ละครไดค้ รบองค์หา้ หาความรูเพิ่มเตมิ เก่ยี วกับการวเิ คราะห คอื ตวั ละครงาม ร�างาม รอ้ งเพราะ พิณพาทยเ์ พราะ กลอนเพราะ วิจารณการแสดงละครรํา สง ตวั แทน 2 - 3 คน ๓. ความสามารถของผูแ้ สดง ผ้แู สดงมฝี มี ือการรา� ทสี่ วยงาม ออกมาอธบิ ายความรใู นหวั ขอละครเสภา ๔. การแตง่ กาย ตวั ละครแตง่ กายงดงาม เครอื่ งแตง่ กายมคี วามประณตี นอกจากนี้ ตามทไ่ี ดศ ึกษามาหนาชนั้ เรียน จากนั้นครูถาม การจดั องคป์ ระกอบศิลป์ครบถว้ น มีความเปน็ เอกภาพ มคี วามสมดุล ฉาก และอุปกรณม์ คี วาม นักเรียนวา กลมกลนื สามารถสรา้ งจดุ สนใจให้แก่ผู้ชมได้ดี ๕. ดนตรแี ละปี่พาทย์ มคี วามไพเราะ น่มุ นวลเหมาะสมกับละครใน • ผูทจ่ี ะสามารถขบั เสภาไดดนี ้นั ควรมีนาํ้ เสยี ง อยางไร กิจกรรม ศิลปป์ ฏิบัต ิ ๑๑.๑ (แนวตอบ มีน้าํ เสียงทไ่ี พเราะ กนิ ใจ สามารถ ถายทอดอารมณใ หเปน ไปตามบทละคร ไดอยางถกู ตอ งเหมาะสม) ขยายความเขา้ ใจ E×pand กจิ กรรมท่ี ๑ ครผู ู้สอนนา� ซีดี (CD) และดวี ีด ี (DVD) การแสดงละครรา� มาใหน้ ักเรยี นชม จากน้ันให้ นักเรียนอภิปรายร่วมกันถึงประเภทของการแสดง ลักษณะและองค์ประกอบของ 1. ใหน ักเรยี นสรปุ สาระสําคญั เกี่ยวกับ การแสดงท่ีได้ชม พร้อมท้ังฝึกวิเคราะห์ วิจารณ์ละครร�าท่ีได้ชมตามหลักเกณฑ์ การสรางสรรคละครรํา ลงกระดาษรายงาน ท่กี า� หนดไว้ในบทเรียน นาํ สงครูผูสอน ๓. การสรา้ งสรรค์ละครเวที 2. ใหนักเรียนนําขอมูลการวิเคราะห วิจารณ ละครเวท ี เป็นการแสดงละครสด ดา� เนินเรอื่ งด้วยศิลปะของการพดู ซึ่งผแู้ สดงจะตอ้ งท�าให้ การแสดงละครราํ มารวมกันจดั นิทรรศการ ผูช้ มมคี วามรู้สกึ ว่าส่ิงท่ีแสดงอยู่น้ันเป็นเรื่องจริง เรอื่ ง “หลกั การวเิ คราะห วจิ ารณก ารแสดงละครราํ ๓.๑ หลักการแสดงละครเวที ประเภทตา งๆ” พรอมหาภาพมาประกอบ การแสดงทม่ี คี ณุ คา่ และประสบความส�าเรจ็ ไดน้ น้ั จะตอ้ งเปน็ การแสดงทผ่ี แู้ สดงไดร้ บั การฝกึ ฝน ใหส วยงาม ให้สามารถแสดงได้ทุกบท และเป็นการแสดงท่ีออกมาจากส่วนลึกภายใน อันเป็นธรรมชาติของ มนุษย ์ มิใช่เปน็ การแสดงทีเ่ สแสร้งแกล้งทา� หรือฝืนท�า ผู้แสดงทดี่ คี วรยดึ หลกั ดงั น้ี ตรวจสอบผล Evaluate ๑) การเตรียมความพร้อม ผู้แสดงท่ีดีจะต้องมีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ 1. ครพู จิ ารณาจากการสรปุ สาระสําคัญเกีย่ วกับ การสรางสรรคละครรําของนักเรียน อารมณ์ และความรสู้ กึ ๑.๑) ดา้ นรา่ งกาย ผแู้ สดงตอ้ งออกกา� ลงั กายอยเู่ สมอ เพราะรา่ งกายเปน็ เครอื่ งมอื 2. ครพู ิจารณาจากการจดั นทิ รรศการเรอ่ื ง “หลกั การวิเคราะห วิจารณการแสดงละครรํา ส�าคัญในการสื่อสารเรอื่ งราวต่อผูช้ ม การทมี่ สี ขุ ภาพพลานามยั ดี พกั ผ่อนอย่างเพียงพอ จะทา� ให้ ประเภทตา งๆ” ของนกั เรยี น โดยพจิ ารณา รสู้ กึ สดชน่ื เคลอ่ื นไหวรา่ งกายไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ สามารถแสดงบทบาทที่ไดร้ บั ไดอ้ ยา่ งเตม็ ความ ในดานความถกู ตองของเน้อื หา การนาํ เสนอ สามารถ มีประสาทสมั ผัสดี ไม่บกพร่อง ขอมูล ความสวยงาม และความคิดริเร่มิ สรางสรรค ๑94 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET สิ่งทพ่ี ึงปฏิบัตหิ ลงั จากจบการแสดงละครคอื ขอ ใด ครคู วรแนะนาํ นกั เรยี นวา องคประกอบศิลปทางดานนาฏศลิ ปไทยจะประกอบ 1. จัดพธิ ีไหวครู ไปดว ย 4 ขอหลกั ดังตอไปน้ี 2. ฝก ซอ มอยา งตอเน่อื ง 3. เชิญวิทยากรมาอบรม 1. บรเิ วณท่วี างในการจัดระยะระหวางตวั ละคร ตําแหนง ของนกั แสดงบนเวที 4. ทําการประเมนิ ผล เพ่อื ใหดูสวยงาม ถกู ตอ งตามแบบแผน วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะหลังจากทมี่ กี ารแสดงละครจบแลว ควรมีการประเมินผลการแสดงทุกคร้ัง เพอ่ื ทจ่ี ะไดท าํ ใหท ราบวา การแสดง 2. นาํ้ หนกั ของเวที การจดั ฉากกับนักแสดงบนเวทีมีความสมดลุ กนั ทงั้ 2 ดา น ละครนนั้ เกดิ ขอ ผิดพลาดใดบางทคี่ วรนาํ มาปรบั ปรงุ แกไ ขการแสดงละคร 3. นาฏศลิ ปไ ทยมรี ปู แบบการแสดงทหี่ ลากหลาย โดยอาศยั ทา ทางในการรา ยราํ ใหม ีความสมบรู ณมากยิ่งขน้ึ 4. ความเปนเอกภาพ ผูทร่ี วมแสดงละครทุกชุดนนั้ จะตอ งมีความเปน หนึ่งเดียว มมุ IT นกั เรยี นสามารถชมการแสดงละครเสภาราํ ไดจ าก http://www.youtube.com โดยคนหาจากคาํ วา ละครเสภารํา 194 คู่มือครู

กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๑.๒) ดา้ นจติ ใจ ผแู้ สดงจะตอ้ งมคี วามเชอ่ื มนั่ ฝกึ การทา� สมาธ ิ เพราะสมาธจิ ะชว่ ย ครูเปด ซีดี หรือดวี ดี กี ารแสดงละครเวที ในการทอ่ งจา� บทละคร ทบทวนการแสดงแตล่ ะฉาก ทบทวนการเขา้ - ออกของตวั ละครวา่ จะเรม่ิ เมอื่ ใด ใหนักเรยี นชม จากน้นั ครถู ามนักเรยี นวา เวลาใด จติ ใจตอ้ งจดจอ่ อยกู่ บั การแสดงบนเวท ี แมย้ งั ไมถ่ งึ บทของตน สง่ิ สา� คญั อกี ประการหนง่ึ กค็ อื ผู้แสดงต้องจ�าบทของตัวละครท่ีร่วมแสดงด้วย เพ่ือจะได้รับส่งบทได้ถูกจังหวะและทันท่วงท ี • นักเรยี นเคยชมการแสดงละครเวทีหรอื ไม การฝกึ จติ ให้เป็นสมาธจิ ะชว่ ยลดความประหม่า ความตน่ื เต้นลง ท�าให้แสดงไดเ้ ตม็ ความสามารถ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยางอิสระ) ๑.๓) ดา้ นอารมณแ์ ละความรสู้ กึ ผแู้ สดงควรมีความสามารถในการควบคมุ อารมณ ์ พยายามสร้างอารมณ์ให้เกดิ ขนึ้ ภายใน โดยไมไ่ ดเ้ สแสรง้ แกลง้ ท�า มกี ารควบคมุ อย่างเหมาะสม มิใช่ • เมือ่ นกั เรยี นชมละครเวทีแลว เกดิ ความรูสกึ ปล่อยอารมณ์ออกมาจนเกนิ ขอบเขต ผิดจากธรรมชาต ิ เชน่ กรดี รอ้ งโวยวาย ตีอกชกหัว เป็นต้น อยา งไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ๒) การเคลอ่ื นไหวทา่ ทาง เมอื่ ผแู้ สดงพดู ตอ้ งแสดงทา่ ทางใหเ้ ปน็ ธรรมชาตปิ ระกอบ ไดอยางอสิ ระ) ค�าพดู สว่ นการเคลื่อนไหว กริ ิยาท่าทางของตัวละครไมว่ า่ จะเปน็ การยืน การเดิน การนงั่ การนอน สา� รวจคน้ หา Explore จะกระท�าเพื่อสื่อสารในด้านเร่ืองราว หรือสร้างบุคลิกของตัวละคร การเคลื่อนไหวของผู้แสดง บนเวทีทุกครั้งจะตอ้ งมจี ุดมุ่งหมายท่ีส�าคัญ ผูแ้ สดงตอ้ งมีความสามารถในการคงลกั ษณะเด่นของ ใหน กั เรยี นศึกษา คนควา หาความรู ตัวละครไว ้ เช่น ลกั ษณะของตัวละครทีพ่ กิ าร ตาบอด เปน็ ใบ ้ เป็นตน้ เพมิ่ เติมเก่ยี วกบั การสรา งสรรคล ะครเวที จากแหลง การเรียนรูต า งๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรียน ๓) เสียงและคุณภาพของเสียง เน่ืองจากเสียงเป็นเครื่องมือส�าคัญของผู้แสดง หอ งสมุดชุมชน อินเทอรเ น็ต เปน ตน ในหวั ขอทค่ี รกู ําหนดให ดงั ตอไปนี้ ที่จะส่ือสารเรื่องราวไปยังผู้ชม การพูดจึงต้องชัดเจน ถูกต้องตามอักขรวิธี ใส่อารมณ์ตาม บทบาท และต้องพูดให้สื่อความหมาย ผูแ้ สดง 1. หลกั การแสดงละครเวที ต้องศึกษาบทละครให้เข้าใจ รู้ความหมาย 2. แนวทางการฝก ปฏิบัติ ที่ต้องการจะพูด มองให้เห็นภาพในส่ิงท่ีพูด รู้ความต้องการขณะพูด และถ้าผู้แสดงจะต้อง อธบิ ายความรู้ Explain เป็นฝา่ ยฟังกต็ ้องมสี มาธิในการฟงั ฟงั ทั้งวิธีพูด ระดับอารมณ์ น�้าเสียง และต้องสังเกตกิริยา ครสู ุมนักเรยี น 2 - 3 คน ใหต อบคาํ ถาม ท่าทางของผแู้ สดงรว่ มขณะพูดประกอบด้วย ดงั ตอไปน้ี ๔) บท ผู้แสดงจะต้องอ่านบทให้ • นกั เรยี นมีวธิ กี ารอยา งไรที่จะชว ยให สามารถจาํ บทละครไดอ ยางแมน ยาํ เข้าใจ และจ�าบทให้ได้ก่อนท่ีจะฝึกซ้อมการ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ เคลื่อนไหว เพราะบทละครช่วยให้เกิดความ ผู้แสดงละครเวทีจะต้องใช้เสียงเพ่ือส่ือสารเร่ืองราวไปยัง ไดอยา งอสิ ระ) เข้าใจในการเคล่ือนไหว วิธีที่จะช่วยให้จ�าบท ผู้ชม ดังนั้น น�า้ เสียงจะต้องดงั กงั วานและชัดเจน ละครได ้ ตอ้ งแบ่งการแสดงออกเปน็ ตอนๆ แลว้ เรมิ่ ท่องเฉพาะตอนสน้ั ๆ กอ่ นทจ่ี ะท่องจา� ท้งั ฉาก • นักเรยี นคิดวาละครเวทีกับละครโทรทศั น และทัง้ เรื่อง เม่อื จ�าบทไดแ้ ล้วจึงฝึกซอ้ มการเคลื่อนไหว ออกท่าทาง ท�าซ�้าไปเรือ่ ยๆ จนกว่าจะจา� มคี วามเหมือน หรอื แตกตา งกันอยางไร บทได้ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งอสิ ระ) ๑95 กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ใหนักเรยี นศึกษาเพ่ิมเตมิ เกย่ี วกบั การแสดงละครสด ครคู วรแนะนาํ การแสดงละครอกี รปู แบบหนง่ึ ทนี่ า สนใจ คอื “การแสดงละครสด” เขยี นสรุปสาระสําคญั และประโยชนทีไ่ ดรับจากการแสดงละครสด ซ่ึงเปนการแสดงละครท่ีนักแสดงไมไ ดเ ตรยี มตวั หรอื ทาํ การฝก ซอมมากอ น ลงกระดาษรายงาน นาํ สงครผู ูสอน แตคดิ คาํ พูดและเหตกุ ารณต างๆ ขึน้ เองในทันทีทนั ใด เปนเหตกุ ารณเ ฉพาะหนา โดยนักแสดงแตล ะคนไมทราบลว งหนา มากอ นเลยวา จะเกดิ เหตุการณอะไรขึน้ กจิ กรรมทาทาย และจะดาํ เนินเรื่องตอ ไปอยางไร นกั แสดงจะตองฝกการใชไ หวพรบิ ปฏภิ าณโตตอบ รับ - สง กนั เพื่อใหละครดําเนินตอไปไดจนกระทัง่ จบเรื่อง หลักในการสรางละครสด ใหนักเรียนแสดงละครสด 1 เร่อื ง โดยการกําหนดตวั ละคร กาํ หนด มดี งั ตอ ไปนี้ กาํ หนดตวั ละคร โดยสมมตใิ หน กั แสดงเปน บคุ คล หรอื สง่ิ ตา งๆ แลว บอก บทบาทตวั ละคร กาํ หนดโครงเรอ่ื ง สรางสถานการณ จากนั้นออกมา ลกั ษณะทาทาง บคุ ลกิ ลักษณะนสิ ยั ของตัวละครใหน กั แสดงเขาใจ กําหนดบทบาท นําเสนอการแสดงละครสดใหเพอื่ นชมหนา ชั้นเรียน โดยมีครเู ปนผชู ี้แนะ ของตวั ละคร นักแสดงตอ งรูวาตัวละครที่ตนกําลงั แสดงนนั้ มีบทบาทหนา ที่อยางไร ความถกู ตอ ง พรอมกบั ประเมินผลการแสดงของนักเรยี น กําหนดโครงเรือ่ ง นักแสดงจะตอ งรูโครงเรื่องอยา งคราวๆ วา จะดําเนนิ เร่อื งอยา งไร สรา งสถานการณเ พอ่ื ใหน กั แสดงไดแ กไ ขสถานการณ โดยไมม บี ทพดู นกั แสดงจะตอ ง ใชไหวพริบปฏภิ าณในการแสดงเองและมีการประเมนิ ผลการแสดง เพื่อใชในการ ปรบั ปรุงแกไ ขการแสดงคร้งั ตอไป ค่มู ือครู 195

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นรวมกนั อภิปรายเกีย่ วกบั ๓.๒ แนวทางการฝกึ ปฏิบัติ การสรา งสรรคละครเวที ในหัวขอ หลักการแสดง ๑) ฝกึ การเลยี นแบบ การเลยี นแบบเปน็ พน้ื ฐานของการฝกึ ทกั ษะการเรยี นรทู้ างดา้ น ละครเวทแี ละแนวทางการฝกปฏิบัติ ตามทไี่ ด ศลิ ปะการแสดง การเลยี นแบบทา� ใหผ้ ้แู สดงเขา้ ถึงความร้สู กึ และอารมณข์ องตวั ละครทผี่ ู้แสดงตอ้ ง ศึกษามา จากนนั้ ครูถามนกั เรยี นวา สวมบทบาท เชน่ ถา้ ตอ้ งแสดงเปน็ คนสตไิ มส่ มประกอบ ผแู้ สดงผนู้ น้ั ตอ้ งฝกึ การเลยี นแบบคนสติ ไมส่ มประกอบจรงิ ๆ หรอื ตอ้ งแสดงเป็นคนพกิ าร กต็ ้องเลยี นแบบคนพิการให้สมจริง การแสดงจึง • เพราะเหตุใดนกั แสดงจึงตองฝกการควบคุม จะสมบทบาท เป็นตน้ อารมณ ๒) ฝึกการสังเกต การฝึกการ (แนวตอบ เพราะการแสดงอารมณเ ปน สิง่ ที่ สังเกตเป็นแบบฝึกหัดเบ้ืองต้นท่ีผู้แสดงจะต้อง สาํ คัญ นกั แสดงทีม่ คี วามชาํ นาญยอ มทจี่ ะ ปฏิบัติ โดยเร่ิมจากการสังเกตอิริยาบถของคน สามารถถายทอดอารมณและความรูสึกได รอบขา้ ง เชน่ การเดนิ การยนื การนงั่ ทา่ ทางใน อยา งสมจรงิ ดงั นน้ั นกั แสดงจงึ ตอ งฝก ควบคมุ การเคลอ่ื นไหว วธิ รี บั ประทานอาหาร การทา� งาน อารมณของตนเอง โดยพยายามใสอ ารมณ ตา่ งๆ ของทกุ อาชพี เปน็ ตน้ กริ ยิ าทา่ ทางมสี ว่ น ใหเกดิ ขน้ึ ภายใน ไมใ ชก ารเสแสรง ก็จะทําให ชว่ ยบอกใหร้ วู้ า่ บคุ คลนน้ั มบี คุ ลกิ ลกั ษณะอยา่ งไร สามารถถายทอดอารมณแ ละความรูสึกไปยงั มฐี านะทางสังคมอยา่ งไร เป็นเศรษฐ ี หรือยาจก ผชู มไดเ ปนอยา งดี) และผู้แสดงจะต้องฝึกสังเกตการแสดงอารมณ์ ของบคุ คลในชวี ติ จรงิ ไมว่ า่ จะเปน็ การดีใจ เสยี ใจ • การฝก ฝนเลยี นแบบมีประโยชนตอ การแสดง การฝึกเลียนแบบจะท�าให้ผู้แสดงเข้าถึงความรู้สึกและ เศร้าสลด หรือโกรธ บุคคลเหล่าน้ันจะแสดง อยา งไร อารมณข์ องตัวละครท่ีตอ้ งสวมบทบาท กริ ยิ าท่าทางอยา่ งไร (แนวตอบ ทําใหสามารถเขาถงึ ความรูส กึ และอารมณข องตวั ละครทก่ี าํ ลงั สวมบทบาทอยู ๓.๓ การประยุกตศ์ ิลปะแขนงอ่ืนๆ กับการแสดง แลว แสดงออกมาไดอยางสมจรงิ เชน ละครเวท ี มคี วามจา� เปน็ ตอ้ งใชศ้ ลิ ปะแขนงอน่ื ๆ มาชว่ ยสอ่ื ความหมายและอารมณ ์ ซงึ่ จะชว่ ย แสดงเปน คนบา กต็ อ งเลียนแบบพฤตกิ รรม สรา้ งเสรมิ ใหก้ ารแสดงละครมคี ณุ ภาพ โดยศลิ ปะแขนงอน่ื ๆ จะถา่ ยทอดออกมาผา่ นฉาก การแตง่ กาย ของคนบา แสดงเปนตาํ รวจ ก็ตอ งเลยี นแบบ แสง สี เสียง๑ )แลฉะาอกุป กหรณมาท์ ย่ีใถชึง้ใน สกถาารนแสทด่ ี บง รดเิ วังณน้ีท่ีเปน็ เวทีในโรงละคร1 ซึ่งหมายรวมไปถงึ อปุ กรณ์ พฤตกิ รรมของตาํ รวจ เปน ตน ) และเคร่ืองตกแตง่ ฉาก ต้องดูสวยงามตระการตา เชน่ ฉากภายในบ้าน ต้องมีเครอ่ื งเรือน ตกแต่ง ฉากตามฐานะของตวั ละคร เปน็ คนจน เป็นเศรษฐ ี เป็นต้น • นกั เรียนมีวธิ ีการในการฝกสงั เกตเพอื่ ใช ลักษณะของฉากจะจัดสร้างขึ้นตามแนวของการแสดงละคร คอื ในการแสดงละครอยางไร • ละครแนวสมจริง การจัดฉากจะเป็นฉากประเภทสมจรงิ ตามเนอื้ เรอ่ื ง เพอ่ื ให้ (แนวตอบ ฝกสังเกตจากสง่ิ ท่อี ยรู อบๆ ตัว ผชู้ มละครดูเหมือนของจรงิ เช่น ฉากกระทอ่ ม ฉากปา่ จะมีต้นไม้และสตั ว์นานาชนิด เปน็ ตน้ เชน คน สัตว เปนตน โดยสังเกตพฤตกิ รรม • ละครแนวเหนอื จรงิ จะจดั ฉากจากตามจนิ ตนาการ ซง่ึ เปน็ สถานทวี่ จิ ติ รพสิ ดาร การแสดงออกทางดานรา งกายและอารมณ จากนั้นจงึ นาํ มาดัดแปลงใหม ีความเหมาะสม กับตวั ละครที่ไดรับบทบาท เพื่อจะไดแสดง ออกมาสมจรงิ ไมเ กอ เขิน) แตกตา่ งไปจากสงิ่ ทเ่ี คยพบเหน็ ในโลกมนษุ ย ์ เชน่ ฉากใตบ้ าดาล ฉากบนสวรรค ์ เปน็ ตน้ ๑96 เกรด็ แนะครู ขอ สอบ O-NET ขอ สอบป ’51 ออกเก่ยี วกับละครเวที ครูควรเชญิ วิทยากรทีม่ ีความเชีย่ วชาญในการแสดงละคร มาอธิบายความรู เอกลักษณข องสุนทรยี ภาพในการชมละครเวทีคอื อะไร เพม่ิ เตมิ เกยี่ วกับการสรา งสรรคล ะครเวที ในหวั ขอหลักการแสดงละครเวที แนวทาง 1. ไดรบั รถู ึงความงามทเี่ กิดขน้ึ จากการชมการเคลอื่ นไหว การฝก ปฏบิ ัติ การประยกุ ตศลิ ปะแขนงอืน่ กับการแสดง และการวเิ คราะห วจิ ารณ 2. ผชู มละครเวทีมคี วามรูส กึ รวมกันและสง ผลตอ การแสดงในรอบนนั้ ๆ ละครเวทใี หน กั เรยี นฟง จากนั้นครูเปด โอกาสใหนกั เรยี นไดซ ักถามในสิ่งท่ีสงสัย 3. ผชู มไดรบั ความบันเทิงจากการชมการแสดงสดๆ และมสี ว นรวม และแสดงความคดิ เหน็ ซง่ึ จะทําใหนกั เรียนมคี วามรู ความเขา ใจเก่ียวกับ ในการแสดงนั้น การสรางสรรคละครเวทไี ดด ีย่งิ ขน้ึ 4. ถูกทุกขอ วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะทุกขอทีก่ ลา วมานน้ั จดั เปน เอกลักษณ นกั เรยี นควรรู ของสนุ ทรียภาพในการชมละครเวทีทผี่ ชู มสามารถรับรูและสมั ผัสได 1 โรงละคร จัดเปน สถาปต ยกรรมทีม่ คี วามสลับซับซอนในเรอ่ื งการออกแบบ เพราะเปนอาคารทม่ี หี นาทใ่ี ชสอยมากมาย การออกแบบโรงละครตอ งมคี วาม สอดคลอ งกบั เทคนคิ ดานเวที คอื ฉาก แสง สี และเสยี ง 196 คูม่ ือครู

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๒) เคร่ืองแต่งกาย ละครเวที ครูนาํ ภาพฉาก เครือ่ งแตง กาย การจดั แสง นอกจากจะส่ือความหมายด้วยค�าพูดแล้ว ในการแสดงละครเวทมี าใหนักเรยี นดู จากน้นั การแตง่ กายยงั ชว่ ยสอ่ื ความหมายและเสรมิ สรา้ ง ครูถามนักเรียนวา บรรยากาศของการแสดงละครได้เป็นอย่างด ี โดยการแต่งกายจะช่วยสื่อความหมายในด้าน • การสรา งฉากละครเวทใี หม ีความสวยงาม บคุ ลกิ ลกั ษณะ ฐานะทางสงั คม และบอกลกั ษณะ สามารถดงึ ดดู ความสนใจของผชู มไดห รอื ไม นิสยั ของตวั ละครให้ผูช้ มทราบ อยางไร (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งอสิ ระ) ลกั ษณะของเครอ่ื งแตง่ กายตวั ละคร สา� รวจคน้ หา Explore มที ง้ั รปู แบบทเี่ หมอื นจรงิ และแตง่ ตามจนิ ตนาการ ซึ่งนักออกแบบเครื่องแต่งกายจะต้องมีความรู้ เกี่ยวกับเร่ืองสี รูปทรง วัสดุท่ีน�ามาตัดเย็บ ใหน ักเรียนศกึ ษา คน ควา หาความรเู พม่ิ เติม เครอื่ งแตง่ กาย เพื่อให้เคร่ืองแต่งกายสามารถ ฉากละครแนวสมจริง จะจัดฉากตามเนื้อเรื่อง (จากภาพ เกย่ี วกบั การประยกุ ตศ ลิ ปะแขนงอนื่ ๆ กบั การแสดง สือ่ ความหมายได้ตรงกับเนอ้ื เรือ่ ง ละครเวทีญี่ปุน การจัดฉากจึงเป็นการจ�าลองบ้านของ จากแหลง การเรยี นรตู างๆ เชน หอ งสมดุ โรงเรยี น ชาวญีป่ นุ ) หอ งสมุดชมุ ชน อินเทอรเ น็ต เปน ตน ในหัวขอทค่ี รกู ําหนดให ดงั ตอ ไปนี้ ข้อควรระวังในการเลือกเครื่องแต่งกายท่ีส�าคัญ คือ สีของฉากกับเคร่ืองแต่งกาย ควรระวงั อยา่ ใหม้ สี เี ดยี วกนั เพราะตวั ละครกบั ฉากจะกลมกลนื กนั จนมองไมเ่ หน็ ตวั ละคร เชน่ ฉากปา่ 1. ฉาก มีต้นไมส้ ีเขียว ตัวละครก็ไม่ควรแต่งสเี ขยี ว เปน็ ต้น 2. เครือ่ งแตงกาย ๓) แสง สี เสียง ละครเวทีในยุค 3. แสง สี เสียง ปัจจบุ ันจะมีการใชส้ สี ันที่หลากหลาย เพือ่ สร้าง ความแปลกใหม่ตระการตา แสงจึงเป็นส่วน อธบิ ายความรู้ Explain สา� คัญในการแสดงละครเวที ดังน้ี ๑. แสงชว่ ยใหค้ วามสวา่ ง ทา� ให้ ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั การประยกุ ต ผชู้ มเหน็ ภาพทกุ ภาพทเี่ กดิ ขน้ึ บนเวท ี เชน่ ฉาก ศลิ ปะแขนงอ่ืนๆ กับการแสดงในหัวขอฉาก อุปกรณ์ประกอบฉาก ตวั ละคร เครื่องแต่งกาย และเครื่องแตงกาย ตามท่ีไดศึกษามา จากนั้นครู เหตุการณท์ ีเ่ กดิ ขึ้นบนเวที เปน็ ตน้ ถามนักเรยี นวา ๒. แสงชว่ ยเนน้ เฉพาะจดุ สา� คญั ละครเวทใี นปจ จบุ นั จะมกี ารใชส้ สี นั ทห่ี ลากหลาย เพอื่ สรา้ ง ทที่ า� ใหเ้ กดิ ความหลากหลายบนเวท ี เชน่ ดบั ไฟ ความแปลกใหมต่ ระการตาให้กับผชู้ ม • ถาตองการจดั แสดงละครเวทแี นวยอ นยุค ในส่วนท่ีต้องการเปล่ียนฉาก หรืออุปกรณ์ต่างๆ ในขณะที่การแสดงก�าลังด�าเนินอยู่อีกด้าน นักแสดงควรแตง กายอยางไร จึงจะมีความ โดยไม่ทา� ใหผ้ ูช้ มเสยี สมาธิ เป็นต้น เหมาะสม ๓. แสงช่วยสร้างบรรยากาศและอารมณ์ในการแสดงให้เป็นไปตามรูปแบบของ (แนวตอบ สาํ หรบั ละครยอ นยุค หรือละคร ละครท่นี �าเสนอ แนวพเี รยี ด ผูจัดเส้ือผาเครอื่ งแตง กายตอ ง ดูความเหมาะสมตามทผ่ี ูคนในสมยั นั้นแตง ๑97 รวมไปถึงทรงผมกต็ องมคี วามสอดคลอง กับยคุ สมยั ดวย) แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกรด็ แนะครู ภาพน้สี ่ือความหมายเก่ยี วกับละครในขอ ใด ครูควรเนนใหเ หน็ วาเครอื่ งแตงกายตัวละคร มีทงั้ รูปแบบท่เี หมือนจรงิ 1. ละครเวทีแนวพีเรียด และแตง ตามจนิ ตนาการ ผูทอี่ อกแบบเครอ่ื งแตงกายตวั ละคร จะตองมีความรู 2. ละครเวทแี นวแฟนตาซี เกย่ี วกบั สี รูปทรง วัสดุที่นํามาใชในการตดั เยบ็ เพ่ือใหเครอ่ื งแตง กายสามารถ 3. ละครเวทแี นวสุขนาฏกรรม ส่อื ความหมายไดตรงกบั เน้ือเรอ่ื ง พรอมทง้ั ยกตวั อยา งการแตง กายของตวั ละคร 4. ละครเวทแี นวตลกชวนหวั ประเภทตางๆ ใหนักเรียนดู เชน วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. เพราะเครือ่ งแตง กายบงบอกถงึ ตวั ละคร ท่อี ยใู นเทพนิยาย หรอื สรา งข้ึนจากจินตนาการ ดงั นนั้ จึงเหมาะสมท่จี ะนํา มาแสดงเปนละครแนวแฟนตาซี การแตงกายละครเวทขี องญป่ี นุ การแตงกายละครบอรด เวย คู่มือครู 197

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั การประยกุ ต ในละครแนวสมจรงิ 1 แสงทนี่ า� มาประกอบการแสดงตอ้ งเหมอื นกบั แสงจากธรรมชาต ิ เชน่ ศิลปะแขนงอน่ื ๆ กบั การแสดงในหัวขอ แสง สี เสียง ใแนสลงะอคารทแติ นยว ์ แเหสนงจือนั จทริงร2แ ์ แสสงงทส่ีปวรา่ ะงกทอม่ี บาจจะาตก้อเทงยีเลน่น ตเงะาเก ยีหงร ือไตใน ้ เบปทน็ ทตน้ี่ม ีกเพารอื่ ลส่อรงา้ หงบนรหรายยาตกัวา ศกใหารส้ แมสจดรงิง ตามท่ีไดศ ึกษามา จากน้นั ครูถามนกั เรียนวา อภินิหารของเทพเจ้า ถ้าใช้แสงไฟส่องด้านหลังของผู้แสดงก็จะท�าให้ดูเหมือนมีรัศมีน่าเกรงขาม นอกจากความเขม้ และทศิ ทางของแสงแลว้ สขี องแสงกม็ คี วามสา� คญั โดยวธิ ที า� ใหเ้ กดิ สี • แสง สี เสยี ง มคี วามสําคญั อยางไร ม ี ๒ วธิ ี คอื ใชห้ ลอดไฟสกี บั แผน่ ใสส ี หลอดไฟสมี เี พยี ง ๔ ส ี เทา่ นน้ั คอื สเี ขยี ว สแี ดง สเี หลอื ง และ (แนวตอบ ชวยทาํ ใหก ารแสดงละครเวที สนี า้� เงนิ สว่ นแผน่ ใสสเี ปน็ แผน่ พลาสตกิ โปรง่ แสงมหี ลากส ี ในการแสดงละครเชอ่ื กนั วา่ สมี อี ทิ ธพิ ลและ มีความสวยงามและถายทอดอารมณไดด ี มคี วามหมายบนเวที ดังน้ี ยง่ิ ขึ้น ทาํ ใหผ ูชมเกดิ อรรถรสและประทบั ใจ ในการแสดงมากขนึ้ ) • การใชแสง สี ในภาพนตี้ อ งการส่อื ใหเห็น ถงึ สงิ่ ใด (แนวตอบ ตองการส่ือใหเห็นถงึ ความทุกข สี ความรสู้ กึ ทรมานใจและความโศกเศราของตัวละคร สฟี ้า ใหค้ วามรสู้ กึ สงบ เยอื กเย็น ไม่กดดนั มคี วามโปรง่ ใส ท่รี อคอยคนรักกลับมาอยางมคี วามหวัง) สีแดง ใหค้ วามรสู้ ึกอารมณร์ ุนแรง ก้าวร้าว • เมอื่ นกั เรียนไดเห็นฉากละครทมี่ ีสีสันดังภาพ สเี หลือง ให้ความรูส้ ึกสุขสบาย เจิดจ้า ร่าเริง นกั เรียนรูสึกอยางไร สีชมพู ใหค้ วามรสู้ กึ น่ารกั นา่ เอน็ ดู สีสม้ ให้ความรูส้ ึกร่าเรงิ แจ่มใส มชี วี ิตชีวา ปราศจากความทุกข์โศก (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น การแสดงละครแนวสมจรงิ แสงที่น�ามาประกอบการแสดงจะเหมอื นกับแสงธรรมชาติ เพอ่ื สร้างบรรยากาศใหส้ มจริง ไดอ ยางอสิ ระ) ที่มาของภาพ : http://www.galleryhip.com แสง สยี งั มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ฉากและเครอ่ื งแตง่ กายละคร เพราะเมอ่ื ถกู แสงไฟ สขี องฉากและ เครอื่ งแตง่ กายจะเปลยี่ นไป เชน่ ตวั ละครทแี่ ตง่ สมี ว่ ง ถกู แสงสเี หลอื งจะกลายเปน็ สนี า�้ ตาล เปน็ ตน้ ๑98 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ถา ตองการแสดงใหเ หน็ ความโออ าหรหู รา ควรใชส ีประเภทใด 1 ละครแนวสมจริง (Representational Drama) ละครท่ีแสดงภาพ 1. สที อง ความเปนจรงิ สะทอ นชีวิตในสงั คมและความเปนอยขู องชมุ ชนออกมาเปน เร่ืองราว 2. สเี หลอื ง 2 ละครแนวเหนือจริง (Presentational Drama) ละครท่ีใหภ าพของการแสดง 3. สีนาํ้ เงนิ หลดุ ออกไปจากชวี ิตประจาํ วนั โดยยึดผชู มเปน เปา หมายสาํ คญั เพือ่ ใหผชู ม 4. สชี มพู เกิดความสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ ตืน่ เตน และผูชมจะเกิดความรสู ึกวา สิง่ ทีป่ รากฏ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. เพราะสที องจะแสดงใหเห็นถึงความหรหู รา ไมใชชวี ิตจรงิ ซ่ึงฉากและเครื่องแตงกายจะหรูหรา สวยงาม ประณีต วจิ ิตรบรรจง โออ า มีราคา สูงคา ความมง่ั คั่ง ความร่ํารวย เปนสีที่ตดั กบั สีขออื่นๆ มเี สนหประทบั ใจผูช ม แลวดเู ดน และยงั เปนสที ชี่ ว ยเสริมสรา งบรรยากาศโดยรอบใหดยู ง่ิ ใหญด วย มมุ IT นกั เรยี นสามารถศกึ ษา คนควา เพมิ่ เตมิ เกี่ยวกับละครแนวสมจริง และละครแนวเหนอื จริงไดจ าก http://www.www.lks.ac.th 198 คมู่ ือครู

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ นอกจากแสงที่สามารถช่วยสร้าง ครูนาํ ภาพการแสดงละครเวทมี าใหน กั เรียนดู บรรยากาศและอารมณ์ใหก้ บั ผชู้ ม อกี ปจั จยั สา� คญั จากน้นั ครูถามนักเรยี นวา ที่จะสามารถดึงอารมณ์ของผู้ชมให้คล้อยตาม เนอื้ เรอ่ื งไดน้ นั้ คอื เสยี ง ไมว่ า่ จะเปน็ เสยี งประกอบ • จากภาพนกั เรยี นจะวิจารณในสง่ิ ใดไดบา ง หรือเสียงดนตรีภูมิหลัง (Background Music) (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ก็มีความส�าคัญต่อการแสดงเป็นอย่างมาก ไดอยางอิสระ) โดยเสียงประกอบการแสดง เช่น เสียงปืน เสยี งฟา้ รอ้ ง เสยี งตกึ ถล่ม เสียงระเบิด เปน็ ตน้ • ถานกั เรยี นตองการวเิ คราะห วิจารณ ในปัจจุบันจะใช้บันทึกแถบเสียง หรือสร้างจาก ความสามารถของนกั แสดงควรพิจารณา เคร่ืองมืออิเล็กทรอนิกส์ แต่ถ้าหากเป็นเสียง อุปกรณ์ประกอบการแสดงจัดเป็นปจจัยหนึ่งที่สามารถ ในประเดน็ ใดบาง ดนตรีจะมที ั้งการบนั ทกึ และการเล่นดนตรสี ด ดงึ ดดู อารมณ์ของผูช้ มให้คล้อยตามเนอื้ เร่ืองได้ (แนวตอบ การรับ - สง บท การแสดงบทบาท ท่มี าของภาพ : http://www.thetartan.org และการออกเสียง) สา� รวจคน้ หา Explore ๔. อุปกรณ์ประกอบการแสดงและอุปกรณ์ประกอบฉาก เครื่องใช้ต่างๆ ที่น�ามา ใหนกั เรยี นศึกษา คนควา หาความรเู พม่ิ เติม ประกอบการแสดง หรอื ตกแตง่ ฉากจะชว่ ยแสดงใหเ้ หน็ ถงึ บคุ ลกิ และนสิ ยั ของตวั ละคร เชน่ ไมเ้ ทา้ เก่ยี วกับการวเิ คราะห วิจารณละครเวที จากแหลง แวน่ ตา กลอ้ งยาสบู เครอื่ งสา� อาง เครอื่ งครวั โตะ อาหาร ภาชนะสา� หรบั รบั ประทานอาหาร หอ้ งรบั แขก การเรยี นรตู า งๆ เชน หอ งสมุดโรงเรียน หอ งสมดุ ตกแตง่ ดว้ ยรปู ภาพ แจกันดอกไม ้ ผา้ ปูโตะ เป็นต้น ชมุ ชน อินเทอรเ นต็ เปนตน ๓.4 การวเิ คราะห ์วจิ ารณล์ ะครเวที ละครเวท ี เปน็ ละครทต่ี อ้ งอาศยั การสนทนา อธบิ ายความรู้ ในการด�าเนินเรื่องและในการแสดงละครเวที Explain ต้องอาศัยองค์ประกอบต่างๆ เพ่ือให้เกิดความ ใหน กั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั การวเิ คราะห สมบูรณ์ ผู้วิเคราะห์ วิจารณ์ละครเวที จึงต้อง วจิ ารณล ะครเวที ตามที่ไดศ กึ ษามา จากน้นั ครูถาม พจิ ารณาละครเวทีในหลายๆ ดา้ น โดยมแี นวทาง นักเรียนวา การวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ละครเวท ี ดงั น�้ ๑) ความสามารถของผู้แสดง • ผทู ส่ี ามารถวเิ คราะห วิจารณการแสดง เน่ืองจากละครเวทีเป็นละครสด ที่จะต้องใช้ ละครเวทไี ดดีน้นั ควรมคี ณุ สมบตั ิอยา งไร บทสนทนาในการดา� เนนิ เรอ่ื ง ดงั นนั้ การทลี่ ะคร ละครเวที เปน็ ละครทแี่ สดงสด ดงั นน้ั ผแู้ สดงจะตอ้ งแสดง (แนวตอบ ตองมคี วามรู ความเขาใจในเรื่อง จะสามารถดึงอารมณ์และสร้างความประทับใจ ให้สมบทบาท ตบี ทใหแ้ ตกโดยไมฝ่ นธรรมชาติ ทจี่ ะวิจารณเปน อยางดี ตอ งตดิ ตามความ ทม่ี าของภาพ : http://www.mvprogress.com เคล่ือนไหวของวงการท่ีจะวิจารณ ทั้งจาก การอาน การฟง การดู และการชมอยาง ใหผ้ ชู้ มไดน้ น้ั สว่ นสา� คญั กค็ อื ความสามารถของผแู้ สดง ผวู้ เิ คราะห ์ วจิ ารณค์ วรพจิ ารณาวา่ ผแู้ สดงรบั - สมํ่าเสมอ มีความคิดเฉียบแหลม หยั่งรูถึง ส่งบทกนั ได้ทนั ท่วงทีและมีจังหวะเหมาะสมหรือไม ่ นอกจากน้ ี ผ้แู สดงจะต้องแสดงใหส้ มบทบาท แกน ของเรอื่ งไมพ จิ ารณาแตเ พยี งผวิ เผนิ และ ตีบทให้แตกโดยไม่ฝืนธรรมชาติ และไม่แสดงบทที่ซ�้าซากจนน่าเบ่ือ และส่ิงส�าคัญท่ีจะท�าให้การ ตอ งมคี วามยตุ ธิ รรม มใี จเปน กลาง ไมเ อนเอยี ง) ๑99 แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู ประโยชนทไ่ี ดร บั จากการวเิ คราะห วจิ ารณการแสดงละครเวทีคือสิ่งใด ครคู วรอธิบายความรูเพมิ่ เตมิ เก่ยี วกบั ชนดิ ของการวจิ ารณ ซ่งึ สามารถแบง แนวตอบ การวจิ ารณอ อกเปน 3 แบบ ไดแ ก 1. มโี อกาสแสดงแนวความคดิ สรา งสรรคข องตนเอง 2. รับทราบแนวความคดิ ของผูอื่น เพือ่ นําไปปรบั ปรุง แกไ ข พฒั นา 1. จติ วิจารณ (Impressionistic Criticism) เปนการวิจารณในแงความรูสึกนึกคิด ของผูวิจารณ ใหผลงานของตนดยี ง่ิ ขน้ึ 3. เกดิ พลงั กระตนุ ใหเกดิ ประสิทธภิ าพในการสรางสรรคผ ลงานตอไป 2. อรรถวจิ ารณ (Interpretative Criticism) เปน การวจิ ารณใ นแงแ ปล หรอื ตคี วาม 4. ไดผ ลงานทมี่ ีคณุ คา และประโยชนตอสว นรวมมากข้นึ อีก 3. วพิ ากษ วจิ ารณ (Judicial Criticism) เปน การวจิ ารณใ นแงก ารใหค าํ พพิ ากษา 5. มีความเขาใจตอ กนั ในทางท่ดี รี ะหวางผูสรางสรรคแ ละผูว ิจารณ การวิจารณแบบที่ 1 และแบบท่ี 2 จะยดึ ความเหน็ และความรสู ึกของ บคุ คลธรรมดาเปนทตี่ ้ัง ไมไดใ ชห ลักความรใู นการวจิ ารณ สว นแบบท่ี 3 เรยี กวา “วิพากษ วจิ ารณ” คอื ผูว ิจารณมหี ลักในการวจิ ารณ โดยตอ งพิจารณาให ถองแทแนใ จกอ นแลวคอ ยตดั สนิ ใจ ค่มู อื ครู 199

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ ครูสุมนกั เรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม สื่อสารระหว่างตัวละครไปสู่ผชู้ มเปน็ ไปอย่างชัดเจน ราบรนื่ คอื การออกเสยี งของผแู้ สดง ผู้แสดง ดังตอ ไปน้ี จะตอ้ งออกเสียงอกั ขระใหถ้ กู ต้องและชดั เจน ๒) บุคลิกลักษณะของตัวละคร การสร้างบุคลิกลักษณะของตัวละครในเรื่อง • จากภาพนกั เรยี นสามารถวิเคราะห วิจารณ ในประเดน็ ใดไดบ า ง มีความส�าคัญต่อละครเป็นอย่างมาก ในละครแนวต่างๆ บุคลิกของตัวละครก็จะแตกต่างกันไป ส�าหรบั ละครแนวสมจรงิ ตวั ละครกจ็ ะมบี คุ ลกิ ลกั ษณะทเี่ หมอื นมนษุ ยธ์ รรมดาทวั่ ไป มจี ติ ใจเหมอื น มนษุ ยธ์ รรมดา ส่วนในละครแนวเหนือจริง ตัวละครอาจมีลักษณะแปลกออกไปตามจินตนาการ ของผู้ประพนั ธ์บทละคร ผู้วเิ คราะห ์ วจิ ารณ์จงึ ควรพจิ ารณาวา่ บุคลิกลักษณะของตัวละครมคี วาม สอดคล้องกับเนอ้ื เรอื่ งหรือไม่ ๓) ปฏิกริ ยิ าของผูช้ ม นอกจากการแสดงที่อยบู่ นเวทแี ลว้ ผวู้ ิจารณต์ ้องพจิ ารณาว่า ผู้ชมซ่ึงถือเป็นผู้รับสารจากละครมีอารมณ์คล้อยตามบทละครหรือไม่ เพราะการแสดงละครท่ี (แนวตอบ สามารถวิเคราะห วจิ ารณไ ด ประสบความส�าเร็จจะต้องสามารถท�าให้ผู้ชมมีอารมณ์คล้อยตามบทละครได้ และเมื่อผู้ชมได้ ในประเด็น ดังตอไปน้ี ชมละครแล้ว ผู้ชมจะตอ้ งมปี ฏกิ ิรยิ าตามอารมณข์ องเนอื้ เรอื่ ง เช่น บทตลก ผู้ชมหวั เราะ ถา้ หาก 1. ความสามารถของนักแสดง ผชู้ มนง่ิ เงียบ ไมห่ ัวเราะ แสดงว่าการแสดงไมป่ ระสบความสา� เร็จ เป็นต้น 2. บุคลกิ ลักษณะของตัวละคร ๔) องคป์ ระกอบ ผวู้ เิ คราะห ์ วจิ ารณต์ อ้ งพจิ ารณาวา่ องคป์ ระกอบจา� พวกเครอ่ื งแตง่ กาย 3. ปฏิกริ ยิ าของผชู ม ฉาก แสง ส ี เสยี ง จะชว่ ยสรา้ งบรรยากาศใหก้ บั 4. องคประกอบ การแสดงไดอ้ ยา่ งเหมาะสมหรอื ไม ่ และสามารถ 5. จุดที่นา สนใจ) ส่ือความหมายได้ตรงกบั เนอ้ื เรอ่ื งหรอื ไม่ • ผวู เิ คราะห วจิ ารณบ คุ ลกิ ลกั ษณะของตวั ละคร ๕) จดุ ทน่ี า่ สนใจ ละครเรอ่ื งหนงึ่ ๆ ควรพจิ ารณาในประเด็นใดเปน หลกั จะน่าสนใจและประทับใจผู้ชมได้น้ันจะต้องมี (แนวตอบ บุคลกิ และลกั ษณะของตัวละคร ความโดดเดน่ และนา่ สนใจ การวเิ คราะห ์ วจิ ารณ์ มคี วามสอดคลอ งเหมาะสมกับเน้อื เรอื่ ง ละครจงึ จะพจิ ารณาถงึ จดุ ทนี่ า่ สนใจของละครวา่ หรือไม) อย่ทู ่เี ร่อื งราว บทบาทของผ้แู สดง องคป์ ระกอบ • การวเิ คราะห วจิ ารณจุดทีน่ าสนใจ จ�าพวกฉาก แสง ส ี เสียง เครื่องแต่งกาย หรอื ควรพิจารณาในประเดน็ ใด ตรงจุดใด (แนวตอบ เรือ่ งราวและบทบาทของตัวละคร การรู้หลักการวิเคราะห์ วิจารณ์ละครเวที วามอี งคป ระกอบใดที่โดดเดน ) ทจะ�าทให�าเ้ใขหา้้ไใดจ้รถับึงอบรทรลถะรคสรจ1มาากกกขานึ้รชดมว้ ยล ะดคงัรตเววั ทอีแยล่างะ องค์ประกอบด้านฉาก เคร่ืองแต่งกาย และอุปกรณ์ การวเิ คราะห์ วจิ ารณล์ ะครเวที ตอ่ ไปน้ี ประกอบการแสดงตา่ งๆ จะสรา้ งความสมจรงิ ใหล้ ะครเวที มากยิ่งขนึ้ ท่ีมาของภาพ : http://www.galleryhip.com ๒๐๐ เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET จุดทนี่ า สนใจของการแสดงละครในภาพน้ีคอื ส่งิ ใด ครเู นน ใหเ ห็นวาผูว จิ ารณที่ดจี ะตอ งตระหนกั ในเร่ืองจรยิ ธรรม ซึง่ มคี วาม 1. ฉากมคี วามอลงั การ เก่ยี วเนื่องกับคณุ ธรรมและมโนธรรม ซ่ึงอริสโตเติล (Aristotle) ไดกลาวถึงคณุ ธรรม 2. นกั แสดงเตนพรอมเพรียงกัน 4 ประการ ท่มี นษุ ยพ งึ ปฏบิ ตั ติ อ มนุษยดว ยกัน คอื ความรอบคอบ (Prudence) 3. การแตง หนาเลียนแบบสตั ว ความรจู กั ประมาณ (Temperance) ความกลา หาญ (Courage) และความยุติธรรม 4. สีของเครื่องแตงกายทีม่ ีความ (Justice) โดดเดน นกั เรียนควรรู วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. เพราะจุดทน่ี าสนใจของการแสดงละคร 1 บทละคร งานเขียนประเภทหน่ึงที่ถายทอดออกมาเปน เรือ่ งราว การกระทํา เรื่องน้ี คือ นกั แสดงทุกคนจะแตง หนา เลียนแบบสตั ว นบั วา เปน การสราง และประสบการณข องมนษุ ย โดยมจี ุดประสงคในการเขยี นเพ่ือนํางานน้นั มาจดั จดุ เดน อยางหน่งึ ทผี่ วู จิ ารณส ามารถนาํ มาวิเคราะห วิจารณการแสดงได การแสดง ซ่งึ โครงสรา งของละครจะตอ งประกอบไปดว ยโครงเรอ่ื ง ตัวละคร และวธิ ีสรา งตวั ละคร บทเจรจา ฉาก แนวคดิ ของเรือ่ ง และการแสดง 200 คู่มือครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา้ ใา้ จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ครูสมุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ใหตอบคําถาม ดงั ตอ ไปน้ี • จากภาพนักเรยี นสามารถวจิ ารณการแสดง ไดอ ยา งไร การแสดงละครเวที เรอ่ื ง มทั นะพาธา ท่มี าของภาพ จ:าhกttpภ:/า/พwเwปwน็ .tกopาicรsแtoสcดk.งpลanะtคipร.cเoวmท ี เรอื่ งมทั นะพาธา1 บทพระราชนพิ นธ์ในพระบาทสมเดจ็ - (แนวตอบ จากภาพเปน การแสดงโขน เรอื่ ง รามเกยี รต์ิ ตอนยกรบ เปน การแสดงการรบกนั พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว (รัชกาลท่ี ๖) สามารถวิเคราะห ์ วิจารณต์ ามหลกั เกณฑ์ ไดด้ งั นี้ ระหวา งกองทพั ฝายพระรามและกองทพั ๑) บคุ ลกิ ลกั ษณะของตวั ละคร เนอื่ งจากเรอ่ื งมทั นะพาธา เปน็ ละครประเภทเหนอื จรงิ ฝายทศกัณฐ สามารถวเิ คราะห วิจารณ เนอ้ื เร่อื งเป็นตา� นานดอกกุหลาบ ตัวละครมที ง้ั เทวดา นางฟา้ และมนษุ ย์ ซึ่งตัวละครท่ีไม่ใชม่ นษุ ย์ ตามหลกั เกณฑไ ด ดงั ตอ ไปน้ี บคุ ลกิ ตวั ละคร กจ็ ะมีอ�านาจวิเศษ บคุ ลกิ ลักษณะของตัวละครถือวา่ สอดคลอ้ งกบั แนวละครทมี่ ลี ักษณะเหนือจริง เปนละครประเภทเหนือจริง คอื มที ง้ั มนุษย ๒) ความสามารถของผแู้ สดง ผแู้ สดงสามารถรบั - สง่ บทพดู ไดอ้ ยา่ งมจี งั หวะ เนอื่ งจาก ยกั ษ ลงิ ความสามารถของนกั แสดง นกั แสดง บทละครเรื่องมัทนะพาธา เป็นบทละครพูดค�าฉันท์ จังหวะการพูดจะไม่เหมือนบทสนทนาปกติ สามารถรายราํ ไดอ ยา งงดงาม และตีบทได การรบั - สง่ บททถ่ี กู จงั หวะสอดคลอ้ งกบั การเคลอ่ื นไหว แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การฝกึ ซอ้ มมาอยา่ งด ี ผแู้ สดง ถูกตอ งตามบทพากย ปฏิกิรยิ าของผชู ม สามารถแสดงไดส้ มบทบาท ดูไมข่ ดั เขิน มอี ารมณร ว มไปกบั การแสดง เนอ่ื งจากมฉี าก ๓) ปฏกิ ริ ยิ าของผชู้ ม ผชู้ มสว่ นใหญส่ ามารถเขา้ ใจเรอื่ งได ้ แมบ้ ทพดู จะเปน็ คา� ฉนั ท์ ท่สี วยงามตระการตาและเปน ฉากท่ีมคี วาม ท้ังหมด นอกจากน ้ี ผชู้ มยังมีอารมณร์ ่วมไปตามเน้ือเรื่อง โดยมปี ฏกิ ิริยาตรงกับอารมณท์ ผ่ี แู้ สดง ยิง่ ใหญ เพราะใชน กั แสดงเปน จาํ นวนมาก ถ่ายทอดออกมาบนเวที องคป ระกอบ มคี วามสวยงามครบถวน ๔) องค์ประกอบ อันได้แก่ ฉาก อุปกรณ์ถูกตอ้ งตามแนวละครเหนอื จรงิ เป็นการ แบบละครใน การแตง กายถูกตองตาม สรา้ งฉากจากจนิ ตนาการ เชน่ ฉากบนสวรรค ์ เปน็ ตน้ นอกจากความสวยงามของฉากแล้ว ผชู้ ม หลักการแสดงโขน จดุ ท่ีนาสนใจ เร่อื งราว ยังสามารถจนิ ตนาการไดว้ ่าเป็นเสมือนสวรรคจ์ ริงๆ ชวนใหต ดิ ตามวาฝายใดจะเปนผูชนะ เครื่องแต่งกาย แต่งตามเชื้อชาติและจินตนาการ สอดคล้องกับเน้ือเรื่องและสัมพันธ์ ในการรบครง้ั นี้) กับแสง ส ี ทา� ใหก้ ารแสดงมสี นุ ทรยี ภาพ ๕) จดุ ทนี่ า่ สนใจ คอื เรอ่ื งราวของละครทช่ี วนใหต้ ดิ ตามวา่ เหตกุ ารณต์ อนทน่ี างมทั นา ไม่รับรักทา้ วสเุ ทษณ์ จะด�าเนินไปถึงขั้นแตกหกั อยา่ งไร เป็นการเร้าอารมณ์ผู้ชมใหเ้ ดาเหตกุ ารณ์ ขยายความเขา้ ใจ E×pand ในท่ีสดุ เร่ืองก็จบลงดว้ ยความเหมาะสม โดยนางมทั นาถูกสาปให้เปน็ ดอกกหุ ลาบ ใหนกั เรียนสรปุ สาระสาํ คญั เก่ียวกับ การสรา งสรรคล ะครเวที ลงกระดาษรายงาน ๒๐๑ นําสง ครูผสู อน กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู ใหน กั เรียนศึกษาเพิม่ เติมเกย่ี วกับสรา งสรรคละครเวที เขียนสรุป 1 มัทนะพาธา บทพระราชนพิ นธในพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา เจาอยหู วั สาระสําคญั และประโยชนท่ไี ดร บั จากการสรา งสรรคล ะครเวที ลงกระดาษ (รชั กาลท่ี 6) วาดว ยตาํ นานเกยี่ วกบั ดอกกุหลาบ เปน วรรณคดีทท่ี รงคุณคา รายงาน นาํ สงครูผูสอน ดา นวรรณศลิ ป ที่ใหขอคดิ ตรงกบั พทุ ธวจนะทวี่ า “ทใี่ ดมีรัก ทน่ี นั่ มีทุกข” และไดรับ การยกยอ งจากวรรณคดีสโมสรวาเปนหนังสือทแ่ี ตง ดี มทั นา มาจากคําวา “มทน” กิจกรรมทาทาย แปลวา ความลมุ หลง หรือความรัก และชือ่ ของนางเอก คือ “มัทนะพาธา” จงึ มีความหมายวา ความเจบ็ ปวดและความเดอื ดรอ นเพราะความรัก ซงึ่ ตรงกบั แกน ของเรอื่ งท่ชี ี้ใหเ หน็ ถงึ โทษของความรัก ใหนักเรยี นชมการแสดงละครเวทจี ากสอ่ื อินเทอรเ น็ต 1 เรือ่ ง มมุ IT จากนนั้ วิเคราะห วิจารณก ารแสดงในหัวขอความสามารถของนกั แสดง บคุ ลิกลักษณะของตัวละคร ปฏิกิรยิ าของผูชม องคประกอบ และจดุ ท่ี นกั เรยี นสามารถชมการแสดงละครเรื่องมัทนะพาธา ไดจ าก นา สนใจ ลงกระดาษรายงาน นําสง ครูผูส อน http://www.youtube.com โดยคน หาจากคําวา มทั นะพาธา คูม่ ือครู 201

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครูพจิ ารณาจากการสรปุ สาระสาํ คัญเกี่ยวกับ กิจกรรม ศลิ ปป์ ฏิบตั ิ ๑๑.๒ การสรา งสรรคละครเวทีของนกั เรยี น หลักฐานแสดงผลการเรียนรู กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรยี นแบ่งกลุ่ม ๔ กลมุ่ เลอื กนทิ านอสี ปมากล่มุ ละ ๑ เร่อื ง ดงั น้� กิจกรรมท่ี ๒ 1. ผลการจัดนทิ รรศการเรื่อง ๑. เดก็ เลย้ี งแกะ ๒. ราชสหี ก์ บั หน ู “ววิ ัฒนาการละครของไทย” ๓. กระตา่ ยกบั เตา่ ๔. หมากบั เงา 2. ผลการสรปุ สาระสาํ คญั เกย่ี วกับ การสรา งสรรคล ะครรํา จดั แสดงละครหนา้ ชน้ั เรยี น ใหเ้ พอ่ื นๆ และครผู สู้ อนคอยใหค้ ะแนน 3. ผลการจดั นิทรรศการเร่ือง ใหน้ กั เรยี นตอบคา� ถามตอ่ ไปน้� “หลกั การวเิ คราะห วิจารณ การแสดงละครรําประเภทตางๆ” ๑. จงวเิ คราะหค์ ณุ คา่ ของละครทม่ี ตี อ่ สงั คมไทยมาโดยสงั เขป 4. ผลการสรปุ สาระสําคญั เกี่ยวกบั ๒. จงอธบิ ายความสมั พนั ธข์ องศลิ ปะแขนงอน่ื ๆ กบั การละคร การสรางสรรคล ะครเวที ๓. หลกั การวเิ คราะหก์ ารแสดงมคี วามสา� คญั อยา่ งไรตอ่ การแสดงละคร การแสดงละครของไทยปรากฏหลักฐานวา เร่ิมมีรากฐานมาตั้งแตสมัยกอน สุโขทัย จนมาถึงสมัยสุโขทัย การแสดงละครก็เปนไปอยางมีแบบแผนมากขึ้น กระทั่ง เขา สูสมยั อยธุ ยา ละครราํ กไ็ ดร บั การพฒั นาใหม หี ลายประเภท เมอ่ื ถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทรท ่ี อทิ ธพิ ลจากชาตติ ะวนั ตกไดห ลง่ั ไหลเขา สสู งั คมไทย การแสดงละครของไทยกเ็ ปลย่ี นแปลง รปู แบบไปสูละครท่ีไมใชท ารําดวย คอื ละครรอ งและละครพูด ในปจ จบุ นั ละครมคี วามแพรห ลายมากขนึ้ เนอื่ งจากอทิ ธพิ ลของเทคโนโลยสี มยั ใหม ทาํ ใหล ะครมหี ลากหลายรปู แบบมากขน้ึ ไมว า จะเปน ละครเวที ละครวทิ ยุ ละครโทรทศั น ฯลฯ ผชู มละครกม็ จี าํ นวนกวา งขวาง รวมทงั้ การแสดงละครกม็ กี ารประยกุ ตศ ลิ ปะแขนงตา งๆ มาใช เพ่อื ใหล ะครมีความซับซอ น สนุกสนาน และสมจริงมากขนึ้ สาํ หรบั การชมละครไมว า จะเปน ละครราํ หรอื ละครเวทกี ต็ าม ผชู มควรรจู กั วเิ คราะห วจิ ารณล ะครทไี่ ดช มดว ย โดยอาศยั เกณฑต า งๆ ทอ่ี าจจะสรา งขนึ้ เองกไ็ ด ทงั้ น้ี เพอ่ื ใหก ารชม ละครเกดิ ความเขาใจ รวมทัง้ ชมละครไดอ ยา งมีอรรถรส ๒๐๒ แนวตอบ กจิ กรรมศลิ ปป ฏบิ ตั ิ 11.2 กจิ กรรมที่ 2 1. นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอยา งอิสระ โดยขึน้ อยกู บั ดุลยพนิ ิจของครผู ูสอน 2. ศิลปะแขนงอน่ื ๆ ท่เี กีย่ วกับการละครไดแ ก 1) วรรณกรรม คอื บทละคร บทรอง บทพากย - เจรจา 2) จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปตยกรรม นาํ มาใชในองคประกอบของการแสดง เชน ฉาก ไฟ แสง สี อปุ กรณป ระกอบการแสดง เปน ตน 3) ดนตรี การขบั รอง และการฟอนราํ 4) เพ่ือใหผูท สี่ รา งสรรคก ารแสดงสามารถนาํ คาํ วิจารณไปปรับใชใ นการแสดงตอ ๆ ไปใหมคี ุณภาพมากย่ิงขึ้น 3. สาํ หรบั การชมละครไมวา จะเปนละครราํ หรอื ละครเวทกี ็ตาม ผชู มควรรจู กั วิเคราะห วจิ ารณละครทไ่ี ดช มดว ย โดยอาศยั เกณฑต างๆ ท่ีอาจจะสรา งขนึ้ เองก็ได ทั้งนี้ เพื่อใหการชมละครเกิดความเขาใจ รวมท้งั ชมละครไดอ ยางมีอรรถรส 202 ค่มู อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ สำ� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ºÃóҹءÃÁ กฤษรา (ซูไรมาน) ๒๕๕๑. วรศิ ราภรู ชิ า. งานฉากละคร ๑. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . __________. ๒๕๕๑. งานฉากละคร ๒. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . กติ ตชิ ยั รตั นพนั ธ.์ ดนตรี - นาฏศลิ ปพ น้ื บา้ นภาคใต.้ กรงุ เทพมหานคร : โอเดยี นสโตร,์ ม.ป.ป. กุลวด ี มกราภิรมย์. ๒๕๕๒. การละครตะวนั ตก : สมัยคลาสสกิ - สมัยฟน ฟูศิลปวทิ ยา. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . โกวทิ ย ์ ขนั ธศริ .ิ ๒๕๕๐. ดรุ ยิ างคศลิ ปต ะวนั ตก (เบอ้ื งตน้ ). กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . ไขแสง ศขุ วฒั นะ. ๒๕๔๑. สงั คตี นยิ มวา่ ดว้ ย : ดนตรตี ะวนั ตก. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานชิ . คมสนั ต ์ วงศว์ รรณ.์ ดนตรตี ะวนั ตก. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ม.ป.ป. ฐติ ริ ตั น ์ เกดิ หาญ. ๒๕๕๒. นาฏศลิ ปไ ทย. กรงุ เทพมหานคร : สกายบกุ ส.์ ณรงคช์ ยั ปฎิ กรชั ต.์ ๒๕๔๒. สารานกุ รมเพลงไทย. กรงุ เทพมหานคร : เรอื นแกว้ การพมิ พ.์ ณชั ชา โสคตยิ านรุ กั ษ.์ ทฤษฎดี นตร.ี กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ม.ป.ป. ปญั ญา รงุ่ เรอื ง. ๒๕๔๖. ประวตั กิ ารดนตรไี ทย. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานชิ . ประพนั ธศ์ กั ด ์ิ พมุ่ อนิ ทร.์ ๒๕๔๘. ทฤษฎดี นตรสี ากลขน้ั พน้ื ฐาน. กรงุ เทพมหานคร : เอม็ ไอเอส ซอฟทเ์ ทค. ภทั รวด ี ภชู ฎาภารมย.์ วฒั นธรรมดนตรแี ละเพลงพน้ื เมอื งภาคกลาง. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , ม.ป.ป. __________. ๒๕๕๐. วฒั นธรรมบนั เทงิ ในชาตไิ ทย. กรงุ เทพมหานคร : มตชิ น. มนตร ี ตราโมท. ๒๕๔๐. ดรุ ยิ างคศาสตรไ์ ทย ภาควชิ าการ. กรงุ เทพฯ : มตชิ น. ราชบณั ฑติ ยสถาน. ๒๕๔๘. ศพั ทด์ นตรสี ากล ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน. (พมิ พค์ รง้ั ท ่ี ๑). กรงุ เทพมหานคร : อรณุ การพมิ พ.์ ราน � ชยั สงคราม. ๒๕๔๔. นาฏศลิ ปไ ทยเบอ้ื งตน้ . กรงุ เทพมหานคร : องคก์ ารคา้ ครุ สุ ภา. ลญั ฉนะวตั นมิ มานรตนกลุ . ทฤษฎดี นตรตี ะวนั ตก. กรงุ เทพมหานคร : นมิ มานรตนกลุ , ม.ป.ป. วชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, กรม. ศลิ ปะการละครเบอ้ื งตน้ . กรงุ เทพมหานคร : ม.ป.ท., ม.ป.ป. วมิ ลศร ี อปุ รมยั . ๒๕๕๓. นาฏกรรมและการละคร. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ศริ มิ งคล นาฏยกลุ . ๒๕๕๐. การจดั แสงสใี นงานศลิ ปะการแสดง. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. สดใส พนั ธมุ โกมล. ศลิ ปะของการแสดง (ละครสมยั ใหม)่ . กรงุ เทพมหานคร : ม.ป.ท., ม.ป.ป. สวติ ทบั ทมิ ศร.ี ๒๕๔๘. ดนตรไี ทยภาคปฏบิ ตั ิ เลม่ ๑. กรงุ เทพมหานคร : ประชมุ ทอง พรน้ิ ตง้ิ กรปุ . สงบศกึ ธรรมวหิ าร. ๒๕๔๒. ดรุ ยิ างคไ์ ทย. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . สมุ ติ ร เทพวงษ.์ ๒๕๔๑. นาฏศลิ ปไ ทย. กรงุ เทพมหานคร : โอเดยี นสโตร.์ สมุ นมาลย ์ นม�ิ เนตพิ นั ธ.์ ๒๕๔๓. การละครไทย. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานชิ . ๒๐๓ คูม่ ือครู 203

กระตุ้นความสนใจ สำ� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate สรุ พล สวุ รรณ. ดนตรไี ทยในวฒั นธรรมไทย. กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ม.ป.ป. เสถยี ร ดวงจนั ทรท์ พิ ย.์ ๒๕๕๒. เพลง ดนตรี และนาฏศลิ ป จาก สาสน์ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดา� รงราชานภุ าพ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ.์ กรงุ เทพมหานคร : วทิ ยาลยั ดรุ ยิ างคศลิ ป ์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. สา� เรจ็ คา� โมง. ๒๕๕๒. ทฤษฎดี นตรสี ากล ฉบบั สรรพสตู ร. กรงุ เทพมหานคร : ฐานบณั ฑติ . อนนั ท ์ นาคคง. ๒๕๕๐. ดนตรไี ทยเดมิ . กรงุ เทพมหานคร : อทุ ยานการเรยี นร.ู้ อษั ฎาวธุ สาครกิ . ๒๕๕๐. เครอ่ื งดนตรไี ทย. กรงุ เทพมหานคร : อทุ ยานการเรยี นร.ู้ Daniels Arthur and Wagner Lavern. 2004. Listening to Music. New York: Holt, Rinehart and Winston. Dearling Robert. 1999. The Encyclopedia of Musical Instruments. Dubai: Carlton books. Evans, Cheryl and Lucy Smith. 1992. Acting & Theatre. London: Usborne Publishing. Mattani Mojdara Rutnin. 1993. Dance, Drama, and Theatre in Thailand: The Process of Development and Modernization. Tokyo: The Toyo Bunko. สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ กรมศลิ ปากร. (๒๕๕๓). นาฏศลิ ปไ์ ทย. สบื คน้ เมอ่ื ๒๐ กนั ยายน ๒๕๕๓. จาก www.finearts.go.th/th/index- Original.php. สา� นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาต ิ กระทรวงวฒั นธรรม. (๒๕๕๓). เครอ่ื งดนตรพี น้ื บา้ นไทย. สบื คน้ เมอ่ื ๒๐ กนั ยายน ๒๕๕๓. จาก www.culture.go.th/research/musical/html/th.htm. หอสมดุ ดนตรพี ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลท ่ี ๙ และหอ้ งสมดุ ดนตรที ลู กระหมอ่ มสริ นิ ธร. (๒๕๕๓). บทเพลง พระราชนพิ นธ.์ สบื คน้ เมอ่ื ๒๒ กนั ยายน ๒๕๕๓. จาก http://www.kingramamusic.org/. ๒๐4 204 คูม่ อื ครู

สรา้ งอนาคตเดก็ ไทย ดว้ ยนวตั กรรมการเรยี นรรู้ ะดบั โลก >> ราคาเลม่ นกั เรยี นโปรดดจู ากใบสง่ั ซอ้ื ของ อจท. คู่มือคคู่มรือู บครร.ู ดบนร.ตดรนี-นตารฎี-นศาิลฎปศ์ มิล.ป2์ ม.2 บรษิ ทั อกั ษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จำกดั 142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร 10200 โทร./แฟกซ.์ 02 6222 999 (อตั โนมตั ิ 20 คสู่ าย) 8 8 5885684694 19 23125237206576.06- 6.- www.aksorn.com Aksorn ACT ราคาน้ี เปน็ ของฉบบั คมู่ อื ครเู ทา่ นน้ั

ฟิล์ม ธนภัทร จบที่ไหน

ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ เกิดวันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2536 ที่จังหวัดสระบุรี สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย จากโรงเรียนสระบุรีวิทยาคม ระดับอุดมศึกษา จากคณะบริหารธุรกิจ สาขาการเงิน มหาวิทยาลัยกรุงเทพ โดยฟิล์มได้รับเกียรตินิยม อันดับ 2 เคยเป็นสจ๊วตสายการบิน ไทยไลอ้อนแอร์ และเคยประกวด DUTCHIE BOY & GIRL 2013 เข้าวงการจากโครงการ “รัก ...

ฟิล์ม ธนภัทร อยู่ช่องไหน

Laws Of Attraction (แจม รชตะ, ฟิล์ม ธนภัทร) งานปรากฏการณ์ "oneสนั่นจอ" ความฟินแบบจัดหนัก จัดเต็มไปพร้อมกับทัพดาราและนักแสดงหน้าใหม่ คอนเทนต์ ครบรส จากช่องวัน31 และ GMM25 และเซอร์ไพรส์โชว์สุดพิเศษ จากเหล่าศิลปิน

oneสนั่นจอ2023

oneสนั่นจอ #ช่องวัน31

one31

GMM25

GMMTV

oned 🔔 ติดตามข่าวสารจากช่อง one31 Facebook : / ...

หน้ากากแก้ว ดูได้ที่ไหน

#หน้ากากแก้ว ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 15:30 น. ทาง

GMM25 ช่องทางออนไลน์ ฟรี!

ธนภัทร กาวิละ แสดงเรื่องอะไรบ้าง

พายุทราย